29 ธันวาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

29/12/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะท่านถูก คนนำทางตาบอด
ชักจูงให้เชื่อจนจำฝังใจอยู่ในสัญญาขันธ์
ที่ปัจจุบันเราเรียกขานว่า Mind Set
จนยากแก่การแก้ไขเยียวยาว่า

จิตวิญญาณของพวกท่านที่มาเกิดเป็นมนุษย์โลกนั้น
เป็นเหมือนดั่ง ลูกกำพร้า ไม่มีผู้ให้กำเนิด
เป็นเหมือนดั่ง คนพเนจร ที่ร่อนเร่ไปในจักรวาล
เป็นเหมือนดั่ง คนไร้บ้าน ไม่มีถิ่นกำเนิดเมืองนอน
เป็นเหมือนดั่ง วัตถุล่องลอย หน้าที่คือไม่ต้องทำอะไร

โดยคนนำทางตาบอดยังถ่ายทอดความเชื่อกันมา
ตั้งแต่บรรพบุุรุษและบรรพสตรีเอาไว้อีกด้วยว่า
ให้เชื่อตามครูหรือผู้นำทางเท่านั้นห้ามคิดไปเป็นอื่น
เพราะจะเป็นการคิดนอกรีตจะเป็นการผิดบาปต่อครู
จึงยังผลให้ท่านเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ โง่ง่ายฉลาดยาก
เนื่องจากถูกสอนให้เชื่อตามโดยไม่สอนให้คิดตาม
ความฉลาดใช้ปัญญาเพื่อเรียนรู้จึงย่อหย่อนไร้ทักษะ
โดยสังเกตได้จากการตั้งคำถามตนเองเพื่อคิดรู้ไม่เป็น

เมื่อพวกท่านถูกเสี้ยมสอนให้เป็นคนสมองทื่อ
เหมือนดั่งมีดที่ไร้ซึ่งความแหลมคมแล้ว
ยังขาดทักษะในการใช้สมองหรือมีดอีกต่างหากด้วย

ดังนั้น
ในการดำเนินชีวิตประจำวันของท่าน
จึงมีอยู่หนทางเดียวเท่านั้นในวิถีแห่งการเรียนรู้
คือ การเชื่อหรือไม่เชื่อ แทน ใช่หรือไม่ใช่
โดยใช้กลไกอายตนะกระตุ้นจิตหยาบของท่าน
ให้สั่นสะเทือนขันธ์ห้าได้แค่ เวทนาขันธ์
เพื่อหมุนกรรมจักรด้วยตัณหาราคะและอารมณ์ขยะ
แทนการใช้ ความรักกับปัญญาของสมอง
เพื่อตอบสนองสิ่งเร้ารายรอบตัวด้วย ธรรมจักร

พวกท่านส่วนใหญ่จึงตกเป็นทาสกฎแห่งกรรม
เพราะพวกท่านกระทำผิดบาปง่ายมาก
พวกท่านทั้งหลายจึงอ่อนด้อยทางปัญญา
เหตุเพราะใช้ปัญญาในตนเองที่มีอยู่ไม่เป็น
เนื่องจากถูกฝึกให้เชื่อมากกว่าให้ใช้ความคิด
จึงถนัดแต่ใช้ความรู้สึกจากการรับรู้ผ่านอายตนะ
เป็นตัวชี้วัดตัดสินว่า "น่าเชื่อหรือไม่" เป็นสำคัญ

บุคคลคนนี้น่าเชื่อถือหรือไม่
คำพูดของเขาคนนี้ฟังดูแล้วรู้สึกดีหรือเปล่า
ความรู้นี้มีคนเชื่อตามกันเยอะมากแค่ไหน
ความรู้นี้มีคนเชื่อถือติดต่อกันมายาวนานแค่ไหน
ความรู้นี้สะดุดใจสะดุดความรู้สึกตนหรือไม่
ฯลฯ

มนุษย์ทั้งหลายจะมีหลักการพิจารณา
เพื่อการตัดสินความรู้ ตัดสินคน ตัดสินใจ
วนเวียนกันอยู่ในวังวนนี้ด้วยกันทั้งนั้น
คนส่วนใหญ่จึงพึ่งพาสติปัญญาตนเองไม่ค่อยได้
เหตุเพราะคิดไม่เป็นจึงพากันโง่ง่ายโดยไม่รู้ตัว
ทั้งๆที่ไม่มีใครอยากโง่และไม่ยอมโง่กันง่ายๆ

ดูตัวอย่างวิชาโลกที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์
การที่มนุษย์บางกลุ่มที่เขาศึกษาวิชาประวัติศาสตร์
ก็เพราะพวกเขายอมรับและเชื่อว่าความจริงในอดีต
ก่อนที่เขาจะเกิดมาในชาตินี้นั้นล้วนมีอยู่จริง
เมื่ออยากรู้ความจริงในอดีตก็ต้องศึกษาสืบค้น
เพื่อหาหลักฐานแล้วนำมาวิเคราะห์กันอย่างจริงจัง
โดยใช้หลักการ หลักฐาน หลักคิด และเหตุผล
พวกท่านทั้งหลายก็เข้าถึงประวัติศาสตร์นั้นๆได้

ความรู้เรื่องพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งในอนันตจักรวาลก็เช่นกัน
ท่านจะยอมรับว่าพระองค์ทรงมีอยู่จริงหรือไม่
ท่านจักต้องศึกษาเรียนรู้และสืบค้นกันก่อน
เหมือนการศึกษาเรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์นั่นแหละ
ซึ่งต้องใช้หลักการ หลักฐาน หลักคิดและเหตุผล
มิใช่ใช้แค่ความรู้สึกว่าน่าเชื่อไม่น่าเชื่อเป็นตัวตัดสิน

โดยเฉพาะหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ที่ทำให้ท่านปักหมุด "เชื่อ" ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้มีจริง
เช่น หลักศิลาจารึกเก่าแก่ วัตถุโบราณที่ขุดค้นได้
จำพวกถ้วยโถโอชาม ครกหิน เครื่องปั้นดินเผา
ทรากสิ่งก่อสร้าง คูดิน กำแพงเมืองที่ถูกกลบฝังอยู่

เมื่อค้นพบเศษซากโบราณนั้นๆแล้ว
นักประวัติศาสตร์ก็เข้าถึงความจริงในอดีตกาลได้
เพราะมันเป็นหลักฐานของอดีตที่มนุษย์สร้างขึ้นไว้
เนื่องจากรู้ว่าวัตถุโบราณนั้นๆมันสร้างตัวมันเองไม่ได้
นี่คือการใช้เหตุผลทางปัญญามิใช่ความรู้สึก

พวกท่านจึงต้องลำบากมากเลย
กว่าจะเจอหลักฐานทางประวัติศาสตร์สักชิ้นหนึ่ง
เพื่อเรียนรู้อดีตของพวกท่านเองว่ามั้ย?
ถ้าไม่ฟลุ้คโผล่ขึ้นมาให้พวกท่านรู้เห็นเอง
พวกท่านก็ต้องเที่ยวขุดค้นหาอดีตกันเป็นอาชีพ
กว่าจะเข้าถึงความจริงของอดีตได้สักเรื่องหนึ่ง

แต่เหตุใดพวกท่านมิใช้หลักการ หลักคิดและปัญญา
แบบเดียวกับการค้นหาความจริงทางประวัติศาสตร์
เพื่อสืบค้นว่า พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ หรือ พระเจ้า
ทรงมีอยู่จริงหรือไม่พระองค์เป็นใคร เป็นต้น

1.ศึกษาจากพระคัมภีร์
ที่ศาสดาผู้มาจากพระเจ้าทรงกล่าวเอาไว้ให้รู้

2.ศึกษาค้นคว้าจากหลักฐานที่หลงเหลืออยู่
ซึ่งมีผู้กล่าวถึงพระองค์ไว้ในยุคต่างๆในอดีต

3.ศึกษาจากหลักฐานที่หาได้ง่ายๆในปัจจุบัน
ซึ่งไม่ต้องเที่ยวขุดค้นหาให้ยากลำบากเลย
เช่น ดูจากสิ่งที่พระองค์สร้างไว้และยังอยู่ให้เห็น
โดยมันเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ก่อนท่านเกิด
ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ให้มันดำรงอยู่ตลอดมา

ทั้งทุ่งหญ้า ป่าไม้ ทะเล ภูเขา ท้องฟ้า สัตว์ป่า
ดวงดาวต่างๆในอวกาศ ดิน น้ำ ลม ไฟ ฯลฯ
นี่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มันยังไม่ชำรุด
ที่บ่งชี้ให้ท่านรู้ด้วยปัญญาว่ามันเกิดเองไม่ได้
ต้องมีพระผู้สร้างที่มีพลังอำนาจระดับเกินอัจฉริยะ

แต่ใยท่านชื่นชมปิรามิดอียิปต์โบราณว่า
เป็นสถาปัตยกรรมของมนุษย์ฝีมือขั้นอัจฉริยะ
ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าพวกเขาเอาแท่งหินหนักหลายตัน
มาวางเรียงซ้อนกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ได้อย่างไร
แต่พวกท่าน "ก็เชื่อง่าย" ว่าคนโบราณเป็นผู้สร้าง
เว้นบางคนเท่านั้นที่ไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือมนุษย์
จึงยกเกียรติให้กับมนุษย์ต่างดาวไปเพราะง่ายดี

เพราะค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ทั้งที่จมดินจมโคลนจมน้ำอยู่
หรือที่ยังคงสภาพเดิมๆให้เห็นอยู่
มนุษย์ก็สืบค้นจนเข้าถึงความจริงในอดีตได้
ซึ่งเป็นความจริงก่อนจะมาเกิดกันในยุคนี้ด้วยซ้ำ

น่าคิดบ้างหรือไม่ว่า
พระบิดาฯหรือพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งไว้ในเอกภพนี้
ทรงมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยังไม่ชำรุด
ยังไม่แตกสลายที่มีอยู่รายรอบตัวท่านตั้งมากมาย
โดยไม่นับ "ทรากฟอสซิล" ที่แข็งเป็นหินฝังดินอยู่
ให้บุตรมนุษย์ผู้ชาญฉลาดใช้เป็นหลักฐาน
ในการเข้าถึงความจริงของพระผู้สร้างที่มีตัวตนจริง
พวกท่านกลับไม่ใช้ไม่พิจารณาแต่ปฏิเสธพระองค์

หม้อไหแจกันเจดีย์วิหารโบราณที่มนุษย์ขุดพบ
พวกท่านชื่นชมคนที่ปั้นที่สร้างว่าฝีมือสูงส่งยิ่งนัก
ชื่นชอบว่าเป็นวัฒนธรรมอันล้ำค่าน่าอนุรักษ์
ขณะที่เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของท่านเอง
จนแม้แต่ทุกสรรพสิ่งรายรอบตัวท่านที่ทรงสร้างไว้
มนุษย์ส่วนใหญ่กลับมองไม่เห็นพระปรีชาของผู้สร้าง
ไปให้เครดิตว่า ธรรมชาติเป็นผู้สร้างธรรมชาติ
ทั้งๆที่ตอบตัวเองยังไม่ได้เลยสักนิดว่า
ทุกสิ่งใน "ธรรมชาติ" มันเกิดของมันเองได้จริงหรือ
ทำไมทุกสิ่งจึงลึกซึ้งแยบยลงดงามและลงตัวกัน
ซึ่งพวกท่านที่เป็นมนุษย์เองไม่อาจสร้างได้ด้วยซ้ำ

เสียใจจังเลยหนอที่ยังมีผู้คนจำนวนมากมาย
ยังมีแกะหลายตัว เจ้าสาวหลายราย
ยังจำพระบิดาผู้ให้กำเนิดตนเองมิได้

