31 ตุลาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 31/10/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ในการขันอาสามาเกิดเป็น "คน"

บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้นั้น

จิตวิญญาณผู้ขันอาสาทุกรูปธรรม

มิได้เขียนบทละครกำกับเอาไว้หรอกว่า

 

เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดในระบบโลกแล้ว

จักต้องเลือกศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นหลัก

แล้วให้ปฏิเสธศาสนาอื่นทั้งหมด

จักต้องเลือกศาสดาแค่เพียงพระองค์เดียว

แล้วให้ปฏิเสธศาสดาพระองค์อื่นทั้งหมดนั้น

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ผู้อนุญาตให้พวกท่านมาเกิดบนโลกเสรีนี้

มิได้ทรงกำหนดไว้เช่นนั้นเลย

#คนนำทางตาบอด นำคิดผิดเพี้ยนเองทั้งสิ้น

 

พวกท่านจะเลือกรับศาสดาองค์เดียวไม่ได้

ต้องยอมรับให้ครบทุกพระองค์

พระศาสดาแต่ละพระองค์มิได้เสด็จลงมา

จุติพร้อมกันในยุคเดียวกัน

แต่ละพระองค์ล้วนเป็นเอกในยุคนั้นอยู่แล้ว

คนในแต่ละยุคจึงไม่จำเป็นต้องเลือกศาสดา

เพราะหนึ่งยุคมีศาสดาหนึ่งพระองค์นั่นเอง

สำหรับโลกจากอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน

มีพระศาสดาผ่านมาแล้วรวม 24 พระองค์

อันหมายถึงผ่านมาแล้ว 24 ยุค

 

ที่ผ่านมาประดาคนนำทางตาบอดทั้งหลาย

กลับพยายามชี้นำให้คนที่ก้าวตามพวกตน

แบ่งแยกพระศาสดาออกจากการเป็นหนึ่งเดียว

ด้วยการเลือกให้ยกย่องอยู่พระองค์เดียว

แล้วปฏิเสธหรือต่อต้านศาสดาพระองค์อื่นๆ

 

ซึ่งการทำเช่นนี้แทนที่จะเทอดพระเกียรติ

กลับเป็นการทำลายเกียรติพระศาสดา

ด้วยการนำพระองค์ลงมาเสมือนเป็นเจ้าลัทธิ

 

ไม่ต่างจากประเทศหนึ่ง

ที่มีกษัตริย์ขึ้นครองราชหลายพระองค์มาแล้ว

ใครจะรณรงค์ให้รักกษัตริย์แค่องค์ใดองค์หนึ่ง

แล้วปฏิเสธกษัตริย์พระองค์อื่นๆนั้นไม่ได้

เพราะทุกพระองค์สำคัญต่อชาติบ้านเมือง

และประชาชนเท่าเทียมกันทั้งสิ้นฉันใดก็ฉันนั้น

 

เพราะเหตุที่คนนำทางตาบอด

พาพี่ๆน้องๆเดินหลงทางกันในเรื่องนี้นี่แหละ

สงครามศาสนาบ้าคลั่งลัทธิ์จึงเกิดขึ้น

ใครไม่เข้ารีตกับพวกตนก็ถือว่ามิใช่พวกตน

 

รวมทั้งความงมงายที่ว่า

ศาสดาของข้าใครอย่าแตะ

ศาสดาของข้าเหนือกว่าศาสดาของแก

ศาสนาของข้าดีกว่าศาสนาของแก

ศาสนาของแกนั้นแย่กว่า

ฯลฯ

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้รู้ว่า

 

พระศาสดาทุกพระองค์นั้นล้วนสำคัญต่อโลก

ไม่มีพระองค์ใดเป็นสัพพัญญููเหนือใครหรอก

ถ้าไม่เป็นสัพพัญญูหรือรอบรู้ทั้งจักรวาล

พระองค์นั้นก็เป็น "พระศาสดา" ไม่ได้

ไม่ว่าพระศาสดาที่เกิดจากโลก

หรือพระบุตรเอกที่มาจากพระผู้เป็นเจ้า

ล้วนทรงพระปรีชาญาณด้วยกันทั้งนั้น

โดยที่แต่ละพระองค์จะประกาศสัจธรรม

ที่สำคัญสำหรับยุคสมัยนั้นๆเป็นหลักใหญ่

แต่ละพระองค์ไม่จำเป็นต้องกล่าว

สัจธรรมทั้งหมดที่ทรงรอบรู้อยู่ก็ได้

 

ยกเว้นพระศาสดาที่เป็น #พระบุตรเอก

จะกล่าวเน้นเฉพาะ #อนุตรธรรม เป็นพิเศษ

เพราะเป็นสัจธรรมที่ศาสดาผู้เกิดจากโลก

ทุกพระองค์ไม่สามารถหยั่งรู้ด้วยตนเองได้

แต่ที่บุตรเอกกล่าวได้เพราะรับสื่อจากพระบิดา

ด้วยวิธีสื่อสารทางจิตในระบบจิตสู่จิต

ซึ่งเป็นช่องทางพิเศษในแนวดิ่ง

ที่จิตวิญญาณของพระองค์ถือติดตัวมาจุติด้วย

 

