31 มีนาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 31/03/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ตามประวัติศาสตร์ของพี่น้องชาวคริสเตียนนั้น

พระเยซูหรือพระคริสต์ทรงถูกตรึงบนไม้กางแขน

จนสิ้นพระชนมชีพในวันศุกร์ คือ Good Friday

ในสามวันต่อมาพระองค์ได้ฟื้นคืนพระชนมชีพ

ตรงกับวันอาทิตย์คือ “วันอีสเตอร์ (Easter Sunday)”

 

โดยในปี ค.ศ.2024 นี้วันอีสเตอร์

จะตรงกับวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม 2567 คือวันนี้

ส่วนเมื่อวานซืนนี้คือวันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2567

เป็นวัน Good Friday วันที่ทรงถูกตรึงบนไม้กางแขน

ทรงต้องรับทุกข์ทรมานจนสิ้นพระชนมชีพนั่นเอง

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ความเชื่อที่เกี่ยวกับเทศกาลอีสเตอร์นี้

เราได้กล่าวในมุมของ “ความเชื่อ” ไปแล้วสองตอน

 

#ความเชื่อตอนที่หนึ่ง

คือ “ความเชื่อ” เรื่อง #พระเยซูทรงแบกรับบาป

โดยยอมถูกตรึงบนไม้กางแขนเพื่อรับทุกข์ทรมาน

จนสิ้นพระชนม์เพื่อการไถ่บาปให้แก่มวลมนุษย์โลก

ซึ่งในมุมของ “ความจริง” นั้นแย้งกับกฎของพระเจ้า

ตามคำกล่าวที่ว่า #กรรมของใครคนนั้นรับผิดชอบ

ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะรับผลกรรมแทนใครคนอื่นได้

ไม่เว้นแม้แต่ “พระบุตรเอก” จะทรงมีพระมหาเมตตา

ก็ไม่สามารถเสด็จมาจุติเพื่อจะช่วยแบกรับโทษบาป

แทนเหล่าคนบาปทั้งหมดทั้งโลกเพื่อไถ่บาปให้ได้

ซึ่งพระเจ้าทรงกล่าวย้ำกับเราเสมอว่า #เด็กเส้นไม่มี

 

ถ้าพระองค์เป็นพระผู้ทรงฤทธิ์มีอภิสิทธิ์เช่นนั้นจริง

ทรงช่วยนำพาจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของมวลมนุษย์โลก

ให้หลุดพ้นกลับไปกราบพระบาทพระบิดาที่ทรงรออยู่

จะมิทรงกระทำได้ง่ายกว่าและเหมาะสมยิ่งกว่าหรือ

เพราะพระองค์ทรงเป็น #พระผู้ช่วยให้มนุษย์รอด

คือรอดพ้นจากอำนาจของ #กฎแห่งกรรม ได้ทุกคน

ไม่มีผู้ใดต้องพลัดหล่นลงไปในบึงไฟหรือบ่อย่ำองุ่น

รอดพ้นภัยจากมารกับพวกซาตานที่เป็นศัตรูมนุษย์

ด้วยการทรงกล่าวสอนความจริงที่เป็นสำนวนโวหาร

จากการที่ถูกคนนำทางตาบอดกรรมกรของมอดมาร

ทำการบิดเบือนพระวจนะที่ทรงสื่อมาจากพระเจ้าไว้

ให้ได้ “ฉุกคิด” ก่อนที่จะหลงเชื่อตามกันอย่างโง่ง่าย

 

#ความเชื่อตอนที่สอง

คือ “ความเชื่อ” เรื่อง #พระศพเสด็จออกมาจากคูหา

หลังจากการที่พระองค์สิ้นพระชนมชีพไปแล้วสามวัน

โดยในมุมของ “ความจริง” ตามกฎของพระเจ้านั้น

การตายคือการทิ้งกายสังขารเพราะใช้การไม่ได้แล้ว

ไม่ต่างจากคุณถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ใช้อยู่นั้นทิ้งไป

เพราะชำรุดขาดวิ่นปกปิดอวัยวะร่างกายไม่ได้อีกแล้ว

เพื่อการจัดหาชุดใหม่ที่พร้อมใช้งานได้ดีกว่าชุดเก่า

โดยผู้ถอดของเก่าทิ้งไว้ก็คือพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์

 

ดังนั้น

เมื่อทรงสิ้นพระชนมชีพแล้ว

พระศพที่ถูกเก็บรักษาไว้ในคูหาดังกล่าว

ไม่ว่าจะนานถึงสามวันหรือจะสักกี่วันก็ตาม

กายสังขารที่ทรงละทิ้งไว้หรือพระศพของพระองค์

ก็จะมีการเสื่อมสลายไปตามกาลนั่นคือความจริง

มีเพียงตัวตนที่แท้จริงหรือตัวตนแก่นแท้

ซึ่งเป็นพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เท่านั้น

ที่จะละทิ้งกายสังขารออกมาจากคูหาซึ่งเป็นที่ลับ

กลับไปกราบพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า

ก่อนที่จะเสด็จมาจุติใหม่ในภพชาติใหม่กันต่อไป

นี่เป็นความจริงในตอนที่สองที่เรากล่าวไว้แล้ว

 

ต่อไปนี้เป็นความเชื่อของพวกคุณชาวโลก

กับความจริงในมุมของพระเจ้าที่เราจะกล่าวต่อ

เกี่ยวกับพระคริสต์ในเทศกาลอีสเตอร์ช่วง 40 วันนี้

 

#ความเชื่อตอนที่สาม

เป็นความเชื่อเรื่องไข่อีสเตอร์ (Easter Eggs)

