21 มกราคม 2561

กล่องพลังงานชีวิต



#ตอบคำถาม:
สมกิจ รวยเต็มหัตถ์ 

#Question:
กราบขอบพระคุณที่นำคลิปมาให้ดูครับ 
ที่แปลกคือเป็นกล่องพลังงานชีวิตที่มองเห็นได้

น่าคิดต่อว่าแล้วเขามาแสดงตัว
ให้เรามองเห็นเพราะอะไร 
และมันคือกล่องพลังงานชีวิต
แบบไหนกันแน่ครับท่านอาจารย์ 

แล้วกล่องพลังงานชีวิตชนิดนี้ 
แตกต่างกับกล่องพลังงานนอกเอกภพ 
ยังไงบ้างครับ.

#Answer:
1.กล่องพลังงานชีวิต
เป็นกล่องพลังงานที่มีความสมดุลในตนเอง
อันเกิดจากสรรพสิ่งในมิติทางกายภาพ
ที่มีคลื่นพลังงานหลายๆย่านความถี่
ซึ่งเป็นคุณสมบัติทางพลังงานเฉพาะตัว
ของสรรพสิ่งนั้นๆลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่

2.ที่สามารถเป็นกล่องพลังงานชีวิตได้
เพราะว่าภายในจุดศูนย์กลาง
ของรูปธรรมทางพลังงานที่เห็นนี้
เป็นคลื่นพลังงานชีวิตของดวงจิตธรรมญาณ
ซึ่งเป็นนิวเคลียสของกล่องพลังงาน

โดยจะทำหน้าที่
ควบคุม "กล่องพลังงาน" นี้
ให้เป็นกล่องพลังงานที่สมดุลอยู่ตลอดเวลา
และสามารถกำหนดให้กล่องพลังงานนี้
เคลื่อนที่เดินทางแปลงร่างขยายรูปธรรม
เพื่อสร้างมายารูปลักษณ์ใดๆได้ตามต้องการ

3.กล่องพลังงานชีวิตที่ว่านี้
จึงเป็นศูนย์รวมของเส้นแสงและคลื่นพลังงาน
อันเกิดจากการย้ายมิติของสรรพสิ่งทางกายภาพ
ไปสู่มิติทางพลังงานซึ่งเป็นมิติที่สูงกว่า

มิติทางกายภาพก็คือ 
"ยานพาหนะ" ที่ใช้ขับเคลื่อน
รวมทั้งรูปธรรมมีชีวิต
ซึ่งเป็น "ผู้ขับเคลื่อน" ยานพาหนะ
โดยทั้งสองได้เปลี่ยนย้ายไปสู่มิติทางพลังงาน
ในด้านของจิตวิญญาณ

ดังนั้น
กล่องพลังงานชีวิตที่ท่านเห็น
จึงเป็นกลุ่มพลังงาน 2 กลุ่มผสมผสานกัน
ระหว่างรูปธรรมที่มีชีวิตผู้บังคับควบคุมยาน
กับวัสดุที่เป็นตัวยานพาหนะนั้น
ต่างลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่
โดยมีจิตวิญญาณของผู้บังคับยาน
เป็นนิวเคลียสหรือเป็นแก่นแกนของกล่องนี้

4.การเดินทางท่องจักรวาล
ภายในเอกภพอันไพศาลของผู้สูงส่งทั้งหลายนี้
จะเดินทางกันในมิติเหนือกาลเวลาเท่านั้น
เพราะแม้ระยะทางในเอกภพจะห่างไกลกันแค่ไหน
ก็ไม่เป็นอุปสรรคใดๆในเรื่องของเวลา
เนื่องจากเวลาในจักรวาลมีค่าเท่ากับ 1 เสมอ

5.การมาปรากฏมายาให้เห็นบ่อยๆถี่ๆ
ก็เพราะว่ามีเหตุผลสำคัญคือต้องการให้
มนุษย์จำแนกแยกแยะให้ออกว่า
#จานบินหรือยูเอฟโอ กับ #กล่องพลังงานชีวิต
ไม่เหมือนกัน

เพราะทุกวันนี้
สนามแม่เหล็กโลกอ่อนแอมาก
จึงยังผลให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
บุกรุกเข้ามาในระบบเป็นจำนวนมาก
ซึ่งแขกที่ไม่ได้รับเชิญบางเผ่าดาว
ก็พกพาความไม่เป็นมิตรเข้ามาด้วย

6.ถามว่าทำไมจึงต้องแสดงมายาให้เห็น
ทั้งๆที่สามารถเร้นตนเองไว้ในมิติที่สูงกว่าก็ได้
คำตอบคือเพราะต้องการให้ท่านแยกแยะ
สถานภาพจากคุณสมบัติและมายาที่เห็นได้ว่า
ไหนคือมิตร ไหนคือช่างเท็คนิก ไหนไม่ใช่
ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของท่านโดยแท้
จักได้ใช้ความอยากรู้อยากเห็น
ได้อย่างรอบคอบและปลอดภัยมากขึ้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-1-2018

ความแตกต่าง


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าท่านยอมรับว่า
#ความแตกต่างกันทำให้โลกสวยงาม

แล้วทำไมบางท่านยังขัดแย้งกัน
ยังทะเลาะเบาะแว้งกัน
เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่คิดเห็นชอบต่างกันกับตน
ให้มาเหมือนกันกับตน
โดยยึดตนเองเป็นใหญ่ฝ่ายเดียวล่ะ

การยอมรับแต่ปาก
ยอมจำนนต่อทฤษฎีที่สวยหรู
แต่ไม่อาจปฏิบัติในชีวิตจริงตามนั้นได้น่ะ
เขาเรียก "มือถือสากปากถือศีล"

ถ้าท่าน "ยอมรับ" สัจธรรมความจริงเรื่องใด
ท่านจักต้อง "ปรับตัว" ให้สอดคล้อง
กับความจริงที่แตกต่างนั้น
มิใช่การดันทุรังจะปรับสิ่งนั้นเข้าหาตัว
โดยที่ตัวเองมิยอมเปลี่ยนแปลง

พระบิดาทรงเมตตาว่า
การเปลี่ยนแปลงที่ทรงอิทธิพลและได้ผลนั้น
ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ตนเองเท่านั้น
ถ้าท่านยอมที่จะเปลี่ยนที่ตนเองก่อน
โลกหรือคนอื่นๆก็จะเปลี่ยนตามท่านทันที

ในการ #ยอมรับความแตกต่าง ก็เช่นกัน
ถ้าท่านยอมรับจริงแท้แน่นอนแล้ว
ตัวชี้วัดก็คือท่านต้อง #ปรับตัวปรับใจ
เข้าหาคนที่มีบางสิ่งแตกต่างจากท่านด้วย
มิใช่คุยว่ายอมรับแต่ยังยืนยันยึดถือตนเองอยู่
โดยไม่ยอมทำอะไรเลย

เงื่อนไขสำคัญ
ในการยอมรับความแตกต่างกันก็คือ
#การปรับตัวปรับความคิดต้องการเข้าหากัน

ส้มตำจานหนึ่ง
ถ้าจะสามารถปรุงให้อร่อยถูกปากทุกคนได้
ก็จะต้องปรุงรสเผื่อลิ้นของคนอื่นด้วย
ไม่เผ็ดเปรี้ยวหวานเค็มแหลมเกินไปน้อยไป
คนอื่นๆที่ทานรสชาติต่างจากท่าน
เขาก็จะทานร่วมจานกับท่านได้

ศิลปะการปรุงก็คือ #การยอมเปลี่ยนตนเอง
เพื่อความสุขสะดวกสบายของคนอื่นด้วย

การใช้ชีวิตเป็นสัตว์สังคมนั้น
แค่ไม่แคร์คนอื่น แค่เอาแต่ใจตนเอง
ท่านก็ล้มเหลวในการเป็นมนุษย์แล้ว
นอกจากนั้นความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ตามกฎจักรวาลของพระบิดา
ยังถูกท่านทำลายลงอย่างไม่รู้ค่า

สังคมโลกเสรีทุกวันนี้
ที่วุ่นวายไร้ความสุขสงบกันก็เพราะเหตุนี้
แต่ละท่าน #อัตตาสูง เหลือเกินแล้ว

อยากเอาชนะ 
อยากจะมีอำนาจเหนือผู้อื่น
ทั้งๆที่ชนะแล้วจะก่อศัตรูให้ตนเดือดร้อน
มีอำนาจเหนือแล้วก็จะถูกแก้แค้นเอาคืน

บางทีผัวเมียกันเองแท้ๆ
ก็ยังทะเลาะกันเพียงเพื่อฉันต้องชนะเธอ
ทั้งๆที่ชนะกันเองแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร
นอกจากเกิดความแตกแยกบาดหมางกัน

ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานกัน
แต่ยอมรับความคิดเห็นที่ต่างกันไม่ได้
หน่วยงานนั้นทีมนั้นต้องเจ๊งแน่ๆ
หากไม่รู้จักคำว่า #บูรณาการทางความคิด
โดยเอาความเห็นต่างของทุกคน
มาสร้างสิ่งใหม่ที่มันยิ่งใหญ่กว่าเดิมน่ะ

ความคิดของใครคนเดียวนั้น
มันจะยิ่งใหญ่กว่าการหลอมรวม
พลังแห่งการคิดร่วมได้อย่างไรกัน

มิเช่นนั้นหลายหัว
จะดีกว่าหัวเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
(Many heads better than one!)

