29 พฤษภาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 29/05/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพราะโลกนี้เป็นโลกเสรี
คนค้าคนขายย่อมต้องการกำไร
คนซื้อของย่อมต้องการของถูก
ทั้งสองฝ่ายจึง "ไม่ผิด" ที่ต่างคิดปรารถนาเช่นนั้น

จงอย่ามองพวกเขาว่า "เอาเปรียบ" กัน
จงอย่าประนามกันว่า ใครโง่ ใครฉลาด
จนพาลมองโลกในแง่ร้ายว่า "โลกนี้ไม่มีใครดี 100%"
ซึ่งคงจะรวมทั้งตัวท่านเองด้วย

อันคำว่า "โลกเสรี" แปลความได้ว่า
คนขายพอใจจะขายถูก-แพงเป็นเรื่องของคนขาย
การจะพอใจขายหรือไม่ขายก็เป็นเรื่องของคนขาย

ส่วนคนซื้อพอใจจะซื้อถูกซื้อแพงก็เป็นเรื่องของคนซื้อ
จะพอใจซื้อหรือไม่ซื้อก็เป็นเรื่องของคนซื้อ
คำว่า "โลกเสรี" ความหมายมันเป็นแบบนี้

ดังนั้น
เมื่อทุกสิ่งอยู่ที่ความพอใจของทุกคน
โดยไม่มีใครบังคับขืนใจใคร
การจะเหมาว่าใครเอาเปรียบใครคงไม่ได้หรอกท่าน

สำหรับความโง่ความฉลาดของคนซื้อนั้น
ต้องพิจารณากันตรงที่ว่า
คนซื้อตกเป็นทาสการถูกจูงใจให้ซื้อหรือเปล่า
ถ้าไปตกลงใจซื้อในสิ่งไม่สมควรซื้อ
เช่น ซื้อเพราะถูกคนขาย "จูงใจ" ให้ซื้อ
ด้วยคำพูด ด้วยคำโฆษณาชวนเชื่อ
ด้วยของแถม ด้วยกลยุทธการขายเหนือชั้น ฯลฯ
มิใช่ซื้อเพราะประโยชน์ที่ต้องการและราคาที่ตนพอใจ
อย่างนี่แหละจึงจัดว่าคนซื้อ "โง่"

ส่วนคนขายของนั้น
ธรรมดาแล้วคงไม่มีใครโง่หรอก
คนโง่ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นคนขายได้หรอก
เพราะคนขายต้องฉลาดพอที่จะรู้ว่า
อะไรควรขาย ขายอย่างไร จะเอากำไรเท่าไหร่
จะขายให้ใคร กลยุทธการขายเป็นอย่างไร เป็นต้น
ถ้าเป็นคนโง่จะคิดออกบอกได้ในหลากประเด็นนี้หรือ

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

การที่บางท่านมองว่า
"โลกนี้" ไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น...ถูกต้องแล้ว
แต่ที่ถูกต้องกว่าก็คือมองเห็นแล้ว
คิดยังไงต่อหรือท้อแท้ล่ะ

การที่โลกนี้คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มี
ก็เพราะโลกนี้เป็นห้องเรียนขนาดใหญ่
ที่จิตวิญญาณจำนวนมากมาย
ถูกส่งเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อเรียนรู้ที่จะเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ให้จงได้
ถ้ายังดีพร้อมไม่ได้
ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดเรียนรู้ซ้ำชั้นกันต่อไป
คนทีเขาดีพร้อมแล้ว เขาหลุดพ้นไปแล้ว
ท่านจึงไม่เคยพบเห็นพวกเขาเหล่านั้นอีกเลย
ส่วนคนที่ท่านเห็นว่ายังอยู่บนโลกนี้นั้น
ก็คือคนส่วนใหญ่ที่กำลังเรียนรู้จะเป็นคนดีพร้อมอยู่
เราจึงติติงมาให้ท่านมองให้ถูกมุมด้วย

ส่วนการที่คนซื้อติว่าของไม่ดีทั้งที่ใจอยากซื้อ
นั่นเป็นการพูดเท็จ ไม่มีสัจจะ ไม่จริงใจ พูดไม่จริง
ถ้าเธอไม่อยากซื้อจะมามัวเสียเวลาตื๊อคนขายกันทำไม
เมื่อคนขายใจอ่อนเพราะอยากขาย (มิใช่โง่นะ)
จึงลดราคาขายให้ตามใจผู้ซื้อแต่ก็พอมีกำไรอยู่

หลังจากเธอซื้อของไปแล้ว
ก็เที่ยวเอาไปคุยอวดคนอื่นว่า
ของที่เธอซื้อมานั้นแสนจะดี๊ดี...แถมราคาถูกด้วย
นี่ก็เป็นการยืนยันว่าคนซื้อไม่มีสัจจะ ไม่ซื่อสัตย์
ไม่จริงใจ ไม่ซื่อตรง