โดยสำหรับชาวคริสต์ตั้งแต่สมัยอดีตกาลนั้น

เชื่อกันว่า “ไข่” เป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิตใหม่

จึงใช้ไข่เป็นสัญลักษณ์แทนการฟื้นคืนพระชนม์

เพราะชาวคริสต์เชื่อว่าพระเยซูเอาชนะความตายได้

และทรงอยู่เหนือบาปโดยผ่านการฟื้นคืนพระชนม์

ถ้าหากพวกเขาปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์แล้ว

พวกเขาก็จะเป็นผู้ที่มีชีวิตนิรันดร์ได้

 

สำหรับ “ความจริง” ในตอนนี้นั้น

คนนำทางในกาลอดีตหลังพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว

ได้นำเอาเรื่องการเกิดกับการตายของมนุษย์ทุกคน

มาเชื่อมโยงกันไว้กับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู

เป้าหมายแรกก็คือช่วยสร้างสติให้แก่สาวกทั้งหลาย

ที่เกิดความโศกาดูรต่อการจากไปของพระองค์อยู่

ให้รู้ว่าทรงสิ้นพระชนม์แล้วอีกไม่นานจะเสด็จกลับมา

คำว่าเสด็จกลับมาแปลว่าจะเสด็จกลับมาจุติอีกครั้ง

เพื่อกลับมาช่วยพี่ๆน้องๆที่ยังตกค้างอยู่ในระบบโลก

ที่รอคอยพระองค์เหมือนดั่งเจ้าสาวที่รอเจ้าบ่าวมารับ

 

จึงนำเอาเรื่องของไข่เข้ามาเปรียบเทียบ

เพราะลูกเจี้ยบหรือลูกไก่ที่ฟักตัวออกมาจากไข่

เสมือนทารกน้อยที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดา

ซึ่งผู้คนภายนอกมองเข้าไปข้างในก็ไม่เห็นว่า

ทารกน้อยนั้นเติบโตหรือมีพัฒนาการมาอย่างไร

 

#ความเชื่อตอนที่สี่

เป็นความเชื่อเรื่อง #สิ้นพระชนม์แล้วสามวัน

#พระองค์จะทรงฟื้นคืนพระชีพออกมาจากคูหา

ซึ่ง “ความเชื่อ” ในเรื่อง 3 วัน หรือ 3 Days นี้

ที่เป็นความจริงของพระเจ้านั้นทรงหมายถึง 3 มิติ

โดยตัวย่อใช้คำว่า “3D” คือ 3 Dimensions ต่างหาก

 

ความจริงในเรื่องของ 3 มิตินี้แท้แล้วหมายถึง

จิตหยาบของจิตวิญญาณผู้มาเกิดใหม่ข้างในครรภ์

ซึ่งถูกแบ่งภาคออกมาเป็นคลื่นพลังงาน 189 กลุ่ม

เพื่อทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณขณะมีชีวิตเป็นมนุษย์

มารดากับบิดาและจิตวิญญาณตนร่วมหมุนธรรมจักร

โดยร่วมฟูมฟักด้วยความรักเพื่อให้เหมือนการฟักไข่

เริ่มจากมิติศูนย์คือเป็นอนัตตาที่ยังไม่มีรูปธรรมอะไร

จนกลายเป็นกล่องพลังงานที่มีอัตตาตัวตนได้ 3 มิติ

คือเป็นกล่องพลังงานทรงเรขาคณิต 3 เหลี่ยมมุม

ซึ่งเป็นตัวเต็มวัยของทารกผู้ปฏิสนธิในครรภ์มารดา

ที่พร้อมจะคลอดออกมาจากครรภ์แม่ได้แล้วนั่นเอง

 

โดยจิตหยาบที่ถูกฟูมฟักด้วยความรักบริสุทธิ์

พัฒนาจากการเป็นอนัตตาขึ้นมาเป็นสามเหลี่ยมมุมนี้

มายาของเปลือกนอกที่เป็นกายสังขารที่คุณเห็นนั้น

จะเป็นตัวตนทารกน้อยที่มีความกว้างยาวและหนา

จนมีพัฒนาการครบถ้วนรวมเป็นสามมิติเช่นเดียวกัน

ผู้มาเกิดใหม่ใครก็ตามมิใช่จำเพาะพระเยซูเท่านั้น

ต่างจึงล้วนต้องผ่านกระบวนการแบบที่ว่านี้ทั้งสิ้น

 

ดังนั้น

ที่เชื่อกันมาว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์แล้ว 3 วัน

จะทรงฟื้นคืนชีพขึ้นมาเหมือนพระศพมีชีวิตได้อีกนั้น

จึงเป็นความเชื่อของมนุษย์มิใช่ความจริงของพระเจ้า

 

#ความเชื่อตอนที่ห้า

นอกจากไข่อีสเตอร์แล้วกระต่ายอีสเตอร์

คือ Easter Rabbits ก็เป็นอีกหนึ่งในสัญลักษณ์

ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของเทศกาลอีสเตอร์เช่นกัน

ยังคงไม่ได้รับการยืนยันที่ชัดเจนว่าเป็นมาอย่างไร

แต่เชื่อว่ากระต่ายอีสเตอร์นี้เกิดมาจากตัวละคร

จากนิทานพื้นบ้านสำหรับเด็กๆชาวเยอรมัน

 

เป็นนิทานเล่าเรื่องของกระต่ายที่แอบนำไข่หลากสี

ซึ่งทำจากช็อคโกแลตที่เด็กๆชอบทานมาซ่อนไว้

เด็กคนไหนเป็นเด็กดีก็จะหาไข่ที่กระต่ายซ่อนไว้เจอ

โดยเด็กๆจะค้นหามาทานกันในวันอาทิตย์อีสเตอร์นี้

นี่เป็นนิทานที่ทำให้เด็กเชื่อกันสืบมา

แต่ความจริงของพระเจ้านั้นเป็นอีกอย่างหนึ่งคือ

 