ดังนั้น

สัจธรรมที่แต่ละพระศาสดาประกาศสอน

จึงละเอียดลึกซึ้งในองค์ธรรมที่แตกต่างกันไป

โดยพระองค์จะทรงนำมากล่าวสอนไม่ซ้ำเรื่อง

ถ้าใครยึดติดรับไว้เพียงศาสดาพระองค์เดียว

ผู้นั้นก็จะได้รับธรรมะที่ขาดพร่องไม่สมบูรณ์

 

นี่จึงเป็นอีกเหตุหนึ่งที่บวชนานแต่นิพพานมิได้

เพราะหลงเชื่อตามคนนำทางตาบอด

ที่พร่ำสอนให้ยึดติดศาสดาพระองค์เดียว

พร่ำสอนให้ติดยึดพระคัมภีร์เล่มเดียว

แล้วแบ่งแยกพระศาสดาและศาสนาที่เป็นสากล

ออกไปจากการเป็นหนึ่งเดียวกันตราบจนบัดนี้

 

พฤติกรรมเยี่ยงนี้

เป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อการเป็นสัตว์ "สังคม"

ซึ่งคำว่า "สังคม" หมายถึงต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน

จะแบ่งแยกแตกกอเพื่อเติบโตร่วมกันได้

แต่จะแบ่งแยกแตกร้าวออกจากกันไม่ได้

ความขัดแย้งแตกร้าวจึงเป็นความผิดบาป

ที่คนนำทางตาบอดชักพาผู้ก้าวตามให้ทำผิด

จนหลงทางนิพพานกันมาตั้งแต่กาลอดีต

 

นอกจากนั้น

ยังมีพฤติกรรม "ก้าวล่วง" อีกอย่างหนึ่ง

ที่คนก้าวตามคนนำทางตาบอดบางคน

ผู้ยึดติดในพระศาสดาเอกของตนแค่คนเดียว

คือการชอบใช้วาจาก้าวร้าวก้าวล่วงบุคคลอื่น

ที่เขายอมรับศาสดาอื่นและนับถือศาสนาอื่นๆ

ซึ่งแตกต่างไปจากที่ตนยอมรับนับถือ

หรือใช้วาจาก้าวร้าวก้าวล่วงคำสอนศาสนาอื่น

ที่แตกต่างไปจากที่ตนยึดติดอยู่

 

ตัวอย่างเช่น

การเชื่อฝังหัวตามคนนำทางตาบอดว่า

"อย่าคบคนพาล" เพราะมันจะทำให้ตนชั่วไปด้วย

พอพบเจอคำสอนของ "#จิตจักรวาล"

ที่สอนให้คบได้ทุกคนทั้งคนดีและคนพาล

ก็จะพากันก้าวล่วงจ้วงจาบทันที

 

แม้กระทั่งคำสอนที่ว่า

ถ้าคนพาลตบแก้มซ้ายของท่านจงอย่าตอบโต้

แต่ให้ยื่นแก้มขวาที่เหลืออีกข้างให้เขาตบด้วย

 

พวกที่ก้าวตามคนนำทางตาบอดอยู่เมื่อได้ฟัง

ก็จะพากันหัวเราะเยาะว่าเป็นคำสอนโง่ๆ

เพราะมีแต่คนโง่เท่านั้นที่ถูกตบแก้มซ้ายแล้ว

ทำวางเฉยโดยไม่คิดจะต่อสู้หรือตอบโต้

แถมยังยื่นแก้มขวาไปให้เขาตบอีกข้างหนึ่ง

 

แท้จริงแล้วคนที่กำลังหัวเราะเยาะหยันเขาอยู่นั้น

เป็นคนโง่เสียเองต่างหากใช่ใครอื่น

ที่ว่าโง่เพราะมีสติปัญญาอยู่กับตัวแต่ไม่ใช้

เพียงได้ยินได้ฟังคำสอนนั้นผ่านช่องหู

ก็นึกสรุปเอาเองว่าเป็นคำสอนที่ไม่ถูกต้อง

จนกล่าวร้ายเยาะหยันก้าวล่วงสาระพัด

ซึ่งเป็นการก้าวล่วงพระศาสดาผู้ที่ทรงตรัสไว้

อย่างไร้จิตสามนึกและไร้สติ

โดยไม่รู้ตัวว่าการก้าวล่วงพระศาสดานั้น

มันจะก่อผลกรรมอะไรอย่างไร

ให้จิตวิญญาณของตนต้องผจญเผชิญบ้าง

 