ตัวอย่างคำสอนของเราเรื่องคนซื้อคนขาย
ต้องการเน้นแค่เพียงว่า
เกิดเป็นมนุษย์ให้ระวังการไม่ซื่อตรง ไม่มีสัจจะ
เพราะความโลภสามารถทำให้ท่าน
กลายเป็นคนไม่ชอบธรรมได้ง่ายๆ
เรามิได้นำมากล่าวไว้เพื่อให้ใครปลงอนิจจังว่า
ในโลกนี้ใครๆก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น
แต่เรานำมาชี้ให้ท่านทั้งหลายเห็น
ก็เพื่อชวนให้ท่านไม่เป็นแบบนี้ต่างหาก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-05-2019

คำสอน 29/05/2019

 

ได้ความคิด ได้สติปัญญา
ดีกว่าได้ทองคำก้อนใหญ่
ได้ความรู้ ความเข้าใจ
ดีกว่าได้เงินถุงเงินถัง

คำสอน 29/05/2019

 

ผมหงอกขาว

เป็นดั่งมงกุฏแห่งศักดิ์ศรี
ท่านจึงต้องเพียรสั่งสมมันมา
ด้วยชีวิตอันชอบธรรม

คำสอน 29/05/2019

 

ตายจากโลกโยกไปในแดนสรวง
มิใช่ล่วงหลุดพ้นบนวิถี
จะคืนกลับแดนนิพพานในทันที
ถ้าน้องพี่ตามติด "จิตจักรวาล"

15 พฤษภาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 15/05/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

เราเป็นใคร ใครเป็นเรา เขาโจษขาน

เนิ่นนมนาน ก้าวล่วง ทวงสงสัย

ว่าอยากดัง อยากรวย ดั่งอวยชัย

ทั้งว่าร้าย ทำลายศาสน์ บังอาจจริง

อีกหนึ่งข้อ กล่าวหา ว่าเราเพี้ยน

โดยไม่เรียน ให้เข้าใจ ในทุกสิ่ง

ที่เราสื่อ ผ่านมา น่าท้วงติง

หรือเป็นสิ่ง มหัศจรรย์ ทางปัญญา

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

15-05-2019

04 พฤษภาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 4/05/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อคนบางคน

ที่มีสันดานก้าวร้าว

เพราะไร้สติและขาดปัญญา

จึงเข้ามาก้าวล่วงเราและองค์พระบิดาฯ

ถึงในห้องเรียนซึ่งเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์นี้ว่า

 

ขณะท่านก้าวย่างสัญจรไปตามทาง

ถ้าท่านพบก้อนหิน ท่อนไม้ หรือตอไม้

จนแม้กระทั่งต้นไม้ที่ขัดหูขัดตาขัดใจท่าน

จงใช้สติปัญญาของท่าน

ตอบหน่อยได้ไหมว่า

ท่านเคยทำอย่างไรมาบ้าง

เมื่อพบเจอสี่อย่างนี้บนเส้นทางที่ย่างเดิน

 

1. ท่านจะใช้เท้าเตะหินก้อนนั้นมั้ย?

ถ้าท่านเตะหินก้อนนั้น

ท่านเตะมันทำไม

 

ถ้าท่านไม่เตะ "หิน" ก้อนนั้น

ทำไมท่านจึงไม่เตะมัน

 

2. ท่านจะถุยน้ำลายใส่ "ท่อนไม้" นั้นมั้ย?

ถ้าท่านถุยน้ำลายใส่ท่อนไม้ท่อนนั้น

ท่านถุยใส่มันทำไม

 

ถ้าท่านไม่ถุยน้ำลายใส่ท่อนไม้นั้น

ทำไมท่านจึงไม่ถุยน้ำลายใส่มัน

 

3. ท่านจะเยี่ยวรด "ตอไม้" นั้นมั้ย?

ถ้าท่านเยี่ยวรดตอไม้ตอนั้น

ท่านไปเยี่ยวรดใส่ตอไม้นั้นทำไม

 

ถ้าท่านไม่เยี่ยวรดใส่ตอไม้นั้น

ทำไมท่านจึงไม่เยี่ยวรดใส่มัน

 

4. ท่านจะเอามีดโค่นฟัน "ต้นไม้" นั้นมั้ย

ถ้าท่านโค่นฟันต้นไม้ต้นนั้น

ท่านไปโค่นฟันต้นไม้นั้นทำไม

 

ถ้าท่านไม่โค่นฟันต้นไม้นั้น

ทำไมท่านจึงไม่โค่นฟันต้นไม้นั้นทิ้งไป

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

การที่คนพเนจรบ้าง ขี้เมาบ้าง มารบ้าง

หลงซัดเซหรือบุกรุกเข้ามาในพระวิหาร

อันเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในภารกิจพระบิดา

เพื่อฉุดช่วยจิตวิญญาณของบุตรมนุษย์ผู้ใฝ่ดี

ได้มีเส้นทางกลับบ้านก่อนกาลสิ้นยุค

 

