25 เมษายน 2558

กลับบ้านดีกว่า


กลับบ้านกันเถอะ
กลับตัวเปล่าๆ...เกิดมามีแค่ไหน
เอากลับไปเท่านั้น

อย่ามัวขยันสะสมต่อไปเลย
เดี๋ยวแผ่นดินไหวเมื่อไหร่
มันก็จะพังลงมากองกับพื้นทั้งหมดแหละ

ไอ้ที่พกพาติดตัวไว้
เมื่อคราน้ำท่วมบ่าไหลมา
ท่านก็จะต้องถอดมันเหวี่ยงทิ้งไป
เพื่อลดน้ำหนักตัวเองลงทันที
ไม่งั้นจะจมหายไปใต้น้ำ

ชีวิตกับเงินตรา
ชีวิตกับทรัพย์สมบัติ
ชีวิตกับเกียรติชื่อเสียง
ชีวิตกับอำนาจวาสนา

ท่านอุตส่าห์สั่งสมกันมาทั้งชีวิตน่ะ
ในยามวิกฤติ...
มันมีค่าแค่เพียงเศษของเศษขยะเท่านั้นเอง

ฉลาดก่อนใคร วางทิ้งเสียก่อนใคร
ก่อนที่ภัยจะมาจนวางไม่ทัน
หรือสะสมมามากไปจนไม่รู้จะหาที่วางตรงไหน
ดีมั้ยล่ะท่าน????

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
25-04-2015

สัญญาณการสั่นไหว


สัญญาณการสั่นไหวทุกวันไม่เว้นวรรค
ตั้งแต่ระดับต่ำย้ำแล้วย้ำซ้ำจนเลยระดับ 4
แล้วปรี่ขึ้นไปถึงระดับ 5 
ไม่กี่เพลาที่ไต้หวันก็สั่นขึ้นไปถึงระดับ 6

มาเที่ยงวันนี้ตามเวลาของเนปาล
แรงสั่นสะเทือนก็ไปถึงระดับ 7.9 R 
นี่...มันเกือบจะมาถึงระดับ 8 กันแล้ว

ถ้าผู้คนบนแผ่นดินใด
มีการวัดค่าพลังงานซัมเบต้าแล้ว "ไม่ไหว"
แผ่นดินนั้นก็จะ "สั่นไหว" เสียเอง

ลูกกล่าวต่อพี่ๆน้องๆไปแล้ว
ผู้คนจะไหวเพื่อแผ่นดินจะได้ไม่ต้องไหว
หรือผู้คนจะไม่ไหวเพื่อแผ่นดินจะต้องไหว
อีกไม่ช้า....โลกจะได้รับการพิสูจน์กันถ้วนทั่ว

กราบพระบาทพระบิดา
เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
25-04-2015

รหัสธรรมน่ารู้ จากครูเมฆ


ก้อนเมฆรูปมังกรพ่นไฟ
สอนอะไรพวกท่านเช่นนั้นหรือ?

นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ที่เราอัญเชิญนำลงมาให้เรียนรู้กันนั้น

มิใช่ให้ดูเพื่อการนึกรู้กันเพียงแค่ว่า
ที่สองตาผัสสะดูนั่นน่ะ....

ใครเห็นเป็นหน้าหมา 
ใครเห็นว่าเป็นหน้าหมู
หรือให้ท่านดูเป็นมังกรพ่นไฟ
ดั่งใจผู้บันทึกภาพเขากำกับไว้ดอกนะ

เพราะนั่นพิสูจน์ว่าท่านยังมองผ่านสิ่งไร้สาระ
เพื่อเข้าถึงสิ่งที่เป็นสาระกันไม่ได้

นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

สิ่งอันไร้สาระทั้งหลายรายรอบตัวท่านนั้น
ล้วนเป็นมายาทั้งสิ้น
เพราะสรรพสิ่งซึ่งเป็นมายานั้น
ลำพังตัวตนรูปลักษณ์ของมันน่ะ
จักให้คุณหรือให้โทษอะไรท่านไม่ได้หรอก

สาระที่เป็นแก่นแท้
ซึ่งเร้นอยู่ในสิ่งไร้สาระที่เป็นมายาต่างหากล่ะ
จักเป็นรหัสนัยแห่งสัจธรรมของพระบิดา
ที่ท่านทั้งหลายจักต้อง "อ่านมันให้ออก"
เพื่อบอก...เพื่อสอน...ตนเองให้ได้
และแน่นอนว่าทรงประสงค์ให้ท่านรู้ไว้
เพื่อการเสี้ยมสอนตนเอง
มิใช่เอาไว้ "อวดเก่ง" กับคนอื่น

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-04-2015



ยังทำอยู่มั้ย?


เราขอกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
แม้ท่านจะเรียนรู้ได้แล้วว่า
หน้าที่แท้จริงของท่านนั้นมีอะไรบ้าง

แต่ท่านก็ยังต้องเรียนรู้ต่อไปด้วยว่า
หน้าที่ของท่านที่จะต้องไม่กระทำน่ะมีอะไรบ้าง
เพราะการไม่ไปกระทำในบางสิ่ง
ซึ่งมิใช่กงการอะไรของท่านนั้น
มันก็เป็นหน้าที่ของท่านด้วยเช่นเดียวกัน

เราจึงสอนพวกท่าน
ให้คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ
โดยคิดตาม PARINYA MODEL ไงล่ะ

ไม่งั้นจะไปก่อกรรมแล้วผูกเวรกับผู้อื่นเข้า
ในข้อหา..... "เจือก!" รายวันน่ะท่านนะ

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-04-2015

ต้องคิดสิ


นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย

แม้ว่าทุกวันนี้....
ยังคงมีอีกมากคนที่ยังไม่รู้ว่า
"นึก" กับ "คิด" ต่างกันอย่างไร
เพราะยังมิเคยผ่านประสบการณ์ "ไซโคโชว์"
กับอาจารย์ปริญญา ตันสกุล

แต่เราก็จะกล่าวความจริง
ต่อท่านทั้งหลายที่ยังมิได้ใช้โอกาสว่า
พลังอำนาจทางปัญญาของมนุษย์นั้น
จักต้องได้จาก "กระบวนการคิดที่ถูกต้อง"
ซึ่งพระผู้สร้างได้ทรงกำหนดติดตั้งเอาไว้ดั่งนี้

1.ต้องเริ่มกันที่ "จิต" 
2.ต้องทำให้ศักดิ์สิทธิ์ที่ "สมอง"
3.ต้องครองธรรมด้วย "มหาสติ"
4.ต้องใช้ "ปณิธานแห่งนิพพาน"
5.ต้องกล้าหาญ "แสดงออก"

ท่านทั้งหลายจะสามารถเป็นคนพ้นกรรมได้
หากใช้การคิดด้วยจิตวิญญาณ
ตามกระบวนการ 5 ขั้นที่เราสอนท่านอยู่นี้

หากท่านแสดงออกหรือกระทำสิ่งใดๆ
โดยมิได้ผ่านกระบวนการ 5 ขั้นข้างต้น
แสดงว่าท่านยังมิได้ตกผลึกในสิ่งที่ท่านกำลังทำ
เพราะเป็นเพียงแค่ "นึก" ด้วยจิตเท่านั้น

ชีวิตท่านประจำวัน
จึงเต็มไปด้วยการพูดการกระทำ
ที่ผิดๆถูกๆอยู่ซ้ำซาก

ผิดคน ผิดวิธี 
ผิดที่ ผิดเวลา 
ผิดพลาด และผิดใจ
โดยผิดอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เนืองๆ

นี่เท่ากับว่า....
ท่านได้ก่อกรรมเวรขึ้นมาใหม่
เกี่ยวกรรมกับใครต่อใครอยู่เนืองๆด้วยเช่นกัน

