30 มกราคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 30/01/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

การมีปากแล้วไม่ยอมใช้พูดเพื่อสื่อสารกันกับคนอื่น

มันจะทำให้คุณสร้างความสัมพันธ์กันในสังคมไม่ได้

 

การมีปากแล้วใช้ปากไม่เป็นโดยนึกจะพูดแล้วก็พูด

ไม่ยอมคิดไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ไม่คิดให้ดีก่อนที่จะพูด

โอกาสพูดแล้วทำให้ผิดหูผิดใจคนอื่นก็มีค่อนข้างสูง

 

การมีหูแล้วใช้หูไม่เป็นโดยไม่ยอมรับฟังคนอื่นเลย

จะทำให้พลาดโอกาสในการรับรู้รับเอาสิ่งดีๆสิ่งใหม่ๆ

จากใครหลายคนที่ปรารถนาดีหยิบยื่นมาให้คุณไปได้

 

การมีตาแล้วใช้ตาไม่เป็นโดยไม่ฉลาดมองโลก

จะทำให้คุณพลาดโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งดีๆไปมากมาย

ซึ่งโอกาสที่ดีนั้นมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไปไม่ย้อนคืน

ยิ่งถ้าคุณสร้างโอกาสดีๆให้ตนเองไม่เป็นด้วยแล้ว

ชีวิตของคุณก็จะเป็นคนเสมือนไร้โอกาสทั้งที่มีโอกาส

เหตุเพราะใช้โอกาสหรือคว้าโอกาสที่มีเข้ามาไม่เป็น

เพียงแค่ตาไม่ไวต่อโอกาสดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคุณ

 

ถ้าคุณเป็นคนที่บกพร่องในด้านการใช้อายตนะ

ที่เป็นกลไกหลักคือปาก ตา และหู รวมสามช่องทางนี้

นั่นคือใช้มันไม่เป็นหรือใช้มันให้เกิดประโยชน์ไม่ได้

ทั้งๆที่เป็นอายตนะที่ดีและพร้อมให้คุณใช้งานอยู่แล้ว

จึงไม่ต่างจากคุณเป็นคนพิการด้านอายตนะเหล่านี้

 

ตัวอย่างเช่น

#ถ้าใช้ปากพูดกับคนอื่นไม่เป็น

#ใช้หูสองข้างรับฟังคนอื่นไม่ได้

#ไม่ใช้ตาสองข้างมองโลกรอบข้างให้กระจ่างใส

ตัวคุณนั้นก็ไม่ต่างจากคนเป็นใบ้หูหนวกและตาบอด

ซึ่งพวกเขาเป็นคนมีเวรมีกรรมติดตัวมาในชาติปัจจุบัน

เพื่อ “ชำระกรรม” ที่จิตหยาบตัวแทนจิตวิญญาณในอดีต

เคยกระทำผิดบาปต่อจิตวิญญาณตนเองมาก่อนแล้ว

จึงต้องมารับบทบาทเป็นคนพิการด้านอายตนะในชาตินี้

 

สำหรับใครที่มิได้มีหน้าที่ชำระกรรมจากอดีต

ในแบบของคนพิการด้านอายตนะในภพชาตินี้

แต่ทำตนเป็นเสมือนคนตาบอดเป็นใบ้หรือว่าหูหนวก

ก็นับว่าเป็นคนที่ #เสียชาติเกิด โดยแท้

 

พวกคุณทั้งหลายจักต้องจดจำเอาไว้เสมอว่า

ตาหูจมูกปากหรือลิ้นและกายสัมผัสรวมทั้งจิตปัจจุบัน

จะคอยทำหน้าที่เป็นกลไกอายตนะที่สำคัญ

เพื่อสัมผัสรับรู้สิ่งเร้าต่างๆจากภายนอกรายรอบตัวคุณ

รวมทั้งจะคอยรับรู้สิ่งเร้าต่างๆจากจิตภายในเองด้วย

ซึ่งอายตนะภายนอกและจิตภายในรวมทั้ง 6 อย่างนี้

คุณจะปล่อยให้มันทำงานของมันไปตามปกติไม่ได้

 

คำว่า “ทำงานตามปกติ” หมายถึงให้มันทำอย่างอิสระ

โดยไม่ใช้จิตกำหนดเพื่อควบคุมสั่งการไม่ได้เลย

แม้ว่าธรรมชาติของอายตนะทั้งหกอย่างเหล่านี้

มันทำหน้าที่ได้เป็นอัตโนมัติตามคุณสมบัติกันอยู่แล้ว

เช่น ตาสองข้างพระเจ้าทรงสร้างเอาไว้ให้คุณมองเห็น

หูสองข้างพระเจ้าก็ทรงสร้างเอาไว้ให้คุณได้ยินได้ฟัง

ปากที่มีสองลิ้นคือลิ้นคนกับลิ้นไก่มันก็ล้วนมีหน้าที่อยู่

ซึ่งลิ้นคนก็เอาไว้กินอาหารส่วนลิ้นไก่นั้นเอาไว้ใช้พูดจา

ถ้าไม่กำกับควบคุมไว้อายตนะพวกนี้จะมีปัญหาเสมอ

 

ปัญหาที่เกิดจากความบกพร่องในการใช้งานมันนั้น

ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากต้นเหตุ 2 ประการก็คือ

 