ถ้ายังจำพระองค์มิได้
ก็กลับบ้านทางจิตวิญญาณไม่ได้
เพราะพระองค์ทรงออกแบบให้มนุษย์
ส่งจิตวิญญาณกลับบ้านเกิดแดนสุญตาได้
โดยต้องทำสามเหลี่ยมกับพระองค์
เพื่อให้พระองค์ทรงฉุดรั้งกลับคืนสถานเดียว

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/12/2021


23 ธันวาคม 2564

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

23/12/2021





สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
หน้าที่ของท่านทั้งหลายไม่ว่าชาติใดศาสนาใด
มันรวมอยู่ในคำว่า การปฏิบัติธรรม นั่นเอง

โดยท่านทั้งหลายจักต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า
พวกท่านจะปฏิบัติธรรมกันทำไม
พวกท่านจะปฏิบัติธรรมกันเพื่ออะไร
พวกท่านจะปฏิบัติธรรมกันอย่างไร
เป้าหมายของท่านในการบรรลุธรรมคืออะไร

หากท่านทั้งหลาย
ไม่สามารถตอบคำถามทั้ง 4 ประเด็นเหล่านี้ได้
การปฏิบัติธรรมก็จะสะเปะสะปะไม่ชัดเจน
ซึ่งอาจมีทั้งหลงทาง ออกนอกทางและเดินผิดทาง
เหมือนพวกท่านกำลังเดินอยู่ในความมืดนั่นแหละ

ความรู้จากคำตอบทั้งสี่ประเด็นข้างต้นนั้น
จึงเปรียบได้ดั่ง "แสงสว่าง" อันเจิดจ้า
ที่จะช่วยทำลายความมืดหรือความไม่รู้ให้ท่านได้
การมาเกิดเป็นมนุษย์ของจิตวิญญาณของท่าน
จึงจะบรรลุพันธะหน้าที่ในสองมิติได้
โดยไม่เสียชาติเกิดเหมือนภพชาติที่ผ่านมาอีก

ภพชาตินี้เป็นภพชาติสุดท้ายของพวกท่าน
เพราะโลกถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
จิตหยาบจักต้องส่งจิตวิญญาณให้หลุดพ้นกลับบ้าน
ก่อนพระบิดาจะทรงเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
ด้วยมหันตภัยพิบัติที่รุนแรงระดับแผ่นดินหาย
และจะมีผู้คนบนโลกนี้ต้องตายกันเป็นจำนวนมาก
เพราะเป็นปลาซึ่งยังหายใจด้วยปอดที่ถูกคัดทิ้ง

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ความหมายของการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งก็คือ
การดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามวิถีแห่งธรรมชาติ
ซึ่งพวกท่านสามารถเรียนรู้ดูแบบเอาได้เอง
จากสรรพสิ่งต่างๆในธรรมชาติเป็นสำคัญ
โดยใช้อายตนะภายนอกทั้งห้ากับจิตตปัญญาที่มีอยู่
วิเคราะห์ให้เห็นสัจธรรมในธรรมชาติของพระบิดา
แล้วนำมาสังเคราะห์ด้วยปัญญาของสมองซีกขวา
เพื่อนำมาใช้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต

ความจริงที่วิเคราะห์ได้จากธรรมชาติแวดล้อม
ที่นำมาสังเคราะห์ต่อเพื่อใช้ปฏิบัติจริงในชีวิต
คือ "การปฏิบัติธรรม" ในความหมายของพระบิดา

แต่ถ้าท่านไม่สามารถเข้าถึงการใช้จิตตปัญญาได้
ท่านคงต้องอาศัยคนอื่นเป็นครูช่วยสอนให้รู้แทน
เช่น พระศาสดา และ คนนำทางในทุกศาสนา
ซึ่งเสี่ยงต่อการหลงผิดเข้าใจผิดเชื่อผิดสอนผิดได้
เพราะคนนำทางส่วนมากมัก "ตาบอด" มาทุกยุคสมัย

เหตุเพราะเชื่อคนนำทางตาบอดต่อๆกันมานี่แหละ
จึงมีผู้ปฏิบัติธรรมด้วยวิธีผิดธรรมชาติอย่างสุดโต่ง
เพราะพวกคนนำทางแปลความหมายในคำสอน
ที่พระศาสดาของตนตรัสสอนไว้ไม่ถูกต้องถ่องแท้
แล้วก็ถ่ายทอดความเชื่อผิดๆนั้นสืบทอดกันมานาน
ยังผลให้หลงทางนิพพานเข้าใจนิพพานไม่ถูกต้อง
จนแม้จะบวชมาหลายภพชาติก็หลุดพ้นนิพพานมิได้

ตัวอย่างการปฏิบัติธรรมที่ไม่ถูกต้อง

1.การปลีกวิเวกเพื่อปฏิบัติธรรมคนเดียว
ทั้งๆที่เกิดมามีหน้าที่เป็นสัตว์สังคม

2.การปฏิบัติธรรมด้วยวิธี "ปิด" อายตนะภายนอก
คงเหลือไว้แต่จิตซึ่งเป็นอายตนะภายในเท่านั้น
ทำให้การสั่นสะเทือนจิตหยาบด้วยขันธ์ 5
เป็นไปตามที่พระบิดาทรงออกแบบไว้ไม่ได้

3.การมุ่งที่จะดับทุกข์ด้วยการดับอัตตา
โดยไม่เห็นประโยชน์ของขันธ์ 5
เพื่อหวังว่าจะ "นิพพาน" ด้วยการดับสูญ
ทั้งๆที่ความหมายของนิพพานที่แท้จริงนั้น
หมายถึง "การดับสิ้นของกิเลสตัณหา"
เพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณให้เป็นอิสระ
จากการข้องเกี่ยวเหนี่ยวรั้งกับทุกสรรพสิ่ง
ภายในอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้
เพื่อ การหลุดพ้น กลับบ้านแดนสุญตา
ซึ่งอยู่ภายนอกเอกภพหรืออนันตจักรวาลได้

นอกจากนั้น
ความผิดบาปยังอยู่ที่การพยายามดับขันธ์ 5
ซึ่งทั้งสัตว์และมนุษย์ต้องมีต้องใช้
เพื่อสั่นสะเทือนจิตตนเอง
ในบทบาทของคนสองมิติและสัตว์สองมิติ
ตามที่พระบิดาทรงออกแบบไว้อีกเช่นกัน

4.การพยายามปฏิเสธการมาเกิดเป็นมนุษย์
โดยไม่เคยใส่ใจว่าจิตวิญญาณของตนเป็นใคร
มาจากไหน มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
ตนมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดกันบ้าง

มองเห็นแต่ความทุกข์ เห็นแต่กองทุกข์
ก็เลยจับเอาทุกข์เป็นตัวประกัน
แล้วพยายามที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์
ซึ่งเน้นทำเพื่อตนเองทั้งทางโลกและจิตวิญญาณ
เพราะแปลความหมายประโยคคำสอนของศาสดา
เรื่องเมตตาธรรมค้ำจุนโลก เราคือโลก โลกคือเรา
ผิดเพี้ยนไปจากความหมายของพระศาสดา
อีกทั้งไม่รู้ว่าพระศาสดาทรงตรัสรู้อะไรกันแน่

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

หากคนนำทางตาบอดยังหลงทางหลงธรรมอยู่
รวมทั้งศาสนิกชนคนส่วนใหญ่บนโลกเสรีนี้
ยังคงยอมหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอดกันต่อไป
ผู้ที่จะบรรลุธรรมเพราะสามารถเข้าถึงเป้าหมายสูงสุด
ซึ่งเป็นภารกิจทางจิตวิญญาณของตนได้ก็จะไม่มี

แน่นอนว่าการหลุดพ้นกลับบ้านของจิตวิญญาณ
โดยออกไปจากห้องทดลองของพระบิดานี้ได้ก็ไม่มี
ถ้าไม่มีใครสักคนรับฟังพระโอวาทที่ทรงสื่อผ่านเรามา
วันแล้ววันเล่าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอย่างไม่ว่างเว้น
เพราะหลงยึดติดของเก่าโดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23/12/2021


17 ธันวาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

17/12/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
พลังจักรวาลคำย่อคำสั้นที่พวกท่านกล่าวนั้น
มาจากคำเต็มว่า พลังงานจักรวาล

"พลังงานจักรวาล" ที่ว่านี้
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
ทรงกำหนดสร้างขึ้นมาเป็นสิ่งแรก
ในแผนการก่อสร้าง "ห้องทดลอง" ของพระองค์
เพื่อที่จะใช้ห้องทดลองดังกล่าวนี้เรียนรู้ว่า
พระองค์จะทรงสามารถกระทำสิ่งใดได้บ้าง

พลังงานจักรวาลหรือ พลังจักรวาล
มีลักษณะเป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าด้านบวก
ที่ลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่อย่างหนาแน่น
โดยพระองค์ทรงใช้พลังงานจักรวาลที่ว่านี้
เป็น "วัสดุ" ในการก่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า จักรวาล
ซึ่งเป็นห้องทดลองของพระองค์โดยเฉพาะ

พระองค์ทรงกำหนดให้กาแล็กซี่ธารสายน้ำนม
ทำหน้าที่เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวระนาบ
โดยทรงกำหนดให้กาแล็กซี่เหวี่ยงหมุนไปรอบๆ
เพื่อทำให้คลื่นพลังงานจักรวาลที่ทรงปูพื้นไว้
เกิดการฟุ้งกระจายจนยกตัวขึ้นลงจากพื้นราบได้

นอกจากนั้นทรงกำหนดสร้างกาแล็กซี่น้อยใหญ่
นับรวมกันได้ทั้งหมดถึง 12,500 ล้านระบบ
เพื่อทำให้พลังงานฟุ้งกระจายตัวออกทุกทิศทาง
จนเกิดรูปทรงตรงตามที่พระองค์ทรงออกแบบไว้
จนได้ขนาดและรูปแบบห้องทดลองที่ทรงต้องการ

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ในสนามพลังงานจักรวาลที่ทรงสร้างนี้
นอกจากจะมีกาแล็กซี่จำนวนนับหมื่นชุดแล้ว
พระองค์ยังทรงสร้างระบบสุริยจักรวาลไว้
บนกาแล็กซี่ธารสายน้ำนมถึง 2 ระบบสุริยะ
ทรงสร้างระบบสุริยจักรวาลไว้บนกาแล็กซี่อื่นๆ
ที่อยู่ใกล้จุดศูนย์กลางของจักรวาลอีก 5 ระบบด้วย

โดยใน 7 ระบบสุริยะที่ทรงสร้างขึ้นนั้น
จะมีเพียง 6 ระบบสุริยจักรวาลเท่านั้น
ที่มีรูปธรรมมีชีวิตลักษณะมนุษย์ สัตว์และพืช
ดำรงอยู่บนดวงดาวบางดวงของระบบสุริยะนั้น

ดังนั้น
ทุกสรรพสิ่งไม่ว่าจะมีตัวตนรูปลักษณ์แบบใด
ไม่ว่าจะดำรงอยู่ตรงพิกัดใดในห้องทดลองนี้
จักต้องยึดรั้งตนเองไว้กับสนามพลังงานจักรวาล
ส่วนพระผู้สร้างก็จะทรงใช้พลังงานจักรวาล
ยึดรั้งทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นไว้เช่นเดียวกัน
รวมทั้งเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ที่มีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้เร้นอยู่ข้างในด้วย