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-01-2018

กล่องพลังงานชีวิต


#ตอบคำถาม:
สมกิจ รวยเต็มหัตถ์ 

#Question:
กราบขอบพระคุณที่นำคลิปมาให้ดูครับ 
ที่แปลกคือเป็นกล่องพลังงานชีวิตที่มองเห็นได้

น่าคิดต่อว่าแล้วเขามาแสดงตัว
ให้เรามองเห็นเพราะอะไร 
และมันคือกล่องพลังงานชีวิต
แบบไหนกันแน่ครับท่านอาจารย์ 

แล้วกล่องพลังงานชีวิตชนิดนี้ 
แตกต่างกับกล่องพลังงานนอกเอกภพ 
ยังไงบ้างครับ.

#Answer:
1.กล่องพลังงานชีวิต
เป็นกล่องพลังงานที่มีความสมดุลในตนเอง
อันเกิดจากสรรพสิ่งในมิติทางกายภาพ
ที่มีคลื่นพลังงานหลายๆย่านความถี่
ซึ่งเป็นคุณสมบัติทางพลังงานเฉพาะตัว
ของสรรพสิ่งนั้นๆลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่

2.ที่สามารถเป็นกล่องพลังงานชีวิตได้
เพราะว่าภายในจุดศูนย์กลาง
ของรูปธรรมทางพลังงานที่เห็นนี้
เป็นคลื่นพลังงานชีวิตของดวงจิตธรรมญาณ
ซึ่งเป็นนิวเคลียสของกล่องพลังงาน

โดยจะทำหน้าที่
ควบคุม "กล่องพลังงาน" นี้
ให้เป็นกล่องพลังงานที่สมดุลอยู่ตลอดเวลา
และสามารถกำหนดให้กล่องพลังงานนี้
เคลื่อนที่เดินทางแปลงร่างขยายรูปธรรม
เพื่อสร้างมายารูปลักษณ์ใดๆได้ตามต้องการ

3.กล่องพลังงานชีวิตที่ว่านี้
จึงเป็นศูนย์รวมของเส้นแสงและคลื่นพลังงาน
อันเกิดจากการย้ายมิติของสรรพสิ่งทางกายภาพ
ไปสู่มิติทางพลังงานซึ่งเป็นมิติที่สูงกว่า

มิติทางกายภาพก็คือ 
"ยานพาหนะ" ที่ใช้ขับเคลื่อน
รวมทั้งรูปธรรมมีชีวิต
ซึ่งเป็น "ผู้ขับเคลื่อน" ยานพาหนะ
โดยทั้งสองได้เปลี่ยนย้ายไปสู่มิติทางพลังงาน
ในด้านของจิตวิญญาณ

ดังนั้น
กล่องพลังงานชีวิตที่ท่านเห็น
จึงเป็นกลุ่มพลังงาน 2 กลุ่มผสมผสานกัน
ระหว่างรูปธรรมที่มีชีวิตผู้บังคับควบคุมยาน
กับวัสดุที่เป็นตัวยานพาหนะนั้น
ต่างลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่
โดยมีจิตวิญญาณของผู้บังคับยาน
เป็นนิวเคลียสหรือเป็นแก่นแกนของกล่องนี้

4.การเดินทางท่องจักรวาล
ภายในเอกภพอันไพศาลของผู้สูงส่งทั้งหลายนี้
จะเดินทางกันในมิติเหนือกาลเวลาเท่านั้น
เพราะแม้ระยะทางในเอกภพจะห่างไกลกันแค่ไหน
ก็ไม่เป็นอุปสรรคใดๆในเรื่องของเวลา
เนื่องจากเวลาในจักรวาลมีค่าเท่ากับ 1 เสมอ

5.การมาปรากฏมายาให้เห็นบ่อยๆถี่ๆ
ก็เพราะว่ามีเหตุผลสำคัญคือต้องการให้
มนุษย์จำแนกแยกแยะให้ออกว่า
#จานบินหรือยูเอฟโอ กับ #กล่องพลังงานชีวิต
ไม่เหมือนกัน

เพราะทุกวันนี้
สนามแม่เหล็กโลกอ่อนแอมาก
จึงยังผลให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
บุกรุกเข้ามาในระบบเป็นจำนวนมาก
ซึ่งแขกที่ไม่ได้รับเชิญบางเผ่าดาว
ก็พกพาความไม่เป็นมิตรเข้ามาด้วย

6.ถามว่าทำไมจึงต้องแสดงมายาให้เห็น
ทั้งๆที่สามารถเร้นตนเองไว้ในมิติที่สูงกว่าก็ได้
คำตอบคือเพราะต้องการให้ท่านแยกแยะ
สถานภาพจากคุณสมบัติและมายาที่เห็นได้ว่า
ไหนคือมิตร ไหนคือช่างเท็คนิก ไหนไม่ใช่
ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของท่านโดยแท้
จักได้ใช้ความอยากรู้อยากเห็น
ได้อย่างรอบคอบและปลอดภัยมากขึ้น

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
21-1-2018

20 มกราคม 2561

รับรู้-ไม่รับเอา



#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

แดนนิพพาน คือ แดนสุญตา
แดนสุญตาเป็นดินแดนของผู้หลุดพ้น
เป็นดินแดนของผู้อิ่มเอิบอยู่กับความว่าง

ดินแดนแห่งนี้ 
ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่นอกระบบเอกภพทั้งหมด
เป็นดินแดนที่ดวงจิตวิญญาณของท่านจากมา

ดินแดนที่ว่านี้
เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของท่าน
ท่านจึงต้องนำพาแก่นแท้ของท่าน
ย้อนคืนกลับบ้านให้ได้

ด้วยการเร่งชำระจิตใจให้ใสสวย
ด้วยบททดสอบต่างๆนานา
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ด้วยการว่างไปจากบ่วงกรรมทั้งหลาย
โดยการสอบให้ผ่านทุกบททดสอบ
ด้วยการใช้ความรัก สติปัญญา ความกล้าหาญ
และแรงบันดาลใจในตนเอง
เป็นคำตอบทุกข้อทุกบททดสอบของท่านให้จงได้

ด้วยการว่างไปจากการมีอายตนะทั้ง 6
โดยแม้มีอยู่แต่ทำให้มันเสมือนไม่มีให้จงได้
กล่าวคือ........

#ได้เห็น ก็สักแต่รู้ว่าเห็นอะไร
#ได้ยิน ก็สักแต่รู้ว่าได้ยินอะไร
#ได้กลิ่น ก็สักแต่รู้ว่ากลิ่นอะไร
#ได้ลิ้มรส ก็สักแต่รู้ว่ารสอะไร
#ได้สัมผัส ก็สักแต่รู้ว่าสัมผัสอะไร
#นึกอะไรได้ ก็สักแต่รู้ว่านึกอะไร

การปฏิบัติเช่นนี้เรียกว่า "รับรู้-ไม่รับเอา"
การที่ท่านรับรู้แล้วไม่รับเอา
ก็คือ "รับรู้เพื่อเรียนรู้" นั่นเอง
การรับรู้เพื่อเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
มันจึงเสมือนท่าน "ว่าง" ไปจากการมีอายตนะ

ถ้าชั่วชีวิตนี้ท่านปฏิบัติให้ถึงความว่าง
โดยว่างจากการมีกลไกอายตนะทั้ง 6 ได้
มรรคผลสูงสุดที่ท่านจะบรรลุได้ก็คือ

1.ท่านก็จะว่างไปจากการยึดติดอัตตาตัวตน
2.ท่านก็จะว่างไปจากกิเลสตัณหาราคะ
3.ท่านก็จะว่างไปจากความผิดบาปทั้งปวง
4.ท่านก็จะว่างไปจากบ่วงเวรบ่วงกรรม
5.ท่านก็จะว่างไปจากการมีสังสารวัฏ
6.ท่านก็จะว่างไปจากดาวเคราะห์โลกดวงนี้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เส้นทางสายนิพพานเพื่อการหลุดพ้น
ของดวงจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายนั้น

ไม่ว่าท่านจะเป็นชนชาติไหน ศาสนาใด
ก็ต้องผ่านเส้นทางสายนี้ด้วยกันทั้งนั้น

จงหันหน้ามาฟังเรา
จงพูดให้น้อยคำ
จงหมั่นทำการดีให้มากขึ้น
เพราะวันเวลาแห่งการสิ้นสุดของสิ่งทั้งปวง
ใกล้จะมาถึงเข้าไปทุกทีแล้ว