1.เหตุจากนิสัยทางจิตไม่ดีหรือสันดานเคยตัว

ด้วยการเป็นคนชอบแส่ชอบเสือกชอบสนใจเรื่องคนอื่น

ซึ่งเป็นการ “เกี่ยวกรรม” กับผู้คนรอบข้างของตนไปทั่ว

ทั้งยัง “ก่อเวร” ให้กับจิตวิญญาณตนต้องรับผิดชอบด้วย

 

2.เหตุจากจิตในปัจจุบันขณะตกเป็นทาสกิเลสอยู่

จิตหยาบนั้นมันจะบงการให้อายตนะของคุณ

กระทำไม่ถูกต้องต่อคนรอบข้างได้โดยง่าย

ซึ่งเป็นการกระทำผิดบาปต่อจิตวิญญาณตนเองด้วย

 

ดังนั้น

พวกคุณจักต้องฝึกฝนตนเองในการใช้อายตนะทั้งหก

ด้วยการใช้มันให้ได้ ใช้ให้เป็นและใช้มันให้ถูกต้อง

ด้วยการสร้างนิสัยทางจิตที่เหมาะสมเอาไว้เป็นประจำ

เพื่อการลดละเลิกสันดานทางจิตที่ไม่ดีที่มีอยู่นั้นให้สิ้น

 

วิธีการฝึกจิตในการใช้งานอายตนะเหล่านี้ก็คือ

#คุณต้องเป็นผู้กำหนดจิตในการเลือกที่จะรับรู้

#สิ่งที่ตาหูจมูกกายสัมผัสและสิ่งที่นึกโดยไม่มีสิ่งเร้า

 

โดยคุณต้องเลือกที่จะรับรู้เพื่อเรียนรู้สิ่งนั้นให้ได้รู้

ถ้ามันเป็นสิ่งใหม่เรื่องใหม่หรือความรู้ใหม่ในชีวิตคุณ

โดยมีเงื่อนไขว่าสิ่งนั้นเรื่องนั้นจะต้องเป็นความรู้

ที่อาจเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของคุณได้

มิใช่เรื่องส่วนตัวของเขาหรือมิใช่ความลับของคนอื่น

คุณจะได้ไม่กระทำผิดบาปในข้อหา “ก้าวล่วง” ผู้อื่น

 

จงอย่าปล่อยให้ตาของคุณมันมองของมันเอง

จงอย่าปล่อยให้หูของคุณมันฟังของมันเอง

จงอย่าปล่อยให้ปากของคุณมันพูดของมันเอง

โดยให้เป็นไปตามนิสัยสันดานและกิเลสของคุณ

เป็นผู้กำหนดบทบาทให้มันเลือกทำอย่างอิสระเสรี

ซึ่งคุณจะฝึกทักษะมันได้ตั้งแต่วัยสามขวบนั่นแหละ

เพราะกฎแห่งกรรมพวกคุณเริ่มทำงานตั้งแต่บัดนั้น

เนื่องจากการล่วงเกินผู้อื่นด้วยอายตนะโดยจิตคุณนั้น

มันคือการทำผิดด้วยจิตหยาบและกายหยาบ

ในอันที่จะทำให้จิตวิญญาณคุณผิดบาปด้วยเสมอ

 

ด้วยเหตุนี้เอง

คุณจึงต้องรู้จักการกำหนดจิต

จงอย่าให้จิตเป็นผู้กำหนดคุณ

หากคุณปรารถนาจะนิพพานกิเลสก่อนตาย

เพื่อตายแล้ว “จิตวิญญาณ” จะได้นิพพานด้วย

คือการหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตาที่คุณจากมา

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

30/01/2024




สวัสดีวันอังคาร 30/01/2024


 

29 มกราคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 29/01/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

การปฏิบัติ #ธรรม กับการปฏิบัติ #ทำ ไม่เหมือนกัน

เพราะคำว่า “ธรรม” คือตัวแทนของคำว่า “ธรรมชาติ”

โดยธรรมชาติก็คือสิ่งที่เป็นอยู่มีอยู่แสดงอยู่ดำรงอยู่

รายรอบตัวคุณซึ่งพระผู้สร้างทรงออกแบบกำหนดไว้

อันเป็นคุณสมบัติของตัวตนแก่นแท้ในแต่ละสรรพสิ่ง

ซึ่งแสดงออกมาให้ปรากฏเป็นมิติแห่งมายาภายนอก

ที่พวกคุณสามารถใช้กลไกอายตนะสัมผัสรู้ดูเห็นได้

 

ตัวอย่างเช่น

ปกติแล้วน้ำในธรรมชาติจะมีคุณสมบัติเป็นของเหลว

แต่เมื่อน้ำนั้นมีอุณหภูมิลดต่ำลงกว่าสี่องศาเซลเซียส

น้ำก็จะเริ่มเย็นลงจนส่วนพื้นผิวจะเริ่มเย็นเป็นน้ำแข็ง

 

สภาวะธรรมบทนี้ก็คือ

ถ้าจิตใจคุณที่เป็นพลังงานซึ่งไม่ต่างจาก “น้ำ”

สามารถรักษาความสงบเยียบเย็นเอาไว้ข้างในได้แล้ว

มายาของจิตซึ่งเป็นตัวแทนของแก่นแท้ของตัวคุณเอง

ในปัจจุบันขณะที่มันจะสำแดงออกมาหรือปรากฏให้เห็น

จะเป็นลักษณะอาการของคนที่สุขุมสงบเยือกเย็น

 

