30 เมษายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

30/04/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะขอกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

การที่พระบิดาทรงกล่าวถึงพี่ๆน้องๆบางคน
ผู้มองเห็น พระโอวาท ที่ทรงสื่อผ่านเรา
เป็นดั่ง ขี้หมาแห้ง ก้อนหนึ่งเท่านั้น
ทั้งๆที่นานปีที่ผ่านมามองเห็นคุณค่าจนเกินร้อย
ผู้คนเหล่านี้จึงพาตัวเองออกไปจากคอก
แล้วทำตัวเป็นดั่ง แกะนอกคอก อยู่หลายตัว

แกะนอกคอกเหล่านี้
ไม่เพียงแต่จะเอาตัวออกไปจากคอก
ไม่สนเจ้าของคอกผู้เป็นเจ้าของแกะ
ไม่ใส่ใจใยดีในเสียงเรียกของคนเลี้ยงแกะ
ซึ่งทำหน้าที่อยู่ตรงประตูคอกแกะเท่านั้น

ประดา "แกะนอกคอก" เหล่านี้
ยังไปหลงเดินตามคนนำทางตาบอด
ที่ทำตัวอวดอุตริปาฏิหาริย์ทำตนเป็นเจ้าลัทธิ
เพื่อล่อลวงแกะตัวที่โง่ๆแลงมงายของพระบิดา
ให้ตะกายปีนรั้วกลับเข้าคอกของพระองค์แทน
ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นโลดโผนและหวือหวา

โดยแกะโง่พวกนี้มองพระโอวาท
ที่พระองค์ทรงสื่อผ่านเรามา
ทั้งในเฟสบุ้กและในพระคัมภีร์นิพนธ์ว่า

สื่อเนื้อหาเดิมๆมาปีกว่าแล้ว
ไม่เห็นจะมีอะไรใหม่

จึงสรุปเอาเองว่าเข้ามาอ่านเข้ามาฟัง
ก็เสียเวลาเปล่าไม่มีประโยชน์อะไร
กูไป "สิบเอ็ดรอดอ" หาเจ้าลัทธิอื่นดีกว่า

นอกจากนั้นยังดันคิดแทนเราอีกว่า
ที่ทรงสื่อพระโอวาท "ซ้ำๆมา" ก็เพื่อ
รอคนใหม่ อีกต่างหาก

"นาง" เชื่อเช่นว่านั้นตามที่นางนึกเอง
ทั้งๆที่นางมิได้เกี่ยวข้องอะไรกับงานของเรา
นางมิได้เข้าใจพระประสงค์ของพระบิดาเลย
แต่กลับอวดโง่ว่าเองเออเองเช่นนั้น
จึงสบัดตนหันไปสนลัทธิอรหันต์โรคจิตบ้าง
หันไปสนแม่นางที่อ้างตนว่าสื่อกับพระพุทธเจ้าได้
บางเวลาแม่นางตนนั้นก็บอกว่าสื่อกับพระเจ้าได้แทน

อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าทิ้งพระบิดาไปหามารอุตริแทน
แล้วจะให้เรียกว่าอะไรดีล่ะท่านทั้งหลาย

นอกจากนั้น
เมื่อหันหลังให้พระบิดาไปหาอุตริแทนแล้ว
ยังไปเป็นกระบอกเสียงให้กับเจ้าลัทธิ
เพื่อชักจูงเพื่อนๆในห้องเรียนนี้ให้หลงไปก้าวตาม
ด้วยคำกล่าวที่นางชอบใช้ชักจูงว่า
เจ้าลัทธิที่นางชอบและช่วยเชียร์นี้

เขาเก่งนะ
เขาสื่อสอนได้เหมือนอาจารย์ปริญญาเลย
เขาสื่อกับพระเจ้าได้ด้วย
เขาเอาคำสอนอาจารย์ไปสอนได้เก่งด้วย


ซึ่งคนฉลาดใช้ปัญญาฟังคำจูงของนางแล้ว
จะรู้ได้ทันทีว่าคนที่นางไปหลงศรัทธานั้น
ล้วนก้อปปี้ไปจากจิตจักรวาลที่เป็นต้นฉบับ
โดยไม่แม้แต่จะอ้างอิงเพื่อถวายพระเกียรติด้วย
ทั้งยังหลอกลวงว่าสื่อสารกับพระเจ้าได้
ด้วยจิตกับสมองสองซีกให้คนโง่เชื่อแค่นั้นเอง

แล้วนางยังเชื่อเองตามความคิดส่วนตัวอีกว่า
ขณะนี้เรามีนักเรียนใหม่ๆสมาชิกใหม่ๆเข้ามาเยอะ
เราจึงย้อนกลับไปสื่อสอนเรื่องเก่าๆที่นางเคยรู้
เพื่อปูพื้นให้คนใหม่ๆได้เรียนรู้แล้วทิ้งนักเรียนเก่า
ให้เรียนรู้แต่เรื่องเดิมๆซ้ำซากน่าเบื่อเสียเวลาเรียน

นางจึงไม่เข้าห้องเรียนประจำเหมือนเดิม
สิ่งที่นางทำเมื่อนานครั้งที่เข้าห้องเรียนก็คือ
เอาเรื่องอุตริจากที่นางไปเจอไปชอบมาแพร่มาชม
เอามาเชียร์แถมยังเอาเจ้าลัทธิพวกนั้นมาแชร์
โดยนางไม่เคยเอาพระโอวาทพระบิดาไปแชร์
เพื่อเผยแพร่ต่อเลยท่านทั้งหลาย

พฤติกรรมเหล่านี้ของคนเหล่านี้
อยู่ในสายพระเนตรพระบิดาตลอดมา
จึงทรงใช้วิธี "บล้อค" ช่องทางการสื่อสาร
เพราะเห็นว่าพวกนางนอกคอกไปกันใหญ่แล้ว
บล้อกเพราะเป็นหนทางเดียว
เพื่อที่จะให้พวกนางติดต่อกลับมา
ด้วยคำถามที่ว่า "บล้อก" นางทำไม?
เราก็จะได้มีคำตอบคำเตือนคำสอนนางให้รู้ความ

แต่พวกนางก็ไม่ฉลาดที่จะรับพระเมตตา
แต่กลับไปโอดครวญโพนทะนากับคนไปทั่วว่า
ได้สาวกใหม่แล้วลืมคนเก่าคือตนเองที่แสนดี๊ดี
แล้วอ้างทวงสิทธิ์ความเป็นคนเก่า
เพื่อเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่ครูของตนเองแทน
ให้คนเขามองครูตนเองว่าได้ใหม่ลืมเก่านั่นแหละ