กระต่ายเมื่อพระเจ้าแรกสร้างนั้นจะมีขนสีขาวนวล

ไม่ต่างจากดอกไม้ชนิดแรกบนโลกคือดอกบัวหลวง

ซึ่งมีสีขาวอันหมายถึงความบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน

พระเจ้าทรงสร้างทั้งสองสิ่งนี้ขึ้นมาเป็นสีขาวได้

โดยไม่ต้องทรง “กำหนดสร้าง” ไม่ต้องกำหนดสีให้

เพราะพระองค์ทรงเป็นมหาสุญตาพระจิตจึงบริสุทธิ์

เมื่อพระจิตพระองค์บริสุทธิ์สิ่งที่สร้างจะบริสุทธิ์เสมอ

เมื่อพระจิตพระองค์สมดุลสิ่งที่สร้างก็จะสมดุลเช่นกัน

 

ส่วนความจริงเรื่องของกระต่ายอีสเตอร์ก็คือ

เพราะว่ากระต่ายออกลูกง่ายออกลูกบ่อยและมีลูกดก

เป็นนัยความหมายให้รู้ว่าจิตวิญญาณของผู้มาเกิดนั้น

เป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ผุดผ่องเพราะมาจากพระเจ้า

การมีลูกดกหมายถึงการอาสามาเกิดเป็นจำนวนมาก

ที่ทรงเลือกใช้กระต่ายเป็นต้นเรื่องในการเปรียบเทียบ

เพราะกระต่ายเป็นสัตว์ประจำโลกชนิดแรกที่ทรงสร้าง

จึงอนุมานว่ากระต่ายเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่

ตามความเชื่อของพวกคุณในปัจจุบันนี้ก็พอได้อยู่

 

พวกคุณเห็นแล้วหรือยังว่า

#ความเชื่อกับความจริงนั้นบางสิ่งมันไม่เหมือนกัน

#ความเชื่อกับความจริงนั้นบางสิ่งก็ไม่ถูกต้อง

 

คุณเคยได้ยินบ้างหรือไม่ว่า

ความไม่ถูกต้องตรงจริงมาจากคนนำทางตาบอด

คนนำทางตาบอดผิดพลาดเพราะขาดสติปัญญา

คนนำทางตาดีกล่าวพระวจนะเอาไว้ดีแล้วชอบแล้ว

แต่ถูกคนนำทางตาบอดพาหลงทำหลงทางไปก็มี

โลกนี้จึงเต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสนมากยิ่งขึ้น

พระเจ้าจึงต้องทรงชำระโลกก่อนวันสิ้นยุคอีกแล้ว

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

31/03/2567




สวัสดีวันอาทิตย์ 31/03/2024


 

30 มีนาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 30/03/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

วันนี้คือวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ถัดจากวันศุกร์

ซึ่งเป็นวันสำคัญสำหรับชาวคริสต์อีกวันหนึ่ง

ในเทศกาล #มหาพรต ที่เกี่ยวกับพระคริสต์

โดยวันศุกร์ที่ผ่านมาเป็นวันระลึกถึงการทรมาน

จากการที่ทรงต้องถูกตรึงไว้บนไม้กางแขน

ต้องทรงแบกและทรงถูกแขวนจนสิ้นพระชนม์

 

เรากล่าวต่อพวกคุณไว้แล้วว่า

ความเชื่อกับความจริงหลายๆสิ่งหลายเรื่องราวนั้น

ในทางศาสนาคุณจะต้องใช้สติปัญญาพิจารณา

ทำการกลั่นกรองให้ถ่องแท้กันอีกหลายๆรอบ

เพื่อให้ได้คำตอบที่เป็นจริงอย่างถูกตรงให้จงได้

แม้กระทั่งความเชื่อในเทศกาลมหาพรตนี้ก็เช่นกัน

 

เราจะกล่าวความจริงให้พวกคุณรู้ว่า

เมื่อวานนี้เป็นวันศุกร์เป็นวันที่พี่น้องชาวคริสต์

ระลึกถึงพระทรมานของพระคริสต์

ที่ทรงถูกตรึงไว้บนไม้กางแขนเพื่อช่วยไถ่บาป

ด้วยการแบกบาปแบกทุกข์ของมวลมนุษย์โลกไว้

ตามความเชื่อของคนนำทางที่ชี้นำพวกคุณมา

ซึ่งเรากล่าวความจริงในพระนามพระบิดาให้รู้แล้วว่า

ไม่มีใครหรือผู้ใดจะแบกบาปรับทุกข์แทนใครได้

หรือไม่มีผู้ใดจะตายแทนใครได้นั่นเอง

 

บทนี้เราจะขอกล่าวต่อเรื่อง #การไถ่บาป อีกว่า

คำว่า “ไถ่บาป” นี้ความหมายที่แท้จริงแล้ว

มิได้หมายถึงการรับบาปโทษหรือรับทุกข์แทน

แต่การไถ่บาปคือการเป็นพระผู้สอนให้มนุษย์รู้ดีรู้ชั่ว

เป็นพระผู้สอนให้มนุษย์รู้สำนึกในบาปบุญคุณโทษ

เมื่อมนุษย์รู้ความจริงแล้วจะได้ไม่ทำผิดบาปนั้นอีก

นี่จึงเป็นความหมายที่ถูกต้องของการไถ่บาปที่ว่านี้

 

ดังนั้น

ในเทศกาลศักดิ์สิทธิ์ของการถือศีลมหาพรตนั้น

ความศักดิ์สิทธิ์จะบังเกิดได้ถ้าคุณเข้าถึงความจริง

โดยเฉพาะการเข้าใจนัยความหมายของวันศุกร์ว่า

เป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนมชีพของพระศาสดา

ซึ่งมนุษย์โลกทุกคนต่างต้องเผชิญด้วยกันทั้งนั้น

ไม่ว่าจะเสียชีวิตแบบไหนใครๆก็ต้องตาย

ไม่มีผู้ใดมีอายุขัยยืนยาวจนหยัดยืนอยู่ค้ำฟ้าได้

 