ในทางกลับกันถ้าจิตใจคุณ

ตกเป็นทาสการถูกยั่วยุหรือถูกกวนให้ขุ่นและทำให้ร้อน

มันก็จะเกิดอาการไม่ต่างไปจากน้ำที่ปกติเป็นของเหลว

ที่ถูกต้มด้วยไฟร้อนจนเกิดอาการ “เดือดพล่าน” รุนแรง

อาการที่จิตเดือดพล่านก็คือการเสียสมดุลไปในทางต่ำ

 

คำว่าเสียสมดุลไปในทางต่ำหมายถึง

จิตที่เป็นพลังงานนั้นจะสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำ

ซึ่งความถี่จะต่ำลงจากสภาวะปกติคือความสงบไปทันที

โดยจิตที่สั่นสะเทือนย่านความถี่ต่ำหรือ #จิตตก นั้น

มันคืออาการของคนที่กำลังปากสั่นมือสั่นหรือเนื้อตัวสั่น

คล้ายรถยนต์ที่เกิดอาการสั่นเพราะเครื่องยนต์ “รอบต่ำ”

จนต้องปรับจูนรอบเครื่องยนต์คันนั้นใหม่ให้สูงขึ้นนั่นเอง

อาการเครื่องสั่นรถยนต์สั่นนั้นมันจึงจะสมดุลตามปกติได้

 

สำหรับพวกคุณที่เป็น “คนสองมิติ” ก็เช่นกัน

หากเกิดอาการจิตตกเพราะสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำ

คุณก็ต้องยกระดับจิตหยาบในปัจจุบันขณะให้สูงขึ้นทันที

เพื่อค้ำจุนความสมดุลของจิตเอาไว้ให้มั่นคงให้จงได้

โดยจิตจะต้องไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งเร้าที่ทำให้จิตร้อน

เพราะถ้าจิตร้อนจนถึงจุดเดือดหรือจุดที่ “ควันออกหู” แล้ว

ความรุ่มร้อนที่เกิดขึ้นนั้นมันสามารถเผาทำลายทุกสิ่งได้

ซึ่งอาการแบบนี้แหละที่พวกคุณเรียกว่า #เกิดโทสะจริต

ที่ทำให้พวกคุณเปลี่ยนเป็นสัตว์ร้ายจนฆ่ากันตายได้เลย

 

ที่เป็น “สัตว์ร้าย” เพราะใช้สัญชาตญาณความก้าวร้าว

ขับเคลื่อนพฤติกรรมในสองมิติด้วยจิตหยาบที่คุณมีอยู่

เพราะเข้าถึงความฉลาดทางปัญญาของสมองทั้งสองซีก

และเข้าถึง “ความรักเพื่อให้” ในแบบของพระเจ้าไม่ได้

ซึ่งพวกคุณถูกออกแบบให้เป็น “มนุษย์” ผู้ที่มีจิตใจสูง

จึงแตกต่างจากสัตว์ประจำโลกอยู่หลายขั้นหลายขุมเลย

คำว่า “จิตใจสูง” แปลว่า คิดรู้เองได้ตามที่จิตกำหนด

โดยจิตจะสั่นสะเทือนในย่านความถี่สูงกว่าสัตว์ได้ตลอด

นั่นคือสามารถที่จะรักเพื่อให้ได้ตามสัญชาตญาณของตน

รวมทั้งยังสามารถจะรักได้จากการใช้เหตุผลด้วยเช่นกัน

ซึ่งสัตว์ประจำโลกทั้งหลายมันรักด้วยเหตุผลกันไม่เป็น

พวกเขาจะรักกันได้ก็ด้วยสัญชาติญาณเท่านั้นเอง

 

ดังนั้น

ถ้าพวกคุณรู้ว่าจิตวิญญาณแก่นแท้ของตัวคุณเอง

ข้นอาสาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้ามาเกิด

เพื่อทำหน้าที่ “คนตนเอง” ทั้งสองมิติให้เป็น #มนุษย์

ด้วยการยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบกับแก่นแท้

ที่เรียกว่า “จิตวิญญาณ” ให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้แล้ว

พวกคุณก็ต้องกระทำผ่าน #การหมุนธรรมจักรร่วมกัน

 

การเรียนรู้และฝึกฝนการหมุนธรรมจักรในตนเอง

รวมทั้งการเรียนรู้และฝึกฝนการหมุนธรรมจักรร่วมกัน

โดยใช้ชีวิตในสังคมแบบคนตาดีหูดีปากดีไม่ปลีกวิเวก

จึงจะเรียกว่าเป็นการ “ปฏิบัติธรรม” ที่ถูกต้องตรงจริงได้

เพราะคำว่า “ธรรม” ที่คุณปฏิบัติในการหมุนธรรมจักรนั้น

หมายถึง “ธรรมชาติ” ตามแบบที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้

มิใช่ธรรมวิปริตที่คนนำทางตาบอดถูกมอดมารหลอกลวง

จนยังผลให้คุณ “หลงทางนิพพาน” แบบ #ตาลยอดด้วน

มาจนถึงทุกวันนี้ซึ่งนับได้หลายพันปีผ่านมาแล้วนั่นแหละ

คำว่า “ปฏิบัติธรรม” จึงเพี้ยนไปเป็น “ปฏิบัติทำ” แทน

 