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-1-2018

18 มกราคม 2561

ของขวัญวันครู



#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆยุวจิตจักรวาลที่รัก

เนื่องจากเมื่อวานนี้เป็น #วันครู
เช้าตรู่วันนี้เราจึงมีความจริง
ที่จะกล่าวต่อท่านทั้งหลาย
ผ่านไปยังคนที่ใช้นามว่า นาง J (นามสมมุติ)
ที่ส่งข้อความถึงเราไว้ในห้องเรียนนี้
แต่เขียนอยู่ในตรอกแคบๆ 
จนนักเรียนหลายท่านอาจแลไม่เห็น

โดยเธอคนดังกล่าวนี้
ไม่ได้เขียนมาถามธรรมะที่ใคร่รู้อะไรหรอก
แต่เธออ้างว่าเธอเขียนถึงเรา
เพื่อต้องการเสนอแนะ
ขณะที่เรามองว่าเป็นการ "ก้าวล่วงเรา"
อย่างขาด #มหาสติ เสียมากกว่าเสนอแนะ

เราในฐานะเป็นครูของท่านทั้งหลาย
ที่สู้อุตส่าห์สื่อถ่ายทอดพระโอวาทจากพระบิดา
มากล่าวต่อท่านทั้งหลายนานสามสิบปีเศษแล้ว
จึงเห็นสมควรที่จะนำกรณีนี้มาเป็นองค์ความรู้
ต่อท่านทั้งหลายได้เรียนรู้และได้ประจักษ์ว่า

สาเหตุหนึ่งที่สำคัญ
ที่ทำให้คนซึ่งบวชมานานแล้วนิพพานไม่ได้
เพราะเป็นคนไร้สติเที่ยวก่อกรรมทำผิดบาป
ด้วยการก้าวล่วงผู้อื่นอยู่ทั้งชีวิตโดยไม่รู้ตัว
ทั้งๆที่สองมือยังยึดถือคัมภีร์อยู่แท้ๆ
ซึ่งนักเรียนพึงระวังและจงอย่าเอาเยี่ยงอย่าง
เพราะหนทางหลุดพ้นจะถูกปิดทันที
อันมีเหตุจาก #การก้าวล่วงผู้อื่น นี่แหละ

ดังนั้น
เราจึงขอนำกรณีศึกษาจากเรื่องจริงดังกล่าว
มาเปิดเผยต่อท่านทั้งหลายไว้ในที่นี้
ด้วยการสมมติว่าถ้าเราจะกล่าวตอบ
ต่อเธอคนที่เขียนข้อความมาก้าวล่วงเรา
เพื่อเป็นการอบรมสื่อสอนนักเรียนอย่างท่าน
พร้อมๆกันไปในเวลาเดียวกันด้วยแล้ว
เราก็จะกล่าวต่อเธอคนนั้นว่าดั่งนี้ล่ะ

ขอนักเรียนจงโปรดสดับรับความรู้กันเถิด

Attention:
**********
นาง J (นามสมมุติ)

เธอเขียนถึงเราไว้ 2 ตอนสั้นๆความว่า

1."ลูกอยากเห็นการลดพลังงานเพื่อสื่อว่า
เป็นการสื่อจากพระบิดา 
ขอให้อาจารย์มั่นใจในตนเอง
และพูดถึง vertical telepathy น้อยลง"

นาง J (นามสมมุติ)

2."ให้พูดว่านี่คือการสื่อจากพระบิดา ให้น้อยลง 
เสนอแนะว่าพูดได้ แต่พูดให้น้อยลง"
*************************************

เราจะขอสรุปประเด็นที่เธอเขียนถึงเรา
ให้ชัดกระชับว่ามันมีประเด็นที่เราต้อง
นำมาวิสัชนาต่อสังคมได้ร่วมเรียนรู้กันไว้
ดังต่อไปนี้

1.เธอบอกว่าเธอต้องการเสนอแนะเรา

2.เธอต้องการให้เรากล่าวว่า
"นี่คือการสื่อจากพระบิดา
และพูดถึง Vertical Telepathy" ให้น้อยลง

3.เธอกล่าวว่า "เสนอแนะให้พูดได้"

4.เธอกล่าวว่า "ขอให้อาจารย์มั่นใจในตนเอง"

#ต่อไปนี้เป็นคำสอนคำตอบของเราล่ะนะ

1.เราอ่านข้อเขียนของเธอแล้ว
เราจะบอกความจริงต่อเธอที่เขียนถึงเราว่า
ทุกประโยคทุกถ้อยความตามอักษรของเธอ
และทุกการสั่นสะเทือนทางจิตของเธอนั้น
มันแปลความว่า "ก้าวล่วง" มิใช่การเสนอแนะ

เธอรู้หรือไม่ว่า...
ข้อเสนอแนะเป็นสิ่งที่ดีมาก
หากมันเป็นความปรารถนาดี
หากมันมีเหตุผลอันเหมาะสม

แต่ที่เธอเขียนถึงเรานั้นอ่านหลายเที่ยว
ก็ไม่เห็นจะมีตรงไหนที่จะบอกเหตุผลต่อเราว่า
ที่เธอเสนอแนะให้เราทำตามความต้องการเธอ
มันมีเหตุผลเพราะอะไรจึงต้องทำตามเธอ
แล้วที่เราทำมันขาดความเหมาะสมตรงไหน

คำสอนของเราคือ
คราวหน้าถ้าจะเสนอแนะใคร
จงบอกเหตุผลให้เขารู้ด้วยว่า
วิธีที่เธออ้างว่าเสนอแนะนั้นมันดีกว่าตรงไหน
วิธีที่เขาทำอยู่ไม่ดีไม่เหมาะไม่ควรที่ตรงไหน
จงอย่าพูดลอยๆเด็ดขาด
มันดูเหมือนเธอไม่จริงใจ ไม่บริสุทธิ์ใจ
และมันมิใช่การเสนอแนะอย่างที่เธออ้างนะ

2.เธอสื่อสารถึงเราโดยทำเหมือนกับว่า
จะบงการให้เรากล่าวประโยคที่ว่า
"#นี่คือการสื่อจากพระบิดา
และพูดถึง Vertical Telepathy" #ให้น้อยลง

เราขอถามเธอว่า
ประโยคศักดิ์สิทธิ์ของเรา
ไหงกลายเป็นเหมือนคำกล่าวไร้สาระ
สำหรับเธอไปเสียได้เล่า
เธอจึงไม่อยากได้ยินได้ฟังที่เรากล่าวเช่นนั้น

เพราะประโยคที่เธอไม่อยากฟัง
มันเป็นการกล่าวสัจจะของเรา
เบื้องพระพักตร์พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
เป็นการกล่าวถึงพระองค์ที่ทรงเป็นผู้สื่อ
โดยเราเป็นเพียงผู้รับสื่อพระโอวาทมาเท่านั้น

ที่เรากล่าวย้ำประโยคนี้บ่อยๆ
เพราะพระโอวาทกระแสธรรมในทุกพระคำ
ที่เราเพียรสื่อถ่ายทอดอยู่เป็นประจำนั้น
เป็นองค์ธรรมอันล้ำเลิศแต่เข้าใจง่าย
แม้ธรรมะบทยากๆก็สื่อให้เข้าใจได้ในสามนาที

จึงเพื่อให้พี่ๆน้องๆทั้งหลายได้เกิดสติว่า
เราเป็นเพียงผู้กล่าวแต่คำกล่าวน่ะ
เป็นพระโอวาทจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ของท่านทั้งหลาย

จงอย่าได้หลงผิดคิดว่าเป็นพระธรรมของเรา
เพราะเราไม่ต้องการหลอกลวงแอบอ้าง
เพื่อเอาดีใส่ตัวเอาประโยชน์ใส่ตนอย่างไม่อาย
เหมือนคนกล่าวธรรมะแต่ไร้สัจจะหลายคน
ชอบนำพระธรรมพระศาสดาที่จำมาใช้กล่าวสอน
ทั้งๆที่พระธรรมคำกล่าวสอนมิใช่ของตัวเองเลย
แต่ทุกคำกล่าวทุกตอนไม่เคยอ้างอิงพระศาสดา
เพราะตัวปรารถนาจะเด่นดังอยู่คนเดียวนั่นแหละ

หรือเธอกำลังเสนอแนะ
ให้เรา "หลอกลวง" ชาวบ้าน

แนะให้เราแอบอ้างให้คนหลงเชื่อ
ว่าเราเป็นผู้กล่าวธรรมะนั้นๆเอง
โดยละทิ้งพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ซึ่งทรงเป็น "พ่อแม่" ทางจิตวิญญาณเธอเอง
ที่ทรงสู้อุตส่าห์กล่าวพระโอวาทผ่านเรามา
เพื่อหวังช่วยฉุดกระชากจิตสามนึกของเธอให้สูง
และชี้หนทางกลับบ้านให้
ในขณะที่เธอกำลังหลงทางกันอยู่เช่นนั้นหรือ?

