28 สิงหาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 28/08/2023

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อวิสุทธิชนยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
เพราะมนุษย์โลกทั้งหลายไม่รู้ว่า
จิตวิญญาณแก่นแท้ของตนมาเกิดที่โลกนี้ทำไม?
เมื่อได้มาเกิดแล้วตนเองมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง?
จึงทำให้ดำเนินชีวิตกันอย่างไม่ถูกต้องตรงจริง
สาเหตุที่ไม่มีใครรู้คำตอบในสองคำถามที่ว่านี้
ก็เป็นเพราะว่าความจริงทั้งสองประเด็นนี้นั้น
มันเป็นสัจธรรมความจริงระดับ #อนุตรธรรม นั่นเอง
 
ความจริงระดับ “อนุตรธรรม” หมายถึง
#ความจริงที่เหนือความจริงในมิติโลกทางกายภาพ
 
ความจริงในมิติโลกทางกายภาพที่ว่านี้นั้น
เป็นความจริงที่คุณใช้กลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
สัมผัสรู้ดูเห็นเพื่อ “เรียนรู้” ความจริงเหล่านั้น
ด้วยความฉลาดทางปัญญาของสมองซีกซ้ายได้ง่าย
ซึ่งความฉลาดของสมองซีกซ้ายก็คือ “สติปัญญา”
 
แต่ความจริงระดับ “อนุตรธรรม” ที่ว่านี้
เป็นความจริงที่สมองสองซีกทั้งซ้ายและขวา
คือสติปัญญาและปัญญาญาณจะเข้าถึงมันไม่ได้เลย
ที่สำคัญก็คือแค่นึกที่จะตั้งคำถามทั้งสองประการนี้
เพื่อให้สมองคิดหาคำตอบมาให้ได้ก็แสนยากแล้ว
 
มีมนุษย์เพียงรูปธรรมเดียวเท่านั้นที่ทำได้
พระองค์นั้นก็คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ซึ่งทรงเป็นองค์พระศาสดาแห่งศาสนาพุทธนั่นเอง
โดยทรงพากเพียรนึกคิดหาคำตอบอยู่หลายภพชาติ
ในที่สุดก็สามารถตรัสรู้เพราะเข้าถึงคำตอบได้ว่า
จิตวิญญาณของพระองค์มาเกิดอยู่ในระบบโลกเสรีนี้
เพื่อหมุนธรรมจักรในตนเองและหมุนร่วมกับคนอื่นๆ
โดยใช้ #ความรักเพื่อให้ จากจิตหยาบนี่แหละ
สั่นสะเทือน “จิตสามนึก” ให้เกิดเป็น “ขันธ์ห้า”
ทันทีที่จิตหยาบรับรู้สิ่งเร้าจากอายตนะภายนอก
 
ขันธ์ 5” หมายถึงการสั่นสะเทือนทางจิตสามนึก
เป็นกระบวนการรับรู้เพื่อเรียนรู้รวมทั้งสิ้น 5 ขั้นตอน
นั่นคือรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
และขั้นตอนที่ห้าเป็นขั้นสุดท้ายก็คือวิญญาณขันธ์
คำว่า “ขันธ์” หมายถึงกลุ่มหรือจำพวกหรือหมวดหมู่
ซึ่งกระบวนการขันธ์ห้าถ้าสั่นสะเทือนด้วยรักเพื่อให้
คือกระบวนการ “หมุนธรรมจักร” ในตนเองห้าขั้นตอน
แต่กระบวนการขันธ์ห้านี้ถ้าคุณสั่นสะเทือนด้วยกิเลส
อันหมายถึงรักเพื่อเอารวมทั้งอารมณ์ขยะแบบต่างๆ
มันก็จะเป็นการ “หมุนกรรมจักร” ในตนเองเช่นกัน
 
