31 ธันวาคม 2563

สนทนาประสาจิตจักวาล

31/12/2020



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

วิบัติแก่โลกนี้มีอยู่อย่างหนึ่ง
ซึ่งยังผลให้คนส่วนใหญ่ที่หลงก้าวตาม
และคนที่เป็นเหตุให้ผู้อื่นหลงตาม
จักพากันวิบัติทั้งหมดทั้งสิ้น

นั่นคือการหลงทางนิพพาน
โดยไปหลงสวรรค์มายา
ที่พระบิดาฯมิได้ทรงสร้างว่า
เป็นดินแดนของผู้หลุดพ้นแล้ว

โดยนิยามว่า "หลุดพ้น" ของพวกเขา
คือพ้นไปจากการมาเกิดเป็นมนุษย์
พ้นจากการมีสังสารวัฏได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว
พ้นไปจากความทุกข์ทั้งปวงแล้ว
ตามความเชื่อผิดๆที่คิดกันเองเออเอง

ทั้งๆที่การหนีทุกข์ด้วยการหนีการเกิดนั้น
เป็นการทำผิดบาปต่อจิตวิญญาณของตนแท้ๆ
เพราะการตายแล้วเกิดใหม่เพื่อมีภพชาติใหม่
เป็นความต้องการทางจิตวิญญาณ
ที่จะ "รับโอกาส" เซ็ทซีโร่ในภพชาติปัจจุบัน
เพื่อย้อนกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ในภพชาติใหม่
เพื่อการเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ให้สำเร็จให้จงได้
ด้วยการไม่ก่อกรรมใหม่แก้ไขกรรมเก่าให้ลุล่วง
จะได้มีเวลาที่จะทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ซึ่งขันอาสาพระบิดาและสัญญากับพระองค์ไว้
ให้สำเร็จลุล่วงให้เร็วที่สุดให้จงได้นั่นเอง

นอกจากนั้น
การพยายามไม่ก่อกรรมใหม่ของพวกนักบวช
ด้วยการปลีกวิเวกเพื่อครองสันโดดอยู่คนเดียว
และเคร่งในการปฏิบัติบังคับจิตให้อยู่ในโอวาท
โดยลืมไปว่า "กรรมเก่า" ทั้งหมดทั้งสิ้น
ที่จิตวิญญาณของตนถือติดตัวมาจากอดีตชาตินั้น
ยังมิได้ทำการแก้ไขยังมิได้เรียนรู้อะไรเลย
ยังมิได้จัดการชำระให้เป็น "โมฆะกรรม" อีกด้วย

ดังนั้น
เมื่อตายไปจากภพชาติปัจจุบัน
จิตวิญญาณจึงมีน้ำหนักมวลน้อยกว่ามนุษย์คนอื่นๆ
ที่ต่างยังคงก่อเวรกรรมใหม่ๆเพิ่มขึ้นอยู่รายวัน
แถมกรรมเก่านั้นก็ยังแก้ไขไม่ได้ยังคงสอบตกกันอยู่
ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่มีกรรมมากกว่าเหล่านี้
เมื่อตายแล้วจิตวิญญาณจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีก
เพราะมีน้ำหนักมวลมากจนโลกเหนี่ยวรั้งลงมาได้

แต่จิตวิญญาณนักบวชที่มีน้ำหนักตัวเบากว่า
ดาวเคราะห์โลกก็จะไม่อาจเหนี่ยวรั้งลงมาได้
จึงต้องล่องลอยกันอยู่เป็นชั้นๆเหมือนก้อนเมฆ
ก้อนที่มีน้ำหนักมากกว่าก็จะลอยต่ำกว่า
ที่มีน้ำหนักเบากว่าเมฆก้อนนั้นก็จะลอยได้สูงกว่า
สมมติเทพเทวดาก็ล้วนไม่ต่างจากระดับชั้นของเมฆ
ซึ่งสวรรค์มายาเหล่านี้เขาก็มีแบ่งเป็นชั้นๆเช่นกัน
จงดูระดับชั้นของก้อนเมฆเป็นตัวอย่างเอาไว้เถิด

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

การหลงทางนิพพานโดยหลุดลอยขึ้นไป
ติดค้างแขวนกันอยู่บนสวรรค์มายานั้น
ไม่ต่างจากการหนีเสือปะจระเข้นั่นแหละ
คือต้องการหนีทุกข์ออกไปจากระบบโลก
แต่กลับไปเผชิญทุกข์อยู่บนสวรรค์มายาแทน
ซึ่งทุกข์บนนั้นมันทุกข์ยิ่งกว่าเสียอีก

ทุกข์เพราะไม่รู้ว่า
ที่ตนลอยค้างอยู่ตรงนั้นมันเป็นที่ไหน

ทุกข์เพราะไม่รู้ว่า
ตนจะลอยสูงขึ้นไปอีกได้อย่างไร

ทุกข์เพราะไม่รู้ว่า
ที่สูงขึ้นไปกว่านั้นมันจะเป็นอย่างไร

ทุกข์เพราะไม่รู้ว่า
ตนจะกลับลงมายังโลกอีกได้อย่างไร

ทุกข์เพราะว่า
ไม่สามารถทำอะไรๆอย่างที่เคยทำ
เมื่อครั้งที่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมแบบมนุษย์ได้

แต่ยังมีสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ว่าทุกข์อีกด้วย
เป็นต้นว่า......

1.การหนีออกไปจากการเกิดเป็นมนุษย์โลก
ไปติดค้างอยู่บนสวรรค์มายาโดยไม่รู้อนาคตนั้น
เป็นการผิดสัจจะต่อพันธะสัญญา 6
ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาฯก่อนจะมาเกิดเป็นมนุษย์
ซึ่งการผิดพันธะสัญญาต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น
มันเป็นความผิดอันใหญ่หลวงนัก

2.เส้นทางการหลุดลอยสู่สวรรค์มายานั้น
มิใช่เส้นทางของการหลุดพ้นนิพพานที่แท้จริง
แม้พวกเขาจะพยายามเลื่อนชั้นขึ้นไปเรื่อยๆ
ด้วยการปฏิบัติฌานสมาบัติเพื่อลดน้ำหนักตัว
ก็ไม่รู้ว่าจะไปสุดทางตรงไหนเพื่อไม่ต้องไปต่ออีก

3.ถ้าพวกเขายังคงหลุดลอยค้างอยู่บนนั้น
เมื่อโลกถึงวันสิ้นยุคแล้วพระบิดาจะทรงชำระโลก
เพื่อปรับสมดุลใหม่ให้โลกมีอำนาจมากกว่าเดิม
ผู้หลุดลอยทั้งหลายเหล่านี้จะมีสภาพเป็น "ขยะ"
ที่จะต้องถูกชำระให้หมดสิ้นไปจากอนันตจักรวาล
อันหมายถึงจักต้องถูกระเบิดทิ้งทั้งหมด

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ทั้งสามประการที่เรากล่าวมานี้
เป็นความทุกข์ที่ผู้หลุดลอยทั้งหลายยังไม่รู้

หากท่านรู้ความจริงที่เรากล่าวไว้ในบทนี้แล้ว
ท่านยังจะก้าวตามประดาคนนำทางตาบอด
เพื่อหนีทุกข์ซึ่งเป็นอัตตาอันเกิดจากมายาในจิต
จนต้องทำผิดสัจจะต่อพระบิดาฯ
จนทำให้จิตวิญญาณแก่นแท้ของตนสิ้นอนาคต
ท่านก็จงใช้สติปัญญาคิดพิจารณากันเถิด
เวลาที่มีให้คิดให้ปฏิบัตินั้นเหลือน้อยเต็มทีแล้ว

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31/12/2020

25 ธันวาคม 2563

สนทนาประสาจิตจักรวาล

25/12/2020



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เนื่องในเทศกาลคริสต์มาสปี 2020 นี้
เราขอร่วมแสดงความยินดีอย่างจริงใจ
และขอส่งพระจิตเข้าร่วมในพิธีเฉลิมฉลอง
เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ
ขององค์ พระเยซูคริสต์เจ้า
ร่วมกับพี่น้องชาวคริสต์ทั่วโลกด้วย

เราหวังว่าท่านทั้งหลาย
ผู้เป็นดั่ง "เจ้าสาว" ที่กำลังรอคอย
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าผู้เป็นเจ้าบ่าว
เสด็จกลับมาจูงพวกท่านเข้าสู่ประตูเรือนหอ
อันหมายถึงนำพาพวกท่านผ่าน ด่านนภาลัย
กลับออกไปยังแดนสุญตาบ้านเกิดที่จากมา
ในสภาวะหลุดพ้นนิพพานจาก อนันตจักรวาล
ทันทีที่พระบิดาทรงพิพากษาโลกนั้น

เราขออธิษฐานให้ท่านทั้งหลายทั่วโลกเสรีนี้
ได้พบพระองค์สมดั่งรอคอยในเร็ววันเถิด

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

พระองค์ท่านจะเสด็จกลับมาในความจริง
มิใช่ในความฝันหรือจินตนาการ

พระองค์จะเสด็จกลับมายังโลกตามสัญญา
ในพระนามของ พระบุตรเอก
โดยพระองค์จะทรงกลับมาจุติเป็นบุตรมนุษย์
ที่มีเนื้อหนังและพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์
ซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยความรักจากพระบิดาฯ
พรั่งพร้อมไปด้วย พระปัญญาปาฏิหาริย์
ที่จะใช้ถ่ายทอดพระอนุตรธรรมชั้นสูงสุด
เป็นพระโอวาทจากพระเจ้ามาสู่โลก

