(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การเป็นมนุษย์ผู้มี “จิตใสใจสวย” นั้น
นอกจากจะหมายถึงผู้มีคุณสมบัติ 3 ประการ
ตามที่เรากล่าวไว้ในบทที่ผ่านมาแล้ว คือ
1.หมุนธรรมจักรในตนเองได้
2.ไม่ปิดอายตนะภายนอกของตนไว้
3.ใช้ขันธ์ห้าได้อย่างถูกต้อง
บทนี้เราจะกล่าวถึงคุณสมบัติประการที่สี่ต่อ
4.#ใช้ปัญญาของสมองเป็น
คำว่า “ปัญญา” หมายถึงความฉลาดของสมอง
ซึ่งสมองของมนุษย์นั้นมีอยู่สองซีกซ้ายกับขวา
ถ้าจะเป็นมนุษย์ผู้มีจิตใสใจสวยหรือมีจิตใจสูงนั้น
จะต้องเข้าถึงพลังอำนาจทางปัญญาของตนได้
นั่นคือจะต้องรู้วิธีการคิดและจะต้องคิดเป็นด้วย
คนทั่วไปไม่เคยรู้และไม่เคยเข้าใจว่า
สมองทั้งสองซีกซ้ายขวานั้นมันทำงานอย่างไร
เมื่อไม่รู้ความจริงนี้จึงใช้งานมันแค่เป็นอัตโนมัติ
ใช้สมองคิดไปตามธรรมชาติไม่เคยฝึกฝนที่จะใช้
จึงไม่รู้ว่าสมองสองซีกนั้นยังกดปุ่มใช้งานได้ด้วย
ซึ่งถ้ากดปุ่มใช้สมองเพื่อคิดได้เองที่มิใช่อัตโนมัติ
ทั้งความคิดความรู้ที่เป็นผลึกจากการกดปุ่มคิดนั้น
มันจะมีประสิทธิผลสูงสุดทั้งปริมาณและคุณภาพ
เท่าที่คนๆหนึ่งจะสามารถเข้าถึงกันได้เลยทีเดียว
ทุกวันนี้มนุษย์โลกส่วนใหญ่ล้วนรู้กันดีว่า
กลไกสมองในกะโหลกศีรษะของมนุษย์แต่ละคน
เป็นอวัยวะที่พระเจ้าทรงบรรจงสร้างขึ้นมาให้คุณใช้
ที่ซับซ้อนและแยบยลจนเป็นที่อัศจรรย์มากชิ้นหนึ่ง
ในประดาอวัยวะต่างๆของร่างกายมนุษย์ก็ว่าได้
น่าเสียดายที่พวกคุณไม่รู้ว่ามันทำงานกันอย่างไร
ไม่รู้ว่าจะกดปุ่มใช้งานสมองของตนกันได้อย่างไร
โดยไม่ปล่อยให้เหมือนผ้าขาวม้าที่คาดอยู่บนหัว
แต่ไม่เคยหยิบฉวยนำมาใช้เพราะว่าลืมมันไปแล้ว
เราจะกล่าวความจริงให้พวกคุณรู้ว่า
ถ้าปรารถนาจะนิพพานกิเลสก่อนตายในชาตินี้
เมื่อตายแล้วก็ยังปรารถนาจะนิพพานหลังตาย
คือ “หลุดพ้น” ออกไปจากระบบโลกและเอกภพ
เพื่อกลับบ้านเกิดแดนสุญตาที่จิตวิญญาณจากมา
ตัวคุณก็ต้องใช้ #ความฉลาดทางปัญญา กันให้ได้
มิใช่ใช้ความฉลาดของสมองแบบอัตโนมัติเท่านั้น
โดยพวกคุณจะต้องรู้ไว้ก็คือ
#สมองมนุษย์นั้นจะใช้เพื่อการคิดตามลำพังไม่ได้
คุณจะต้องสั่งการให้สมองมันทำงานด้วยจิตหยาบ
โดยวิธีสั่งการของจิตหยาบให้สมองมันทำงานก็คือ
คุณต้อง “นึก” เพื่อตั้งโปรแกรมให้สมอง “คิด” ก่อน
ซึ่งเราเคยกล่าวแล้วว่าต้องนึกด้วยจิตคิดด้วยสมอง