เมื่อผ่านวันสิ้นพระชนม์ไปแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักและศรัทธาในพระคริสต์ทั้งหลาย

ต่างก็ได้เฝ้ารอคอยการฟิ้นคืนพระชนมชีพ

โดยต่าง “เชื่อกันสนิทใจว่า” พระศพที่ฝังอยู่ในคูหา

จะกลับคืนพระชนมชีพขึ้นมาได้อีกครั้ง

 

พระบิดาทรงมีบัญชาให้เรากล่าว “ความจริง” ว่า

จิตวิญญาณของคุณทุกคนที่เป็นมนุษย์โลกนั้น

ต่างต้องตายไปในภพชาตินี้ตาม “กฎแห่งกรรม”

ไม่ว่าจะตายดีหรือตายร้ายคือตายแบบไม่ค่อยดี

การตายแบบไม่ค่อยดีคือต้องทุกข์ทรมานก่อนตาย

การตายดีคือนอนหลับเป็นตายหรือตายตาหลับ

หากจิตวิญญาณของคนผู้นั้นยังอยู่ใต้กฎแห่งกรรม

เพราะจิตหยาบเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณมิได้

ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นเจ้าเป็นนายหรือว่าเป็นพระบุตรเอก

จักต้องเผชิญกับความตายด้วยกันทั้งสิ้น

 

ด้วยเหตุนี้เอง

ความเชื่อเรื่องการฟื้นคืนพระชนมชีพของพระองค์

ที่ทำให้ศิษย์และสาวกผู้รักและศรัทธาพระองค์อยู่

ต่างเฝ้ารอคอยการเสด็จออกมาจากคูหาดังกล่าว

โดยคำว่า “คูหา” นั้นหมายถึงสถานที่ลับเฉพาะ

มีลักษณะเป็นแบบใดเร้นอยู่ที่ไหนก็ไม่อาจรู้เห็นได้

ทุกคนเชื่อว่าพระศพในคูหาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้

 

แต่พระบิดาทรงมีบัญชาให้เรากล่าวความจริงให้รู้ว่า

แท้แล้วผู้สิ้นพระชนม์คือ “พระจิตวิญญาณบริสุทธิ”

ผู้จะฟื้นคืนพระชนมชีพก็คือพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์

นัยความหมายแท้จริงก็คือการเสด็จกลับมาจุติใหม่

ของพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์รูปธรรมเดิมในชาติใหม่

โดยจะเสด็จกลับมาจุติใหม่นั้นอีกนานสักเท่าใดก็ไม่รู้

แต่มิใช่แค่สองสามวันหลังสิ้นพระชนม์แน่นอน

เหตุที่กำหนดไว้โดยนับเป็นจำนวนวันได้เพื่อยืนยันว่า

พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์นั้นจะเสด็จกลับมาจุติแน่นอน

นี่จึงเป็นนัย “ความจริง” เรื่อง #การตายแล้วเกิดใหม่

ซึ่งเป็นคนละอย่างกันกับความเชื่อของใครหลายคน

 

พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ปัสกาที่ศักดิ์สิทธิ์

เรียกว่า #วันอีสเตอร์ (Easter Day)

เป็นวันสุดท้ายใน 40 วัน ของเทศกาลมหาพรต

ซึ่งเรามีทั้งความเชื่อของพวกคุณมาจากอดีต

และความจริงของพระเจ้าที่เราจะกล่าวให้คุณรู้

ในบทต่อไปขอเชิญติดตามต่อกันได้

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

30/03/2567





สวัสดีวันเสาร์ 30/03/2024


 

29 มีนาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 29/03/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

วันนี้คือวันศุกร์...

เป็นวันสำคัญสำหรับพี่น้องชาวคริสต์อีกวันหนึ่ง

เพราะเป็นวันระลึกถึงพระทรมานของพระคริสต์

ที่ทรงถูกตรึงบนไม้กางแขนโดยเชื่อต่อกันมาว่า

พระองค์ทรงเสด็จมาจุติเพื่อ “ไถ่บาป” ให้มนุษย์

 

การที่ทรงแบกไม้กางแขนของพระองค์

เชื่อกันมาว่าเป็นลักษณะของการ #แบกบาป

การสิ้นพระชนม์บนไม้กางแขนคือการ #ไถ่บาป

อันเป็นบาปชั่วที่มนุษย์โลกทุกคนเป็นผู้ก่อไว้

โดยทรงรับความเจ็บปวดและทรมานนั้นไว้เอง

เพื่อช่วยให้ทุกคนไม่ต้องรับบาปรับทุกข์นั้น

 

พี่น้องแห่งเราทั้งหลายจำนวนมากเชื่อกันว่า

พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของพระคริสต์เสด็จมาจุติ

เพื่อจะมารับบาปรับทุกข์และทรมานแทนชาวโลก

จึงหยิบเอาการถูกทำร้ายให้ต้องสิ้นพระชนมชีพ

ยกมาเชื่อมโยงกับแนวความเชื่อของตนตลอดมา

ทำให้ผู้คนที่เชื่อในพระบิดาผู้ศรัทธาในพระคริสต์

พากันคล้อยตามอย่างว่าง่าย

 

เนื่องจากหลังพระคริสต์สิ้นพระชนมชีพแล้ว

ยังไม่มีพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์รูปธรรมใด

ที่เสด็จเข้ามาจุติในระบบโลกในพระนามพระเจ้า

เพื่อทำหน้าที่ #พระบุตรเอก ของพระองค์ต่ออีก

จึงไม่มีผู้ใดสื่อสารกับพระเจ้าเหมือนพระคริสต์ได้

สิ่งที่เป็น #ความเชื่อ ที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้น

จึงเป็นได้แค่ความเชื่อจากความรู้สึกที่มิใช่ความจริง

 