เราจึงสื่อสอนท่านมาโดยตลอดว่า
อย่าเดินถางขาให้น่าเกลียด
จงเดินให้ตรงอย่างสง่า
คือ เดินตรงมาทางเรา 
เพื่อมาเฝ้าฟังพระโอวาทองค์จิตจักรวาลด้วยกัน
เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
25-04-2015

17 เมษายน 2558

เรียนรู้ที่จะรักกัน


หินหนึ่งก้อนที่หนักใหญ่
หากมวลสารแต่ละอณูน้อยๆมันไม่รักกัน
มันก็จะไม่เหนี่ยวรั้งซึ่งกันและกันไว้ให้มั่นคงได้
แล้วในที่สุด...
หินก้อนนั้นมันก็มิอาจจะกลายเป็นหินแข็ง
และหนักใหญ่ได้เลย
ระบบสุริยจักรวาลนี้ก็เช่นกัน
ดาวทั้ง 9 ดวง 
ต้องรักดวงอาทิตย์และต่างต้องรักกันนิรันดร
มิเช่นนั้นทุกๆดวง
จะเกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งซึ่งกันและกันไว้
เป็นระบบสุริยะระบบเดียวกันมิได้
มนุษย์โลกเสรีนี่ก็เช่นกัน
ถ้าสมาชิกในครอบครัวไม่รักกัน
ครอบครัวนั้นย่อมแตกร้าง
ประเทศชาติเดียวกัน
ถ้าคนในชาติไม่รักกัน
ไม่เกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งกันไว้
ประเทศชาติย่อมพังทลายไม่มั่นคง
คนในโลกเสรีนี้
ถ้าต่างเชื้อชาติ ต่างศาสนา 
ต่างภาษา ต่างประเทศกัน
แล้วไม่รักกัน
ก็จะลุกขึ้นมาต่อสู้บู๊ล้างผลาญกันด้วยศึก
ก็จะฮึกเหิมเติมโหดกันด้วยสงคราม
ดาวโลกดวงนี้ย่อมมีแต่หายนะ
ดังนั้น
ท่านทั้งหลายจงเรียนรู้ที่จะรักกันให้ได้
ให้กันให้เป็น...เอาไว้เถิด
เพื่อสร้างสันติสุขอันประเสริฐร่วมกันนะ
เอเมน....
ป.วิสุทธิปัญญา
17-04-2015

ตะเกียงแห่งชีวิต


ท่านเตรียมตะเกียงไว้พร้อมหรือยัง
ตะเกียงใครพร่องน้ำมัน
เราจะช่วยเติมเต็มให้

ใครจุดตะเกียงไม่เป็น
เรายินดีที่จะช่วยสอนวิธีจุดตะเกียงให้

เรามาอยู่กับพวกท่านที่นี่แล้ว

ป.วิสุทธิปัญญา
16-04-2015

16 เมษายน 2558

คำสอน 16/04/2015

 

ตะเกียงแห่งชีวิต

ตะเกียงใช้ส่องทาง
แสงสว่างดั่งปัญญา

ความร้อนคือความรัก
ไส้ในจักแทนเวลา

น้ำมันต้องสรรหา
มาเติมจิตเพื่อติดไฟ

15 เมษายน 2558

ปากเป็นเอก


มนุษย์จะได้ดีได้ชั่ว มักอยู่ที่ปากของตัวเอง
มีปากเหมือนมีตูดที่หูรูดชำรุด
ย่อมถ่ายของเสียไม่หยุดฉันใด

คำพูดที่หลุดออกจากปาก
อาจนำความทุกข์ยากมาสู่ตนเองได้
เพราะปากเหม็นกระเด็นไปก้าวล่วงผู้อื่นเข้า
ถ้าเอาแต่พล่ามเอาแต่พูด
พูดโดยไม่ยั้งคิด
มวลหมู่มิตรก็อาจถูกท่านสะกิด
ให้เปลี่ยนจากมิตรไปเป็นศัตรูได้
ด้วยคำพูดเหม็นเน่าของท่านจากการไร้สติ

เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14-04-2015


คำโอด...คำอ้าง....



คำโอด...คำอ้าง.....
............................
ตะโกนก้อง ร้องว่า "เรามาแล้ว"
จนเสียงแผ่ว กลับไม่รู้ เราอยู่นี่
จะเหหัน ชันคอ รอกี่ปี
จึงได้รู้ เรานี้ ที่เธอ "รอ"

ทั้งความรัก ความฉลาด มิขาดพร่อง
เชิญมารอง รับเอา กันเถิดหนอ
พร้อมเส้นทาง นิพพาน สานต้นตอ
เรายังรอ แบ่งปัน ทุกวันคืน

เพราะบาปหนา ตาบอด น่าอดสู
คนไม่รู้ หูตึง จึงขมขื่น
คนงมงาย ไร้สมอง คงกล้ำกลืน
ความขมขื่น เพราะรอ จนท้อใจ

เปิดทวาร ทั้งหก ที่รกร้าง
แล้วสะสาง จิตสวย ด้วยใจใส
รับโอวาท สัจธรรม น้อมนำไป
พินิจใช้ แผ้วถาง ทางนิพพาน