เพราะคนนำทางตาบอดสาวกของมาร

ชักชวนพวกคุณที่เป็นคนชอบ “ธรรม” ให้ทำตามตัวบท

ที่พวกตนกำหนดมันขึ้นมาเองด้วยการบิดเบือนพระวจนะ

เช่น สอนให้บวชที่กายภายนอกมากกว่าสอนให้บวชที่ใจ

สอนให้ฝักใฝ่พิธีกรรมมากกว่าจะให้แสงสว่างทางปัญญา

ด้วยการจูงใจเพื่อชวนให้เชื่อตามให้ท่องธรรมเพื่อทำตาม

โดยห้ามคิดตามห้ามถามห้ามสงสัยให้เชื่อตามสถานเดียว

ซึ่งมีคำฮิตติดหูหรูดูเริ่ดว่า “ปัจจัตตัง” กับ “อจินไตย”

ที่คนนำทางตาบอดใช้ในกรณีที่ตนอธิบายมันไม่ได้เสมอ

 

ส่วนคำว่า “ทำ” นั้นเป็นตัวแทนของคำว่า “ธรรมดา”

เพราะที่มาของสัจธรรมที่พวกคุณถูกชวนให้ปฏิบัติตามนั้น

มิได้เป็นหลักสัจธรรมแท้จริงจากธรรมชาติของพระเจ้า

มิได้เกิดจากการเข้าถึงความจริงของพระองค์ด้วยความรัก

กับความฉลาดของจิตตปัญญาที่ทรงติดตั้งเอาไว้ให้แล้ว

แต่เป็นการทำตามความเชื่อในความรู้ที่ไม่ตรงจริง

เพราะถูกบิดเบือนและปิดบังความจริงนั้นเอาไว้นั่นเอง

 

จิตวิญญาณพวกคุณคือฝูงแกะจึงติดค้างกันอยู่ในเอกภพนี้

ไม่สามารถผ่านประตูคอกกลับไปหาผู้ให้กำเนิดของตนได้

เพราะจำทางกลับคอกไม่ได้และจำผู้ให้กำเนิดของตนมิได้

เชื่อกันว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของตน

เพราะไม่รู้ว่าธรรมชาติของตนนั้นเมื่อมาเกิดแล้วไม่ต้องตาย

 

เชื่อว่า “ทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างสวรรค์มายาเบื้องบน”

เพราะไม่รู้ว่าจิตวิญญาณของตนนั้นมีสวรรค์นิรันดรอยู่แล้ว

พวกตนขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีกันเท่านั้น

มิได้มีหน้าที่มาสร้างสวรรค์วิมานอะไรแข่งกับพระเจ้ากันอีก

ธรรมชาติคือการมาเกิดเพื่อสร้างตนเองให้สมดุลเท่านั้น

เพราะถ้าตนเองสมดุลโลกและเอกภพทั้งระบบก็สมดุล

ซึ่งความสมดุลจะเกิดได้พวกคุณก็ต้องปฏิบัติธรรม

นั่นคือธรรมะที่เป็น “ธรรมชาติ” มิใช่ “ทำ” ที่เป็นธรรมดา

ตามการชี้นำของ “คนนำทางตาบอด” ผู้ไม่รู้ทันผีโสโครก

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

29/01/2024





สวัสดีวันจันทร์ 29/01/2024


 

23 มกราคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 23/01/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

คุณจะเดินตามคนนำทางตาบอดที่มองไม่เห็นไม่ได้

เพราะเขาสามารถจะนำพาคุณเดินหลงทิศผิดทาง

หรืออาจพาคุณย่างเดินอย่างสะเปะสะปะวกวนไปมา

ไม่ว่าจะเป็นขึ้นเขาลงห้วยหรือพลัดตกลงไปในเหวลึก

ตกลงไปในบ่อย่ำองุ่นหรือพลัดตกลงไปในบึงไฟก็ได้

โดยคุณจะไม่อาจถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการได้

เพราะคนนำทางเขามองไม่เห็นทางที่ย่างเดิน

 

ยิ่งถ้าพวกคุณอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจว่า

คนนำทางนั้นมีจิตใสใจสวยรวยบริสุทธิ์ดุจดั่งสีอาภรณ์

เห็นว่าเขามี “ไม้เท้า” ช่วยค้ำยันและคลำทางที่ย่างเดิน

เหมือนมีคัมภีร์ของพระศาสดาเป็นแผนที่เดินทางแล้ว

คุณจะเชื่อตามและก้าวเดินตามไปอย่างว่าง่ายไม่ได้เลย

เพราะว่าไม้เท้าที่เห็นนั้นอาจเป็นไม้เท้าที่ผุพังเปราะบาง

ซึ่งคนนำทางจะยึดถือเป็นหลักอย่างมั่นคงถาวรก็ไม่ได้

โดยไม้เท้านั้นจะหักจนใช้การไม่ได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

 

ที่สำคัญก็คือ

ขณะที่คุณเองล้วนมีตาสองข้างที่ยังใช้การได้ดีอยู่

ตาคุณยังมิได้พิการอะไรมันยังมองเห็นทุกสิ่งได้ชัดเจนอยู่

แต่กลับแสร้งทำเป็นหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอดไป

โดยยอมย่างเดินในความมืดนั้นคุณว่าผิดธรรมชาติไหม

 