มนุษย์มีจิตสามนึกคือนึกออกนึกเอาและนึกเอง

ทุกคนจึงใช้จิตสามนึกขับเคลื่อนการคิดของตนได้

พวกผู้นำทางความคิดที่คนส่วนใหญ่เชื่อตามกันอยู่

จะใช้จิตสามนึกของตนชี้นำให้ผู้อื่นคล้อยตามเสมอ

ทุกยุคทุกสมัยเมื่อผู้นำว่าอย่างไรผู้ตามก็ว่าอย่างนั้น

ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำทางจิตวิญญาณก็เป็นแบบเดียวกัน

โดยเป็นมาในทุกยุคทุกสมัยไม่มีใครแปรเปลี่ยน

จึงยังผลให้ศาสนาใช้ศรัทธากับความเชื่อเป็นสำคัญ

ด้วยการเชื่อตามผู้นำทางของศาสนานั้นๆเป็นหลัก

ข้อเสียหายก็คือถ้าคนนำทางเหล่านั้นตาบอดเสียแล้ว

คนที่ก้าวตามก็หลับหูหลับตาเดินตามผู้นำตาบอดด้วย

มันจะไม่พากันเดินสะเปะสะปะสะดุดตกหกล้มได้ยังไง

 

สิ่งที่ขาดพร่องไปก็คือ “ตาบอด”

คำว่าตาบอดหมายถึงขาดความฉลาดทางปัญญา

เพราะขาดการฉุกคิดด้วยหลักการและเหตุผล

จะเป็นเพราะคิดว่าจะไม่คิดหรือเพราะว่าคิดไม่เป็น

จึงต้องใช้ “ความเชื่อ” ในสารรูปหรือบุคลิกของผู้นำ

หรือตัดสินใจเชื่อในตัวตนของคนที่กล่าวจูงใจนั้น

แทนที่จะยึดถือเหตุผลในสิ่งที่เขากล่าวนั้นว่าจริงไหม

บางเรื่องที่สำคัญของศาสนาจึงใช้ความเชื่อนำปัญญา

 

ในวาระสำคัญของวันศุกร์นี้

เราจะขอกล่าวความจริงในอีกมุมหนึ่งของพระคริสต์

โดยกล่าวในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าต่อพวกคุณว่า

 

แม้พระคริสต์จะทรงรักเมตตาต่อมนุษย์มากแค่ไหน

แม้พระองค์จะทรงเป็นพระบุตรเอกของพระเจ้าก็ตาม

พวกคุณจงจำไว้เสมอว่าเมื่อเสด็จมาจุติในระบบโลก

พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสิทธิ์เป็นมนุษย์เช่นคุณ

จะทรงอยู่ภายใต้กฎจักรวาลทุกกฎเช่นเดียวกับคุณ

ไม่เว้นแม้แต่ “กฎแห่งกรรม” ที่พวกคุณเผชิญกันอยู่

พระองค์ไม่มีสิทธิพิเศษเป็น “เด็กเส้น” ของพระเจ้า

ที่สามารถจะปฏิบัติตนนอกจารีตนอกกรอบอะไรได้

 

พระองค์จะต้องกินอยู่หลับนอนบนโลกเหมือนคนอื่นๆ

ยามหิวกระหายต้องทรงกินเองดื่มเองไม่กินไม่ดื่มมิได้

ถ้าทรงทำผิดก็จะได้รับโทษบาปตามกฎแห่งกรรมด้วย

พระศาสดาทุกศาสนาล้วนเป็นมนุษย์กันทุกพระองค์

จงอย่าได้คิดแบบจิตมนุษย์ว่าทรงเป็นผู้วิเศษเด็ดขาด

 

ดังนั้น

ความจริงที่เราจะกล่าวต่อไปนี้เกี่ยวกับพระคริสต์

เป็นความจริงของพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์

ที่พระเจ้าทรงประทานอนุญาตให้เรากลับมากล่าว

เพื่อประกาศให้ชาวโลกทั้งหลายได้รู้ความจริงว่า

การยอมสละพระชนมชีพถูกตรึงบนไม้กางแขนนั้น

ก็เพื่อจะทรงสอนมนุษย์ว่าทุกคนต้องรักษาสัจจะ

โดยยอมเสียชีวิตแต่ต้องไม่ยอมเสียสัจจะเด็ดขาด

เพราะสัจจะสัญญานั้นสำคัญยิ่งกว่าชีวิต

 

เนื่องจากชีวิตที่เกิดมานั้นตายแล้วยังเกิดใหม่ได้

แต่สัจจะที่พวกคุณให้ไว้กับพระบิดาหรือพระเจ้า

ตั้งแต่ก่อนรับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติแรก

ที่เรียกว่า #พันธะสัญญา รวม 6 ประการนั้น

เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วคุณจะละทิ้งสัจจะไม่ได้

 

พันธะสัญญา 6 ที่จิตวิญญาณคุณ

ได้ให้สัจจะไว้กับพระองค์ก็คือ

ถ้าทรงอนุญาตให้มาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้แล้ว

พวกคุณแต่ละคนจะปฏิบัติตนดังต่อไปนี้

 

1.จะมาทำหน้าที่เป็น #เพื่อนร่วมงานกับโลก

โดยจะอยู่ประจำที่โลกแห่งนี้ไม่มีการหนีไปอยู่ที่อื่น

ไม่ว่าจะตายจากโลกชั่วคราวหรือหายไปยาวนาน

ตลอด 6 หมื่นปีโลก คือ หนึ่งยุคพลังงานเก่า

 