เพราะสมองมนุษย์จะตื่นตัวขึ้นมาเพื่อคิดรู้เองไม่ได้
แต่เนื่องจากการนึกด้วยจิตหยาบของมนุษย์นั้น
มันมีอยู่ด้วยกันถึง 3 ตัวนึก คือนึกออกนึกเอานึกเอง
ธรรมชาติของมันจะนึกของมันไปเรื่อยไม่เคยหยุดนิ่ง
มนุษย์โลกส่วนใหญ่จึงสับสนกันระหว่างนึกกับคิด
โดยเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ตนได้คำตอบมานั้นมันคือคิด
ทั้งๆ ที่จิตหยาบของคุณนั้นมันแค่นึกของมันเอาเอง
สมองทั้งสองซีกนั้นมันยังไม่ได้ช่วยคิดอะไรเลย
มนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนเป็น “ลูกอีช่างนึก” แทบทั้งสิ้น
เพราะตกหลุมพรางของจิตหยาบโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น
เราจะนิยามความจริง
เพื่อมิให้พวกคุณสับสนกันอีกต่อไปว่า
#การคิด หมายถึง กระบวนการทำงานร่วมกัน
ระหว่างจิตหยาบกับสมองสองซีกของมนุษย์
เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง
ถ้าไม่มีสมองเข้ามาเกี่ยวข้อง
คุณจะเรียกว่าเป็น “การคิด” ไม่ได้
ถ้าไม่มีจิตหยาบ “กำหนดนึก” ขึ้นมาก่อน
เพื่อกำหนดสั่งการให้สมองคิดหาคำตอบให้
คุณจะเรียกว่าเป็น “กระบวนการคิด” ไม่ได้เลย
ปกติแล้วการนึกจึงต้องเกิดขึ้นก่อนการคิดเสมอ
ดังนั้น
การใช้ปัญญาของสมองที่มีประสิทธิผลนั้น
คุณจะทำข้ามขั้นตอนของกระบวนการไม่ได้
1.คุณจะต้องกำหนดนึกให้ถูกต้องก่อน
เพื่อตั้งคำถามตนเองเพื่อให้ได้คำตอบที่อยากรู้
เพราะว่า “การกำหนดนึก” คือการตั้งคำถามตนเอง
คำถามนั้นต้องเป็นที่มาของคำตอบที่ต้องการด้วย
ไม่ต่างจากการถามคนอื่นในสิ่งที่ตนอยากรู้คำตอบ
คุณก็ต้องตั้งคำถามให้เป็นถามให้ตรงประเด็นด้วย
การถามให้เป็นคือเมื่อถามแล้วผู้ถูกถามต้องเข้าใจ
การถามตรงประเด็นคือถามให้ตรงกับที่ตนอยากรู้
กรณีของการนึกเพื่อกำหนดประเด็นให้สมองคิด
จึงต้องเป็นไปในลักษณะเดียวกันตามที่กล่าวมานี้
ถ้าคุณไม่ฉลาดนึกหรือไม่ฉลาดทางจิตเท่าที่ควร
คุณก็จะเป็นคนโง่เพราะไม่อาจใช้สมองตนเองได้
2.คุณจะต้องใช้จิตกำหนดนึกทีละเรื่อง
เพื่อตั้งประเด็นให้สมองมันคิดหาคำตอบให้คุณ
เพราะจิตหยาบกับสมองทั้งระบบของคุณนั้น
มันสามารถทำงานได้ทีละเรื่องทีละอย่างเท่านั้น
คุณจะนึกมั่วๆเพื่อให้สมองคิดแบบมั่วๆไม่ได้
ระบบประสาทสมองของคุณจะเกิดความเครียดขึ้น
จนไม่อาจคิดต่อได้เพราะมึนศีรษะเวียนหัวปวดหัว
ลามไปลงกระเพาะและลำไส้จนคลื่นไส้อาเจียนได้