เพราะในยามปกตินั้น

แม้ว่าคุณจะจำทางที่จะไปไม่ได้ว่ามันต้องไปทางไหน

ในขณะที่คุณเลือกคนนำทางที่ไว้วางใจให้นำพาไป

ยังจุดหมายปลายทางที่คุณกำลังต้องการนั้นอยู่ก็ตาม

คุณยังจะต้อง “ลืมตา” คือเปิดอายตนะภายนอกทั้งห้าไว้

แบบตาดูหูฟังปากถามเพื่อหาความเชื่อมั่นตลอดเวลาว่า

เส้นทางที่เขากำลังนำพาคุณไปนั้นมันใช่หรือไม่ใช่

จุดไหนไม่มั่นใจหรือสงสัยคุณก็จะเอ่ยปากถามทันที

ยิ่งถ้าถามแล้วเขาตอบคุณแค่ว่า “มันเป็นอจินไตย”

แปลว่าถ้าตอบคำถามนั้นแล้วคุณก็จะมีคำถามต่อไปอีก

มันจะเป็นคำถามที่ทำให้คุณยิ่งอยากรู้อย่างไม่รู้จบ

ซึ่งคนนำทางเองก็ตอบคุณไม่ได้เพราะเขาก็ตาบอดอยู่

จึงพยายาม “ตัดจบ” ด้วยคำว่าเป็นอจินไตยไปดื้อๆ

คุณจึงต้องเชื่อตามด้วยการก้าวตามเขาไปแบบ “งง-งง”

 

ลองไตร่ตรองดูก็ได้ว่าไม่มีใครหรอก

ที่จะเชื่อใจใครคนอื่นที่แปลกหน้าซึ่งขันอาสาพานำทาง

ด้วยการหลับหูหลับตาเชื่อตามก้าวตามเขาไปตลอด

โดยไม่เปิดตาเปิดใจเปิดหูและเปิดปัญญาที่ตนมีอยู่

เพื่อพิจารณาหาความถูกต้องป้องกันความผิดพลาด

คงยอมเชื่อตามทุกอย่างที่เขาพาทำพานำไปติดๆ

ผิดหรือถูกก็ไม่รู้ไปถูกทางอยู่หรือไม่ก็ไม่สนใจอะไร

จะถึงปลายทางที่ตนต้องการจะไปเมื่อไหร่ก็ไม่ใส่ใจ

เมื่อตัดสินใจว่าจะก้าวตามคนนำทางตาบอดพวกนี้แล้ว

ก็จะยึดมั่นถือมั่นในตัวตนคนพวกนี้อยู่อย่างไม่รู้ละวาง

 

เราจะชี้ชวนให้พวกคุณใช้สติปัญญาที่พอมีอยู่

ทำความเข้าใจความหมายของ “คนนำทางตาบอด” ว่า

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่

ในความสัจจริงแล้วทรงหมายถึงใครหรือผู้ใดกันหนอ

เราจึงขอยกตัวอย่างสร้างคำอธิบายเอาไว้ในที่นี้ว่า

คนนำทางตาบอด” นี้เรามิได้หมายถึง #พระศาสดา

ซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของศาสนาหนึ่งใดเลย

 

แต่เราหมายถึง

ผู้ที่มีความเชื่อในพระศาสดาของศาสนานั้นๆ

เช่นเชื่อในพระพุทธเจ้าแต่เขาก็ยังเข้าไม่ถึงความจริง

ที่พระพุทธองค์ทรงประกาศหลักสัจธรรมนั้นๆเอาไว้

โดยยึดความเชื่อในตัวอักษรที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์

ทั้งๆที่พระศาสดามิได้ทรงบันทึกเอาไว้เองแต่อย่างใด

นานปีที่ผ่านมาสัจธรรมบางตอนมันก็สึกกร่อนไปบ้าง

ถูกศัตรูผู้ไม่ปรารถนาดีบิดเบือนและปิดบังคำสอนบ้าง

จนมันผิดเพี้ยนไปจากพระวจนะพระศาสดาเสียก็มาก

 

เมื่อคนพวกนี้ขันอาสามาแสดงบทบาทของครูผู้สอน

จึงพาผู้ก้าวตาม “หลงทำ” จนหลงทางย่างก้าวผิดทาง

เพราะคนนำทางผู้ขันอาสาเป็นครูเองไม่รู้ความจริงว่า

ที่ตนเรียนรู้มาไหนจริงไหนเท็จไหนถูกบิดเบือนไปบ้าง

เพราะคนนำทางเชื่อตามคัมภีร์ที่ศาสดามิได้บันทึกเอง

ส่วนผู้ตามก็เชื่อตามคนนำทางตาบอดนั้นอีกทอดหนึ่ง

จึงหลงทางนิพพานไปด้วยกันมาตราบจนกระทั่งบัดนี้

 

ดังนั้น

คนนำทางตาบอดผู้นำทางคนที่หลับตาก้าวตาม

จึงอยู่ในลักษณะของ “คนตาบอดนำทางคนตาบอด”

ทุกคนจึงเหมือนเดินกันอยู่ในท่ามกลางความมืด

หมายถึง “ปัญญามืดบอด” เพราะถูกความเชื่อครอบงำ

 

อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ

คนนำทางตาบอดซึ่งเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซู

แต่ไม่รู้เห็นความต้องการของพระผู้เป็นเจ้า

ไม่เข้าใจพระวจนะของพระเยซูที่รับสื่อมาจากพระเจ้า

ไม่เห็นความสำคัญในการช่วยประกาศพระวจนะ

อันหมายถึงการแจกขนมปังของพระเจ้าให้แก่ชาวโลก

ที่ควรต้องกระทำในพระนามของพระเยซู เป็นต้น

 

นอกจากนั้น

คำว่า “คนนำทางตาบอด” พระเจ้าทรงให้เราหมายถึง

คนที่ปฏิบัติธรรมในแบบที่ผิดไปจากธรรมชาติ

คือการนั่งหลับตาเพื่อแสร้งทำเป็นคนตาบอดเทียม

การหนีเข้าป่าเข้าถ้ำเพื่อปิดวาจาและปิดหูเอาไว้

โดยแสร้งทำเป็นคนหูหนวกและเป็นดั่งคนใบ้

ยังผลให้อายตนะภายนอกทั้งห้าเสมือนว่าพิการไป

ทั้งๆที่พระเจ้าทรงออกแบบเอาไว้ให้อายตนะทั้งห้า

เป็นหน้าต่างห้าบานเพื่อสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งเร้า

จะได้กระตุ้นให้จิตหยาบสั่นสะเทือนขันธ์ห้าขึ้นมาได้

 

ถ้ากลไกอายตนะภายนอกทั้งห้าของพวกคุณ

มันพิการหรือมันมืดบอดจะยังผลให้ให้จิตหยาบ

สั่นสะเทือนขึ้นมาเป็น 5 ขั้นตอนที่เรียกว่าขันธ์ห้ามิได้

เพราะว่าขันธ์ห้าก็คือกระบวนการของ #คนสองมิติ

ที่ทำให้จิตหยาบยกระดับเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ

ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าจนเรียกว่า “มนุษย์” ได้

อีกทั้งถ้าคุณเป็นมนุษย์ได้ตามหน้าที่ของจิตวิญญาณ

ที่ขันอาสาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้ามาเกิด

คุณก็จะนำพาจิตวิญญาณของคุณหลุดพ้นกลับบ้านได้

ถ้าจะหลุดพ้นได้จิตหยาบคุณก็ต้องนิพพานก่อนตาย

นั่นคือ

 

1.ต้องนิพพานกิเลสมารให้หมดสิ้น

2.เมื่อนิพพานกิเลสได้กรรมทั้งหลายก็นิพพานด้วย

เพราะไม่มีกิเลสเป็นเหตุให้เกิด “กรรม” อีกแล้ว

พวกคุณจะหมุนธรรมจักรร่วมกันได้ตลอดไป

 

3.เมื่อจิตหยาบนิพพานกรรมจากกฎแห่งกรรมสิ้นแล้ว

จิตวิญญาณของคุณก็จะนิพพานการมี “สังสารวัฏ” ได้

ไม่ต้องมีภพชาติไม่ต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอีก

เพราะจิตวิญญาณมีหน้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์โลกเท่านั้น

มิได้มีมาเกิดเพื่อเป็นเทพเทวดาในภพภูมิสวรรค์มายา

มิได้อาสามาเกิดเป็น “สัตว์ประจำโลก” กันแต่อย่างใด

 

เมื่อคุณบรรลุธรรมตามข้อสามนี้แล้ว

จิตวิญญาณจึงจะทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกได้

โดยใช้ความรักเพื่อให้หรือใช้เมตตาธรรม #ค้ำจุนโลก

ด้วยการเปิดอายตนะภายนอกให้ทำงานร่วมกับจิตหยาบ

เพื่อร่วมกันหมุนธรรมจักรกับเพื่อนมนุษย์ทุกคนให้สำเร็จ

ภายในกำหนดเวลา 6 หมื่นปีโลกโดยไม่มีหน้าที่ตาย

 

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้

เป็นความจริงของจิตวิญญาณพวกคุณ

ที่ขันอาสามาเกิดจักต้องทำให้สำเร็จตั้งแต่ชาติแรกแล้ว

นับว่าโชคดีที่โลกสิ้นยุคพลังงานเก่ามา 800 กว่าปีแล้ว

พวกคุณยังพอมีเวลาเหลืออยู่ที่จะเป็นมนุษย์กันให้ได้

โดยจะต้องเร่งนิพพานกิเลสเพื่อนิพพานกรรมของคุณ

ให้เหลือ 30% ของที่มีอยู่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

ก่อนวันที่โลกจะมืดนาน 8 ราตรีพร้อมกันทั้ง 8 ทิศ

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

23/01/2024




สวัสดีวันอังคาร 23/01/2024


 

22 มกราคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 22/01/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

สิ่งสำคัญมากที่สุดที่พวกคุณต้องทำให้สำเร็จเป็นสิ่งแรก

ถ้ารู้ว่าตนคือผู้ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เป็น #คนสองมิติ

คือการคนตนเองทั้งสองมิติให้เข้ากันเป็นหนึ่งเดียวให้ได้

สองมิติ” คือมิติแห่งกายสังขารกับมิติของจิตวิญญาณ

โดยคุณต้องคนให้มันเข้ากันอย่างกลมกลืนให้จงได้

หลักการ “คน” คือต้องสั่นสะเทือนจิตหยาบกับกายหยาบ

ให้สอดคล้องกันเช่นนึกคิดรู้สึกอย่างไรต้องแสดงอย่างนั้น

ซึ่งหมายถึง #การมีสัจจะ ตามที่เรากล่าวไว้ในบทก่อน

 