การอยู่โยงและอยู่ยาวก็เพราะว่า

จิตวิญญาณถือภารกิจมาเกิดเป็นคนสองมิติ

เพื่อร่วมกันหมุนธรรมจักรด้วยเมตตาธรรมกับขันธ์ห้า

ผลิตสร้างพลังงานจิตค้ำจุนสมดุลโลกนั่นแหละ

เมื่อเป็นเพื่อนร่วมงานคุณก็จะทิ้งโลกไปที่อื่นไม่ได้

จะหนีไปอยู่สวรรค์มายาที่พระองค์มิได้สร้างก็ไม่ได้

คุณต้องถามตนเองว่าทำยังไงคุณจะไม่ต้องตาย

ที่คุณต้องตายหรืออายุขัยสั้นมันเป็นเพราะเหตุใด

นี่ก็เป็นการผิดสัจจะต่อพระองค์เป็นเรื่องแรกแล้ว

 

2.จะเป็นเงื่อนไขด้านบวกของผู้อื่น

หมายถึงคุณจะทำตนให้เป็นคนที่น่ารัก

เพื่อจะได้เป็นที่รักของคนอื่นเสมอ

โดยจะทำตนเป็นเงื่อนไขด้านบวกของคนรอบข้าง

ถ้าคุณเป็นเงื่อนไขด้านบวกของใครไม่ได้

คุณก็จะไม่ทำตนให้เป็นเงื่อนไขใดๆของผู้อื่น

 

แต่ปรากฏว่าพวกคุณส่วนใหญ่ถือตนเองเป็นที่ตั้ง

โดยใช้ตนเองเป็นศูนย์กลางในทุกเรื่องทุกสิ่ง

อยากให้คนอื่นรักแต่กลับทำตนไม่น่ารัก

อยากให้คนอื่นรักแต่ไม่เรียนรู้ที่จะรักคนอื่น

รักคนไม่น่ารักไม่ได้อภัยคนที่ไม่น่าให้อภัยไม่เป็น

นี่ก็ผิดต่อพันธะสัญญา 6 ที่เคยให้สัจจะไว้อีกแล้ว

 

3.จะร่วมกันหมุนธรรมจักร

เพื่อยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบ

ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้

 

เดิมจิตหยาบเป็นกลุ่มพลังงานจำนวน 189 กลุ่ม

ที่จิตวิญญาณคุณแบ่งภาคออกมาเมื่อแรกปฏิสนธิ

ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่ยังเป็นอนัตตาอยู่

ยังไม่มีรูปทรงเรขาคณิตอะไรที่ชัดเจนคือมีศูนย์มิติ

หน้าที่ของจิตวิญญาณคุณรวมกับแม่และพ่อ

จะต้องร่วมกันหมุนธรรมจักรด้วยความรักบริสุทธิ์

ช่วยกันฟูมฟักจิตหยาบที่ยังไร้เหลี่ยมมุมคือ 0D

นานเก้าเดือนจิตหยาบคุณก็จะโตเป็นตัวตนขึ้นได้

โดยจิตหยาบจะเป็นกล่องพลังงานมี 3 เหลี่ยมมุม

กายหยาบก็จะเป็นอัตตาตัวตนของทารกให้เห็น

เหมือนดั่งกาฟักไข่ที่ฟักจนออกมาเป็นตัวนั่นแหละ

 

ตอนที่คุณตกฟากออกมาเป็นทารกแรกเกิด

และเติบโตจนเป็นกุมารน้อยวิ่งเล่นปีนป่ายได้แล้ว

จิตหยาบของคุณจะเป็นกล่องพลังงานที่มี 4 มิติ

สี่มิติ” ก็คือเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่มีสี่เหลี่ยมมุม

โดยกายสังขารจะมีความกว้างยาวหนาและสูง

ให้ปรากฏในมิติแห่งเนื้อหนังห่อหุ้มจิตหยาบด้วย

 

จิตหยาบกับกายหยาบพัฒนาการได้ด้วยความรัก

ที่จิตวิญญาณคือตัวคุณเองกับพ่อแม่มอบให้

รวมทั้งจากความเมตตาในหน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู

ของหนูน้อยอย่างคุณที่มีผู้คนตั้งแต่สามคนขึ้นไป

ร่วมกันหมุนธรรมจักรช่วยเหลือคุณกันตลอดมา

 

เมื่อครบสามขวบแล้วคุณก็ถูกปิดบังและบิดเบือน

ไม่ให้รู้เรื่องสำคัญในการหมุนธรรมจักรอีกเลย

แถมยังถูกบิดเบือนว่าธรรมจักรคือ “อริยะสัจสี่”

นี่ก็ผิดสัจจะต่อพระองค์กันอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

 

4.จะไม่เบียดเบียนกันเอง

เมื่อเติบโตขึ้นคุณก็จะไม่เบียดเบียนกันเอง

ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์หรือว่าสัตว์ประจำโลก

ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรโลกที่ทรงสร้างเอาไว้ให้

คุณก็สัญญาไว้กับพระองค์ว่าจะไม่เบียดเบียน

จะไม่ทำลายจะไม่ทำร้ายให้ทุกสิ่งต้องเสียสมดุล

 

แต่พวกคุณกลับผิดสัจจะที่สัญญาต่อพระองค์ไว้

ทำให้โลกต้องเสียสมดุลรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกวัน

พวกคุณกลับทำร้ายกันอย่างขาดสติได้โดยง่าย

พวกคุณทำศึกสงครามล้างผลาญกันอยู่เนืองๆ

พวกคุณเอาเปรียบด้านการค้าเศรษฐกิจการเมือง

ปรากฏให้เห็นกันอยู่ทั่วโลกตลอดมาไม่ว่างเว้น

พวกคุณใช้วัตถุเท็คโนโลยีและอาวุธที่สร้างขึ้นมา

ทำลายกันเพื่อการมีอำนาจเหนือและผลประโยชน์

นี่พวกคุณก็ผิดต่อพันธะสัญญาที่ให้ไว้อีกแล้ว

 

5.จะยกระดับกายจิตและจิตวิญญาณ

ให้เป็นหนึ่งเดียวกันเมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์

หมายถึงคุณจะใช้จิตวิญญาณในการดำเนินชีวิต

 