ดังนั้น
จงอย่าไร้ระเบียบในการคิดเด็ดขาด
การไร้ระเบียบในการคิดคือการนึกทีละหลายๆเรื่อง
นึกเรื่องนี้อยู่แล้วยังเอาอีกเรื่องเข้ามานึกสอดแทรก
ทั้งๆที่เรื่องแรกที่คุณกำลังนึกยังคิดไม่สะเด็ดน้ำเลย
โดยเรื่องที่กำลังนึกคิดอยู่ยังไม่ตกผลึกเลยสักนิด
แต่กลับยัดเยียดให้สมองคิดโดยนึกเรื่องอื่นอีกแล้ว
นี่คือการไร้ระเบียบในการคิดด้วย “จิตตปัญญา”
หากจะให้ได้ผลทางการคิด
เพื่อให้เกิดผลึกทางการคิดที่สวยแอร่มแจ่มแจ๋วแล้ว
คุณจะต้องมีเวลาเจียระไนผลึกความคิดนานพอด้วย
การใช้เวลาคิดพิจารณาต่อเนื่องนานๆคือการมีสมาธิ
คำว่า “มีสมาธิ” หมายถึงการคิดได้ต่อเนื่องยาวนาน
จนกว่าจะสามารถได้คำตอบในสิ่งที่คุณกำลังคิดนั้น
คุณจึงจะหยุดคิดหรือเลิกคิดในประเด็นนั้นไป
ก่อนจะหยิบฉวยประเด็นใหม่นำมานึกเพื่อคิดกันต่อ
3.จิตคุณต้องว่างไปจากอารมณ์รู้สึก
ขณะคุณกำลัง “กำหนดนึก” เพื่อสั่งการให้สมองคิด
จิตหยาบคุณจักต้อง “ว่าง” จากการนึกเรื่องอื่นแล้ว
ยังต้องว่างจากอารมณ์รู้สึกทั้งปวงอีกต่างหากด้วย
คุณจำที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ได้หรือไม่ว่า
#จิตเป็นนายกายคือสมองนั้นเป็นบ่าว
อารมณ์รู้สึกในปัจจุบันขณะที่คุณกำลังสั่นสะเทือนอยู่
มันเป็นเรื่องของจิตหยาบที่จะมีอิทธิพลต่อสมองเสมอ
ขณะที่คุณมีอารมณ์รู้สึกด้านบวกต่อใครหรือเรื่องใด
การนึกคิดในขณะนั้นมันจะเป็นไปทางด้านบวกด้วย
ขณะที่คุณมีอารมณ์รู้สึกด้านลบต่อใครหรือเรื่องใดๆ
แม้กระทั่งคุณอาจจะกำลังอารมณ์ไม่ดีในเรื่องอื่นอยู่
การนึกคิดในขณะนั้นมันก็จะเป็นไปทางด้านลบด้วย
เพราะเหตุนี้เอง
ศัตรูของชาวดาวโลกที่เข้ามาสอดแทรกตัวอยู่
จึงพยายามสอนให้พวกคุณเสพติดกิเลสจนงอมแงม
คือใช้ความชอบไม่ชอบที่เป็นกิเลสเป็นสารตั้งต้น
กระตุ้นความอยากไม่อยากและไม่รู้ว่าอยากไม่อยาก
เพื่อขับเคลื่อนพฤติกรรมการคิดการพูดหรือการกระทำ
ในอันที่จะลดทอนพลังอำนาจทางปัญญาของสมอง
ให้เกิดการคิดผิดตัดสินใจผิดพูดผิดทำผิดตลอดมา
นอกจากนั้นพวกศัตรูมนุษย์ทั้งหลาย
ยังเน้นที่จะสอนให้คุณรู้มากกว่าการสอนให้คิดรู้
สังคมจึงสร้างค่านิยมการยอมรับนับถือ #คนเก่ง
มากกว่าค่านิยมในการยอมรับนับถือ #คนฉลาด
เอาไว้รองรับแผนการทำให้คนโง่เอาไว้ด้วย
(ยังมีต่อ)
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
11/08/2566