ทั้งๆที่คำสอนดังกล่าว

ผู้เรียนต้องใช้สมองซีกขวาคิดสังเคราะห์ธรรม

จึงจะสามารถตีความหมายคำสอนดังกล่าวได้

แต่คนก้าวตามคนนำทางตาบอด

ยังใช้สมองซีกซ้ายเรียนรู้สัจธรรมชั้นสูงกันอยู่

จึงมิอาจเข้าถึงสัจธรรมที่สูงส่งลึกล้ำกว่าได้

 

คนตาบอดเพราะปัญญาต่ำต้อย

จึงมองว่า "โง่" ที่เขาตบแก้มซ้ายแล้ว

ยังจะสอนให้ยื่นแก้มขวาให้เขา "ตบ" อีก

ซึ่งเป็นการมองเห็นสัจธรรมด้วยอายตนะ

แต่ไม่สามารถมองเห็นสัจธรรมด้วยปัญญาได้

เพราะความหลงตนเอง หลงในศาสดา

หลงในคนนำทางตาบอดที่ตนก้าวตามอยู่

จึงใช้ความ "โง่" อันเกิดจากความไม่รู้และหลง

ตัดสินคนที่เขาฉลาดใช้ปัญญาเหนือกว่าตน

จนกลายเป็นความโง่ซ้ำสองโดยไม่รู้ตัว

 

ซึ่งองค์จิตจักรวาลพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ได้ทรงย้ำเตือนท่านทั้งหลายเสมอมาว่า

#จงอย่าพิพากษาผู้อื่นเด็ดขาด

เพราะมันอาจเป็นการก้าวล่วงผู้อื่น

จนยังผลให้จิตวิญญาณของท่านเองตกนรก

จากการที่ท่าน "เผือก" โดยไปก้าวร้าวกล่าวหา

ไปวิพากษ์วิจารณ์พระศาสดาต่างๆนานา

ทั้งๆที่สติปัญญาของท่านยังต่ำต้อย

พระองค์จึงสอนว่าถ้าไม่เชื่อก็จงอยู่เฉยๆ

อย่าไปกินเผือกชิ้นนั้นเลยเพราะเผือกมันร้อน

มันร้อนเหมือนตกนรกนั่นแหละ

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ความหมายของนัยแห่งคำสอนที่ว่า

 

ถ้าเขาตบแก้มซ้ายท่าน

หมายถึงใครก็ตามที่เขาล่วงเกินท่าน

ไม่ว่าด้วยกาย วาจา และจิตใจ

ขอให้ท่านจงอย่าถือสาค้าความเลย

ขอให้ท่านจงอย่าต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้านเขา

เพราะท่านจะชั่วตามเขาไปด้วย

 

ท่านจะไม่สามารถใช้เงื่อนไขลบที่เขายื่นมาให้

ผลิตสร้างพลังบวกให้แก่โลก

ตามบทละครที่ท่านเขียนมาเองเล่นเองได้เลย

ท่านจึงต้องให้อภัยแก่คนไม่น่าให้อภัยให้ได้

 

ดังนั้น

การให้อภัยแก่บุคคลที่ไม่สมควรให้อภัย

จึงเป็นบทบาทของผู้ที่มีจิตใจสูงเท่านั้นที่ยอมได้

ซึ่งการอภัยให้คนไม่ดีดังกล่าวนี้

จึงไม่ต่างจากโดนเขาตบแก้มซ้ายแล้ว

ยังยอมให้เขาตบแก้มขวาด้วย

หมายความว่าในวันข้างหน้าถ้ายังคบต่อ

เขาคนนี้อาจทำร้ายท่านได้อีก

โดยการทำร้ายอีกในวันหน้าถ้าท่านคบเขาต่อ

ก็คือการยื่นแก้มอีกข้างให้เขาตบด้วยนั่นเอง

 

ท่านทั้งหลายเห็นรึยังว่า

การเที่ยวก้าวล่วงจ้วงจาบคำสอนศาสดาอื่น

ทั้งที่ปัญญาตนเองยังต่ำต้อย

จนขนาดที่ถูกหลอกให้หลับหูหลับตา

ก้าวตามคนนำทางตาบอดมาแล้วหลายศตวรรษ

แต่ก็ยังไม่เคยบรรลุมรรควิถีอันเป็นที่สุดได้

เพราะยังไม่เคยได้สติทางวิญญาณเลยนั่นเอง

 

ที่ไม่เคยได้สติทั้งๆที่ฝึกสติสมาธิเสียจนเชี่ยว

เพราะว่าจิตยังยึดติดในอัตตามายามากกว่าสาระ

เพราะว่าใจยังไม่กว้างพอต่อการรับรู้เรียนรู้

เพราะว่าอายนตนะภายนอกถูกปิดอยู่หลับอยู่

 

ทั้งหมดนี้คือคุณสมบัติของคน

ที่เราต้องกลับมาช่วย #แกะ ให้หลุดออก

ความเพียรของเราจะสำเร็จผลได้ก็ต่อเมื่อ

แกะทุกตัวของเราต้องมีคุณสมบัติดังนี้

 

1. ต้องไม่ดื้อรั้นดันทุรัง

2. ต้องรับฟังพระโอวาทพระบิดา

3. ต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

 

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดในบทเรียนวันนี้

เรากล่าวไปตามความจริงทุกประการ

เรากล่าวในพระนามขององค์จิตจักรวาล

เรากล่าวต่อท่านด้วยความรักเพื่อให้

เราจะกล่าวต่อไปจนกว่าท่านทั้งหลาย

จะไม่ได้ยินเรา...

