24 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 24/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ถ้าคุณยอมรับและเข้าใจแล้วว่า

จิตวิญญาณคุณขันอาสาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็น “คนสองมิติ” อยู่ในระบบโลก

ภายในเอกภพที่เป็นเสมือนห้องทดลองของพระองค์

เพื่อจะคนตนเองในสองมิติให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้

เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้วจึงจะเรียกว่า #มนุษย์

 

คำว่า #เป็นหนึ่งเดียวกันในสองมิติ ในที่นี้หมายถึง

จิตหยาบจะต้องสามารถสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกัน

กับจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของตนเองได้

โดยการเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันดังกล่าวนี้

มันคือสิ่งที่เราเรียกว่า “คน” ให้เข้ากันนั่นเอง

 

วิธีการยกระดับแรงสั่นสะเทือน

ระหว่างจิตหยาบกับจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

ก็คือทุกวันเวลาในยามตื่นตั้งแต่คุณอายุได้สามขวบ

คุณต้องเรียนรู้ที่จะรักตัวเองรักพ่อแม่รักทุกคนทุกสิ่ง

ด้วยความรักที่ซื่อใสบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสแอบแฝงให้ได้

ในทุกเงื่อนไขที่เป็นสิ่งเร้าทั้งภายนอกภายในตนเอง

 

สิ่งเร้าต่างๆจากภายนอก

อาจถูกส่งผ่านเข้ามาทางตาหูจมูกลิ้นและกายสัมผัส

ซึ่งตัวคุณสับเปลี่ยน “หมุนเวียน” ใช้มันเพื่อรับข้อมูล

แล้วส่งรหัสข้อมูลจากอายตนะภายนอกทั้งห้านั้น

เข้าไปยัง “จิตหยาบ” ที่อยู่ข้างในให้รับรู้กันอีกทีหนึ่ง

 

สิ่งเร้าภายในก็คือสิ่งที่จิตหยาบนึกออกนึกเอานึกเอง

เมื่อนึกแล้วก็ปลุกเร้าตนเองให้เกิดการรับรู้สิ่งนั้นขึ้น

 

จิตหยาบของคุณ

เมื่อถูกปลุกเร้าจากการรับรู้สิ่งเร้านั้นไม่ว่าแบบไหน

มันจะสั่นสะเทือนขึ้นเพื่อ #การรับเอา สิ่งนั้นเสมอ

แต่การรับเอาที่ถูกต้องเหมาะสมดีงามสมควรทำก็คือ

คุณต้องรับเอาสิ่งเร้านั้นมาเพื่อ #การเรียนรู้ เท่านั้น

โดยต้องเรียนรู้ด้วยวัตถุประสงค์ 3 อย่าง คือ

 

1.เรียนรู้ว่ามันคืออะไร เป็นอะไร อย่างไรและทำไม

2.เรียนรู้แล้วคุณต้องรักมันให้ได้แม้ว่ามันจะไม่น่ารัก

3.เรียนรู้แล้วต้องสงบระงับโดยวางจิตเป็นอุเบกขา

 

คำว่า “อุเบกขา” ในที่นี้เราหมายถึง

คุณต้องไม่ตกเป็นทาสการยั่วยุเมื่อเป็นสิ่งเร้าด้านลบ

โดยคุณต้องไม่มีคำว่าไม่ชอบไม่มีคำว่าไม่พึงพอใจ

หรือไม่ตกเป็นทาสการเย้ายวนเมื่อเป็นสิ่งเร้าด้านบวก

โดยคุณต้องไม่มีคำว่าชอบหรือคำว่าพึงพอใจเด็ดขาด

 

เพราะการชอบหรือไม่ชอบ

การพอใจหรือไม่พอใจ

ที่เกิดขึ้นมาภายในจิตหยาบของคุณนั้น

มันคือสิ่งที่เรียกว่า #ความรู้สึก ซึ่งเป็นกิเลสมาร

ที่จะทำให้จิตหยาบของคุณสั่นสะเทือนผิดจากปกติ

โดยแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบจะตกต่ำลงทันที

ซึ่งพวกคุณเรียกกันว่าเกิดอาการ “จิตตก” นั่นแหละ

 