แม้ว่าท่านใดก็ตาม
ที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์อยู่บนโลกนี้
จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่านเหล่านั้น
จะปฏิเสธพระบิดาไม่รักศรัทธาพระองค์ก็ตาม
พระองค์ก็จะยังคงรักบุตรมนุษย์อย่างพวกท่าน
ยังทรงค้ำจุนพวกท่านไว้ให้ทำหน้าที่มนุษย์เสมอ
ทั้งๆที่จะทรงปล่อยวางใครก็ได้ที่ไม่กตัญญูรู้คุณ
ซึ่งบุตรมนุษย์คนนั้นหรือสรรพสิ่งนั้น
มันจะเกิดปรากฏการณ์ สาปสูญ ไร้อัตตาตัวตนทันที

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

พวกท่านจะต้องรู้ว่า
ทุกสรรพสิ่งไม่ว่ามีชีวิตหรือไม่มีชีวิตที่ทรงสร้าง
พระบิดาจะทรงออกแบบให้มีคุณสมบัติเหมือนกัน
คือ มีพลังอำนาจในการผลิตสร้างสนามแม่เหล็ก
เพื่อเหวี่ยงมันออกมาภายนอกรูปธรรมของตน
แล้วใช้พลังงานที่เหวี่ยงออกมานั้นยึดรั้งตนเองไว้
กับสนามพลังงานของจักรวาลที่ทรงสร้าง
ซึ่งมันจะยังผลให้พวกท่านและทุกสรรพสิ่ง
อยู่ร่วมกันอย่างเป็นระบบระเบียบและเป็นหนึ่งเดียว
มนุษย์โลกจึงเรียกจักรวาลของพระบิดาว่า เอกภพ
อันหมายถึง อนันตจักรวาล นั่นเอง

นอกจากนั้นท่านทั้งหลายยังต้องรู้ด้วยว่า
ทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้างไว้ในห้องทดลองใหญ่นี้
จะมีคุณสมบัติเดียวคือสร้างสนามแม่เหล็กด้านบวก
เพื่อใช้ยึดรั้งกับสนามพลังงานของพระบิดา

แต่สำหรับมนุษย์บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้นั้น
พระองค์ทรงออกแบบให้ทุกคนมีทางเลือกเสรี
ใครจะสร้างสนามแม่เหล็กด้านบวกหรือลบก็ได้
แต่ถ้าใครสร้างสนามแม่เหล็กด้านลบออกมา
ก็จักต้องรับผลกรรมที่ตนทำไม่ถูกต้องนั้น
ทั้งในมิติโลกด้านกายภาพและมิติของจิตวิญญาณ

สนามแม่เหล็กด้านบวกที่มนุษย์เหวี่ยงออกมา
คือผลผลิตขั้นสุดท้ายในกระบวนการของ ขันธ์ห้า
ที่มนุษย์นั้นสั่นสะเทือนจิตหยาบด้วยความรักบริสุทธิ์
ซึ่งพระบิดาทรงเรียกว่า หมุนธรรมจักร นั่นแหละ

สนามแม่เหล็กด้านลบที่มนุษย์เหวี่ยงออกมา
คือผลผลิตขั้นสุดท้ายในกระบวนการของ ขันธ์ห้า
ที่มนุษย์นั้นสั่นสะเทือนจิตหยาบด้วยโกรธโลภหลง
ซึ่งพระบิดาทรงเรียกว่า หมุนกรรมจักร นั่นเอง

ที่ผ่านมาเราจึงกล่าวต่อท่านทั้งหลายเสมอว่า
ท่านจะไม่สามารถดึงดูดพลังจักรวาลได้
เพราะพระบิดามิได้ทรงออกแบบเอาไว้ให้ใครดูด
ให้ใช้ยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้งเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้น
ที่สำคัญคือพวกท่านจะรับพลังจากจิตจักรวาลได้
ก็ต่อเมื่อพระบิดาทรงประทานความรักพิเศษมาให้
โดยจะทรงกำกับมิติของกระบวนการนี้เองมิใช่ท่าน

ท่านจะต้องระลึกเสมอว่า
จิตหยาบของท่านเพียงเข้าถึงการหมุนธรรมจักรได้
พลังงานความรักจากพระบิดาจะหลั่งไหลมาหา
จนเครื่องยนต์แห่งกรรมท่านแทบจะรับไม่ไหว
โดยไม่ต้องไปเสียเงินเสียเวลาเสียค่าโง่ง่ายอะไรเลย
ท่านรู้หรือไม่ว่าถ้าท่านทำได้จะทรงประทานอะไรให้
การเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตอมตะคือไม่มีวันตายไงล่ะ

สิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะบอกความจริงต่อท่านก็คือ
สนามพลังงานจักรวาลในห้องทดลองของพระองค์
มันมีสภาพไม่ต่างจากสระน้ำที่พวกท่านลอยคออยู่
ถ้าใครหมุนกรรมจักรก็จะเหวี่ยงอีเล็คตรอนอิสระ
ซึ่งเป็นดั่งขยะหรือของสกปรกออกมาทิ้งไว้ในน้ำ
ถ้าใครหมุนธรรมจักรก็จะเหวี่ยงประจุบวกออกมา
ซึ่งเป็นสารสะอาดและทำให้น้ำศักดิ์สิทธิ์ได้

เราถามท่านว่า
คนที่หมุนกรรมจักรกับคนที่หมุนธรรมจักร
โลกยุคปัจจุบันนี้มีคนพวกไหนมากกว่ากันล่ะ
ถ้าท่านพยายามจะดูดพลังจักรวาลดั่งดูดน้ำในสระ
จิตวิญญาณของท่านก็จะรับสิ่งเป็นพิษเข้าไปเต็มๆ
ภายในเวลาไม่กี่ปีจิตวิญญาณท่านก็จะป่วยหนัก
จนยากแก่การแก้ไขเยียวยาเลยทีเดียว

ต่อนี้ไปกลับมาใช้วิธีธรรมชาติ
ตามที่พระบิดาทรงออกแบบไว้กันดีกว่ามั้ย
เรื่องที่มนุษย์จักต้องทำให้ได้ไม่ทำไม่ได้ก็คือ

1.ยกระดับจิตหยาบให้เป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ
ผ่านกระบวนการสั่นสะเทือนของขันธ์ 5 ให้ได้
เพี่อปลดปล่อยจิตวิญญาณที่ถูกขังอยู่ข้างในเป็นอิสระ
ให้สามารถออกมาทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ที่ขันอาสาพระบิดามาเกิดมาทำให้สำเร็จในเร็ววัน

2.รีบทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาให้เป็น
หมั่นทำสามเหลี่ยมกับพระองค์ไว้เป็นประจำ
จิตวิญญาณทิ้งกายสังขารเมื่อไหร่ก็จะจำได้
จะลัดตรงกลับไปกราบพระบิดาคือหลุดพ้นทันที

เราขอบอกความจริงไว้เพียงนี้ก่อนนะ

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17/12/2021


16 ธันวาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

 16/12/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงระดับอนุตรธรรมให้รู้ว่า

พลังจักรวาล เป็นคลื่นพลังงานด้านบวก
ที่มีอยู่ทั่วไปภายใน อนันตจักรวาล หรือ "เอกภพ"
ซึ่งองค์ จิตจักรวาล หรือพระผู้สร้างทรงสร้างไว้
เพื่อให้ทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ใน "อนันตจักรวาล"
ใช้ยึดรั้งตนเองไว้จะได้ดำรงอยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว

พระองค์ทรงออกแบบให้ทุกสรรพสิ่ง
สร้างสนามพลังงานในระบบตนเองออกมา
ไม่ว่าจะเป็นกาแล็กซี่ทั้ง 12,500 ล้านระบบ
ไม่ว่าจะเป็นระบบสุริยจักรวาลทั้ง 7 ระบบ (ทวีป)
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตทั้งหลาย
ที่ดำรงอยู่ในระบบกาแล็กซี่และระบบสุริยะ
ล้วนมีกลไกการสร้างสนามแม่เหล็กของตนเอง
ในลักษณะของระบบเล็กซ้อนกันอยู่ในระบบใหญ่
เป็นไปแบบนี้ทั่วทั้งเอกภพหรืออนันตจักรวาล

แต่ละสรรพสิ่งและแต่ละระบบที่ทรงสร้าง
ซึ่งดำรงอยู่ภายใน "อนันตจักรวาล" อันไพศาลนี้
จะใช้พลังงานของตนเองที่สร้างขึ้นมาได้
เป็นเครื่องมือในการยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้งตนเองไว้
กับสนามพลังงานของอนันตจักรวาลด้วยกันทั้งสิ้น

ตัวอย่างเช่น
ดาวเคราะห์โลกเสรีที่พวกท่านเหยียบยืน
สามารถดำรงอยู่ภายในระบบสุริยะและเอกภพได้
ก็เพราะว่าดาวเคราะห์โลกมี สนามแม่เหล็กโลก
ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ยึดรั้งตนเองไว้กับสนามพลังงานจักรวาลสากลได้

โดยที่โลกสามารถผลิตสร้างสนามแม่เหล็กได้
เพราะพระบิดาทรงออกแบบให้สิ่งมีชีวิตบนโลก
รวมทั้งมนุษย์โลกทุกคนใช้ความรักความเมตตา
สั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยจิตหยาบหมุน ธรรมจักร
เพื่อผลิตสร้างพลังงานความรักช่วยให้โลกหมุน
ด้วยการบิดตัวของแกนแม่เหล็กโลกจากการระเบิด
ซึ่งยังผลให้โลก "คาย" สนามแม่เหล็กออกมาด้วย

ด้วยเหตุนี้เองถ้ามนุษย์ทุกคนบนโลก
ช่วยกันรักซึ่งกันและกันได้
ไม่ว่าใครจะยื่นเงื่อนไขร้ายหรือดีมาให้ก็ตาม
ดีก็รักชั่วก็รักได้โดยไม่ยกเว้นว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร
เพียงเท่านี้พวกท่านก็สามารถใช้จิตหยาบ
หมุนธรรมจักรด้วยขันธ์ 5 ร่วมกันได้แล้ว

สิ่งที่จะเกิดขึ้นในมิติทางจิตวิญญาณก็คือ
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของพวกท่าน
ซึ่งเป็นสรรพสิ่งหนึ่งที่อยู่ในระบบโลกและเอกภพนี้
จะเหวี่ยงพลังงานจิตด้านบวกออกมาจากข้างใน
โดย 1% ของพลังงานที่ผลิตได้จะมอบให้กับโลก
ที่เหลือจะใช้เป็นพลังงานร่วมกับสนามแม่เหล็กโลก
ในการยึดเหนี่ยวทั้งระบบไว้กับสนามพลังงานสากล
ในรูปแบบของระบบเล็กซ้อนอยู่ในระบบใหญ่นั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะบอกให้ท่านรู้ความจริงที่เป็นอนุตรธรรมว่า

สนามพลังงานสากลเป็น "พลังจักรวาล"
หรือ พลังงานจักรวาล ขององค์จิตจักรวาล
ที่ทรงกำหนดสร้างไว้ตั้งแต่แรกสร้างเอกภพ
ราวๆ 8 ล้าน 1 แสนล้านปีโลกที่ผ่านมาแล้ว

ที่พระบิดาหรือองค์จิตจักรวาลซึ่งเป็นพระผู้สร้าง
ทรงสามารถรับรู้ความเคลื่อนไหวใดๆในเอกภพได้
ทั้งพฤติกรรมทำดีทำเลวก็ทรงรับรู้ได้ในทุกสถาน
เพราะทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้างรวมทั้งพวกท่านด้วย
ล้วนลอยคอกันอยู่ในสนามพลังงานของพระองค์
เสมือนอยู่บนใยแมงมุมของแม่แมงมุมนั่นแหละท่าน

เมื่อพระองค์จะทรงประทานรางวัลให้บุตรที่ดี
จะมีการปูนบำเหน็จอะไรให้ใครแค่ไหนเมื่อไหร่
พระองค์ก็ทรงสามารถใช้สนามพลังงานสากล
ที่เชื่อมโยงกันอยู่กับสนามแม่เหล็กโลก
เพื่อเข้าถึงกลไก Digitalise ในระดับเซล
ของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ได้ทุกคน