พระพุทธองค์ทรงเข้าถึงคำตอบที่ว่านี้ได้
ด้วยอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ซึ่งเป็นอำนาจทางปัญญาสูงสุดที่มนุษย์ทั่วไปไม่มี
จึงทรงรับรู้ได้ว่าจิตวิญญาณของพระองค์และมนุษย์
มีหน้าที่ใช้จิตหยาบให้เป็นผู้ทำงานแทนเมื่อมาเกิด
เพื่อรับบทบาทการ “คนสองมิติ” ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
โดยวิธีการคนสองมิตินั้นทำได้ด้วยวิธีหมุนธรรมจักร
เป็นพลังจาก “รักเพื่อให้” ดังได้กล่าวไว้ในตอนต้นนั้น
มหัศจรรย์ของขันธ์ห้าที่สั่นสะเทือนด้วยรักเพื่อให้
จะทำให้เกิด #พลังงานด้านบวก แบบที่โลกต้องการ
 
พลังงานบวกในแบบที่ “โลก” ต้องการก็คือ
คลื่นความถี่ทางพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ซึ่งชาวโลกเรียกกันสั้นๆว่า #พลังจิตด้านบวก
โดยจิตวิญญาณทุกรูปธรรมที่อาสาพระเจ้ามาเกิด
ก็เพื่อช่วยกันชวนกันร่วมกันหมุนธรรมจักรให้เต็มกำลัง
เพื่อผลิตสร้างพลังงานที่สะอาดและบริสุทธิ์ออกมา
ด้วยการใช้อายตนะกับขันธ์ห้าของจิตหยาบที่ตนมีอยู่
เป็นพฤติกรรมด้านบวกให้เกิดขึ้นในสองมิติให้ได้
นั่นคือมโนกรรมกับกายกรรมและวจีกรรมที่เป็นคำพูด
ตามคำกล่าวที่ว่า #จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว นั่นเอง
 
พลังงานจากขันธ์ห้าในรูปคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก "ด้านบวก"
จะเป็นผลกรรมในมิติทางพลังงานแบบที่โลกต้องการ
ก็ต่อเมื่อคุณใช้ความรักเพื่อให้ด้วยจิตใจบริสุทธิ์เท่านั้น
เช่น เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เป็นต้น
ผ่านการสั่นสะเทือนด้วยความอดทน อดกลั้นและอภัย
โดยไม่มีให้เพื่อตนเองเพื่อกูหรือเจาะจงว่าจะให้ใคร
ซึ่งเป็นการผลิตพลังงานใหม่ขึ้นมาแบบมีเจ้าของนั่นเอง
 
ถ้าพลังงานที่ผลิตขึ้นมาแล้วมีเจ้าของ
พลังงานนั้นจะไม่บริสุทธิ์และไม่สะอาดอย่างแท้จริง
มันจะเป็นได้แค่ #พลังงานกรรม ของใครของคนนั้น
ผลิตสร้างออกมาแล้วมันจะล่องลอยอยู่ในอวกาศ
เพื่อรอให้เจ้าของตามที่ระบุไว้ตายแล้วกลับมาเกิดใหม่
มาแสดงความรับผิดชอบเพื่อชำระ “ขยะพลังงาน” นั้นทิ้ง
ตามคำกล่าวที่ว่า #กรรมใครคนนั้นกำ ใครทิ้งคนนั้นเก็บ
เพราะในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณนั้น
ถ้วนทุกสิ่งล้วนเป็นสัจจะความจริงทั้งหมดทั้งสิ้น
 
การแสดงความรับผิดชอบก็คือ
การเกิดใหม่เพื่อกลับมาชดใช้กรรมนั้นด้วยบทเรียนเดิม
กับการเกิดใหม่เพื่อชดใช้กรรมดีตามที่ตนร้องขอเอาไว้
เพราะมีแต่การชดใช้เท่านั้นที่จะทำให้ขยะพลังงาน
ที่พวกคุณสร้างไว้ในอดีตชาติแตกสลายหายไปหมดได้
เพราะพลังงานกรรมมันเป็นพลังงานที่มีมวลหยาบๆ
ซึ่งโลกอันหมายถึงทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในระบบโลก
ไม่อาจจะจับฉวยหรือหยิบเอาไปใช้โดยพละการได้
 