อาการจิตตกชั่วคราวนี้

มันคือสภาวะจิตที่สั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำ

ขณะที่ในยามปกติถ้าคุณไม่มีสิ่งเร้ามายั่วยุเย้ายวน

สภาวะจิตของคุณจะสั่นสะเทือนอยู่ในย่านความถี่สูง

จิตหยาบที่สั่นสะเทือนในย่านความถี่สูงก็คือจิตสงบ

ไม่ต่างจากเส้นลวดราวตากผ้าที่ขึงเอาไว้จนตึงนั้น

สองตาเปล่าของคุณอาจจะมองเห็นว่ามันนิ่งสงบสงัด

แต่โมเลกุลเส้นลวดนั้นมันกำลังสั่นด้วยความถี่สูงอยู่

 

หรือถ้าคุณดีดลวดเส้นนั้นแรงๆ

มันจะสั่นสะเทือนขึ้นๆลงๆด้วยความถี่สูงได้

แรกๆที่ทำให้มันสั่นสะเทือนคุณจะมองเห็นว่ามันสั่น

แต่ในที่สุดสองตาของคุณจะเห็นว่าสั่นเป็นเส้นตรง

เพราะมันกำลังสั่นสะเทือนสูงสุดจนเหมือนว่าไม่สั่น

 

สภาวะของจิตหยาบก็เช่นเดียวกันกับลวดราวตากผ้า

ยามใดที่จิตหยาบของคุณอยู่ในความสงบระงับนั้น

จิตก็กำลังสั่นสะเทือนในย่านความถี่สูงถึงสูงสุดอยู่

ถ้าสงบมากก็สูงสุดถ้าสงบน้อยก็ไม่ค่อยสูงเท่าใดนัก

 

คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่านิสัยเคยตัวหรือสันดานที่ไม่ดีนั้น

เมื่อรับรู้สิ่งใดแล้วจะหยิบสิ่งนั้นมาเป็นเงื่อนไขเสมอ

ตรงนี้เองที่ทำให้มีการ “หมุนกรรมจักร” ขึ้นมาทันที

เช่นถ้าเกิดความรู้สึกไม่พอใจมากก็จะโกรธมาก

หากรู้สึกไม่พอใจมากจนสุดขีดก็จะโกรธแค้นอาฆาต

 

ถ้าเป็นแค่โกรธก็เป็นการหมุนกรรมจักรในตนเอง

ที่ทำให้จิตหยาบยกระดับแรงสั่นสะเทือนสูงขึ้นไม่ได้

กับก่อให้เกิดบุรพกรรมหรือวิบากกรรมขึ้นมาด้วย

เพราะสอบตกบททดสอบจิตสามนึกแห่งรักรายวัน

ที่คนรอบข้างคนนั้นช่วยหยิบยื่นมาให้

 

แต่ถ้าถึงขั้นโกรธแค้นอาฆาตรุนแรงกว่าปกติ

นอกจากใครคนนั้นจะหมุนกรรมจักรในตนเองขึ้นมา

จนก่อวิบากกรรมเพราะสอบตกบททดสอบแล้ว

ยังจะทำให้เกิด #ชะตากรรม ที่เป็น “กรรมสัมพันธ์”

กับคู่กรณีคนนั้นๆผู้สร้างเงื่อนไขให้อีกต่างหากด้วย

 

คุณเห็นหรือยังว่า...