เราทำตามการเสนอแนะที่ก้าวล่วงเราไม่ได้หรอก
ที่เราทำตามไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม

เพราะคำเสนอแนะของเธอเรารับไม่ได้น่ะสิ
เพราะเธอชี้นำมาอย่างไร้เหตุผล
และเพราะเราเห็นว่าเป็นการแนะให้เรา
เป็นลูกอกตัญญูและเนรคุณต่อพระองค์
เราจึงทำตามเธอไม่ได้

เธอเข้าใจคำว่าสัจจะหรือความจริงมั้ย
ทำไมเธอจึงรับฟังเรากล่าวความจริงไม่ได้
เธอปฏิเสธพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเธอ
แล้วจะชวนให้เราอกตัญญูไปกะเธอด้วยหรือ

เธอไม่ต้องการให้เราพูดถึง
การสื่อสารทางจิตในแนวดิ่งกับองค์จิตจักรวาล
เพราะเหตุผลอะไรหรือ เช่น 

เพราะเธอมองว่าเรากำลังกล่าวเท็จ
เลยอยากให้เราหยุดกล่าวเท็จเสียเช่นนั้นหรือ
ช่วยยืนยันมาพร้อมเหตุผลด้วยว่าอะไรคือเท็จ

หรือเพราะตัวเธอรู้ดีกว่าเราว่า
การสื่อสารทางจิตวิธี Vertical Telepathy นี้
ไม่ใช่ศาสตร์ชั้นสูงที่เรียกว่า "อภิปรัชญา"
แต่มันเป็น "มายาลวงโลก" จึงทนฟังไม่ได้
เราขอทราบเหตุผลด้วยอย่ากล่าวมาลอยๆ

หรือเป็นเพราะตัวอิจฉาริษยา
ในความสามารถพิเศษทางจิตวิญญาณของเรา
ซึ่งเธอหรือใครๆไม่สามารถเข้าถึงมันได้
จึงเป็นตัวการให้เธอก้าวล่วงเรามาเช่นว่านี้

การที่เราจะกล่าวซ้ำเช่นนี้จะสักอีกกี่ครั้ง
มันสร้างปัญหาอะไรให้เธอหรือ
การที่เธอทนฟังเรากล่าวความจริงไม่ได้
ทั้งๆที่เรามิได้กล่าวจาบจ้วงล่วงเกินเธอเลย
เธอนั่งๆนอนๆฟังพระโอวาทอยู่ในหลืบ
จู่ๆก็โผล่ออกมาก้าวล่วงเรา
ตามเรื่องราวที่เรากล่าวสืบสานมาทั้งหมดนั้น
เธอมีอะไรบกพร่องทางความคิดหรือจิตใจรึเปล่า
อะไรทำให้เธอขาดสติทั้งๆที่นั่งหลับตาฝึก
แบบไม่อะไรกับอะไรมานมนานแล้วล่ะ

3.เธอกล่าวว่า "เสนอแนะให้พูดได้"
คือ พูดประโยคที่แสลงหูแสลงใจเธอนั่น
ทั้งๆที่มันเป็นประโยคสัจจะของเราแท้ๆ

เราจึงขอกล่าวความจริงให้เธอรู้สติว่า
องค์จิตจักรวาลพระบิดาแห่งจิตวิญญาณเท่านั้น
พระองค์ทรงเป็นมหาคุรุแห่งเรา
ในการกล่าวพระโอวาทต่อท่านทั้งหลาย
มิใช่ใครคนหนึ่งเช่นเธอบนโลกเสรีนี้
ที่จะมาสอนสั่งเราให้ทำผิดบาปต่อพระบิดา
ให้เราไม่กล่าวความจริงต่อพี่ๆน้องบนโลกนี้

พระองค์เท่านั้นที่เราจะรับฟังพระบัญชา
เพราะเราเป็น #บุตรเอก แห่งพระองค์
เรามีภูมิรู้ภูมิธรรมภูมิปัญญาเป็นของตนเอง
แต่เราก็ยินดีรับฟังคำแนะนำที่ดีๆ
มีเหตุผลสนับสนุนของใครๆเสมอ
แต่คำสั่งสอนของเธอเฉพาะกรณีนี้
เรารับไม่ได้...เรารับไม่ได้....

เพราะว่ามันเป็นคำแนะนำที่
ชวนให้เราทำผิดบาปหรือลงนรก
เป็นคำแนะนำที่มีอคติไม่สุจริต
เป็นคำแนะนำที่ไม่จริงใจแอบแฝงอยู่
เรารับไม่ได้เราจึงขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง

4.นี่เป็นประเด็นสุดท้ายที่เธอก่อขึ้น

เธอกล่าวว่า 
"ขอให้อาจารย์มั่นใจในตนเอง"

ขออภัยเถิดเธอ
มีตรงไหนนี่...ที่ทำให้เธอมองเราว่า
เป็นคนขาดความมั่นใจในตนเองไปได้

เธอไม่เห็นหรือ....
เรากล้าลุกขึ้นยืนเตือนพี่น้องทั้งโลกว่า
โลกกำลังสิ้นยุค โลกกำลังเจอภัยพิบัติ
แผ่นดินจะหาย ผู้คนจะตายกันมากมาย

ถ้ามนุษย์โลกจิตสำนึกต่ำทราม
ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมอย่างเข้าใจแจ้ง
ถ้าปฏิบัติธรรมแต่งมงายขาดการใช้ปัญญา
ถ้าไม่ฟังเราอย่างมีสติทางวิญญาณ

ชาวโลกทั้งหลาย
เตรียมตัวทำสงครามกับภัยพิบัติเอาไว้ให้ดีๆ

เมื่อเราสื่อพระโอวาท
เราก็ออกมากล่าวอย่างเปิดเผยต่อสังคม
โดยไม่มีองค์กรจัดตั้ง โดยไม่สร้างลัทธิ
โดยชวนคนให้ใช้ปัญญาไม่พาใครงมงาย

เราถามเธอหน่อยว่า
เราขาดความมั่นใจในตนเองตรงไหน
เรามั่นใจในพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
เรามั่นใจในความสามารถสื่อถ่ายทอดของเรา
เรามั่นใจในความฉลาดของพี่ๆน้องๆ
ที่จะยอมเปิดตาเปิดหูและใจ
ยอมรับฟังความจริงทั้งหลาย
ที่เราสื่อถ่ายทอดมาจากพระบิดาแน่ๆ
แม้ว่าจะมีคนฟังเข้าใจเพราะฉลาดแท้กันไม่กี่คน

เราไม่แอบไปหลบมุมสร้างสำนักสร้างลัทธิ
เพื่อเสนอคำสอนประหลาดนอกรีต
อยู่ตามป่าตามเขา
เพื่อสะสมสาวกทีละน้อยๆๆๆหรอก

เพราะถ้าเปิดเผยกลัวถูกคนที่รู้ทันเขาต่อต้าน
แอบสะสมคนงมงายจูงตรงไหนก็ง่ายก่อนดีกว่า

เพราะวิธีแบบที่ว่านี้เราเห็นว่า
เป็นวิธีที่ไม่มั่นใจในธรรมะของตนเอง
และขาดความจริงใจในงานธรรมมากกว่านะ

แต่นี่เรา...ถ่ายทอดพระโอวาททุกช่องทาง
เป็นสิ่งพิมพ์แบบพระคัมภีร์
มีลายลักษณ์อักษรให้คนอ่าน
เพราะมั่นใจว่าสื่อมาอย่างถูกต้อง
ไม่ลอกใครมาอีกด้วย 
เราจึงไม่ดีแต่แอบพูดสอนในที่ลับตาคน
นี่เธอเห็นว่าเรายังไม่มั่นใจในตนเองอีกหรือ

เราถ่ายทอดผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวอร์ค
ทั้ง face book ทั้ง line ทั้ง TV ดาวเทียม
มีคนเห็นอย่างกว้างขวางทั่วโลก
มีห้องพระคัมภีร์ Blog spot สืบค้นได้ทุกเวลา
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้
นี่เธอเห็นว่าเรายังไม่มั่นใจในตนเองอีกหรือ

เราตอบคำถามธรรมะทุกคน ทุกคำถาม
โดยไม่กระมิดกระเมี้ยนแต่มาดมั่น
นี่เธอเห็นว่าเรายังไม่มั่นใจในตนเองอีกหรือ

เธอไม่ใช่สมาชิกกลุ่มยุวจิตจักรวาล
เธอจึงยังไม่รู้จักพระบิดาไม่ศรัทธาเรา
เพราะเธอขาดความใจกว้างที่จะเรียนรู้
เธอจึงเป็นครูที่ขาดสมดุลสำหรับเราไงล่ะ

นอกจากนั้น
เราขอกล่าวความจริงในท้ายบทเรียนนี้ว่า
ที่เธอสอนเราว่า "จงมั่นใจในตนเอง" นั้น
นั่นมันเป็นคำกล่าวที่คนไม่ฉลาด
หรือคนใช้ปัญญาไม่เป็น
เขาจะมองเธอเป็นดั่งนางเอกมากเลย
เพราะฟังเผินๆมันเหมือนเธอ
กำลังแสดงความปรารถนาดีต่อเราน่ะแหละ
วิธีแบบนี้ฝ่ายตรงข้ามกับ "เทพ" เขามักใช้กัน

