24 กรกฎาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 24/07/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
ถ้าท่านสำนึกรู้ว่าตนเองเป็นคนสองมิติ
โดยจิตวิญญาณของท่านเป็นผู้ขันอาสามาเกิด
แล้วมอบอำนาจให้จิตหยาบทำหน้าที่แทนนั้น
“จิตหยาบ” ต้องมีหน้าที่เรียนรู้ที่จะใช้จิต 3 นึก
คือนึกออกนึกเอาและนึกเองขับเคลื่อนพฤติกรรม
ในการดำเนินชีวิตประจำวันด้วยความรักให้ได้
ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
เพื่อหมุนธรรมจักรร่วมกับคนรอบข้างให้สำเร็จ
โดยมีความฉลาดของสมองสองซีกเป็นเครื่องมือ
 
การที่ท่านสามารถเข้าถึงการใช้จิตตปัญญา
ด้วยความรักและความฉลาดคิดของสมองได้
มันคือการสั่นสะเทือนทางจิตสามนึกของท่าน
เพื่อการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และเป็นคนที่สมดุล
 
การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์หมายถึง
สามารถใช้จิตกับสมองของตนได้โดยไม่มืดบอด
เพราะได้ผ่านการเรียนรู้และฝึกฝนจนเกิดทักษะ
ในการนึกคิดเมื่อเผชิญปัญหาในชีวิตมาระดับหนึ่งแล้ว
 
ส่วนการเป็นมนุษย์ที่สมดุลนั้นหมายถึง
การที่ท่านสามารถสั่นสะเทือนตนเองในมิติคู่ขนาน
คือทั้งในมิติทางกายภาพกับในมิติทางพลังงาน
พร้อมกันทั้งสองมิติได้อย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ของการกระทำหรือ “ผลกรรม”
ในสองมิติควบคู่กันไปในบทบาทของ #คนสองมิติ
ตามที่พระบิดาหรือองค์จิตจักรวาลทรงออกแบบไว้
 
แปลความได้ว่ามนุษย์ทุกคนจักต้องเป็นผู้ที่มีสัจจะ
เมื่อนึกคิดอะไรอย่างไรจิตก็ต้องสั่นสะเทือนไปตามนั้น
เมื่อจิตสั่นสะเทือนไปตามนั้นแล้ว
พฤติกรรมที่แสดงออกมาภายนอกในทางกายภาพ
มันจักต้องแสดงออกมาภายนอกอย่างสอดคล้อง
กับอาการของจิตที่มันสั่นสะเทือนเป็นการนึกนั้นด้วย
เช่นถ้านึกบวกท่านก็ต้องคิดบวกพูดบวกทำบวก
ถ้านึกลบท่านก็ต้องคิดลบพูดลบและกระทำด้านลบ
แสดงออกมาให้บุคคลรอบข้างแลเห็นเป็นประจักษ์ว่า
ท่านเป็นคนตรงไปตรงมาไม่ขี้จุ๊มี #ปากกับใจตรงกัน
 
ดังนั้น
คำว่าเป็นผู้มี #สัจจะ สำหรับมนุษย์ที่เป็น “คนสองมิติ”
จึงหมายถึงท่านเป็นผู้ที่มีปากกับใจตรงกันนั่นเอง
กล่าวคือเมื่อจิตเกิดมโนกรรมมีการสั่นสะเทือนเกิดขึ้น
เป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดแบบใดๆก็ตามภายในมิติของจิต
ท่านจึงสั่นสะเทือนมันออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก
ไปตามสภาวะจิตของท่านในขณะนั้นนี่แสดงว่าไม่โกหก
 
แต่ในทางกลับกัน
ถ้าท่านสั่นสะเทือนจิตเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ
แล้วขับเคลื่อนมันออกมาภายนอกเป็นวจีกรรมคำพูด
หรือเป็นกายกรรมจากการกระทำต่อคนๆนั้นเป็นบวก
เพื่อจะตบตาซ่อนเร้นความรู้สึกนึกคิดของจิตที่เป็นลบ
อย่างนี้ก็เรียกว่า “เสแสร้ง” ไม่มีสัจจะหรือโกหก
 