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
แกะหลงฝูงพวกนี้นับวันจะมีมากมายขึ้นเรื่อยๆ
จึงไม่แปลกหรอกที่เรากล่าวไว้นานนับพันปีแล้วว่า
คนมาถึงเราก่อนจะได้กลับบ้านทีหลัง
คนมาถึงเราทีหลังจะได้กลับบ้านก่อน


เพราะแกะนอกคอกจะขาดการถ่อมตน
เป็นแกะที่ขาดการถ่อมใจ
ไม่รักพระบิดาไม่ศรัทธาเราอย่างแท้จริง
จิตยังติดกิเลสตัณหาบ้าอุตริครอบงำอยู่
ยังขาดความฉลาดทางปัญญาและหลงตนเองอยู่
มิได้จงรักภักดีต่อพระบิดาแห่งจิตวิญญาณแท้จริง

พอเจ้าลัทธิอุตริมอบหมายให้เป็นข้าทาสรับใช้
ให้คอยล่าสาวกมาให้ (ได้ตังค์ด้วย)
ก็ตกหลุมพรางเล่ห์ลิ้นลมลวงพวกนั้นแล้ว
เพราะหลงลืมตัวไปว่าตนมีเกียรติมีหน้าตา
อยู่กับจิตจักรวาลมาตั้งนานไม่เห็นจะมีค่าเท่านี้

เรากับพระบิดาถูกคนเหล่านี้กล่าวหาว่า

1.ได้คนใหม่ ลืมคนเก่า
เอาแต่สอนเรื่องเก่าๆเพื่อรอคนใหม่

ท่านทั้งหลายเห็นว่า
เราสื่อสอนพระโอวาทซ้ำซาก
ไม่มีอะไรใหม่จริงอย่างที่นางว่าหรือเปล่า?
ช่วยตอบเราหน่อยนะ

เราไม่จำเป็นต้องสอนรอคนใหม่เลย
เพราะคนใหม่เขาไม่โง่ที่จะสืบค้นคำสอน
ย้อนหลังไปนานๆเพื่อการเรียนรู้ได้เอง
ซึ่งมีอยู่หลายช่องทาง
นอกจากนางคนนี้เองที่อาจจะโง่แลหลงตัวเอง
ว่าเรียนแล้วรู้แล้วแบบฉาบฉวยว่ากูรู้แล้วเท่านั้น

2.หาว่าพระบิดาสื่อแต่เรื่องเดิมซ้ำๆมาเป็นปีแล้ว
ไม่เห็นจะมีอะไรใหม่ให้เรียนรู้อีกเลย

เราถามท่านทั้งหลายในห้องเรียนนี้ว่า
พระบิดากับเราผิดจริงหรือว่านางคนนี้เพี้ยน?

วัตถุประสงค์ของเรากับพระบิดา
คือสอนให้ลูกฉลาดคิด ฉลาดทำ
มิใช่รู้แล้วฉลาดจำแต่ทำไม่ได้เพราะโง่งม

พระบิดาทรงจัดหลักสูตรบทเรียนมาให้ลูก
มิได้จัดบทเรียนมาตามกิเลสตัณหาของลูกนะ

ถามว่าถ้าแน่จริง
รู้มากแล้วมีเจ้าลัทธิใหม่คุ้มหัวแล้ว
ให้พระบิดาทรงพิพากษาโลกคาบสุดท้าย
วันนี้เดี๋ยวนี้เลยนั้นนางคิดว่าตนเอง "จะรอด" มั้ย

3.ถูกพวกนางมองว่าอนุตรธรรมคำสอน
ที่ทรงเมตตาหลั่งไหลมาให้ดั่งสายธารทุกวันคืน
ที่ทุกท่านส่วนใหญ่พากันตื่นตาตื่นใจ
อดหลับอดนอนเฝ้ารอติดตามฟังกันทุกค่ำคืน
เพราะช่วยพวกท่านให้รู้มากขึ้น ฉลาดขึ้น ดีขึ้น
แต่นางกลับเห็นเป็นของไร้ค่า "ดั่งขี้หมาแห้ง"
จึงมองข้ามไปแล้วเดินจากไปหาขี้หมาสดแทน

ท่านทั้งหลายมีความคิดเห็นอย่างไร
ลองแสดงความคิดเห็นมา
เพื่อช่วยรั้งสติเพื่อนเอาบุญทีนะ

เราเอามากล่าววันนี้
มิได้กล่าวด้วยความขุ่นเคืองใจอะไร
เป็นสิทธิของคนพวกนี้จะอยู่จะไปมิใช่เรื่องเรา
เรามีหน้าที่สื่อพระโอวาทเพื่อตามให้กลับบ้าน
ด้วยความรักและปรารถนาดีไม่มีกิเลสแฝง

แต่เรายกมากล่าวเพื่อเป็นตัวอย่างว่า
เห็นพระโอวาทเป็นดั่งก้อนขี้หมาแห้งนั้น
มันหมายความว่าอย่างไร
คนพวกนี้คิดอย่างไร มีพฤติกรรมอย่างไร
ทำไมคนจำนวนมากมาแล้วหายไป เป็นต้น

ขออโหสิกรรมด้วย
หากคำสอนด้วยรักของเราวันนี้
ทำให้พี่ๆน้องๆที่เป็นแกะหลงฝูงต้องเสียสมดุล
เราไม่ผิดบาปหรอกเพราะพระบิดาทรงอนุญาต
ให้เราช่วยกระชากสติให้เผื่อมีหวังบ้างเท่านั้นเอง

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30/04/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

30/04/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าพวกท่านยังยึดติดกับความเชื่อ
ในความหมายของนิพพานแบบเดิมๆกันอยู่
นอกจากจะทำให้จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จะต้องหลงทางนิพพานอย่างไม่รู้สิ้นสุดแล้ว
มันยังจะทำให้จิตวิญญาณของท่าน
ไม่อาจ "หลุดพ้น" ออกไปจากอนันตจักรวาล
เพื่อคืนกลับบ้านของจิตวิญญาณที่จากมา
ตามเงื่อนไขในพันธสัญญา 6 ที่ให้ไว้ต่อพระบิดา
ตั้งแต่ภพชาติแรกที่อาสาว่า
จะมาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้ได้เลย