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14-04-2015

เบื้องหลังฟ้าผ่า


Meta-physics:
เรื่องเบื้องหลังฟ้าผ่า
.............................
ถ้าท่านทั้งหลายเป็นคนช่างสังเกต
จะพบว่าท้องฟ้าเหนือขุนเขาราวป่าและทุ่งราบ
มักจะมีเมฆขาวสวยลอยสูงและฟ้าสีครามสดใส
ซึ่งต่างจากท้องฟ้าเหนือชุมชนเมือง
จะพบว่าท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยเมฆครึ้มสีเทาดำ
โดยมวลหมู่เมฆนั้นมักลอยต่ำ
แลดูทะมึนไม่สวยงาม
ก้อนเมฆสีเทาดำบนท้องฟ้าเหนือชุมชนเมือง
เกิดจากการรวมตัวกัน
ของมวลความชื้นในชั้นบรรยากาศ
ซึ่งได้จากไอน้ำร้อนที่ลอยตัวสูงขึ้นไปจากพื้นดิน
เมฆสีเทาดำเหล่านี้จะเต็มไปด้วยอนุภาคประจุลบ
ซึ่งรู้จักกันในนาม "อีเล็คตรอนอิสระ"
สะสมอยู่ในระหว่างโมเลกุลของน้ำเป็นจำนวนมาก
ประจุลบหรืออีเล็คตรอนอิสระเหล่านี้
มันมิได้มีอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ
มันมิได้ก่อกำเนิดขึ้นมาเอง
แต่พวกท่านทั้งหลายนี่แหละ
เป็นผู้ผลิตสร้างมันขึ้นมาโดยแท้
ปกติแล้วพวกท่านจะต้องรู้ว่า
หน้าที่ในการมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
คือท่านต้องผลิตสร้างประจุบวกออกมาให้ได้
ด้วยการสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกอย่างเดียว
ไม่ว่าท่านจะเผชิญกับเงื่อนไขทั้งดีหรือร้าย
ที่คนใกล้ตัวหยิบยื่นให้ในชีวิตประจำวันก็ตาม
โดยท่านจะสั่นสะเทือนด้านบวกได้
ก็ด้วยปณิธานแห่งนิพพานเท่านั้น
คือ ต้องรักให้ได้ ให้ให้เป็น
แม้ว่าเขาคนนั้นจะทำตัวไม่น่ารักไม่น่าให้เลยก็ตาม
แต่ปรากฏว่า....
ในโลกแห่งความเป็นจริงของพวกท่าน
กลับสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านลบต่อกันมากกว่า
โดยมีกิเลสตัณหาครอบงำ
จึงยังผลให้เกิดการผลิตสร้างประจุลบออกมามากมาย
ขณะที่ผู้ผลิตประจุบวกจากความรักมีน้อยเต็มที
อนุภาคประจุลบที่เกิดจากพลังงานจิตด้านลบ
ที่พวกท่านในชุมชนเมือง
ตั้งหน้าตั้งตาผลิตสร้างกันขึ้นมาในทุกวินาทีนั้น
ประมาณ 1% เท่านั้นเอง
ที่จะสามารถเหนี่ยวรั้งลงไปเก็บไว้ที่แกนโลกได้
ส่วนใหญ๋แล้วมันจะฟุ้งกระจาย
ยึดเกาะอยู่บนโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
เมื่อเจอความชื้นหรือมวลของไอน้ำเข้า
ก็จะพากันเข้าไปแทรกตัวอยู่ระหว่างโมเลกุลของน้ำ
แล้วค่อยๆจับกลุ่มรวมตัวกันเป็นก้อนเมฆสีเทาดำ
เพราะมีค่าสนามแม่เหล็กเป็นลบนั่นเอง
ถ้าในก้อนเมฆมีปริมาณของประจุลบจำนวนมาก
ช่างเท็คนิกผู้ดูแลความสมดุล
ของสนามแม่เหล็กในชั้นบรรยากาศโลก
ก็จะทำการสร้างสมดุล
ด้วยการยักย้ายถ่ายเทประจุลบ
หรืออีเล็คตรอนอิสระเหล่านี้ 2 วิธี
วิธีแรก คือ...
ให้ตกลงมาสู่พื้นดินร่วมกับพายุฝนฟ้าคะนอง
และมีฟ้าผ่าแรงๆสลับบ้าง
โดยบ่อยครั้งที่สายฟ้าจะฟาดลงมา
ตรงยอดหอคอยสูงหรือยอดตึกสูงๆ
เพราะมนุษย์สร้างสายล่อฟ้าเอาไว้ให้แล้ว
ส่วนวิธีที่สอง คือ...
จะสร้างกระแสสายฟ้าผ่าขึ้นมา
เพื่อนำพาประจุลบจากก้อนเมฆลงสู่ดิน (ground)
ถ้าปริมาณประจุลบมีจำนวนหนาแน่นไม่มากนัก
แต่ถ้าปริมาณประจุลบในก้อนเมฆหนาแน่นมาก
ช่างเท็คนิกก็จะใช้วิธียกย้ายก้อนเมฆทั้งหลาย
ไปสร้างกระแสสายฟ้าผ่าขึ้นมายังที่ไกลๆผู้คน
เช่นในทะเล มหาสมุทร หรือแหล่งน้ำ
เพื่อถ่ายเทประจุลบลงสู่แหล่งน้ำแทน
กรณีที่ต้นไม้ สัตว์ คน และบ้านเรือนถูกฟ้าผ่า
จนเป็นอันตรายถึงชีวิต และบ้านพังนั้น
เป็นการกระทำของเจ้ากรรมนายเวรของพวกท่าน
ซึ่งจิตวิญญาณของเขา
มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบ
โดยจะสั่งสมความอาฆาตโกรธแค้น
อันเป็นสภาวะจิตสุดท้ายเมื่อก่อนตายเอาไว้มาก
จิตวิญญาณอาฆาตเหล่านี้
จะทำตัวเหมือนมีอำนาจทางไฟฟ้าเป็นบวก
เพราะภายในรูปธรรมสั่งสมลบเอาไว้เยอะ
ทำให้ประจุบวกที่มีอยู่น้อยกว่า
ถูกเหวี่ยงออกมาออกันอยู่บริเวณรอบนอกของรูปธรรม
เลยดูเหมือนมีอำนาจด้านบวก
ทั้งๆที่แท้แล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็นนั้นมิใช่สิ่งที่เป็น
คนที่มีสนามแม่เหล็กเป็นลบเพราะกิเลสหนา
และเป็นคู่อาฆาตของตน
รวมทั้งต้นไม้ต้นไร่หรืออาคารบ้านใด
ที่สะสมประจุลบไว้กับตนมาก
เจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้ก็จะพุ่งลงมาจากเมฆ
เข้าชนเป้าหมายลบที่ตนต้องการทำลายได้เสมอ
ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะร่วมมือกัน
คราวละสองสามรูปธรรม
ในการทำร้ายหรือทำลายเป้าหมายต่อครั้ง
ถ้าเป้าหมายเป็นมนุษย์
จุดที่เขาจะพุ่งเข้าชนกระแทก
จะเป็นบริเวณกลางหน้าอกหรือกลางแผ่นหลัง
เพราะเป็นที่ตั้งของต่อมไทมัส
เราเล่าเบื้องหลังมิติโลกเหล่านี้ให้ท่านรู้
แต่มิได้บังคับให้ท่านเชื่อตามที่เรากล่าว
ขอให้รู้เอาไว้เพื่อพิสูจน์กันด้วยตัวท่านเองเถิด
เพราะยิ่งใกล้วันสำคัญ
ในปฏิบัติการชำระโลกคาบสุดท้ายมากเท่าใด
ท่านทั้งหลายก็จะได้เห็นปรากฏการณ์
ตามที่เรากล่าวไว้นี้ได้ชัดเจนเป็นรูปธรรมอยู่แล้ว
ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรา
ปรากฏการณ์ที่ว่านี้มันก็ต้องเกิดของมันอยู่แล้ว
เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14-04-2015

โลกที่กำลังหันหลัง


ปัญหาที่แท้จริงสำหรับเรานั้น
มิได้อยู่ตรงที่ว่า...

1.ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะจดจำเราได้
เนื่องจากรหัสพันธุกรรมเปลี่ยนไป
เพราะผ่านการเกิดใหม่มาแล้ว 7 ภพชาติ
รูปกายจึงมิอาจเหมือนเดิม

2.ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตัวเรานี้เป็นใคร
ใครใช้ให้เรามา
ให้เรามาทำหน้าที่อะไรบ้าง

แต่ปัญหาที่แท้จริงของเรานั้น
มันอยู่ตรงที่ว่า...

1.จะต้องมีผู้คนล้มตายไปอีกสักเท่าไหร่
2.จะต้องเกิดภัยพิบัติแรงๆอีกสักกี่ครั้ง
3.หรือต้องรอให้เกาะบางเกาะจมหายไปบ้าง

โลกที่กำลังหันหลัง
จึงจะยอมหันหน้ากลับมาฟังเรา

ใครตอบได้...ช่วยไขขานที
เพราะบัดนี้ปฏิบัติการทางเท็คนิกเพื่อการชำระโลก
ได้ถูกยกระดับเพิ่มขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
13-04-2015

อำนาจในตนเอง


ฆราวาสทั้งหลาย
ที่เลือกดำเนินบนเส้นทางสายวิมุติ
ในบทบาทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ที่ท่านยังมีสังคม มีครอบครัว มีภารกิจทางโลก
เป็นเครื่องรัดรึงทั้งจิตและกายท่านอยู่นั้น

บัดนี้....
ปฏิบัติการทางเท็คนิก
เพื่อเก็บกวาดชำระโลกได้ถูกยกระดับ
สูงขึ้นกว่าที่ผ่านมาแล้ว

ท่านทั้งหลายจักต้องเคร่งครัดกับตนเอง
ในการ "ต่อสู้" เพื่อให้ได้รู้แจ้งเห็นแจ้งในแสงธรรม
โดยเฉพาะ....

