31 มกราคม 2559

อรุณสวัสดี....ศรีอโยธยา


อรุณสวัสดี....ศรีอโยธยา

ขอจงสุขสมหวังที่ตั้งใจ
ทำสิ่งใดขอให้จงราบรื่น
ที่สูญหายเสียไปจงได้คืน
จงสดชื่น......วันอาทิตย์พิชิตชัย

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
31-1-2016

30 มกราคม 2559

จิตจักรวาล พระจิตแห่งจักรวาล


เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลาย
ที่ยังคงสงสัยในสิ่งไม่ควรสงสัยกันอยู่ว่า 
"เราเป็นใคร" คริสต์ หรือ พุทธ
เพื่อคลี่คลายหายสงสัยให้ได้รู้

เราจึงใคร่เชิญชวนท่านให้พิจารณา "เรา
ด้วยปัญญาของท่านเท่าที่ใช้ได้อยู่
จากคุณสมบัติของเรา
ที่ได้สำแดงต่อท่านทั้งหลาย
ติดต่อสืบเนื่องกันมากว่าสามสิบปีแล้ว

ทั้งเรื่องที่เรากล่าวต่อท่านว่า
เราเป็นผู้ซึ่งพระบิดาทรงใช้ให้มา
นำพาแก่นแท้ท่านกลับบ้าน
ด้วยการมานำทางเจ้าสาวเข้าประตูห้องหอ
ด้วยการต้อนแกะผู้หลงทางให้กลับเข้าฝูง

พระองค์ทรงใช้ให้เรามา
ดูแลภารกิจสำคัญในการพิพากษาโลก
ด้วยกระบวนการคัดแยกปลาออกจากน้ำ
ให้แล้วเสร็จก่อนกาลปิดยุค 56 วัน 8 ราตรี

พระองค์ทรงใช้ให้เรามา
แจ้งข่าวสารการเปลี่ยนโลกกับมนุษย์
ดำเนินผ่านไปสู่ยุคพลังงานใหม่
ให้เราแจ้งข่าวสารด้านมหันตภัยพิบัติให้โลกรู้

พระองค์ทรงใช้ให้เรามากล่าวพระโอวาท
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล
พระผู้ทรงเป็น "จิตแห่งจักรวาล"
พระผู้ทรงเป็น "พระผู้สร้างองค์ธรรม
อันประกอบด้วยองค์ธรรม 3 ประการ คือ
โลกียธรรม 
โลกุตรธรรม 
และอนุตรธรรม 

คุณสมบัติสำคัญอีกประการหนึ่ง
ซึ่งท่านควรพินิจพิจารณาเรา
นั่นคือ การถอดรหัสนัยแห่งพระคัมภีร์
ทั้งที่เป็นพุทธวจนะ 
และจากนัยแห่งพระวรสารในพระคัมภีร์

หากท่านทั้งหลาย
ติดตามศึกษามาโดยตลอดก็จะยิ่งพบว่า
ภารกิจทั้งหมดของเราที่กระทำมา
มันจักเป็นยิ่งกว่า "วิทยานิพนธ์" ด้วยซ้ำไป

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
30-1-2016

พระคัมภีร์ "จิตจักรวาล"



พระคัมภีร์ "จิตจักรวาล" ที่อยู่บนหิ้งทั้งหมดนี้

น้องๆพี่ๆมีไว้ศึกษาด้วยตนเองกันหรือยัง?

29 มกราคม 2559

พุทธวจน # 3


"พุทธวจนะ"

# เพราะละราคะได้
อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง
ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี

วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม
จึงหลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง

เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่น
เพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง
เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว
เมื่อไม่หวั่นไหวก็ปรินิพพานเฉพาะตน#

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พุทธวจนะบทนี้ทรงหมายความว่ากระไรบ้าง

1.ประโยคที่ว่า.................

"เพราะละราคะได้
อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง
ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี"

พระองค์ทรงหมายความว่า
ถ้าผู้ใดสามารถ "ละวาง
ความรู้สึกชอบ-ไม่ชอบซึ่งเป็นราคะกิเลส
ใน รูป รส กลิ่น เสียง และกายสัมผัส
ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
การสั่นสะเทือนให้เกิด"เวทนา"ก็ย่อมไม่มี

เมื่อไม่มี "เวทนา" เกิดขึ้น
เหตุให้จิตสั่นสะเทือนทางอารมณ์
จนเกิดเป็น "พลังงานจิต
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบ
ซึ่งเป็นผลกรรมในมิติทางพลังงาน
ที่พระพุทธองค์ทรงใช้คำว่า "วิญญาณ
มันก็จะไม่ถูกผู้นั้นผลิตสร้างขึ้นมาได้
ตามที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวเอาไว้ว่า

"อารมณ์สำหรับวิญญาณก็ขาดลง
ที่ตั้งของวิญญาณก็ไม่มี

ทรงหมายถึงว่า....
ถ้าใครดับเวทนาได้แล้ว
เหตุแห่งการเกิดขันธ์ที่
อันหมายถึง "ที่ตั้ง" ของวิญญาณ
ก็ย่อมจะไม่มีด้วยเช่นกัน

2.ประโยคที่พระพุทธองค์
ทรงกล่าวต่อเนื่องไว้อีกก็คือ

"วิญญาณอันไม่มีที่ตั้งนั้นก็ไม่งอกงาม
จึงหลุดพ้นไปเพราะไม่ถูกปรุงแต่ง"

พระองค์ทรงหมายความว่า

ถ้าผู้ใดสามารถดับเวทนาคือราคะกิเลสได้
ผู้นั้นก็จะสามารถดับตัณหา
ซึ่งเป็นที่มาแห่งอารมณ์ได้
และที่ดับทั้งหมดได้ หรือ"หลุดพ้นไป"
ก็เพราะจิตไม่มีการปรุงแต่ง
เมื่อได้รับรู้ "อะไรอะไร" นั่นเอง

3.ประโยคที่ทรงกล่าวว่า....

"เพราะหลุดพ้นไปก็ตั้งมั่น
เพราะตั้งมั่นก็ยินดีในตนเอง
เพราะยินดีในตนเองก็ไม่หวั่นไหว
เมื่อไม่หวั่นไหวก็ปรินิพพานเฉพาะตน"

ทรงหมายความว่า....

ถ้าผู้ใดสามารถดับราคะกิเลสเวทนาได้
จนยังผลให้ดับอารมณ์หยาบๆรายวันได้ด้วย
มันคือ "การหลุดพ้น" ไปจาก
การก่อ "ผลกรรม" ได้อย่างสิ้นเชิง
สภาวะจิตของผู้นั้นก็จักหนักแน่นมั่นคง

เพราะสภาวะจิตหนักแน่นมั่นคงนี่แหละ
มันจะนำไปสู่ความมี "ปีติยินดี" ของจิต
เมื่อจิตมีปิติยินดีหรือมีความสุขสงบแล้ว
คนผู้นั้นก็จักเป็นมนุษย์ที่สมดุล
เมื่อคนผู้นั้นสามารถรักษาสมดุลของจิต
เอาไว้ได้ตลอดเวลาแล้ว
ก็จักดับการเกิดดับของเวทนาและอารมณ์
ได้อย่างสิ้นเชิงในบั้นปลาย

นี่คือสภาวะของ "นิพพานก่อนตาย"
ของคนผู้นั้นโดยแท้

4.ทั้งหมดที่เรากล่าวมา
เป็นการถอดรหัสนัยความหมาย
แห่งพุทธวจนะอีกบทหนึ่งที่ทรงตรัสไว้
เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้วให้ท่านรู้

ชาวจิตจักรวาลทั้งหลายล้วนรู้ดีว่า
เราได้สื่อพระโอวาทจากพระบิดา
มาสอนพวกท่านในเรื่องพวกนี้
ตั้งสามสิบปีที่ผ่านมาแล้ว

เพียงแต่มิค่อยมีผู้ใดใส่ใจในคำสื่อสอน
เพราะมัวยึดติดอยู่กับตัวตนพระศาสดา
เพราะมัวแต่ยึดติดตัวอักษรในพระคัมภีร์
ทั้งๆที่ยังเข้าใจไม่แจ่มแจ้งกันอยู่เลย

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา
29-1-2016

จันทรากับดารา ณ ราตรีนี้


สุขสงบสุนทรี 
ดุจราตรีที่มีจันทราคู่กับดารา

จงมีแด่พี่ๆน้องๆชาวโลกเสรีที่รักทั้งหลาย
ขอให้หลับสบายตลอดคืนนะ

เอเมน สาธุ
ราตรีสวัสดิ์

.วิสุทธิปัญญา
29-1-2016

28 มกราคม 2559

พุทธวจน # 2



ท่านศาสนิกชนคนใฝ่ธรรมบริสุทธิ์ทั้งหลาย
เรามีความจริงที่ได้กล่าวต่อท่านทั้งหลายไปแล้วว่า
พระพุทธวจนะบทที่ว่า....