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

31-10-2019

29 ตุลาคม 2562

เพลินธรรมเพราะทำเพลิน





ตอบคำถาม : ผู้ที่รอดตายได้จากผู้อื่น จะยังคงมีกรรมที่ต้องชดใช้หรือไม่ 29/10/2019

 ตอบคำถาม:

คุณ ‎Nui Diamond

กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า

 

Question1.

หากใครที่มีคุณสมบัติเป็นผู้รอด

แต่เสียสละให้ผู้อื่นรอดตาย

ผู้ที่รอดตายได้จากผู้อื่น

จะยังคงมีกรรมที่ต้องชดใช้

หรือไม่ อย่างไรคะ

 

Answer:

1.ในกรณีผู้ที่สามารถรอดตายจากภัยพิบัติ

ในปฏิบัติการชำระโลก ครั้งที่ 4 นี้ได้

จากการที่มีผู้เสียสละชีวิตแทนตนนั้น

คงมีกรรมที่ตนต้องรับผิดชอบเองอยู่ดังเดิม

ตามหลัก "กรรมใครกรรมมัน"

 

2. ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า

จำนวนรูปธรรมที่ดำรงอยู่บนพื้นผิวโลก

กับน้ำหนักมวลทั้งหมดบนพื้นผิวโลก

และน้ำหนักมวลที่อยู่ภายในแกนโลก

 

ทั้งสามประการนี้จะเป็นค่าคงที่

ตามที่พระผู้สร้างคือองค์จิตจักรวาล

ได้ทรงกำหนดไว้เท่านั้น

จะเพิ่มขึ้นหรือว่าจะลดลง

จากที่ทรงกำหนดเอาไว้ไม่ได้

เพราะมันจะยังผลให้ดาวโลกเสียสมดุลทันที

 

กรณีของจำนวนรูปธรรมก็เช่นกัน

ถ้ามีคนหนึ่งตายไป

จักต้องมีผู้เกิดใหม่แทนหนึ่งคน

 

ในกรณีชำระโลกก็เช่นกัน

พระองค์จะกำหนดจำนวนคนที่รอด

หรือกำหนดจำนวนคนที่จะถูกคัดไว้แล้ว

ว่าจะมีผู้รอดเป็นจำนวนเท่าใด

 

ดังนั้น

ถ้าหนึ่งในจำนวนผู้ที่ถูกคัดไว้ให้เป็น "ผู้รอด"

ต้องการเสียสละชีวิตตนเอง

เพื่อหลุดพ้นกลับบ้านเกิดเมืองนอนเลย

โดยไม่พึงปรารถนาที่จะอยู่ต่ออีกแล้ว

พระองค์ก็จะทรงประทานอนุญาตให้ตามนั้น

 

คนอื่นๆที่เดิมอยู่ในข่าย

ต้องถูก "คัดทิ้ง" ในลำดับต้นๆ

ก็จะถูกยกระดับขึ้นมาแทน

เพื่อให้ได้รับสิทธิแห่งการรอดชีวิต

ในนามของผู้ที่ถูกคัดไว้ทันที

 

3. เนื่องจากการแลกสิทธิ์ที่จะเป็นผู้รอด

ตามหลักการที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้น

พระองค์ทรงเน้นแต่ "จำนวน" รูปธรรม

ที่จะทรงคัดไว้เท่านั้น

จะมากกว่าหรือว่าน้อยกว่าที่กำหนดไว้มิได้

 

ดังนั้น

เมื่อท่านใดรับสิทธิ์ที่จะเป็นผู้รอดชีวิต

ผู้นั้นก็จักต้องรับผิดชอบกรรมที่ติดตัวอยู่

เพราะมันเป็นคุณสมบัติเฉพาะรูปธรรม

ที่ตัวเองเท่านั้นจักต้องรับผิดชอบ

 

มันจะต่างกันกับผู้ที่ได้รับความรอด

ในขั้นที่สามารถจะหลุดพ้นได้แล้ว

แต่ร้องขอต่อพระบิดาว่าจะอยู่ต่อ

คนๆนั้นเมื่อทรงประทานความรอดให้แล้ว

คุณสมบัติกรรมที่เป็นศูนย์หรือสูญญ์

ก็จะเป็นต้นทุนของรูปธรรมนี้

ที่จะใช้ชีวิตอยู่บนโลกเสรีนี้ต่อไปเช่นกัน

 

Question 2.