เพื่อเติมเต็มสัจธรรมในส่วนที่ขาดพร่อง
เพื่อสร้างสติทางวิญญาณแก่ประดาผู้หลงทาง
เพื่อแก้ไขความเชื่อที่งมงายไม่ถูกต้อง
เพราะ "คนนำทางตาบอด" แพร่เชื่อให้

เพื่อชี้แนวทาง สร้างแนวคิด กระตุ้นจิตสามนึก
ในการดำเนินชีวิตในแบบ "คนสองมิติ"
ที่จะต้องคนตนเองให้เป็นมนุษย์ให้ได้ในชาตินี้
เพื่อที่จะคนตนเองร่วมกับผู้อื่นบนโลกนี้
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้จงได้ในบั้นปลาย
เพื่อใช้ความรักในการหมุนค้ำจุนสมดุลโลก

นอกจากนั้น
พระองค์พร้อมพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์
ในมิติของเทพเจ้าแห่งอัคคีฟีนิกซ์
ซึ่งจะเสด็จกลับมาปฏิบัติภารกิจสำคัญ
ในการคุ้มครองจิตวิญญาณจำเพาะมนุษย์
ผู้ที่จดจำพระบิดาฯและพระองค์ผู้กลับมาได้
ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากมหันตภัยพิบัติ
ในแผนปฏิบัติการชำระโลกของช่างเท็คนิก
และปลอดภัยจาก "สงครามเชื้อโรค" ด้วย

ทั้งนี้เพื่อให้พี่ๆน้องๆทั้งหลาย
มีเวลาและโอกาสทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ในช่วงเวลาที่โลกเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่นี้
ได้อย่างมั่นใจว่า "ปลอดภัย"

ในโอกาสเทศกาลคริสต์มาสนี้
ถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่ "รอคอย" พระองค์อยู่
อย่างเชื่อมั่นและศรัทธาอย่างแท้จริงว่า
พระองค์จะเสด็จกลับมาตามสัญญาแน่นอน
ท่านก็คงต้องถามตนเองว่า
พฤติกรรมการรอคอย "เจ้าบ่าว"
ของ "เจ้าสาว" เช่นท่านนั้น
จะประสบพบเจอผู้ที่ท่านรอคอยมานาน
ผ่านมานับพันๆปีแล้วได้อย่างไร

มองหา "มายา" เสื้อผ้าหน้าผมทรงเดิมๆ
มองหา "ฤทธิปาฏิหาริย์" ผ่านเมฆฟ้าสักอย่าง
มองหา "จานบิน" ของฑูตสวรรค์ร่อนลงมาสักลำ
มองหา "สัญญาณ" หมายสำคัญจากพระเจ้า

หรือว่า...จะนั่งรอนอนรออยู่อย่างนี้
รอพระองค์มาเคาะประตูบ้านเหมือน "ซานต้า"
หรือว่ารอแบบนี้มานานหลายภพชาติเกิน
รอเพลินจนไม่รู้ว่าตนเองรออะไร...รอใครแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะเล่าความจริงบางอย่างให้ท่านทราบว่า

ในครั้งอดีตกาลที่ผ่านมา
หลังพระกุมารน้อยประสูติแล้ว 6 ขวบปี
ก็มีปรากฏการณ์ดาวสองดวงโคจรมาซ้อนทับกัน
เป็นหมายสำคัญแก่มนุษย์ในกาลนั้นให้ได้เห็น

ดาวสองดวงที่มาทับซ้อนกัน คือ ดาวเสาร์
ซึ่งเป็นดาวประจำพระวิญญาณบริสุทธิ์
ของพระกุมารน้อยผู้มาจุติเป็น "พระบุตรเอก"
กับ ดาวพฤหัส ซึ่งเป็นดาวแห่ง ฑูตสวรรค์
พยานผู้ทำหน้าที่สนับสนุนภารกิจพระบุตรเอก

ซึ่งครั้งนั้นชาวโลกเข้าใจในหมายสำคัญว่า
"ดาวดวงใหม่ปรากฏคือพระบุตรเอกทรงจุติ"
พวกเขาเรียกดาวนี้ว่า ดาวแห่งเบเธเลแฮม
เพราะชาวเมืองนี้มองเห็นมายาด้วยตาเปล่า

เทศกาลคริสต์มาส ปี ค.ศ.2020 นี้
ปรากฏการณ์ที่ดาวสองดวงโคจรมา
ปฏิสัมพันธ์กันอีกวาระหนึ่งเหมือนในอดีตอีกแล้ว
เมื่อ "ดาวแห่งเบเธเลแฮม" ปรากฏต่อชาวโลกอีก
ท่านทั้งหลายเข้าใจหมายสำคัญนี้ว่าอย่างไร
ท่านระลึกถึงวันเห-มายันในกาลอดีตได้บ้างมั้ย

ถ้าท่านเป็นลูกแกะที่จดจำเจ้าของแกะได้
ท่านก็ต้องจำ เสียงเรียก ของเจ้าของได้

หากท่านจะจำองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้
เมื่อทรงเสด็จกลับมาประทับยืนต่อหน้าท่าน
ท่านก็ต้องจำพระวจนะ พระคำ พระจริยวัตร
พระโอวาท และ พระธรรมคำสอนต่างๆ
จากพระปัญญาปาฏิหาริย์ของพระองค์
ประหนึ่งเสียงเรียกของพระองค์ได้เป็นแน่แท้

ท่านจะยึดติดตัวตนรูปลักษณ์ดั้งเดิม
เสื้อผ้าหน้าผม รสนิยม เชื้อชาติ ภาษา
เก่าเป็นเช่นไรกลับมาใหม่ต้องเป็นเช่นนั้น
มันเป็นไปไม่ได้หรอกท่าน
นี่พระบิดาก็ทรงมีพระบัญชา
ให้ทำการพิพากษาโลกไประยะหนึ่งแล้ว

จงเร่งอธิษฐานสิพระองค์จะทรงเมตตา
จงรีบแสวงหาพระองค์สิแล้วท่านจักได้พบ
จงเปิดดวงตาแห่งปัญญาของท่านสิ
แล้วท่านทั้งหลายจักได้แลเห็นพระองค์
เราขออวยพรให้ท่านทั้งหลาย
ได้พบพระองค์ในเร็ววัน

สุขสันต์วันคริสต์มาส
Merry Christmas 2020
ขอพระบิดาทรงโปรดประทานพระพร
ให้ท่านทั้งหลายมีความสุขสมหวังในทุกสิ่ง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25/12/2020 

สนทนาประสาจิตจักรวาล

25/12/2020



พี่ๆน้องๆที่รักแราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เนื่องในเทศกาลคริสต์มาสปี 2020 นี้
เราขอร่วมแสดงความยินดีอย่างจริงใจ
และขอส่งพระจิตเข้าร่วมในพิธีเฉลิมฉลอง
เนื่องในวันคล้ายวันประสูติ
ขององค์ พระเยซูคริสต์เจ้า
ร่วมกับพี่น้องชาวคริสต์ทั่วโลกด้วย

เราหวังว่าท่านทั้งหลาย
ผู้เป็นดั่ง "เจ้าสาว" ที่กำลังรอคอย
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าผู้เป็นเจ้าบ่าว
เสด็จกลับมาจูงพวกท่านเข้าสู่ประตูเรือนหอ
อันหมายถึงนำพาพวกท่านผ่าน ด่านนภาลัย
กลับออกไปยังแดนสุญตาบ้านเกิดที่จากมา
ในสภาวะหลุดพ้นนิพพานจาก อนันตจักรวาล
ทันทีที่พระบิดาทรงพิพากษาโลกนั้น

เราขออธิษฐานให้ท่านทั้งหลายทั่วโลกเสรีนี้
ได้พบพระองค์สมดั่งรอคอยในเร็ววันเถิด

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

พระองค์ท่านจะเสด็จกลับมาในความจริง
มิใช่ในความฝันหรือจินตนาการ

พระองค์จะเสด็จกลับมายังโลกตามสัญญา
ในพระนามของ พระบุตรเอก
โดยพระองค์จะทรงกลับมาจุติเป็นบุตรมนุษย์
ที่มีเนื้อหนังและพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์
ซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยความรักจากพระบิดาฯ
พรั่งพร้อมไปด้วย พระปัญญาปาฏิหาริย์
ที่จะใช้ถ่ายทอดพระอนุตรธรรมชั้นสูงสุด
เป็นพระโอวาทจากพระเจ้ามาสู่โลก

เพื่อเติมเต็มสัจธรรมในส่วนที่ขาดพร่อง
เพื่อสร้างสติทางวิญญาณแก่ประดาผู้หลงทาง
เพื่อแก้ไขความเชื่อที่งมงายไม่ถูกต้อง
เพราะ "คนนำทางตาบอด" แพร่เชื่อให้