"ดูกร...พาหิยะ...
เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น
ได้ฟังเสียงแล้ว ก็สักว่าฟัง
ได้ดมกลิ่นแล้ว ก็สักว่าดม
ได้ลิ้มรสแล้ว ก็สักว่าลิ้ม
ได้สัมผัสทางผิวกายแล้ว ก็สักว่าสัมผัส"

ถ้วนทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น
พระพุทธองค์ทรงหมายความว่าอย่างไร

คราวนี้เรายังมีความจริงที่จะกล่าวอยู่อีกว่า
พระพุทธวจนะบทเดียวกันนั้นเอง
ยังมีคำสอนของพระองค์ที่ท่านทั้งหลาย
จักต้องรู้ขบคิดอยู่อีกตอนหนึ่งด้วย
ความว่า....

"เมื่อนั้น "เธอ" จักไม่มี
เมื่อใด "เธอ" ไม่มี 
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้
"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น
ไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง
นั่นแหละ....คือ ที่สุดแห่งทุกข์"

พระพุทธองค์ทรงกล่าวต่อพาหิยะ
ผู้เป็นพระสาวกว่าดั่งนี้

1.ถ้าท่าน"พาหิยะ"สัมผัสรู้ดูเห็นและนึก
ด้วยอายตนะทั้งหก คือ "รับรู้อะไร" นั่นแล้ว

ก็ให้นำ "อะไรที่ตนรับรู้นั้น" มา "เรียนรู้"
เพื่อให้ได้องค์ความรู้ว่า "อะไรเป็นอะไร"
แบบรู้จริง รู้แจ้ง แทงตลอด
ซึ่งจะช่วยให้ท่านพาหิยะ 
เพิ่มเติมคุณสมบัติแห่งตนให้เป็นผู้ที่ 
"รอบรู้มากขึ้น" และ "ฉลาดยิ่งขึ้น" เรื่อยๆ

2.พระพุทธองค์มิได้ทรงตรัสสอนให้ท่านพาหิยะ
สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดแล้วให้ "ปล่อยว่าง"
ด้วยการ "วางทิ้งสิ่งนั้น" ทันที
เพื่อหมายทำให้จิตว่างหรือจิตสุญญตา

เพราะความหมายของ "จิตสุญญตา"
ตามวิถีแห่งจิตจักรวาลนั้นหมายถึง
การว่างไปจากอายตนะที่มีอยู่
ทั้งตา หู จมูก ลิ้น(ปาก) กายสัมผัสและจิตนึก
มิใช่การทำให้ "จิตว่าง" ไม่เอาอะไรเลย

3.เรารู้ว่า "จิตมนุษย์" มันว่างไม่ได้
มันมีนิสัยเหมือนลิง คือ ซุกซนอยู่ไม่นิ่ง
แล้วก็ต้องมี "สรรพสิ่ง" ให้มันยึดเกาะเสมอ

ถ้าปล่อยให้จิตท่านมันยึดตัวท่านเองไว้
ท่านก็จะกลายเป็นคน "หลงในอัตตา"

ถ้าปล่อยให้จิตท่าน
มันยึดตัวตนครูหรือใครไว้
ท่านก็จะกลายเป็นคน "งมงาย" ในครูคนนั้น

หากท่านเป็นดั่งว่ามานี้แล้ว
ตัวกิเลสตัณหาก็จะตามมาอีกเพียบ!
ทุกท่านจึงต้องหา "สรรพสิ่งอื่น" ให้จิตมันทำ
อย่าปล่อยให้มันว่างงานเด็ดขาด

ซึ่งเราได้แนะเน้นต่อท่านแล้วว่า
ให้อะไรกับอะไรนั่น
ทันทีที่จิตท่านรับรู้ผ่านอายตนะมา
เพื่อให้ได้ความรู้ว่า "อะไรเป็นอะไร"

ถ้าทำอย่างนี้ได้จิตของท่านก็จะไม่ว่าง
มันก็จะไม่มีเวลาไปเที่ยวปรุงแต่ง 
"อะไร" ที่จิตรับรู้ผ่านอายตนะเข้ามา
ให้เกิดเป็น "ความรู้สึก" เพราะจิตตก
อันสภาวะที่จิตตกนี่แหละนะ
จิตท่านได้ "เกิดเวทนา" ขึ้นมาแล้ว
กระบวนการธรรมจักรที่ในจิต
ก็จะแปรผันเป็น "กรรมจักร" ทันที

การรับรู้อะไรแล้ววางเฉยหรือวางทิ้ง
ไม่ยอมเรียนรู้ว่า "อะไรเป็นอะไร"
โดยพยายามที่จะ "ไม่อะไรกับอะไร" นั้น 
มันคือการปล่อยให้จิตว่างมิใช่"ปล่อยวาง"
ซึ่งมันผิดธรรมชาติ มันจึงมิใช่ธรรมะแท้

4.ยังมีข้อความที่ทรงตรัสต่อ "พาหิยะ" อีกว่า

"เมื่อนั้น "เธอ" จักไม่มี
เมื่อใด "เธอ" ไม่มี 
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้
"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น
ไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง
นั่นแหละ....คือ ที่สุดแห่งทุกข์"

5."เมื่อนั้นเธอจักไม่มี" หมายความว่า 
ถ้าท่านพาหิยะรับรู้อะไรแล้วเรียนรู้
เรียนรู้แล้วค่อยละวางสิ่งนั้น
โดยไม่เอามาปรุงแต่ง
จนเกิดเป็น"ความรู้สึก"

ท่านพาหิยะก็จะเป็นดั่งเช่นก้อนหิน
ที่แม้ฝนจะตกใส่แสงแดดจะส่อง
หินจะเปียกจะร้อนก็ไม่ยินดียินร้ายอะไร
นี่คือคำว่า "เธอ" จักไม่มี
ไม่ต่างจากการอยู่บ้านคนเดียวเงียบๆ
จนคนข้างบ้านเข้าใจว่าไม่มีใครอยู่
เมื่อไม่มีใครอยู่ก็ไม่ต่างจากไม่มีตัวตน
การไม่มีตัวตนนี่แหละ
พระพุทธองค์จึงทรงกล่าวว่า 
เมื่อนั้น "เธอ" จักไม่มี

6.ที่พระองค์ทรงกล่าวว่า...
เมื่อใด "เธอ" ไม่มี 
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้

ทรงหมายความว่า....
ถ้าท่าน "พาหิยะ" สั่นสะเทือนจิตใจ
เกิดเป็นความรู้สึก
ที่เป็น "กิเลส" ขึ้นมาเมื่อไหร่
จิตนั้นก็จะสั่นสะเทือนต่อเนื่องไป
เกิดเป็นอยากไม่อยาก 
ที่เรียกว่า "ตัณหา"

จากตัณหาก็จะนำไปสู่ 
"อารมณ์หยาบๆ" ต่อไป
โดยที่ท่าน"พาหิยะ"
จะไม่สามารถหยุดยั้งมันได้
เพราะมันเป็นกระบวนการทางพลังงาน
ซึ่งขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนของ "สังขาร"
อันเป็นขั้นตอนที่สี่ในกระบวนการของขันธ์ 5