โดยบุกรุกเข้ามาก่อกวนก้าวล่วง

กระทำกิริยาก้าวร้าวหรือสามหาวอยู่เนืองๆ

เพราะ "ไม่เห็นด้วย" ในพระโอวาท

ที่เรารับสื่อมาจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

และยังแสดงความต้องการที่จะบังตับ

คนทุกคนบนโลกนี้ให้มีศาสดาเดียวกัน

กับพระองค์ที่ตนนับถือและยึดติดอยู่

 

คนพวกนี้ที่เข้ามา "เห็นต่าง" คิดต่างกับเรา

ก็บังเกิดความไม่พึงพอใจทั้งๆที่ยังไม่เข้าใจ

จึงทำอวดตัวเหมือนคนคลั่งศาสนาบ้าลัทธิ

แลเห็นเราผู้เป็นพระบุตรเอกแห่งพระบิดา

เหมือนหมาเห็นก้อนหิน ท่อนไม้ ตอไม้

ก็จะเห่าใส่แล้ว "เยี่ยวรด" แล้วจรจากไป

โดยหาเหตุผลไม่ได้ว่าเยี่ยวรดทำไม

นอกจากเป็น "สันดานของหมา" มันเท่านั้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

ถ้าคนๆนั้นเป็นคนดีมีธรรมะเป็นสรณะจริง

มีพระศาสดาพระองค์ใดๆที่ยึดถืออยู่จริง

คนๆนั้นจะต้องแสดงตนว่า "มีธรรมะ"

ด้วยการปฏิบัติประพฤติตนอย่างสำรวม

แม้เราจะคิดเห็นต่างกันกับพวกเขา

แต่คนดีๆเขาก็จะไม่ก้าวล่วงเราเด็ดขาด

เพราะเขารู้ว่ามันผิดบาปไงล่ะท่าน

 

การก้าวล่วงเราด้วยวาจาสามหาว

มันจะต่างอะไรกับการเห่าตามสันดาน

แล้วก็พาลเยี่ยวรดใส่ ถ่มถุยใส่

หรือหมายตัดโค่นมุ่งทำลายอย่างไร้สติ

 

น่าสงสารจิตวิญญาณคนพวกนี้นัก

แม้ว่าเราจะไม่เอาความ

แต่กฎเกณฑ์แห่งการกระทำของพระบิดา

มันต้องเป็นไปตามความจริงนั้นเสมอ

 

ดังนั้น

คนบาปเหล่านี้

ถ้าไม่ถูกทำให้ระเบิดแตกสลาย

ก็ต้องถูกนำไปถ่วงไว้ที่แกนโลก

ชั่วกัปกัลป์....นั่นคือความจริง

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

4-05-2019

03 พฤษภาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 3/05/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย

ที่ "เชื่อ" เรื่องภัยพิบัติโลกแล้วว่า

มันจักต้องเกิดขึ้นบนโลกนี้จริง

โดยทุกท่านจักต้องเผชิญกับมันแน่ๆว่า

 

เมื่อท่านเชื่อว่าดั่งนี้แล้ว

กับการที่ท่านพยายามที่จะเตรียมตัว "หนี"

เพื่อแสวงหาสถานที่ๆปลอดภัยกันยกใหญ่

พร้อมกับการพยายามแสวงหา

วิธีอยู่รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวงว่า

 

จะกินอะไร

จะเตรียมเสบียงอะไร แค่ไหน

 

จะอยู่อย่างไร

จะเอาตัวรอดกันอย่างไร

 

จะต้องพึ่งพาใคร

สิ่งใดบ้าง ที่จะช่วยให้รอด

 

มันเป็นมรรควิถีที่ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่

ท่านทั้งหลายเคยตระหนักรู้กันหรือเปล่า

 

เราจึงขอกล่าวความจริง

ให้ท่านฉุกคิดในบางประเด็นที่สำคัญว่า

 

พฤติกรรมของท่านตามที่เราชี้ไว้ข้างต้นนั้น

ผ่านการใช้สติปัญญาอย่างโปร่งใสหรือยัง

หรือว่าเป็นพฤติกรรมอันเกิดจาก "ความกลัว"

หรือเป็นพฤติกรรมอันเกิดจาก "ความเชื่อ"

เพราะถูกจูงใจอย่างใดอย่างหนึ่ง

หรือเพราะทั้งสองอย่างที่ว่ามา

 

1.ท่านเชื่อว่าโลกของท่านนั้น

ต่อไปนี้จักต้องเกิดภัยพิบัติรุนแรงแน่ๆ

แต่ท่านมีคำตอบหรือยังว่า

 

1.1 ทำไมโลกจึงต้องเกิดภัยพิบัติรุนแรง

1.2 สาเหตุแห่งการเกิดภัยพิบัติ

ที่แท้จริงนั้น คือ อะไร

 