ถ้าต้องเป็นสัตว์สังคมโดยมีผู้คนรอบข้างมากมาย

ถ้ารักจะเป็นคนชอบธรรมด้วยการเลียนแบบนักบวช

คุณก็จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ไม่ได้อย่างแน่นอน

เพราะการเรียนรู้ที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และสมดุล

ด้วยบทเรียนต่างๆที่จิตวิญญาณของคุณถือติดตัวมา

จากการสอบผ่านบททดสอบรายวันในแต่ละบท

ทั้งยากและง่ายถูกคุณหลีกเลี่ยงเบี่ยงหนีไปหมด

จากการปลีกวิเวกและแกล้งทำเป็นอายตนะพิการ

จนไม่อาจปลดการเกี่ยวกรรมกับคู่เวรคู่กรรมได้เลย

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

24/04/2567




สวัสดีวันพุธ 24/04/2024


 

20 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 20/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

พวกคุณทุกคนที่มีจิตวิญญาณเป็นตัวตนแก่นแท้

โดยมีจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ทำหน้าที่แทน

ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมขณะมีชีวิตนั้น

จักต้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับดาวเคราะห์โลกดวงนี้

ทั้งมิติทางพลังงานด้านแก่นแท้และมิติแห่งเนื้อหนัง

โดยจะขาดจิตสำนึกรัก “โลก” กันไม่ได้

 

คำว่า “โลก” ในที่นี้เราหมายถึงดาวโลกทั้งดวง

รวมทั้งทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ภายในระบบโลก

ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติจำพวกหินดินทราย

น้ำแร่ธาตุต่างๆและสัตว์ทั้งหลายก็เรียกว่าโลกทั้งสิ้น

 

การเป็นหนึ่งเดียวกันในมิติแห่งเนื้อหนัง

ซึ่งเป็นมิติทางกายภาพของคุณกับโลกนั้นไม่มีปัญหา

เนื่องจากว่าดาวเคราะห์โลกดวงนี้ช่วยคุณอยู่แล้ว

ด้วยการนำพาคุณเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง

จึงทำให้พวกคุณและทุกสรรพสิ่งภายในระบบโลก

ที่เปรียบคล้ายดั่งเห็บเหาที่เกาะติดอยู่บนพื้นผิวโลก

เหวี่ยงหมุนไปด้วยกันจนกลายเป็นหนึ่งเนื้อเดียวกัน

 

ถ้าคุณสามารถออกไปยืนมองโลกอยู่ในอวกาศได้

คุณจะพบว่าโลกกำลังเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่

โดยที่ไม่อาจรู้เห็นว่าบ้านคุณหรือบ้านใครอยู่ตรงไหน

ตัวตนของคุณหรือของใครกำลังยืนอยู่ตรงพิกัดใด

เพราะคุณจะเหวี่ยงหมุนไปด้วยกันกับโลกตลอดเวลา

เนื่องจากโลกจะออกแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งคุณเอาไว้

ในมิติทางพลังงานที่สองตาของคุณมองไม่เห็นด้วย

 

ดังนั้น

ในมิติโลกทางกายภาพสำหรับพวกคุณจึงไม่มีปัญหา

ในมิติทางพลังงานจากการที่โลกหมุนรอบตัวเอง

จึงทำให้เกิดแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งคุณและทุกสรรพสิ่งไว้

ไม่ให้กระเด็นกระดอนกระจายออกไปจากระบบแล้ว

คุณจำคำกล่าวที่ว่า “ตบมือข้างเดียวดังไม่ได้” ได้ไหม

แสดงว่าจะให้โลกดึงดูดเหนี่ยวรั้งคุณฝ่ายเดียวมิได้

ตัวพวกคุณแต่ละคนจะต้องออกแรงเหนี่ยวรั้งโลกด้วย

การเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคุณกับโลกจึงจะเป็นผล

 

แปลว่าจะต้องตบมือสองข้างเท่านั้นจึงจะดังได้

คุณกับโลกต่างฝ่ายจึงต้อง “รักกัน” ด้วย

การเป็นหนึ่งเดียวกันจึงจะเกิดผลตามต้องการ

ในเมื่อโลกออกแรงรักพวกคุณก่อนแล้วดังกล่าว

ก็เหลือแต่พวกคุณเท่านั้นเองที่จะต้องรักโลกบ้าง

จะปล่อยให้โลกต้องรักคุณอยู่ข้างเดียวไม่ได้แน่

ปัญหาจึงมีอยู่ว่าคุณจะรักโลกกันอย่างไรได้บ้างล่ะ

นี่คือหน้าที่ของพวกคุณทุกคนจะต้องคิดและทำ

เพราะพระเจ้าประทานจิตปัญญาให้คุณใช้มันอยู่แล้ว

 