เพื่อชี้แนวทาง สร้างแนวคิด กระตุ้นจิตสามนึก
ในการดำเนินชีวิตในแบบ "คนสองมิติ"
ที่จะต้องคนตนเองให้เป็นมนุษย์ให้ได้ในชาตินี้
เพื่อที่จะคนตนเองร่วมกับผู้อื่นบนโลกนี้
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้จงได้ในบั้นปลาย
เพื่อใช้ความรักในการหมุนค้ำจุนสมดุลโลก

นอกจากนั้น
พระองค์พร้อมพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์
ในมิติของเทพเจ้าแห่งอัคคีฟีนิกซ์
ซึ่งจะเสด็จกลับมาปฏิบัติภารกิจสำคัญ
ในการคุ้มครองจิตวิญญาณจำเพาะมนุษย์
ผู้ที่จดจำพระบิดาฯและพระองค์ผู้กลับมาได้
ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากมหันตภัยพิบัติ
ในแผนปฏิบัติการชำระโลกของช่างเท็คนิก
และปลอดภัยจาก "สงครามเชื้อโรค" ด้วย

ทั้งนี้เพื่อให้พี่ๆน้องๆทั้งหลาย
มีเวลาและโอกาสทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ในช่วงเวลาที่โลกเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่นี้
ได้อย่างมั่นใจว่า "ปลอดภัย"

ในโอกาสเทศกาลคริสต์มาสนี้
ถ้าท่านเป็นผู้หนึ่งที่ "รอคอย" พระองค์อยู่
อย่างเชื่อมั่นและศรัทธาอย่างแท้จริงว่า
พระองค์จะเสด็จกลับมาตามสัญญาแน่นอน
ท่านก็คงต้องถามตนเองว่า
พฤติกรรมการรอคอย "เจ้าบ่าว"
ของ "เจ้าสาว" เช่นท่านนั้น
จะประสบพบเจอผู้ที่ท่านรอคอยมานาน
ผ่านมานับพันๆปีแล้วได้อย่างไร

มองหา "มายา" เสื้อผ้าหน้าผมทรงเดิมๆ
มองหา "ฤทธิปาฏิหาริย์" ผ่านเมฆฟ้าสักอย่าง
มองหา "จานบิน" ของฑูตสวรรค์ร่อนลงมาสักลำ
มองหา "สัญญาณ" หมายสำคัญจากพระเจ้า

หรือว่า...จะนั่งรอนอนรออยู่อย่างนี้
รอพระองค์มาเคาะประตูบ้านเหมือน "ซานต้า"
หรือว่ารอแบบนี้มานานหลายภพชาติเกิน
รอเพลินจนไม่รู้ว่าตนเองรออะไร...รอใครแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะเล่าความจริงบางอย่างให้ท่านทราบว่า

ในครั้งอดีตกาลที่ผ่านมา
หลังพระกุมารน้อยประสูติแล้ว 6 ขวบปี
ก็มีปรากฏการณ์ดาวสองดวงโคจรมาซ้อนทับกัน
เป็นหมายสำคัญแก่มนุษย์ในกาลนั้นให้ได้เห็น

ดาวสองดวงที่มาทับซ้อนกัน คือ ดาวเสาร์
ซึ่งเป็นดาวประจำพระวิญญาณบริสุทธิ์
ของพระกุมารน้อยผู้มาจุติเป็น "พระบุตรเอก"
กับ ดาวพฤหัส ซึ่งเป็นดาวแห่ง ฑูตสวรรค์
พยานผู้ทำหน้าที่สนับสนุนภารกิจพระบุตรเอก

ซึ่งครั้งนั้นชาวโลกเข้าใจในหมายสำคัญว่า
"ดาวดวงใหม่ปรากฏคือพระบุตรเอกทรงจุติ"
พวกเขาเรียกดาวนี้ว่า ดาวแห่งเบเธเลแฮม
เพราะชาวเมืองนี้มองเห็นมายาด้วยตาเปล่า

เทศกาลคริสต์มาส ปี ค.ศ.2020 นี้
ปรากฏการณ์ที่ดาวสองดวงโคจรมา
ปฏิสัมพันธ์กันอีกวาระหนึ่งเหมือนในอดีตอีกแล้ว
เมื่อ "ดาวแห่งเบเธเลแฮม" ปรากฏต่อชาวโลกอีก
ท่านทั้งหลายเข้าใจหมายสำคัญนี้ว่าอย่างไร
ท่านระลึกถึงวันเห-มายันในกาลอดีตได้บ้างมั้ย

ถ้าท่านเป็นลูกแกะที่จดจำเจ้าของแกะได้
ท่านก็ต้องจำ เสียงเรียก ของเจ้าของได้

หากท่านจะจำองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้
เมื่อทรงเสด็จกลับมาประทับยืนต่อหน้าท่าน
ท่านก็ต้องจำพระวจนะ พระคำ พระจริยวัตร
พระโอวาท และ พระธรรมคำสอนต่างๆ
จากพระปัญญาปาฏิหาริย์ของพระองค์
ประหนึ่งเสียงเรียกของพระองค์ได้เป็นแน่แท้

ท่านจะยึดติดตัวตนรูปลักษณ์ดั้งเดิม
เสื้อผ้าหน้าผม รสนิยม เชื้อชาติ ภาษา
เก่าเป็นเช่นไรกลับมาใหม่ต้องเป็นเช่นนั้น
มันเป็นไปไม่ได้หรอกท่าน
นี่พระบิดาก็ทรงมีพระบัญชา
ให้ทำการพิพากษาโลกไประยะหนึ่งแล้ว

จงเร่งอธิษฐานสิพระองค์จะทรงเมตตา
จงรีบแสวงหาพระองค์สิแล้วท่านจักได้พบ
จงเปิดดวงตาแห่งปัญญาของท่านสิ
แล้วท่านทั้งหลายจักได้แลเห็นพระองค์
เราขออวยพรให้ท่านทั้งหลาย
ได้พบพระองค์ในเร็ววัน

สุขสันต์วันคริสต์มาส
Merry Christmas 2020
ขอพระบิดาทรงโปรดประทานพระพร
ให้ท่านทั้งหลายมีความสุขสมหวังในทุกสิ่ง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25/12/2020 

24 ธันวาคม 2563

สนทนาประสาจิตจักรวาล

24/12/2020



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าท่านปรารถนาจะนำพาจิตวิญญาณของท่าน
สู่การหลุดพ้นนิพพานไปจากอนันตจักรวาลแล้ว
ท่านจักต้องดูแลจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ให้ดีๆ
ด้วยการยกระดับแรงสั่นสะเทือนสูงสุดด้านบวก
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณให้ได้

ท่านทั้งหลายจะทำสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ
ท่านต้องรักให้ได้ อภัยให้เป็น ไม่ก้าวล่วงใคร
ท่านต้องละวางโลภะ โทสะ โมหะ ราคะให้สิ้น

โดยค่อยๆยกระดับการสั่นสะเทือนของจิต
ให้สูงขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่เผชิญกับเงื่อนไขต่างๆ
ทั้งด้านบวกและลบจากคนรอบข้างทุกวันเวลา
แรกๆอาจสอบตกบ้างแต่นานวันเข้าจะก้าวหน้าขึ้น
ซึ่งมันหมายถึงต้องฝึกฝนเคี่ยวกรำนั่นเอง

นอกจากนั้น
บนเส้นทางแห่งการหลุดพ้นในชาตินี้
ตาม มรรควิถีจิตจักรวาล นั้น
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ท่านจักต้องประพฤติปฏิบัติ
นั่นคือท่านต้องไม่ก้าวก่ายล่วงเกินผู้อื่น
ไม่ว่าจะกระทำด้วยกายวาจาหรือจิตใจ
ไม่ว่าจะเกิดจากประมาทหรือขาดสติก็ตาม

เพราะมันจะเป็น "ความผิดบาป" ที่เกิดขึ้น
ทั้งในมิติโลกทางกายภาพ
และในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นมิติคู่ขนานกันด้วย

ความผิดบาปที่เกิดขึ้นในมิติทางกายภาพ
คือพฤติกรรมขยะที่ท่านแสดงออกมาภายนอก
ซึ่งผู้ที่ถูกท่านกระทำสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นได้
ด้วยกลไกอายตนะภายนอก เช่น ตาหรือหู
แล้วเกิดอาการเสียสมดุลทางจิตใจทันที

พฤติกรรมขยะที่ท่านกระทำต่อผู้อื่น
แล้วยังผลให้ผู้อื่นเสียสมดุลทางจิตใจ
จนเกิดอาการโกรธ เกลียด เคียด แค้น
งมงาย ลุ่มหลง เศร้าโศก เสียใจ ฯลฯ
มันคือ ความผิดบาป ของท่านทั้งสิ้น

ในขณะที่ท่านกระทำผิดบาปต่อผู้อื่น
เพราะเป็นเหตุให้เขาเสียสมดุลทางจิตใจแล้ว
ท่านยังทำผิดบาปต่อจิตวิญญาณของท่าน
ควบคู่กันไปในเวลาเดียวกันด้วย
เนื่องจากจิตวิญญาณของท่านเองนั้น
ต้องการให้ "ตัวแทน" คือจิตหยาบหรือตัวท่าน
สั่นสะเทือนจิตสามนึกเป็นด้านบวกอย่างเดียว
เพื่อแสดงออกหรือกระทำที่ถูกต้องดีงาม
ต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆเท่านั้น