การต่อสู้กับความไม่รู้
การต่อสู้กับความไม่ฉลาด
การต่อสู้กับความงมงาย

การต่อสู้กับอำนาจจิตฝ่ายต่ำ
จำพวกกิเลสตัณหาราคะทั้งปวงเมื่อถูกยั่วยุ

การต่อสู้กับความเกียจคร้าน
การต่อสู้กับความขลาดกลัว
การต่อสู้กับความเหนื่อยล้า ท้อแท้

การต่อสู้กับอุปสรรค ปัญหา 
และความยุ่งยากใดๆในชีวิต

หากท่านต้องเผชิญหน้า
กับสถานการณ์อันไม่พึงประสงค์
ดังกล่าวมาทั้งหมดนี้เมื่อใด
ก็จงรับรู้ไว้ว่าท่านน่ะมี "อำนาจในตนเอง" 
ซึ่งสามารถหยิบฉวยออกมาใช้
เพื่อจัดการกับมันได้

อำนาจหนึ่งเป็นอำนาจด้านมืด
เป็นอำนาจของ "ซาตาน"
ที่เน้นการเปลี่ยนแปลงไปในทางลบ
ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ลักษณะ
คือ การทำลาย และการยอมตนเป็นพวก

อีกอำนาจหนึ่งเป็นอำนาจด้านบวก
เป็นอำนาจแห่งพระผู้สร้าง หรือ "พระเจ้า"
ที่เน้นการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไปในทางบวก
คือ การเปลี่ยนแปลงเพื่อการสร้างใหม่
โดยเน้นที่การเปลี่ยนแปลงจากภายใน
อันเริ่มต้นที่ตนเองและสิ้นสุดยุติที่ตนเอง

ผู้ปรารถนาการหลุดพ้นบนถนนของสังคม
ที่ไม่ปลีกวิเวก ไม่เสพสันโดษ
จึงต้องมีมหาสติคือมีสมาธิในยามตื่น
เพื่อคอยเฝ้าระวังมิให้จิตตน
เผลอไผลไปไขว่คว้าเอาอำนาจของซาตาน
เข้ามาจัดการกับอุปสรรคปัญหาทั้งหลายในชีวิต
เหมือนเช่นคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้เขาคุ้นชินกัน
โดยเด็ดขาด....

อำนาจด้านบวกที่มีอยู่ในตนเองนั้น
เป็นอำนาจแห่งพระผู้สร้าง
เป็นอำนาจแห่งพระเจ้า
เป็นอำนาจแห่งความดีงาม
ท่านจักต้องค้นหามันให้พบ แล้วนำออกมาแสดง
เพื่อความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ
เพื่อความมีสันติสุขในชีวิตร่วมกันกับผู้อื่น

อำนาจจากปัญญาของสมอง
อำนาจจากความรักของจิตวิญญาณ
อำนาจจากแรงกายของเครื่องยนต์แห่งกรรม

อำนาจจากกลไกอายตนะ
อันเป็นหน้าต่างของแก่นแท้

อำนาจจากอวัยวะของรูปธรรมมนุษย์
อำนาจจากพลังจิตแห่งการเป็นผู้มีจิตใสใจสวย

พลังอำนาจทั้ง 6 เป็นเครื่องมือแห่งการหลุดพ้น
จากเครื่องรัดรึงทั้งจิตและกาย
ศิษย์จิตจักรวาลทั้งหลายจงเร่งมือ
ค้นหามันให้พบ...ในเร็ววัน

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-04-2015



อุปสรรค


อุปสรรค คือ เครื่องมือทดสอบความมุ่งมั่น
ถ้าท่านปรารถนาจะเป็นคนดี
ท่านจักต้องมีมารมาทดสอบเสมอ

มาร คือ ผู้ที่จะเข้ามาสร้างเงื่อนไข
ให้เกิดเป็นอุปสรรคในชีวิตหรือในงาน
เป็นได้ทั้งคนคุ้นเคยและคนแปลกหน้า
เพื่อเข้ามาทดสอบความปรารถนา
ต่อการจะเป็น "คนดี" ของท่านโดยเฉพาะ

ดังนั้น....
ถ้าหากท่านปรารถนาจะเป็นคนดีที่แท้จริงแล้ว
ไม่ว่าผู้ใดจะเข้ามาทำผิดคิดมิชอบต่อท่าน
หนักหนาสากรรจ์แค่ไหน
ท่านก็จักต้องไม่ทำชั่วตอบสนองต่อพวกเขา
เพื่อยืนยันให้โลกและฟ้ารู้ว่า
ท่านมุ่งมั่นที่จะเป็นคนดีตราบกาลนิรันดร์

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13-04-2015

ความไม่เอาถ่าน



ทำตัวเหลวไหล เช่น
ไม่รักเรียน
เกียจคร้าน
พาลเกเร
คือ ไม่เอาถ่าน ก็ไม่ดี

ทำตัวบกพร่อง เช่น
ไม่ตั้งใจเรียน
ไม่ใส่ใจจดจำ
ไม่มีมานะพยายาม
คือ ไม่เอาไหน ก็ไม่ได้

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12-04-2015

ปัญญา


เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายมานานแล้วว่า
ให้หยิบ "ปัญญา" มานิพพานในทุกสิ่ง

เพื่อรักษาคุณสมบัติดี
ในความมีจิตใสใจสวยเอาไว้
ตราบกระทั่งวินาทีสุดท้ายแห่งการสิ้นลมหายใจ

เพื่อละวางเครื่องยนต์แห่งกรรมของท่าน
สู่การเป็นอิสระทางจิตวิญญาณ
ในสภาวะแห่งการหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิง
ตามวิถีจิตจักรวาล
บนเส้นทางสายอริยมรรคของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

แต่วิธีการหยิบปัญญาในตนเองมาใช้นั้น
ท่านทั้งหลายจักต้องรู้วิธี
ทั้งยังต้องมีการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญอีกด้วย

สมองมีสองซีก
ให้ความฉลาดได้สองระดับ
ท่านจักต้องจับฉวยมาใช้ให้ถูกต้อง
สอดคล้องกับคุณสมบัติของมันด้วย

1.หากท่านปรารถนาที่จะเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
ทำไม...อย่างไร....?

ท่านต้องฝึกควบคุมอารมณ์ไม่สมดุลของตนเอง
ท่านต้องฝึกการเป็นคนช่างสังเกต
ท่านต้องฝึกการเป็นคนมีเหตุผล
ท่านต้องฝึกการใช้เหตุผลเป็น
ท่านต้องฝึกตั้งคำถามตนเองให้เป็น
ท่านก็ต้องฝึกการมองโลกไปตามความเป็นจริง

นี่คือการฝึกใช้สมองซีกซ้ายนำซีกขวา
ที่เรียกว่า "สติปัญญา" นั่นเอง

2.หากท่านปรารถนาที่จะนำธรรมะ
จากพระบิดาที่ทรงสื่อผ่านมาทางเรา
หรือจะนำเอาธรรมะ
จากธรรมชาติแวดล้อมรายรอบตัวท่าน
มาใช้เป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต

ท่านก็ต้องฝึกการใช้จินตนาการ
ท่านก็ต้องฝึกการใช้ความคิดสร้างสรรค์
ท่านก็ต้องฝึกนิสัยการมองโลกด้านบวก
ท่านก็ต้องฝึกการคิดเชื่อมโยง

นี่คือการฝึกใช้ "ปัญญาญาณ"
จากสมองซีกขวานำซีกซ้ายนั่นเอง

3.การนั่งหลับตาปฏิบัติเท็คนิกสมาธิเป็นอาชีพ
จะไม่สามารถเข้าถึงพลังอำนาจสูงสุดทางปัญญา
เพื่อการหลุดพ้นไปเสียจากทุกสิ่ง
ตามวิถีจิตจักรวาลที่ว่านี้ได้