จงจำไว้เถิดว่า "รางวัล" ในการทำดีของท่านนั้น
พระองค์จะทรงประทานให้ท่านเองตามน้ำพระทัย
เราจึงกล่าวต่อท่านทั้งหลายเสมอว่าทำบุญหรือทำดี
จงอย่าทำโดยหวังหรือร้องขอสิ่งใดตอบแทน
นั่นเท่ากับว่าท่านปฏิเสธรางวัลจากพระหัตถ์พระเจ้า
จึงกล่าวสัจจะว่าท่านจะหารางวัลนั่นนี่ที่ชอบเอาเอง

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ไว้อีกว่า
พลังงานจักรวาลหรือพลังจักรวาล
เป็นสรรพสิ่งที่มีเจ้าของคือพระบิดาหรือพระผู้สร้าง
สร้างขึ้นไว้เพื่อการยังประโยชน์ของทุกสรรพสิ่ง

พวกท่านนั้นไม่ต่างจากกำลังลอยตัวอยู่ในสระน้ำ
น้ำในสระเขามีไว้ให้ใช้ลอยตัวเท่านั้น
มนุษย์อุตริอะไรจึงคิดที่จะก้มลงไปกินน้ำในสระ
ที่ผู้สร้างเขาไม่ได้สร้างให้ใครเอาไว้ดื่มกินเลย
เพราะความโง่ง่ายฉลาดยากใช่หรือไม่
จึงเสียตังค์ไปหลงเดินตาม "เจ้าลัทธิอุตริ" พวกนั้น
ซึ่งการดูดพลังจักรวาลไม่ต่างจากดื่มน้ำในสระ
มันจะทำให้จิตวิญญาณของพวกท่าน "ป่วย"
อีกทั้งไม่มีประโยชน์อะไรด้วย

ถ้าท่านต้องการ "พลังงานพิเศษ" เฉพาะกิจ
เพื่อใช้บำบัดรักษาเครื่องยนต์แห่งกรรมที่ชำรุด
ทำไมท่านจึงไม่พึ่งพลังอำนาจของพระเจ้า
คือพลังอำนาจทางจิตวิญญาณของตนเองเล่า
จงสั่นสะเทือนจิตหยาบด้วยความรักบริสุทธิ์ให้ได้สิ
จิตวิญญาณของท่านก็จะสั่นสะเทือนตามทันที
แล้วนำพลังงานด้านบวกจากจิตวิญญาณนั่นแหละ
มาซ่อมแซมรักษาอวัยวะร่างกายที่ชำรุดได้เอง
ขอเพียงจิตท่านต้องเชื่อมั่นพระบิดาศรัทธาเราว่า
คำแนะนำของเราจะทำให้ท่านสำเร็จได้แน่นอน

การใช้พลังจิตไปจูนไปปรับจิตผู้อื่น
ไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์ใดก็ตาม
มันคือการ "ก้าวล่วง" จิตวิญญาณของทั้งสองคน
เป็นการกระทำอุตริของจิตหยาบแฝงกิเลสของผู้นำ
เป็นการโง่ง่ายเชื่อตามจากอำนาจกิเลสของผู้ตาม
อีกทั้งปฏิบัติการนี้พระผู้สร้างก็มิได้ทรงออกแบบไว้

ท่านทั้งหลายจงจำไว้ว่า
ธรรมะคือธรรมชาติ
การปฏิบัติธรรมก็คือการปฏิบัติตนตามธรรมชาติ

กิจกรรมใดที่ต้องอาศัยอำนาจพิเศษเกินคน
เกินกำลังความสามารถของคนทั่วไปที่จะทำได้
กิจกรรมใดที่ท่านยังอธิบายที่มาที่ไปไม่ได้
กิจกรรมใดที่ท่านทำทั้งๆที่ตนเองยังไม่เข้าใจ
แม้จะมีคนนำทำให้เห็นกันเป็นจำนวนมาก
แม้จะมีคนเชื่อตามทำตามกันมายาวนาน
กิจกรรมแบบที่ว่านี้มันมิใช่การปฏิบัติธรรม
ให้คิดว่า "ปฏิบัติกรรม" หรือก่ออุตริกรรมไว้ก่อน

ระวัง...อย่าหลงทางมารเพราะท่าน "โง่ง่าย"

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16/12/2021




15 ธันวาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

15/12/2021





สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ปัจจุบันนี้....
เริ่มมีผู้ก้อปปี้พระโอวาทจากองค์ จิตจักรวาล
ไปปรุงเป็น เกาเหลา ให้ผู้ที่ยังห่างไกลพระบิดา
พากันหลงธรรมหลงทางกันมากขึ้นทุกวัน
โดยมิได้อ้างอิงถึง "องค์จิตจักรวาล" แม้เพียงคำ
โดยมิได้ขออนุญาตเราตามวิสัยผู้มีคุณธรรมด้วย

ท่านผู้ฉ้อฉลทั้งหลายจงจำไว้ว่า
สัจธรรมที่เรากล่าวพระโอวาทจากพระบิดา
เป็นสัจธรรมระดับ อนุตรธรรม ที่มนุษย์คนไหน
ก็มิอาจเข้าถึงได้ด้วยสมองสองซีกหรอก
แม้แต่องค์สัพพัญญูผู้ทรงพระปรีชาญาณก็ตาม

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ความรู้ใหม่ๆที่ท่านไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
ซึ่งมาจากพระโอษฐ์พระบิดาที่ทรงสื่อผ่านปากเรา
นั่นแหละคือ "อนุตรธรรม" ที่มนุษย์ทั้งโลกไม่รู้ว่าไม่รู้
แต่ท่านจักต้องรับพระโอวาทจาก "ปาก" เราเท่านั้น
มิใช่จากปากมนุษย์คนอื่นโดยเด็ดขาด

เพราะเราสื่อมาจากพระองค์ในระบบจิตสู่จิต
ด้วยช่องทางพิเศษ คือ Vertical Telepathy
มิใช่ได้มาจากเสียงที่ดังในหัวในหูแต่ไม่รู้แหล่งที่มา
หรือมิใช่ลอกเลียนเราไปเพียงแค่อยากเป็นเจ้าลัทธิ
โดยบางคนก้อปปี้ไปด้วยอกตัญญูต่อครูบาอาจารย์
แล้วเอาไปบิดเบือนให้เป็นความรู้ของตัวเอง
โดยไม่ละอายต่อบาปไม่กลัวการถูกลงโทษ
เพียงแค่อยากรวยและอยากเด่นดังเท่านั้น

เราจึงขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
จงอย่าหลงทางมารอย่าหลงเชื่อมารเพราะโง่ง่าย
ปลายยุคพลังงานเก่านี้จะเป็นยุคสงครามแย่งสาวก
พวกท่านจักต้องต่อสู้เพื่อการรู้แจ้งกันอย่างหนัก
ใคร "โง่ง่าย" ไม่ติดอาวุธทางปัญญาให้ตนเอง
แล้วยังหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอดกันอยู่
หรือยังสนุกกับเรื่องอุตริอวิชชาที่ตนอธิบายไม่ได้
ก็โปรดระวังตัวระวังจิตวิญญาณไว้ให้จงหนัก

เราขอเตือนท่านผู้ที่ล่วงเกินพระบิดา
นำพระนามจิตจักรวาลไปใช้หาประโยชน์ว่า
พระนาม "จิตจักรวาล" เป็นพระนามของพระเจ้า
ซึ่งเป็นพระบิดาผู้สร้างจิตวิญญาณของท่าน
เป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในอนันตจักรวาล
เป็นพระนามศักดิ์สิทธิ์สูงสุด
กฎการสะท้อนกลับในความผิดบาปต่อพระองค์
จักเป็นกรรมจักรสะท้อนกลับมาลงโทษผู้ล่วงเกิน
อย่างสาสมโดยมิได้รับการให้อภัยไม่ช้าก็เร็ว

คำตัวอย่างต่อไปนี้
เป็นคำที่พระองค์มิทรงปลื้ม
และเราก็มิได้เกี่ยวกรรมอะไรด้วย
เช่น พลังจิตจักรวาล จูนจิตจักรวาล
จิตแห่งจักรวาล เป็นต้น

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล
15/12/2021

 

เราคือบุตรเอกแห่งองค์จิตจักรวาล

เรากลับมารับเจ้าสาวตามสัญญา

เราเป็นผู้นำพาแสงสว่างมายังโลกเสรีนี้

เพื่อชี้ทางหลุดพ้นให้ท่านก่อนวันสิ้นยุค


14 ธันวาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

14/12/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

มนุษย์โลกเสรีส่วนใหญ่
ถูกคนนำทางตาบอดชักจูง
ให้ตกหลุมพรางของ ความทุกข์
สืบทอดความเชื่อติดต่อกันมาอย่างยาวนาน
จนฝังตัวอยู่ในสัญญาขันธ์ซึ่งยากจะถ่ายถอน

การตกหลุมพราง "ความทุกข์" ของพวกท่าน
คล้ายกันกับคนที่กำลังลอยคออยู่ในน้ำเชี่ยว
ซึ่งต้องเหนื่อยหนักกับการแหวกว่ายลอยคอ
เพื่อนำพาตัวเองไปยังจุดหมายที่ต้องการได้
อย่างมีชีวิตรอดและปลอดภัย

ความทุกข์ของคนๆนี้มี 2 มิติ คือ
ความทุกข์ทางกายซึ่งเป็นความเหนื่อยยาก
จากการต่อสู้กับกระแสน้ำเชี่ยวและการพยุงตัว
ขณะแหวกว่ายไปสู่จุดหมายปลายทาง
กับความทุกข์ในมิติที่สอง คือ ความทุกข์ทางใจ
ซึ่งเกิดจาก "จิตหยาบ" กระทำต่อตนเอง
โดยนำเอาสถานการณ์จริงที่กำลังเป็นปัญหานั้น
มาเป็นเงื่อนไข "ปรุงแต่ง" จนเกิดทุกข์ทางจิตขึ้น

เนื่องจากเงื่อนไขสถานการณ์นั้นมันเป็นลบ
จิตจึงสั่นสะเทือนเป็นด้านลบไปตามเงื่อนไขนั้น
จนเกิดอาการ "ทุกข์ใจ" ขึ้นโดยมิอาจระงับยับยั้งได้
เช่น จิตเกิดอาการกลัวจมน้ำตายเพราะหมดเรี่ยวแรง
จิตเกิดอาการวิตกกังวลว่าจะว่ายต้านน้ำเชี่ยวไม่ไหว
จิตเกิดอาการกลัวว่าตนจะว่ายไปไม่ถึงฝั่งฝัน
จิตเกิดอาการกลัวว่าจะว่ายไปเจอจระเข้กลางทาง

คนที่เกิดอาการ "หลงทุกข์" ก็คือ
คนที่พยายามจะกำจัดทุกข์หรือดับทุกข์ที่ในจิตใจตน
ขณะที่ตนกำลังอยู่ในท่ามกลางน้ำเชี่ยวนั้นแหละ
มันหมายความว่าท่านกำลังมองปัญหาแค่มิติเดียว
เพราะจิตท่านยึดติดใน "อัตตา" ตัวกูของกูใช่หรือไม่
ซึ่งหมายถึงอาการ "รักตัวกลัวตาย" เป็นที่สุดนั่นเอง
ท่านจึงใส่ใจใยดีที่จะจัดการกันแต่ตัวทุกข์ที่ในจิต