7.ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เมื่อใดก็ตามที่จิตท่านมันสั่นสะเทือน
จนเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกหยาบๆรายวันแล้ว
ต่อมไร้ท่อที่ทำงานร่วมกับจิตมนุษย์
จะผลิตสร้างพลังงานของจิตออกมา
ที่เรียกว่า "พลังงานกรรม" เสมอ

พลังงานกรรมนั้นจะอยู่ในรูปของ
คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
โดยจะเป็นได้ทั้งชนิดบวกและลบ
ถ้าเป็นบวกส่วนมากก็เป็นความรัก
ถ้าเป็นลบก็จะเป็นพวก โลภ โกรธ งมงาย

ดังนั้น
ถ้าท่านพาหิยะไม่สร้างความมีตัวตนขึ้นมา
เจ้าคลื่นพลังงานจิต หรือ "พลังงานกรรม"
ที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้น
มันก็จะไม่ถูกผลิตสร้างขึ้นมาใหม่

นั่นจึงเท่ากับว่า "เธอ" คือ ท่านพาหิยะ
เสมือนไม่มีตัวตนอยู่ในระบบโลกนี้นั่นเอง

เพราะเหตุนี้เอง
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า

เมื่อใด "เธอ" ไม่มี 
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้

8.จากนั้นพระพุทธองค์
ยังได้กล่าวเอาไว้ต่อไปอีกว่า

"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น
ไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง

ทรงหมายความว่า....

ถ้าท่าน"พาหิยะ" รับรู้อะไรสิ่งใดแล้วไม่รับเอา
จนไม่มีการผลิตสร้างพลังงานจิต
ที่เป็นผลกรรมด้านลบจากอารมณ์หยาบๆแล้ว
นั่นเท่ากับว่าท่าน "พาหิยะ
สามารถก่อกรรมโดยไม่เกิด "ผลกรรม" ได้

เมื่อท่านพาหิยะ
สามารถดำรงตนอยู่เหนือกรรมได้
แสดงว่าท่านพาหิยะน่ะได้ "แทรกแซง"
กระบวนการของขันธ์ 5 ที่เดิมมันเป็นกรรมจักร
ตั้งแต่ท่านพาหิยะเป็นกุมารน้อยมาแล้วนั้น
จนสามารถเปลี่ยนมาเป็น "ธรรมจักร" ได้สำเร็จ

เมื่อหมุนธรรมจักรได้เป็นผลสำเร็จดั่งนี้
ท่านพาหิยะก็จะสามารถ
ข้ามผ่านการมีสังสารวัฏได้

เมื่อท่านพาหิยะทิ้งกายสังขารไปวันใด
จิตวิญญาณของท่าน
ก็ไม่ต้อง "หลุดลง" สู่นรก
เพื่อเยียวยาจิตวิญญาณที่เกิดการหลงมิติ

จิตวิญญาณของท่าน
ก็ไม่ต้อง "หลุดลอย" สู่แดนสวรรค์
ไปติดค้างอยู่ในแดนสวรรค์มายานั่น

พระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อท่านพาหิยะว่า
"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น

9.ประโยคสุดท้าย
ที่ทรงกล่าวต่อท่านพาหิยะว่า
"จะไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง" นั้น
ทรงหมายความว่า....

ถ้าท่านพาหิยะสามารถเป็นคน "พ้นกรรม"
คือ หมุนธรรมจักรได้เป็นผลสำเร็จ
จนตราบสิ้นอายุขัยในภพชาติปัจจุบัน
ตามรายละเอียดที่เราขยายความไว้ข้างต้นนั้น

มันจะยังผลให้ดวงจิตธรรมญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านพาหิยะ
นอกจากจะไม่ต้องหลุดลงสู่ภพภูมินรก
นอกจากจะไม่ต้องหลุดลอย
เพื่อขึ้นสู่ภพภูมิสวรรค์มายาแล้ว
ท่านยังจะไม่ต้อง "หลุดหล่น" มาเกิดเป็นคน
บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้อีกตลอดไปด้วย

พระพุทธองค์จึงทรงตรัสต่อท่านพาหิยะ
เป็นประโยตสุดท้ายตามพระวจนะบทนี้ว่า

เธอก็จะไม่ปรากฏ 
"ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง
ทรงหมายถึงระหว่างสวรรค์มายากับนรก
ก็คือโลกมนุษย์ไงล่ะท่าน

ที่ทรงตรัสว่า
"นั่นแหละ....คือ ที่สุดแห่งทุกข์"
ทรงหมายถึงท่านพาหิยะจะสามารถ
หยุดการเวียนว่ายตายเกิดในไตรภูมิคือ 3 โลก
ได้อย่างสิ้นเชิง

นี่ไง...รหัสลับจากพระวจนะที่ทรงชี้ว่า
เส้นทางการหลุดพ้น คือ นิพพานน่ะไปทางนี้

10.เราขอถามพวกท่านว่า
ที่เราสื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาล
เพื่อชี้ทางหลุดพ้น คือ กลับบ้าน
มันมิได้กระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือน
ทางจิตตปัญญาของพวกท่านบ้างเลยหรือ

เราย้ำแล้วว่าเราอาสาพระบิดาลงมา
เรามาทำหน้าที่แทนพระบิดา
เรามาทำหน้าที่ตามพวกท่านกลับบ้าน
เรากล่าวแต่ความจริง
เราสนับสนุนพวกท่าน
ให้ยอมรับในพระศาสดาที่ท่านรับถือกันจริงจัง
อย่าได้แต่เอาพระศาสดามาอ้างโดยปัญญาไม่เปิด

เรามิได้มาสร้างลัทธิใหม่ แต่เรามาให้ความรู้ใหม่
เรามิได้มาสร้างสำนัก แต่เรามาสร้างสำนึกให้

เรามิได้มาแย่งสาวกของใคร 
แต่เรามาสอนให้พวกท่านรู้จักการพึ่งตนเอง

ที่สำคัญ คือ เรากลับมาตามสัญญา
เราอยากบอกเจ้าสาวทั้งหลายว่า
จงตื่นจากหลับไหลเสียที
ตะเกียงที่วางอยู่น่ะจงหยิบขึ้นมาถือ
แล้วก้าวตามเรามาได้แล้ว....

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

28-1-2016

27 มกราคม 2559

กฎแห่ง "แร้ง-กา"


กฎแห่ง "แร้ง-กา"
*****************
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.อันว่า ตา หู จมูก ปาก และผิวกาย
ซึ่งเป็นกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้านั้น
พระบิดาทรงกำหนดสร้างเอาไว้ให้
ท่านทั้งหลายได้ใช้สัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่ง
แล้วส่งคลื่นข้อมูลการรับรู้เข้าสู่จิต
เมื่อจิตเกิดการรับรู้และเรียนรู้แล้ว
ก็ให้ส่งข้อมูลรู้นั้นเข้าสู่ "ใจ" คือจิตวิญญาณ
เพื่อการคิดตัดสินใจที่จะ "รัก" เพื่อ "ให้"
ต่อสรรพสิ่งที่สัมผัสรู้ดูเห็นนั้นเสมอ

2.เพราะนี่จะเป็นการแทรกแซง
กระบวนการของขันธ์ 5 ตามวิถีแห่งธรรม
ซึ่ง "วิถีแห่งธรรม" ก็คือ
ความเป็นไปตามธรรมชาตินั่นเอง

3.ถ้าวันๆท่านเอาแต่ปิดตา
ไม่สัมผัสสัมพันธ์กับผู้ใด
โดยมีตาก็เปรียบเหมือนไม่มี
เพราะมัวหลับตาอยู่
จึงประหนึ่งว่าทำให้ตาดีๆนั้นบอดเสีย