แต่ในอีกทางหนึ่งก็คือ
ถ้าท่านมีอารมณ์รู้สึกนึกคิดที่เป็นลบต่อคนๆนั้น
แล้วท่านก็ไม่กล้ากล่าวตามความจริงจากใจของท่าน
เพราะเกรงว่าเขาจะเสียใจหรือเกรงว่าเขาจะไม่พอใจ
ท่านจึงทำตนเป็นนักเสแสร้งแสดงบทลวงตาต่อเขา
เพื่อช่วยให้เขาไม่เสียใจไม่มีปัญหาขัดแย้งกับท่าน
ท่านก็จะผิดบาปต่อเขาเพราะปากกับใจทานไม่ตรงกัน
อันเป็นการ “ลวง” ให้เขาเข้าใจผิดไปจากความจริง
นี่ก็เท่ากับว่าท่านก็กระทำผิดต่อผู้อื่นก้าวล่วงต่อผู้อื่น
จนต้องตกเป็นทาสของกฎแห่งกรรมเสมอ
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
 
จิตใจกับปากของมนุษย์แต่ละคนนั้น
หากตราบใดที่สองสิ่งนี้มันยังมีมลทินอยู่
ท่านจะไปสอนลูกหลานลูกศิษย์ให้ศักดิ์สิทธิ์มิได้
เพราะพวกเขาจะไม่มีใครเชื่อฟังท่านหรอกนะ
เนื่องจากกฎแห่งกรรมนั้นมันเป็นกฎแห่งกระจก
มันเป็นภาพสะท้อนย้อนคืนสู่ตัวท่านที่เป็นผู้กระทำ
เงาสะท้อนกลับที่ลูกหลานลูกศิษย์ไม่เชื่อฟังท่าน
มันเป็นมายาอันเกิดจากมโนกรรมของตัวท่านเอง
 
มนุษย์โลกที่ล้มเหลวในการใช้อายตนะ
เพราะใช้ปากและจิตใจหรือจิตปัญญาผิดบาป
เนื่องจากกระทำก้าวล่วงหลอกลวงผู้อื่นอย่างไร้สัจจะ
เพราะเป็นนิสัยสันดานเคยตัวก็พบว่ายังมีมากอยู่
เพราะมีนิสัยมักง่ายในการใช้ปากอย่างไร้สติกันก็มีบ้าง
 
แต่บางสถานการณ์นั้นมันไม่จำเป็นต้องโกหกก็ได้
เพราะมิใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย
มนุษย์บางคนกลับเลือกที่จะกล่าวคำเท็จต่อผู้อื่น
ทั้งๆที่ไม่รู้วัตถุประสงค์ของตนว่าจะโกหกไปเพื่ออะไร
นิสัยสันดานแบบนี้แหละคือการเป็นคนไม่มีสัจจะ
เวลาตกนรกแล้วจะตกนรกนานเพราะขาดจิตสามนึก
จิตวิญญาณจะสำนึกในผิดบาปของตนเองยากมาก
เพราะการจะพ้นจากขุมนรกแต่ละขุมนั้นๆได้
อยู่ที่การมีสัจจะโดยยอมรับความจริงของตนให้ได้
แม้เป็นการ “ยอมรับผิดบาป” จากการกระทำของตน
 
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24/07/2022

20 กรกฎาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 20/07/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
ศัตรูของมนุษย์และโลกที่เราเรียกว่า #มอด นี้
พวกเขาพบว่าตนนั้นมีจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนอยู่
ในมิติที่ 5 ซึ่งเป็นมิติเหนือกว่าจิตหยาบของมนุษย์
ที่ปกติแล้วมนุษย์จะสั่นสะเทือนในมิติที่ 3-4 เท่านั้น
 
คำว่าสั่นสะเทือนอยู่ในมิติที่เท่าใดนั้น
สำหรับรูปธรรมสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ทรงสร้าง
พระบิดาทรงหมายความว่า
#จิตวิญญาณ ที่เป็นแก่นแท้ในรูปธรรมนั้น
มีอำนาจในการสั่นสะเทือนสูงสุดอยู่ในระดับใด
ถ้าจิตวิญญาณนั้นมีการสั่นสะเทือนสูงสุดด้านบวก
แล้วสามารถเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง
จนเป็นสามเหลี่ยมด้านเท่าที่อยู่ในทรงกลมเดียวกัน
ได้ทั้งหมดกี่เหลี่ยมมุมหรือเป็นจำนวนกี่รูปก็ตาม
รูปธรรมสิ่งมีชีวิตนั้นจะสั่นสะเทือนอยู่ในมิตินั้นเสมอ
 
