13 สิงหาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 13/08/2023

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
การเป็นมนุษย์ผู้มี “จิตใสใจสวย” นั้น
นอกจากจะหมายถึงผู้มีคุณสมบัติ 4 ประการ
ตามที่เรากล่าวไว้ในบทที่ผ่านมาแล้ว คือ
1.หมุนธรรมจักรในตนเองได้
2.ไม่ปิดอายตนะภายนอกของตนไว้
3.ใช้ขันธ์ห้าได้อย่างถูกต้อง
4.ใช้ปัญญาของสมองเป็น
 
บทนี้เราจะกล่าวถึงคุณสมบัติประการที่ 5 ต่อ
 
5.#นึกให้เป็นเพื่อคิดให้เป็น
 
เรื่องของการกำหนดนึกด้วยจิตหยาบ
เพื่อที่จะคิดหาคำตอบนั้นๆด้วยสมองซีกซ้าย
เราได้อธิบายวิธีเบื้องต้นไว้ในบทที่ผ่านมาแล้ว
ซึ่งเราได้ย้ำเอาไว้ด้วยว่าการนึกด้วยจิตหยาบนั้น
แท้จริงแล้วมันคือการตั้งคำถามตัวเองนั่นแหละ
 
ตั้งแต่เป็นกุมารน้อยพอเริ่มจะหัดพูดได้ใหม่ๆ
พวกเขาจะถูกจิตวิญญาณของตนเองช่วยฝึกให้
โดยใช้สัญชาตญาณการอยากรู้อยากเห็นของเด็ก
ฉลาดพูดฉลาดถามพ่อแม่ผู้ปกครองกับคนเลี้ยงดู
ด้วยคำถามพื้นๆ ว่า “นั่นอะไร?” หรือ “นี่อะไร?”
โดยใช้ความอยากรู้อยากเห็นอยากจับอยากกิน
เป็นตัวขับเคลื่อนคำถามดังกล่าว
 
เด็กน้อยส่วนใหญ่
จึงเป็นคนอยากรู้อยากเห็นอยากจับอยากสัมผัส
จนกลายเป็นเด็กซุกซนไม่อยู่นิ่งเฉยกันไปได้
เด็กบางคนก็ชอบปีนป่ายเที่ยวรื้อนั่นโน่นนี่
จนพลาดตกโต๊ะตกเก้าอี้หัวแตกปากแตกเจ็บตัว
เด็กบางคนก็จะเอาเมล็ดน้อยหน่ายัดเข้ารูจมูกบ้าง
กินน้อยหน่าแล้วเผลอเมล็ดติดค้างติดคอบ้าง
จนพ่อแม่ผู้ปกครองต้องส่งโรงหมอให้ช่วยเหลือ
เด็กที่เริ่มโตจะมีพฤติกรรมธรรมชาติแบบนี้ทั้งสิ้น
มีเด็กน้อยรายที่จับให้นั่งตรงไหนก็นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น
ไม่มีอาการซุกซนวิ่งวนไปมาไม่มีอาการว่าช่างถาม
เพราะเป็นจิตวิญญาณที่พกพาเวรกรรมติดตัวมา
เพื่อเป็นบทเรียนของตนและเป็นบททดสอบพ่อแม่
เพื่อการเรียนรู้และเพื่อแก้ไขในชาตินี้ด้วย
 
สำหรับบทเรียนบทนี้นั้น
เราจะกล่าวถึงเรื่อง “นึกให้เป็นเพื่อคิดให้เป็น” ด้วย
นอกเหนือจากการสอนให้พวกคุณรู้กันมาแล้วว่า
คุณต้อง #กำหนดนึกด้วยจิตคิดด้วยสมอง เสมอ
 
หลักการนึกให้เป็นเพื่อคิดให้เป็นที่ว่านี้
เป็นเพราะพวกคุณทุกคนกำลังยกระดับตนเอง
ด้วยการ “คนตนเองในสองมิติ” เพื่อเป็น #มนุษย์
หมายถึงต้องหมุนธรรมจักรในตนเองให้สำเร็จให้ได้
โดยใช้เครื่องมือสำคัญในการ “หมุน” ที่ตนมีอยู่ดังนี้
 
1.ใช้อายตนะภายนอกทั้งห้าที่พระเจ้าให้มา
ประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้นหรือปากและผิวกาย
สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งเร้าต่างๆจากภายนอก
 
2.ใช้จิตหยาบที่เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ
ซึ่งติดตั้งอยู่ตรงต่อมไพเนี่ยลตรงบริเวณหน้าผาก
อยู่เหนือระหว่างคิ้วโดยสูงขึ้นไปเพียงเล็กน้อย
ทำหน้าที่ “รับรู้” ข้อมูลหรือรหัสสัญญาณต่างๆ
จำพวกรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็ง
ที่กลไกอายตนะภายนอกทั้งห้าส่งเข้าไปให้
 
3.ใช้ “ขันธ์ห้า” สั่นสะเทือนเพื่อการ #รับเอา
โดยจิตหยาบจะนำเอารหัสข้อมูลนั้นๆที่ตนได้รับ
สั่นสะเทือนตนเองให้เกิดเป็นกระบวนการรับรู้ขึ้น
ซึ่งกระบวนการรับรู้ของจิตหยาบก็คือ #ขันธ์ห้า นี้
คือการสั่นสะเทือนของจิตหยาบเป็น 5 ขั้นตอน
อันหมายถึง #การหมุนธรรมจักรในตนเอง นั่นแหละ
 
คุณจะหมุนธรรมจักรในตนเองได้ก็ต่อเมื่อ
คุณจะต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกเป็นด้านบวกเท่านั้น
 