ถ้าคุณรักโลกและทุกสรรพสิ่งอย่างแท้จริง

คุณต้องปฏิบัติตนขณะมีชีวิตอยู่ดังต่อไปนี้

 

1.มีสำนึกขอบคุณโลกที่ให้คุณได้ใช้เป็นที่เหยียบยืน

ได้มีที่อยู่ที่กินมีสถานที่ปฏิบัติภารกิจของจิตวิญญาณ

อย่างผาสุกและสงบเย็นเป็นอาจิณ

 

ไม่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกแบบต่างคนต่างอยู่

โดยไม่สำนึกถึงบุญคุณของโลกของตนบ้างเลย

เพราะการสำนึกถึงบุญคุณคือการกตัญญูรู้คุณโลก

แทนที่จะเป็นผู้เอาจากโลกอยู่ฝ่ายเดียว

แต่ต้องรู้จักให้โลกรู้จักตอบแทนโลกกันบ้าง

อันหมายถึงเมื่อมีการกตัญญูแล้วต้องมีกตเวทีด้วย

 

2.ต้องไม่ทำร้ายโลกด้วยการทำลายระบบโลก

เพราะระบบโลกก็คือ “ระบบของตัวคุณเอง”

ถ้าคุณทำลายระบบโลกจึงเป็นการทำลายตัวเองด้วย

เช่น การระเบิดภูเขาเพื่อเอาหินไปใช้ก่อสร้าง

มันคือการขนย้ายภูเขาทั้งลูกไปไว้ที่ตรงพิกัดอื่น

มันคือการทำให้ระบบโลกเสียสมดุลนั่นเอง

 

ภูเขาแต่ละลูกเทือกเขาแต่ละแนว

ไม่ต่างจากแท่งตะกั่วชิ้นเล็กๆน้ำหนักไม่กี่กรัม

ที่ช่างถ่วงล้อรถยนต์เขาใช้งานกันนั่นแหละ

แม้แต่ละชิ้นเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำหนักล้อรถแล้ว

มันเบากว่าหลายเท่าจึงไม่ต่างกับตะกั่วถ่วงล้อ

แต่ถ้าคุณติดตั้งตะกั่วผิดตำแหน่งหรือว่าย้ายที่ไป

ล้อรถนั้นก็จะเสียศูนย์หรือเสียสมดุลไปทันที

ช่างติดตั้งตะกั่วไว้ตรงไหนคุณจะย้ายไปที่อื่นมิได้

 

ภูเขาทุกลูกและเทือกเขาทุกแห่งที่อยู่บนโลก

พระบิดาทรงสร้างขึ้นไว้อย่างถูกที่ถูกตำแหน่ง

โดยมีน้ำหนักมวลที่ทรงคำนวณไว้เหมาะสมดีแล้ว

ขณะที่โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองไปเรื่อย ๆนั้น

ก็ไม่ต่างจากล้อรถยนต์ที่กำลังหมุนขณะแล่นไป

ทั้งตำแหน่งและขนาดแท่งตะกั่วที่ถูกต้องเหมาะสม

ทำให้ล้อรถยนต์ไม่แกว่งส่ายขณะรถวิ่งไปได้ฉันใด

ภูเขาทุกลูกก็ทำให้โลกไม่แกว่งส่ายได้ฉันนั้น

 

พวกคุณจึงต้องไม่ทำลายภูเขาของพระองค์

ไม่เช่นนั้นแล้วโลกจะหมุนไปเสียสมดุลไป

พวกคุณจะเกิดอาการเวียนศีรษะอยู่ไม่เป็นสุขเลย

เพราะจะเกิดอาการเหมือนคนขี้เมานั่นแหละ

จะมีอาการแกว่งส่ายคล้ายลูกข่างที่กำลังจะล้ม

ภูมิอากาศรอบโลกจะวิปริตแปรปรวนไปหมดเลย

 