ถ้ายังหลุดพ้นไม่ได้

ผู้รอดตาย

เขาจะมีชะตาชีวิตเป็นเช่นไรคะ

 

Answer:

1. ถ้าใครยังไม่สามารถชำระกรรมของตน

ให้เหลือไม่เกิน 30% ได้ด้วยตนเอง

จักต้องเดินทางสู่ประตูมิติแห่งการหลุดพ้น

ที่สร้างไว้บนดาวเคราะห์โลกเสรีนี้แล้ว

ไปเข้าร่วมพิธีทำ "โมฆะกรรม"

กับ #องค์จิตจักรวาล พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

เพื่อชำระกรรมที่เหลืออยู่นั้นให้เป็น "สูญญ์"

ให้ทันเวลาก่อนการชำระโลกคาบสุดท้าย

คือ 56 วัน 8 ราตรีตามที่ทรงกำหนดไว้แล้ว

 

2. ความจริงในข้อ 1. ที่กล่าวมา

เป็นหน้าที่สำคัญของมนุษย์จักต้องทำ

เพราะจิตหยาบต้องนำพาจิตวิญญาณ

หลุดพ้นไปจากโลกและอนันตจักรวาลให้ได้

เพราะจิตวิญญาณทุกคนในยุคพลังงานเก่า

หมดหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกแล้ว

 

หมายความว่า "สิ้นยุค" แล้ว

ยังไงๆแก่นแท้ของทุกท่านก็ต้องกลับบ้าน

หลุดพ้นออกจากโลกและอนันตจักรวาล

กลับไปกราบพระบาทพระบิดาที่รออยู่ให้จงได้

ใครที่ไม่สามารถหลุดพ้นได้

ก็จะหมดโอกาสเป็นคน

บนดาวเคราะห์โลกเสรีนี้อีกแล้ว

 

3. ดังนั้น

คำถามที่ 2 ของท่านที่ว่า

 

"ถ้ายังหลุดพ้นไม่ได้

ผู้รอดตาย

เขาจะมีชะตาชีวิตเป็นเช่นไรคะ"

 

เรามีคำตอบให้ดังนี้ คือ

 

1. จิตวิญญาณของคนๆนั้น

จักถูกช่างเท็คนิกระเบิดทิ้งจนแตกสลาย

เป็นคลื่นพลังงานที่ไม่สมดุลตลอดกาล

ถ้าจิตวิญญาณรูปธรรมนั้นเสียสมดุล

จนมิอาจแก้ไขเยียวยาอะไรได้อีกแล้ว

 

2. จิตวิญญาณของคนๆนั้น

จักถูกส่งลงไปยังนรกโลกันตร์

 

อันหมายถึงถูกส่งลงไปอยู่ที่แกนโลก

เพื่อทำหน้าที่เป็นน้ำหนักมวล #ถ่วงโลก

ให้สมดุลกันกับน้ำหนักมวลบนพื้นผิวโลก

ซึ่งจักต้องทุกข์ทรมานเพราะความร้อนแรง

ไปจนตราบอนันตกาลนั่นเอง

 

3. จิตวิญญาณของคนๆนั้น

จักถูกลดชั้นให้ลงไปเกิดเป็นสัตว์ประจำโลก

ชนิดที่มีอายุขัยยืนยาว นาน 7 ภพชาติ

ซึ่งคนจำพวกนี้เกือบทั้งหมด

จะเป็นพวกผิดสัจจะกระทำทุศีลอยู่เป็นนิจ

 

ตัวอย่างเช่น

นักบวชนักพรตที่ไม่มีสัจจะ

นักบวชนักพรตที่กระทำทุศีล

นักบวชนักพรตครองศีลแต่ยังกินเนื้อสัตว์

นักบวชนักพรตที่สอนผู้คนให้หลงผิด

นักบวชนักพรตที่พาคนหลงทางนิพพาน

 

นักบวชนักพรตที่อ้างคำสอนของตน

ว่าเป็นพระวจนะพระศาสดา

หรือ ผู้ที่บิดเบือนคำสอนพระศาสดา

จนพาให้ผู้คนหลงเชื่อตาม

 

นักบวชนักพรตที่นำคำสอนพระศาสดา

มากล่าวให้ผู้คนเข้าใจผิดว่าเป็นของตน

ฯลฯ

 

สัตว์ประจำโลกที่จิตวิญญาณมนุษย์

จะตกชั้นลงไปเกิดนั้นมีเพียงไม่กี่ชนิด

เช่น เต่า งู หรือ กบ เป็นต้น

สัตว์จำพวกนี้จะเป็นสัตว์จำศีล

กินอาหารมังสะวิรัติล้วนๆ

จำพวกผัก หญ้า ตะไคร่น้ำ เป็นต้น

 

4. สำหรับมนุษย์ผู้หลุดพ้นได้

ก็จะได้รับโอกาสให้เป็นมนุษย์อยู่ต่อไป

เพื่อเป็นคนส่วนน้อยที่รอดชีวิต

เพื่อการใช้เมตตาค้ำจุนสมดุลโลก

ให้สงบสมดุลและสะอาด

ในบทบาทของคนข้ามผ่าน

สู่ยุคพลังงานใหม่ต่อไปได้

 

ดังนั้น

คนที่รอดตายจากมหันตภัยพิบัติใหญ่

มีชีวิตข้ามผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่ได้

ทุกคนจะมีคุณสมบัติกรรมเป็นศูนย์

จะเหลือเพียงพันธะสัญญา 6

และใช้ความรักหมุนธรรมจักรเท่านั้น

 

Question 3.