ถ้าพวกคุณต้องการผลิตพลังงานด้วยขันธ์ห้า
ให้เป็นพลังงานสะอาดตามแบบที่โลกต้องการ
มิใช่พลังงานกรรมแบบที่คุณต้องการหรือว่าอุทิศให้ใคร
เมื่อคุณทำบุญสุนทานก็อย่าอธิษฐานขอสิ่งแลกเปลี่ยน
จงอย่าตั้งจิตอุทิศส่วนบุญกุศลนั้นเป็นส่วยเพื่อช่วยใคร
เพราะผลลัพธ์ทางพลังงานที่เกิดขึ้นนั้นจะไม่สะอาด
คำว่า “ไม่สะอาด” หมายถึงพลังงานนั้นจะมีเจ้าของ
เมื่อมีเจ้าของแสดงว่ามันเป็นสมบัติส่วนตัวมิใช่สาธารณะ
 
คำว่ามิใช่ของสาธารณะคือไม่เป็นธรรมชาติ
เพราะของธรรมชาติหมายถึงสิ่งที่เป็นสากลไม่มีเจ้าของ
ตัวอย่างเช่นก๊าซออกซิเจนที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก
ช่วยกันผลิตพลังงานด้านบวกป้อนให้โลกนำไปใช้
จากกระบวนการหมุนธรรมจักรร่วมกันในยามตื่น
เพื่อช่วยให้อะตอมของธาตุออกซิเจนภายในแกนโลก
ระเบิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่แบบ Nuclear Fission
ทำให้แกนโลกบิดตัวแล้วคายก๊าซออกซิเจนออกมา
โดยก๊าซออกซิเจนที่แทรกซึมขึ้นมายังพื้นผิวโลกนั้น
ได้จากทุกสรรพสิ่งที่มีชีวิตร่วมด้วยช่วยกันผลิตขึ้นมา
เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าความรักสร้างปรากฏการณ์นี้ได้
จึงไม่มีใครแสดงความเป็นเจ้าของหรือจองไว้ให้ใคร
ก๊าซออกซิเจนที่ทุกคนต้องหายใจที่มีในอวกาศโลก
จึงเป็นสมบัติสาธารณะเป็นสิ่งธรรมชาติตลอดมา
 
โชคยังดีที่จนกระทั่งปัจจุบันนี้
ไม่เคยมีใครรู้ความจริงที่เรากล่าวนี้มาก่อน
มิเช่นนั้นแล้วมนุษย์จะกระทำอุตริแบ่งเขตพื้นที่
เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของก๊าซออกซิเจน
แบบของกูของมึงจนต้องแย่งอากาศหายใจกันแน่ๆ
จนถึงขั้นทำสงครามแย่งก๊าซออกซิเจนกันก็ไม่รู้ได้
 
เพราะศัตรูมนุษย์ได้บิดเบือนผ่านคนนำทางตาบอด
โดยสอนให้พวกคุณเสพติดกิเลสจนเคยตัวไปแล้ว
แม้กระทั่งการทำบุญสุนทานก็ยังชวนให้ทำด้วยกิเลส
พลังงานที่จิตหยาบสร้างขึ้นจึงเป็นพลังงานไม่สะอาด
พลังงานไม่สะอาดจึงเป็น “ขยะพลังงาน” ที่รกโลก
ซึ่งโลกเองและทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่จริงในระบบโลกนั้น
ไม่อาจนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้นอกจากเจ้าของมัน
ที่จะต้องตายในชาตินี้แล้วมาชำระให้สิ้นในชาติหน้า
 
ทั้งผลกรรมทางพลังงานที่เกิดจากกรรมจักร
ซึ่งพวกคุณก่อกันขึ้นมาในทุกวินาทีของทุกวี่วัน
มันก็เป็นพลังงานกรรมที่สกปรกและเป็นขยะรกโลก
เพราะโลกและทุกสรรพสิ่งเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้
นอกจากเจ้าของต้องกลับมาชดใช้กรรมนั้นในชาติหน้า
 