3.ต้องไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ฆ่ากันเองและไม่โค่น

เพราะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก

คุณโค่นต้นไม้ทิ้งไปต้นหนึ่งฆ่าสัตว์ตายไปตัวหนึ่ง

เท่ากับว่าคุณได้ทำลายเครื่องยนต์แห่งกรรม

ซึ่งมีหน้าที่ผลิตพลังงานไฟฟ้าป้อนให้แกนโลก

เพื่อช่วยให้โลกใช้ในการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองไป

 

หนึ่งคน หนึ่งต้น หนึ่งตัว

ที่ถูกทำลายทิ้งไปก็เท่ากับว่า

เครื่องยนต์ผลิตไฟฟ้าถูกทำลายไปเครื่องหนึ่ง

พระพุทธองค์จึงทรงกำหนดไว้เป็นศีลข้อแรกคือ

#ห้ามฆ่าสัตว์ตัดโค่นต้นไม้ใหญ่ทำลายชีวิต

เพื่อป้องกันมิให้พวกคุณทำลายระบบโลก

จนเกิดการเสียสมดุลจนพวกคุณอยู่บนโลกนี้ไม่ได้

เพราะต้องทำสงครามกับภัยพิบัติที่คุณไม่มีวันชนะ

ถ้าโลกเกิดอาการเสียสมดุลจนถึงขั้นรุนแรง

 

4.พวกคุณต้องรักโลกด้วยการรักกันเอง

นอกจากจะไม่ฆ่ากันตายไม่ฆ่าสัตว์ไม่ตัดโค่นป่าแล้ว

คุณยังต้องรักกันรักสัตว์และรักป่าของพระบิดาด้วย

เพื่อใช้พลังงานความรักจากจิตสามนึกด้านบวก

สั่นสะเทือนขันธ์ห้าผลิตพลังงานจิตป้อนให้แกนโลก

ในบทบาทของ “เพื่อนร่วมงานกับโลก” อีกต่างหาก

 

อย่าเป็นคนทำตนหนักแผ่นดินหรือเสียชาติเกิด

ด้วยการเกิดมาชาตินี้มีแต่ “ขี้เอา” อยู่อย่างเดียว

โดยไม่ยอมรักกันเพื่อการรักโลกแต่อย่างใดเลย

ใช้ชีวิตในแบบต่างคนต่างอยู่ต่างกูต่างหากิน

ไม่มีจิตสามนึกรักกันพึ่งพาอาศัยอะไรกันไม่ได้

มีความเห็นแก่ประโยชน์สุขส่วนตัวเป็นสำคัญ

มีการถือดีถือตัวถือตนเป็นใหญ่ไม่แคร์ใครทั้งนั้น

 

ความสมานฉันท์กันอย่างแท้จริงเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง

จะเข้าถึงกันได้แค่ระดับ “ความสามัคคี” เท่านั้น

ความสามัคคีกันในหมู่พวกคุณนั้น

มันเกิดจากความสมานฉันท์กันแค่ชั่วคราว

พลังอำนาจที่เกิดจากความสามัคคีจึงไม่จีรังยั่งยืน

เพราะพวกคุณเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันได้

โดยเอาประโยชน์เป็นตัวตั้งเท่านั้น

เมื่อหมดงานหมดภารกิจก็หมดผลประโยชน์

พวกคุณก็จะแยกย้ายจากกันไปกลุ่มก็สลายตัวไป

 

แต่ถ้าเป็นความสมานฉันท์ที่แท้จริง

มันจะต่างจากความสามัคคีตรงที่ว่า

พวกคุณจะต้องเอาความสุขและความพึงพอใจ

ในการอยู่ร่วมกันหรือการทำงานร่วมกันเป็นที่ตั้ง

ไม่ว่าในขณะที่ร่วมงานกันอยู่หรืองานนั้นเสร็จแล้ว

พวกคุณก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกันทางจิตใจอยู่ได้ตลอด