ตัวอย่างเช่น
จิตวิญญาณของพวก “สัตว์ร้าย” บนดาวอื่นในเอกภพ
พระบิดา (God) ทรงใช้ให้พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์
จากนอกเอกภพอันเป็นพระนิเวศน์ของพระองค์
ซึ่งเป็นที่เดียวกันกับจิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่าน
เดินทางเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ในระบบโลกเสรีนี้
โดยพวกสัตว์ร้ายเหล่านั้นจิตวิญญาณจะอยู่ในมิติที่ 6
จึงมีคุณสมบัติด้านอภิญญาปาฏิหาริย์ติดตัวมาด้วย
ไม่ต่างจากวัตถุมงคลของมอดที่ถูกปลุกเสกให้มีพลัง
วัตถุชิ้นนั้นก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์สำแดงปาฏิหาริย์ต่างๆ
ไปตามพลังอำนาจพิเศษที่ถูก “ชาร์จ” ถูกกำหนดให้
 
ดังนั้น
วัตถุมงคลต่างๆที่ถูกปลุกถูกเสกด้วยวิชามอด
ไม่ว่าดินปั้น ปูนปั้น โลหะหล่อ ไม้แกะสลัก ผ้ายันต์
เพื่อสร้างเป็นรูปเคารพบูชาพาให้มนุษย์โลกงมงาย
ล้วนเป็นอวิชชาของมอดผู้มี #ฌานอภิญญา
เพราะมีจิตวิญญาณอยู่ในมิติที่ 6 แต่ลดลงมาสู่มิติที่ 5
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดอยู่บนดาวดวงนั้นๆตั้งแต่ต้น
การใช้พลังจิตปลุกเสกวัตถุมงคลคือการใช้อำนาจ
กำหนดสร้างสรรพสิ่งใดๆด้วยอำนาจภายในตนเอง
เพื่อให้สรรพสิ่งนั้นเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของตน
ซึ่งสัตว์ร้ายเหล่านี้สามารถจัดการได้อย่างพร่ำเพรื่อ
จนพากันหลงตัวเองว่าพวกเขาคือ #พระผู้สร้าง
ที่ใช้คำสากลของโลกว่า The Creators นั่นเอง
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
 
สิ่งมีชีวิตจำพวกสัตว์ร้ายจากต่างดาวเหล่านี้
ยิ่งค้นพบพลังอำนาจทางจิตวิญญาณในตนเอง
ก็ยิ่งสนุกสนานกับการใช้ “อำนาจเหนือ” นำทุกสิ่ง
ที่พวกตนพบพานผ่านเผชิญในจักรวาลอันไพศาลนี้
ด้วยพลังอำนาจแต่เดิมที่พระบิดาประทานมาให้
บวกกับความกล้าหาญที่ขับดันด้วย #กิเลสตัณหา
จึงยังผลให้หลายหมื่นปีที่ผ่านมาพวกเขาต้องตกชั้น
จิตวิญญาณต้องเสื่อมอำนาจลงสู่มิติที่ 5 จนทุกวันนี้
 
ลัทธิอุตริอวิชชาทำนองนี้
เป็นที่มาของความเสื่อมอำนาจทางจิตวิญญาณ
ที่มอดมารทั้งหลายถ่ายทอดให้กับมนุษย์โลก
หลงก้าวตามมอดเพราะกระหายกิเลสชอบอวดอุตริ
การสร้างวัตถุสร้างรูปเคารพบูชาสร้างอนุสาวรีย์
การปลุกเสกเลขยันต์การเล่นแร่แปรธาตุ ฯลฯ
จึงล้วนเป็นการทำให้จิตวิญญาณของตนเสื่อมอำนาจ
ซึ่งมันจะยังผลให้พวกท่านล้มเหลวทางจิตวิญญาณ
จนไม่อาจปฏิบัติตามแผนการที่ทรงออกแบบเอาไว้ได้
 