การสั่นสะเทือนใดๆในมิติแห่งจิต

จนเกิดเป็นพฤติกรรมภายในที่เรียกว่า “มโนกรรม” ขึ้น

แล้วขับเคลื่อนมันออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกให้เห็น

ในรูปของ “วจีกรรม” ด้วยการเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด

หรือในรูปของ “กายกรรม” เป็นการกระทำแบบต่างๆ

ด้วยอวัยวะร่างกายของคุณให้ปรากฏต่อบุคคลรอบข้างนั้น

ในลักษณะของ #จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว ที่โบราณว่าไว้

รวมเรียกกระบวนการนี้ว่า “การสั่นสะเทือนจิตสามนึก”

 

ดังนั้น

ถ้าคุณอาสาพระเจ้ามาเกิดเป็น “คนสองมิติ”

คุณจึงมีหน้าที่หลักในชีวิตคือต้อง #สั่นสะเทือนจิตสามนึก

โดย “จิตสามนึก” ก็คือจิต 3 ตัวซึ่งทำหน้าที่ในการนึก

ประกอบด้วย #นึกออก #นึกเอา และ #นึกเอง

ซึ่งจิตทั้งสามตัวนึกดังกล่าวนี้เป็นกลไกที่พระองค์กำหนดไว้

ให้จิตหยาบของพวกคุณเป็นผู้เริ่มต้นในการสั่นสะเทือน

เพื่อขับเคลื่อนออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกตามที่นึกต่อไป

ในลักษณะของคำว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” นี่แหละ

 

ด้วยเหตุนี้เอง

จิตสามนึกของพวกคุณจึงมี 3 ประเภทก็คือ

1.#จิตสัญชาตญาณ

เป็นอาการของจิตปัจจุบันที่จิตวิญญาณสั่นสะเทือนเอง

โดยใช้จุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนอยู่ที่ “ก้านสมอง”

ซึ่งจิตหยาบมิได้เป็นผู้เริ่มต้นแต่อย่างใดทั้งสิ้น

 

เหตุที่จิตวิญญาณของคุณต้องเริ่มต้นสั่นสะเทือนเอง

โดยจิตหยาบเป็นแค่ผู้รับรู้หรือเป็นแค่ทางผ่านเพราะว่า

มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายทั้งสิ้น

ซึ่งพระเจ้ามิทรงยอมให้จิตหยาบกระทำการผิดพลาด

จนเกิด “ความเสี่ยง” ต่อการตายของจิตวิญญาณนั้นๆ

เพราะทรงกำหนดให้จิตวิญญาณพวกคุณไม่มีหน้าที่ตาย

เนื่องจากทุกคนต้องทำหน้าที่ประจำโลกเพื่อพิทักษ์โลก

ถ้ายอมให้ตายกันง่ายๆโลกและเอกภพจะมีปัญหาทันที

 

ปัญหาก็คือโลกและเอกภพจะเสียสมดุล

เพราะ “เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์” ลดน้อยลง

เมื่อจำนวนมนุษย์ลดลงโลกก็จะได้รับพลังงานลดลงตาม

ซึ่งพลังงานที่พวกคุณร่วมกันผลิตจาก #ความรักเพื่อให้

ทั้งอดทน อดกลั้น ให้อภัย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

ด้วยการใช้ “ขันธ์ห้า” หมุนธรรมจักรร่วมกันตลอดวัน

ตั้งแต่สามคนขึ้นไปจากภายในครอบครัวตัวเองพ่อแม่ลูก

จนขยายตัวออกไปหมุนธรรมจักรด้วยรักกับคนข้างบ้าน

จะทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ทางพลังงานความรักคือ Σβx

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะอยู่ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก

แต่ต้องเป็น #พลังงานสะอาด ที่ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของมัน

มิเช่นนั้นโลกก็จะเอาไปใช้ค้ำจุนตนเองให้สมดุลมิได้

 

พลังงานที่ไม่สะอาดก็คือ

ผลลัพธ์ของพลังงานที่พวกคุณผลิตสร้างขึ้นนั้น

ไม่สามารถปฏิสัมพันธ์กันตามสมการ Σβx ที่ว่านี้ได้

เพราะมี #รหัสกรรมจำเพาะคนกำกับ” เป็นคุณสมบัติอยู่

ในลักษณะของใครทำอะไรกับใครเพื่อใครเมื่อไหร่เอาไว้

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นได้แค่เพียง #ผลกรรม เท่านั้น

เมื่อพวกคุณเหวี่ยงออกมาทิ้งไว้ในบรรยากาศโลกแล้ว

มันจะได้แต่เป็นดั่งขยะที่ลอยอยู่กลาดเกลื่อนไปทั่ว

เพราะเป็นพลังงานขยะที่ไร้ประโยชน์ต่อโลกและทุกสิ่ง

ซึ่งมันจะล่องลอยคอยรอให้เจ้าของมันเมื่อตายไปแล้ว

เป็นผู้รับผิดชอบด้วยการ “รับเอา” เพื่อชำระให้หมดสิ้น

 