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การเป็นมนุษย์ผู้มี “จิตใสใจสวย” นั้น
นอกจากจะหมายถึงผู้มีคุณสมบัติ 3 ประการ
ตามที่เรากล่าวไว้ในบทที่ผ่านมาแล้ว คือ
1.หมุนธรรมจักรในตนเองได้
2.ไม่ปิดอายตนะภายนอกของตนไว้
3.ใช้ขันธ์ห้าได้อย่างถูกต้อง
บทนี้เราจะกล่าวถึงคุณสมบัติประการที่สี่ต่อ
4.#ใช้ปัญญาของสมองเป็น
คำว่า “ปัญญา” หมายถึงความฉลาดของสมอง
ซึ่งสมองของมนุษย์นั้นมีอยู่สองซีกซ้ายกับขวา
ถ้าจะเป็นมนุษย์ผู้มีจิตใสใจสวยหรือมีจิตใจสูงนั้น
จะต้องเข้าถึงพลังอำนาจทางปัญญาของตนได้
นั่นคือจะต้องรู้วิธีการคิดและจะต้องคิดเป็นด้วย
คนทั่วไปไม่เคยรู้และไม่เคยเข้าใจว่า
สมองทั้งสองซีกซ้ายขวานั้นมันทำงานอย่างไร
เมื่อไม่รู้ความจริงนี้จึงใช้งานมันแค่เป็นอัตโนมัติ
ใช้สมองคิดไปตามธรรมชาติไม่เคยฝึกฝนที่จะใช้
จึงไม่รู้ว่าสมองสองซีกนั้นยังกดปุ่มใช้งานได้ด้วย
ซึ่งถ้ากดปุ่มใช้สมองเพื่อคิดได้เองที่มิใช่อัตโนมัติ
ทั้งความคิดความรู้ที่เป็นผลึกจากการกดปุ่มคิดนั้น
มันจะมีประสิทธิผลสูงสุดทั้งปริมาณและคุณภาพ
เท่าที่คนๆหนึ่งจะสามารถเข้าถึงกันได้เลยทีเดียว
ทุกวันนี้มนุษย์โลกส่วนใหญ่ล้วนรู้กันดีว่า
กลไกสมองในกะโหลกศีรษะของมนุษย์แต่ละคน
เป็นอวัยวะที่พระเจ้าทรงบรรจงสร้างขึ้นมาให้คุณใช้
ที่ซับซ้อนและแยบยลจนเป็นที่อัศจรรย์มากชิ้นหนึ่ง
ในประดาอวัยวะต่างๆของร่างกายมนุษย์ก็ว่าได้
น่าเสียดายที่พวกคุณไม่รู้ว่ามันทำงานกันอย่างไร
ไม่รู้ว่าจะกดปุ่มใช้งานสมองของตนกันได้อย่างไร
โดยไม่ปล่อยให้เหมือนผ้าขาวม้าที่คาดอยู่บนหัว
แต่ไม่เคยหยิบฉวยนำมาใช้เพราะว่าลืมมันไปแล้ว
เราจะกล่าวความจริงให้พวกคุณรู้ว่า
ถ้าปรารถนาจะนิพพานกิเลสก่อนตายในชาตินี้
เมื่อตายแล้วก็ยังปรารถนาจะนิพพานหลังตาย
คือ “หลุดพ้น” ออกไปจากระบบโลกและเอกภพ
เพื่อกลับบ้านเกิดแดนสุญตาที่จิตวิญญาณจากมา
ตัวคุณก็ต้องใช้ #ความฉลาดทางปัญญา กันให้ได้
มิใช่ใช้ความฉลาดของสมองแบบอัตโนมัติเท่านั้น
โดยพวกคุณจะต้องรู้ไว้ก็คือ
#สมองมนุษย์นั้นจะใช้เพื่อการคิดตามลำพังไม่ได้
คุณจะต้องสั่งการให้สมองมันทำงานด้วยจิตหยาบ
โดยวิธีสั่งการของจิตหยาบให้สมองมันทำงานก็คือ
คุณต้อง “นึก” เพื่อตั้งโปรแกรมให้สมอง “คิด” ก่อน
ซึ่งเราเคยกล่าวแล้วว่าต้องนึกด้วยจิตคิดด้วยสมอง