เพราะสัจธรรมความจริงเรื่อง นิพพาน
กับสัจธรรมความจริงเรื่อง การหลุดพ้น นั้น
ท่านทั้งหลายจะใช้การคิดรู้แบบจิตมนุษย์
ด้วยกลไกสมองสองซีกที่มีขีดจำกัดไม่ได้
ท่านต้องรับฟังจากพระโอวาทพระบิดา
ที่พระองค์ทรงสื่อผ่านเรามาเท่านั้น

ความรู้เรื่องนิพพานกับการหลุดพ้น
เป็นสัจธรรมความจริงที่ท่านทั้งหลาย
จะใช้หลักการและเหตุผลคิดเดากันเองไม่ได้
ไม่ต่างจาก "ความจริง" ของท่านในบางเรื่อง
ต่อให้ท่านฉลาดปราดเปรื่องทางปัญญาแค่ไหน
ท่านก็จะไม่อาจ "คิดเอง-รู้เอง" ได้เลย
เช่น ท่านเกิดวันเดือนปีอะไร เกิดที่ไหน รพ.อะไร
เวลาตกฟากเป็นเวลาเท่าไหร่ ข้างขึ้นข้างแรม
ใครเป็นแพทย์พยาบาลทำคลอด เป็นต้น

ความจริงส่วนตัวของท่านดังกล่าวนี้
ซึ่งเป็นประวัติการเกิดของท่านในวัยทารกนั้น
ต่อให้ท่านปัจจุบันนี้เป็นยอดอัจฉริยะแห่งนักคิด
ถ้าท่านไม่รับฟังพ่อแม่ของท่านบอกให้รู้
ท่านจะรู้ความจริงของตัวท่านเองในวัยเด็กมั้ย
ถ้าท่านไม่เชื่อคำพ่อแม่ของท่านกล่าว
แล้วคิดว่าจะค้นหาความจริงของท่านได้จากใคร

ดังนั้น
เรื่อง "นิพพาน" และ "การหลุดพ้น"
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของท่าน
มันก็เป็น "ความจริงระดับอนุตรธรรม"
ที่เกินการคิดด้วยจิตปัญญาของมนุษย์ได้
โดยผู้ที่จะบอกความจริงต่อท่านได้
และท่านทั้งหลายต้องใส่ใจรับฟังก็คือ
พระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล
ที่ทรงพระเมตตาส่งเรามาบอกความจริงต่อท่าน
ในพระนามของพระองค์เท่านั้น

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะขอบอกความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพราะตั้งแต่อดีตกาลนับพันปีที่ผ่านมา
คนนำทางตาบอดได้สอนให้ท่านทั้งหลาย
เกิดความสับสนสงสัยเกิดความเชื่อที่งมงายว่า
ถ้ามนุษย์สามารถ ดับทุกข์ ได้หมดสิ้นเมื่อไหร่
จิตวิญญาณของตนก็บรรลุมรรคผลนิพพานเมื่อนั้น

โดยคำว่า "ทุกข์" ในความหมายของพวกเขา
หมายถึง กิเลส ตัณหา ราคะจริต อารมณ์ขยะ
กับการมีสังสารวัฏ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น
ซึ่งคนนำทางตาบอดตั้งหลายคน
เรียกสิ่งเหล่านี้แบบเหมารวมว่า กองทุกข์ นั่นเอง

เพราะเรียกเหมารวมว่า "กองทุกข์" นี่แหละ
พวกเขาจึงตกหลุมพรางของคำนี้ไปในที่สุด
จนละทิ้งที่มาของคำว่า "กองทุกข์"ไปเสียสิ้น

ท่านทั้งหลายจักต้องระลึกเอาไว้เสมอว่า
ทุกข์ทั้งกลุ่มทั้งกองที่เรียกว่า "กองทุกข์" นั้น
แท้จริงแล้วมันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. ทุกข์ที่เกิดแก่จิตหยาบ
ซึ่งเมื่อเกิดแล้วจะเป็นสิ่งที่ทนได้ยาก
เพราะมันทำให้จิตหยาบนั้นเกิดอาการไม่สงบ
ทำให้เกิดอาการสั่นสะเทือนแบบทุรนทุราย
หรือที่เรียกว่าจิตสั่นสะเทือนแบบไม่สมดุล

อาการของจิตที่สั่นสะเทือนในลักษณะนี้
องค์จิตจักรวาล ทรงเรียกว่าสั่นสะเทือนด้านลบ

ตัวอย่างเช่น
ความโกรธ ความโลภ ความรักเพื่อเอา
และความงมงายลุ่มหลง เป็นต้น
หรือจะกล่าวโดยรวมก็คือกิเลส ตัณหา ราคะ
กับอารมณ์ขยะทั้งปวงนั่นแหละ

2. ทุกข์ที่เกิดแก่จิตวิญญาณ
ความทุกข์ประเภทที่สองนี้
เป็นสิ่งที่จิตหยาบไม่ต้องทนเพราะมันเป็นผลกระทบ
ให้เกิดทุกข์ต่อ "จิตวิญญาณ" ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้
เมื่อกายสังขารกับจิตหยาบสิ้นอายุขัยตายไปแล้ว

อาจจะกล่าวง่ายๆก็ได้ว่า
มันเป็นความทุกข์ของ "จิตวิญญาณ"
อันเกิดจาก "จิตหยาบ" ในภพชาตินั้นเป็นผู้ก่อ
มิใช่ความทุกข์ของจิตหยาบโดยตรงแต่อย่างใด

ตัวอย่างเช่น
ความทุกข์ของจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้
ที่จะต้องตกเป็นทาสของ กฎแห่งกรรม
ต้องเดินทางลงไปบำบัดรักษาใน นรก
ต้องมีภพชาติใหม่เพื่อการกลับมาเกิดใหม่
อันรวมเรียกว่า สังสารวัฏ

แม้กระทั่งการ หลุดลอย ไปค้างบนสวรรค์มายา
ดินแดนที่พระบิดาหรือพระเจ้ามิได้ทรงสร้าง
มันเป็นแค่ลอยไปค้างอยู่ในที่ว่างๆของจักรวาล
แล้วสมมุติเนรมิตกันเอาเองว่าเป็นแดนสรวงสวรรค์
จนเชื่อกันว่าเป็นภพภูมิที่เหนือกว่าภพภูมิมนุษย์
ทั้งๆที่เป็นแค่เมืองมายามิใช่ภพภูมิที่แท้จริง
ซึ่งหลุดลอยขึ้นไปติดค้างแต่ก็ยังครองทุกข์อยู่
โดยผู้เป็นทุกข์ก็คือ "จิตวิญญาณ"
ผู้อยู่เบื้องหลังความตายของมนุษย์นั่นล่ะ