นี่จึงเป็นที่มาของการปฏิบัติธรรมแต่เป็น “ปฏิบัติทำ”
เพราะถูกศัตรูผู้ไม่หวังดี “บิดเบือน” สัจธรรมความจริง
ด้วยการหลอกคุณให้หมั่นทำบุญสุนทานก่อกรรมดี
แล้วใส่รหัสจิตเข้าไปให้ผลกรรมที่เกิดนั้นมีเจ้าของไว้
เมื่อเป็นพลังงานที่โลกเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
พวกศัตรูของโลกที่เดินทางมาจากดาวอื่นหรือถิ่นอื่น
ก็จะรอดปลอดภัยจากอำนาจแม่เหล็กโลกที่เข้มข้นได้
เพราะถ้ามนุษย์ใช้กิเลสทำบุญหรือมีชีวิตติดกิเลส
พลังงานที่จะใช้ระเบิดในแกนโลกก็จะลดน้อยลงไป
ยังผลให้ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลกลดลงไปด้วย
 
พระเจ้าทรงกำหนดให้ความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
ทำหน้าที่เป็นเสมือนรั้วป้องกันโลกและทุกสิ่งในระบบ
ให้อยู่รอดปลอดภัยจากผู้รุกรานที่มาจากต่างแดนดาว
โดยที่แดนดาวแต่ละดวงจะมีค่าความเข้มไม่เท่ากัน
สิ่งมีชีวิตในระบบดาวแต่ละดวงมีกายภาพไม่เหมือนกัน
 
ดังนั้น
สิ่งมีชีวิตผู้บุกรุกโลกที่มาจากถิ่นอื่นดวงอื่น
จึงพยายามทำทุกสิ่งผ่านชาวโลกเองให้ช่วยเหลือ
เพื่อให้พวกตนอยู่รอดปลอดภัยในระบบโลกให้ได้
สิ่งแรกที่พวกเขาลงมือทำอยู่และทำมานานแล้ว
นั่นคือหลอกให้พวกคุณเสพติดกิเลสดังกล่าว
ทำให้พวกคุณล้มเหลวในหน้าที่ตามพันธะสัญญา6
โดยเฉพาะบทบาทของ เพื่อนร่วมงานกับโลก”
 
ล้มเหลวแรกก็คือเสพติดกิเลส
จนหมุนธรรมจักรในตนเองไม่สำเร็จ
ล้มเหลวที่สองก็คือเป็นเงื่อนไขด้านบวกให้กันไม่ได้
พฤติกรรมที่แสดงออกต่อกันจึงเป็นแต่ด้านลบ
จนเป็นเงื่อนไขลบที่นำไปสู่การหมุนกรรมจักรแทน
 
ล้มเหลวที่สามก็คือ
โลกเหวี่ยงหมุนช้าลงไปเรื่อยๆจนเสียสมดุล
เพราะชาวโลกมีแต่กิเลสจนจิตสามนึกมนุษย์ตกต่ำ
มนุษย์โลกมีอายุขัยสั้นลงเพราะต้องทิ้งโลกไป
เพื่อนำพาจิตวิญญาณที่เสียสมดุลไปรักษากันในนรก
เมื่อรักษาหายแล้วค่อยกลับมาเกิดใหม่มีภพชาติใหม่
มนุษย์จึงเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกไม่ได้เพราะเหตุนี้
 
ทุกวันนี้
คุณมองดูท้องฟ้าเหนือบรรยากาศโลกกันก็ได้ว่า
ท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยเมฆหมอกสีดำสกปรกที่น่ากลัว
ซึ่งเป็นมายาของพลังงานกรรมที่เป็นขยะดังว่านี้ทั้งสิ้น
ปฏิบัติการชำระขยะโลกทั้งผู้สร้างขยะด้วยจึงต้องเกิด
เพื่อจะเปลี่ยนโลกให้มีฟ้าสีทองผ่องอำไพให้จงได้
 