ไม่ฟัง ไม่รู้
ไม่คิดตาม ไม่เข้าใจ
ไม่ปฏิบัติ ย่อมไม่ได้
ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีวันถึงมรรคผลนั้น

เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-04-2015

สมาธิ


การนึกโน่นนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย

การเปลี่ยนไปทำโน่นนั่นนี่
อย่างไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

การไม่สามารถเข้าถึงคุณภาพ
ในสิ่งที่คิด ที่คุย และที่ทำได้

การละเลิกทำบางสิ่งเสียกลางคัน
เพราะเพียงแค่พบเจออุปสรรค
หรือเผชิญความยุ่งยากเพียงแค่เล็กน้อย
ก็ท้อก็ถอยเสียแล้ว

ทั้ง 4 พฤติกรรมที่กล่าวมานี้
เป็นคุณสมบัติของคนที่ไม่มีสมาธิโดยแท้

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-04-2015

ศีล


ถ้าการครองศีล หมายถึง 
การครองตนไว้อย่างมั่นคง
โดยมิให้เกิดการก้าวล่วงต่อผู้ใด
ทั้งด้วยกาย วาจา และจิตใจ
จนเป็นเงื่อนไขด้านลบของผู้อื่น
แล้วยังผลให้ผู้อื่นเสียสมดุลทางจิตใจ

ศีล จึงย่อมหมายถึงการทำให้สิ้นไป
ซึ่งเงื่อนไขที่กล่าวนั้น

สำหรับฆราวาสหรือชาวบ้าน
ศีลที่พึงถือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
จึงมีเพียงข้อเดียวเท่านั้น....
นั่นคือ "การไม่ก้าวล่วง" ใคร

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-04-2015

แก้ววิเศษ


ถ้าท่านพร้อมที่จะเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
เพราะไม่พร้อมที่จะออกบวช-ปลีกวิเวก
ท่านก็สามารถยกระดับจิตตปัญญา
เพื่อนำพาแก่นแท้ของท่านสู่การหลุดพ้นได้
ด้วยการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมตามปกติ

เพียงแต่ท่านจักต้องถือครอง 2 สิ่งนี้ไว้ให้มั่นคง
ในทุกขณะจิตในยามตื่น
จงอย่าได้ผิดพลาดบกพร่อง

จิตวิญญาณของท่าน
ก็สามารถเข้าถึงแดนสุญตาได้เช่นกัน
เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
10-04-2015

ตะเกียงส่องธรรม



พลังอำนาจในตนเองที่สำคัญ
คือ แสงสว่างที่จะส่องทางสู่ประตูแห่งการหลุดพ้น
ซึ่งทุกคนมีอยู่แล้ว...แต่จะใช้มันได้
ใช้มันเป็นหรือเปล่าเท่านั้น

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-04-2015

14 เมษายน 2558

คำสอน 14/04/2015

 

หน้าตาช่างเท็คนิก

ผู้ชำระประจุลบในก้อนเมฆดำระดับล่าง
ด้วยปรากฏการณ์พายุฝนและฟ้าผ่า

คำสอน 14/04/2015

 

จงคิดทบทวนก่อนในทุกครั้งที่จะพูด
ว่าเธอสมควรที่จะพูดหรือไม่

เพื่อป้องกันการก่อกรรมด้วยการกระทำที่ปาก

ปากเป็นเอก

1.คนที่เธอจะพูดด้วย
2.เรื่องที่เธอจะพูด
3.วิธีที่จะใช้ในการพูด
4.ถ้อยวลีที่เธอจะใช้
5.สถานที่เหมาะที่จะพูด
6.เวลาที่เหมาะที่จะพูด
7.ความกล้าที่จะพูด

13 เมษายน 2558

คำสอน 13/04/2015

 

อุปสรรค

คือ
เครื่องมือทดสอบ
ความมุ่งมั่น
ของมนุษย์

12 เมษายน 2558

คำสอน 12/04/2015


 ความไม่เอาถ่าน
คือ เหลวไหล

ความไม่เอาใหน
คือ บกพร่อง

10 เมษายน 2558

คำสอน 10/04/2015

 

ปณิธานแห่งการหลุดพ้น
มหาสติ

แก้ววิเศษ 2 ดวงนี้
พระบิดาประทานผ่านเรามาให้
เพื่อนำพาพวกท่านกลับบ้าน

คำสอน 10/04/2015

 

ศีล การครองศีล
คือ การไม่ก้าวล่วง
ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

ประโยชน์ของการครองศีล

1.ช่วยสร้างสภาวะจิตใสใจสวย
ให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

2.ช่วยให้จิตท่านสงบ อ่อนโยน และมีพลัง
เพราะจิตท่านได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง

3.ช่วยให้ท่านสามารถเข้าถึงความรัก
และปัญญาญาณได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น

คำสอน 10/04/2015

 

ตะเกียงส่องธรรม

เปรียบตะเกียงดั่งตัวคน
แสงส่องผลคือปัญญา

ความร้อนเปรียบความรัก
เปลวไฟจักเป็นมายา

เปรียบใส้เอาไว้ว่า
ความสั้นยาวเท่าชีพตน

ตะเกียงจักเจิดจ้า
พร้อมนำพาสู่หลุดพ้น

หยิบน้ำมันที่ในตน
คือพลังจิตช่วยติดไฟ

08 เมษายน 2558

คำถามจาก คุณไชยยา ตอนที่ 3



คำถามจาก: คุณไชยยา แซ่ยอง
.............................................

เรียนท่านอาจารย์ครับ...

๑) ในประวัติของพระเยซู 
เห็นว่ามีแต่เรื่องราวพระองค์ท่านตอนประสูติ 
แล้วก็ข้ามไปจนถึงช่วงประกาศศาสนาเลย 

มีคนกล่าวว่า 
ประวัติพระองค์ที่หายไปนั้น 
พระองค์ได้เดินทางสู่ดินแดนตะวันออก 
เพื่อศึกษาหลักปรัชญาทางพุทธศาสนา... 

ไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? 
อย่างไร ?

ขอบพระคุณครับ..... !!!!
....................................
คำตอบของเรา: 
ต่อคำถามข้อ 1 ของท่าน
....................................

1.องค์เยซูก็ทรงมีภูมิลำเนา
อยู่ในดินแดนซีกตะวันออกอยู่แล้ว
จะให้พระองค์เสด็จไปตะวันออกไหนอีกล่ะ

2.ประวัติหลังประสูติที่หายไป
เป็นเพราะพระองค์มิได้เล่าให้ใครฟัง

ดั่งเช่นทุกวันนี้ตัวเราใครๆก็รู้ว่า
ภูมิลำเนาอยู่ไหน เรียนอะไรมา
แต่คนตั้งค่อนโลกก็ยังไม่รู้ว่า
ตลอดระยะเวลา 7 ภพชาติของเรา 
และตลอดระยะกว่าสามสิบปีที่ผ่านมาเนี่ย
เราได้ทำอะไรเพื่อมนุษย์โลกไปแล้วบ้าง

คงรอวันอนาคตกระมัง
ที่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายจะรับรู้กันได้บ้าง
ว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจอันใด
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล

3.ถ้าท่านคิดว่า.....
เพราะเราบวชเรียนมานาน
และต้องมีการเดินทางไปศึกษา
หลักปรัชญาพุทธศาสนา
ยังดินแดนแห่งพระพุทธองค์มาแล้วแน่ๆ

จนจดจำพระคัมภีร์ของศาสดาได้อย่างขึ้นใจ
จึงค่อยมากล่าวธรรมะต่อชาวโลกได้อย่างทุกวันนี้นั้น

มันก็คงไม่ต่างจากการที่ท่านเชื่อว่า
องค์เยซูคริสต์เจ้า......
สามารถกล่าวธรรมะเด็ดๆดีๆด้วยวลีศักดิ์สิทธิ์
จนเป็นศาสนาที่ผู้คนนับถือกันมาก
เป็นอันดับหนึ่งของโลกได้
เพราะได้ศึกษาหลักปรัชญาพุทธศาสน์
มาแล้วนั่นแหละ

เนื่องจากบางท่านเชื่อว่าถ้าไม่เคยศึกษามาก่อน
พระองค์จะทรงเป็นยอดมหาคุรุไม่ได้
คล้ายๆอย่างนั้น....