4.ถ้าวันๆท่านเอาแต่ปิดหู
ไม่สัมผัสสัมพันธ์กับผู้ใด
ไม่รับฟังเสียงใคร
โดยมีหูก็เปรียบเหมือนไม่มี
เพราะมัวปิดหูอยู่
จึงประหนึ่งว่ามีหูเหมือนหูหม้อ

5.ถ้าวันๆท่านเอาแต่ปิดปาก
ไม่สัมผัสสัมพันธ์กับผู้ใด
ไม่พูดจาคบหาใคร
มีปากเอาไว้แค่กินอย่างเดียว
เพราะมัวปิดปากอยู่
จึงมีปากก็ประหนึ่งว่าไม่มีแล้ว

6.ถ้าวันๆท่านเอาแต่ปิดจมูก
ไม่รับรู้ในกลิ่นใดๆ
มีจมูกเอาไว้แค่เพียง
กำหนดลมหายใจเข้าออกแล้ว
จึงประหนึ่งมีจมูกแต่เหมือนไม่มีแล้ว

7.เราจะถามท่านทั้งหลายว่า
การยึดติดอยู่กับพฤติกรรมเยี่ยงนี้นั้น
มันเป็นการประพฤติตนผิดธรรมชาติ
ของการเป็น "สัตว์สังคม" ไปหรือเปล่า

8.ท่านทราบกันดีว่า
ทั้งนกแร้งและนกกา
เขามี "ปาก" เอาไว้ส่งเสียงดังๆ
เป็นคลื่นความถี่สูงที่เรียกว่า "ปากดี"
เพื่อใช้เรียกเพื่อนฝูงจากที่ไกลๆ
เมื่อตัวใดตัวหนึ่งพบเห็นอาหาร

9.เพราะมี "นัยน์ตา" ที่มองเห็นได้ไกลๆ
และตาพวกมันจะว่องไวต่อสิ่งพิรุธมาก
ที่เรียกว่า "ตาดี" นั่นแหละ

10.ส่วนเพื่อนฝูงของนกแร้งนกกานั้น
ก็จะมีหูที่ว่องไวจนสามารถได้ยิน
เสียงเรียกจากนกตัวอื่น
ที่ตื่นเต้นเมื่อยามพบเห็นอาหาร
ที่เพื่อนเรียกขานมาจากระยะไกลได้
ที่เรียกว่า "หูดี" อีกต่างหาก

11.ท่านทั้งหลายจะสังเกตได้มั้ยว่า
ฝูงนกแร้งนกกาเหล่านี้
มีกลไกอายตนะภายนอกสามอย่าง
ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ามนุษย์มาก คือ 

ตาไวไกล (ตาดี)
หูไวไกล (หูดี)
ปากไวไกล (ปากดี)

ซึ่งนับได้ว่าเป็นสุดยอดเห็นนกแล้ว
กับการมีอายตนะ 3 ชิ้นนี้วิเศษยิ่งกว่านกอื่นๆ

12.เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะพวกมันถูกกำหนดให้
มีอายตนะบอดเสียอยู่ช่องทางหนึ่ง
นั่นคือ "จมูกบอด" 
เพราะมันไม่สามารถใช้จมูกรับรู้กลิ่นอาหาร
จากทั้งระยะไกลและเมื่ออยู่ใกล้ได้เลย

มันจึงดีใจกับอาหารชิ้นใหญ่
จำพวกสัตว์ตายจนเน่าเหม็น
ซึ่งสัตว์ชนิดอื่นเขาไม่กินกันแล้ว
แต่พวกมันก็จะไล่จิกตีกัน
เพียงเพื่อจะรุมทึ้งสัตว์เน่าที่เขาไม่เอาแล้ว
อย่างน่าคลื่นเหียน

13.นกแร้งนกกาจึงน่าจะเป็น "ครู" พวกท่าน
ที่วันๆรักแต่จะนั่งหลับหูหลับตาปลีกวิเวก
แล้วใช้จิตนึกมโนเอาเอง
เพื่อสร้างบทเรียนกับบททดสอบให้ตนเอง
แล้วก็ตรวจข้อสอบที่ทำเองกันเอาเอง
โดยไม่รู้ว่าคำตอบของตนนั้น
ถูกต้องแท้จริงหรือไม่
ก็ได้แต่เข้าข้างตัวเองเท่านั้น

ดูอย่างนกแร้งนกกา....สิ
แม้พวกเขาจะตาดี จะปากดี จะหูดี
โดยบอดที่จมูกอย่างเดียว
แต่พวกเขาก็ยังทำผิดพลาดใหญ่หลวง
เพราะไม่รู้ว่าสัตว์ตายที่ไม่มีสัตว์อื่นใส่ใจแล้ว
ซึ่งพวกตัวกำลังรุมทึ้งแย่งชิงจิกกินกันอยู่น่ะ
มันเป็น "ของเน่าเหม็น" มันไม่น่าจะกิน
กลิ่นมันเหม็นจนน่าจะอ๊วก! เสียมากกว่า

เปรียบดั่งพวกท่านที่เป็นมนุษย์
มีอายตนะที่ดีๆให้เรียนรู้ที่จะใช้มันให้เป็น
ใช้มันให้เกิดประโยชน์
แต่ดันไปเก็บตัวปิดหูปิดตาปิดปากจนหมด

แล้ววันๆท่านจะเรียนรู้โลกกว้าง
เรียนรู้โลกแห่งความเป็นจริง
จากการนั่งมโนนึกเองกันได้อย่างไร

การดำเนินชีวิตประจำวันของท่าน
"มันจะไม่ผิดพลาด" เหมือนดั่งนกแร้งนกกาหรือ

การทำผิดโดยไม่รู้ว่าตัวผิด
การทำชั่วโดยไม่รู้ว่าตัวชั่ว
การทำบาปโดยไม่รู้ว่าตัวบาป
จักเป็นคุณสมบัติที่ผิดพลาด
ซึ่งมันจะติดตัวแก่นแท้คือจิตวิญญาณ
ของพวกท่านไปตราบชั่วอนันตกาล

หมายเหตุ:

ขอบพระทัยองค์จิตจักรวาล
พระผู้กำหนดสร้างนกแร้ง นกกาขึ้นไว้
ให้เป็นครูที่อยู่ใกล้ตัวมนุษย์โลก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-1-2016

พุทธวจน # 1



พุทธวจนบทนี้...หมายความว่า 
"ไม่อะไรกับอะไรอยู่แล้ว
อย่างที่บางคนเชื่อกันจริงแท้แน่หรือ?

**เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
"พุทธวจน" บทนี้มีอะไรๆต้องคิดให้สุดนะ
โดยมีความว่า....

"ดูกร...พาหิยะ...
เมื่อใดเธอเห็นรูปแล้ว สักว่าเห็น
ได้ฟังเสียงแล้ว ก็สักว่าฟัง
ได้ดมกลิ่นแล้ว ก็สักว่าดม
ได้ลิ้มรสแล้ว ก็สักว่าลิ้ม
ได้สัมผัสทางผิวกายแล้ว ก็สักว่าสัมผัส
เมื่อนั้น "เธอ" จักไม่มี

เมื่อใด "เธอ" ไม่มี 
เมื่อนั้น "เธอ" ก็จักไม่ปรากฏในโลกนี้
"เธอ" ก็จัก "ไม่ปรากฏ" ในโลกอื่น
ไม่ปรากฏ "ในระหว่าง" แห่งโลกทั้งสอง

นั่นแหละ....คือ ที่สุดแห่งทุกข์"

เชิญนักธรรมล้อมวงเข้ามา
แล้วใช้ปัญญาสนุกคิดตามเรากันหน่อยมั้ย?