1.3 ภัยพิบัติกับภัยธรรมชาติ

เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

1.4 ทำไมจึงห้ามภัยพิบัติมิให้เกิดไม่ได้

 

1.5 โลกจะสิ้นสุดการเกิดภัยพิบัติเมื่อใด

ผลลัพธ์สุดท้ายหลังสิ้นสุดภัยพิบัติแล้ว

โลกกับมนุษย์ที่เหลือรอดจากความหายนะได้

จะตกอยู่ในสภาพแบบใด

 

1.6 มหันตภัยพิบัติโลกที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้

มันมิใช่ภัยธรรมชาติแต่มันเป็นภัยพิบัติ

ที่ถูกกำหนดขึ้นตามแผนการชำระโลก

เพราะมันถึงวาระการสิ้นยุคพลังงานเก่า

โดยมีทีม "ฑูตสวรรค์" หรืือช่างเท็คนิก

เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการเกิด

 

2. การมุ่งแสวงหาสถานที่ปลอดภัยบนโลกนี้

ที่คิดว่าตรงนั้นตรงนี้จะเป็นสถานที่ๆปลอดภัย

แล้วเตรียมอพยพลี้ภัยไปที่นั่นล่วงหน้า

ท่านมีคำตอบแล้วหรือว่า

 

2.1 อยู่ที่ไหนก็ไม่รอด

ถ้าท่านมิใช่ผู้ที่จะได้รับความรอด

เพราะขาดคุณสมบัติตามที่พระองค์กำหนดไว้

ซึ่งเราเคยกล่าวให้รู้ไว้บ่อยครั้งแล้ว

 

2.2 อยู่ที่ไหนก็รอด

ถ้าท่านเป็นผู้ที่ได้รับประทาน "ความรอด"

 

ท่านจะเป็น "ปลาที่ถูกคัดไว้" มิใช่คัดทิ้ง

ท่านจะเป็นแกะตัวที่เข้าคอกได้อย่างปลอดภัย

เพราะจำเสียงเรียกของเราคนเฝ้าประตูคอกได้

 

ท่านจะเป็นเจ้าสาวที่เจ้าบ่าวจะมารับ

เพื่อจูงมือท่านย่างก้าวเข้าสู่ประตูหอ

อันหมายถึงประตูนิพพานตรง #ด่านนภาลัย

เพื่อนำพาจิตวิญญาณของท่าน

หลุดพ้นออกไปจากการเวียนว่ายตายเกิด

แทนที่จะไปเกิดเป็นรูปธรรมอยู่บนสวรรค์มายา

แล้วหลงผิดคิดว่าตน "หลุดพ้น" ได้แล้ว

ทั้งๆที่เป็นการ "หลุดลอย" ติดค้างไปต่อไม่ได้

 

2.3 ดังนั้น

แทนที่จะแสวงหาพิกัดสถานที่ๆจะรอด

เพราะรักตัวกลัวตัวเองต้องตายจากภัยพิบัติ

ให้ท่านรีบ "ค้นหา" คุณสมบัติที่เหมาะสม

มาเติมเต็มให้ตนเองขณะที่ยังมีโอกาสอยู่

จะเหมาะกว่าผลาญเวลาไปวันๆดีกว่ามั้ย

เช่น

 

การจะเป็นปลาที่ถูกคัดไว้สักตัวหนึ่งนั้น

ท่านต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง

พอรู้แล้วก็ให้รีบฝึกฝนรีบปฏิบัติทันที

จะดีกว่าและมั่นใจว่ารอด ตกลงมั้ย?

 

ท่านต้องเร่งเรียนรู้ให้ได้ว่า

การจะเป็นแกะตัวที่ไม่บาดเจ็บ

และกลับเข้าคอกได้อย่างปลอดภัย

แกะตัวนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง

จึงจะสามารถจำเสียงเรียกของ "เรา"

ซึ่งเป็นคนเฝ้าประตูคอกแกะคนนี้ได้

 

ท่านต้องทำอย่างไร

จึงจะไม่ไปเดินตาม "คนนำทางตาบอด"

ที่พยายามพาท่านทั้งหลายปีนรั้วเข้าคอก

โดยไม่พาพวกท่านเข้าทางประตูคอก

ที่พระบิดาให้เรายืนรอแกะทั้งหลายอยู่

 

พฤติกรรมการปีนรั้วเข้าคอก

โดยไม่ยอมผ่านเข้าออกทางประตู

เป็นพฤติกรรมของ "โจร"

ที่พยายามขโมยแกะของเราไปโดยแท้

 

ลองตรึกตรองดูเถิดว่า

คนดีๆผู้นำที่ดีๆนั้นเขาจะพาแกะปีนรั้วทำไม

 