เพราะสมองมนุษย์จะตื่นตัวขึ้นมาเพื่อคิดรู้เองไม่ได้
แต่เนื่องจากการนึกด้วยจิตหยาบของมนุษย์นั้น
มันมีอยู่ด้วยกันถึง 3 ตัวนึก คือนึกออกนึกเอานึกเอง
ธรรมชาติของมันจะนึกของมันไปเรื่อยไม่เคยหยุดนิ่ง
มนุษย์โลกส่วนใหญ่จึงสับสนกันระหว่างนึกกับคิด
โดยเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ตนได้คำตอบมานั้นมันคือคิด
ทั้งๆ ที่จิตหยาบของคุณนั้นมันแค่นึกของมันเอาเอง
สมองทั้งสองซีกนั้นมันยังไม่ได้ช่วยคิดอะไรเลย
มนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนเป็น “ลูกอีช่างนึก” แทบทั้งสิ้น
เพราะตกหลุมพรางของจิตหยาบโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น
เราจะนิยามความจริง
เพื่อมิให้พวกคุณสับสนกันอีกต่อไปว่า
#การคิด หมายถึง กระบวนการทำงานร่วมกัน
ระหว่างจิตหยาบกับสมองสองซีกของมนุษย์
เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง
ถ้าไม่มีสมองเข้ามาเกี่ยวข้อง
คุณจะเรียกว่าเป็น “การคิด” ไม่ได้
ถ้าไม่มีจิตหยาบ “กำหนดนึก” ขึ้นมาก่อน
เพื่อกำหนดสั่งการให้สมองคิดหาคำตอบให้
คุณจะเรียกว่าเป็น “กระบวนการคิด” ไม่ได้เลย
ปกติแล้วการนึกจึงต้องเกิดขึ้นก่อนการคิดเสมอ
ดังนั้น
การใช้ปัญญาของสมองที่มีประสิทธิผลนั้น
คุณจะทำข้ามขั้นตอนของกระบวนการไม่ได้
1.คุณจะต้องกำหนดนึกให้ถูกต้องก่อน
เพื่อตั้งคำถามตนเองเพื่อให้ได้คำตอบที่อยากรู้
เพราะว่า “การกำหนดนึก” คือการตั้งคำถามตนเอง
คำถามนั้นต้องเป็นที่มาของคำตอบที่ต้องการด้วย
ไม่ต่างจากการถามคนอื่นในสิ่งที่ตนอยากรู้คำตอบ
คุณก็ต้องตั้งคำถามให้เป็นถามให้ตรงประเด็นด้วย
การถามให้เป็นคือเมื่อถามแล้วผู้ถูกถามต้องเข้าใจ
การถามตรงประเด็นคือถามให้ตรงกับที่ตนอยากรู้
กรณีของการนึกเพื่อกำหนดประเด็นให้สมองคิด
จึงต้องเป็นไปในลักษณะเดียวกันตามที่กล่าวมานี้
ถ้าคุณไม่ฉลาดนึกหรือไม่ฉลาดทางจิตเท่าที่ควร
คุณก็จะเป็นคนโง่เพราะไม่อาจใช้สมองตนเองได้
2.คุณจะต้องใช้จิตกำหนดนึกทีละเรื่อง
เพื่อตั้งประเด็นให้สมองมันคิดหาคำตอบให้คุณ
เพราะจิตหยาบกับสมองทั้งระบบของคุณนั้น
มันสามารถทำงานได้ทีละเรื่องทีละอย่างเท่านั้น
คุณจะนึกมั่วๆเพื่อให้สมองคิดแบบมั่วๆไม่ได้
ระบบประสาทสมองของคุณจะเกิดความเครียดขึ้น
จนไม่อาจคิดต่อได้เพราะมึนศีรษะเวียนหัวปวดหัว
ลามไปลงกระเพาะและลำไส้จนคลื่นไส้อาเจียนได้