การสั่นสะเทือนจิตสามนึกทางด้านบวกก็คือ
คุณต้องนึกออกแต่เรื่องดีๆที่เป็นด้านบวก
คุณต้องนึกเอาแต่เรื่องดีๆหรือคุณต้องดำริชอบ
คุณต้องนึกเองแต่ด้านบวกหรือมองคนอื่นในแง่ดี
เพื่อให้การคิดและการกระทำของตัวคุณนั้น
มั่นสั่นสะเทือนขับเคลื่อนทั้งภายในและภายนอก
เป็นมโนกรรมวจีกรรมและกายกรรมด้านบวกให้ได้
 
เพราะมโนกรรมด้านบวกของคุณเท่านั้น
มันจะนำไปสู่การผลิตสร้างพลังงานจิตด้านบวก
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกออกมา
ถ้าจะให้เป็นคลื่นพลังงานในแบบที่โลกต้องการ
จิตหยาบจะต้องผลิตแต่ #พลังงานสะอาด เท่านั้น
ถ้าเป็นพลังงานไม่สะอาดแม้จะเป็นด้านบวกก็ตาม
ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลโลกและทั่วอนันตจักรวาล
จะไม่สามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้เลย
 
พลังงานบวกที่ไม่สะอาด คือ อะไร
 
1.เป็นพลังงานกรรมที่มีเจ้าของ
อันเกิดจากการทำกรรมดีแต่ร้องขอผลตอบแทน
อันเกิดจากการทำกรรมดีนั้นแต่ขอสิ่งแลกเปลี่ยน
อันเกิดจากการทำกรรมดีนั้นแล้วขออุทิศให้คนอื่น
 
2.เป็นพลังงานที่มีเจ้ากรรมนายเวรรอรับอยู่
อันเกิดจากกรรมดีนั้นก่อโดยเกี่ยวกรรมกับผู้อื่นอยู่
เช่น เคยให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าจะให้แต่มิได้ให้
อาจเป็นเพราะคดโกงบิดเบี้ยวเขาหรือลืมไปแล้ว
 
3.เป็นพลังงานกรรมด้านบวกที่เกิดขึ้น
โดยมิได้สั่นสะเทือนด้วยจิตสามนึกของตนเอง
แต่ทำกรรมดีนั้นเพราะถูก “จูงใจ” ให้ทำ
เช่น ทำกรรมดีนั้นเพราะเห็นว่ามันได้หน้าได้ตา
ทำกรรมดีนั้นเพราะอยากได้กุศลผลบุญ
ทำกรรมดีนั้นเพราะอยากขึ้นไปเกิดบนสวรรค์มายา
ทำกรรมดีนั้นเพราะ “ถูกชักชวน” ให้ทำ เป็นต้น
 
พลังงานกรรมที่เป็น “ผลกรรม” ด้านบวกเหล่านี้
มันคือพลังงานบริสุทธิ์แต่เป็นพลังงานไม่สะอาด
เพราะคนสัตว์พืชโลกและสรรพสิ่งใดๆในจักรวาล
จะไม่อาจแบ่งปันเพื่อเอาไปใช้ประโยชน์ได้เลย
คนโบราณเรียกว่ามันเป็น #ของร้อน
ที่คนไหนใครอื่นจะหยิบฉวยเอาไปไม่ได้เลย
เพราะว่ามันเป็นพลังงานที่มีเจ้าของนั่นแหละคุณ
 
ดังนั้น
การทำบุญเพื่อหวังสิ่งตอบแทน
การทำบุญแล้วแสดงความเป็นเจ้าของบุญนั้น
การทำบุญแล้วแบ่งปันเซ่นไหว้ให้ผู้นั้นผู้นี้
พลังงานกรรมด้านบวกพวกนี้ล้วนไม่สะอาดทั้งสิ้น
จงอย่าหาทำเด็ดขาดเชียวนะคุณ
เพราะเป็นพลังงานจิตในแบบที่ไม่เป็นสากล
 
คุณมีหน้าที่จะต้องสร้างบุญกุศล
ให้เป็นพลังงานกรรมสะอาดคล้ายก๊าซออกซิเจน
ที่ผลิตออกมาจากแกนโลกภายใต้ฝ่าเท้าพวกคุณ
แล้วล่องลอยอยู่ทั่วไปในบรรยากาศโลก
ซึ่งสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตทุกรูปธรรมใช้ประโยชน์กันได้
โดยไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าเข้าเจ้าของมัน
เพราะความรักบริสุทธิ์สะอาดจากจิตมนุษย์โลก
ร่วมกันหมุนธรรมจักรแล้วช่วยกันผลิตออกมา
ไม่รู้ว่าความรักของใครไม่รู้ว่าใครช่วยผลิตมากน้อย
ไม่รู้ว่าใครร่วมกันผลิตออกซิเจนออกมาเมื่อไหร่
 
ก๊าซออกซิเจนในระบบโลก
จึงเป็นประโยชน์ต่อสรรพสิ่งมีชีวิตทุกรูปธรรม
ซึ่งทุกรูปธรรมมีสิทธิ์เสรีที่จะใช้ได้ตามต้องการ
แม้มนุษย์บางคนยังไม่เคยช่วยโลกผลิตเลย
เพราะว่าจนป่านนี้แล้วยังไม่รู้จักว่า #รักคืออะไร
คนๆนั้นก็ยังได้รับสิทธิ์ในการหายใจกับเขาอยู่
จนกว่าจะหมดโอกาสมีชีวิตอยู่บนโลกแล้วเท่านั้น
 
เพราะว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม
จึงต้องรู้ว่าตนจะนึกให้เป็นเพื่อคิดให้เป็นกันอย่างไร
 
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
 
ปัญญาวิสุทธิ์
13/08/2566