3. ท่านพยายามคิดว่าจะอยู่อย่างไร

จะกินอะไรอย่างไรจึงจะรอดชีวิต

จากมหันตภัยพิบัติ

จึงพยายามสะสม กักตุน และแสวงหา

ด้วยการพยายามหนีไปอยู่ร่วมกันหลายคน

 

ท่านมั่นใจว่าการทำเช่นนั้นน่ะ

เสบียงอาหารที่กักตุนกันไว้จะได้ใช้แน่หรือ

เมื่อตัวท่านเองยังไม่มั่นใจว่าปลอดภัย

สัมภาระผลาหาญทั้งหลาย

ชะตากรรมของมันจะต่างอะไรกันกับตัวท่าน

 

นอกจากนั้น...ท่านจะต้องรู้ว่า

ในสถานการณ์ 56 วัน 8 ราตรี

ซึ่งเป็นช่วงพีคที่สุดของภัยพิบัติโลกนั้น

"ความกลัวตาย" ไงล่ะท่านมันจะพุ่งปรี๊ด!

จนกลไกสายใยประสาท

ในเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์ของท่าน

จะเกิดอาการเหมือนกันอย่างหนึ่ง

ซึ่งพระบิดาทรงเรียกว่า #สติแตก

โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จักคำว่า #กฤตสติ

ตามมรรควิถี "จิตจักรวาล" อันตรายยิ่งนัก

 

เมื่อถึงสถานการณ์นั้น

กลไกประสาทจะทำงานผิดพลาดหมดสิ้น

ทั้งผู้ได้รับความรอดและไม่รอด

จะไม่รู้หิว ไม่รู้หาว ไม่รู้กระหาย

จะไม่รู้ฉี่ ไม่รู้ถ่าย ไม่รู้วัน ไม่รู้คืน

เมื่ออาการของท่านทั้งหลายต้องเป็นดั่งนี้แล้ว

เสบียงอาหารมันยังสำคัญสำหรับท่านอีกหรือ?

 

แต่ก็ดีเหมือนกันนะ

ช่วยกันเก็บสะสมเอาไว้ก็ดี

ถ้ามั่นใจว่าท่านรอดท่านก็จักได้ประโยชน์

หรือจักได้เกิดประโยชน์ตามสมควร

ต่อผู้ที่ทรงประทานความรอดให้ในวันนั้น

 

4. ท่านพยายามจะหาผู้ช่วย หาตัวช่วย

ที่คิดว่ามีอำนาจฤทธิ์เหนือมนุษย์

เหนือโลก เหนือจักรวาล เหนือพระบิดา

เพื่อหวังพึ่งพาช่วยให้ท่านรอด

 

ท่านแน่ใจหรือว่า

ภัยพิบัติในปฏิบัติการชำระโลก

เพื่อการเปลี่ยนโลกและมนุษย์

ผ่านไปสู่ยุคพลังงานใหม่ครั้งนี้

จะมีใครมีอำนาจฤทธิ์ปกป้องท่านได้

#นอกจากตัวท่านเองคนเดียวจริงๆ

 

จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธทางเท็คโนโลยี

จากต่างดาวหรือเจ้าจากต่างแดน

ปฏิบัติการชำระโลกครั้งนี้

จะครอบคลุมโลกเสรีนี้ทั้งระบบ

 

ไม่ว่าคน และสิ่งมีชีวิต บนโลกเสรีนี้

ไม่ว่า "มอด" ที่อยู่นอกบัญชีรายชื่อ

ในม้วนหนังสือที่พระบิดาประทานให้เรามา

รวมทั้งดวงจิตวิญญาณทุกเผ่าพวก

ที่ดำรงตนเองอยู่ในสวรรค์มายา

ที่ดำรงตนเองทับซ้อนอยู่กับมิติโลก

ที่ดำรงตนเองอยู่ในแดนนรก

 

ท่านทราบรึไม่ว่า

เห็บเล็นมดตัวเล็กๆแม้เพียงตัวเดียว

ก็จะได้รับอิทธิพลจากแผนการชำระโลก

ในครั้งนี้โดยทั่วหน้ากัน

จึงไม่มีใครช่วยใครได้หรอก...เชื่อเถอะ

 

รีบหาหนทางพึ่งตนเองเสียเดี๋ยวนี้

จักเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ดีที่สุด

ประตูแห่งโอกาสมีเพียงบานเดียวเท่านั้น

จึงจะผ่านเข้าไปกราบพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

อย่างองอาจสมาร์ทเป็นที่สุดได้

ทั้งๆที่ท่านเตรียมแต่ตนเองและจิตวิญญาณ

เพื่อการผจญภัยเอาไว้ล่วงหน้า

ด้วยความกล้าหาญมิใช่ความกลัว

แล้วท่านจะรู้ว่า "ชีวิต" ของท่าน

ท่านเองเท่านั้นเป็นผู้ลิขิตมิใช่ใครอื่น

 