ในยุคพลังงานใหม่

เขาสามารถแก้ไขจิตสำนึกผิดๆ

ให้ถูกต้องได้ง่ายกว่ายุคพลังงานเก่า

เนื่องจากในยุคพลังงานใหม่

สนามแม่เหล็กโลกสูงขึ้น

มนุษย์จะเข้าสู่ภาวะจิตเป็นสุญญตาง่ายขึ้น

และเป็นยุคสมัยแผ่นดินธรรม

ของพระศาสดาพระองค์ใหม่

พระศรีอริยะเมตไตรยจะเสด็จมาโปรด

เพื่อช่วยมนุษย์ที่เหลืออยู่

เป็นยุคที่มีแต่คนดี ไม่มีคนชั่ว

ความเข้าใจเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่คะ

 

Answer:

มนุษย์ในยุคพลังงานใหม่

จะมีอยู่ด้วยกันสองจำพวก คือ

 

พวกแรก:

เป็นพวกที่ข้ามผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่มาได้

ด้วยสภาวะจิตที่เป็นสุญตาแล้ว

ด้วยจิตวิญญาณที่เหนือกฎแห่งกรรมได้แล้ว

 

พวกที่สอง:

เป็นพวกเด็กๆที่ข้ามมิติมาจากฟ้าสีคราม

เพิ่งเข้ามาจุติเป็นมนุษย์ในภพชาติแรก

หลังการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่แล้ว

เพื่อทำหน้าที่แทนมนุษย์ยุคพลังงานเก่า

ที่สิ้นสุดเวลาในการทำภารกิจแล้ว

 

ดังนั้น

เรื่องราวที่ท่านคิดจินตนาการ

จึงมิได้เป็นเช่นที่คิดนั้นหรอก

 

พระศาสดาพระองค์ใหม่

ก็มิได้มาจุติเพื่อช่วยเหลือใคร

แต่ทรงเข้ามาจุติเพื่อช่วยซับน้ำตา

และเป็นที่พึ่งทางจิตใจของคนดีๆ

ที่ยังบอบช้ำและต้องการกำลังใจเท่านั้น

 

เพราะคนทุกคนในห้วงเวลานั้น

ต่างเป็นคนจิตใสใจสวยกันหมดแล้ว

เลิกเหลวไหลเพราะได้สติทางวิญญาณแล้ว

 

จงอย่ากังวลถึงวันอนาคต

จนลืมเร่งรัดชำระตนเองในปัจจุบัน

ให้ทันกำหนดเวลา

ตามที่ปรารถนาไว้ว่าจะเลือกเป็นแบบใด

ในองค์อนุตรธรรมที่เรากล่าวมาทั้งหมดนั้น

 

เราขออวยพรให้ทุกท่าน

ข้ามผ่านมันไปได้อย่างสวยงามนะ

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

29-10-2019

28 ตุลาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 28/10/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ความจริงสูงสุดในระดับ #อนุตรธรรม

คือ สัจธรรมที่พระศาสดาไม่เคยสอน

 

ตัวอย่างหนึ่งซึ่งเป็น

"ความจริงที่ศาสดาไม่เคยสอน"

เช่น จิตวิญญาณที่มาเกิดเป็นมนุษย์ทุกคน

ต่างต้องการให้จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของตน

สั่นสะเทือนทางด้านบวกต่อทุกสถานการณ์

ในระดับสูงสุดเท่าที่จะสามารถเข้าถึงได้ นั่นคือ

❤ ❤ ❤

ต้อง "รักให้ได้ ให้อภัยให้เป็น

.........และไม่เห็นแก่ตัว"

❤ ❤ ❤

ไม่ว่าสถานการณ์นั้นๆจะเดินทาง

เข้าสู่ "จิตหยาบ" ของท่าน

 

เพื่อการรับรู้ผ่านกลไกอายตนะภายนอก

ในช่องทางใดช่องทางหนึ่ง เช่น

จะผ่านเข้ามาทาง "ตา"

จะผ่านเข้ามาทาง "หู"

จะผ่านเข้ามาทาง "จมูก"

จะผ่านเข้ามาทาง "ปากหรือลิ้น"

จะผ่านเข้ามาทาง "ร่างกาย"

แม้กระทั่งสถานการณ์นั้นๆ

 