ดังนั้น
เมื่อใดก็ตามที่ท่านเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียสมดุล
แสดงว่าเมื่อนั้นท่านกำลังกระทำผิดบาป
ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นอยู่

ท่านทั้งหลายจึงต้องใช้ชีวิตอย่างระวัง
ท่ามกลางผู้อื่นในสังคมเดียวกันกับท่าน
จงอย่ากระทำก้าวล่วงผู้อื่น
จนเป็นเหตุให้พวกเขา "จิตตก" เสียสมดุล
เพราะท่านจะเกิดการผิดบาปขึ้นเมื่อนั้น

เมื่อเกิดความผิดบาปขึ้นไม่ว่ากรณีกรรมใด
จิตวิญญาณท่านเมื่อตายไปจากชาตินี้แล้ว
จักมีสังสารวัฏเพื่อเกิดใหม่ในภพชาติใหม่อีก
ที่เกิดใหม่ก็เพื่อกลับมาแก้ไขความผิดบาป
และชำระผลกรรมทางพลังงานที่เป็นขยะนั้นด้วย
เนื่องจากจะให้ใครอื่นช่วยชำระกรรมแทนมิได้

ท่านทั้งหลายจึงต้องรับรู้ในเรื่องนี้ไว้
มิเช่นนั้นการปิดยุคพลังงานเก่าแล้วนี้
พวกท่านจะหลุดพ้นนิพพานมิได้เลย
ถ้าหากจิตหยาบของท่านยังใฝ่ต่ำอยู่
จนไม่อาจสั่นสะเทือนในระดับเดียวกัน
กับจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของท่านเองได้

นอกจากนั้นหากท่านยังทำผิดบาปอยู่
จนทำให้คนอื่นๆ "จิตตก" เสียสมดุลอยู่เนืองๆ
พวกเขาก็จะเป็นเจ้ากรรมนายเวร
ผู้คอยฉุดรั้งจิตวิญญาณของท่านเอาไว้
ด้วยความอาฆาตโกรธแค้นหมายเอาคืนอีกด้วย

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เรากลับมาเกิดเป็นมนุษย์
ทำหน้าที่เป็นบุตรเอกของพระองค์
เพื่อฉุดพาจิตวิญญาณพวกท่านให้หลุดพ้นเท่านั้น
เรามิได้กลับมาพิพากษาคนที่ฟังพระโอวาท
แล้วไม่ยอมปฏิบัติตามแต่อย่างใด

เพราะถ้าใครไม่ยอมรับเรา ไม่ยอมฟังเรา
ไม่ยอมปฏิบัติตามโดยไม่ยอมรับคำของเรา
พระโอวาททุกพระคำที่เรากล่าวให้ท่านรู้นี่แหละ
จะพิพากษาเขาในวันสุดท้ายแห่งชีวิต

ถ้าเราไม่กลับมาสื่อสอนท่านทั้งหลาย
โลกเสรีนี้ก็คงจะไม่มีความ "ผิดบาป"
เพราะไม่มีใครรู้ว่าอะไรคือความผิดบาป
อย่างไรคือสิ่งที่พระบิดาฯไม่ทรงโปรด
แบบไหนที่จะยังผลให้หลุดพ้นนิพพานไม่ได้

เดี๋ยวนี้มนุษย์โลกทุกคน
จะไม่มีข้อแก้ตัวในเรื่องผิดบาปใดๆอีก
เพราะเรากลับมาช่วยทำความไม่รู้
เรื่องความผิดบาปของท่านทั้งหลาย
ให้แจ่มกระจ่างชัดเจนแล้ว

กราบพระบาทพระบิดาฯ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24/12/2020

22 ธันวาคม 2563

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

22/12/2020



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

กรณีกรรม "หัวร้อนทั้ง 5" ที่เกิดขึ้นนี้
หากใครคิดว่าเป็นเพราะ "จิตเรา...อยากรู้"
แสดงว่าท่านคงขาด "มหาสติ" แล้วล่ะ
เพราะท่านคงจะลืมไปแล้วว่า...

1.Fb. วิสุทธิปัญญา นี้
เป็นห้องเรียนของมนุษย์ทุกคนที่เข้ามาเรียน

2.เราเป็นผู้กล่าวพระโอวาทในพระนามพระบิดา
เรามิได้กล่าวอะไรเอาเองตามใจเรา
แต่เรากล่าวตามพระองค์

3.เรามิได้กล่าวถาม...ด้วยความอยากรู้
เพราะเรารู้ดีว่าท่านที่กดการ์ตูนหัวร้อนทั้ง 5
มิได้มีผู้ใดเจตนาให้ร้ายต่อเราแน่นอน

เรามิได้ทำอะไรตามจิตหยาบหรอกนะท่าน
ต่อให้ทั้งห้าท่านกดหัวร้อนให้เราจริงๆ
เหมือน "ผู้พเนจร" หลายคน
ที่เคยเข้ามาในห้องเรียนนี้
แล้วก้าวล่วงพระบิดาและล่วงเกินเราไว้
เรายัง อโหสิกรรม ให้มาแล้วทุกรายไป
เพราะเรารักมนุษย์ทุกคนหรือแกะทุกตัวเสมอ

แต่คำถามของเรา...ที่ยกมานี้
เป็นคำกล่าวนิ่มๆของคนที่เป็น ครู
เพื่อช่วยสร้างสติให้แก่ท่านทั้ง 5 และคนอื่นๆ
มันคือบทเรียนจากชีวิตจริง
ในกระบวนการไซโคโชว์ของเรา
ที่คนไม่เคยเข้าค่ายอบรมที่ภูกระต่าย
จะไม่มีวันรู้ไม่มีทางเข้าใจหรอกว่า
ปฏิบัติการชำระจิตพัฒนามหาสติปัญญา
มันคืออะไรอย่างไร


เราหยิบยกกรณีกรรมนี้มาเพื่อเป็น บทเรียน
สำหรับคนที่ "อยากเรียนรู้" ทุกๆคน
ให้มีมหาสติและใช้มหาสติให้มากกว่าเดิม
จะได้ไม่เกิดความผิดพลาดบกพร่อง
ทั้งด้านการเรียนรู้และการดำเนินชีวิต
เพราะว่าถ้า จิต อายตนะ และสมอง
บกพร่องในการใช้มันเมื่อไหร่
จิตปัญญาของคนนั้นจะตกต่ำ ต่ำต้อย ต่ำตม

การทำผิดพลาดเช่นนี้มันจะเป็นเหตุให้
ไปเกี่ยวกรรมกับผู้อื่นจนเกิดเป็นอุปสรรคสำคัญ
บนเส้นทางของการหลุดพ้น
ตาม มรรควิถีจิตจักรวาล ในชาตินี้ไปทันที

4.ถ้าเราไม่เตือนสติพวกท่านทันทีที่พบเห็น
ปล่อยให้ท่านทั้งห้ากดหัวร้อนต่อเรากับพระบิดา
เพราะความสะเพร่า บกพร่อง ประมาท ขาดสติ
ท่านว่าเรารักพวกท่านจริงหรือ?

การปล่อยวางท่านทั้งหลายให้คิดแต่เพียงว่า
คนกดทั้งห้าคนมิได้มีใครเจตนาคิดร้ายคิดลบ
ขอให้เราอโหสิกรรมให้พวกเขาเถิด
อย่าเอาเรื่องเอาราวกับพวกเขาทั้งห้าเลย
อย่าไปโกรธเคืองพวกเขาเลย
หรือมองว่า...เราใช้จิตหยาบถามขึ้นมา
เพื่ออยากรู้ว่า "เรากล่าวล่วงเกิน" ทั้งห้าคน
ด้วยเรื่องอะไรหนอ....

ทั้งสองประเด็นนี้เป็นการนึกคิดแบบจิตมนุษย์
ถ้าเราเป็นได้แค่ที่ท่านพิพากษาเราดั่งนี้
พระองค์คงมิทรงวางใจเราให้เป็นพระบุตรเอก
เพื่อกลับมาเป็น อนุตรธรรมาจารย์ ของมนุษย์
เพราะจะเป็นแค่ บุตรโทตรีจัตวา ยังเป็นไม่ได้เลย

5.จงจำไว้ว่า...การก้าวล่วงผู้อื่นนั้น
จะเกิดได้เสมอถ้าพวกท่านแต่ละคน

5.1 จิตหยาบยังเกรอะกรังด้วยสนิมอยู่
5.2 ปัญญาของสมองยังต้องพัฒนาอยู่
5.3 อายตนะยังบอดอยู่
5.4 มหาสติหรือธรรมชาติสมาธิยังอ่อนแออยู่
5.5 ยังไม่รู้ว่าเราเป็นใคร

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

แท้จริงนั้นเรามิได้โกรธเคืองคนทั้งห้านี้เลย
เพราะเขาคือ "นักเรียนตัวอย่าง" ของพวกท่าน
ที่ผิดพลาดบกพร่องในสายตาเราต่างหาก
ท่านที่กล่าวเชิงตำหนิเราจงอย่าก้าวล่วงเราเลย
ชีวิตจะติดกรรมโดยใช่เหตุนะ

ส่วนใครที่คิดว่าแค่เปฺ็นการกดผิดเท่านั้น
ไม่ควรถือโทษอะไรใครหรอก
เพราะใครๆก็มีโอกาสผิดพลาดกันทั้งนั้น
เราก็จะขอถามท่านว่า...คิดแค่นี้แล้วจบ
ทุกท่านจะได้รับบทเรียนกรรมอะไรบ้างมั้ย?