เราขอถามท่านว่า
ขณะกำลังจะจมน้ำตายจนเกิดอาการกลัว
ปัญหาที่แท้จริงของท่านคือทำอย่างไรจึงไม่จมน้ำ
หรือความกลัวจะจมน้ำอันหมายถึงความทุกข์ใจ
ปัญหาไหนยิ่งใหญ่กว่าสำคัญกว่ากันแน่

พวกท่านหนีทุกข์กลัวทุกข์พยายามดับทุกข์ที่ใจ
โดยไม่ใส่ใจปัญหาว่าทำอย่างไรจึงไม่จมน้ำตาย
ท่านคิดว่าเป็นวิธีที่คิดที่ถูกต้องหรือไม่ล่ะ
เราเชื่อว่ากว่าจะจัดการกับ "ความกลัว" ได้สำเร็จ
เห็นทีจักต้องจมน้ำตายเสียก่อนเป็นแน่แท้

ในชีวิตประจำวันของท่านก็เหมือนกัน
สถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่เป็นเงื่อนไขต่างๆ
ซึ่งตัวท่านต้องพบพานผ่านเผชิญนั้น
ถ้ามิใช่ปัญหาที่เกิดจากท่านเป็นผู้ก่อมันขึ้นมาเอง
ก็เป็นปัญหาที่เกิดจากคนรอบข้างท่านหยิบยื่นมาให้

ท่านจงคิดพิจารณาดูเองก็ได้ว่า
ที่ท่านเผชิญปัญหาใดๆในชีวิตแล้วเกิดทุกข์ใจนั้น
สถานการณ์มันไม่ต่างกันเลยกับคนที่กำลังว่ายน้ำ
แล้วเกิดปัญหาทางกายบานปลายเข้าไปทุกข์ถึงใจ

ท่านลองตรองดูเถิดว่า
ใครสั่งให้ท่านลงไปว่ายอยู่ในน้ำเชี่ยวนั้น
มันเป็นความประสงค์ของตัวท่านเอง
มันเป็นสถานการณ์ที่ท่านเลือกมันเอง
หรือมนุษย์ทุกคนต่างล้วนต้องเป็นเช่นท่าน
ใช่หรือไม่

ถ้ามันใช่...เพราะมนุษย์ทุกคน
ต้องลงไปแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำเชี่ยวกันทั้งนั้น
ในชีวิตของทุกคนจึงต้องเผชิญกับปัญหาคล้ายกัน
แล้วท่านจะเกิดทุกข์ใจไปทำไมใครๆก็เหมือนกัน

ใยไม่เปลี่ยนวิธีคิดใหม่จากเดิมที่ว่า
ปัญหาเป็นที่มาแห่งทุกข์ใจ
เปลี่ยนใหม่ว่า...ปัญหาเป็นที่มาแห่งปัญญา
คิดได้แบบนี้ความสงบสุขในจิตใจก็เกิดแล้ว

นี่กลับจะคิดขึ้นจากน้ำเพราะว่ายน้ำแล้วทุกข์ใจ
แปลว่าจะไม่ขอมาเกิดอีกเพราะไม่อยากว่ายน้ำ
หรือเพราะไม่อยากเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว
ทั้งๆที่พวกท่านยังไม่เคยหาคำตอบบ้างเลยว่า
จิตวิญญาณของตนมาจากไหน ใครให้มา
จิตวิญญาณของตนมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
เมื่อเกิดแล้วมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง
พวกท่านจึงเป็น นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง กันไม่ได้

อีกคำตอบหนึ่งนะ
ถ้ามันใช่...หรือเป็น สถานการณ์ที่เลือกได้
ท่านจะจมปลักอยู่กับสถานการณ์ที่เป็นปัญหา
แล้วนั่งๆนอนๆอมทุกข์อยู่ตลอดไปเช่นนั้นหรือ

ทำไมท่านไม่เลือกที่จะออกมาจากปัญหานั้นล่ะ
โดยขึ้นมาจากน้ำอันเชี่ยวกรากนั้นเสียทันที
เพียงแค่ท่านตัดสินใจใหม่โดยไม่ฝืนใจทำต่อ
ความทุกข์ทางใจทั้งหลายมันก็จะมลายหายสิ้น
เพราะเหตุแห่งทุกข์ใจมันไม่มีแล้วนั่นเอง

นอกจากนั้น
การเลือกที่จะพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยามทุกข์
การเลือกที่จะพึ่งพาเจ้าลัทธิภูติผีปีศาจของขลัง
การเลือกเข้าป่าเข้าวัดเพื่อทำจิตให้สงบชั่วคราว
การเลือกที่จะพึ่งพาอุตริอวิชชาหรือพึ่งพาโค้ช
เพราะพวกท่านออกจากความทุกข์นั้นๆไม่ได้
การทำเช่นนั้นมันช่วยให้ท่านพ้นทุกข์ได้จริงหรือ

ในเมื่อพระศาสดาของท่านทั้งหลายเอง
ก็ยังเคยตรัสเตือนสติพวกท่านเอาไว้แล้วว่า
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทรงเตือนนานนับพันปีแล้ว
ใยจึงไม่เชื่อฟังแล้วปฏิบัติธรรมตามพระองค์ล่ะ

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหนก็ช่วยท่านไม่ได้
เพราะยามหิวกระหายท่านต้องกินเองดื่มเอง
จะให้คนอื่นอิ่มแทนดับกระหายแทนมิได้

เจ้าลัทธิภูติผีปีศาจของขลังทั้งหลาย
ท่านหวังจะพึ่งพวกนี้ดับทุกข์ในจิตใจท่านหรือ
ในเมื่อพวกเจ้าลัทธิเองก็ยังมีปัญหาชีวิต
จนติดอยู่กับความทุกข์เพราะยังแก้ไขไม่ได้
ถ้าพวกเขาพ้นทุกข์ได้จริงแท้แน่นอนแล้ว
คงจะไม่พยายามทำตนเป็นเจ้าลัทธิกันอยู่หรอก

ภูติผีปีศาจก็เช่นกัน
ต่อให้พวกเขาเหล่านั้นมีฤทธิเดชมากแค่ไหน
ก็เป็นได้แค่เพียงจิตวิญญาณผู้หลงมิติ
ซึ่งมีทุกข์มากกว่ามนุษย์อย่างพวกท่านเสียอีก
เพราะท่านต้องมีส่วนบุญส่วนกุศลเซ่นไหว้
เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนตอบแทนพวกเขามิใช่หรือ
เนื่องจากพวกเขามีทุกข์เพราะทำบุญสุนทานมิได้

เพราะพวกเขามีแค่มิติเดียวคือกล่องจิตวิญญาณ
พวกเขาไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมหรือกายหยาบ
จึงบำบัดทุกข์ทางจิตวิญญาณของตนเองไม่ได้
จะทำบุญสุนทานแบบพวกท่านก็ทำไม่ได้
พวกท่านคิดจะพึ่งผู้ที่ยังพึ่งตัวเองไม่ได้กันทำไม

ดังนั้น
การบำบัดทุกข์ทางใจด้วยวิธีนี้
มันจึงมิใช่ทางเลือกทางแก้ที่ถูกต้องอีกใช่หรือไม่

การมีทุกข์แล้วหนีเข้าป่าเข้าวัด
เพื่อหาที่พึ่งทางจิตทำให้จิตสงบสงัดก็เช่นกัน
มันเป็นวิธีการด้านจิตวิทยาในการบรรเทาทุกข์
ด้วยการพาตัวเองออกจากสิ่งแวดล้อมที่มีปัญหา
ไปสู่สถานที่ใหม่สิ่งแวดล้อมใหม่กิจกรรมใหม่ๆ
เช่น ไหว้พระ สวดมนต์ และนั่งกรรมฐานสมาธิ
ซึ่งมันจะช่วยให้ตัวท่านนั้นจิตสงบเย็นลงได้
เพราะละลืมเงื่อนไขลบเดิมที่ทำให้ทุกข์ลงชั่วคราว

ระหว่างอยู่ป่าอยู่วัดที่สงบสงัด
ท่านจะผ่อนคลายหายทุกข์ใจไปได้มากใช่ไหม

ถ้าใช่...นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ท่านหลงทำ
แต่เมื่อกลับบ้านกลับสังคมสู่สิ่งแวดล้อมเดิม
ความสบายใจคลายทุกข์ตรงนั้นก็จะเปลี่ยนไป
พวกท่านจะกลับคืนบ้านมาทุกข์ใจอยู่อย่างเดิมอีก
แม้จะเวียนเข้าเวียนออกจากป่าจากวัดสักกี่ครั้ง
ก็ไม่อาจจะดับทุกข์ใจได้อย่างแท้จริงเลย

ดังนั้น
การบำบัดทุกข์ทางใจด้วยวิธีนี้
มันจึงมิใช่ทางเลือกที่ถูกต้องอีกใช่หรือไม่

ส่วนการเลือกที่จะพึ่งพาอุตริอวิชชา
เช่น การแก้กรรม การตัดกรรม การสะเดาะเคราะห์
การบวงสรวงเทพเทวดาภูติผีทั้งหลาย
เพื่อร้องขอให้พวกเขาช่วยเหลือท่านให้พ้นทุกข์
โดยที่ท่านยังไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใครช่วยได้จริงไหม
ถ้าช่วยได้พวกเขาจะช่วยท่านได้ด้วยวิธีการใด
พวกเขาจะดลบันดาลให้ท่านได้จริงหรือไม่

เพราะ "ความเชื่อ" ท่านจึงรู้สึกสบายใจที่ได้ทำ
แต่ความจริงแล้วความทุกข์นั้นยังคงแฝงจิตอยู่
โดยรอจังหวะเวลาที่จะโผล่ขึ้นมาเล่นงานท่านอีก

ดังนั้น
การบำบัดทุกข์ทางใจด้วยวิธีนี้
มันจึงมิใช่ทางเลือกที่ถูกต้องอีกใช่หรือไม่

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เรื่องของความทุกข์นั้นแท้จริงแล้วมิใช่เรื่องใหญ่
เรื่องของทุกข์ใจก็มิใช่เรื่องยากที่จะจัดการมัน
แต่เพราะพวกท่านไปเชื่อตามคนนำทางตาบอด
จึงทำเรื่องง่ายๆให้กลายเป็นเรื่องยากไป
เพราะแทนที่จะไปมุ่งจัดการ ความทุกข์ที่ในใจ
เปลี่ยนมาจัดการแก้ไขที่ สาเหตุแห่งทุกข์ แทน
จิตของท่านก็จะสุขสงบเพราะความว่างได้แล้ว

ดังนั้น
การบำบัดทุกข์ทางใจด้วยวิธีที่เรากล่าวมา
มันจึงมิใช่ทางเลือกทางแก้ที่ถูกต้องแต่อย่างใด
เพราะนอกจากจะแก้ทุกข์ดับทุกข์ยังมิได้แล้ว
มันอาจจะเพิ่มทุกข์มากขึ้นไปอีกก็ได้
เนื่องจากพวกท่าน เกาผิดที่คัน นั่นแหละท่าน

พี่ๆน้องๆทั้งหลาย

ความทุกข์ที่ในใจท่าน
มันเกิดจากการใช้จิตหยาบสั่นสะเทือนขันธ์ 5
ด้วย กิเลส หรือ ความรู้สึก เป็น "กรรมจักร"
ซึ่งพระบิดาทรงออกแบบที่ไม่ถูกต้องเอาไว้ให้
เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง
จากประสบการณ์จริงในชีวิตจริงนั่นแหละ
ซึ่งมันเป็นการ บรรลุธรรม อย่างหนึ่งนั่นเอง