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ถ้าท่านดับทุกข์ประเภทที่ 1 ได้อย่างสิ้นเชิง
หมายความว่าจิตหยาบของพวกท่าน
ว่างไปจากกิเลส ตัณหา ราคะ อารมณ์ขยะได้
ก็แปลว่าตัวตนจิตหยาบของท่านนั้นมันยังคงอยู่
แม้ตัวต้นเหตุที่ทำให้จิตเกิดความทุกข์นั้นดับแล้ว

ซึ่งปฏิบัติการดับความทุกข์ประเภทที่หนึ่งนี้
มันคือการ "ดับ" คุณสมบัติของจิตหยาบ
อันเป็นที่มาแห่งความทุกข์ที่ทนได้ยาก
ตั้งแต่ตอนที่ท่านยังเป็นมนุษย์นั่นเอง

ถ้าท่านสามารถดับการเกิดดับของมันได้สิ้น
จนตลอดชั่วชีวิตนี้มันจะไม่มีการก่อตัวขึ้นมาอีก
แสดงว่า "ความทุข์" เหล่านี้มันดับสนิทคือดับสูญ
พระศาสดาพวกท่านจึงเรียกว่า
ณ บัดนั้น "จิตหยาบ" มัน นิพพาน ตัวทุกข์แล้ว
พวกท่านจึงต้องจำไว้ว่าความจริงที่เรากล่าวนี้
หมายถึงมนุษย์ทุกคนต้องนิพพานก่อนตายเท่านั้น

ผลจากการที่จิตหยาบนิพพานความทุกข์ได้สิ้น
จึงเกิดอานิสงส์ต่อจิตวิญญาณแก่นแท้ที่ยิ่งใหญ่
นั่นคือ จิตวิญญาณนั้นไม่มีหน้าที่ต้องตายอีกแล้ว
เพราะไม่ถูกกฎแห่งกรรมครอบงำ
ให้ไปลงนรก ให้ชดใช้กรรม ให้มีกรรมเป็นกำเนิด
ให้ต้องมาเกิดใหม่ ให้เวียนวนอยู่ในสังสารวัฏ
ซึ่งเป็นความทุกข์กองใหญ่ของจิตวิญญาณ
ที่จิตหยาบของท่านเป็นผู้ก่อกรรมเวรเอาไว้ให้

ถ้าจิตหยาบของมนุษย์สามารถนิพพานก่อนตาย
จิตหยาบนั้นก็จะสั่นสะเทือนร่วมกับจิตวิญญาณได้
เพื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณในสองมิติได้ทันที
แต่ถ้าจิตหยาบยังคงเลอะเทอะเหลวไหลไปวันๆ
ตลอดภพชาติท่านก็ทำภารกิจของจิตวิญญาณมิได้
จนต้องเสียชาติเกิดไปอีกหนึ่งภพชาติ

ด้วยเหตุนี้เอง
การที่คนนำทางตาบอดสอนพวกท่านว่า
เมื่อตายแล้วค่อย "นิพพาน" นั้น
จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้องแต่อย่างใด
เพราะจิตหยาบนิพพาน
เป็นการแสดงความพร้อมของจิตหยาบ
ที่จะทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ขณะเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นนั่นต่างหาก

เมื่อไม่ปรารถนาจะเป็นมนุษย์ต่อไปแล้ว
มนุษย์ก็สามารถละวางกายสังขาร
เพื่อนำพาจิตวิญญาณ "หลุดพ้น" กลับบ้าน
ตามที่จิตจักรวาลจะแนะนำพวกท่านต่อไป

กราบพระบาทพระบิดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30/04/2021

สนทนาประสาจิตจักรวาล

สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าพวกท่านยังยึดติดกับความเชื่อ
ในความหมายของนิพพานแบบเดิมๆกันอยู่
นอกจากจะทำให้จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จะต้องหลงทางนิพพานอย่างไม่รู้สิ้นสุดแล้ว
มันยังจะทำให้จิตวิญญาณของท่าน
ไม่อาจ "หลุดพ้น" ออกไปจากอนันตจักรวาล
เพื่อคืนกลับบ้านของจิตวิญญาณที่จากมา
ตามเงื่อนไขในพันธสัญญา 6 ที่ให้ไว้ต่อพระบิดา
ตั้งแต่ภพชาติแรกที่อาสาว่า
จะมาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้ได้เลย
เพราะสัจธรรมความจริงเรื่อง นิพพาน
กับสัจธรรมความจริงเรื่อง การหลุดพ้น นั้น
ท่านทั้งหลายจะใช้การคิดรู้แบบจิตมนุษย์
ด้วยกลไกสมองสองซีกที่มีขีดจำกัดไม่ได้
ท่านต้องรับฟังจากพระโอวาทพระบิดา
ที่พระองค์ทรงสื่อผ่านเรามาเท่านั้น
ความรู้เรื่องนิพพานกับการหลุดพ้น
เป็นสัจธรรมความจริงที่ท่านทั้งหลาย
จะใช้หลักการและเหตุผลคิดเดากันเองไม่ได้
ไม่ต่างจาก "ความจริง" ของท่านในบางเรื่อง
ต่อให้ท่านฉลาดปราดเปรื่องทางปัญญาแค่ไหน
ท่านก็จะไม่อาจ "คิดเอง-รู้เอง" ได้เลย
เช่น ท่านเกิดวันเดือนปีอะไร เกิดที่ไหน รพ.อะไร
เวลาตกฟากเป็นเวลาเท่าไหร่ ข้างขึ้นข้างแรม
ใครเป็นแพทย์พยาบาลทำคลอด เป็นต้น
ความจริงส่วนตัวของท่านดังกล่าวนี้
ซึ่งเป็นประวัติการเกิดของท่านในวัยทารกนั้น
ต่อให้ท่านปัจจุบันนี้เป็นยอดอัจฉริยะแห่งนักคิด
ถ้าท่านไม่รับฟังพ่อแม่ของท่านบอกให้รู้
ท่านจะรู้ความจริงของตัวท่านเองในวัยเด็กมั้ย
ถ้าท่านไม่เชื่อคำพ่อแม่ของท่านกล่าว
แล้วคิดว่าจะค้นหาความจริงของท่านได้จากใคร
ดังนั้น
เรื่อง "นิพพาน" และ "การหลุดพ้น"
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของท่าน
มันก็เป็น "ความจริงระดับอนุตรธรรม"
ที่เกินการคิดด้วยจิตปัญญาของมนุษย์ได้
โดยผู้ที่จะบอกความจริงต่อท่านได้
และท่านทั้งหลายต้องใส่ใจรับฟังก็คือ
ที่ทรงพระเมตตาส่งเรามาบอกความจริงต่อท่าน
ในพระนามของพระองค์เท่านั้น
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะขอบอกความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะตั้งแต่อดีตกาลนับพันปีที่ผ่านมา
คนนำทางตาบอดได้สอนให้ท่านทั้งหลาย
เกิดความสับสนสงสัยเกิดความเชื่อที่งมงายว่า
ถ้ามนุษย์สามารถ ดับทุกข์ ได้หมดสิ้นเมื่อไหร่
จิตวิญญาณของตนก็บรรลุมรรคผลนิพพานเมื่อนั้น
โดยคำว่า "ทุกข์" ในความหมายของพวกเขา
หมายถึง กิเลส ตัณหา ราคะจริต อารมณ์ขยะ
กับการมีสังสารวัฏ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น
ซึ่งคนนำทางตาบอดตั้งหลายคน
เรียกสิ่งเหล่านี้แบบเหมารวมว่า กองทุกข์ นั่นเอง
เพราะเรียกเหมารวมว่า "กองทุกข์" นี่แหละ
พวกเขาจึงตกหลุมพรางของคำนี้ไปในที่สุด
จนละทิ้งที่มาของคำว่า "กองทุกข์"ไปเสียสิ้น
ท่านทั้งหลายจักต้องระลึกเอาไว้เสมอว่า
ทุกข์ทั้งกลุ่มทั้งกองที่เรียกว่า "กองทุกข์" นั้น
แท้จริงแล้วมันแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
ซึ่งเมื่อเกิดแล้วจะเป็นสิ่งที่ทนได้ยาก
เพราะมันทำให้จิตหยาบนั้นเกิดอาการไม่สงบ
ทำให้เกิดอาการสั่นสะเทือนแบบทุรนทุราย
หรือที่เรียกว่าจิตสั่นสะเทือนแบบไม่สมดุล
อาการของจิตที่สั่นสะเทือนในลักษณะนี้
องค์จิตจักรวาล ทรงเรียกว่าสั่นสะเทือนด้านลบ
ตัวอย่างเช่น
ความโกรธ ความโลภ ความรักเพื่อเอา
และความงมงายลุ่มหลง เป็นต้น
หรือจะกล่าวโดยรวมก็คือกิเลส ตัณหา ราคะ
กับอารมณ์ขยะทั้งปวงนั่นแหละ
ความทุกข์ประเภทที่สองนี้
เป็นสิ่งที่จิตหยาบไม่ต้องทนเพราะมันเป็นผลกระทบ
ให้เกิดทุกข์ต่อ "จิตวิญญาณ" ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้
เมื่อกายสังขารกับจิตหยาบสิ้นอายุขัยตายไปแล้ว
อาจจะกล่าวง่ายๆก็ได้ว่า
มันเป็นความทุกข์ของ "จิตวิญญาณ"
อันเกิดจาก "จิตหยาบ" ในภพชาตินั้นเป็นผู้ก่อ
มิใช่ความทุกข์ของจิตหยาบโดยตรงแต่อย่างใด
ตัวอย่างเช่น
ความทุกข์ของจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้
ที่จะต้องตกเป็นทาสของ กฎแห่งกรรม
ต้องเดินทางลงไปบำบัดรักษาใน นรก
ต้องมีภพชาติใหม่เพื่อการกลับมาเกิดใหม่
อันรวมเรียกว่า สังสารวัฏ
แม้กระทั่งการ หลุดลอย ไปค้างบนสวรรค์มายา
ดินแดนที่พระบิดาหรือพระเจ้ามิได้ทรงสร้าง
มันเป็นแค่ลอยไปค้างอยู่ในที่ว่างๆของจักรวาล
แล้วสมมุติเนรมิตกันเอาเองว่าเป็นแดนสรวงสวรรค์
จนเชื่อกันว่าเป็นภพภูมิที่เหนือกว่าภพภูมิมนุษย์
ทั้งๆที่เป็นแค่เมืองมายามิใช่ภพภูมิที่แท้จริง
ซึ่งหลุดลอยขึ้นไปติดค้างแต่ก็ยังครองทุกข์อยู่
โดยผู้เป็นทุกข์ก็คือ "จิตวิญญาณ"
ผู้อยู่เบื้องหลังความตายของมนุษย์นั่นล่ะ
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
ถ้าท่านดับทุกข์ประเภทที่ 1 ได้อย่างสิ้นเชิง
หมายความว่าจิตหยาบของพวกท่าน
ว่างไปจากกิเลส ตัณหา ราคะ อารมณ์ขยะได้
ก็แปลว่าตัวตนจิตหยาบของท่านนั้นมันยังคงอยู่
แม้ตัวต้นเหตุที่ทำให้จิตเกิดความทุกข์นั้นดับแล้ว
ซึ่งปฏิบัติการดับความทุกข์ประเภทที่หนึ่งนี้
มันคือการ "ดับ" คุณสมบัติของจิตหยาบ
อันเป็นที่มาแห่งความทุกข์ที่ทนได้ยาก
ตั้งแต่ตอนที่ท่านยังเป็นมนุษย์นั่นเอง
ถ้าท่านสามารถดับการเกิดดับของมันได้สิ้น
จนตลอดชั่วชีวิตนี้มันจะไม่มีการก่อตัวขึ้นมาอีก
แสดงว่า "ความทุข์" เหล่านี้มันดับสนิทคือดับสูญ
พระศาสดาพวกท่านจึงเรียกว่า
ณ บัดนั้น "จิตหยาบ" มัน นิพพาน ตัวทุกข์แล้ว
พวกท่านจึงต้องจำไว้ว่าความจริงที่เรากล่าวนี้
หมายถึงมนุษย์ทุกคนต้องนิพพานก่อนตายเท่านั้น
ผลจากการที่จิตหยาบนิพพานความทุกข์ได้สิ้น
จึงเกิดอานิสงส์ต่อจิตวิญญาณแก่นแท้ที่ยิ่งใหญ่
นั่นคือ จิตวิญญาณนั้นไม่มีหน้าที่ต้องตายอีกแล้ว
เพราะไม่ถูกกฎแห่งกรรมครอบงำ
ให้ไปลงนรก ให้ชดใช้กรรม ให้มีกรรมเป็นกำเนิด
ให้ต้องมาเกิดใหม่ ให้เวียนวนอยู่ในสังสารวัฏ
ซึ่งเป็นความทุกข์กองใหญ่ของจิตวิญญาณ
ที่จิตหยาบของท่านเป็นผู้ก่อกรรมเวรเอาไว้ให้
ถ้าจิตหยาบของมนุษย์สามารถนิพพานก่อนตาย
จิตหยาบนั้นก็จะสั่นสะเทือนร่วมกับจิตวิญญาณได้
เพื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณในสองมิติได้ทันที
แต่ถ้าจิตหยาบยังคงเลอะเทอะเหลวไหลไปวันๆ
ตลอดภพชาติท่านก็ทำภารกิจของจิตวิญญาณมิได้
จนต้องเสียชาติเกิดไปอีกหนึ่งภพชาติ
ด้วยเหตุนี้เอง
การที่คนนำทางตาบอดสอนพวกท่านว่า
เมื่อตายแล้วค่อย "นิพพาน" นั้น
จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้องแต่อย่างใด
เพราะจิตหยาบนิพพาน
เป็นการแสดงความพร้อมของจิตหยาบ
ที่จะทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ขณะเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นนั่นต่างหาก
เมื่อไม่ปรารถนาจะเป็นมนุษย์ต่อไปแล้ว
มนุษย์ก็สามารถละวางกายสังขาร
เพื่อนำพาจิตวิญญาณ "หลุดพ้น" กลับบ้าน
ตามที่จิตจักรวาลจะแนะนำพวกท่านต่อไป
กราบพระบาทพระบิดา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30/04/2021