กฎแห่งกรรมนั้นมันมีจริงๆ
คนที่ทำผิดด้วยการก้าวล่วงต่อเรา
และพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา
หรือว่าท่านทั้งหลายจะก้าวล่วงใครก็ตาม
ไม่ว่าจะเพราะขาดสติหรือด้วยเจตนากระทำ
กรรมนั้นมันก็ได้ก่อ ผลกรรม ขึ้นมาแล้ว
ท่านต้องรับผิดชอบกรรมนั้นเสมอ

ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่าในกรณีกรรมแบบนี้
จะมีคน 3 จำพวก ให้ท่านได้เรียนรู้ คือ

1.พวก "มักยาก"
คือ พวกที่กระทำผิดบาปแล้ว
นึกเข้าข้างตนเองว่าไม่เป็นไรหรอก
ทั้งๆที่บุรพกรรมหรือวิบากกรรมนั้นเกิดขึ้นแล้ว

เพราะการทำ "ผิดพลาด" นั้น
มันคือการกระทำ ผิดบาป แล้ว

2.พวก มักง่าย
คือ พวกที่เห็นการทำผิดบาปของผู้อื่นว่า
เป็นเรื่องน่าเห็นใจ เป็นเรื่องปกติธรรมดา
ที่ใครๆก็ทำผิดพลาดกันได้
เหมือนไม่เข้าใจเรื่อง "กฎแห่งกรรม"
จึงมองเห็นคนหัวร้อนทั้งห้านี้เป็นเรื่องปกติ

เราขอบอกความจริงเลยว่า
การเป็นคนชอบธรรมแต่หลุดพ้นมิได้
ก้าวหน้าทางจิตวิญญาณมิได้
ก็เพราะความนึกคิดมักง่ายเช่นนี้แหละ
เพราะหยุดการมีสังสารวัฏไม่ได้
ตายแล้วต้องกลับมาเกิดใหม่อีกเพื่อแก้ไข
วนเวียนกันไปอย่างนี้ไม่รู้ที่สิ้นสุด
เหตุเพราะความมักง่าย-มักยากในการนึกคิด

เมื่อรู้ความจริงเองไม่ได้ก็โชคร้ายไป
แต่พอมีเราเป็น "ครู" คอยช่วยเตือนสติให้
ก็กลับก้าวล่วงครูของตนเสียอีกแน่ะ

3.พวก "ผู้พิพากษา"
คือ พวกที่ตัดสินเราว่า "ขี้โมโห" ลูกศิษย์
จึงนำเอาเรื่องหัวร้อนนี้มาระบายอารมณ์
ตัดสินเราตามระดับภูมิธรรม ภูมิปัญญาที่ตนมี
กล่าวพิพากษาเราตามจริตนิสัยแห่งตน
โดยไม่เกรงผิดบาปเพราะการก้าวล่วง

6.นี่ถ้าเราไม่ออกมาเตือนท่านทั้งห้า
ท่านคิดมั้ยว่า...จะมีใครรู้สำนึกเองได้บ้าง
รวมทั้งนักเรียนท่านอื่นๆด้วย
ท่านอยากให้เราเป็น "ครู"
หรือให้เป็นแค่ คนยืนดู อย่างหดหู่ใจกันแน่
นี่แหละคือสิ่งที่ "จิตเรา...อยากรู้" จริงแท้

ขอทุกท่านอ่านบทเรียนนี้หลายๆเที่ยวเถิด
มันจะช่วยเปิดปัญญาให้ตัวท่านเอง
พระบิดาฯและเราเป็นพยานให้ท่านได้

กราบพระบาทพระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวง
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22/12/2020

21 ธันวาคม 2563

สนทนาประสาจิตจักรวาล

21/12/2020



 พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

หน้าที่หลักที่สำคัญซึ่งท่านจะต้องทำ
เพื่อจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของท่านให้ได้
โดยส่วนใหญ่แล้วล้มเหลวกันมาตลอดก็คือ
ท่านจะต้องรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักให้ได้
ต้องให้อภัยคนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยให้เป็น


หลายท่านอาจนึกในใจว่า
ทำไมจึงต้องทำตัวเป็นคนใจพระแบบนั้นด้วย
เมื่อเขาทำไม่ดีกับเราแล้วเราจะไปดีด้วยทำไม
เพราะเมื่อเขาทำร้ายเราเขาก็เป็นศัตรูกับเรา
เขามิใช่มิตรของเราอีกต่อไปแล้ว

เมื่อเขาทำตัวเป็นศัตรูมันก็ต้องสู้รบกัน
เป็นเรื่องปกติธรรมดามิใช่หรือ

มีหลายคนยังนึกต่อไปอีกว่า
นอกจากเราต้องโกรธแค้นเขาแล้ว
เรายังสมควรตอบโต้ต่อสู้เขา
แบบหนามยอกต้องเอาหนามบ่งอีกด้วย
ใครๆเขาก็ทำแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เพราะพวกท่านมีพฤตินิสัยในแบบที่ว่านี่แหละ
ตลอดเวลานานนับหมื่นปีที่ผ่านมาจนบัดนี้
พวกท่านทั้งโลกจึงไม่ประสบผลสำเร็จ
ในการทำหน้าที่เพื่อจิตวิญญาณของท่าน
อีกทั้งยังมิอาจนำพาจิตวิญญาณของท่าน
หลุดพ้นนิพพานออกไปจากอนันตจักรวาลด้วย
เพราะชีวิต "ติดกรรม" จึงต้องติดอยู่ในสังสารวัฏ

สาเหตุหลักที่ชีวิตพวกท่านติดกรรม
จนไม่อาจหยุดการมีสังสารวัฏได้ก็เพราะว่า

1.รักคนที่ทำตัวไม่น่ารักไม่ได้
2.ให้อภัยคนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยไม่เป็น
3.กระทำก้าวล่วงตอบสนองคนทั้งสองพวกนี้
ตั้งแต่อดีตชาติจนจิตติดเป็นจริตสันดานไป

เมื่อผิดพลาดบกพร่องในสามประการนี้
จิตของพวกท่านจึงไม่ใสบริสุทธิ์
เพราะจะถูกครอบคลุมไว้ด้วยกิเลสตัณหา
และอารมณ์ขยะรายวันอีกมากมาย

วันๆพวกท่านจึงตกเป็นทาสกิเลสตัณหา
และอารมณ์ขยะทั้งหลายไปอย่างง่ายดาย
การก่อเวรเกี่ยวกรรมกันจึงบังเกิดขึ้นง่ายๆ
โดยมิอาจเลี่ยงมันได้พ้น

พวกท่านทั้งหลายจึงเห็นตัวอย่างไม่ดี
ที่คนส่วนใหญ่เขาประพฤติปฏิบัติต่อกันแบบนี้
โดยเห็นเสมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
จึงพากันเอาเยี่ยงอย่างคนส่วนใหญ่ที่ไม่ถูกต้อง
เพราะนึกคิดเอาเองว่าเป็นเรื่องธรรมดา

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะบอกความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าพวกท่านต้องการทำหน้าที่เพื่อจิตวิญญาณ
ท่านจะต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกของท่าน
ให้เป็นด้านบวกแต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น
ไม่ว่าคนรอบข้างหรือคนใกล้ตัว
ใครจะทำดีหรือทำชั่วต่อตัวท่านก็ตาม
จงอย่าไปโต้เถียงกันว่าใครผิดใครถูก
เพราะการตัดสินพิพากษามิใช่นัยสำคัญอะไร
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ

ท่านต้องรักเขาให้ได้
ท่านต้องให้อภัยเขาให้เป็น
หรือให้อโหสิกรรมแก่เขาให้จงได้
ถึงแม้การคิดแบบจิตมนุษย์ดังว่านี้
ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมสำหรับท่านก็ตาม

แต่มันเป็นแผนการของจิตวิญญาณของท่าน
ที่กำหนดให้คนรอบข้างหรือคนใกล้ตัว
กระทำทั้งดีและชั่วต่อตัวท่านคละเคล้ากันไป
โดยมีเป้าหมายเดียวที่ต้องการก็คือ
พวกท่านจะต้อง "รัก" คนทุกจำพวกให้ได้

ใครดีมาก็ให้ทำดีตอบสนอง
ใครชั่วมาก็อย่าทำชั่วตอบสนอง
ให้นึกดีคิดดีพูดดีทำดีตอบสนองเท่านั้น

ถ้านึกดีคิดดีพูดดีทำดีตอบสนองเขาไม่ได้
ก็ให้ท่านจงวางเฉยเป็น อุเบกขา เสีย
แค่รับรู้ว่าเขากำลังทำไม่ดีกับท่านก็พอ
โดยท่านต้องไม่เอามันมาเป็นเงื่อนไข
เพื่อทำให้ตัวท่านเอง "สะเทือนใจ" เด็ดขาด
มิเช่นนั้นท่านจะถือเป็นเหตุอันชอบธรรม
ที่จะต้องตอบโต้กลับคืนแบบตาต่อตาแน่นอน