เพราะฉุกคิดกันไม่ได้ว่า
ที่ท่านทั้งหลายหนีกฎแห่งกรรมกันไม่พ้น
จนต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏนั้น
เพราะพวกท่านติดพันอยู่กับ กรรมจักร
โดยแทรกแซงกรรมจักรที่เป็นอัตโนมัติ
ให้มันสั่นสะเทือนเป็น ธรรมจักร แทนไม่ได้

เมื่อไม่รู้ความจริงนี้เพราะไม่ฉุกคิด
คนนำทางตาบอดจึงพาท่านหลงทุกข์ทันที
ทั้งๆที่ตนเองใช้ขันธ์ 5 ไม่เป็นจึงเกิดทุกข์
แต่กลับจับเอาขันธ์ 5 เป็นจำเลยแทน
จึงพยายามจะดับทุกข์ดับอัตตาดับขันธ์ห้า
เพียรพยายามกันมาหลายภพชาติก็ไม่สำเร็จ

เพราะขันธ์ 5 เป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณ
ที่มอบให้จิตหยาบใช้แทนในการเป็นคนสองมิติ
เพื่อสร้างพลังงานความรักช่วยให้โลกหมุน
หรือใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกที่คุ้นหูกันอยู่นั่นแหละ
ขันธ์ 5 จึงจะทำลายทิ้งไม่ได้

นอกจากนั้นไม่รู้ว่าจะเสียเวลาเป็นภพชาติ
เพื่อพยายามจะดับขันธ์ 5 กันไปทำไม
เมื่อขันธ์ 5 ดับเองได้ทันทีที่จิตวิญญาณตาย
เพื่อกลับมาเกิดใหม่ในภพชาติหน้า

ด้วยเหตุนี้เองพระบิดาฯจึงตรัสว่า
ที่ท่านทั้งหลายยังติดทุกข์กันอยู่
เพราะ "ความโง่" คือมีสมองโตแต่ไม่รู้จักใช้
เพราะ "ความโง่" คือมีอายตนะปกติครบถ้วน
กลับพยายามไม่ใช้มันโดยจงใจทำให้มันพิการ
จึงไม่อาจหมุนธรรมจักรมอบความรักให้โลกได้
เพราะวันๆมัวแต่นั่งมองดูจิตตนเองทำเพื่อตนเอง
จนจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนต้องเศร้าหมอง
เพราะรู้ดีว่าเมื่อกลับมาเกิดชาติใหม่
จิตหยาบของตนจะยิ่งทำตัวเหลวไหล
จนเสียชาติเกิดเหมือนทุกภพชาติที่แล้วๆมา

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
ลูกขอพระบิดาทรงประทานพระพรให้
พี่ๆน้องๆคนใดที่ได้อ่านพระโอวาทบทนี้
ขอให้พวกเขามีสติทางวิญญาณด้วยเถิด
ขอพระองค์ทรงโปรดประทานปัญญา
ให้เข้าถึงพระอนุตรธรรมโอวาทของพระองค์
ได้อย่างถูกต้องถ่องแท้ด้วยเถิด

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14/12/2021




08 ธันวาคม 2564

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

08/12/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

จิตวิญญาณของท่านทั้งหลายนั้น
คือรูปธรรมที่มีลักษณะเป็นกล่องพลังงาน
ซึ่งมีรูปทรงเรขาคณิต 6 เหลี่ยมมุม
ที่เหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เพื่อรักษาความสมดุลในระบบตนเองไว้

จิตวิญญาณของพวกท่านทั้งหลายนั้น
เป็นผู้ขันอาสาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ข้ามมิติเข้ามาในเอกภพหรืออนันตจักรวาล
เพื่อมาเกิดเป็น ตัวตนแก่นแท้ ใน "รูปธรรมมนุษย์"
โดยแบ่งภาคตนเองออกมาเป็น จิตหยาบ
แล้วมอบอำนาจให้ "จิตหยาบ" ทำหน้าที่แทนตน
ตั้งแต่มีอายุครบสามขวบปีบริบูรณ์

ด้วยเหตุนี้เอง
ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
ขณะท่านมีภพชาติเป็นมนุษย์อยู่ในระบบโลกนั้น
ผู้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ก็คือ "จิตหยาบ" ซึ่งเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ
โดยจิตวิญญาณจะทำหน้าที่เป็น แก่นแท้
ซึ่งถูกขังอยู่ภายในตรงต่อมไร้ท่อ พิทูอิทารี่

ดังนั้น
การอ่านพระอักษรของพระบิดาที่เรากำลังสื่ออยู่นี้
การดำเนินชีวิตและการกระทำมาทุกสิ่งในขีวิตนั้น
"จิตหยาบ" ของท่านเป็นผู้กระทำทั้งหมดทั้งสิ้น
มีเพียงผลลัพธ์ของการกระทำเท่านั้นทั้งดีและชั่ว
เมื่อกำลังจะสิ้นอายุขัยจบสิ้นภพชาตินั้นๆไป
จิตหยาบก็จะอัพโหลดข้อมูลกรรมทั้งหมดที่ตนทำ
รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้ทำในบทบาท "คนสองมิติ"
นั่นคือ ขันธ์ห้า คืนให้จิตวิญญาณของท่านดังเดิม
ก่อนชีวิตจะดับลงภายในเวลาไม่กี่นาที

ขณะที่จิตหยาบกำลังอัพโหลดข้อมูลกรรม
ให้แก่จิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของท่านอยู่นั้น
อาการทุรนทุรายใดๆก็ตามไม่ว่ามากหรือน้อย
ที่ผู้นั้นแสดงออกมาทางวจีกรรมและกายกรรม
ก่อนจะสิ้นลมหายใจเพราะเครื่องยนต์ดับแล้วนั้น
มันคือตัวชี้วัดว่าตนก่อกรรมทำบาปไว้มากหรือน้อย
มันคืออาการที่จะบ่งชี้ว่าจิตหยาบของคนผู้นั้น
ก่อกรรมทำบาปชั่วอะไรแบบไหนเอาไว้บ้าง

อาการทุรนทุรายที่แสดงออกมานั้นคือ มายา
ที่ "จิตวิญญาณ" แก่นแท้ของท่านผู้นั้น
กำลังรับรู้ ข้อมูลกรรม จากจิตหยาบของตนที่ก่อไว้
โดยรับรู้เป็นครั้งแรกตั้งแต่มาเกิดในภพชาตินั้นเลย
จิตวิญญาณแก่นแท้นั้นจึงเกิดอาการ ตื่นตกใจ
จึงพยายามดิ้นรนเพื่อที่จะปฏิเสธผลกรรมชั่วนั้น
ทั้งๆที่รู้อยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าตนจะปฏิเสธมันไม่ได้

ต่างจากรายที่ปฏิบัติตามมรรควิถีจิตจักรวาล
ไม่หลับตาหลงเดินตามคนนำทางตาบอด
โดยพยายามเรียนรู้ที่จะใช้ขันธ์ 5 ที่พระบิดาให้มา
สั่นสะเทือนจิตหยาบเพื่อหมุนธรรมจักรให้สำเร็จ
โดยสอบให้ผ่านทุกบททดสอบจากคนรอบข้าง
ด้วยการตอบสนองทุกคนทุกเงื่อนไขสถานการณ์
เป็นความรักความเมตตาเท่านั้นไม่เป็นอย่างอื่น

การต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้าน
เมื่อคนรอบข้างสร้างเงื่อนไขด้านลบต่อท่าน
มันคือการชวนกันหมุนกรรมจักรเพื่อลงนรก

การรักได้ ให้อภัยเป็น ไม่ก้าวล่วงกลับคืน
เมื่อคนรอบข้างสร้างเงื่อนไขบวกหรือลบต่อท่าน
มันคือการชวนกัน หมุนธรรมจักร เพื่อหลุดพ้น
และเพื่อบรรลุภารกิจของจิตวิญญาณ
ที่ท่านต้องร่วมกันแสดงความรักและเมตตาต่อกัน
เพื่อใช้ความรักความเมตตานั้น "ค้ำจุนโลก" ให้สมดุล
ตราบที่ท่านทั้งหลายยังมีลมหายใจอยู่ในระบบโลก

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8/12/2021

 

มนุษย์มีหน้าที่ใช้ความรัก

หมุนธรรมจักรร่วมกันด้วยขันธ์ 5

เพื่อให้วิญญาณขันธ์ผลิตสร้างพลังงาน

ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก

ให้โลกนำไปใช้ในการหมุนรอบตัวเอง


07 ธันวาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

07/12/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เส้นทางบรรลุธรรมที่ คนนำทางตาบอด
ชวนพวกท่านให้หลับตาก้าวเดินตามกันมา
จนถึงปัจจุบันนานนับหลายภพชาติแล้วนั้น
เพราะว่ามันเป็นเส้นทางย่างเดินที่ไม่ถูกต้อง
จิตวิญญาณของท่านจึงยังต้องมีสังสารวัฏอยู่
เนื่องจากมิอาจบรรลุมรรคผลสูงสุดที่แท้จริงได้
การเวียนว่ายตายเกิดจึงต้องมีอยู่ต่อไปเรื่อยๆ
เพราะว่า "หลงทางนิพพาน" นั่นเอง

สาเหตุที่คนนำทางตาบอด
พาท่านทั้งหลายหลงทางนิพพานก็เพราะว่า

1.พวกเขาไม่รู้ความจริงว่า
จิตวิญญาณแก่นแท้ของเขาทั้งหลายนั้น
เป็นใคร มาจากไหน มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
จิตวิญญาณพวกเขามีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง
ขณะมีชีวิตอยู่บนดาวเคราะห์โลกเสรีนี้

2.เมื่อคนนำทางทั้งหลายไม่รู้ความจริง
ซึ่งเป็น อนุตรธรรม ตามที่เราระบุไว้ในข้อ 1.
พวกเขาจึงมองว่าไม่น่ามาเกิดเป็นมนุษย์เลย

เพราะพวกเขาเห็นว่าการเกิดแก่เจ็บตาย
หรือการมาเกิดเป็นมนุษย์โลกนั้นมีแต่ทุกข์
การมีชีวิตอยู่ร่วมกันในการเป็นสัตว์สังคมก็ทุกข์
การเวียนว่ายตายเกิดหรือมีสังสารวัฏก็เป็นทุกข์
เพราะสังคมเต็มไปด้วยความวุ่นวายไม่สงบ
มากคนจึงมากความเพราะมีความแตกต่างกันมาก

ภาพรวมที่คนนำทางตาบอดมองเห็น
ทั้งการใช้ชีวิตอยู่ในโลกมายา
ซึ่งเต็มไปด้วยปัญหาจนนำพาให้เกิดทุกข์แล้ว
มนุษย์ก็ยังมองว่าจิตวิญญาณของตนก็ทุกข์ด้วย
โดยกองทุกข์ของจิตวิญญาณที่พวกเขาเห็นก็คือ

การต้องตกเป็นทาสของกฎแห่งกรรม
การเวียนตายเวียนเกิดของจิตวิญญาณไม่รู้สิ้นสุด
การตกนรกที่พวกเขามองว่าน่ากลัว เป็นต้น

3.เมื่อคนนำทางตาบอดมีความเชื่อความเห็น
ตามแนวทางที่เรากล่าวมาในข้อ 1.และข้อ 2.นั้น
หลักปฏิบัติธรรมของพวกเขาจึงมีอยู่ประมาณนี้คือ

หลักที่ 1.
พยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้ตนพ้นไปจากกองทุกข์

หลักที่ 2.
พยายามจะดับอัตตาตัวตนของตนให้เป็นอนัตตา
เพราะเชื่อว่าถ้ายังมี "อัตตา" ก็จะยังมีตัวรู้ว่าทุกข์อยู่
หากดับอัตตาตัวตนของตนได้ตนก็จะไม่ทุกข์อีก