แต่ถ้าเป็นพลังงานสะอาดในแบบที่โลกต้องการ

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะต้องได้จากสมการ Σβx เท่านั้น

นั่นคือพวกคุณทุกคนต้อง #หมุนธรรมจักร ให้สำเร็จ

ด้วยการ “รักเพื่อให้” โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น

 

คำว่า “ให้โดยไม่มีเงื่อนไข” หมายถึง

คุณจะให้ใครก็ได้อย่าไปเจาะจงตัวตนหรือตัวบุคคล

ไม่ว่าจะให้ตัวเองหรือให้พ่อแม่บุรพการีของตนก็ตาม

เนื่องจากตาม “กฎแห่งกรรม” ใครทำใครได้อยู่แล้ว

ถ้าคุณปลูกมะพร้าวย่อมได้ผลมะพร้าวอยู่วันยันค่ำ

 

พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดคุณมาก็เช่นกัน

คุณไม่ต้องเอ่ยปากอุทิศให้ท่านหรอก

เพราะจิตวิญญาณของพ่อแม่ลูกในครอบครัวเดียวกัน

พวกคุณนั้นล้วนคล้ายคลีงทางด้านบุคลิกกันอยู่แล้ว

ซึ่งเมอร์คขะบาห์หรือจิตใต้สำนึกสั่นสะเทือนถึงกันได้

ตามที่พระเจ้าทรงออกแบบเอาไว้ให้แล้วนั่นเอง

 

ด้วยเหตุนี้เอง

เมื่อให้แล้ว แบ่งปันแล้ว หรือเสียสละให้เขาไปแล้ว

อย่าขอสิ่งตอบแทนไม่ว่าชาตินี้ชาติหน้าหรือว่าชาติไหน

เพราะมันจะเป็นรหัสกรรมที่ทำให้พลังงานไม่สะอาด

โลกจะนำไปใช้เป็นพลังงานเริ่มต้นเพื่อบิดแกนแม่เหล็ก

ในอันที่จะทำให้เกิดการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองไม่ได้

ไม่ว่าโลกจะหมุนรอบตัวเองช้าลงเพราะพลังงานลดลง

หรือว่าโลกสะดุดจากแกนโลกบิดตัวไม่ต่อเนื่องก็ตาม

ทั้งโลกและเอกภพที่เป็นระบบใหญ่จะเกิดวิกฤตจนวิบัติ

ซึ่งต่อนี้ไปพวกคุณจะเหลวไหลกันอยู่อีกไม่ได้แล้ว

พวกคุณต้องท่องคำว่า #ธรรมจักร ทุกลมหายใจเอาไว้

มิเช่นนั้นโลกจะถึงกาลหายนะในเร็ววันจากภัยพิบัติแน่ ๆ

 

2.#จิตรู้สำนึก

นี่เป็นจิตสามนึกของจิตหยาบเองโดยตรง

โดยคำว่า “รู้สำนึก” หมายถึง รู้ในบาปบุญคุณโทษ

รู้ในถูกผิดดีชั่ว รู้ควรรู้ไม่ควร รู้เหมาะสมไม่เหมาะสม

โดยจิตว่างไปจากกิเลสมารและบริวารของกิเลส

ได้อย่างสิ้นเชิงในปัจจุบันขณะ

จากการมี #มหาสติ กับ #ปณิธานแห่งนิพพาน

เพื่อการหลุดพ้นอยู่ในทุกขณะจิตนั่นแหละ

จนทำให้กิเลสมารเข้าแทรกจิตปัจจุบันของคุณไม่ได้

 

การ “หมุนธรรมจักร” ได้สำเร็จ

ตามที่เรากล่าวเอาไว้ข้างต้นแล้วนั้น

มันคือการสั่นสะเทือนจิตสามนึกแบบ “จิตรู้สำนึก” นี่เอง

 

3.#จิตไร้สำนึก

เป็นการสั่นสะเทือนจิตทั้งสามตัวนึก

ขณะที่จิตตกเป็นทาสของกิเลสมารและบริวารของมัน

โดยกิเลสมารที่เป็น #มารตัวแม่ ซึ่งมันจะแช่อยู่ข้างใน

เมื่อไหร่ที่จิตสามนึกขาดมหาสติที่จะกำกับควบคุมไว้

เมื่อนั้นกิเลสมารคือความรู้สึกชอบไม่ชอบจะโผล่ออกมา

แล้วนำพาตัณหาคืออยากไม่อยากกับอารมณ์ขยะมาด้วย

 

มารภายในเหล่านี้

มันจะพากันมะรุมมะตุ้มคุณจนหูหนาตาบอดไปหมด

จนไม่สามารถมองโลกไปตามความจริงได้ ณ บัดนั้น

ยังผลให้คุณนึกลบนึกชั่วจนนำไปสู่การคิดพูดทำที่วิปริต

จนกลายเป็น “หมุนกรรมจักรในตนเอง” แทนธรรมจักร

แล้วคุณยังจะชวนคนรอบข้างหมุนกรรมจักรตามไปด้วย

 

ตอนนี้คุณเข้าใจกันดีหรือยังว่า

#จิตสามนึกคืออะไร?

#การสั่นสะเทือนจิตสามนึกคืออย่างไร?

#จิตสามนึกมิใช่จิตใต้สำนึกใช่ไหมล่ะ?

 

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

22/01/2024