นี่แน่ะ...
เราขอสื่อสอน
ในพระนามพระบิดาเอาไว้ตรงนี้ว่า 
ถ้าเธอยังไม่หยุดก้าวล่วงคนอื่น
ต่อให้บวชนานก็ยังนิพพานไม่ได้หรอก
เพราะแค่สัจธรรมข้อสำคัญง่ายๆยังปฏิบัติมิได้
จะเข้าถึงการหลุดพ้นได้อย่างไร

ธรรมะคือธรรชาติ
ทุกสิ่งในธรรมชาติเขาจะไม่ก้าวล่วงกัน
ต่างจะอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนกลมเกลียว
เขาจะไม่อิจฉาตาร้อนกัน 
ไม่เอาเปรียบเบียดเบียนกัน
ไม่คิดลบทำลบต่อกัน

การนิพพานหรือหลุดพ้น
คือ การนำพาจิตวิญญาณตนเองคืนสู่ธรรมชาติ
กลับไปเป็นเสมือนดาวดวงหนึ่ง
ที่ดำรงอยู่ร่วมกันกับดาวอื่นๆนับล้านดวง
อย่างลงตัวกันได้ชั่วนิรันดร์

ไม่ว่าจะดำรงอยู่ใกล้หรือไกลกัน
จะสว่างมากสว่างน้อยกว่ากัน
จะมีขนาดเล็กขนาดใหญ่ไม่เท่ากัน
ต่างก็สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้ตลอด

นี่แค่เป็นคนสองมิติ
ก็ยังรักษาสมดุลร่วมกันไม่ได้
จักเข้าถึงการหลุดพ้นคือกลับบ้านได้อย่างไร
เมื่อจิตใจยังขาดการชำระให้พิสุทธิ์อยู่

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
คำกล่าวของเธอผู้นี้นั้นในมุมของเรา
มองว่ามิใช่ปรารถนาดีแต่เป็น #ก้าวล่วง

พระบิดาสอนเราว่า
การก้าวล่วงของคนที่ยังเป็นมนุษย์ไม่เป็น
จะมีอยู่ 2 ลบ ที่อย่าเอาอย่าง

ลบแรก คือ #ลบหลู่ 
อันหมายถึงการกระทำ
เชิงดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่นแบบเปิดหน้า
ไม่มีจริตเล่ห์กลมายาอะไร

ลบที่สอง คือ #ลบเหลี่ยม
เป็นการกระทำที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมก้าวล่วง
เพื่อทำให้ผู้อื่นเสื่อมเกียรติเสียหายเสียหน้า
เพื่อทำให้ผู้อื่นมองว่าตนเหนือกว่าเด่นกว่า

ดังนั้น
การกล่าวสอนเรา
จึงเสมือนลบเหลี่ยมเรา
แสดงคล้ายความหวังดีแต่มีเลศนัย
เพื่อแสดงให้เห็นว่าคนที่สอนเราได้
ย่อมเหนือกว่าคนที่ถูกสอนนั่นเอง
ถ้าทำให้คนอื่นคล้อยตามได้
ความเสื่อมจักเป็นของเราโดยแท้

ทั้งหมดที่เรากล่าวสอนมานี้
ขอขอบใจเธอคนที่มาเป็นครู
ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน

แม้บางตอนเธออาจปฏิเสธว่าไม่จริง
จากสิ่งที่เราวิเคราะห์เพื่อสอนศิษย์เราก็ไม่เป็นไร
แต่เราก็ขอนำมาสอนไว้ในที่นี้
เพื่อให้นักเรียนรู้ว่าการใช้ชีวิตในสังคม
เพื่อการปฏิบัติบำเพ็ญธรรมนั้น
ต้องใช้มหาสติเท่านั้นจึงจะเกิดการสำรวม
จนว่างไปจากการก้าวล่วงผู้อื่นได้

การหลบไปอยู่ป่า
ไปหามุมวิเวกอยู่คนเดียว
แต่ยังเลี้ยวเข้าหาสังคมแบบนี้
จึงไม่ชำนาญในการสำรวมพฤติกรรม
โดยไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร
เมื่อมีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับคนอื่น

ไม่รู้ว่าจะทำจิตใจให้สว่าง
เพื่อเรียนรู้โลกกว้าง
ที่เต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลายได้ไง
จึงเผลอก้าวล่วงใครต่อใคร
โดยไม่รู้สูงรู้ต่ำโดยไม่รู้สำนึกควรไม่ควร
เหตุผลข้อเดียว คือ ขาดทักษะทางสังคม
รู้จักตนเองอย่างเดียวแต่ขาดการเข้าใจผู้อื่น
รู้จักส่วนตัวคนเดียวแต่ขาดสำนึกแห่งหมู่คณะ

เนื่องในวันครู
คำสื่อสอนทั้งหมดในสเตตัสนี้
เป็นของขวัญชิ้นหนึ่ง
ซึ่งเราขอมอบให้นักเรียนยุวจิตจักรวาลทุกคน
ผู้ปรารถนาการหลุดพ้นให้อ่านกันหลายเที่ยว
 
#ต้องอ่านให้จำ  #ต้องทำให้ได้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17-1-2018

11 มกราคม 2561

โกรธใครไม่เป็น



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ท่านจะ โกรธใครไม่เป็น หรอก
ถ้าหากท่านมีคุณลักษณะนิสัยดังต่อไปนี้

1.ถ้าท่านเป็นคนไม่ถือสาหาความใคร

คนที่ไม่ถือสาหาความใคร
คือคนที่มีนิสัยการดำเนินชีวิตในระดับที่
สามารถควบคุมอารมณ์รู้สึกนึกคิดตนเอง
ไปตามลำดับขั้นได้ว่า...

1.1 ช่างเขาเถอะ
1.2 ไม่เป็นไร
1.3 ยังไงก็ได้นะ
1.4 แค่นี้ก็ดีแล้ว

2.ถ้าท่านเป็นคน "รับรู้แล้วไม่รับเอา"
คือรู้ว่าเขาทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่าน
แต่ไม่นำเอามันมาเป็นเงื่อนไขทางอารมณ์
จนทำให้จิตใจตนเองเจ็บปวดเสียสมดุล
ท่านก็จะไม่ถือโทษโกรธใคร

โดยใช้สติปัญญาเตือนตนสอนตน
ให้มองบวกคิดบวกในสิ่งลบๆที่เขาทำต่อท่าน
เช่น คิดว่าเขาไม่เจตนาทำร้ายท่าน หรือ
คิดว่าเขาเป็นครูด้านชั่วๆให้ท่านได้เรียนรู้
โดยที่ท่านไม่ต้องเปลืองตัวไปทำชั่วเสียเอง

3.ท่านต้องฝึกตนเองให้เป็นคนรักสงบ
โดยไม่ต้องการสู้รบปรบมือกับใคร
โดยสำนึกรู้ว่าถ้าต่อสู้กับเขาแล้วชนะ
ท่านก็จะได้ศัตรูเป็นสิ่งตอบแทนเสมอ
ซึ่งถ้ามีศัตรูมากชีวิตท่านก็อยู่ยากไม่อยู่เย็น
ทั้งชีวิตจะหาความสงบสุขร่มเย็นไม่ได้

แต่ถ้าท่านไม่ต่อสู้ ไม่ตอบโต้ ไม่ต่อต้าน
นั่นเท่ากับว่าท่านสามารถเอาชนะใจตนเองได้
ท่านก็จะไม่เกิดความโกรธให้เสียสมดุลเลย

4.ท่านต้องมองเห็นความสัมพันธ์ที่มั่นคง
สำคัญกว่าการแพ้ชนะและความถูกผิด

ดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่าโลก
แต่ทั้งสองก็ไม่นำเอาความต่าง
มาสร้างความแตกแยกร้าวฉานให้เสียระบบ
ทั้งสองสามารถรักกันได้ตลอดมา
เพราะเป้าหมายหลักคือสมดุลกัน

ดังนั้น
ถ้าท่านรู้จักรักคนที่ไม่น่ารัก
รู้จักให้อภัยแก่คนที่ไม่น่าให้อภัยได้
ด้วยเหตุผลว่า "มีเพื่อนดีกว่าไม่มี"
ท่านก็จะโกรธใครไม่เป็นแน่นอน
เพราะท่านไม่คิดจะต่อสู้
เพราะท่านไม่ต้องการเอาชนะ

ปีใหม่แล้วนะ
เปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการลดโทสะลงบ้าง
สังคมของท่านจะเกิดความสุขสงบมากขึ้น
รวมทั้งสุขภาพจิตที่ดีขึ้นของท่านเองด้วย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-1-2018

พระองค์ทรงอนุญาตให้เรากลับมาตามสัญญา



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลาย
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล
ซึ่งเป็นพระบิดา
ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่านว่า

พระองค์ทรงอนุญาตให้เรากลับมาตามสัญญา
เพื่อทำหน้าที่อันสำคัญยิ่งดังต่อไปนี้

1.กลับมานำพาจิตวิญญาณของท่านทุกคน
ที่มีปณิธานแห่งนิพพานอย่างแท้จริง
ให้สามารถหลุดพ้นออกไปจากเอกภพ
กลับคืนสู่ดินแดนบ้านเกิดเมืองนอนแต่เดิม
ได้อย่างสง่างามและบรรลุได้ในภพชาตินี้