 

พวกคุณจักต้องรู้ว่า

ความรักที่พึงมีต่อดาวเคาะห์โลกดวงนี้นั้น

คุณไม่ต้องนั่งนอนในอาการ “กอด” โลกหรอก

แค่ไม่ทำร้ายไม่ทำลายระบบโลกให้เสียสมดุลก็พอ

ที่สำคัญคือต้องรักโลกผ่านคนรอบข้างและทุกสิ่ง

เพื่อทำให้สมการพลังงานทางช้างเผือกศักดิ์สิทธิ์

ด้วยการหมุนธรรมจักรร่วมกันกับทุกคนทุกสิ่งให้ได้

โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าจะเป็นคนสัตว์หรือต้นไม้

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

20/04/2567




สวัสดีวันเสาร์ 20/04/2024


 

19 เมษายน 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 19/04/2024

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ถ้าจิตสำนึก (มิใช่สามนึก) ของโลกตกต่ำ

นอกจากระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก

รวมทั้งพลังอำนาจแม่เหล็กโลก

จะเสียสมดุลจนก่อปัญหาตามที่เรากล่าวมาแล้ว

มันจะยังผลให้ “สนามแม่เหล็ก” ในบรรยากาศโลก

เกิดอาการวิปริตแปรปรวนระดับที่รุนแรงด้วย

 

คุณจะสังเกตท้องฟ้าเหนือเมืองใหญ่ได้เลยว่า

แทบทุกเมืองหรือทุกย่านชุมชนเหนือพิกัดนั้น

มันจะมีเมฆสีคล้ำหรือสีเทาหรือสีดำปกคลุมอยู่เสมอ

แต่ถ้าเป็นบริเวณท้องฟ้าเหนือป่าเขาแล้ว

เมฆบนฟ้าจะลอยสูงๆและเป็นเมฆสีค่อนข้างขาว

จนสามารถเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

 

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า

ผู้คนที่ดำรงอยู่ในชุมชนบริเวณนั้นหรือในย่านนั้น

ใช้กิเลสตัณหาอารมณ์ขยะที่เป็นกองกิเลสมาร

สั่นสะเทือนจิตสามนึกที่ไร้สำนึกคือหมุนกรรมจักรกัน

จนขันธ์ห้าในเครื่องยนต์แห่งกรรมทำการผลิตสร้าง

พลังงานจิตที่เป็นขยะสกปรกเหวี่ยงออกมาภายนอก

ซึ่งเป็นพลังงานในแบบที่โลกไม่ต้องการ

เพราะเป็นพลังงานที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์นั่นแหละ

 

พวกคุณจะต้องรู้ว่า

พลังงานที่ไม่สะอาดมี 4 ชนิดด้วยกัน คือ

 

1.พลังงานจิตที่เกิดจากกองกิเลสที่มิได้ตั้งใจ

2.พลังงานจิตที่เกิดจากการทำบุญแต่แฝงกิเลสไว้

3.พลังงานจิตจากการอุทิศหรือร้องขอสิ่งตอบแทน

เมื่อมีการทำบุญสุนทานสร้างกุศลในทุกครั้งที่ทำ

4.พลังงานจิตที่เป็นผลกรรมจากการก้าวล่วงผู้อื่น

พลังงานที่พวกคุณผลิตสร้างกันขึ้นมา 4 ชนิดนี้

มันจะอยู่ในรูปของคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็ก

ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น #พลังงานกรรม ก็ได้

 

สาเหตุที่ “พลังงานกรรม” เป็น #พลังงานไม่สะอาด

จนโลกและทุกสิ่งในระบบนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้

ก็เพราะว่าพลังงานที่จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ผลิตนั้น

เป็นพลังงานที่มีรหัสของผู้ที่เป็นเจ้าของมันกำกับอยู่

 