เหตุที่ท่านต้อง "รัก" คนไม่น่ารัก
ด้วยการอดทน อดกลั้น และให้อภัยพวกเขา
เพราะว่าจิตที่สั่นสะเทือนเป็นความรักบริสุทธิ์
ในแบบ รักเพื่อให้ โดยไม่หวังอะไรตอบแทน
จะยังผลให้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
โดยจิตหยาบของท่านทั้งหลายนี่แหละ
สามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือนด้านบวก
เพื่อเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้ได้

เมื่อจิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของท่านได้
จิตวิญญาณของท่านที่ลึกเร้นอยู่ข้างใน
ก็จะสามารถขับเคลื่อนพลังงานความรักบริสุทธิ
ที่แบกขนข้ามมิติมาจากนอกอนันตจักรวาล
มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์และดาวเคราะห์โลกได้

เพราะพลังงานความรักจากจิตวิญญาณมนุษย์
จะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าด้านบวก
ที่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้และทุกสิ่งต้องการ
โดยโลกจะนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง
ในการทำให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง

ช่วยทำให้โลกผลิตก๊าซออกซิเจนได้
ช่วยสร้างโครงข่ายสนามแม่เหล็กคลุมโลกไว้
ให้ปลอดภัยจากอุกกาบาต
และสนามแม่เหล็กโลกยังช่วยให้
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของท่าน
มีกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในระบบ
ที่กลไกอวัยวะภายในและเซลต่างๆ
มีไฟฟ้าเป็นเชื้อเพลิงในการทำหน้าที่ได้
เป็นระบบอัตโนมัติเพราะอยู่นอกจิตสามนึก

ดังนั้น
พวกท่านจึงต้องรู้ว่า
ถ้าจะสั่นสะเทือนเป็นความรักตอบสนอง
ก็จงอย่างมงายอยู่กับใครถูกใครผิด
จงอย่าไปติดกับหลุมพรางต่างๆ
ที่เป็นบททดสอบจิตสามนึกแห่งรักเพื่อให้
ซึ่งคนรอบข้าง คนใกล้ตัว
เขากระทำดีๆชั่วๆต่อตัวท่านให้เสียเวลา
หน้าที่ของท่าน คือ ต้อง "รัก" ต้อง "อภัย"
เพียงเท่านี้จริงๆ

เคล็ดลับที่จะช่วยท่านให้ประสบความสำเร็จ
ในการรักเพื่อให้ในแบบที่เรากล่าวมาก็คือ
ท่านจักต้องใช้ จิตปัญญา เป็นเครื่องมือ
แทนการใช้อายตนะภายนอกทั้งห้า
เพื่อมองให้เห็นสิ่งดีๆที่มีคุณค่าของเขาให้ได้

โดยท่านต้องใช้
หลักการและวิธีการพิจารณา ข้าวหลาม
เป็นต้นแบบปฏิบัติเพื่อการนี้กล่าวคือ

1.ท่านต้องมองข้ามผ่าน
เปลือกนอกของกระบอกข้าวหลามที่ดำไหม้
ซึ่งเป็นสิ่งไร้สาระไร้ประโยชน์สำหรับท่าน
เพราะมันกินไม่ได้

2.แม้ท่านมองไม่เห็นภายในกระบอกข้าวหลาม
แต่เมื่อท่านใช้จิตปัญญาของท่านพินิจดู
ท่านก็รู้ว่าภายในกระบอกไม้ไผ่ที่ถูกเผาไฟนั้น
มีข้าวเหนียวหุงสุกที่ท่านชอบอัดอยู่เต็มกระบอก
ซึ่งทานแล้วอร่อยดีและมีประโยชน์อีกด้วย

3.ท่านจึงไม่เขวี้ยงทิ้งข้าวหลาม
ที่กระบอกภายนอกไฟไหม้กระดำกระด่าง
จนแลดูไม่สวยงาม ไม่น่ากิน
แต่เพราะท่านรู้ว่ามันบรรจุข้าวเหนียว
ที่ท่านชอบทานอยู่ข้างในนั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

การที่ท่านจะรักใครๆที่ไม่ดีต่อท่านได้
ท่านจึงต้องมองข้ามพฤติกรรมไม่ดีของเขา
ที่เราเปรียบเหมือนกระบอกข้าวหลามไฟไหม้
โดยให้ความสำคัญที่ "ข้าวเหนียว" อร่อยๆ
ซึ่งเร้นอยู่ในกระบอกไม้ไผ่แทน

หมายความว่า
ให้ท่านมองหาคุณค่ากับความดีงาม
อันเป็นคุณสมบัติของเขาคนนั้นให้พบ
แทนที่จะไปมองไปยึดติดพฤติกรรมขยะของเขา
ที่มันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับท่านเลย

จงอย่าให้พฤติกรรมขยะของใครคนนั้น
เป็นเหตุให้ท่านเขวี้ยงเขาคนนั้นทิ้งไป
ทั้งๆที่ในตัวของเขายังมีสิ่งดีๆอีกตั้งมากมาย
ถ้าท่านเข้าถึงคุณค่าในตัวเขาได้ท่านจะไม่ทิ้งเขา
เหมือนไม่ทิ้งข้าวหลามอันแสนอร่อยแน่นอน

จงรับรู้ไว้ด้วยว่า
มนุษย์โลกทุกคนรวมตัวท่านคนหนึ่งด้วย
ไม่มีใครเลวไปหมดทุกสิ่งหรอก
จงรับรู้ไว้ด้วยว่าแต่ละท่านนั้น
ยังมีความดีงามเป็นคุณสมบัติด้วยกันทั้งสิ้น
ซึ่งใครจะแลเห็นคุณค่าเห็นความดีงามใครได้
มันขึ้นอยู่กับว่าจะใช้อารมณ์ขยะมองหา
หรือว่าใช้จิตปัญญาพิจารณาเท่านั้นเอง

ด้วยเหตุนี้เอง
ท่านจึงต้องมองคุณค่าของคนอื่นๆให้เห็น
ด้วยดวงตาแห่งปัญญามิใช่ตาเนื้อ
เมื่อท่านพบคุณค่าของคนรอบข้างได้
แม้ในวันเวลาที่เขาทำตัวไม่น่ารัก
ท่านก็สามารถรักทุกคนที่เขามีคุณค่าได้เสมอ
การหมุนธรรมจักรจะไม่ยากสำหรับท่านอีกเลย

กราบพระบาทพระบิดาฯ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21/12/2020

สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
หน้าที่หลักที่สำคัญซึ่งท่านจะต้องทำ
เพื่อจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของท่านให้ได้
โดยส่วนใหญ่แล้วล้มเหลวกันมาตลอดก็คือ
หลายท่านอาจนึกในใจว่า
ทำไมจึงต้องทำตัวเป็นคนใจพระแบบนั้นด้วย
เมื่อเขาทำไม่ดีกับเราแล้วเราจะไปดีด้วยทำไม
เพราะเมื่อเขาทำร้ายเราเขาก็เป็นศัตรูกับเรา
เขามิใช่มิตรของเราอีกต่อไปแล้ว
เมื่อเขาทำตัวเป็นศัตรูมันก็ต้องสู้รบกัน
เป็นเรื่องปกติธรรมดามิใช่หรือ
มีหลายคนยังนึกต่อไปอีกว่า
นอกจากเราต้องโกรธแค้นเขาแล้ว
เรายังสมควรตอบโต้ต่อสู้เขา
แบบหนามยอกต้องเอาหนามบ่งอีกด้วย
ใครๆเขาก็ทำแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เพราะพวกท่านมีพฤตินิสัยในแบบที่ว่านี่แหละ
ตลอดเวลานานนับหมื่นปีที่ผ่านมาจนบัดนี้
พวกท่านทั้งโลกจึงไม่ประสบผลสำเร็จ
ในการทำหน้าที่เพื่อจิตวิญญาณของท่าน
อีกทั้งยังมิอาจนำพาจิตวิญญาณของท่าน
หลุดพ้นนิพพานออกไปจากอนันตจักรวาลด้วย
เพราะชีวิต "ติดกรรม" จึงต้องติดอยู่ในสังสารวัฏ
สาเหตุหลักที่ชีวิตพวกท่านติดกรรม
จนไม่อาจหยุดการมีสังสารวัฏได้ก็เพราะว่า
1.รักคนที่ทำตัวไม่น่ารักไม่ได้
2.ให้อภัยคนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยไม่เป็น
3.กระทำก้าวล่วงตอบสนองคนทั้งสองพวกนี้
ตั้งแต่อดีตชาติจนจิตติดเป็นจริตสันดานไป
เมื่อผิดพลาดบกพร่องในสามประการนี้
จิตของพวกท่านจึงไม่ใสบริสุทธิ์
เพราะจะถูกครอบคลุมไว้ด้วยกิเลสตัณหา
และอารมณ์ขยะรายวันอีกมากมาย
วันๆพวกท่านจึงตกเป็นทาสกิเลสตัณหา
และอารมณ์ขยะทั้งหลายไปอย่างง่ายดาย
การก่อเวรเกี่ยวกรรมกันจึงบังเกิดขึ้นง่ายๆ
โดยมิอาจเลี่ยงมันได้พ้น
พวกท่านทั้งหลายจึงเห็นตัวอย่างไม่ดี
ที่คนส่วนใหญ่เขาประพฤติปฏิบัติต่อกันแบบนี้
โดยเห็นเสมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
จึงพากันเอาเยี่ยงอย่างคนส่วนใหญ่ที่ไม่ถูกต้อง
เพราะนึกคิดเอาเองว่าเป็นเรื่องธรรมดา
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะบอกความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าพวกท่านต้องการทำหน้าที่เพื่อจิตวิญญาณ
ท่านจะต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกของท่าน
ให้เป็นด้านบวกแต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น
ไม่ว่าคนรอบข้างหรือคนใกล้ตัว
ใครจะทำดีหรือทำชั่วต่อตัวท่านก็ตาม
จงอย่าไปโต้เถียงกันว่าใครผิดใครถูก
เพราะการตัดสินพิพากษามิใช่นัยสำคัญอะไร
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ
ท่านต้องรักเขาให้ได้
ท่านต้องให้อภัยเขาให้เป็น
หรือให้อโหสิกรรมแก่เขาให้จงได้
ถึงแม้การคิดแบบจิตมนุษย์ดังว่านี้
ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมสำหรับท่านก็ตาม
แต่มันเป็นแผนการของจิตวิญญาณของท่าน
ที่กำหนดให้คนรอบข้างหรือคนใกล้ตัว
กระทำทั้งดีและชั่วต่อตัวท่านคละเคล้ากันไป
โดยมีเป้าหมายเดียวที่ต้องการก็คือ
พวกท่านจะต้อง "รัก" คนทุกจำพวกให้ได้
ใครดีมาก็ให้ทำดีตอบสนอง
ใครชั่วมาก็อย่าทำชั่วตอบสนอง
ให้นึกดีคิดดีพูดดีทำดีตอบสนองเท่านั้น
ถ้านึกดีคิดดีพูดดีทำดีตอบสนองเขาไม่ได้
ก็ให้ท่านจงวางเฉยเป็น #อุเบกขา เสีย
แค่รับรู้ว่าเขากำลังทำไม่ดีกับท่านก็พอ
โดยท่านต้องไม่เอามันมาเป็นเงื่อนไข
เพื่อทำให้ตัวท่านเอง "สะเทือนใจ" เด็ดขาด
มิเช่นนั้นท่านจะถือเป็นเหตุอันชอบธรรม
ที่จะต้องตอบโต้กลับคืนแบบตาต่อตาแน่นอน
เหตุที่ท่านต้อง "รัก" คนไม่น่ารัก
ด้วยการอดทน อดกลั้น และให้อภัยพวกเขา
เพราะว่าจิตที่สั่นสะเทือนเป็นความรักบริสุทธิ์
ในแบบ #รักเพื่อให้ โดยไม่หวังอะไรตอบแทน
จะยังผลให้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
โดยจิตหยาบของท่านทั้งหลายนี่แหละ
สามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือนด้านบวก
เพื่อเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้ได้
เมื่อจิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของท่านได้
จิตวิญญาณของท่านที่ลึกเร้นอยู่ข้างใน
ก็จะสามารถขับเคลื่อนพลังงานความรักบริสุทธิ
ที่แบกขนข้ามมิติมาจากนอกอนันตจักรวาล
มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์และดาวเคราะห์โลกได้
เพราะพลังงานความรักจากจิตวิญญาณมนุษย์
จะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าด้านบวก
ที่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้และทุกสิ่งต้องการ
โดยโลกจะนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง
ในการทำให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
ช่วยทำให้โลกผลิตก๊าซออกซิเจนได้
ช่วยสร้างโครงข่ายสนามแม่เหล็กคลุมโลกไว้
ให้ปลอดภัยจากอุกกาบาต
และสนามแม่เหล็กโลกยังช่วยให้
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของท่าน
มีกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำขึ้นในระบบ
ที่กลไกอวัยวะภายในและเซลต่างๆ
มีไฟฟ้าเป็นเชื้อเพลิงในการทำหน้าที่ได้
เป็นระบบอัตโนมัติเพราะอยู่นอกจิตสามนึก
ดังนั้น
พวกท่านจึงต้องรู้ว่า
ถ้าจะสั่นสะเทือนเป็นความรักตอบสนอง
ก็จงอย่างมงายอยู่กับใครถูกใครผิด
จงอย่าไปติดกับหลุมพรางต่างๆ
ที่เป็นบททดสอบจิตสามนึกแห่งรักเพื่อให้
ซึ่งคนรอบข้าง คนใกล้ตัว
เขากระทำดีๆชั่วๆต่อตัวท่านให้เสียเวลา
หน้าที่ของท่าน คือ ต้อง "รัก" ต้อง "อภัย"
เพียงเท่านี้จริงๆ
เคล็ดลับที่จะช่วยท่านให้ประสบความสำเร็จ
ในการรักเพื่อให้ในแบบที่เรากล่าวมาก็คือ
ท่านจักต้องใช้ #จิตปัญญา เป็นเครื่องมือ
แทนการใช้อายตนะภายนอกทั้งห้า
เพื่อมองให้เห็นสิ่งดีๆที่มีคุณค่าของเขาให้ได้
โดยท่านต้องใช้
หลักการและวิธีการพิจารณา #ข้าวหลาม
เป็นต้นแบบปฏิบัติเพื่อการนี้กล่าวคือ
1.ท่านต้องมองข้ามผ่าน
เปลือกนอกของกระบอกข้าวหลามที่ดำไหม้
ซึ่งเป็นสิ่งไร้สาระไร้ประโยชน์สำหรับท่าน
เพราะมันกินไม่ได้
2.แม้ท่านมองไม่เห็นภายในกระบอกข้าวหลาม
แต่เมื่อท่านใช้จิตปัญญาของท่านพินิจดู
ท่านก็รู้ว่าภายในกระบอกไม้ไผ่ที่ถูกเผาไฟนั้น
มีข้าวเหนียวหุงสุกที่ท่านชอบอัดอยู่เต็มกระบอก
ซึ่งทานแล้วอร่อยดีและมีประโยชน์อีกด้วย
3.ท่านจึงไม่เขวี้ยงทิ้งข้าวหลาม
ที่กระบอกภายนอกไฟไหม้กระดำกระด่าง
จนแลดูไม่สวยงาม ไม่น่ากิน
แต่เพราะท่านรู้ว่ามันบรรจุข้าวเหนียว
ที่ท่านชอบทานอยู่ข้างในนั่นเอง
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
การที่ท่านจะรักใครๆที่ไม่ดีต่อท่านได้
ท่านจึงต้องมองข้ามพฤติกรรมไม่ดีของเขา
ที่เราเปรียบเหมือนกระบอกข้าวหลามไฟไหม้
โดยให้ความสำคัญที่ "ข้าวเหนียว" อร่อยๆ
ซึ่งเร้นอยู่ในกระบอกไม้ไผ่แทน
หมายความว่า
ให้ท่านมองหาคุณค่ากับความดีงาม
อันเป็นคุณสมบัติของเขาคนนั้นให้พบ
แทนที่จะไปมองไปยึดติดพฤติกรรมขยะของเขา
ที่มันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับท่านเลย
จงอย่าให้พฤติกรรมขยะของใครคนนั้น
เป็นเหตุให้ท่านเขวี้ยงเขาคนนั้นทิ้งไป
ทั้งๆที่ในตัวของเขายังมีสิ่งดีๆอีกตั้งมากมาย
ถ้าท่านเข้าถึงคุณค่าในตัวเขาได้ท่านจะไม่ทิ้งเขา
เหมือนไม่ทิ้งข้าวหลามอันแสนอร่อยแน่นอน
จงรับรู้ไว้ด้วยว่า
มนุษย์โลกทุกคนรวมตัวท่านคนหนึ่งด้วย
ไม่มีใครเลวไปหมดทุกสิ่งหรอก
จงรับรู้ไว้ด้วยว่าแต่ละท่านนั้น
ยังมีความดีงามเป็นคุณสมบัติด้วยกันทั้งสิ้น
ซึ่งใครจะแลเห็นคุณค่าเห็นความดีงามใครได้
มันขึ้นอยู่กับว่าจะใช้อารมณ์ขยะมองหา
หรือว่าใช้จิตปัญญาพิจารณาเท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้เอง
ท่านจึงต้องมองคุณค่าของคนอื่นๆให้เห็น
ด้วยดวงตาแห่งปัญญามิใช่ตาเนื้อ
เมื่อท่านพบคุณค่าของคนรอบข้างได้
แม้ในวันเวลาที่เขาทำตัวไม่น่ารัก
ท่านก็สามารถรักทุกคนที่เขามีคุณค่าได้เสมอ
การหมุนธรรมจักรจะไม่ยากสำหรับท่านอีกเลย
กราบพระบาทพระบิดาฯ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21/12/2020

19 ธันวาคม 2563

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.313: (9/9) คนจะดีไม่ดีอยู่ที่ "คน"


 

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.313: (8/9) คนจะดีไม่ดีอยู่ที่ "คน"

 


จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.313: (7/9) คนจะดีไม่ดีอยู่ที่ "คน"

 


จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.313: (6/9) คนจะดีไม่ดีอยู่ที่ "คน"


 

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.313: (5/9) คนจะดีไม่ดีอยู่ที่ "คน"


 

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.313: (4/9) คนจะดีไม่ดีอยู่ที่ "คน"


 

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.313: (3/9) คนจะดีไม่ดีอยู่ที่ "คน"