2.กลับมากล่าวพระโอวาทต่อท่านทั้งหลาย
ในพระนามของพระองค์
เพื่อปิดยุคพลังงานเก่าอย่างสมบูรณ์

3.แจ้งข่าวสารการชำระโลกให้ทราบ
พร้อมบอกล่วงหน้าถึงพื้นที่สีแดงบนโลก
ที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงอยู่ต่อไปแล้ว
เพราะแผ่นดินนั้นจะถูกทำให้แตกสลาย
ไม่ก็จะจมน้ำหายไปชั่วนิรันดร์
ซึ่งแผนที่โลกยุคพลังงานใหม่
ที่จะมีแผ่นดินเหลือไว้กับที่จะหายไปนั้น
เราได้ขีดเขียนไว้ให้เป็นหลักฐานนานมาแล้ว

4.ให้เราเปิดเผยเพื่อให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
การพิพากษาโลกเพื่อการชำระโลกครั้งนี้
มนุษย์โลกทุกชนชาติจักต้องทำสงครามกัน
แต่มิใช่เข่นฆ่าสู้รบปรบมือกันเองหรอกนะ
มันจะเป็นการต่อสู้กับภัยพิบัติเพื่อความรอด
โดยแต่ละท่านจักต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน

5.ให้เราเข้ามาทำหน้าที่คัดปลาออกจากน้ำ
โดยฉุดช่วยปลาที่สมควรจะได้รับความรอด
ซึ่งปลาเหล่านี้จะมีสัญลักษณ์สำคัญ
ประทับอยู่ตรงหน้าผากอย่างชัดเจน
ฑูตสวรรค์แห่งพระบิดาล้วนทราบดีว่า
ผู้ที่มีตราเครื่องหมายนี้จักได้รับความรอด

6.ให้เรากลับมาเตือนชาวโลกเรื่องภัยพิบัติ
โดยบอกให้ทุกคนรู้ว่าจะมีภัยต่างๆเกิดขึ้นบนโลก
ซึ่งมนุษย์ทุกคนจักต้องเตรียมพร้อมเผชิญ
ทั้งหนักเบา การตายหมู่ และแผ่นดินหาย
ภัยร้ายๆที่จะเกิดขึ้นมันจะรุนแรงยิ่งกว่าอดีต

มันจะเกิดในที่ๆไม่เคยเกิด
มันจะเกิดซ้ำอีกในที่ๆเคยเกิดมาแล้ว
มันจะเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
มันจะเกิดในรูปแบบแปลกๆที่มนุษย์คาดไม่ถึง
มันจะเกิดปรากฏการณ์โลกมืดนาน 56 วัน
โดยไม่สว่างเลย

มันจะเป็นปฏิบัติการเพื่อการชำระโลก
เพื่อสร้างสมดุลใหม่ในระดับที่สูงกว่า
โดยมหันตภัยที่เกิดขึ้นจะมีผู้อยู่เบื้องหลัง
ภัยร้ายๆทั้งหลายที่จะเกิดจึงมิใช่ภัยธรรมชาติ

7.ให้เรากลับมาเพื่อถามหา
ความเป็นหนึ่งเดียวกันของท่านทั้งหลาย
ให้สร้างสำนึกในการเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรี
โดยรักกันให้ได้ให้อภัยกันให้เป็น
และมีสำนึกรับผิดชอบในพันธะสัญญา 6
ซึ่งทุกท่านจักต้องปฏิบัติตามอย่างไร้เงื่อนไข
โดยเฉพาะข้อสุดท้ายคือทุกคนต้องกลับบ้าน
ทางจิตวิญญาณ คือ นิพพานนั่นเอง

8.ให้เรามาช่วยพวกท่าน
ข้ามผ่านกฎแห่งกรรมกันให้ได้
ด้วยการฝึกหมุนธรรมจักรในตนเองให้สำเร็จ
และใช้กระบวนการพัฒนาจิตตปัญญา
ที่เรียกว่ากระบวนการ Psycho-Show
ช่วยชำระจิตใจให้ใสสวย
และช่วยพัฒนาสติปัญญาของท่าน
ด้วยการปฏิบัติธรรมชาติสมาธิหรือ #มหาสติ

เพื่อสร้างสำนึกใหม่ภายในห้องฝึกอบรม
ในการแก้ไขกรรมเก่าที่จิตวิญญาณค้างคาอยู่
ให้คงเหลือไว้ไม่เกิน 30% ก่อนกาลสิ้นยุค

9.ให้เรามากล่าวพระโอวาทในพระนามพระองค์
เพื่อชี้หนทางกลับบ้านตามมรรควิถีจิตจักรวาล
ที่เหมาะกับฆราวาสหรือชาวบ้านอย่างแท้จริง
ซึ่งเป็นคนหมู่มากที่ยังตกค้างอยู่ในระบบโลก
ด้วยมรรควิถีจิตจักรวาลอันเป็นสากล

ที่สำคัญคือเราจะบอกให้ท่านรู้ว่า
ถ้าปรารถนาจะนิพพานท่านต้องทำอย่างไร
ผู้จะนิพพานได้ต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
ทำไมปฏิบัติธรรมมาตั้งนานแล้วยังหลุดพ้นไม่ได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
ภารกิจสำคัญ 9 ประการที่เรากล่าวมา
ท่านสามารถใช้ปัญญาพิจารณา
และติดตามการปฏิบัติภารกิจของเราได้เสมอ
เพราะเรามาเพื่อช่วยเหลือพวกท่าน

เราจึงปฏิบัติภารกิจทุกสิ่งอย่างเปิดเผย
เราจึงไม่ชวนพวกท่านสร้างลัทธิใหม่
เราจึงไม่มีนโยบาย "ล่าสาวก" 

เรามีแต่องค์ธรรมความรู้และพระโอวาท
ที่จะมอบให้แก่ท่านทั้งหลายในทุกช่องทาง
เราไม่มีสิ่งงมงายใดๆที่จะชักชวนท่าน
ให้หลุดลอย หลุดลง หรือหลุดหล่น
เป้าหมายของเราคือช่วยท่านให้หลุดพ้นเท่านั้น

อย่าระแวงเราแต่ไม่ยอมพิสูจน์ความจริง
อย่าล่วงเกินเราทั้งๆที่ท่านยังไม่รู้จักเราเลย
อย่าต่อต้านภารกิจเราโดยที่ท่านยังไม่เข้าใจ
อย่าปฏิเสธเราง่ายๆโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณา
เพียงแค่เพราะเราเป็นคนแปลกหน้าของท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-1-2018

10 มกราคม 2561

ภูมิประเทศก็เปลี่ยนแปลง



#สนทนาประสาจิตจักรวาล

#ภูมิประเทศก็เปลี่ยนแปลง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้
นอกจากกำลังเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศแล้ว 
สภาพภูมิประเทศก็ยังเปลี่ยนแปลง
ให้สังเกตได้อย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย

ตัวอย่างเริ่มมีให้เห็นมาแล้ว
เช่น บางแห่งทะเลหายไป
เหลือแต่ชายหาดสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว

นี่ก็เหมือนกัน
ที่ชายหาดของ #เบลิซ 
ก็เกิดปรากฎการณ์น้ำทะเลขึ้นสูงจนล้นฝั่ง
น้ำทะเลได้กลบกลืนหาดทราย
ลึกเข้ามาจนถึงหมู่บ้านชายทะเลเลย
ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นที่นั่นมาก่อน
เพิ่งเกิดครั้งแรกในประวัติศาสตร์พวกเขา

นี่จึงเป็นหลักฐานยืนยันอยู่แล้วว่า
โลกกำลังแกว่งส่ายมากขึ้นขณะหมุนรอบตัวเอง
แนวแกนหมุนที่ทำมุมกับแนวดิ่ง
มันกำลังเอนเอียงเบี่ยงเบนไปจากพิกัดเดิม
แค่เพียงไม่กี่ฟิลิปดาก็เกิดปรากฏการณ์
#หาดหายและทะเลแห้ง ให้ได้เห็นกันแล้ว

ดังนั้น
ท่านใส่ใจการเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดขึ้นบนดาวโลกดวงนี้บ้างมั้ย?