อย่าหลงเชื่อและคิดจะพึ่งใครง่ายๆ

พระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้แล้วว่า

"อัตตาหิ อัตตโน นาโถ"

ตั้งแต่ลมหายใจแรกที่ท่านคลอดออกมา

ได้มีชีวิตอยู่กับเขาคนหนึ่งบนโลกนี้

จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายในภพชาตินี้

ท่านต้องพึ่งพาตนเองทั้งนั้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ทั้งหมดที่เรากล่าวมาล้วนเป็นความจริง

เรากล่าวความจริงที่ท่านไม่รู้ต่อท่าน

ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล

พระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง

ด้วยความรักและปรารถนาดีอย่างแท้จริง

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

3-05-2019

01 พฤษภาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 1/05/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ในบั้นปลายท้ายยุคพลังงานเก่า

ก่อนเปลี่ยนผ่านสู่โลกยุคพลังงานใหม่นี้

 

ท่านจงอย่าเชื่อ #การดลใจ ทุกอย่าง

แต่จง "ทดสอบ" การดลใจของท่าน

อันหมายถึงความรู้สึกนึกคิดของจิตท่าน

ที่เกิดจากการถูกจูงใจจากใครอื่น

หรือเกิดจากสิ่งบอกเหตุใดอื่น

ที่การดลใจ หรือ #จูงใจ นั้น

มันยังมิได้ผ่านกระบวนการคิดของสมอง

อย่างมีวินัย และ "รอบครอบ" เสียก่อน

 

ว่าการดลใจหรือจูงใจนั้นๆ มาจากพระเจ้า

หรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณแน่แท้หรือไม่

เพราะขณะนี้มี "ประกาศกเทียม" อยู่ทั่วโลก

 

#ประกาศกเทียม

เราหมายถึงผู้คนเหล่านี้ คือ

 

1. #ผู้นำทางตาบอด

ที่อ้างตนว่าจะนำพาพวกท่านสู่การพ้นทุกข์

ด้วยวิธีหยุดวงเวียนแห่งการเกิดตาย

ในมิติโลกเอาไว้ไม่กลับมาเกิดอีก

เพราะเกลียดกลัวความทุกข์

และเชื่อว่าถ้าหยุดการเกิดใหม่ได้จะพ้นทุกข์

 

ทั้งๆที่เหตุแห่งทุกข์ของมนุษย์นั้น

มันมาจากบทละครที่จิตวิญญาณของท่าน

ขีดเขียนกันมาเองตั้งแต่ชาติแรกที่มาเกิด

กับชะตากรรมที่พวกท่านก่อกันขึ้นมาเอง

เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดในชาติแรกแล้ว

และบทเรียนกรรมต่างๆจากวิบากกรรม

ที่ตัวท่านเองนั่นแหละเป็นผู้ก่อไว้

ในภพชาติอดีตที่ผ่านมาทั้งสิ้น

 

ทั้งๆที่ "ชะตาชีวิต" ของแต่ละคน

มันคือบทละครที่ถูกเขียนขึ้นมา

เพื่อสร้างเงื่อนไขให้เป็นบททดสอบจิตสามนึก

ในการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ

ด้วยการรักทุกคนให้ได้แม้พวกเขาจะไม่น่ารัก

ให้อภัยให้เป็นแม้เห็นว่าไม่สมควรจะให้อภัย

 

ทั้งๆที่ "ชะตากรรม" ของแต่ละคน

มันคือ #บทเรียนโลก ที่ทุกคนต้องเรียนรู้

เมื่อตนกระทำผิดบาป

เพราะสอบตกบททดสอบ

ด้วยการรักไม่ได้ ให้อภัยไม่เป็นนั่นเอง

 

ซึ่งผู้นำทางตาบอดไม่รู้ว่า

จิตวิญญาณของตนไม่ต้องการสิ่งใดหรอก

นอกจากความรักที่จักต้องมีให้แก่คนรอบข้าง

ไม่ว่าเขาจะนำปัญหามาให้แบบใดก็ตาม

เพราะความรักเป็นสิ่งที่ "โลก" ต้องการ

เพื่อนำไปใช้เป็นพลังบิดแกนแม่เหล็กโลก

เพื่อทำให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง

อย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่

 

เพราะคนนำทางตาบอดไม่รู้ว่า

จิตวิญญาณมนุษย์มาเกิดบนโลกเสรีนี้

 

เพื่อทำหน้าที่สำคัญยิ่งนี้หนึ่งในอีกหลายสิ่ง

มิได้มาเที่ยวท่องล่องเล่นแต่อย่างใด

 

เมื่อพวกท่านรักไม่ได้ ให้อภัยไม่เป็น

ใช้สติปัญญาแก้ปัญหาชีวิตก็ไม่ได้

เพราะใช้สมองคิดเองไม่เป็น

เน้นแต่การใช้อารมณ์มากกว่าปัญญา

จึงเป็นที่มาของ #ความทุกข์

จนอยากจะหนีไปให้พ้นๆกันดื้อๆ

 