ดังนั้น
จงอย่าไร้ระเบียบในการคิดเด็ดขาด
การไร้ระเบียบในการคิดคือการนึกทีละหลายๆเรื่อง
นึกเรื่องนี้อยู่แล้วยังเอาอีกเรื่องเข้ามานึกสอดแทรก
ทั้งๆที่เรื่องแรกที่คุณกำลังนึกยังคิดไม่สะเด็ดน้ำเลย
โดยเรื่องที่กำลังนึกคิดอยู่ยังไม่ตกผลึกเลยสักนิด
แต่กลับยัดเยียดให้สมองคิดโดยนึกเรื่องอื่นอีกแล้ว
นี่คือการไร้ระเบียบในการคิดด้วย “จิตตปัญญา”
หากจะให้ได้ผลทางการคิด
เพื่อให้เกิดผลึกทางการคิดที่สวยแอร่มแจ่มแจ๋วแล้ว
คุณจะต้องมีเวลาเจียระไนผลึกความคิดนานพอด้วย
การใช้เวลาคิดพิจารณาต่อเนื่องนานๆคือการมีสมาธิ
คำว่า “มีสมาธิ” หมายถึงการคิดได้ต่อเนื่องยาวนาน
จนกว่าจะสามารถได้คำตอบในสิ่งที่คุณกำลังคิดนั้น
คุณจึงจะหยุดคิดหรือเลิกคิดในประเด็นนั้นไป
ก่อนจะหยิบฉวยประเด็นใหม่นำมานึกเพื่อคิดกันต่อ
3.จิตคุณต้องว่างไปจากอารมณ์รู้สึก
ขณะคุณกำลัง “กำหนดนึก” เพื่อสั่งการให้สมองคิด
จิตหยาบคุณจักต้อง “ว่าง” จากการนึกเรื่องอื่นแล้ว
ยังต้องว่างจากอารมณ์รู้สึกทั้งปวงอีกต่างหากด้วย
คุณจำที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ได้หรือไม่ว่า
#จิตเป็นนายกายคือสมองนั้นเป็นบ่าว
อารมณ์รู้สึกในปัจจุบันขณะที่คุณกำลังสั่นสะเทือนอยู่
มันเป็นเรื่องของจิตหยาบที่จะมีอิทธิพลต่อสมองเสมอ
ขณะที่คุณมีอารมณ์รู้สึกด้านบวกต่อใครหรือเรื่องใด
การนึกคิดในขณะนั้นมันจะเป็นไปทางด้านบวกด้วย
ขณะที่คุณมีอารมณ์รู้สึกด้านลบต่อใครหรือเรื่องใดๆ
แม้กระทั่งคุณอาจจะกำลังอารมณ์ไม่ดีในเรื่องอื่นอยู่
การนึกคิดในขณะนั้นมันก็จะเป็นไปทางด้านลบด้วย
เพราะเหตุนี้เอง
ศัตรูของชาวดาวโลกที่เข้ามาสอดแทรกตัวอยู่
จึงพยายามสอนให้พวกคุณเสพติดกิเลสจนงอมแงม
คือใช้ความชอบไม่ชอบที่เป็นกิเลสเป็นสารตั้งต้น
กระตุ้นความอยากไม่อยากและไม่รู้ว่าอยากไม่อยาก
เพื่อขับเคลื่อนพฤติกรรมการคิดการพูดหรือการกระทำ
ในอันที่จะลดทอนพลังอำนาจทางปัญญาของสมอง
ให้เกิดการคิดผิดตัดสินใจผิดพูดผิดทำผิดตลอดมา
นอกจากนั้นพวกศัตรูมนุษย์ทั้งหลาย
ยังเน้นที่จะสอนให้คุณรู้มากกว่าการสอนให้คิดรู้
สังคมจึงสร้างค่านิยมการยอมรับนับถือ #คนเก่ง
มากกว่าค่านิยมในการยอมรับนับถือ #คนฉลาด
เอาไว้รองรับแผนการทำให้คนโง่เอาไว้ด้วย
(ยังมีต่อ)
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
11/08/2566