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10-1-2018

07 มกราคม 2561

สนทนาประสาจิตจักรวาล 7/01/2018

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

คนที่ไม่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ

คนที่ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิดใหม่

คนที่ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม

 

ผู้คนจำพวกนี้

เป็นคนที่หลงมิติแห่งโลกมายา

มักพูดจาภาษาธรรมะกับใครไม่ค่อยรู้เรื่อง

 

ในชีวิตต้องการเสพสมแต่ด้านโลกียะ

เช่น สุข สะดวก สำเร็จ

ปรารถนาความร่ำรวยสินทรัพย์และอำนาจ

โดยไม่ใส่ใจด้านจิตวิญญาณของตนเลย

พวกเขาเชื่อว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นของธรรมดา

เมื่อถึงคราวตายก็ต้องตาย

เมื่อตายแล้วทุกอย่างก็จบสิ้น

 

คนจำพวกนี้จะถือว่าชีวิตคือการต่อสู้

โดยคู่ต่อสู้ของเขาก็คือเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ

ซึ่งมีผลประโยชน์ มีโอกาส และมีอำนาจ

เป็นรางวัลหากต่อสู้กันแล้วตนเป็นผู้ชนะ

 

ด้วยเหตุนี้เอง

สิ่งสำคัญสูงสุดที่คนจำพวกนี้ต้องการ

นั่นคือ #ชัยชนะ เหนือสิ่งอื่นใด

เพราะถ้าแพ้หรือไม่ชนะในเกมการต่อสู้

ทั้งผลประโยชน์ ทั้งโอกาส และอำนาจ

ที่ตนต้องการก็จักหลุดลอยไป

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เมื่อความจริงมันเป็นเช่นนี้แล้ว

ผู้คนจำพวกนี้จึงมีวิธีคิดอยู่ 2 แบบ

เพื่อให้ตนประสบผลสำเร็จตามต้องการได้

วิธีคิดของพวกเขาก็คือ

 

1. ทำอย่างไรตนจึงจะชนะคู่แข่งขันหรือคู่ต่อสู้

แนวคิดมุมนี้ คือ #อยากจะชนะ

 

คนกลุ่มนี้ก็จะพยายามคิดทำทุกอย่าง

เพื่อให้ตนประสบความสำเร็จ

ด้วยการใช้ความฉลาดทางปัญญา

ในการทำมาค้าขายหรือทำมาหากิน

โดยอาศัยศาสตร์และศิลป์เป็นเครื่องมือ

 

คนพวกนี้เป็นคนดีในสังคม

เพราะประกอบสัมมาอาชีวะ

จะไม่คดโกง ไม่เอาเปรียบ เบียดเบียนใคร

ไม่เป็นภัยต่อสังคม

เป็นคนเก่ง ฉลาด และเป็นคนดี

แต่เสียอย่างเดียวที่เอาแต่ทางโลกียะ

ดังที่เรากล่าวไว้ข้างต้นแล้ว

 

2. ทำอย่างไรตนจึงจะไม่แพ้คู่แข่งคู่ต่อสู้

แนวคิดมุมนี้ คือ #กลัวแพ้หรือไม่อยากแพ้

 

ถ้าท่านเริ่มต้นจะทำสิ่งใดด้วยความกลัว

พลังอำนาจในตนเองของท่านก็พลันเสื่อม

อย่างกรณีการดำเนินชีวิตและงาน

ด้วยการกลัวแพ้ ไม่อยากแพ้

หรือกลัวไม่สำเร็จที่ว่านี้

มันเป็นการสั่นสะเทือนทางจิตด้านลบชัดๆ

 

เมื่อท่าน "นึกลบ" ตั้งแต่แรกแล้ว

จิตก็จะสั่งการสมองให้ "คิดลบ" ตามทันที

โดยมันย่อมเป็นไปตามสัจธรรมในข้อที่ว่า

#จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว นั่นแหละท่าน

 

ดังนั้น

เมื่อพวกท่านนึกคิดว่า #กลัวจะแพ้

กลัวว่าจะทำไม่สำเร็จ

กลัวว่าจะสู้คู่แข่งขันคนอื่นๆไม่ได้

กลัวว่าตนจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้คู่แข่ง

 

จิตของท่านมันก็จะสั่งการสมอง

ให้คิดหาคำตอบให้ได้ว่า....

"จะต้องทำอย่างไรบ้างตนจึงไม่แพ้"

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เพราะความอยากได้ใคร่มีค่อนข้างสูง

เมื่อสภาวะจิตสั่นสะเทือนเป็นลบคือกลัวแพ้

คนเหล่านี้ก็จะใช้ความฉลาดทางปัญญา

หาวิธีการด้านลบมาใช้เพื่อทำให้ตนไม่แพ้

เพราะ "ความกลัวแพ้" ทำให้จิตเสื่อม

 

คนเหล่านี้

จึงแสดงพฤติกรรมขยะออกมาให้เห็น

เช่น ใจแคบ งก เห็นแก่ตัว โลภ เอาเปรียบ

อยากจะเอามากกว่าอยากจะให้

ไม่ซื่อสัตย์ ไม่จริงใจ ไม่มีสัจจะ เชื่อถือไม่ได้

 

หากจะกล่าวโดยรวมก็คือ

ผู้คนประเภทนี้จะตกเป็นทาสกิเลสตัณหา

จึงทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์

ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตนไม่เสียประโยชน์

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

การที่ธรรมะเข้าไม่ถึงจิตใจคนเหล่านี้

ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่บนโลกนี้ได้

ก็เพราะว่าพวกเขาไม่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ

พวกเขาใส่ใจแต่การแสวงประโยชน์สุขทางโลก

ด้วยการแสวงหาแต่อำนาจมาเป็นเครื่องมือ

เพราะพวกเขา "นึกคิดด้านลบ" คือ กลัว

 

นี่คือคนส่วนใหญ่ในสังคมโลก

จิตสามนึกของแต่ละคนจึงดิ่งลงต่ำ

ไม่รู้จักรัก ไม่รู้จักให้ ได้แต่เอา

จนไม่สามารถละวางความโลภโกรธหลงได้

จึงฉลาดแต่เรื่องชั่วๆและไม่ฉลาดในเรื่องดีๆ

ทวีจำนวนมากขึ้นทุกวันๆอีกต่างหาก

 

พวกท่านหลายคนเคยถามเราว่า

เหตุไฉนสมาชิกกลุ่มยุวจิตจักรวาล

ผู้สนใจเฝ้าฟังพระโอวาทพระบิดา

ทีทรงสื่อผ่านเรามาทาง fb.Visudhi Punya นี้

มีไม่มากมายเท่าใดนัก

 

คำตอบคือ

เพราะบางคน

เข้ามาศึกษาเรียนรู้บ้างไม่เข้าบ้าง

เนื่องจากเป็นคนกลุ่มแรก คือ คนดีนี่แหละ

แต่เน้นที่ทำมาหากินมากกว่าหาธรรมะ

บางวันจึงเข้าห้องเรียนบางวันก็ห่างหายไป

 

กับอีกพวกหนึ่ง คือ ไม่ใส่ใจอะไรเลย

แค่ท่องเน็ทผ่านมาก็ผ่านเลยไป

เพราะตรงนี้ไม่มีสิ่งใดที่ตนต้องการในชีวิต

ทั้งๆที่ทุกตัวอักษรในห้องเรียนนี้

 

1. เป็นพระโอวาทจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ที่สื่อผ่านมาถึงมนุษย์โลกทุกคนโดยเฉพาะ

 

2. เป็นข่าวสารด้านการชำระโลก

ที่มีความรอดของทุกคนเป็นเดิมพัน

ซึ่งหาจากที่อื่นไม่มี

 

3. เป็นองค์ความรู้ที่จะช่วยให้ท่านทั้งหลาย

นำพาดวงจิตวิญญาณกลับบ้านหรือหลุดพ้น

ในภพชาติปัจจุบันนี้ได้ล้านเปอร์เซ็นต์

โดยเฉพาะชาวบ้านหรือฆราวาส

ที่มิอาจถือบวชด้วยการสละทางโลกได้

แต่ปรารถนาจะหลุดพ้นอย่างแท้จริง

 

นี่เราก็ตอบคำถามท่านที่ถามเราไว้แล้ว

แต่จงเชื่อเถิดว่าบางครั้งนั้น

จำนวนคนที่เข้าห้องเรียนนี้มามากๆ

ก็ใช่ว่าจะเป็นตัวชี้วัดจำนวนผู้รอดได้

ถ้าท่านทั้งหลาย #เรียนรู้ไม่เป็น

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

7-1-2018

สนทนาประสาจิตจักรวาล 7/01/2018

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

กฎแห่งกรรมนั้นมีจริง

 

ที่กฎแห่งกรรมนั้นมีจริง

ก็เพื่อต้องการสะท้อนความจริง

ให้ปรากฏแก่ท่านทั้งหลาย

ให้เกิดการเรียนรู้เรื่องกฎหลักที่เป็นข้อใหญ่

คือ #กฎแห่งการสมดุลกันของสรรพสิ่ง

ซึ่งพระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้

เพื่อให้ต่างดำรงอยู่ร่วมกัน

เป็นหนึ่งเดียวได้อย่างมีสันติสุข

 

หลักการขององค์จิตจักรวาลก็คือ

ถ้าท่านรู้ว่าเมื่อทำไม่ถูกต้องต่อผู้อื่นแบบไหน

แล้วทำให้ผู้อื่นเกิดความทุกข์ยากอย่างไร

โดยท่านเกิดมีสำนึกใน #อกเขาอกเรา

หรือเรียนรู้ที่จะเอาใจเราไปใส่ใจเขาบ้างแล้ว

มันก็จะช่วยให้ท่านลดละเลิก

การทำชั่วเช่นนั้นต่อผู้อื่นได้เพราะจิตเมตตา

 