ในที่สุดก็หนีไปเกิดอยู่บนสวรรค์มายา

ไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ได้สมใจปรารถนา

แต่ก็ยังตาบอดเพราะไม่รู้อีกว่า

การไปเกิดอยู่บนสวรรค์มายาที่ตรงนั้น

คือการ "หลุดลอย" ไปหลงเงาตนเองเข้าอีก

และไม่สามารถดับการเวียนว่ายที่แท้จริง

ตามที่ปรารถนาไว้แต่อย่างใดทั้งสิ้น

 

เพราะเป็นเทพเทวดาหรือพรหมอยู่บนนั้น

จิตวิญญาณมันก็ยังครองทุกข์อยู่

 

ทุกข์เพราะไม่รู้ว่าจะไปต่อจากตรงนั้นอย่างไร

 

ทุกข์เพราะรู้ว่าตนเข้าใจผิด

ที่คิดว่าตายแล้วไม่มาเกิดเป็นมนุษย์อีก

ตนจะพ้นทุกข์ได้หนีทุกข์ได้หรือดับทุกข์ได้

 

ทุกข์เพราะยังต้องหาทางพ้นทุกข์

ด้วยการพ้นๆไปจากตรงนั้นให้จงได้อยู่

 

ดังนั้น

คนนำทางตาบอดที่ยังไม่ตาย

ซึ่งยังคงขายสวรรค์นรกกันอยู่นี่แหละ

คือฝ่ายที่พระบิดาจัดเป็น "ประกาศกเทียม"

 

2. #ผู้เรียนมากแต่รู้น้อย

คนฝ่ายนี้คือฝ่ายที่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้

โดยความรู้ที่ร่ำเรียนนั้นได้มาจากสองทาง

คือถ้าไม่จำคนอื่นมาก็สร้างตำราเอาเอง

โดยใช้คัมภีร์ธรรมเป็นคู่มือเบื้องต้น

กับการใช้ความเชื่อของตน

เป็นเครื่องมือในเบื้องปลาย

 

ผู้คนฝ่ายนี้เป็นประกาศกเทียมตรงที่

ใช้ความจำจากคัมภีร์มากล่าวต่อผู้อื่น

ทุกบททุกตอนทุกย่อหน้า

ตำราว่าอย่างไรก็กล่าวไปอย่างนั้นก็มี

ตนเองเข้าใจด้วยปัญญาว่าอย่างไร

ก็แสดงธรรมไปตามนั้นก็มี

 

เมื่อนำถ้อยธรรมไปกล่าวต่อ

จึงเป็นถ้อยธรรมที่มีปริมาณตามการจดจำ

มีคุณภาพธรรมตามระดับภูมิปัญญาที่ตนมี

และสุ่มเสียงต่อการกล่าวผิดอย่างยิ่ง

 

เพราะถ้อยธรรมบางอย่าง

ก็จำมาจากคนนำทางตาบอดสอนให้

ไม่ก็กล่าวไปตามความเข้าใจและที่ตนเชื่อ

เท่าที่ภูมิปัญญาของตนจะเข้าถึงได้

 

แม้ผู้คนฝ่ายนี้จะมีจิตดีปรารถนาดีต่อผู้อื่น

จึงพยายามร่ำเรียนมากๆเพราะอยากสอน

ซึ่งพบว่ายิ่งเรียนมากแต่กลับจะรู้น้อย

เพราะขาดการยกระดับความสามารถ

ในการใช้สติปัญญาของสมอง

ให้สามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์ธรรมได้

แทนที่จะใช้พื้นที่สมองไปกับการจดจำ

จนยิ่งเรียนมากกลับพบความจริงว่ายิ่งรู้น้อย

จึงเป็นคนนำทางตาดี

ให้เป็นที่พึ่งของผู้อื่นที่ตาบอดไม่ได้

 

3. #คนนำทางที่พระบิดามิได้ทรงแต่งตั้ง

ประกาศกเทียมฝ่ายนี้

จักเป็นฝ่ายที่ต้องทำตามประเพณี

โดยจำต้องแสดงบทบาทของประกาศก

เพราะเข้าไปอยู่ในเครื่องแบบของเขา

เพราะเข้าไปอยู่ในกรอบของรูปแบบของเขา

หรือทำนองนั้น

 

ทั้งๆที่ชั่วโมงเรียนในสาระธรรมน้อยมาก

ทั้งๆที่ทักษะในการปฏิบัติธรรมที่ตนนำสอน

ยังอ่อนด้อยประสบการณ์และไม่ชำนาญ

 

ทั้งๆที่ความสามารถทางปัญญา

กับทักษะการเป็นคนสอนธรรม

ยังมิได้รับการฝึกฝนแต่อย่างใด

 