ด้วยเหตุนี้เอง
คนนำทางตาบอดที่มีศัตรูของมนุษย์อยู่เบื้องหลัง
จึงทั้งหลอกลวงชวนเชื่อทั้งบิดเบือนคำสอนพระศาสดา
จนพาพวกคุณที่โง่ง่ายหลงทางนิพพานกันตลอดมา
ในทำนองที่ว่าชวนให้ “นิพพานแบบตาลยอดด้วน”
ด้วยการหลอกให้ไปลอยค้างกันอยู่บนสวรรค์มายา
หลอกว่าบนนั้นเป็นดินแดนของผู้ตายแล้วไม่เกิดอีก
การตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีกก็หลอกว่านิพพานแล้ว
ทั้งๆที่เป็นแค่การหลุดลอยไปห้อยอยู่เหมือนค้างคาว
 
โดยให้นิยามคำว่า “นิพพาน” แบบผิดๆตลอดมา
นิพพานในความหมายที่ผิดของศัตรูที่หลอกพวกคุณ
จึงเป็นเพียงแค่ตายแล้วหายตัวไปจากโลกนี้เฉยๆ
หายไปโดยไม่มีใครรู้เห็นว่าคนนั้นย้อนกลับมาเกิดอีก
นี่จึงหายไปแบบ “ตาลยอดด้วน” โคนมีแต่ปลายหาย
อย่างนี้เรียกว่า #ตายแล้วนิพพาน แบบมอดมารไงล่ะ
 
ความจริงเรื่องนิพพานที่ถูกบิดเบือนไปก็คือ
พวกคุณต้องนิพพานกิเลสในจิตหยาบให้สิ้นก่อนตาย
คำว่านิพพานกิเลสก็คือ “ดับการเกิดดับ” ของกิเลส
เมื่อดับกิเลสได้จิตหยาบก็จะต้องไม่เกิดกิเลสขึ้นมาอีก
ซึ่งนิพพานก่อนตายนี้เป็นหน้าที่ของจิตหยาบโดยแท้
 
หากจิตหยาบว่างไปจากกิเลสเพราะนิพพานกิเลสได้
คุณก็จะไม่ต้องตายไม่ต้องมีชาติหน้าจะมีชีวิตอมตะได้
เพราะไม่ต้องละกายสังขารและละทิ้งหน้าที่ประจำโลก
เพื่อเปิดโอกาสให้จิตวิญญาณที่เสียสมดุลได้ไปตกนรก
ในการรักษาจิตวิญญาณด้วยกระบวนการไซโคโชว์
โดยให้ทีมงานท่านยมบาลผู้เชี่ยวชาญช่วยเยียวยาให้
 
เรื่องนิพพานประการที่สองที่ถูกบิดเบือนก็คือ
การนิพพานหลังตายไปจากโลกนี้แล้ว
จิตวิญญาณพวกคุณจะต้องหลุดพ้นกลับบ้าน
โดยหลุดพ้นออกไปจากโลกและเอกภพอันไพศาลนี้
เพื่อกลับคืนสู่บ้านเกิดของจิตวิญญาณที่คุณจากมา
ซึ่งเรียกว่า #แดนสุญตา หรือแดนนิพพานนั่นแหละ
ซึ่งคำว่านิพพานหลังตายแปลว่า “กลับบ้านเกิด” ได้
พวกศัตรูเอานิพพานสองแบบคือก่อนตายกับหลังตาย
มาปรุงเป็นเกาเหลาจนหลอกได้แม้คนนำทางตาบอด
ให้หลงทางนิพพานและเข้าใจผิดกันมาตลอด
 
พวกคุณจะต้องรู้ว่า
เมื่อคุณตายไปจำนวนเพื่อนร่วมงานกับโลกก็ลดลง
ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกก็จะมีโอกาสลดลงไปด้วย
เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมประจำโลกคือพวกคุณนั้น
ต้องทิ้งหน้าที่ไปจากโลกเพื่อรักษาฟื้นฟูตนเองกัน
 