ตัวอย่างเช่น

#ทำบุญสุนทานแล้วขอสิ่งแลกเปลี่ยนตอบแทน

#ทำบุญสุนทานแล้วจดจำจำนวนมากน้อยนั้นไว้

#ทำบุญสุนทานเพราะถูกจูงใจหรือถูกสั่งให้ทำ

#ทำบุญสุนทานแล้วอุทิศให้กันและกันแบบเจาะจง

#ทำบุญสุนทานแล้วจงใจหว่านทิ้งไปให้ใครก็ได้

คำว่าใครก็ได้คือเจาะจงว่าผลบุญนั้นมีเจ้าของแล้ว

 

ดังนั้น

การกระทำแบบที่ว่านี้แหละ

พลังงานดีๆที่พวกคุณผลิตมาทั้ง 5 แบบดังกล่าวนี้

มันจึงเป็น “พลังงานขยะ” ในแบบที่โลกไม่ต้องการ

เพราะนอกจากเจ้าของมันแล้วคนอื่นเอาไปใช้ไม่ได้

ไม่ต่างจากกรณีที่คุณทำบุญอุทิศให้แก่คนที่ตายแล้ว

กุศลผลบุญในมิติทางพลังงานนั้นมันจะไปกองรออยู่

ซึ่งอาจจะกองอยู่ที่แดนนรกถ้าผู้รับกำลังอยู่ในนรก

ยังไม่ว่างหรือไม่มีอิสระที่จะรับเอากุศลผลบุญนั้นได้

จิตวิญญาณรูปธรรมอื่นไม่มีสิทธิ์รับเอาหรือรับแทนได้

 

แต่ถ้าคุณระบุว่า

ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนั้นให้แก่เจ้ากรรมนายเวร

ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนั้นให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย

ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนั้นให้แก่พ่อแม่ครูอาจารย์

ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนั้นให้แก่ผู้มีพระคุณทั้งปวง

โดยผู้ที่คุณอุทิศให้เหล่านั้นถ้าเขายังมีชีวิตอยู่บนโลก

พวกเขาจะรับได้ก็ต้องรอให้เขาตายเสียก่อน

พลังงานด้านดีหรือด้านบวกที่พวกคุณผลิตกันขึ้นมานั้น

มันจะลอยเป็นขยะอยู่ในบรรยากาศของโลกนี่แหละ

เพื่อรอคอยเจ้าของมันมาจัดการชำระหรือรับเอาไป

เมื่อพลังงานขยะที่เป็นผลกรรมซึ่งมีมวลขนาดใหญ่นี้

รวมตัวกันกับความชื้นอยู่บนโครงข่ายแม่เหล็กโลก

ภาพมายาที่คุณเห็นจะเป็น “ก้อนเมฆ” สีต่างๆกันไป

 

เมฆที่ดีที่เปี่ยมล้นด้วยความรักจะมีสีทองอร่าม

เมฆที่ดีที่เกิดจากรักเพื่อเอาจะมีสีเทาและขาวขุ่น

เมฆที่ไม่ดีที่เกิดจากอารมณ์ขยะของคุณมันจะมีสีดำ

 

เมฆที่ดีๆจะลอยอยู่ในระดับสูง

เมฆที่ไม่ดีจะลอยอยู่ในระดับต่ำ

 

ถ้าปล่อยให้มันลอยค้างอยู่บนฟ้า

นานวันเข้าคุณลองคิดดูกันเอาเองก็ได้ว่า

อย่าดึงฟ้าต่ำตามที่โบราณว่าไว้หมายความว่าอะไร

เพราะเหตุนี้เองพระบิดาจึงกำหนดให้มันจับกลุ่มกัน

โดยมีไอน้ำหรือความชื้นในอากาศเป็นตัวช่วย

เมื่อสะสมกันอย่างหนาแน่นจนเป็นมวลที่หนักมาก

ก็จะทำการควบแน่นแล้วตกลงมาพร้อมกับน้ำฝน

เพื่อนำเอาขยะประจุลบทั้งหมดไปเก็บไว้ในแกนโลก

 