ผู้คนฝ่ายนี้ก็เป็นฝ่ายที่พระบิดา

มิได้ทรงแต่งตั้งเช่นกัน

 

ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด

ผู้มีหน้าที่เป็น "ประกาศก" ทุกคน

จักเป็นคน "สอนธรรม" คนอื่นได้

พระผู้เป็นเจ้าหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ต้องทรงเห็นชอบและทรงแต่งตั้ง

มิใช่ใครใคร่อาสาจะเป็นก็เป็นได้

เหมือนการคิดจะทำมาค้าขายอย่างเสรี

เพราะว่า "คนสอนธรรม" จะสอนผิดมิได้

 

การสอนธรรมผิดๆเพราะรู้ไม่จริง

การสอนธรรมผิดๆเพราะรู้ไม่แจ้ง

การสอนธรรมผิดๆเพราะรู้ผิด

 

มันจะพาจิตวิญญาณพี่ๆน้องๆ

หลงทางไปนิพพานจนกลับบ้านไม่ได้

 

หลงลืมหน้าที่แท้จริงของตนเอง

เพราะจำตนเองไม่ได้และจำพระบิดาไม่ได้

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

ท่านจงอย่าเชื่อการดลใจหรือจูงใจ

ที่ว่าด้วยการขายนรกและสวรรค์

เพราะท่านมาเกิดเป็นมนุษย์

ท่านจึงควรมีแต่โลกเสรี

และสนใจแต่วิธีที่จะหลุดพ้น

เพื่อกลับบ้านเดิมทางจิตวิญญาณ

ในแดนสุญญตานอกอนันตจักรวาลก็พอ

 

ท่านจงอย่าเชื่อการดลใจหรือจูงใจ

ให้ยึดติดพระศาสดาเพียงพระองค์เดียว

ให้ยึดไว้แต่พระคัมภีร์เพียงเล่มเดียว

เพราะสัจธรรมของพระผู้สร้างนั้น

 

ศาสดาพระองค์เดียวชีวิตเดียว

เพียงภพชาติเดียวนั้นสอนไม่หมดหรอก

 

พระคัมภีร์เล่มเดียว

มิอาจบันทึกคำสอนของพระศาสดา

ที่มาจากการจำได้ของศิษย์สาวกทั้งหลาย

ที่ได้สดับมาทั้งหมดทั้งสิ้นหรอก

 

ไม่มีระดับชั้นเรียนไหน

สถาบันการศึกษาใดในโลกหรอก

ที่ใช้ครูเก่งๆดีๆแค่คนเดียว

ใช้ตำราสอนนักเรียน นิสิต นักศึกษา

แค่เพียงเล่มเดียวแล้วมั่นใจว่า

ให้พวกเขาสำเร็จการศึกษาได้

ให้ออกไปทำมาหากินในสังคมได้

 

ดังนั้น

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ในปลายยุคพลังงานเก่านี้

พระองค์จึงมีพระบัญชาให้เรากลับมา

เพื่อตัดปัญหา "ประกาศกเทียม"

จะดลใจท่านทั้งหลายให้หลงทาง

 

โดยพระผู้เป็นเจ้าจะทรงดลใจเรา

ผ่านกระบวนการสื่อสารทางจิต

ช่องทางพิเศษ คือ Vertical Telepathy

ซึ่งพระองค์ทรงให้เราถือติดตัวมาเกิดด้วย

เพื่อการกล่าวพระโอวาทดลใจท่าน

โดยที่การดลใจท่านจากเรามาจากพระองค์

เป็นการดลใจที่พระบิดาทรงยอมรับ

เป็นการดลใจที่มิได้เป็นปฏิปักษ์

ต่อพระศาสดาหรือพระศาสนาใดๆทั้งสิ้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

ท่านมาจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ท่านมาจากองค์จิตจักรวาล

ท่านเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า

จิตวิญญาณของท่านมาจากพระองค์

พระองค์จึงสถิตย์อยู่ในท่านทั้งหลาย

 

ดังนั้น

ท่านจงอย่าถูกดลใจโดยพวกเขา

ให้ต่อต้านพระผู้เป็นเจ้า

ให้ก้าวล่วงการกลับมาของเรา

 

เขาเหล่านั้นมาจากโลก

พระบิดามิได้ทรงแต่งตั้งพวกเขา

พวกเขาจึงกล่าวไปตามวิถีโลก

และโลกก็ย่อมจะฟังเขา

 

แต่เรามาจากพระบิดา

เรามาจากพระผู้เป็นเจ้า

 

ผู้ที่จดจำพระบิดาแห่งจิตวิญญาณได้แล้ว

ผู้ที่รู้จักพระเจ้าแล้วย่อมฟังเรา

ส่วนผู้ที่มิได้มาจากพระองค์

ย่อมไม่ฟังเราเพราะมิได้รับการดลใจ

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

1 พฤษภาคม 2562