27 เมษายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ตัวตนแก่นแท้ของท่านผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
ก็คือรูปธรรมทางพลังงานที่เรียกว่า จิตวิญญาณ
เมื่อเข้ามาปฏิสนธิทางวิญญาณกับกายสังขาร
ตัวตนแก่นแท้ของท่านจะแบ่งภาคตนเองออกมา
เป็นกลุ่มพลังงานที่เรียกว่า จิตหยาบ
เพื่อมอบอำนาจให้ "จิตหยาบ" ทำหน้าที่แทนท่าน
ในขณะมีภพชาติเป็นรูปธรรมมนุษย์ชายหญิง
หน้าที่ของ "จิตหยาบ" ก็คือ
ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ให้เกิดการสั่นสะเทือนเป็นการกระทำในสองมิติ
คือ มิติของจิตวิญญาณด้านของแก่นแท้เอง
กับมิติของกายหยาบในด้านของกายสังขารคู่กัน
โดยทุกๆการกระทำจะต้องสอดคล้องกัน
กับความต้องการทางจิตวิญญาณของท่านเอง
ท่านทั้งหลายจงอย่าสับสนว่า
ทำไมจิตหยาบของท่านจึงรู้สึกในความเป็นตัวกู
ทำไมจิตหยาบจึงสำนึกรู้อยู่ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของกู
ถ้าเราบอกท่านว่าจิตหยาบของท่านขณะเป็นมนุษย์
มิใช่ "จิตวิญญาณ" ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของท่าน
เราจะบอกความจริงให้ท่านรู้ว่า
เมื่อจิตวิญญาณคือตัวตนแก่นแท้ของท่านเอง
ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์ในทุกภพชาติ
การแบ่งภาคตนเองออกมาเป็น 2 จิตดังกล่าวนี้
พระผู้สร้างทรงออกแบบกำหนดไว้เช่นนี้เสมอ
ในการมอบหมายให้จิตหยาบทำหน้าที่แทนนั้น
พระบิดาได้ทรงมอบอำนาจให้ดำเนินการแทนด้วย
อำนาจที่จิตหยาบได้รับในฐานะผู้รับมอบอำนาจ
จากจิตวิญญาณก็คือตัวจริงของท่านเองมีดังนี้
1.อำนาจแห่งการสำนึกรู้ว่าเป็นตัวกูของกู
2.อำนาจแห่งการสำนึกรู้ในการมีอยู่ของตัวกู
3.อำนาจในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
เพื่อแสดงออกและกระทำในบทบาท คนสองมิติ
4.อำนาจในการปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณแทน
ตามที่แก่นแท้ขันอาสาพระบิดาเข้ามาทำให้ลุล่วง
นั่นคือการมอบความรักให้โลกและทุกสรรพสิ่ง
5.มีหน้าที่ปฏิบัติตาม พันธะสัญญา_6
ตามที่จิตวิญญาณได้ให้สัจจะไว้กับพระบิดาว่า
ถ้าได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้แล้ว
จะปฏิบัติตามพันธะสัญญา 6 โดยมิให้ขาดพร่อง
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ท่านจึงต้องรู้ว่า
เพราะอำนาจที่จิตหยาบผู้เป็นตัวแทนจิตวิญญาณ
ได้รับมอบหมายมาตามที่ระบุไว้ในข้อ 1 และ 2 นั้น
มันจึงยังผลให้ "จิตหยาบ" ที่เป็นเพียงแค่ "ตัวแทน"
แต่กลับมีสำนึกในความเป็นตัวกูของกูอย่างชัดเจน
และมีสำนึกในการมีอยู่ของตัวเองอย่างเต็มร้อย
ดังนั้น
ตั้งแต่อดีตกาลนับพันปีที่ผ่านมา
ความจริงที่พระบิดาในฐานะแห่งพระผู้สร้าง
ผู้ทรงออกแบบสิ่งที่เราเปิดเผยต่อท่านเหล่านี้
จึงเป็นความลับเบื้องหลังจิตวิญญาณตลอดมา
เพราะมันเป็นสัจธรรมความจริงที่ไม่มีใครรู้เองได้
มีแต่องค์จิตจักรวาลพระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง
ซึ่งทรงสถิตย์ประทับอยู่นอกอนันตจักรวาล
ที่เป็น "ห้องทดลอง" ของพระองค์เท่านั้นที่ทรงรู้
สัจธรรมความจริงเหล่านี้
จึงเป็นสัจธรรมระดับ อนุตรธรรม ล้วนๆ
ที่พระศาสดาของท่านทั้งหลายผู้เกิดจากโลกเอง
ไม่สามารถใช้ปัญญาจากสมองสองซีกเข้าถึงได้
จึงไม่มีพระองค์ใดเคยกล่าวให้พวกท่านรู้
อย่างเช่นพวกท่านไม่เคยรู้ว่า
ท่านมีจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
ในทุกภพชาติที่มาเกิดกายเป็นมนุษย์
โดยท่านเข้าใจว่าผู้มาเกิดคือจิตวิญญาณ
ผู้ดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ก็คือจิตวิญญาณ
ผู้ที่ตายเมื่อสิ้นอายุขัยก็คือจิตวิญญาณ
ผู้ลงนรกตกสวรรค์ก็คือจิตวิญญาณ
ผู้กลับมาเกิดภพชาติใหม่ก็คือจิตวิญญาณ
ท่านเห็นหรือไม่ว่าใน 5 บรรทัดข้างบนนั้น