ด้วยเหตุนี้เอง

การเกิดมีกฎแห่งกรรมสำหรับท่านทั้งหลาย

จึงเปรียบเสมือนการใช้กระจกเงา

เอาไว้สะท้อนการกระทำของพวกท่าน

ให้เกิดสำนึกในบาปบุญคุณโทษและผิดถูกดีชั่ว

อันเป็นประโยชน์ใหญ่ของกฎแห่งกรรม

ซึ่งมันจะทำให้แต่ละคนพร้อมที่จะรักกัน

ไม่กระทำการใดที่ก้าวล่วงต่อกันให้เสียสมดุล

จนสามารถอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้อย่างสิ้นเชิง

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เราขอนำตัวอย่างกฎแห่งกรรม

ที่จะทำให้ท่านมีสำนึกในถูกผิดดีชั่วบาปกรรมได้

ด้วยการสะท้อนภาพของความไม่ถูกต้อง

ที่ท่านเคยก่อไว้ต่อผู้อื่นอยู่เป็นนิจ

ทั้งอดีตชาติและในอดีตของชาตินี้

เพื่อให้ท่านเรียนรู้ที่จะมีสำนึกในการละเลิก

ด้วยการยุติกรรมหรือยุติการกระทำนั้นเสียทันที

 

เมื่อใดที่ท่านได้รับบทเรียนแห่งกรรม

อันเป็นภาพสะท้อนความผิดบาปของท่าน

จนเกิดการสำนึกในผิดบาปได้แน่แท้จริงแล้ว

#ผลกรรมนั้น ก็จะกลายเป็นโมฆะกรรมทันที

 

ตัวอย่างกฎแห่งกรรมที่พบเจอบ่อย

ในหมู่ของพวกท่านจนคุ้นชินกันมีดังนี้

 

1. อายุยังไม่เยอะเท่าไหร่

แต่มีรายการเหงือกจ๋าฟันลาก่อนเสียแล้ว

บ้างก็เป็นโรคเหงือกและฟันอักเสบเรื้อรัง

 

กรรมนี้เกิดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตด้วยปาก

ด้วยการเคี้ยวกลืนเลือดเนื้อของสัตว์เป็นอาจิณ

กินเลือดเนื้อพวกเขาอย่างไร้สติทางวิญญาณ

ทั้งๆที่จิตวิญญาณสัตว์เป็น พี่ๆน้องๆของท่าน

เพราะมีพระบิดาแห่งจิตวิญญาณองค์เดียวกัน

 

ดังนั้น

เมื่อทำตนเองให้ปากเสีย-ฟันเสียเช่นว่านี้

เพราะใช้ฟันและเหงือกไม่ถูกต้อง

ท่านผู้นั้นจึงต้องเผชิญปัญหาด้านเหงือกและฟัน

เพื่อให้เกิดสำนึกในผิดบาปนี้ให้ได้

 

2. เป็นคนมีลมหายใจเหม็นจนน่ารังเกียจ

โดยลมหายใจออกมาทั้งทางปากและจมูก

คบกับใครก็ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ชิด

เพราะคนรอบข้างรังเกียจกลิ่นปากและลมหายใจ

ท่านผู้นี้จึงเสมือนไร้เพื่อนไม่มีใครคบ

 

กรรมที่ก่อมาจากอดีตเป็นอาจิณก็คือ

เป็นคน #ปากเสีย ชอบพูดจาก้าวล่วงผู้อื่น

ไม่ว่าเรื่องเท็จหรือเรื่องจริง

 

เป็นคนถนัดในการใส่ความป้ายสีผู้อื่นก็มี

เพราะความเกลียดชังผู้อื่นก็มี

เพราะความปากพล่อยจึงพูดโดยไม่ยั้งคิดก็มี

เพราะชอบพูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่ผู้อื่นก็มี

 

เพราะชอบพูดเท็จหรือพูดโกหกเป็นอาจิณ

จนคนเขาจับได้ก็ยังมิวายจะโกหกต่อไปอีก

แม้การโกหกนั้นมิได้ทำให้ใครเสียหายก็ตาม

 

กฎแห่งกรรมก็จะสะท้อนภาพจริงให้ปรากฏ

ด้วยการสำแดงมายาสองประการ คือ

 

1.) ปากและลมหายใจเหม็นจนน่ารังเกียจ

แม้จะรักษาอย่างไรก็ไม่หายขาด

เพราะมันออกมาจากภายในช่องท้อง

 

2.) ผู้คนรอบข้างจะพากันห่างเหิน

ไม่มีใครอยากอยู่ใกล้ชิดคนลมหายใจมีกลิ่น

 

เสมือนในกาลอดีตที่คนรอบข้างพากันหนีหาย

เพราะรังเกียจปากพล่อย ปากหมา ปากเสีย

ซึ่งชาตินี้ก็คือปากเหม็นของท่านผู้นั้นนั่นเอง

 

ถ้าชาตินี้สำนึกในผิดบาปของตนได้

กรรมนั้นก็จะกลายเป็นโมฆะทันที

รหัสกรรมที่ติดกับจิตวิญญาณอยู่ก็จะสลายไป

 

3. เกิดอาการเป็นคนหูตึง หูแว่ว ขึ้นมาเฉยๆ

บทเรียนกรรมนี้ก็เพื่อสะท้อนให้รู้ว่า

ที่หูตึงพูดค่อยแล้วไม่ได้ยิน

จนต้องคอยจ้องอ่านปากของคนที่พูดด้วยนั้น

 

เป็นเพราะในกาลอดีตที่ผ่านมา

เป็นคนมีนิสัยหลงตัวเองดื้อรั้นเชื่อมั่นตนเองสูง

ไม่ยอมรับฟังคำแนะนำตักเตือนสั่งสอน

ซึ่งเป็นความปรารถนาดีของพ่อแม่ครูอาจารย์

ญาติพี่น้องและเพื่อนพ้องทั้งหลายเลย

จนยังผลให้ผู้ปรารถนาดีทั้งหลายเอือมระอา

บางท่านเกิดอาการเสียสมดุลทางอารมณ์ก็มี

 

ผลกรรมนี้จึงต้องสะท้อนให้หูตึงได้ยินไม่ชัด

ก็เพื่อให้สำนึกในคุณค่าของการใช้หูรับฟังสิ่งดีๆ

แทนที่จะทำเป็นไม่ได้ยินเหมือนหูหนวกหูตึง

เมื่อหูตึงท่านผู้นั้นก็จะเพ่งในการฟังมากขึ้น

จนทำให้เกิดสำนึกได้ว่า "ตนต้องฟัง" ให้มาก

เพราะความรู้ที่ได้จากการฟังผ่านช่องหู

เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่รับรู้ไม่รับฟังไม่ได้

 

นอกจากนั้น

การต้องจ้องมองที่ปากของคนพูดเมื่อตนหูตึง

ก็เพื่อให้สำนึกให้ได้ว่าทุกคำพูด

ที่ออกจากปากของคนอื่นๆนั้น

จะต้องตั้งใจฟังตรงปากคำที่เขาพูดให้มากๆ

ต้องฟังให้ชัดเจน ต้องฟังไม่ผิดพลาด เป็นต้น

 

ส่วนกรณีคนหูแว่วนั้น

เป็นเพราะในอดีตชาติเคยเป็นคนหูเบา

โดยตกเป็นทาสของการยุยงส่งเสริมเสมอๆ

เพราะใจคอไม่หนักแน่นพอ

จนมีการกล่าวโทษคนผิด ทำโทษผิดคนอยู่เนืองๆ

ใครพูดเท็จอย่างไรเป็นเชื่อเขาไปหมด

ทำตนเหมือนคนขาดสติควบคุมจิตใจตนไม่ได้

 

ผลกรรมที่ต้องรับสะท้อนมาสอนตนให้สำนึก

ก็คือ อาการหูแว่ว จนจิตใจสงบสุขไม่ได้

เพราะได้ยินเสียงคนพูดกรอกหูอยู่เรื่อย

เอาสำลีอุดหูก็ไม่หายเพราะมันเป็นโรคกรรม

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

กฎแห่งกรรมจึงมีไว้สร้างสำนึกของพวกท่าน

 

จงสังเกตบทเรียนกรรมในชีวิตจริงของท่านไว้

แล้วรีบสำนึกมันให้ได้ไวๆเพื่อทำกรรมนั้นให้สิ้น

อย่าเอาแต่ทำมาหากินจนไม่สนจิตวิญญาณเลย

เวลาข้างหน้าในการชำระโลกคาบสุดท้ายนั้น

มันเหลือให้ชาวโลกน้อยลงไปทุกทีแล้ว

 

มันยังมีกรรมอีกมากมาย

ที่เรามิอาจกล่าวถึงได้หมดสิ้น

จงเร่งชำระกรรมเก่าให้สิ้น

โดยไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่ม

ควบคู่กันกับการชำระจิตใจให้ใสสวย

จงเตรียมตนเองและจิตวิญญาณเพื่อการผจญภัย

เอาไว้ให้พร้อมนับแต่บัดนี้เถิด

 

อย่าทิ้งห้องเรียนกันอีกเลย

หากปรารถนาความรอด

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

7-1-2018