เพราะพระบิดาทรงมอบทั้งอำนาจหน้าที่ให้สัตว์ร้าย
แต่เมื่อพวกเขามีอำนาจกลับใช้อำนาจที่ตนมีไม่เป็น
จึงทำตนเป็นคนพาลเกเรจนจักรวาลวุ่นวายไปทั้งหมด
เพราะบุตรที่เหลวไหลไม่เอาถ่านไม่เอาไหนไร้เมตตา
สงครามจักรวาลความขัดแย้งข้ามดาวการแตกดับ
การเสียสมดุลของเอกภพมีเหตุที่มายิ่งกว่าในภาพยนตร์
ซึ่งพวกเขาทำการสร้างกันขึ้นมาจากเรื่องจริง
เพื่อเยาะเย้ยถากถางและประกาศศักดาต่อฝ่ายผู้แพ้ว่า
พวกข้าแน่กว่าพวกเอ็งอย่าได้แหยม....นะเว้ยเฮ้ย!
 
ที่เราเปิดเผยมาข้างต้นนั้นเป็นความจริงที่เคยเกิดขึ้น
ซึ่งถูกมิติแห่งกาลเวลาทางกายภาพโลกบดบังไว้
ทำให้ท่านทั้งหลายผู้ที่เข้าถึงเวลาของจักรวาลมิได้
ยังเป็นหนึ่งเดียวกันกับจักรวาลไม่ได้จึงเป็นความลับ
ที่ยังผลให้พวกท่าน “รู้น้อย” เมื่อรู้น้อยกว่าจึง “โง่ง่าย”
 
เพราะพวกเขาเป็น #รูปธรรมต้นแบบ ของพระเจ้า
สิ่งใดที่นำมาซึ่งความล้มเหลวในแผนการทดลอง
สิ่งนั้นจะถูกยกเลิกสิ่งนั้นจะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไข
เพื่อพัฒนามันให้ถูกต้องเหมาะสมดีงามยิ่งกว่าเดิม
พระบิดาหรือพระเจ้าซึ่งเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
จึงมิทรงต้องการให้ลูกแกะรุ่นสุดท้ายของพระองค์
ล้มเหลวในการอาสาเข้ามาทำหน้าที่แทนพระองค์
ในห้องทดลองใหญ่คือ #อนันตจักรวาล หรือเอกภพ
 
1.ใช้อำนาจระดับ 6 ของพระองค์พร่ำเพรื่อ
โดยเข้าแทรกแซงกระบวนการต่างๆในห้องทดลอง
ทำให้แบบแผนที่พระบิดาทรงออกแบบไว้บิดเบี้ยว
จนหลงตนเองเพราะถูกกิเลสครอบงำพาให้หลงมิติ
แล้วยกตนเองเป็น #พระผู้สร้าง ตีเสมอพระเจ้า
 
เพราะพบว่าอำนาจในตนเองที่มีอยู่นับแต่เกิดมานั้น
ตนสามารถใช้สร้างก็ได้ทำร้ายทำลายทิ้งเสียก็ได้
แม้แต่ดวงดาวถิ่นกำเนิดตนเองก็เคยระเบิดทิ้งมาแล้ว
เผ่าพันธุ์ที่มีชีวิตบนดาวอื่นพวกตนก็เคยทำมาแล้ว
ความหลงตัวเองว่าฉลาดกว่ามีอำนาจกิเลสเหนือกว่า
จึงเป็นที่มาของความเหิมเกริมที่จะเป็น “ผู้สร้าง”
ซึ่งมีเงาของ “ผู้ทำลาย” เป็นสิ่งชั่วที่ติดตามตัวอยู่
 
2.พวกเขามีความสนุกสนานเพลิดเพลิน
กับการเป็นสิ่งมีชีวิตที่เที่ยวท่องไปในจักรวาลได้
ทั้งด้วยพลังฌานอภิญญาอันเกิดแต่จิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นพลังอำนาจระดับ 6 ที่ตกต่ำลงมาสู่ระดับ 5
กับพลังสติปัญญาของสมองก้อนเดียว
ที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ให้ใช้
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นคนสองมิติดั่งมนุษย์
โดยให้จิตวิญญาณแก่นแท้สั่นสะเทือนขันธ์ทั้ง 4
เป็นการสั่นสะเทือนในสองมิติทางด้านบวกให้ได้
แต่พวกเขาตกเป็นทาสของ “มายา” ของพระบิดา
จึงยังผลให้ขันธ์ทั้งสี่กลายเป็น #ขันธ์ห้า มาจนบัดนี้
เพราะจิตวิญญาณตกต่ำสร้าง #เวทนาขันธ์ ขึ้นมาเอง
ด้วยพลังอำนาจด้านลบของ “กิเลส” โดยแท้
 