ท่านเข้าใจผิดไปตั้งแต่สามบรรทัดแรกแล้ว
ถ้าหากเราปล่อยให้พวกท่านยังเข้าใจผิดกันอยู่
สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกท่านทุกคนทุกชนชาติ
ผู้เป็นฝูงแกะของพระผู้เป็นเจ้า
หรือท่านทั้งหลายผู้ที่เป็นดั่งเจ้าสาวของเราก็คือ
1.พวกท่านจะพากันหลงทางนิพพาน
เพราะคิดว่าการบรรลุเป็นพระอรหันต์นั้น
มันคือ การนิพพาน ของจิตวิญญาณแล้ว
2.พวกท่านจะพากันเข้าใจผิดว่า
การดับกิเลสเวทนาหรือดับกองทุกข์จนสำเร็จ
มันคือการนิพพานของจิตวิญญาณ
ทั้งๆที่แท้จริงแล้วเป็นเรื่องของจิตหยาบ
ที่จิตวิญญาณเป็นแค่ผู้รับผลการกระทำเท่านั้น
3.พวกท่านจะไม่รู้ว่า
การนิพพานของจิตหยาบขณะเป็นมนุษย์นั้น
มันจะทำให้แก่นแท้คือจิตวิญญาณของท่าน
ผู้มอบอำนาจให้จิตหยาบทำหน้าที่แทน
ได้รับผลการกระทำของจิตหยาบนั้นเท่านั้น
นั่นคือจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จะว่างไปจากกิเลส เวทนา ราคะ อารมณ์ขยะ
จนเข้าถึงการสั่นสะเทือนเป็นความรักบริสุทธิ์
มอบให้โลกและทุกสรรพสิ่งได้เสียที
อีกทั้งจิตวิญญาณก็จะอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้
และจะว่างไปจากการมีสังสารวัฏได้อีกด้วย
แต่เราจะบอกความจริงต่อท่านว่า
การนิพพานของจิตหยาบนี้
มันจักต้องบรรลุผลตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ตายนะ
มิใช่ตายแล้วหลุดลอยไปค้างอยู่บนสวรรค์มายา
แล้วโมเมว่าเมื่อท่านดับทุกข์ได้สิ้นเชิงแล้ว
แสดงว่าตัวตนของท่านแม้จะมีก็เหมือนไม่มีแล้ว
เพราะไม่มี "ใครทุกข์" คือ ตัวทุกข์ไม่มี
จิตวิญญาณของท่านจึงดับสูญแล้ว
อย่างที่คนนำทางตาบอดพาหลงทางกันอยู่
เมื่อจิตหยาบนิพพาน "ขยะ" จนสิ้นแล้ว
จิตหยาบของท่านก็จะเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณแก่นแท้ได้อย่างสง่างาม
การปฏิบัติภารกิจของจิตวิญญาณคือตัวท่านเอง
มันจึงจะเริ่มต้นที่จะทำพร้อมที่จะทำกัน ณ บัดนั้น
เพราะไม่มีหน้าที่ต้องตายแล้ว
เพราะไม่มีหน้าที่ต้องตกนรกอีกแล้ว
เพราะไม่ต้องตายเพื่อเกิดใหม่ตามกฎแห่งกรรมแล้ว
เพราะจิตหยาบนิพพานกองทุกข์สิ้นแล้ว
เพราะจิตหยาบเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณแล้ว
เมื่อทำหน้าที่ของจิตวิญญาณได้แล้ว
ถ้าพวกท่านปรารถนาจะนำพาจิตวิญญาณ
"หลุดพ้น" ออกไปจากอนันตจักรวาล
เพื่อย้อนคืนกลับบ้านยังแดนสุญตา
ท่านก็สามารถร้องขอต่อพระบิดาได้ทุกเมื่อ
หรือจะมีอายุขัยยืนยาวนานแค่ไหนก็ได้
เพราะผู้ที่มีกายใจบริสุทธิ์ผุดผ่องใสแล้ว
จะมีแต่ชีวิตที่เป็นอมตะเท่านั้น
เพราะจิตหยาบในทุกภพชาติเหลวไหล
จึงทำให้จิตวิญญาณคือตัวท่านเองล้มเหลว
จงมีสติทางวิญญาณด้วยการตื่นแจ้งกันเสียที
นี่โลกและพวกท่านสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
พระบิดาทรงเร่งปฏิบัติการชำระโลกอยู่
เชื้อโรคร้ายยังไม่ทันจางหาย
ภัยพิบัติรุนแรงก็กำลังจะถูกส่งเข้ามา
เวลาของท่านทั้งหลายในการมีสำนึก
เหลือน้อยลงไปทุกวันๆ
จงอย่ามองข้ามผ่านความรักจากพระบิดา
ที่ทรงเมตตาส่งผ่านมาทางเรา
ห้องเรียนก็ไม่เข้า เข้าเรียนก็ไม่ตั้งใจ
พระคัมภีร์มีไว้ก็ไม่ค่อยจะอ่าน
จงอย่ามองเราข้ามผ่าน
เหมือนการมองเห็นขี้หมาแห้งก้อนหนึ่งเลย
ถ้าวันหนึ่งเกิดความวิบัติต่อท่านหรือญาติพี่น้อง
แล้วเพิ่งสำนึกรู้ว่าขี้หมาแห้งก้อนนี้มันกินแก้วิบัติได้
จึงค่อยหันมาหยิบมากลืนฝืนกินเพราะกลัวตาย
ท่านทั้งหลายคิดว่าก้อนขี้หมานั้นมันจะศักดิ์สิทธิ์
จนช่วยชีวิตท่านมิให้วิบัติเพราะอับจนแล้วได้หรือไม่
ท่านทั้งหลายจักต้องตระหนักรู้กันไว้ด้วยว่า
คุณค่าของเรากับพระโอวาทพระบิดา
จะเป็นเพียงแค่ก้อนขี้หมาแห้งก้อนหนึ่งเท่านั้น
สำหรับผู้ที่ขาดความเชื่อและขาดความศรัทธา
ด้วยปัญญาและความจริงใจ
กราบพระบาทพระบิดา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24/04/2021