แปลว่าจะไม่คิดพูดทำทุกสิ่งด้วยจิตหยาบ

แต่จะใช้จิตหยาบที่มีคุณสมบัติเหมือนจิตวิญญาณ

ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมในสองมิติให้จงได้

หมายถึงจะคนตนเองในสองมิติให้เป็นหนึ่งเดียว

ให้สำเร็จให้เร็วที่สุดให้จงได้เมื่อได้โอกาสมาเกิด

แต่พวกคุณถูกปิดบังความจริงในเรื่องนี้

พวกคุณจึงได้ผิดสัจจะต่อพระองค์อีกแล้ว

เพราะไม่มีใครรู้ความจริงในเรื่องนี้มาก่อนเลยว่า

ตนนั้นมีจิตหยาบเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ

 

6.จะย้อนคืนกลับสู่แดนสุญตาที่คุณจากมา

ภายในเวลาหกหมื่นปีก่อนที่โลกนี้จะถึงกาลสิ้นยุค

โดยข้อนี้มันเป็นอนุตรธรรมที่พวกคุณยากจะหยั่งรู้

พระองค์จึงทรงมีพระบัญชาให้เรากลับมาบอกให้รู้

เพื่อช่วยสร้างกฤตสติและสร้างสติทางวิญญาณให้

 

ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้

ล้วนเป็นสิ่งที่พระคริสต์ทรงทราบว่า

มนุษย์โลกละเลยไม่ใส่ใจเพราะความไม่รู้

มนุษย์โลกเหลวไหลเพราะมารบิดเบือนความจริง

จึงทรงแสดงให้เห็นว่าสัจจะนั้นสำคัญกว่าชีวิต

โดยเฉพาะสัจจะที่คุณให้ไว้ต่ององค์พระผู้เป็นเจ้า

 

จงจำไว้ว่าไม่มีใครเติมเต็มความหิวให้คุณอิ่มได้

ไม่มีพี่น้องคนไหนทำผิดแล้วรับโทษแทนกันได้

แม้ว่าจะมีใครอาสาช่วยกินแทนรับโทษแทนให้

ความผิดบาปของพวกคุณชาวโลกก็เช่นกัน

พระคริสต์จะทรงแบกรับความผิดบาปนั้นแทน

เหมือนกับที่ทรงแบกไม้กางแขนไว้ก็เป็นไปไม่ได้

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

29/03/2567




สวัสดีวันศุกร์ 29/03/2024


 

28 มีนาคม 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 28/03/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ความจริงแล้วพวกคุณใช้พลังจิตใต้สำนึกตลอดวัน

แต่เป็นการใช้ผ่านจิตสามนึกในระบบอัตโนมัติ

โดยขณะที่จิตใต้สำนึกกำลังสั่นสะเทือนเกิดอยู่นั้น

จักระทั้งเจ็ดที่ตั้งเรียงกันอยู่ในแนวดิ่งในตัวคุณ

มันก็จะเกิดการเหวี่ยงหมุนและสั่นสะเทือนต่อเนื่อง

เริ่มต้นจากจักระที่หนึ่งซึ่งมีพิกัดที่ตั้งอยู่ตรงก้นกบ

เป็นผู้เริ่มต้นสั่นสะเทือนเคลื่อนไหวก่อนเสมอ

 

เมื่อจักระที่หนึ่งสั่นสะเทือนเคลื่อนหมุนต่อเนื่อง

ยังผลให้จักระที่สองซึ่งมีพิกัดที่ตั้งถัดขึ้นมาข้างบน

เกิดการสั่นสะเทือนเคลื่อนหมุนต่อเนื่องตามไปด้วย

การสั่นสะเทือนเคลื่อนหมุนของจักระที่สามถึงเจ็ด

ก็จะเป็นเงื่อนไขให้แก่กันและกันตามแบบที่ว่านี้

ในลักษณะเดียวกันกับการ “กำธร” ของส้อมเสียง

เมื่อจักระที่เจ็ดซึ่งมีพิกัดที่ตั้งอยู่บนสุดบริเวณศีรษะ

มีการสั่นสะเทือนเคลื่อนหมุนด้วยความถี่สูงสุดแล้ว

จะยังผลให้จักระที่หนึ่งตรงก้นกบสั่นสะเทือนต่ออีก

จักระทั้งเจ็ดที่เหวี่ยงหมุนสัมพันธ์กันดั่งไซโคลนนี้

มีกระบวนการที่เกิดขึ้นเป็นแบบที่เรากล่าวมา

 

กลไกที่ทำให้เกิดจักระทั้งเจ็ดก็คือ

สิ่งที่เรียกว่า #ต่อมไร้ท่อ ที่จัดวางอยู่ในแนวดิ่ง

จากก้นกบไล่ขึ้นไปจนถึงศีรษะของคุณนั่นแหละ

โดยต่อมไร้ท่อนี้จะสั่นสะเทือนไปตามสภาวะจิตคุณ

เช่น ถ้าจิตหยาบคุณสั่นสะเทือนด้วยกิเลสตัณหา

ซึ่งเป็นคลื่นของจิตที่สั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำ

จักระที่หนึ่งตรงพิกัดก้นกบก็จะก่อตัวขึ้นมาเสมอ

เพราะจิตหยาบจะสั่นสะเทือนย่านความถี่ต่ำก่อน

ต่อเมื่อจิตนั้นสั่นสะเทือนเป็นย่านความถี่สูงขึ้น

จักระที่อยู่สูงกว่าถัดขึ้นมาด้านบนก็จะเกิดขึ้นตามมา

 

ปกติในคนส่วนใหญ่โดยทั่วไป

ที่สภาวะจิตยังไม่เคยได้รับการชำระกิเลสตัณหา

แม้ว่าจักระทั้งเจ็ดจะปรากฏเกิดขึ้นหรือว่ามีอยู่ได้

โดยจักระจะสามารถวิ่งขึ้นวิ่งลงไปตามนั้นได้ตลอด

แต่จักระที่เจ็ดบนชั้นยอดสุดนั้นจะเกิดอาการสดุด

ไม่สามารถสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องกับจักระที่หนึ่ง