มันเกิดขึ้นที่ภายใน "จิต" ของท่านเอง

ไม่ว่า "สถานการณ์" ที่จิตท่านรับรู้นั้น

จะเป็นเงื่อนไขด้านบวกที่ท่านชอบใจ

หรือเป็นเงื่อนไขด้านลบที่ท่านไม่ชอบใจ

จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่าน

ต้องตอบสนองสถานเดียวเท่านั้นคือ

 

ท่านต้องรัก เมตตา สงสาร

ท่านต้องให้อภัย ต้องไม่ถือสา

ท่านต้องไม่เอาเรื่อง ไม่เอาความ เป็นต้น

 

โดยจะต่อสู้ ตอบโต้

หรือจะกระทำการต่อต้านไม่ได้เด็ดขาด

เพราะจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน

ขันอาสาพระผู้เป็นเจ้า คือ องค์จิตจักรวาล

 

เดินทางข้ามมิติจากแดนสุญตา

เข้ามาจุติเป็นมนุษย์โลกในอนันตจักรวาลนี้

เพื่อใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์

ผลิตสร้างพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าด้านบวก

ที่ท่านทั้งหลายเรียกว่า #ความรัก ให้แก่โลก

โดยอย่างน้อยต้องช่วยกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป

ในพื้นที่ทุกๆ 33.33 ตารางกิโลเมตรบนโลก

ซึ่งจิตวิญญาณของทุกคนที่เป็นประชากรโลก

จะต้องร่วมด้วยช่วยกัน "ผลิตสร้าง"

ด้วยพลังอำนาจแห่งรักเพื่อให้ในทุกรูปแบบ

เช่น อดทน อดกลั้น ให้อภัย

หรือ เมตตา กรุณา และมุทิตา เป็นต้น

 

ซึ่งพฤติกรรมทางจิตเหล่านี้

จะเป็นเงื่อนไขให้เกิดพฤติกรรมภายนอก

ที่ท่านทั้งหลายจะแสดงออกต่อผู้อื่นต่อไป

พฤติกรรมภายนอกที่เกิดขึ้นจากรักเพื่อให้

ที่ท่านทั้งหลายแสดงต่อกันได้ เช่น ให้เวลา

ให้โอกาส ให้ทรัพย์สิ่งของหรือให้ทาน

ให้ความรู้ ให้ปัญญาหรือความฉลาด

ให้ความเอื้อเฟื้อ ให้ความอนุเคราะห์

ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล

ให้การยืดหยุ่น ให้การแบ่งปัน และเสียสละ

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เพียงแค่ท่านเป็นผู้เริ่มต้นกระบวนการ

ผลิตสร้างพลังงานความรักมอบให้โลก

โดยเริ่มจากจิตมนุษย์ข้างในตัวท่าน

หลังจากได้รับรู้สถานการณ์หรือเงื่อนไข

 

จากสิ่งเร้าภายนอกทั้งหลาย

ผ่านอายตนะเข้าไปถึงจิตที่อยู่ข้างใน

แล้วจิตท่านก็ขับเคลื่อนการสั่นสะเทือนออกมา

เป็นพฤติกรรมแห่งรักที่เป็นพฤติกรรมภายนอก

ด้วยพฤติกรรมภายนอกที่เป็นด้านบวก

ตามที่เรายกตัวอย่างเอาไว้ข้างต้นนั้น

มันก็จะกลายเป็น "สถานการณ์"

ที่จะเป็น "เงื่อนไข" ให้คนรอบข้างตัวท่าน

เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตด้านบวกตามไปด้วย

จนถึงขั้นสูงสุดของกระบวนการนี้ก็คือ

คนรอบข้างตัวท่านก็จะหันมาก่อกรรมทำดี

 

ตอบสนองการทำดีของตัวท่าน

ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นสร้างกระบวนการผลิต

พลังงานจิตทางด้านบวกมอบให้โลกนั่นแหละ

 

เพียงเริ่มต้นจากคนสองคน

มันก็จะสร้างเครือข่ายแบบ MLM

เพิ่มเป็นจำนวนคนนับเท่าทวีมิรู้สิ้นสุด

โลกนี้จึงมีพลังงานมากพอและต่อเนื่อง

จนยังผลให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้

อย่างต่อเนื่องยาวนานตราบกระทั่งบัดนี้

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

กระบวนการผลิตพลังงานความรักเพื่อให้

ที่เรากล่าวมาให้รู้ตั้งแต่ต้นนั้น

มันเป็น "กฎเกณฑ์" หรือ "หลักการ"

ร่วมกันหมุนธรรมจักรในตนเองเชิงสังคม

เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก

มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกของพวกท่าน

นำไปใช้ในการ "บิดแกนแม่เหล็กโลก"

ที่พระผู้สร้างทรงติดตั้งเอาไว้ในแกนโลก

พร้อมกำหนดให้มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

ปฏิบัติตามกระบวนการที่เราเปิดเผยมานี้

เอาไว้ล่วงหน้ามาตั้งแต่แรก

 