นอกจากนั้น
ศัตรูยังหลอกให้มนุษย์อยากหลุดไปขึ้นสวรรค์มายา
ด้วยการทำให้เชื่อว่าอยู่บนนั้นดีกว่าโลกมนุษย์
เพราะโลกมนุษย์นั้นมีแต่ความทุกข์ทรมาน
การเกิดแก่เจ็บตายที่ตนหลอกกระทำต่อมนุษย์ไว้
ก็หยิบยกเอามาเน้นให้เห็นว่าเป็นทุกข์ทั้งสิ้น
ซึ่งเป็นการหลอกมนุษย์ให้ละวางหน้าที่สำคัญ
ที่จิตวิญญาณขันอาสาพระเจ้าเข้ามาทำในระบบโลก
ให้อยากเป็นเทพเทวดาที่หลอกว่าสุขสบายกว่าแทน
 
มิหนำซ้ำยัง “บิดเบือน” การนั่งกรรมฐานสมาธิ
ที่พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติเมื่อตอนก่อนบรรลุธรรม
เพื่อการเจริญสมาธิให้จิตหยาบมีพลังคือเป็นสมถะ
ด้วยการกดข่มมันไว้ให้เกิดความสงบชั่วคราวก่อน
แล้วเจริญปัญญาเพื่อฝึกสมองร่วมกับจิตในการคิด
เรียกว่าปฏิบัติสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน
แต่มารหลอกคนนำทางตาบอดพวกนักพรตนักบวชว่า
การนั่งหลับตาเพ่งจิตข่มจิตไปเรื่อยๆแบบกรรมฐาน
สามารถทำให้นิพพานคือไปสวรรค์มายาที่อยากไปได้
 
เราจะกล่าวความจริงในพระนามของพระเจ้าว่า
กรรมฐานตามแบบมารที่คนนำทางตาบอดฝึกให้ทำ
มันผิดวัตถุประสงค์และรูปแบบที่พระพุทธองค์ปฏิบัติ
พวกมารนำเอามาแค่เปลือกนอกเท่าที่ตาเห็นเท่านั้น
เพราะพวกมารที่เป็นจิตวิญญาณโสโครกทั้งหลาย
ก่อนจะตายไปเป็นจิตวิญญาณของพวกคนยักษ์
ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างคนกับแองเจ้ลผู้บุกรุกโลก
ที่ทำให้จิตวิญญาณของมนุษย์กลับมาเกิดใหม่ไม่ได้
เพราะพวกจิตวิญญาณผู้บุกรุกแย่งชิงการเกิดแทน
จึงถูกชำระทิ้งให้จมน้ำตายในยุคของท่านโนอาห์
เมื่อตายแล้วจึงเป็นจิตวิญญาณที่ล่องลอยไปมา
เพราะมาเกิดใหม่ไม่ได้จะกลับบ้านแดนสุญตาก็ไม่ได้
เนื่องจากไม่ได้ถือพันธะสัญญาหกเหมือนมนุษย์โลก
เป็นได้แค่ล่องลอยเป็นขยะอยู่ในระบบโลกเท่านั้น
 
เหตุที่พวกมารคือจิตวิญญาณโสโครกหลอกมนุษย์
ก็เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตนเองแท้ๆ
หลอกให้มนุษย์ตายไปขึ้นสวรรค์มายาหรือว่าลงนรก
เพื่อจะลดจำนวนเครื่องยนต์แห่งกรรมในระบบโลก
จะได้ทำให้ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลกลดลงแล้ว
ยังหลอกให้นั่งกรรมฐานที่ได้แค่สมาธิแต่ปัญญาไม่ได้
 
#สมาธิที่ได้คือการนั่งเพ่งจิตข่มจิตเป็นเวลานานๆ
ด้วยการพยายามไล่จับลิงที่ซุกซนให้อยู่หมัด
ซึ่งเป็นสันดานของจิตหยาบที่มันไม่เคยหยุดอยู่นิ่ง
#ปัญญาไม่เกิดเพราะนึกด้วยจิตคิดด้วยสมองไม่เป็น
เพราะขณะนั่งปฏิบัติไม่ได้ฝึกการคิดด้วยจิตปัญญาเลย
แล้วจะเอาปัญญาหรือความฉลาดมาจากไหนได้
 