มนุษย์ที่ถูกมอดครอบงำด้วยจิตที่ติดกิเลส
จึงหมุนธรรมจักรด้วยความรักจากการใช้ขันธ์ห้ามิได้
เพราะจิตคอยจะสั่นสะเทือนเป็นกิเลสตลอดเวลา
เนื่องจากกิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะทั้งหลายนั้น
มันเป็นการสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่ำจึงสั่นง่ายกว่า
 
พวกท่านที่เป็นมนุษย์จึงบวชนานแล้วนิพพานไม่ได้
เมื่อนิพพานเจ้ากิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะไม่ได้
จิตวิญญาณก็สอบตกบททดสอบจนทำหน้าที่ช่วยโลก
เพื่อให้ความรักความเมตตาสร้างพลังงานค้ำจุนโลก
ด้วยการช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตนเองให้สมดุล
ตามที่ขันอาสาพระบิดาเข้ามาเกิดจึงทำไม่สำเร็จ
นี่ก็สิ้นยุคพลังงานเก่าแล้วจิตวิญญาณยังต้องกลับบ้าน
โดยดีดตนเองออกจากห้องทดลองขนาดใหญ่นี้ให้ได้
เพื่อกลับไปกราบพระบิดาในสภาวะ #หลุดพ้น
อันเป็นภารกิจสุดท้ายหรือมรรคผลที่ทุกคนต้องทำ
 
3.ประดาพวกสิ่งมีชีวิตที่หลงมิติเหล่านี้
ไม่ว่าจะเป็นเทพบุตรเทพธิดาเป็นนางฟ้าหรือสัตว์ร้าย
ล้วนเป็นพวกที่มีความคิดไม่ต่างจากมนุษย์โลก
นั่นคือไม่รู้ #อนุตรธรรม ความจริงของตนก่อนมาเกิด
เช่น ไม่รู้ว่าพวกตนเป็นใคร มาจากไหน
ใครให้มาเกิด มาเกิดบนดวงดาวของตนกันทำไม
มาเกิดแล้วพวกตนต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง เป็นต้น
 
เพราะความไม่รู้จึงประพฤติตนไม่ถูกต้อง
ตามแบบแผนที่พระผู้สร้างทรงกำหนดไว้ให้ทำ
เพราะมีแต่ดวงจิตวิญญาณที่เปี่ยมด้วยฤทธิอำนาจ
โดยไม่มีจิตหยาบเป็นเครื่องมือในการทำหน้าที่แทน
การขาดสติทางวิญญาณจนนำมาซึ่งความเสื่อม
ทั้งของตนเองและจักรวาลทั้งระบบใหญ่จึงบังเกิด
 
นี่จึงเป็นที่มาของการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
สำหรับภารกิจจิตวิญญาณที่มาเกิดเป็นมนุษย์โลก
โดยพระบิดาหรือพระผู้เป็นเจ้าพระองค์จริง
ทรงกำหนดให้มีการเติมเต็มดังต่อไปนี้
 
1.ให้จิตวิญญาณแบ่งภาคตนเองออกมา
เพื่อให้เป็นจิตหยาบในการทำหน้าที่แทนเมื่อมาเกิด
เพราะไม่ต้องการให้จิตวิญญาณผู้มีอำนาจระดับ 6
เกิดการหลงตัวเองหลงคิดว่าตนเองเป็นพระผู้สร้าง
ด้วยการใช้อำนาจบาตรใหญ่ทำลายแบบแผนต่างๆ
ตามที่พระองค์ทรงออกแบบและสร้างไว้ดีแล้ว
 
ซึ่งความเสียหายร้ายแรงที่เกิดขึ้น
จนนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขดังว่านี้
เพราะพวกสัตว์ทดลองรุ่นแรกทำตนเหลวไหล
จึงเป็นประสบการณ์ด้านลบที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ที่จะทรงยอมให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีกมิได้
 
2.ให้มีพระศาสดาจากโลกเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
ช่วยแก้ไขชำระจิตหยาบมนุษย์ผู้หลงผิดตามมอด
จนงมงายลุ่มหลงอยู่กับกิเลสตัณหาบ้าอำนาจ
จนขาดความสามารถในการใช้ความรักและปัญญา
ให้กลับมาเป็นผู้ที่มีจิตใสใจสวยดังเดิมให้จงได้
นั่นคือฉุดช่วยให้ “จิตหยาบ” นิพพานกิเลสนั่นเอง
พระศาสดาที่เกิดจากโลกจึงสอนให้มนุษย์โลก
มีมรรคผลสูงสุดคือการนิพพานกิเลสของจิตหยาบ
ให้พร้อมต่อการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณต่อไป
 
3.ให้มีพระศาสดาผู้มาจากพระเจ้าพระองค์จริง
มิใช่พระศาสดาผู้มาจากต่างดาวคือ Creators
หรือ ที่เรียกตนเองว่าเป็น #พระผู้สร้าง มนุษย์โลก
พระศาสดาที่มาจากพระเจ้าก็คือ พระบุตรเอก
ผู้สละตนเองอาสาพระบิดาเข้ามาฉุดช่วยมนุษย์
ทุกชาติทุกศาสนาให้จำพระบิดาให้จงได้
ให้ทำหน้าที่ของจิตวิญญาณที่ขันอาสาพระบิดามา
ให้รู้ว่าตนเองคือจิตหยาบที่ยังมีตนเองอีกภาคหนึ่ง
ซึ่งเป็นจิตวิญญาณแก่นแท้ผู้เข้ามาเกิดตัวจริง
เป็นผู้เร้นตนเองหรือถูกกักขังอยู่ข้างใน
เพื่อมิให้ออกมาสำแดงอภิญญาอภินิหารที่จับต้องได้
ดั่งเช่นจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตรุ่นแรกที่ทรงสร้าง
จนเกิดความวุ่นวายทั้งจักรวาลและเสียหายถึงบัดนี้
 
เพื่อให้มนุษย์ผู้มีปัญญาจากสมองทั้งสองซีกรู้ว่า
เหนือฟ้าของสมองซีกซ้ายก็คือ #สติปัญญา
ยังมีฟ้าคือ #ปัญญาญาณ ของสมองซีกขวาอยู่อีก
 
แปลความว่าจงอย่าหลงตนเป็น #กบในกะลาครอบ
อย่าหลงว่าตนเป็นพระผู้สร้างในบทบาทผู้ทำลาย
นอกโลกยังมีจักรวาลนอกจักรวาลยังมี #จิตจักรวาล
จิตจักรวาลก็คือพระผู้เป็นใหญ่เหนือจักรวาลโดยแท้
นักทำลายผู้หลงผิดคิดว่าตนคือพระผู้สร้าง
มิต่างจากผู้ที่หลงเงาของตนเองเท่านั้น
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20/07/2022

18 กรกฎาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 18/07/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
ศัตรูของโลกกับมนุษย์ได้พยายามที่จะปรับโลก
ให้มีสิ่งแวดล้อมต่างๆที่เหมาะสมกับพวกตนให้ได้
แต่โชคยังดีที่เท็คโนโลยีของพวกเขาที่เอามาใช้
ยังไม่เคยทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จได้เลย
ตัวอย่างเช่น
 
1.ระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกที่แน่นหนา
จนไม่สามารถเจาะไชผ่านเข้ามาในระบบได้ง่ายๆ
นอกจากรอโอกาสที่โครงข่ายเกิด #รูรั่ว จนมีช่องโหว่
จึงจะสามารถว้าปเข้ามาหรือว้าปออกไปจากระบบได้
เพราะสนามแม่เหล็กโลกเป็นรั้วปิดกั้นระบบที่แข็งแรง
ซึ่งพระบิดาหรือองค์จิตจักรวาลทรงออกแบบติดตั้งไว้
อย่างแนบเนียนจนศัตรูผู้หมายบุกรุกยากจะเจาะไช
ซึ่งแน่นอนว่าช่องโหว่ของโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
มันจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะจิตสามนึกมนุษย์ตกต่ำเท่านั้น
 