4.ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
พระพุทธองค์ทรงพระปรีชายิ่ง
พระธรรมที่กล่าวสอน
ล้วนได้จากปัญญาญาณของพระองค์เอง
จากประสบการณ์ตรงของพระองค์ล้วนๆ
จนทั้งหมดทั้งสิ้น....

5.แต่สำหรับองค์เยซูคริสต์เจ้า
รวมทั้งการเป็นตัวเราเองจนทุกวันนี้นั้น
ทุกถ้วนถ้อยสัจธรรม
ทั้งโลกิยะ โลกุตระ และอนุตระ

หาใช่ได้มาจากประสบการณ์ทางปัญญา
และประสบการณ์ชีวิตส่วนตนเพียงด้านเดียว
ดั่งคุรุของท่านหรอกนะ

องค์เยซูทรงตรัสต่อศิษยานุศิษย์
ของพระองค์เสมอมิใช่หรือว่า
พระองค์ทรงกล่าวพระวจนะตามพระเจ้า

เราเองก็กล่าวเอาไว้ทุกครั้งว่า
เราสื่อพระโอวาทมาจากองค์จิตจักรวาล
เรามิได้กล่าวเองเออเองเลยสักนิด

ดังนั้น....สัจธรรมที่ทรงกล่าว
จึงเป็นดั่งพระโอวาทแห่งพระเจ้า
ซึ่งได้รับการสื่อถ่ายทอด
ผ่านคลื่นการคิดจากพระเจ้า
คือองค์จิตจักรวาลในยุคนี้นั่นเอง

เป็นการกล่าวพระโอวาท
ที่ได้จากการสื่อถ่ายทอดคลื่นการคิด
ในระบบจิตสู่จิตในแนวดิ่ง
ที่เรียกว่า "Vertical Telepathy"

เมื่อท่านทราบเยี่ยงนี้แล้ว
เราก็จะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
องค์เยซูนั้นมิได้มีความจำเป็นจะต้อง
เดินทางจากภูมิลำเนาไปไหนๆให้ยากเหนื่อย
เพราะพระองค์ประทับอยู่ตรงไหนเวลาใด
ก็ทรงสามารถสื่อพระโอวาทกับพระเจ้า
ได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว....

6.มนุษย์ทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
นัยความหมายของคำว่าพระศาสดา
สำหรับพวกท่านนั้น
หมายถึง ผู้ใดผู้หนึ่งในยุคนั้นๆ
ที่ชาวโลกส่วนใหญ่ยอมรับให้เป็น
ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งตน

7.แต่สำหรับพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในทุกมิติ
ผู้เป็นพระเจ้าเหนือทั้งปวงนั้น
ความหมายของคำว่า "พระศาสดา"
มิได้ทรงหมายความเพียงเท่านั้นหรอกท่าน

พระศาสดาด้วยนัยแห่งองค์จิตจักรวาล
ทรงหมายถึงดวงจิตธรรมญาณ
ที่ขันอาสาเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ยังโลกเสรีนี้

เพื่อทำหน้าที่ "กล่าวพระโอวาท" 
ต่อพี่ๆน้องๆชาวโลก
ในพระนามแห่งพระเจ้า
เป็นตัวแทนแห่งพระเจ้า
เป็นบุตรเอกในพระองค์

เมื่อโลกถึงคราวคับขัน
อย่างกรณีถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่านี้
ที่พระบิดาทรงต้องพิพากษาโลก
เพื่อชำระโลกให้กลับคืนสู่สมดุลใหม่
และหาหนทางช่วยให้ลูกๆที่ตกค้างได้กลับบ้าน
กลับคืนสู่แดนสุญตาที่ทุกท่านจากมา
ในภพชาตินี้ให้มากที่สุดให้จงได้

พระองค์ก็ทรงใช้ให้เราย้อนกลับมา
ทำหน้าที่ในพระนามแห่งพระองค์อีกครั้ง

เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-04-2015

เริ่มที่จิต สัมฤทธิ์ที่ใจ



บรรยายสื่อถ่ายทอดพระโอวาท
จากองค์จิตจักรวาล ครั้งที่ 219

เรื่อง "เริ่มที่จิต สัมฤทธิ์ที่ใจ" ตอนที่ 1
ความยาว 10.35 นาที

เอเมน...สาธุ
5-04-2015

วันอีสเตอร์ Easter Day



วันนี้เป็นวันอีสเตอร์ Easter Day
..............................................
วันอีสเตอร์ เป็นวันสำคัญของชาวคริสต์ 
เป็นวันเฉลิมฉลองพระเยซูทรงคืนพระชนม์ชีพจากความตาย 
จึงถือว่าเป็นวันสำคัญที่สุดในปฏิทินของชาวคริสต์

วันนี้เป็นวันที่ชาวคริสต์ทุกคนต่างชื่นชมยินดี 
แต่งตัวสวยงาม และตกแต่งไข่ด้วยสีสันต่าง ๆ 
นำมามอบให้แก่กันและกัน 
เพื่อเฉลิมฉลองแสดงความดีใจ
ในวันที่พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ชีพ
จากความตาย

วันอีสเตอร์ หรือวันปัสกา เป็นวันสุดท้ายของเทศกาลมหาพรต ที่ชาวคริสต์ต้องระลึกถึงพระมหาทรมานของพระเยซู
ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน 
โดยตลอด 40 วันของเทศกาลนี้ 
เริ่มตั้งแต่วันแรก (วันปาล์มซันเดย์ Palm Sunday) 

ชาวคริสต์ 
จะต้องตั้งจิตอธิษฐาน
รำลึกเหตุการณ์อันทรมานของพระเยซูตามพระคัมภีร์ 
รวมไปถึงสวดภาวนา บริจาคสิ่งของ 
อดอาหาร และไม่ฟุ่มเฟือย 
ดำเนินชีวิตอย่างสมถะที่สุด 

วันอีสเตอร์นั้น ไม่มีวันที่ระบุตายตัว 
แต่ชาวคริสต์ได้ถือเอาวันอาทิตย์แรก
หลังพระจันทร์เต็มดวงในเดือน 4 เป็นตัวกำหนด 
หลังจากเฉลิมฉลองวันอีสเตอร์แล้ว 
จะเข้าสู่เทศกาลปัสกา 
ซึ่งเทศกาลนี้ เป็นเทศกาลที่ให้ชาวคริสต์
ได้รื้อฟื้นความเชื่ออีกครั้ง 
เป็นการเริ่มต้นใหม่ของชีวิตในพระคริสตเจ้า 

กิจกรรมวันอีสเตอร์:
............................
ชาวคริสต์แต่ละครอบครัวจะแต่งตัวสวยงาม 
มาร่วมพิธีกรรมในโบสถ์ 
พร้อมร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า
บางครอบครัวก็จะตกแต่งไข่เป็นลวดลายสีสันต่าง ๆ 
เพื่อนำมามอบให้แก่กันและกัน 