 

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.313/2: คนจะดีไม่ดีอยู่ที่ "คน"


 

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.313/1: คนจะดีไม่ดีอยู่ที่ "คน"


 

สนทนาประสาจิตจักรวาล

19/12/2020



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

พระโอวาทพระบิดาฯทุกบททุกตอน
ที่เรานำมากล่าวต่อท่านบนโลกเสรีนี้
ส่วนมากจะเป็นสัจธรรมระดับ อนุตรธรรม
มากกว่าโลกิยธรรมและโลกุตรธรรม

เหตุที่เรากล่าว "อนุตรธรรม" มากกว่า
เพราะเป็นสัจธรรมความจริงชั้นสูงสุด
ที่มนุษย์โลกทั้งหมดไม่มีใครรู้ว่าตนไม่รู้
และเรารู้ดีว่าถ้ามนุษย์โลกไม่รู้อนุตรธรรม
ก็จะเกิดปัญหาใหญ่ 3 ประการ คือ

1.จะนำพา "จิตวิญญาณ" ของตน
หลุดพ้นนิพพานผ่านประตูมิติออกไป
จาก "อนันตจักรวาล" ไม่ได้

2.จะนำพา "จิตวิญญาณ" ของตน
หลงทางนิพพานกลับบ้านเกิดไม่ถูก
จะพากันไปหลุดลอยค้างอยู่ในที่ว่าง
ของสนามพลังงานในอนันตจักรวาล
จะไปต่อก็ไม่ได้เพราะเป็นทางตัน
ครั้นจะลอยหล่นลงมาอีกก็ไม่ได้
เพราะโลกมนุษย์ไม่ยอมรับอีกแล้ว
เนื่องจากขาดคุณสมบัติแห่งการเป็นมนุษย์

3.จะนำพา "จิตวิญญาณ" ของตน
ล้มเหลวในภารกิจที่ขันอาสาพระบิดาฯมา
ด้วยการละทิ้งหน้าที่ใน พันธะสัญญา 6
ที่จะต้องทำให้สำเร็จในบทบาทของมนุษย์

แต่จะพากันหนีไปจากการเป็นมนุษย์
เพราะขลาดเขลาต่อการเกิดเป็นมนุษย์
ด้วยการมุ่งมั่นที่จะไปเกิดเป็นเทพเทวดา
ล่องลอยค้างเติ่งอยู่ในสวรรค์มายาแทน
ทั้งๆที่ดินแดนนั้นเป็นดินแดนที่ไม่จริง
เพราะพระบิดาฯมิได้ทรงสร้างภพภูมินี้ไว้

ดังนั้น
พระโอวาทจากพระเจ้า
ที่ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณมนุษย์
ซึ่งเรานำมากล่าวต่อท่านทั้งหลาย
ในพระนามของพระองค์ในทุกๆที่
จึงเป็นสัจธรรมใหม่ที่ไม่มีผู้ใดกล่าวถึงมาก่อน

จนยังผลให้พวกท่านเป็นจำนวนมากมาย
พากันแตกตื่นกับสัจธรรมใหม่ที่เรากล่าว
พากันก้าวล่วงเราผู้กล่าวตามพระเจ้าว่า "เพี้ยน"
จนก้าวล่วงเราผู้สื่อพระวจนะว่า "เพ้อเจ้อ"

เพราะได้แต่ใช้ความรู้เดิมที่ตนมีอยู่น้อยนิด
มาตัดสินความรู้ใหม่กับเราผู้กล่าวคนใหม่
ที่ตนไม่เคยได้ฟังไม่เคยได้รู้ไม่เคยรู้ว่าไม่รู้
จนพากันสอบตกบทเรียนเรื่อง กาลามสูตร
อย่างไม่เป็นท่าให้ได้เห็น

อีกทั้งอนุตรธรรมจากพระบิดาฯ
ยังเป็นสัจธรรมที่เข้าใจยากอีกด้วย
โดยเฉพาะผู้ที่ยังขาดพลังอำนาจทางปัญญา
ที่พึงได้จากการคิดด้วยสมองซีกขวานำซีกซ้าย
และผู้ขาดทักษะความสามารถในการ คิดตาม
ขณะรับฟังเรากล่าวพระโอวาทอีกด้วย

เมื่อความจริงสำหรับมนุษย์โลกมันเป็นดั่งนี้
ขณะที่เวลาโลกสำหรับพวกท่าน
ก่อนถึงวันที่โลกเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
ซึ่งกำลังนับถอยหลังอยู่นี้เหลือน้อยเต็มทีแล้ว

ถ้ามนุษย์โลกทุกชาติทุกศาสนา
ยังไม่หันมาใส่ใจรับรู้รับฟัง "อนุตรธรรม"
ที่ไม่มีพระศาสดาองค์ใดเคยกล่าวมาก่อน
ยังปฏิเสธยังต่อต้านพระโอวาทที่เรากล่าวอยู่
ยังปฏิเสธทั้งๆที่ตนเองก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ
พวกท่านก็จะพาจิตวิญญาณหลงทางอยู่ต่อไป

ท่านจะทำให้จิตวิญญาณของท่านต้อง "ตาย"
โดยต้องตายด้วยการถูกฝังอยู่ในแกนโลกก็มี
ตายเพราะถูกระเบิดจนแตกสลายก็มาก
ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นและน่ากลัวยิ่งนัก

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
จงหันหน้ามารับฟังพระโอวาทกันเถิด

พระโอวาทของพระบิดาเปรียบดั่งดอกไม้
แม้สีสันอาจจะไม่สวยไม่เตะตาต้องใจท่าน
แต่ดอกไม้ดอกนี้อาจมีกลิ่นหอมที่ท่านชอบ
ท่านจึงสมควรดมกลิ่นดอกไม้นี้ก่อนมิใช่หรือ
ถ้าเป็นกลิ่นที่ท่านไม่ชอบเมื่อได้ดมแล้ว
ท่านจะละวางแล้วเดินจากไปในตอนนั้น
มันก็มิได้ทำให้ท่านโง่มากขึ้นแต่อย่างใด
ใช่หรือไม่ล่ะท่านทั้งหลาย

ส่วนที่ท่านปรารถนาจะรับฟังพระโอวาท
ตามที่เราประกาศ "อนุตรธรรม" แต่ไม่ยอมฟัง
เพราะยึดติดกับความคิดเข้าใจว่า
เป็นบทเรียนเป็นความรู้ที่ฟังยากเข้าใจยาก
ฟังแล้วน่าเบื่อหน่ายน่าหลับไหลมากกว่า

เราใคร่จะถามพวกท่านว่า
ทำไมพวกท่านจึงคิดในใจกันอย่างนี้ล่ะ

ลองหันหน้ามาฟังเรากล่าวกันก่อนสิ
เพราะเราสามารถอธิบายเรื่องยากๆ
ให้พวกท่านเข้าใจและเข้าถึงสัจธรรมนั้นได้
ภายในเวลาไม่เกิน 3 นาทีเท่านั้นเอง

เรารู้ดีว่าประชากรโลกของพระองค์ยุคนี้
ขาดความสามารถในการใช้สมองขบคิด
เนื่องจากติดค่านิยมการเป็น "คนเก่ง"
มากกว่าที่จะเป็น "คนฉลาด" นั่นแหละ
เราจึงพยายามทำเรื่องยากๆให้เป็นเรื่องง่าย
เพื่อให้โลกรู้ว่า "เรา" อภัยบาปให้พวกท่านได้
ให้รู้ว่าเราพาจิตวิญญาณท่านกลับบ้านได้แน่

ในอดีตกาลนับพันๆปีที่ผ่านมา
เราจึงได้กล่าวต่อท่านทั้งหลายเอาไว้ว่า

(มาระโก 2:8-11)
การที่จะพูดกับคนง่อยว่า...
(คนง่อย คือ คนที่ด้อยปัญญา)
"บาปต่างๆของท่านได้รับการอภัยแล้ว"

กับการพูดว่า...
"จงลุกขึ้นยกแคร่เดินไปเถิด"
แบบไหนฟังแล้วเข้าใจง่ายกว่ากันล่ะ

ทั้งนี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่า
บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลก
ที่จะอภัยบาปให้ท่านทั้งหลายได้จริง

พี่ๆน้องๆทั้งหลาย
เราจะช่วยทำเรื่องเข้าใจยาก
ให้ท่านทั้งหลายเข้าใจได้ง่ายขึ้น

เราจะช่วยท่านให้สำนึกรู้ในบาปบุญคุณโทษ
ระลึกรู้ถึงพระบิดาของท่านเยี่ยงลูกกตัญญู
สำนึกรู้หน้าที่ในสองมิติของท่าน
สำนึกรู้สัจจะในพันธะสัญญา 6 ประการ
สำนึกรู้ที่จะพาจิตวิญญาณกลับบ้านในชาตินี้
เราจะนำทางพวกท่านเอง

จงลุกขึ้นยกแคร่แล้วกลับบ้านของท่าน

ท่านจงละวางทุกสิ่งบนโลก
แล้วนำจิตวิญญาณของท่านนิพพาน
ด้วยการก้าวตามเรามาเถิด
อย่าลังเลเหลวไหลให้เสียเวลาอยู่อีกเลย

กราบพระบาทพระบิดาฯ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19/12/2020