1.การเห็นรูปแล้ว สักแต่ว่าเห็นนั้น
สำหรับนักบวชผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
พระพุทธองค์ทรงหมายถึงว่า

เมื่อมีการ "กำหนดเห็น" หรือ "มโนนึก
ถึงรูปธรรมใดๆแว่บขึ้นมาแล้ว
ก็จงอย่าไปปรุงแต่งมัน
โดยให้รับรู้แค่ว่าตนนึกเห็นอะไรอยู่
แล้วพิจารณาดูว่า "อะไรเป็นอะไร"

เมื่อได้องค์ความรู้จาก "อะไร" นั่นแล้ว
ก็ให้ละวางรูปธรรมนั้นเสีย
อย่าไปติดใจในรูปธรรมนั้นอีก

2.การได้ฟังเสียงแล้ว ก็สักว่าฟังนั้น
สำหรับนักบวชผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
พระพุทธองค์ทรงหมายถึงว่า

แม้จะปลีกวิเวกอยู่ตามลำพังแล้ว
แต่ก็อาจได้ยินได้ฟัง
สรรพสำเนียง "อะไร"
โดยมิได้ตั้งใจที่จะรับฟังมัน

ก็ให้รับรู้แต่เพียงแค่ว่า
ตนกำลังได้ยินได้ฟังอะไรอยู่
แล้วจงพิจารณาดูว่า "อะไรเป็นอะไร"

เมื่อได้องค์ความรู้จาก "อะไร" นั่นแล้ว
ก็ให้ละวางสรรพสำเนียงนั้นเสีย
อย่าไปติดใจหรือสงสัยในสรรพสำเนียงนั้นอีก

3.การได้ดมกลิ่นแล้ว ก็สักว่าดมนั้น
สำหรับนักบวชผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
พระพุทธองค์ทรงหมายถึงว่า

แม้จะปลีกวิเวกอยู่ตามลำพังแล้ว
แต่ก็อาจได้กลิ่นของ "อะไร" เข้า
แม้จะมิตั้งใจที่จะได้กลิ่นของมัน

โดยให้รับรู้แค่เพียงว่า
ตนกำลังได้กลิ่น "อะไร" อยู่
แล้วพิจารณาดูว่า "อะไรเป็นอะไร"

เมื่อได้องค์ความรู้จาก "อะไร" นั่นแล้ว
ก็ให้ละวางกลิ่นนั้นเสีย
อย่าไปติดใจหรือสงสัยในกลิ่นนั้นอีก

4.การได้ลิ้มรสแล้ว ก็สักว่าลิ้มนั้น
สำหรับนักบวชผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
พระพุทธองค์ทรงหมายถึงว่า

แม้จะปลีกวิเวกอยู่ตามลำพังแล้ว
แต่ก็ต้องฉันบริโภคอาหาร
ซึ่งอาจได้ลิ้มรส "อะไร" ที่มิได้ตั้งใจ

ก็ให้รับรู้แค่ว่า
ตนกำลังรับรู้รสชาติ "อะไร" อยู่
แล้วพิจารณารสนั้นดูว่า "อะไรเป็นอะไร"

ต่อเมื่อได้องค์ความรู้จาก "อะไร" นั่นแล้ว
ก็ให้ละวางรสชาตินั้นเสีย
อย่าไปติดใจหรือสงสัยในรสชาตินั้นอีก

5.การได้สัมผัสทางผิวกายแล้ว 
ก็สักว่าสัมผัสนั้น

สำหรับนักบวชผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
พระพุทธองค์ทรงหมายถึงว่า

แม้จะปลีกวิเวกอยู่ตามลำพังแล้ว
แต่อวัยวะร่างกายก็ยังต้องสัมผัสกับ
อาภรณ์ ที่นั่ง ที่นอน ที่ยืน ที่เดิน ที่อาศัย

ก็ให้รับรู้แต่เพียงแค่ว่า
ตนกำลังสัมผัสกับ "อะไร" อยู่
แล้วให้พิจารณาดูว่า "อะไรเป็นอะไร"

ต่อเมื่อได้องค์ความรู้
จาก "อะไร" นั่นแล้วก็ให้ละวาง
สิ่งที่กายตนสัมผัสอยู่นั้นเสีย
อย่าไปติดใจหรือสงสัย
สิ่งที่ตนสัมผัสนั้นอีก

6.ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า
ไม่ว่าจะเป็นนักบวชผู้ปฏิบัติกรรมฐาน
หรือจะเป็นชาวบ้านชาวเมืองก็ตาม
กฎเกณฑ์การใช้อายตนะ
ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส
มันมิได้แตกต่างกันที่ตรงไหนเลย

7.ใครที่นำเอาสไลด์พุทธวจนะ
ขึ้นมาแย้งเรา....ก็จงคิดใหม่ว่า
คำสอนของพระพุทธองค์บทนี้
หมายความว่าให้พวกท่านน่ะ 
"ไม่อะไรกับอะไร" ใช่แน่หรือ

8.หากย้อนกลับขึ้นไปอ่านด้านบนทั้ง 5 ข้อ
ท่านจะพบว่าความหมายที่แท้จริงนั้น
ทรงมิได้หมายความว่า
เมื่อท่านสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดแล้ว
ให้วางมันทันที (ไม่อะไรกับอะไร)

แต่ให้ "พิจารณา" ใน "อะไร" นั่น
เพื่อให้รู้ว่า "อะไรเป็นอะไร" เสียก่อน
แล้วค่อยละวางมันไปโดยไม่ใส่ใจมันอีก
ซึ่งหมายถึง "รับรู้แล้ว" ต้อง "เรียนรู้" นั่นเอง
หากรับรู้อะไรแล้วไม่ยอมเรียนรู้
มันแปลว่า "โง่" มิใช่ดอกหรือท่าน

9.การสักแต่ว่า.......
สัมผัสรู้ดูเห็นอะไรแล้ววางเฉยนั่นน่ะ
มันมิได้หมายความว่า "ปล่อยวาง"
เพื่อให้เกิดสภาวะ "จิตว่าง" หรอกท่าน
(คำว่า "วาง" หลังคำว่า "ปล่อย" ไม่มีไม้เอกนะ)

แต่สำหรับวิถีจิตจักรวาลแล้ว
เราไม่เห็นด้วยกับพวกท่านเลย
เพราะเราเห็นว่าวิธีปฏิบัติของท่าน
ในการรับรู้อะไรแล้ววางเฉยนั้น
มันเป็นการ "ปล่อยว่าง
คือ ปล่อยให้จิตของท่านมันว่าง
ทั้งๆที่ท่านมีหน้าที่ต้องเรียนรู้ว่า
"อะไร เป็นอะไร" ต่อไปอีก

หากไม่เรียนรู้แล้ว
ท่านจะรู้มากขึ้นได้ยังไง

หากไม่เรียนรู้แล้ว
ท่านจะฉลาดขึ้นได้ยังไง

หากท่านไม่รอบรู้
หากท่านไม่ฉลาด
ทั้งทางปัญญา อารมณ์ และสังคม
ในการดำเนินชีวิตแล้ว

ท่านจะผ่านบทเรียนและบททดสอบ
การเป็นมนุษย์แห่งดาวโลกเสรีนี้ได้อย่างไร
เมื่อผ่านไม่ได้ก็หลุดพ้นไม่ได้

ต่อให้ท่องจำคำสอนของครูมาจนขึ้นใจ
ต่อให้ใช้คำพูดเลิศลิ้นจนต้องปีนบันใดฟัง

หากเข้าใจผิดหลงผิด
ปฏิบัติผิดเสียแต่ต้น
แถมยังมีทิฐิดื้อรั้น
จนไม่รับฟังการเห็นต่างอีก
ภพชาตินี้ย่อมเสียเวลาเปล่า

ดังนั้น สำหรับชาวโลก
ปลายยุคพลังงานเก่านี้

คำว่า "อรหันต์
จึงเป็นได้แค่เพียงความเชื่อ

คำว่า "หลุดพ้น
จึงเป็นได้แค่เพียงความคาดหวัง

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

27-1-2016

ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาจิตตปัญญา ณ ภูกระต่าย



อันจิตจักรวาลสถานธรรมนั้น
ขณะนี้กำลังเร่งก่อสร้างใน Phase 1
คือ ศูนย์ฝึกอบรมพัฒนาจิตตปัญญา ณ ภูกระต่าย
กับบ้านพักแรมคืน "หมู่บ้านวิหารน้อย"

เป็นส่วนที่ทางชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก
เร่งสร้างขึ้นก่อนเพื่อเป็นส่วนที่จะใช้หารายได้
มาสนับสนุนโครงการจิตจักรวาลสถานธรรม
ในแบบ "พยายาม" พึ่งตนเอง
มากกว่าการร้องขอหรือรอบริจาค

สำหรับโครงการหลักของสถานธรรม
จะประกอบด้วย.....