บางโบสถ์ก็จัดกิจกรรม ร่วมรับประทาน
เพื่อเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ 
รวมไปถึงจัดเกมสนุก ๆ 
ให้แต่ละครอบครัวหาไข่อีสเตอร์ 
ที่ถูกซ่อนเอาไว้ในพุ่มไม้หรืกอหญ้าต่าง ๆ 
เพื่อให้ผู้เฉลิมฉลองได้ช่วยกันค้นหา 
และได้ใช้เวลาแห่งความสุขในวันอีสเตอร์ร่วมกัน 

สัญลักษณ์ วันอีสเตอร์
................................
สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเฉลิมฉลอง คือ ไข่ 
โดยชาวคริสต์จะเรียกว่า ไข่อีสเตอร์หรือไข่ปัสกา 
ทั้งนี้ ก็เพื่อสื่อถึงการเกิดใหม่ 
ชีวิตที่กำลังเริ่มต้นใหม่ และสิ่งใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น 
เต็มไปด้วยความชื่นบานและความดี 

โดยชาวคริสต์มักจะวาดรูปตกแต่งลวดลายไข่ให้สวยงาม 
และนิยมกินไข่กันในวันนี้ 
ซึ่งเชื่อว่าหากได้กินไข่แล้ว
จะนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาสู่ชีวิตของตนและครอบครัว

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
5 เมษายน 2558

คำถามจาก คุณไชยยา ตอนที่ 2



คำถามจาก: คุณไชยยา แซ่ยอง
................

เรียนท่านอาจารย์ครับ...

๒) เรื่องราวปาฎิหาริย์ในพระคัมภีร์
ที่กล่าวถึงพระเยซูว่า

พระองค์ได้ช่วยให้คนที่ตายแล้วฟื้น
คนที่ป่วยเดินไม่ได้ แล้วเดินได้
นี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่?

ขอบพระคุณครับ..... !!!!
....................................
คำตอบของเรา:
ต่อคำถามข้อ 2 ของท่าน
....................................
1.ก่อนอื่น.....
เราจะทำความเข้าใจกับท่านทั้งหลายก่อนว่า
เรื่องที่กล่าวว่า......

"พระเยซูได้ช่วยให้คนที่ตายแล้วฟื้น
ช่วยให้คนที่ป่วยเดินไม่ได้ แล้วเดินได้"

คำกล่าวข้างต้นนั้น
เป็นข้อความที่บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์
โดยศิษย์สาวกทั้งหลาย
เป็นผู้เล่าไว้สืบทอดต่อๆกันมา
โดยที่องค์เยซูคริสต์เจ้า
มิได้ทรงกล่าวไว้เองแต่อย่างใด

2.ท่านถามเราว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
คำตอบก็คือ....
จริง คือ ไม่จริง
ไม่จริง ก็คือ จริง

คนที่ช็อคหัวใจหยุดเต้นใหม่ๆ
นั่นคือ คนที่ตายไปแล้ว
ถ้าหากใครมีความรู้วิธีผายปอดกระตุ้นหัวใจ
คนตายนั้นก็อาจฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง

กรณีคนที่เจ็บป่วยเดินไม่ได้ก็เช่นกัน
ท่านอาจช่วยให้เขาลุกเดินขึ้นมาได้
หากคนป่วยคนนั้นเข้าใจผิดคิดว่าตนเดินไม่ได้
หลังจากนอนป่วยบนเตียงมานานสองนาน

โดยเพียงแค่ท่านรู้จักให้กำลังใจเขา
รู้จักสร้างความเชื่อมั่นให้เขา
ว่าเขาต้องลุกขึ้นมาแล้วเดินได้แน่

ทั้งสองกรณีที่เรายกมากล่าวนี้
หากท่านเข้าใจได้ดี
ก็แสดงว่านี่มิใช่เรื่องแปลกอัศจรรย์อันใด

เพราะองค์เยซูคริสต์ก็เป็นมนุษย์เหมือนท่าน
การจะทำการใดๆด้วยพระมหาเมตตาและปัญญาญาณ
เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เช่นว่านี้นั้น
จึงมิใช่เรื่องอันควรสงสัยในพระองค์เลย

ถ้ามีผู้กล่าวว่าพระองค์ทรงเหาะได้ หายตัวได้นี่สิ
ท่านจึงควรจะสงสัยว่าเป็นไปได้จริงหรือ
เพราะมันเป็นความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ไงล่ะ

3.สำหรับในความเป็นจริงแห่งเรานั้น
คำกล่าวที่ว่า......

การช่วยให้คนตายแล้ว
ฟิ้นคืนชีวิตใหม่ได้ หมายถึง

การที่พระองค์ทรงช่วยไถ่บาปให้คนบาป
ซึ่งตกอยู่ในวังวนแห่งสังสารวัฏ
ด้วยการเวียนว่ายตายเกิดจนมิอาจหลุดพ้น
อันเปรียบเสมือนคนที่ตายแล้ว
ให้สามารถค้นพบหนทางหลุดพ้น
จากพระธรรมคำสื่อสอนของพระองค์ได้ในบั้นปลาย
ประหนึ่งว่า "ฟื้นขึ้นมาจากความตาย" ฉะนั้น

ส่วนการช่วยคนที่ป่วยเดินไม่ได้
ให้สามารถเดินได้ด้วยตนเองนั้น
หมายถึง.......

การที่พระเยซูทรงช่วยเหลือคนโง่
ซึ่งคิดเองไม่เป็นใช้ปัญญาไม่ได้
ให้สามารถสั่นสะเทือนจิตตปัญญาของตนเองขึ้นมาได้
โดยมิพักต้องพึ่งพาความฉลาดของใคร
ก็ไม่ต่างจากการช่วยคนป่วยที่เดินเองไม่ได้
ให้สามารถเดินได้นั่นเอง

คนโบราณมีความเฉลียวฉลาดกว่าคนยุคปัจจุบัน
พระธรรมคำสอนทั้งหลายที่ถูกบันทึกไว้
จึงกล่าวร่ายเป็นรหัสเสียเป็นส่วนใหญ่
ท่านจะแปลความตรงตามตัวอักษรไม่ได้หรอกท่าน

เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
7-04-2015

คำถามจาก คุณไชยยา ตอนที่ 1


คำถามจาก: คุณไชยยา แซ่ยอง
................

เรียนท่านอาจารย์ครับ...

๓) ผมเคยได้ยินชาวคริสต์มักจะกล่าวว่า 
หลังจากที่พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน 
ถูกทรมานจนตาย แล้วจากนั้น 
พระองค์ก็ฟื้นจากความตาย 
จากนั้นก็ลอยขึ้นบนสวรรค์ 

ในความเป็นจริงแล้ว 
เป็นอย่างนั้นหรือไม่ ? 

ประวัติช่วงนี้ 
แฝงปริศนาธรรมอะไรไว้บ้าง?

แล้วยังมีเรื่องราวว่า พระเยซูจะกลับมา.... 
หมายความว่าอย่างไรครับ ?

ขอบพระคุณครับ..... !!!!
....................................
คำตอบของเรา: 
ต่อคำถามข้อ 3 ของท่าน
....................................
1.เรื่องราวที่ท่านได้ยินมาว่า 
พระเยซูถูกตรึงกางเขน
แล้วได้รับความทุกข์ทรมานจนตายนั้น
เป็นความรู้ที่ไม่ถูกต้องนัก

2.ความรู้ที่ถูกต้องก็คือ....
พระองค์ถูกตรึงกางเขน...จริง
พระองค์ทรงได้รับความทุกข์ทรมาน...จริง
พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน...จริง

3.แต่ความรู้ที่ถูกต้องที่ผู้คนไม่รู้ก็คือ....
พระองค์ทรงยินยอมที่จะ
ถูกจับตรึงบนไม้กางเขนเองต่างหาก
มิใช่จนมุมเพราะหนีไม่ทัน หรือหนีไม่พ้น
จึงถูกจับตัวเป็นนักโทษอย่างที่หลายคนคิด

พระองค์จะทรงกล่าวความเท็จ
โดยปฏิเสธทหารฝ่ายบาปว่าพระองค์มิใช่เยซูก็ได้
เพราะคนพวกนี้ไม่มีใครรู้จักพระองค์มาก่อนเลย
แต่พระองค์กลับแสดงตน
ต่อพวกทหารโดยรับว่า "เรา คือ เยซู"
ด้วยมีพระประสงค์ที่จะรักษาสัจจะความจริงไว้
แม้จักต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม...
นั่นต่างหากล่ะ....