โดยพระบิดา เรา และพระศาสดา

เรียกกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับกระบวนการนี้ว่า

 

#ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร

 

ความจริงระดับอนุตรธรรมเหล่านี้

เราเคยกล่าวไว้นานมาแล้ว 3 ประการคือ

 

1. ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตในระบบโลกจะเป็นใคร

จะทำตนวางเฉยหรือเพิกเฉยโดยทำเป็น

ไม่รู้ ไม่สน ไม่ฟัง ไม่จำ ไม่ทำ ไม่ได้เด็ดขาด

เพราะมันจะเสียชาติเกิด

มันจะเสียทีที่ได้มาเกิดเป็นคนบนโลกเสรีนี้

 

2. เราประกาศให้โลกรู้ว่า

การที่จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์

มิใช่บังเอิญมิใช่มาเที่ยวเล่นมิใช่มาทุกข์

แล้วพยายามสร้างทางเบี่ยง

หลุดลอยไปเกิดอยู่บนแดนสวรรค์มายา

เพียงเพื่อว่าต้องการจะหนีทุกข์

 

แล้วหลอนตนเองว่า

ถ้าได้ไปเกิดเป็นเทพพรหมอยู่บนนั้นได้

มันคือการ "นิพพาน" ทางจิตวิญญาณแล้ว

ซึ่งเป็นความหลงความเชื่อจนเป็นค่านิยมใหม่

 

ของประดาคนนำทางตาบอดว่า

เส้นทางเทวดาเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง

ทั้งๆที่พระศาสดาไม่ได้สอนไว้แบบนั้นเลย

ตัวชี้วัดความเชื่อผิดๆ

จนสับสนกับบทบาทของนักรบแห่งแสงก็คือ

 

พี่ๆน้องๆผู้หลงทางเหล่านี้

จะมีค่านิยมตั้งชื่อนามให้แก่กันและกัน

เป็นเทพเป็นเทวดาหรือว่าเป็นพรหม

เพื่อบ่งชี้ว่ายังมีชื่อมีชั้นกันอยู่

แล้วเหมาเอาเองดื้อๆว่าไปเกิดบนนั้น

คือ "นิพพาน" แล้ว

 

ทั้งๆที่เพียงแค่ดับหายไปจากโลก

ไม่กลับมาเกิดบนโลกนี้อีกเท่านั้นเอง

จิตวิญญาณก็ยังต้องเกิดใหม่

โดยขึ้นไปแขวนลอยอยู่บนนั้นอยู่ดี

 

อัตตาตัวตนก็ยังมีอยู่

ความทุกข์ก็ยังมีอยู่เพราะไม่รู้จะไปต่อยังไง

 

หน้าที่ทางจิตวิญญาณที่ต้องทำก็มิได้ทำ

กลับละทิ้งหน้าที่จนจิตวิญญาณร้องไห้

 

3. เรายังประกาศให้โลกรู้ไว้ด้วยว่า

พระศาสดาของคนนำทางตาบอดมิได้ตรัสรู้

เรื่อง #อริยะสัจและมรรค หรือ "อริยมรรค"

แต่องค์ธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นสูงส่งยิ่งกว่าอีก

เพราะเป็นองค์ธรรมระดับ "อนุตรธรรม"

นั่นคือเรื่อง "ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร" นี่เอง

 

เรายังบอกไว้ด้วยว่า

จิตวิญญาณแก่นแท้ในมนุษย์แต่ละคนนั้น

ต้องการให้ "หมุนธรรมจักร"

แทนที่จะ "หมุนกรรมจักร" อยู่ทุกวี่ทุกวัน

ซึ่งการหมุนกรรมจักรนั้น

เกิดขึ้นเพราะการมุ่งกระทำใดๆเพื่อตนเอง

แต่การหมุนธรรมจักรนั้นเป็นการทำเพื่อโลก

ซึ่งเป็นการทำด้วยรักบริสุทธิ์

คือรักเพื่อ "ให้" โดยแท้

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

เลิกค่านิยมการไปเกิดเป็นเทวดาเทพพรหม

เมื่อตายไปจากการเป็นมนุษย์แล้วเสียเถิด

เพราะมันเป็นการดำเนินออกนอกลู่

จิตวิญญาณไปแล้วไม่ไปลับ

จะไปต่ออีกก็ไม่ได้และไม่รู้ว่าจะไปไหน

 

ทั้งๆที่ถ้าเกิดเป็นมนุษย์โลกได้แล้ว

ทุกคนที่สามารถหมุนธรรมจักรกับคนรอบข้างได้

เพียงเท่านี้และไม่มีอะไรมากหรือยากเลย

ท่านผู้นั้นก็ช่วยให้จิตวิญญาณของตนหลุดพ้น

คือ "นิพพาน" อันเป็นที่สุดในการเกิดเป็นมนุษย์

โดยไม่ต้องหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอด

ที่พาท่านทั้งหลายเดินหลงทางอยู่อีกต่อไป

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

28-10-2019