อาคารพิพิธภัณฑ์แห่งสัจธรรม
ที่จะรวบรวมพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล
ซึ่งทรงสื่อผ่านท่านอาจารย์ปริญญา ตันสกุล
สืบเนื่องกันมากว่า 30 ปี ในทุกช่องทาง

เช่นพระคัมภีร์จิตจักรวาลซีรี่ส์ 
แถบเสียงรายการวิทยุเทพทิพย์มงคลธรรม
บันทึกเทปรายการวิทยาธรรม
จากรายการโทรทัศน์ S แชนแน่ล

บันทึกการสื่อถ่ายทอดสดพระโอวาท
และภาพกิจกรรมของชมรมจิตจักรวาลฯ
ตลอดมากว่าสามสิบปี เป็นต้น
โดยจะรองรับศาสนิกชนทุกศาสนาทั่วโลก
พร้อมทั้งจะมีการจัดกิจกรรมพิเศษ
เพื่อยกระดับจิตปัญญาพัฒนาพฤติกรรมศาสตร์
แบบให้เปล่าแก่สาธารณชนด้วย

ทั้งนี้ในส่วนจิตจักรวาลสถานธรรม
ที่จะเปิดให้บริการแก่ศาสนิกชนทั่วไป
ด้วยการเข้ามาศึกษาพระโอวาทพระบิดา
ศึกษาธรรมะของพระศาสดาในศาสนาหลัก 
คือ พุทธ คริสต์ อิสลาม และอื่นๆ
ในห้องสมุดของพิพิธภัณฑ์นั้น
จะเป็นแบบให้เปล่า

รวมทั้งการเข้าร่วมชมนิทรรศการทางจิตวิญญาณ
เพื่อการหลุดพ้นบนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
การเข้าชมกิจกรรมส่งเสริมจิตตปัญญาแบบต่างๆ
ที่ทางชมรมฯจัดขึ้นตามโอกาส
ก็จะเป็นแบบให้เปล่าเช่นเดียวกัน

หมายเหตุ:

รายละเอียดคร่าวๆมีเท่านี้
ท่านใดปรารถนาจะร่วมสร้างประวัติศาสตร์
ทางจิตวิญญาณไว้กับดาวโลกเสรี
ก่อนที่จะถึงวันสิ้นยุคพลังงานเก่า
สามารถแสดงความจำนงร่วมสนับสนุนปัจจัย
ตามกำลังของท่านได้ทุกเมื่อ

โปรดร่วมอนุโมทนาบุญ
กับท่านผู้ใจบุญซึ่งร่วมสนับสนุนมาแล้ว
อย่างต่อเนื่องจนทุกวันนี้ด้วย เทอญ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-1-2016

น้องหมา "มอ-มอ" บริวารผู้ภักดี



น้องหมา "มอ-มอ" บริวารผู้ภักดี
********************************
หลายคนชอบถามว่า
"มีหมาเป็นเพื่อน" กับ "มีเพื่อนหมาๆ"
ไหนจะดีกว่ากัน

สำหรับเราแล้ว น่าจะได้ทั้งคู่แหละ
เพราะมีเพื่อนหมาๆน่ะ
เขาจะได้เป็นครูให้เราเรียนรู้ว่า
เกิดเป็นคนแต่นำคุณสมบัติหมาด้านไม่ดี
มาปฏิบัติต่อเพื่อนนั้นมันไม่ดีอย่างไร
เช่น หมาลอบกัด ปากหมา ฯลฯ

ส่วนการมีหมาเป็นเพื่อนอย่าง "มอ-มอ"
ก็เป็นบริวารที่น่ารักและมีสัมมาคารวะ
ที่ช่วยให้เราได้แสดงความเมตตากับเขา
เพื่อให้บวกกับโลกตลอดเวลา
ที่ปฏิบัติงานอยู่ภูกระต่าย

เจ้า "มอมอ" ถูกคนขับมอเตอร์ไซด์ใจร้าย
พามาปล่อยไว้หน้ารั้วสถานธรรม
ตั้งแต่เธอยังไม่หย่านมแม่เลย
น้อง "วาที" ผู้ดูแลสถานที่มีจิตเมตตา
ขออนุญาตเราเอาเข้ามาเลี้ยงดู
จนโตเป็นสาวแล้ววันนี้

"มอมอ" เป็นสุนัขพันธ์ "หมาหลง" ก็จริง
แต่เป็นสุนัขแสนรู้ได้โดยไม่ต้องสอน
ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงพี่ประกายฟ้ามาถึง
เขาจะรีบแจ้นออกมาต้อนรับ
แล้ววิ่งหันหน้าหันหลังนำหน้ารถ
นำทางเราสู่สำนักงานชั่วคราวอย่างตื่นเต้น

พอเราลงจากรถเขาก็จะตรงเข้ามาหา
พร้อมกับทำท่าหมอบกราบ
แสดงความเคารพ
เหมือนช้างหมอบแต่เป็น "หมาหมอบ"
โดยไม่ต้องฝึกสอนแต่เขาทำเขาเอง
และสามารถยกมือเช็คแฮนด์กับเราทันที
เมื่อได้ยินเรากล่าวว่า "สวัสดี-มอมอ"

ผิดกับมนุษย์บางคน
เรายิ้มให้ เขายังไม่ยิ้มด้วย
เราพูดด้วย แต่กลับทำเป็นไม่ได้ยิน

ทุกครั้งที่เราจะกลับกรุงเทพฯ
เจ้ามอมอก็จะมารออยู่ข้างรถ
พอเราออกรถเขาก็จะวิ่งนำหน้า
นำพาเราตรงไปสู่ประตูใหญ่
แล้ววิ่งตามออกมาส่งนอกรั้วระยะหนึ่ง
ก่อนจะหันหลังกลับเมื่อรถเราผ่านโค้งลับลา

นี่คือเรื่องน่ารักของ "มอ-มอ"
น้องหมาผู้น่ารักและภักดี ณ ภูกระต่าย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-1-2016

26 มกราคม 2559

นี่แหละ...ความจริงที่จริงแท้ พี่ๆน้องๆชาวโลกเสรีทั้งหลาย


นี่แหละ...ความจริงที่จริงแท้
พี่ๆน้องๆชาวโลกเสรีทั้งหลาย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-1-2016

ท่านทราบหรือไม่ว่า


พี่ๆน้องๆครอบครัวจิตจักรวาล
ที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ใครตื่นเช้าหรือยังไม่เข้านอน
เรามีคำถาม "ชวนคิด ชวนคุย" มาฝาก

เพื่อเป็นบททดสอบสำหรับ
ยกระดับแรงสั่นสะเทือนทางจิตตปัญญา
ของท่านทั้งหลาย
ตามมรรควิถีแห่งนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

อีกทั้งยังจะเป็นการสร้าง "กฤตสติ"
เตรียมตนเองและจิตวิญญาณ
เพื่อการผจญภัยเอาไว้ล่วงหน้าด้วย

คำถามชวนคิดมีดังนี้....

1.พายุฤดูหนาว "โจนาส" 
ซึ่งนำความหนาวเย็นและหิมะพัดถล่ม
พื้นที่ชายฝั่งด้านตะวันออกของสหรัฐฯ
อย่างหนักที่สุดในรอบ 147 ปี

ยังผลให้เมืองใหญ่ๆเช่น เมืองนิวยอร์ค
วอชิงตัน ดีซี และอื่นๆใน 20 รัฐ
โดย 11 รัฐต้องประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ
นับแต่วันที่ 22 มกราคมศกนี้ เป็นต้นมา
ประชาชนราวๆ 85 ล้านคนเดือดร้อนหนักนั้น
ท่านคิดว่าเป็นภัยพิบัติที่ผิดปกติหรือไม่?