ในลักษณะการ “วนลูป” เพื่อวกกลับเชื่อมต่อกันได้

 

เมื่อใดที่จิตหยาบของคุณตรง #ต่อมไพเนียล

สามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือนด้านบวกได้สูงขึ้น

จนทำให้ #ต่อมพิทูอิทารี สั่นสะเทือนตามได้แล้ว

จักระทั้งเจ็ดก็จะสั่นสะเทือนและหมุนเวียนขึ้นๆลงๆ

ตามทิศทางในแนวดิ่งได้อย่างต่อเนื่องและลงตัว

เมื่อนั้นจิตหยาบกับจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้

ก็เข้าถึงซึ่งการเป็นหนึ่งเดียวกันได้เรียบร้อยแล้ว

จึงจะเป็นคนที่สมบูรณ์และเป็นมนุษย์ที่สมดุลได้

แน่นอนว่าการจะสร้างปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้ได้นั้น

คุณจะต้องกระทำผ่านการสั่นสะเทือนจิตสามนึก

ด้วยจิตที่รู้สำนึกจากจิตปัญญาที่มิใช่กิเลสตัณหา

ซึ่งสั่นสะเทือนอยู่ในย่านความถี่ต่ำหรือ “กรรมจักร”

โดยคุณต้องหมุน “ธรรมจักร” ตลอดทั้งวันให้จงได้

 

ถ้าคุณเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน

ของจิตหยาบกับจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนได้

หรือหมุนธรรมจักรในตนเองจนเป็นธรรมชาติได้แล้ว

คุณจะมีพลังทางจิตวิญญาณสูงมากกว่าคนทั่วไป

พลังอำนาจทางจิตของจิตหยาบจะสูงเป็นเท่าตัว

เซลล์อวัยวะร่างกายในระดับยีนส์หรือดีเอ็นเอ

จะสั่นสะเทือนด้วยคลื่นความถี่สูงมากกว่าคนปกติ

กระบวนการเม็ตตาบอลิซั่มในระดับเซลล์จะตื่นตัว

 

คุณจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ไม่เจ็บป่วย

คุณจะเป็นหนุ่มยาวเป็นสาวนานคืออายุขัยยืนยาว

จนมีชีวิตอมตะเพราะจิตวิญญาณไม่ต้องตายก็ได้

ซึ่งเป็นไปตามที่พระเจ้าทรงออกแบบไว้ให้นั่นเอง

ที่เป็นอมตะโดยไม่ต้องตายก็เป็นเพราะเหตุว่า

คุณหมุนธรรมจักรด้วยความรักเป็นผลสำเร็จได้

จนสามารถอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้อย่างสิ้นเชิง

เมื่อคุณเอาชนะกฎแห่งกรรมโดยไม่ทำผิดบาปได้

คุณจึงไม่มีหน้าที่จะต้องเซ็ทซีโร่ (Set Zero)

ด้วยการตายแล้วจิตวิญญาณต้องไปลงนรกอีก

เพื่อชำระจิตวิญญาณที่ป่วยด้วยหลงมิติให้หาย

เพราะคุณมิได้ป่วยไม่ต้องการรับบำบัดอีกแล้ว

 

การ “เซ็ทซีโร่” ของจิตวิญญาณก็คือ

การตายเพื่อขอโอกาสกลับมาเกิดบนโลกนี้ใหม่

จะได้แบ่งภาคตนเองออกมาเป็นจิตหยาบกลุ่มใหม่

แทนจิตหยาบกลุ่มเดิมที่ทำให้จิตวิญญาณป่วยหนัก

จนต้องถูกส่งไปลงนรกในอดีตชาติที่ผ่านมานั้น

เพื่อใช้จิตหยาบกลุ่มใหม่ในภพชาติใหม่แทนได้

โดยกลับมาตั้งต้นที่มิติที่ศูนย์ถึงมิติที่สี่กันใหม่

ถ้าเซลล์อวัยวะร่างกายคุณหยุดความชราเอาไว้ได้

เพราะหมุนธรรมจักรจนเป็นผลสำเร็จได้จริงแท้แล้ว

จิตวิญญาณของคุณก็จะไม่มีหน้าที่ต้องตายอีก

เนื่องจากไม่มีกฎแห่งกรรมให้ต้องรับผิดชอบแก้ไข

จะได้ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกอยู่ตลอด

โดยไม่ละทิ้งโลกไปเกิดใหม่ที่ไหนกันอีกแล้ว

 

เมื่อคุณมีเมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลกร่วมกันได้

เรื่องค้ำจุนอายุขัยของสังขารร่างกายให้สมดุลอยู่

โดยไม่ต้องตายตราบนานนับหมื่นๆปีที่กำหนดไว้

จึงเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากกินเสียอีก

เพราะคุณมีพลังทางจิตวิญญาณเต็มเปี่ยมอยู่

จนสามารถค้ำจุนตนเองค้ำจุนโลกและเอกภพได้

หมดหน้าที่เมื่อไหร่จิตวิญญาณคุณต้องกลับบ้าน

ก็จะสามารถหลุดพ้นออกไปจากเอกภพได้ไม่ยาก

เพราะมีพลังมากพอที่จะดีดตนเองหนีแรงดึงดูด

ผ่านออกไปทางประตูมิติคือ “ด่านนภาลัย” ได้เลย

จงอย่าหาทำด้วยการอุตริสั่งใช้จิตใต้สำนึก

แทนที่จะเรียนรู้ในการใช้จิตสามนึกโดยเด็ดขาด

เพราะมันจะทำให้จิตวิญญาณคุณเองต้องเดือดร้อน!

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

28/03/2567