หลักที่ 3.
พวกเขาจึงพยายามมุ่งที่จะดับ "ขันธ์ 5"
ซึ่งพระบิดาทรงกำหนดติดตั้งไว้ให้จิตหยาบใช้
เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ให้เกิดการกระทำในสองมิติขึ้นขณะเป็นมนุษย์
เพื่อใช้ขันธ์ 5 สร้างเมตตาธรรมค้ำจุนโลก

โดยคนนำทางตาบอดทั้งหลายมองว่า
ขันธ์ 5 เป็นตัวการทำให้ตนมีชีวิตอุบัติขึ้น
ขันธ์ 5 เป็นตัวการที่ทำให้ตนเกิดทุกข์ขึ้น

ด้วยเหตุเหล่านี้เอง
แนวทางการปฏิบัติธรรมจึงมุ่งดับกันที่ขันธ์ 5
ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดบาปต่อจิตวิญญาณ
เพราะเป็นการมุ่งทำลายเครื่องมือชิ้นสำคัญ
ที่จิตวิญญาณต้องใช้ทำหน้าที่เมื่อเป็นมนุษย์

นอกจากนั้นการปฏิบัติธรรมของพวกเขา
ยังมุ่งไปที่การ นิพพาน คือตายแล้วไม่เกิดอีก
ทั้งๆที่การบรรลุธรรมตามมรรควิถีจิตจักรวาลนั้น
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
จิตหยาบต้องหาวิธีที่จะทำให้จิตวิญญาณไม่ตาย
จักได้อยู่ทำหน้าที่ของจิตวิญญาณไปยาวๆ
เพื่อเป็น เพื่อนร่วมงานของโลก จนถึงวันสิ้นยุค
ซึ่งเป็นความเชื่อที่สวนทางกันกับความจริง
อย่างสิ้นเชิงและน่าเศร้าใจ

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ความเชื่อของคนนำทางตาบอด
ที่มันวิปริตผิดเพี้ยนไปจากความจริง
จนนำไปสู่การปฏิบัติธรรมแบบอุตริพิเรนทร์
ดังที่เราได้กล่าวมาพอสังเขปข้างต้นนั้น
เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ อนุตรธรรม

"อนุตรธรรม" เป็นความจริงนอกระบบเอกภพ
ที่พระผู้สร้างหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณเท่านั้น
จะทรงกล่าวให้มนุษย์โลกทุกคนรับรู้ความจริงได้
พระศาสดาที่มาจากโลกผู้เกิดจากโลกเอง
จะไม่สามารถกล่าวความจริงที่เป็นอนุตรธรรมนี้ได้
ด้วยข้อจำกัดด้านขีดความสามารถของสมอง
ที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ให้ใช้แค่สองซีกเท่านั้น

โดยสมองซีกซ้ายให้เอาไว้ใช้ศึกษา โลกิยธรรม
สมองซีกขวาเอาไว้ให้คิดสังเคราะห์ โลกุตรธรรม
สมองจึงไม่มีส่วนใดเหลือให้ใช้เพื่อ "อนุตรธรรม"
พระองค์จึงต้องมีพระบัญชาให้เรากลับมา
เพื่อทำหน้าที่สื่อพระโอวาทประกาศอนุตรธรรม
ให้มนุษย์ทั้งโลกได้รู้ความจริงที่รู้ด้วยตนเองมิได้

ถ้าพวกท่านไม่รู้ความจริงเหล่านี้
ก็จะพากันหลงทางนิพพานเพราะเชื่อผิดทำผิดอีก
โดยจะพากันละทิ้งหน้าที่ของจิตวิญญาณที่มาเกิด
ด้วยการหาทางตายแล้วไม่เกิดอีกอยู่ต่อไป

คืนวันที่ผ่านไป "จิตหยาบ" ยังปล่อยให้จิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของพวกท่านทั้งหลาย
ถูกกักขังอย่างไร้อิสระรอการปลดปล่อยอยู่ข้างใน
ไม่อาจออกมา "คน" สองมิติให้เป็นมนุษย์ได้อีกด้วย

การปิดหูปิดตาตัวเอง
เพื่อฟังแต่จิตหยาบของตนโดยไม่ฟังใคร
การมุ่งทำทุกสิ่งเพื่อสนองความต้องการตนเอง
โดยไม่สนใจที่จะทำเพื่อจิตวิญญาณของตน
ไม่สนใจที่จะทำเพื่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกของตน
ไม่สนใจที่จะทำเพื่อดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้
ไม่สนใจที่จะทำเพื่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ตามที่จิตวิญญาณขันอาสาพระองค์เข้ามาทำ

ล้วนเป็นการปฏิบัติธรรมที่ไม่ถูกต้อง
อย่างน้อยก็สำแดงให้เห็นว่า
เป็นการแสดงความเห็นแก่ตัว
เพราะมุ่งปฏิบัติธรรมด้วยการทำเพื่อตัวเอง
เหมือนอยากจะไปสวรรค์คนเดียวนั่นแหละ

อนุตรธรรมความจริงที่เรากล่าวเหล่านี้
เรากล่าวตามพระบิดาที่ทรงเมตตาพวกท่าน
จงใช้จิตตปัญญาของท่านวิเคราะห์แล้วสังเคราะห์
เพื่อเข้าใจและเข้าถึงกันให้ได้เร็วที่สุด
จงอย่ายึดติดความเชื่อในอวิชชาแต่เดิมไว้
โดยทำตนเหมือน "ลิงหวงเถาวัลย์" กันอยู่เลย

เวลาของจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ในการปฏิบัติภารกิจบนโลกเสรีนี้
ได้สิ้นสุดยุติลงแล้ว

โลกกำลังจะมืดอย่างยาวนาน
ภัยพิบัติแรงๆก็กำลังจะมา
ปลาตัวดื้อที่ยังหายใจด้วยปอดกันอยู่
เพราะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงจักต้องถูกคัดทิ้ง

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา


เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7/12/2021


 

06 ธันวาคม 2564

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

06/12/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คำว่า นินทา กับ คำว่า ปรึกษา สองคำนี้
นัยความหมายเชิงพฤติกรรมไม่เหมือนกัน

คำว่า "นินทา" หมายถึง
การนำเอาเรื่องที่ไม่ควรเปิดเผยของบุคคลที่สอง
ไปบอกเล่าต่อบุคคลที่สามไม่ว่าจะตั้งใจไม่ตั้งใจ
โดยบุคคลที่สองนั้นมิได้อนุญาตให้นำไปเปิดเผย
เพราะมันเป็น เรื่องส่วนตัว ของเขานั่นเอง

ทั้งนี้บุคคลที่สองที่เป็นผู้ถูกท่านนินทานั้น
อาจเป็นลูกผัวตัวเมียวงศาคณาญาติ
อาจเป็นพรรคพวกเพื่อนฝูงของท่าน
อาจเป็นแค่คนรู้จักกัน
หรืออาจจะมิได้เกี่ยวข้องอะไรกันกับท่านเลย
เขาเป็นแค่ดาราที่มีเรื่องคาวๆคนหนึ่ง
ซึ่งกำลังโด่งดังอยู่ในโลกโซเชี่ยลก็ตาม
ที่สำคัญก็คือไม่ว่าเรื่องที่ท่านเอาไปกล่าวถึง
หรือนำไปกล่าวพาดพิงนั้นจะจริงหรือเท็จก็ตาม
ก็ล้วนอยู่ในหมวดของ "นินทา" ว่าร้ายผู้อื่นทั้งสิ้น

ดังนั้น
การนินทาว่าร้ายโดยกล่าวถึงผู้อื่นในด้านไม่ดี
ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จหรือใส่ร้าย
ล้วนเป็นการล่วงละเมิดอำนาจของผู้อื่นทั้งสิ้น
ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขให้ผู้อื่นเสียสมดุลทางจิตใจ
จนสั่นสะเทือน "ขันธ์ 5" เป็น กรรมจักร ขึ้นมาได้

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
ผู้ที่เป็นตัวการทำลายความสมดุลทางจิตใจผู้อื่น
จะผิดบาปจะต้องรับโทษตาม กฎแห่งกรรม เสมอ

ถ้าท่านนินทาว่าร้ายใครเพราะ "คันปาก"
แสดงว่าท่านทำร้ายผู้อื่นแบบคนปากพล่อย
แสดงว่าท่านทำบาปนั้นเพราะการขาดสติ
หากท่านทำตนขาดสติแบบนี้อยู่เนืองนิจ
ชาตินี้เมื่อตายไปแล้วบาปกรรมนี้ของท่าน
จิตวิญญาณก็จะถือติดตัวมาเกิดใหม่ในชาติหน้า
ก็ฟันธงได้เลยว่าชาติหน้าจะต้องเป็นคนเสียสติ
ชนิดที่ไม่สามารถจะควบคุมพฤติกรรมตนเองได้
หนักสุดก็คือเป็นคน "บ้า" ประเภทหนึ่งนั่นแหละ

คำว่า "ปรึกษา" หมายถึง
การนำเอาเรื่องราวที่ไม่ดีของบุคคลที่สอง
ไปกล่าวความจริงนั้นต่อบุคคลที่สาม
โดยบุคคลที่สามเป็นคนที่ท่านศรัทธาเชื่อถือ
เพื่อขอคำแนะนำขอคำปรึกษาหรือขอหารือ
ด้วยเจตนาที่จะหาข้อมูลหาแนวทางหาวิธี
เพื่อนำไปช่วยเหลือบุคคลที่สองที่ตนกล่าวถึง
ด้วยความรักและปรารถนาดีอย่างมี "มหาสติ"

อันเป็นการนำเรื่องไม่ดีของคนหนึ่ง
ไปกล่าวพาดพิงถึงด้วยเจตนาที่เป็นบวก
โดยนำไปกล่าวถึงกับบุคคลที่ตนตั้งใจปรึกษา
เพราะเห็นว่าจะได้รับความเมตตาชี้แนะได้

ตัวอย่างเช่นการปรึกษาปัญหาใดๆ
ที่เกี่ยวกับลูกผัวตัวเมียของท่านกับผู้อื่น
จึงเป็นการชักชวนผู้อื่นให้หมุน "ธรรมจักร" ด้วย
โดยใช้ปัญหาของลูกเป็นเงื่อนไขให้เขาเมตตา

เมื่อเขาใช้ขันธ์ 5 สั่นสะเทือนเป็นความเมตตา
ท่านก็จะได้รับคำตอบคำชี้แนะที่ดีๆจากผู้รู้นั้น
พร้อมๆกับการที่เขาหมุนธรรมจักรร่วมกันกับท่าน
เพื่อจะผลิตพลังงานความรักช่วยให้โลกหมุนด้วย

ส่วนการนินทาเรื่องของลูกกับบุคคลทั่วไป
มันจะเป็นการหมุน "กรรมจักร" อย่างชัดเจน
เพราะว่า "ไม่ใช่การเรียนรู้" แต่เป้าหมายคือ
ต้องการระบายปัญหาในครอบครัวของตัวเอง
ที่เกี่ยวกับ "ลูก" หรือคนใดคนหนึ่งในครอบครัว
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีโดยนำไปพ่นทนา (โพนทนา)
ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วยที่เป็นคนนอกฟัง
โดยตอบไม่ได้ว่าเอาไปเล่าให้เขาฟังทำไม
ทั้งๆที่บางทีเขายังไม่ได้ถามเรื่องนี้ด้วยซ้ำไป

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
การนินทาว่าร้ายคนอื่น
หรือการนำเอาเรื่องไม่ดีของคนอื่นไปเปิดเผย
มันยังจะเป็นการผิดบาปข้อหา ลักทรัพย์ ผู้อื่น
ในอันที่จะต้องโทษตามกฎแห่งกรรมอีกด้วย
ซึ่งเกิดจากการ "หมุนกรรมจักร" ของจิตหยาบ
ที่ท่านประมาทหรือขาดสติโดยแท้