2.ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งอยู่ในทวีปอเมริกา
ซึ่งอยู่ตรงซีกโลกฝั่งตรงข้ามกับทวีปเอเซีย
ปกติเคยมีฤดูกาลและสภาพภูมิอากาศ
ตรงกันข้ามกับซีกโลกในเขตร้อน
ทางฝั่งทวีปเอเซียมาโดยตลอด

ทำไมในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา
สหรัฐอเมริกากำลังหนาวจัดจากพายุหิมะ
ขณะที่หลายประเทศในทวีปเอเซีย
ก็มีคลื่นอากาศหนาวเย็นเข้าโจมตี
จนหลายประเทศมีอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์
บางประเทศก็มีอุณหภูมิติดลบ
จนเกิดหิมะตกลงมาเป็นครั้งแรกในรอบร้อยปี
บ้างก็หิมะตกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ทั้งๆที่อยู่ตรงข้ามกันคนละซีกโลก?

3.ปกติในช่วงเวลานี้ของทุกปี
ทั่วโลกจะประสบกับปัญหาภูมิอากาศวิปริต
จากภาวะ "เอลนินโญ่" ที่เป็นคลื่นอากาศร้อน
แล้วเหตุใดใยเล่ากลับได้รับภัยรุนแรง
จากคลื่นอากาศหนาวเย็น
พร้อมลม ฝน และพายุหิมะแทน
โดยเปลี่ยนจากภัยร้อนมาเป็นภัยหนาวได้
อย่างฉับพลันดังที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้?

4.ความหนาวเย็นทางด้านเอเซีย
ที่ทำให้คนไต้หวัน เกาหลี และไทย
ต้องเสียชีวิตไปรวมกันกว่าร้อยคน
จากผลของความหนาวเย็นนี้

โดยที่ความหนาวเย็นครั้งนี้
พัดผ่านมาพร้อมกับลมและฝน
จนส่งผลให้เกิดความหนาวเย็นแบบเฉียบพลัน
พร้อมๆกันเกือบทุกประเทศทั่วเอเซีย
ทั้งๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นเช่นนี้มาก่อนเลยนั้น
ท่านคิดว่าเป็นเหตุการณ์ผิดปกติหรือไม่?

5.ท่านเคยได้ยินข่าวเรื่อง "แตรทั้ง 7" บ้างมั้ย?
เราเคยเฉลยให้ฟังแล้วว่า
การเป่าแตรของช่างเท็คนิกแต่ละครั้งนั้น
มันจะมีผลต่อสนามแม่เหล็กโลก
ในชั้นแม็กนิโตสเฟียตรงบริเวณขั้วโลก

โดยมันจะเกิดการเสียสมดุล
ไปจากเดิมแบบไม่ถาวร

เมื่อมีการเสียสมดุลเกิดขึ้นครั้งใดก็ตาม
คลื่นอากาศเย็นจัดจากนอกระบบโลก
ก็จะถูกผลักดันผ่านเข้ามาทางขั้วโลก
ดังที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในสหรัฐอเมริกา
และหลายประเทศในแถบเอเซียอยู่ในขณะนี้

เราขอกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
ความหนาวเย็นจัดๆแบบผิดธรรมชาติ
ที่กำลังเกิดขึ้นในสองทวีปใหญ่นี้เท่านั้นนะ
ที่เราจะขอยืนยันอย่างเต็มคำว่า

เป็นปรากฏการณ์ "เป่าแตร" ของช่างเท็คนิก
ตามที่ท่านเคยได้ยินมา
ซึ่งมันมิได้เกี่ยวข้องกับหิมะตกและหนาวเย็น
ตามฤดูกาลปกติแต่อย่างใด

ท่านเข้าใจนัยแห่งความรู้ใหม่
ที่เรากล่าวถึงนี้ว่าอย่างไรบ้าง?

6.เรายังมีข้อชวนคิดอีกหลายข้อ
โปรดติดตาม.....

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-1-2016

24 มกราคม 2559

จิตจักรวาลสถานธรรม


เรากลับมากล่าวพระโอวาท
ในพระนามพระบิดาต่อท่านทั้งหลาย
ที่ใฝ่หาหนทางการหลุดพ้นของแก่นแท้
คือจิตวิญญาณ
พร้อมแจ้งข่าวสารในปฏิบัติการเปลี่ยนโลก
จากยุคพลังงานเก่าสู่ยุคพลังงานใหม่

เราจึงกลับมาช่วย
ทำความไม่รู้ของท่านให้กระจ่าง

เราจึงมากลับช่วย
ติดอาวุธทางปัญญาให้แก่พวกท่าน

เราจึงกลับมาช่วย
เติมพลังแห่งรักจากพระบิดาให้แก่ท่าน

เราจึงกลับมาช่วย
นำทางจิตวิญญาณของท่าน
กลับคืนสู่แดนสุญญตา

"จิตจักรวาลสถานธรรม" จึงปลูกสร้างขึ้น
ด้วยงบประมาณบริจาคของผู้ศรัทธา
เพื่อใช้เป็นศูนย์ฝึกอบรมปฏิบัติการ
ในการยกระดับจิตตปัญญา
เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณสู่การหลุดพ้นในชาตินี้
ด้วยมรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
ที่องค์จิตจักรวาลทรงเมตตาสื่อผ่านเรามา
ด้วยกระบวนการ "จิตสู่จิต" ตลอดเวลา

สถานธรรมแห่งนี้
จึงยินดีต้อนรับศาสนิกชนทุกชาติทุกศาสนา
เพราะว่าเรามิได้ปรารถนาจะเป็นเจ้าลัทธิ

จิตจักรวาลมิใช่ลัทธิใหม่ สำนักใหม่
เราจึงเน้นไปที่การสร้าง "สำนึก"
มิใช่การสร้าง "สำนัก"

ขณะนี้เบื้องหลังประตูบานนี้นั้น
งานก่อสร้างกำลังรุดหน้า
อีกไม่นานช้า "ประตูมิติ" แห่งนี้จะเปิดออก
ท่านใดประสงค์จะมีส่วนร่วมสร้าง
ประวัติศาสตร์แห่งมวลมนุษยชาติร่วมกับเรา
เรายินดีและขออนุโมทนามา ณ ที่นี้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24-1-2016

ภูกระต่ายใต้แสงจันทร์คืนเพ็ญ



ฟ้าคืนเพ็ญ เหนือภูกระต่าย
พลบค่ำวานนี้ (23-1-2016)

ถ่ายด้วยกล้องมือถือ บวกฝีมือนิดหน่อย
จึงเห็นกระต่ายน้อยบนดวงจันทร์ด้วย

เอเมน 
ป.วิสุทธิปัญญา
24-1-201ุ

สวัสดีวันอาทิตย์


อรุณสวัสดิ์วันอาทิตย์
วันศักดิ์สิทธิ์แห่งครอบครัว
ณ วันที่ 24 มกราคม 2559

ถึงพี่น้องชาวไทยและชาวโลกเสรีทั้งหลาย
จงประสบพรอันประเสริฐนี้โดยทั่วกัน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24-2016

22 มกราคม 2559

สวัสดีวันศุกร์


สุขสันต์วันศุกร์แด่พี่ๆน้องๆทุกท่าน
ณ วันที่ 22 มกราคม 2559

เอเมน
ป.วิสุทธิปัญญา
22-1-2016

21 มกราคม 2559

วิธีฝึกฝนการใช้อายตนะและสมอง

วิธีฝึกฝนการใช้อายตนะและสมอง

1.ต้องรู้ว่ามันมีหน้าที่อะไร
2.ต้องรู้ว่ามันใช้ทำอะไรได้บ้าง
3.ต้องรู้ว่าจะใช้มันอย่างไร
4.ต้องรู้ว่าจุดอ่อนหรือจุดบกพร่องของมันมีอะไรบ้าง
5.ต้องรู้ว่าจะป้องกันมิให้บกพร่องในการใช้มันอย่างไร
6.ต้องปฏิบัติตามนี้เป็นประจำ