4.ที่พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้น
แทนที่จะกล่าวเท็จด้วยความขลาดกลัว
เพื่อหมายเอาชีวิตรอดเฉกเช่นคนทั่วๆไป
ก็เพราะทรงมีพระประสงค์จะให้บทเรียน
ต่อมนุษย์แห่งโลกเสรีทั้งหลายว่า
"จักต้องรักษาสัจจะของตนเอาไว้ด้วยชีวิต"

เนื่องจากพระองค์ทรงถือภารกิจสำคัญ
ในการมาเกิดเป็น "เยซู" ประการหนึ่ง คือ
ทรงขันอาสาพระบิดาลงมาตาม
พวกลูกแกะที่หลงทางให้กลับคอกหรือกลับบ้าน

เพราะประดาลูกแกะที่เหลวไหลเหล่านี้
เป็นพวกที่ "ลืมสัจจะ" ในพันธะสัญญา 6
ที่พวกตนเคยให้ไว้ต่อองค์จิตจักรวาลหรือพระเจ้า

โดยจำไม่ได้ว่าตนเป็นใคร มาจากไหน
มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
ใครอนุญาตให้ตนมาเกิดเป็นมนุษย์
และตนมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง

พระองค์จึงทรงแสดงให้มนุษย์ทั้งหลายได้รู้ว่า
สัจจะที่เคยให้ไว้ต่อพระบิดานั้น
เป็นสิ่งล้ำค่าที่ทุกท่านจักต้องรักษาไว้ด้วยชีวิต
และต้องปฏิบัติไปตามนั้น

ขนาดสัจจะของตนที่มีพระนามว่า "เยซู"
ก็ยังต้องรักษาเอาไว้ด้วยชีวิต
แล้วสัจจะในพันธะสัญญา 6 
ที่เคยให้ไว้ต่อพระบิดาตั้งแต่ภพชาติแรก
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์
ซึ่งสำคัญอันยิ่งยวด
พวกท่านที่เป็นมนุษย์จะละเลยสัจจะ
ที่มีต่อพระองค์ได้อย่างไรกัน?

5.การแสดงพระองค์ว่า
ทรงทุกข์ทรมานอย่างมากบนไม้กางเขน
โดยไม่สำแดงพระอำนาจอัศจรรย์แห่งพระเจ้า
ที่พระองค์ทรงมีอยู่เป็นอยู่
เพื่อข้ามพ้นคนพาลเหล่านี้ไปเสีย
ก็เพื่อแสดงให้พี่ๆน้องๆทั้งหลายได้ประจักษ์ว่า

พระองค์ทรงเป็นมนุษย์เหมือนพวกท่าน
มีเจ็บปวดมีทุกข์ทรมานได้เหมือนท่านทั้งหลาย
มีเลือดมีเนื้อเช่นเดียวกับพวกท่านเช่นกัน

ดังนั้น....
การแลกสัจจะด้วยชีวิตของพระองค์
กับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
จึงน่าจะเป็นแบบอย่างที่พระองค์จะสามารถ
สร้างแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกมนุษย์ทั้งโลก
ให้หันมารักษาสัจจะใน "พันธะสัญญา 6" ได้

6.ที่กล่าวมาทั้งหมดก็คือเหตุผลสำคัญ
เพื่อจะบอกต่อท่านทั้งหลายว่า....

พระองค์ไม่ทรงกล่าวเท็จ ผิดสัจจะ
พระองค์ทรงยอมให้จับแต่โดยดี
พระองค์มิทรงกลัวความตาย ไม่ขี้ขลาด
พระองค์ทรงยอมทุกข์ทรมานบนกางเขน
พระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนม์บนกางเขน

ทั้งหมดนั้นก็เพื่อแสดงความเป็น "มหาคุรุ"
ในบทบาทแห่งผู้รักสัจจะเท่าชีวิตทั้งสิ้น
โดยมิทรงใช้อภินิหารเอาตัวรอด
ด้วยอภิสิทธิ์เหนือกว่ามนุษย์คนอื่นๆ

7.ด้วยเหตุนี้เอง
ที่เรากล่าวต่อท่านผู้ถามคำถามนี้ว่า
เรื่องราวพระเยซูที่ท่านได้รู้มาบ้างนั้น
มันไม่ค่อยจะถูกต้องนัก
ก็เป็นดั่งเช่นที่เรากล่าวมานั่นเอง

8.กับคำถามที่ว่า....
ถูกทรมานจนตาย แล้วจากนั้น 
พระองค์ก็ฟื้นจากความตาย 
ลอยขึ้นบนสวรรค์ 

ในความเป็นจริงแล้ว 
เป็นอย่างนั้นหรือไม่ ? 

คำตอบของเราก็คือ 
"จริงแท้แน่นอน"

หากการตายหมายถึง
การทิ้งกายสังขารของจิตวิญญาณ
หรือของแก่นแท้ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

ที่ท่านทั้งหลายเรียกว่า 
"จิตวิญญาณ" ออกจากร่าง
แล้วสามารถดีดตนเองหลุดพ้นออกไปจากเอกภพ
เพื่อคืนกลับสู่สวรรค์อันเป็นบ้านเกิด
ที่ตนจากมาเสียนานได้อย่างสง่างาม
ท่านจะไม่เรียกว่าเป็นการฟื้นคืนสู่ชีวิตใหม่
อันเป็นชีวิตหลังความตายดอกหรือ....

มันต่างจากตายแล้วจิตวิญญาณยังมีบาป
ต้องลงไปชำระบาปนั้นในนรก
ไปเกิดใหม่ก็ไม่ได้
หลุดพ้นก็ไม่ได้...ตายสนิทมั้ยล่ะท่าน!

9.กับคำถามสุดท้ายในข้อ 3 ของท่านที่ว่า

"แล้วยังมีเรื่องราวว่า 
พระเยซูจะกลับมา.... 
หมายความว่าอย่างไร?"

เราก็ขอยืนยันว่า....ณ เวลานี้ 
พระองค์เสด็จกลับมาแล้ว
เสด็จกลับมานานแล้วด้วย

เพื่อจะมานำพาจิตวิญญาณพวกท่านกลับบ้าน
เพื่อมาประกาศกาลสิ้นยุคพลังงานเก่าของโลกเสรีนี้
เพื่อมาแจ้งข่าวสารการชำระโลก
เพื่อมาคัดปลาออกจากน้ำ
เพื่อมาตามลูกแกะที่หลงฝูง
เพื่อมากล่าวพระโอวาทพระบิดาต่อมนุษย์โลกเสรีนี้
เพื่อมาพาเจ้าสาวเข้าสู่ประตูห้องหอ คือ ด่านนภาลัย

เพื่อมาเติมน้ำมันให้ตะเกียงของพวกท่าน
และช่วยท่านจุดตะเกียงของท่านด้วย
อันหมายถึงพระองค์จะทรงช่วยให้ท่าน
เข้าถึงสภาวะจิตใสใจสวยรวยรักและปัญญา
เพื่อส่องทางกลับบ้านให้ทัน
ก่อน 56 วัน 8 ราตรีนี่ไงล่ะท่าน....

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
7-04-2015