ด้วยเหตุนี้เอง
ถ้าท่านมีนิสัยสันดานเป็นพวก "ปากพาจน"
ยังทำให้ลิ้นของตนมีมลทินแบบนี้กันอยู่แล้ว
ผัวของตน เมียของตน พ่อแม่ของตน คนที่ตนรัก
ก็จะถูกท่านก้าวล่วงให้เสียหายกลายเป็นบาป
เพราะปากของคนกันเองอย่างท่านนี่แหละ

ดังนั้น
พระบิดาจึงทรงสร้างขี้ปากขี้ฟันของพวกท่านไว้
เพื่อผู้ที่สามารถเข้าถึงการพึ่งสติปัญญาตนเองได้
จักได้เรียนรู้ว่าถ้าไม่หมั่นล้างปากแปรงฟัน
ขี้ฟันในปากก็จะเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากมาย
แบ็คทีเรียมากมายที่เกิดขึ้นจะทำให้ปากเหม็น
เมื่อปากเหม็นก็ไม่มีใครคบคุยไม่มีใครชิดใกล้
แปลว่าท่านจะเป็นบุคคลที่ตนอื่นเขารังเกียจ

พระบิดาจึงทรงเตือนพวกท่านว่า
ต้องทำปากให้สะอาดไว้เสมอ
โดยไม่พูดเรื่องชั่วร้ายหรือเรื่องไม่ดีของคนอื่น
ไม่นินทาว่าร้ายไม่กล่าวคำเท็จหรือด่าหยาบคาย
หรือใช้ลิ้นของท่านกล่าวจาบจ้วงล่วงเกินใคร
เพราะมันล้วนยังผลให้ท่าน ปากเหม็น ทั้งสิ้น

การทำปากและลิ้นให้สะอาดบริสุทธิ์ไว้
จึงไม่ต่างจากคนที่มีลมปากลมหายใจหอม
คนรอบข้างคนใกล้ตัวคนใกล้ชิดก็จะไม่รังเกียจ
เพราะท่านหมุนธรรมจักรในตนเองด้วยขันธ์ 5
แล้วพาให้คนรอบข้างทุกคนหมุนธรรมจักรตาม
นี่จึงเป็นการปฏิบัติธรรมชั้นสูงแต่เบสิคที่สุด
ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องทำมันให้ได้เพราะไม่ยาก

การฝึกใช้ขันธ์ห้าให้เป็นคือการพ้นทุกข์แท้จริง
การพยายามจะดับขันธ์ห้าจึงเป็นการทำพิเรนทร์
ซึ่งมันเป็นไปได้ยากมากเพราะเป็นจริงไม่ได้
เมื่อตายแล้วเท่านั้นขันธ์ 5 เขาก็จะดับกันไปเอง
เพราะพระบิดาหรือพระผู้สร้างทรงออกแบบไว้
ให้มันต้องเป็นของมันเช่นนั้นแล......

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6/12/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล 

06/12/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณคือ องค์จิตจักรวาล
ทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นไว้ใน "เอกภพ"
ซึ่งเป็น อนันตจักรวาล อันไพศาลนี้

โดยพระประสงค์ที่แท้จริงที่ทรงสร้าง
เอกภพและสรรพสิ่งต่างๆเอาไว้ข้างใน
ก็เพื่อที่จะใช้เป็น ห้องทดลอง ของพระองค์
เพราะทรงปรารถนาที่จะ เรียนรู้ ว่า
จะทรงสามารถที่จะทำที่จะสร้างสิ่งใดได้บ้าง

เพราะเหตุดังว่านี้เอง
ภายในห้องทดลองขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเอกภพนี้
จึงบรรจุเอาไว้ด้วยสรรพสิ่งต่างๆอันหลากหลาย
จึงเต็มไปด้วยปรากฏการณ์และรูปแบบอยู่มากมาย
จึงเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้และองค์ธรรมในหลากมิติ

วิธีการเรียนรู้ของพระองค์ก็คือ การสร้างใหม่
โดยกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายให้ชัดเจน
แล้วทรงหาวิธีปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์นั้น
ดังตัวอย่างจากเรื่องจริงต่อไปนี้

1.ทรงปรารถนาที่จะมีห้องทดลองสักห้องหนึ่ง
เพื่อใช้สำหรับ "การเรียนรู้" ของพระองค์
โดยให้เป็นพื้นที่จำเพาะและมีขอบเขตจำกัด
ซึ่งสามารถบรรจุทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
บรรจุเรื่องราวรูปแบบและปรากฏการณ์ใดๆไว้ได้

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น
เป็นเป้าประสงค์อันดับแรกของการสร้าง

2.เมื่อทรงกำหนดเป้าประสงค์ในการสร้างแล้ว
พระองค์ต้องหาวิธีที่จะเข้าถึงเป้าประสงค์นั้น
โดยจักต้องทรงเรียนรู้ให้ได้ว่า
จะทรงสร้างห้องทดลองในมิติทางพลังงาน
ให้เป็นรูปธรรมตามที่ทรงพระดำริได้อย่างไร
ในที่สุดก็ทรงค้นพบความจริงในการสร้างได้ว่า

ขั้นแรก
จักต้อง "ปู" พลังงานใหม่จำนวนหนึ่ง
ลงไปบนสนามพลังงานที่เป็น "พระนิเวศน์" ก่อน

ขั้นที่สอง
พระองค์ต้องทรงเรียนรู้เป็นลำดับต่อไปอีกว่า
จะทรงใช้พลังงานใหม่ที่ปูไว้เรียบร้อยแล้วนั้น
สร้างห้องทดลองที่ทำด้วยพลังงานได้อย่างไร

ในที่สุดก็ทรงค้นพบความจริงว่า
ต้องทำให้อนุภาคของพลังงานใหม่ที่ทรงปูไว้นั้น
ฟุ้งกระจายตัวจนเป็นรูปธรรมตามที่ทรงออกแบบไว้
นั่นคือเป็นรูปทรงรีคล้ายชามสองใบประกบกัน
โดยพระองค์ทรงสร้างกาแล็กซี "ธารสายน้ำนม"
ให้มีลักษณะคล้ายใบพัดของเฮลิคอปเตอร์
เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางแนวระนาบของห้องทดลองนี้
โดยทรงกำหนดให้หมุนรอบแกนกลางอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้กาแล็กซีหมุนกวาดอนุภาคพลังงานที่ทรงปูไว้
เกิดการ "ฟุ้งกระจาย" ขยายตัวไปในแนวระนาบ

ขณะเดียวกัน
พระองค์ยังทรงกำหนดสร้างกาแล็กซีที่เล็กกว่า
เป็นจำนวนถึง 12,500 ล้านกาแล็กซี่
ให้เหวี่ยงหมุนรอบแกนกลางอย่างต่อเนื่อง
เพื่อช่วยกันทำให้อนุภาคพลังงานฟุ้งกระจาย
จนได้ห้องทดลองตามรูปแบบและขนาด
ที่ทรงออกแบบไว้ตั้งแต่แรกแล้วนั่นเอง

3.หลังจากทรงเริ่มต้นไว้ทั้งหมดนั้นแล้ว
พระองค์ก็ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งต่างๆอีกมากมาย
ทั้งที่เป็นระบบเล็กและระบบใหญ่
โดยทุกระบบจะเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันตลอด
จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้
เพราะทรงกำหนดให้ทุกสิ่งล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ที่เรากล่าวถึงงานสร้างเอกภพของพระองค์
โดยยกเอามาเพียงแค่เมื่อแรกสร้างเท่านั้น
เพราะต้องการจะบอกความจริงต่อพวกท่านว่า
สรรพสิ่งทั้งหลายในธรรมชาติรายรอบตัวท่าน
ทั้งที่อยู่ห่างไกลออกไปในจักรวาล
รวมทั้งที่เป็นบรรพบุรุษมนุษย์ของพวกท่านเอง
ล้วนเป็นพระบิดาหรือพระเจ้าทรงสร้างขึ้นทั้งสิ้น

เนื่องจากพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ไว้บนโลก
หลังจากทรงสร้างสรรพสิ่งที่ว่านั้นไว้ก่อนแล้ว
พวกท่านจึงไม่มีผู้ใดเห็นการทรงงานของพระองค์
ภพชาติแรกของบรรพบุรุษมนุษย์ของพวกท่าน
หรือพวกท่านเองที่เวียนว่ายตายเกิดกันทุกภพชาติ
ก็ล้วนไม่มีใครได้แลเห็น "การสร้าง" ของพระองค์

ดังนั้น
มนุษย์ทั้งหลายที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดบนโลก
เมื่อโตใหญ่จนเริ่มจำความได้แล้วก็จริงอยู่
จะเรียกทุกสรรพสิ่งทุกปรากฎการณ์
ที่ตนพบเห็นนั้นว่ามันคือ ธรรมชาติ
มันเกิดจาก "ธรรมชาติ" หรือธรรมชาติเป็น ผู้สร้าง

พวกท่านส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อเรื่อง พระผู้สร้าง
ไม่เชื่อว่าตนมี พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ไม่เชื่อว่า พระผู้เป็นเจ้า ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง
เพราะพวกท่านเหล่านั้นไม่เคยรู้เห็นพระองค์
เพราะพวกท่านเหล่านั้นใช้สติปัญญาที่มีอยู่
พิสูจน์ว่าพระเจ้าหรือพระผู้สร้างมีจริงไม่เป็น
โดยพยายามใช้แต่ "สองตาเนื้อ" ส่องพิสูจน์กัน
จึงไม่สามารถเข้าถึงความจริงที่จริงแท้ได้

ขณะที่พวกท่านผู้ปฏิเสธพระบิดา
กลับเชื่อคนนำทางตาบอดอย่างว่าง่าย
เช่น เชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณว่ามีจริง

แต่ถ้าถามว่าจิตวิญญาณเป็นใครมาจากไหน
จิตวิญญาณมีตัวตนรูปลักษณ์แบบใด
จิตวิญญาณของพวกท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
คนนำทางตาบอดตอบว่า "อย่าถามเลย" อย่ารู้เลย
เพราะมันเป็น อจินไตย คิดมากไปเดี๋ยวเสียสติ
แต่มนุษย์ที่ปฏิเสธพระบิดากลับพากันเชื่อตาม
ทั้งๆที่ตนยังไม่รู้ความจริงหรือรู้จริงแต่ยังไม่เข้าใจ

ฟังคนนำทางตาบอดสอนว่า "นรก" มีจริง
แต่เมื่อถามว่า "ใครสร้างนรก" ก็ตอบไม่ได้
บอกได้แต่เพียงว่ามันเป็นเรื่อง "อจินไตย"
มนุษย์ที่ปฏิเสธพระบิดาทั้งหลาย
ก็ยังพากันเชื่อตามอย่างว่าง่ายอีกเช่นกัน

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ถ้าพวกท่านยังไม่เรียนรู้ที่จะยกระดับจิตตปัญญา
พวกท่านก็จะกลายเป็นคน โง่ง่าย หรือ ลาดยาก
เพราะใช้ปัญญาของสมองสองซีกไม่เป็น

พวกท่านจะเป็นคน งมงาย หรือ งมง่าย
เพราะเชื่อง่ายๆในสิ่งที่ตนอธิบายไม่ได้
เพราะปฏิเสธง่ายๆในสิ่งที่ตนยังไม่เข้าใจ

การจะเป็นผู้บรรลุธรรม
ทั้งเบื้องต้น เบื้องกลางและเบื้องปลาย
หรือการจะประสบความสำเร็จในทางโลก
พวกท่านจะขาดความฉลาดทางปัญญา
ขาดความฉลาดทางอารมณ์และสังคมไม่ได้เลย

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6/12/2021