การปฏิบัติกรรมฐานอย่างเคร่งครัดของพวกคุณ
ปลายทางจึงไปจบอยู่ที่สวรรค์มายาซึ่งไม่มีอยู่จริง
จิตวิญญาณจะสมมติตนเองว่าเป็นเทพเป็นเทวดา
จะสมมติว่ามีทิพยวิมานมีเมืองแก้วที่หรูหราอยู่อาศัย
ตามกิเลสตัณหาที่ถูกหลอกให้คล้อยตามเชื่อตาม
จนถูกบันทึกลงไปในสัญญาขันธ์โดยจิตใต้สำนึก
แล้วไปนั่งกรรมฐานตามจริตของตนอยู่บนนั้นอีก
นั่งกรรมฐานแล้วก็จะแผ่เมตตาบารมีออกมาดังเดิม
เหมือนตอนที่อยู่บนโลกฝึกไว้อย่างไรก็จะทำแบบนั้น
 
จิตวิญญาณพวกคุณที่หลุดลอยไปอยู่บนสวรรค์มายา
จึงลอยขึ้นไปนั่งสมาธิหมู่กันอยู่บนนั้นเป็นชั้นๆไป
โดยลดหลั่นไปตามน้ำหนักตัวของจิตวิญญาณ
รูปธรรมใดที่มีผลกรรมติดตัวอยู่มากกว่า
รูปธรรมนั้นจะมีน้ำหนักตัวมากกว่าก็จะลอยต่ำกว่า
รูปธรรมใดที่มีผลกรรมน้อยกว่า
รูปธรรมนั้นจะมีน้ำหนักน้อยกว่าก็จะลอยได้สูงกว่า
ซึ่งเป็นที่มาของสวรรค์มายาอย่างมากมายหลายชั้น
 
จิตวิญญาณของคนที่เชื่อว่าสวรรค์มีจริงและอยากไป
จะเป็นจำพวกที่หลงทางนิพพานไปทางนั้นทั้งสิ้น
เพราะความเชื่อและความอยากของจิตสามนึก
มันจะกระตุ้นให้จิตใต้นึกของจิตวิญญาณตนเอง
ทำการเนรมิตสิ่งนั้นขึ้นมาให้จากที่ไม่มีอยู่จริง
ให้เกิดเป็นมายาขึ้นมาเหมือนมันมีอยู่จริงสนองให้
เสมือนว่าเป็นการเนรมิตเพื่อหลอกตัวเองโดยแท้
 
เมื่อไปนั่งสมาธิแบบรวมหมู่กันบนสวรรค์มายาแล้ว
พวกมารที่เป็นจิตวิญญาณผีโสโครกก็จะคอยดักดูด
พลังงานด้านบวกที่เป็นพลังงานสะอาดที่เกิดขึ้น
จากกรรมฐานสมาธิที่เทพเทวดาร่วมกันแผ่ออกมา
ตามสมการพลังงานของพระบิดาคือ ∑βₓ ที่คุณรู้อยู่
โดยรูปธรรมทางพลังงานนามสมมุติว่าเทพเทวดา
แต่ละรูปธรรมจะทำหน้าที่เป็น “คนงานแสง” ให้มาร
แทนที่โลกจะได้รับพลังงานสะอาดจากพวกคุณไป
กลับจะเป็นพวกจิตวิญญาณผีโสโครกรับเอาไปหมด
 
เมื่อไม่กี่ปีมานี้จิตวิญญาณที่ได้ขึ้นสวรรค์มายา
ที่หลงทางไปเป็นคนงานแสงกันอยู่บนนั้นน้อยลง
เพราะคนส่วนใหญ่บนโลกเสพติดกิเลสกันหนักมาก
ทำให้มีคนชอบปฏิบัติธรรมแท้จริงด้วยกิเลสลดลงไป
คนส่วนใหญ่มีจิตสามนึกตกต่ำจึงลงนรกกันมากกว่า
พวกมารจึงต้องการคนงานแสงหรือกรรมกรแสงเพิ่ม
แผนการสร้างคนงานแสงรุ่นใหม่จึงต้องเริ่มขึ้นอีกครั้ง
 
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
เพื่อวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า
 
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
28/08/2566