เอเมน สาธุ
.วิสุทธิปัญญา

21-1-2016

จงอย่าใช้กลไกอายตนะทั้งหก และจิตตปัญญาของท่านไปตามยถากรรม


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

หากท่านสังเกตให้ดีจะพบว่า
ความสามารถในการใช้อวัยวะของท่าน
จำพวกนิ้วมือ มือสองข้าง และเท้า
มันต้องผ่านการฝึกฝนกันมา
ตั้งแต่เป็นกุมารตัวน้อยๆแล้ว

ฝึกพลิกคว่ำ พลิกหงาย
ฝึกลุก ฝึกนั่ง ฝึกตั้งไข่ 
ฝึกเกาะ ฝึกยืน ฝึกย่าง ฝึกเดิน
ฝึกจับ ฝึกลูบ ฝึกคลำ ฯลฯ

แม้กระทั่งการฝึกมองด้วยสองตา 
การฝึกหัดรับฟังเสียงนั่นโน่นนี่ด้วยหู
การฝึกรับรู้กลิ่นด้วยจมูกและรับรู้รสด้วยลิ้น
โดยที่การฝึกเหล่านี้ล้วนเป็นไปตาม
สัญชาตญาณธรรมชาติที่มีอยู่ในแต่ละคน
ซึ่งควบคุมและสั่งการโดยจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้
ในการเป็นมนุษย์ของท่านนั่นเอง

จิตวิญญาณของท่านต้องสั่งการเอง
เพราะเหตุว่า "จิตหยาบ" ยังไม่พร้อมทำหน้าที่

ต่อเมื่อสมองสองซีกซ้ายขวา
เชื่อมโยงกันได้เรียบร้อยแล้ว
ด้วยกลไกคอพัสคอลโลซัม (Corpus Callosum)
เมื่อท่านอายุครบสามขวบบริบูรณ์แล้วนั่นแหละ
พ่อแม่ผู้ปกครองของท่าน
ก็จะเป็นผู้คอยช่วยเหลือให้ท่านฝึกฝนกันต่อเนื่อง
ทั้งหัดพูด หัดฟัง หัดจับ หัดวิ่ง หัดเดิน เป็นต้น

ส่วนใหญ่แล้วพวกท่าน
มักจะเน้นฝึกด้วยสัญชาตญาณกันเท่านี้เอง
โดยทิ้งกลไกอายตนะของท่านไว้
วันๆก็ปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมันไปเอง
ทั้งตา หู จมูก ปาก และกายสัมผัส
ซึ่งเป็นกลไกอวัยวะร่างกายภายนอก

รวมทั้งจิตและสมองซึ่งเป็นกลไกภายใน
คนส่วนใหญ่ต่างล้วนปล่อยให้มันชำนาญ
ไปตามวิถีแห่งธรรมชาติแทบทั้งสิ้น

พวกท่านส่วนใหญ่
จึงเพลิดเพลินไปกับการใช้มัน
อย่างขาดประสิทธิผล ขาดสมรรถนะ
และขาดคุณภาพ

พวกท่านจึงมีความสามารถเพียงแค่
ใช้อายตนะภายนอกได้ ใช้เป็น 
แต่ยังบกพร่องอยู่

สามารถใช้จิตได้ ใช้จิตเป็น
แต่ยังบกพร่องอยู่

สามารถใช้สมองได้ ใช้สมองเป็น
แต่ก็ยังบกพร่องอยู่อีกเช่นกัน

พวกท่านบางคน
จึงมองไม่เห็นบางสิ่งที่คนอื่นเขามองเห็น
ทั้งๆที่กำลังมองสิ่งเดียวกันอยู่

พวกท่านบางคน
จึงไม่ได้ยินบางสิ่งที่ผู้อื่นเขาได้ยิน
ทั้งๆที่กำลังรับฟังสิ่งเดียวกันอยู่

พวกท่านบางคนจึงบกพร่องด้านการพูด
พูดจาฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ต้องแปลไทยเป็นไทย
มักจะพูดเรื่องง่ายๆให้ฟังยากมากขึ้น
มักจะพูดจาไม่เข้าหูคนแบบปากพาจน

พวกท่านบางคนจึงมีความสามารถ
ในการควบคุมอารมณ์ที่ไม่สมดุล
เมื่อถูกยั่วยุเอาไว้ไม่ค่อยจะได้หรือไม่ได้เลย
ทั้งๆที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
จึงเป็นคนใช้อารมณ์นำปัญญาเสมอ

พวกท่านบางคน
จึงมีนิสัยในการมองโลกค่อนข้างแย่กว่าคนอื่น
เพราะมักจะมองลบนึกลบเสียมากกว่า
เนื่องจากเคยตัวกับการเป็นเช่นนั้นมาตลอด

พวกท่านบางคน
จึงมีความฉลาดในการเรียนรู้ด้อยกว่าคนอื่น
มีความสามารถในการเรียนรู้ล่าช้ากว่าคนอื่น

มีความสามารถในการคิด การตัดสินใจ
และมีความสามารถในการแก้ไขปัญหา
ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางสมอง
ด้อยกว่าเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ

นอกจากนั้นพวกท่านบางคน
ยังมีความสามารถในการยอมรับ
ความแตกต่างระหว่างตนเอง
กับผู้อื่นไม่ค่อยจะได้
จึงมีปัญหาทางสังคมกับผู้อื่นอยู่เสมอ

นอกจากนั้นพวกท่านบางคน
ก็ยังด้อยความสามารถ
ในการปรับตัวเข้าหาผู้อื่น
จึงมักโดดเดี่ยวตัวเองจากสังคม
จนมีปัญหาทางจิตใจไปในที่สุด

ท่านทั้งหลายรู้หรือไม่ว่า
ปัญหาสังคมของมนุษย์โลกเสรีนี้ก็คือ
การไม่เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลก
เพราะพวกท่านมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ
และสมรรถนะที่แตกต่างกัน
โดยค่อนไปในทางต่ำ
การดำเนินชีวิตร่วมกันจึงมีปัญหา
จนมีผลกระทบไปถึง
จิตวิญญาณด้านแก่นแท้ด้วย
ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของ
กฎแห่งกรรมนั่นแหละ

เราจึงจะกล่าวความจริงไว้ตรงนี้ว่า
ถ้าท่านปรารถนาการหลุดพ้น
จิตวิญญาณของท่าน
ต้องมีพลังอำนาจสูงพอ

จิตวิญญาณของท่าน
ต้องว่างไปจากผลกรรม
ซึ่งมันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อ

1.ท่านต้องฉลาดทางปัญญา
2.ท่านต้องฉลาดทางอารมณ์
3.ท่านต้องฉลาดทางสังคม

แน่นอนว่าท่านจะฉลาดแท้จริง
ในสามสิ่งนี้ไม่ได้หรอก
ถ้าท่านเอาแต่ใช้มันไปตามยถากรรม
หรือใช้ไปตามที่กรรมจากอดีตชาติ
เป็นผู้กำหนดมาให้ท่านได้ใช้มันไปวันๆ
นอกจากท่านจะต้อง
หันมา "ฝึกฝน" มันเท่านั้น

มรรควิถีแห่งจิตจักรวาลนั้น
จึงมุ่งเน้นการติดอาวุธทางปัญญา
ในสามสิ่งที่กล่าวนั้นให้แก่พวกท่าน

โดยองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
เป็นพระผู้ทรงใช้ให้เรามาทำหน้าที่นี้
ในปลายยุคพลังงานเก่า
เพื่อชี้ทางกลับบ้านแก่พวกท่าน
ที่เชื่อมั่นในพระบิดาและศรัทธาในเรา
ก่อนที่โลกจะปิดยุคพลังงานเก่า
ในอีกมิช้านาน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-1-2016