แต่เนื่องจากพลังงานเหล่านี้

มีประจุไฟฟ้าลบเป็นคุณสมบัติอยู่มากกว่าบวก

ก่อนที่จะตกลงมาพร้อมกับสายฝนนั้น

คุณจะเห็นพายุแม่เหล็กเกิดขึ้นในก้อนเมฆเสมอ

เพราะประจุลบจะแย่งกันวิ่งเข้าหาประจุบวก

จนเกิดสายฟ้าแลบแปลบปลาบๆอยู่ในก้อนเมฆ

บางครั้งก็มีเสียงฟ้าคำรามฮึ่มฮ่ำๆสลับกันไปด้วย

 

เพื่อเตือนสติพวกคุณให้ลดผลิตพลังงานสกปรก

ช่างเท็คนิกผู้คอยดูแลทำความสะอาดฟ้าพระบิดา

จึงนำเอามวลเมฆสกปรกมาสร้างเป็นมายาแปลกๆ

ให้เห็นเป็นเมฆรูปท่อที่ยาวจนข้ามขอบฟ้าบ้าง

ให้เห็นเป็นเมฆมายารูปใบหน้าคนก็มีหน้ายักษ์ก็มี

บางทีเป็นรูปนกฟีนิกซ์บางที่ก็เป็นรูปของพระคริสต์

เพื่อให้พวกคุณแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้ากันบ้าง

โดยใช้มวลเมฆสกปรกสร้างภาพมายาจูงใจให้มอง

ซึ่งต้องการให้เห็นแล้วฉุกคิดว่าฟ้าสกปรกมากแล้ว

เลิกก่อกรรมทำชั่วเลิกมั่วกรรมจักรกันได้แล้ว

 

พวกคุณจะต้องรู้ด้วยว่า

เมื่อใดก็ตามที่โลกเสียสมดุลเพราะขาดพลังงานจิต

ที่มนุษย์ผลิตให้กับโลกได้ไม่พอเพียงกับที่ต้องการ

มันจะมีปรากฏการณ์ #แผ่นดินไหว เกิดขึ้นถี่ๆบ่อยๆ

ถ้าเป็นแผ่นดินไหวที่มีความรุนแรงไม่เกินระดับสาม

นั่นคือมายาที่ชี้วัดว่าแผ่นเปลือกโลกทรุดตัวชั่วขณะ

เนื่องจากการระเบิดของแกนแม่เหล็กโลกลดน้อยลง

/ทำให้แรงดันเพื่อยกแผ่นเปลือกโลกไว้เสียสมดุลไป

จึงเกิดอาการแผ่นดินไหวที่ไม่รุนแรงขึ้นเสมอ

 

กรณีที่พวกคุณชาวโลกยังเหลวไหลกันอยู่อีก

คือไม่สามารถใช้ความรักค้ำจุนสมดุลโลกได้อีกแล้ว

พระสุริยะเทพก็จะส่งคลื่นพลังงานมาจากดวงอาทิตย์

ด้วยการระเบิดที่พื้นผิวจนเกิดเป็นจุดดำ (ไม่ใช่จุดดับ)

แล้วส่งคลื่นพลังงานความรักเข้ามากระทำต่อแกนโลก

เพื่อช่วยเติมเต็มพลังงานในส่วนที่มนุษย์ขาดพร่อง

โลกก็จะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงระดับสี่ขึ้นไปทุกครั้ง

เพราะไหวทีไรจะทำให้โลกมีแรงเหวี่ยงหมุนมากขึ้น

แรงเหวี่ยงหมุนที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดจากการฉุดกระชาก

จากการบิดตัวของธาตออกซิเจนที่แกนโลกนั่นเอง

 

ช่างเท็คนิกผู้เชี่ยวชาญด้านอำนาจแม่เหล็กโลก

ที่คอยกำกับดูแลปฏิบัติการในแกนโลกดังกล่าวนี้

เป็นรูปธรรมที่เดินทางมาจากกลุ่มดาวแซจิตตาริอุส

พวกเขาคือชาว #แซจิตตาเรี่ยน นั่นเอง

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

19/04/2567