25 เมษายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

 25/04/2021




พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ขณะนี้ปฏิบัติการไซโคโชว์ "โควิด-19"
สำหรับมนุษย์โลกยังคงดำเนินต่อไป
ตราบใดที่มนุษย์ยังดื้อรั้นไม่ยอมชำระจิตสามนึก
ด้วยการทำงานอยู่กับบ้านอยู่กับครอบครัว
เพื่อสร้างจิตสามนึกใหม่ในการดำเนินชีวิตร่วมกัน
โดยเฉพาะจิตสามนึกแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน
ระหว่างลูกผัวตัวเมียและสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ
ถ้าหากไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกจากบ้าน
สถานการณ์โควิดระบาดก็จะยกระดับขึ้นเรื่อยๆ

ปรากฏการณ์โรคระบาดนี้
เราได้เปิดเผยความเป็นมาเป็นไปไว้ให้แล้ว
แต่สิ่งที่เราจะกล่าวซ้ำย้ำสติท่านทั้งหลายก็คือ

1.จงอย่าประมาทหรือขาดสติในการดำเนินชีวิต
ถ้าจำเป็นต้องออกจากบ้านไปทำภารกิจข้างนอก
สิ่งที่ต้องติดตัวคือหน้ากากและแอลกอฮอล์
สำหรับล้างมือของตัวเองอยู่เป็นระยะๆ

2.ขณะอยู่นอกบ้านให้ระวังการใช้มือให้มาก
เพราะมือของตัวเองนี่แหละที่พาเชื้อโรคเข้าตัวได้
ด้วยการหยิบขนมหยิบอาหารเข้าปาก
คนที่ชอบกินจุบกินจิบยิ่งต้องระวังให้มากกว่าปกติ

นอกจากนั้น
จงอย่าใช้มือขยี้ตา แคะขี้มูก แคะขี้ฟัน
มันอาจพาเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้

3.เวลาพบเจอกันอย่าทักทายกันด้วยการสัมผัส
ไม่ว่าการจับมือหรือการโอบกอดกันนะ
เพราะเชื้อโรคจากการสัมผัสมือหรือเสื้อผ้ากัน
สามารถแพร่ถึงกันและกันได้โดยตามองไม่เห็น

4.ถ้าไม่จำเป็นพยายามเลี่ยงการอยู่ในห้องแอร์
ร่วมกันกับคนจำนวนมาก เช่น ที่ทำงาน
ห้องประชุมสัมมนา ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง ฯลฯ
เพราะท่านสามารถสูดอากาศพร้อมไวรัสเข้าไป
ในทางเดินหายใจได้เช่นเดียวกัน

5.เวลาสนทนากับใครก็ตาม
ให้เว้นระยะห่างอย่างน้อยสองเมตร
พร้อมสวมหน้ากากเข้าหากันด้วย

6.เมื่อกลับเข้าบ้าน
ให้รีบล้างมือ ล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าลงซัก
ถ้าสามารถอาบน้ำสระผมด้วยจะดีมากเลย
ท่านจะไม่นำเอาเชื้อโรคจากนอกบ้าน
มาฝากคนที่ท่านรักที่อยู่ที่บ้านได้อีกด้วย

ทั้ง 6 ประการนี้เป็นสิ่งที่ท่านต้องทำ
ไม่ทำไม่ได้ ความตายจะมาเยือนแน่ๆ
เพราะมันคือการป้องกันการติดเชื้อโรคนั่นเอง

นอกจากนั้น
เรายังมีสิ่งที่เรียกว่า ภูมิคุ้มกันตนเอง
ที่มีประสิทธิภาพและได้ผลกว่าวัคซีนมาก
โดยให้ท่านสร้างมันขึ้นมาด้วย #ความรัก

เพียงแค่ท่านรักคนไม่น่ารักให้ได้
ให้อภัยคนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยให้เป็น
อย่าไปก้าวล่วงคนอื่นด้วยความโลภ โกรธ หลง
อย่าหงุดหงิดง่าย อย่าซึมเศร้า อย่าเครียด
พยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกัน
ให้มีความสุขสนุกสนานกับทุกคนในครอบครัว

มันจะทำให้จิตของท่านผลิตสร้างประจุบวก
เป็นคุณสมบัติของเซลล์อวัยวะร่างกายไว้
ซึ่งมันจะช่วยให้ท่านมีภูมิต้านทานโรคสูง
ที่สำคัญคือไวรัสทุกชนิดจะไม่ทำร้ายใครก็ตาม
ที่มีสภาวะร่างกายสมดุลทางไฟฟ้า

การสร้างภูมิคุ้มกันตนเองด้วย ความรัก ที่ว่านี้
ดีกว่าวัคซีนที่ฉีดเอาเชื้อโรคที่ตายแล้วเข้าสู่ร่างกาย
เพราะวัคซีนเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายท่าน
อาจปฏิเสธหรือต่อต้านจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
แต่ความรักที่ท่านสร้างขึ้นภายในไม่มีพิษภัย
ทั้งตนเองและคนรอบข้าง

เพื่อให้ท่านปรับเปลี่ยนแก้ไข จิตสามนึกใหม่
พวกท่านจึงต้องได้รับ ไวรัสโคโรน่า สู่ร่างกาย
ถ้าใครยังทำตนเหลวไหลท้าทายเชื้อโรค
ด้วยการยอมปล่อยให้กิเลสตัณหาครอบงำดังเดิม
โดยไม่ยอมปรับปรุงตัวเองขณะอยู่บ้าน
เท่ากับว่าคนนั้น "สอบตก" บททดสอบในรอบสามนี้

สอบตกเป็นตาย สอบได้เป็นรอด

อย่าหวังพึ่งวัคซีนพึ่งยาวิเศษเสียให้ยากเลย
ตราบใดที่ฟ้ายังปิดมิติการค้นพบมันอยู่
เพราะมนุษย์โลกส่วนใหญ่ยังไร้จิตสามนึกแห่งรัก
และยังไม่กลัวตายจนไม่ใส่ใจปรับจิตสามนึกตนเอง
ตามที่พระบิดาทรงออกแบบแผนนี้ไว้

สถานการณ์ระบาดจะรุนแรงขึ้นอีกหรือไม่
จำนวนผู้เสียชีวิตจะถึงสามล้านคนหรือไม่
อยู่ที่การพิพากษาตนเองของมนุษย์โลกโดยแท้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25/04/2021