2.ยานพาหนะและรูปธรรมทางกายภาพของศัตรู
จะไม่กล้าแล่นฝ่าเข้ามาภายในระบบโครงข่ายที่เป็นรั้ว
ซึ่งยกตัวสูงขึ้นจากพื้นโลกในระดับ 6 หมื่นกิโลเมตร
เพราะแรงเสียดทานขณะพุ่งผ่านเข้ามาด้วยความเร็วสูง
จะทำให้ตัวยานที่เป็นวัตถุมิใช่ผลึกของสารพลังงานแสง
เกิดความร้อนสูงจนลุกไหม้จนยานจะระเบิดตายหมดลำ
ในลักษณะที่พวกท่านมองเห็นว่าเป็น “อุกกาบาต” ตก
หรือดาวตกนั่นแหละ
 
3.นอกจากนั้น
ความเข้มข้นของอำนาจแม่เหล็กโลกระดับ 14 เกาส์
ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งซึ่งพวกเขาต้องจัดการด้วยเท็คโนโลยี
ให้มีค่าต่ำลงจากปกติมากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้
แต่หลังทดลองสร้างแล้วก็ยังทำไม่สำเร็จเช่นเดียวกัน
เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพระบิดาทรงออกแบบไว้อย่างไร
 
ที่พวกเขากลัวความเข้มสนามแม่เหล็กโลกที่สูงค่า
เพราะขณะพุ่งผ่านเข้ามาและขณะดำรงอยู่ในระบบโลก
มันจะยังผลให้ระบบไฟฟ้าภายในโครงสร้างทางชีววิทยา
เกิดกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนำสูงเกินกว่าที่พระบิดาติดตั้งให้
แรงเคลื่อนทางไฟฟ้าสูงๆที่เกิดขึ้นภายในระบบดังกล่าวนี้
จะทำให้เครื่องยนต์แห่งกรรมพวกเขาระเบิดดั่งถูก #ฟ้าผ่า
นี่คือสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขา “กลัว” ยิ่งกว่ากลัวมนุษย์
ซึ่งพวกเขาทดลองสร้างกลไกป้องกันภัยทั้ง 3 อย่างนี้แล้ว
แต่ยังไม่ได้ผลแถมยังก่อให้เกิดภัยพิบัติรุนแรงขึ้นมาแทน
เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ภูมิอากาศแปรปรวน ฯลฯ
 
ดังนั้น
เมื่อหนทางสำคัญที่พวกเขาต้องการยังตีบตัน
จึงได้หันมากระทำที่ตัวพวกเขาเองแทน
ด้วยการปรับเปลี่ยนตนเองให้ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น
จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ “ไฮบริด” คือสิ่งมีชีวิตพิสดาร
ที่กายสังขารเป็นของ “มนุษย์” แต่จิตเป็นของ “มอด”
จนเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ “ผ่าเหล่า” ประเภท #สัตว์โคลนนิ่ง
ซึ่งมีโครงสร้างทางชีววิทยาเหมือนมนุษย์ที่เป็นต้นแบบ
แต่ทว่ามีจิตที่ขับเคลื่อนรูปธรรมนั้นเป็นของมอด
 
นอกจากนั้น
ศัตรูของมนุษย์ที่เป็นแกนนำบัญชาการอยู่นอกโลก
ได้มอบหมายให้ทายาทของตนบนโลก
วางแผนการสร้างพลานุภาพครอบงำโลกกับมนุษย์
ด้วยการติดตั้งไมโครชิพเพื่อสั่งการไว้ที่ก้านสมอง
ด้วยการใช้วิธีจูงจิตจูนจิตให้คิดคล้อยตามเชื่อตาม
โดยอาศัยคนนำทางตาบอดกับพวกหิวแสงทั้งหลาย
ช่วยเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์แผนร้ายของพวกตน
เพื่อให้ ปชช.เห็นงามไปตามการจูงจิตด้วยพลังกิเลส
และครอบงำมนุษย์ด้วยพลังจิตตปัญญาที่เหนือกว่า
 
ตอนต่อไป
เราจะมาเล่าแผนการที่ลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่านี้
ตามที่พระบิดาทรงเมตตาเล่าให้เราฟัง
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18/07/2022

16 กรกฎาคม 2565

VDO. EP. 395: ถ้าจิตตกต้องยกจิต (Full Version)

 



บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

14 กรกฎาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 14/07/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
สิ่งแรกสุดที่มนุษย์จะต้องรู้ในฐานะผู้ถูกกระทำ
คือความพยายามที่จะมีการผสมพันธุ์กันจริงๆ
ระหว่างมอดตัวผู้กับมนุษย์เพศเมียด้วยวิธีไขว้
ในแบบที่พยายามให้เป็น “ธรรมชาติ” กันก่อน
แต่ปรากฏผลว่ามอดทำไม่สำเร็จเพราะมีขีดจำกัด
ด้านอวัยวะสืบพันธุ์ที่ไม่เอื้ออำนวยให้กระทำได้
แม้มนุษย์เพศเมียพวกนั้นจะยินยอมพร้อมใจก็ตาม
 
เมื่อใช้วิธีง่ายๆผสมไขว้สายพันธุ์กันดื้อๆไม่ได้ผล
มอดผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิญญาณและเท็คโนโลยีอยู่
จึงใช้วิธี “ผสมเทียม” ทั้งในครรภ์และหลอดแก้วแทน
แต่มอดก็พบว่า “ตัวอ่อน” หรือดักแด้ในครรภ์มนุษย์
แม้จะมีโครงสร้างทางชีววิทยาและตัวตนรูปลักษณ์
คล้ายเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ที่มีชีวิต
เพราะมีจิตวิญญาณของสัตว์เข้าไปสิงสู่เป็นแก่นแท้
แต่กายสังขารของตัวดักแด้เมื่อทำคลอดออกมานั้น
ไม่มีผิวหนังห่อหุ้มเนื้อไว้เหมือนกับทารกของมนุษย์
มีแต่กล้ามเนื้อกับเส้นเลือดเส้นประสาทที่เปลือยเปล่า
ห่อหุ้มกระดูกกับเอ็นและอวัยวะภายในเอาไว้เท่านั้น
 
ที่ไปทดลองกับสัตว์ เช่น วัว แกะ แพะ ทั้งหลาย
ผลการผสมเทียมที่ในครรภ์ก็ออกมาผิดเพี้ยนไปหมด
ทั้งไม่สามารถนำตัวอ่อนมาใช้การได้จริงในทางปฏิบัติ
เนื่องจากหลังทำคลอดออกมาได้ไม่นาน
ตัวอ่อนที่เป็นผลิตผลจากการทดลองในเบื้องต้นก็ตาย
ไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ในระบบโลกเหมือนมนุษย์ได้
 
ดังนั้น
พวกมอดจึงต้องใช้วิธีที่ไฮเท็คโนโลยีมากกว่าเดิม
โดยวิธีที่มอดใช้ซึ่งเรากำลังจะกล่าวให้รู้กันอยู่นี้
ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งซึ่งมนุษย์รับเอาโนว์ฮาวมาจากมอด
นอกจากวิธีการผสมเทียมในครรภ์ของเพศเมียก็คือ
วิธีการที่เรียกว่า #โคลนนิ่ง ในห้องปฏิบัติการนั่นเอง
โดยใช้สเต็มเซลล์ของมนุษย์เป็นจุดตั้งต้นหรือต้นตอ
แล้วเอาเมล็ดพันธุ์หรือหน่อของสัตว์ร้ายคือมอด
ตัดต่อเข้ากับสเต็มเซลล์ของมนุษย์ที่เลือกไว้
ให้มีการเติบโตหรือวิวัฒนาการไปด้วยกันอย่างลงตัว
โดยนำเอาจิตวิญญาณของพวกตนใส่เข้าไปในระบบ
 
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ
พวกมอดจะได้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ที่มีดีเอ็นเอของพระเจ้าเป็นโครงสร้างหลัก
ที่ถูกสอดแทรกไว้ด้วยดีเอ็นเอจากหน่อของสัตว์ร้าย
โดยมีรูปร่างหน้าตามายารูปลักษณ์เหมือนหรือคล้าย
รูปธรรมมนุษย์จากสเต็มเซลล์ต้นแบบแทบจะดูไม่ออก
ขณะที่จิตวิญญาณของรูปธรรมโคลนนิ่งเป็นของมอด
 
ปฏิบัติการดังกล่าวนี้
จักต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ทางจิตและเท็คโนโลยีชั้นสูง
ซึ่งมนุษย์แม้จะมีสมองสองซีกที่ฉลาดกว่าและพร้อมใช้
แต่ก็ไม่สามารถจะตามทันมอดผู้มีสมองแค่ก้อนเดียวได้
เพราะสาเหตุใดนั้นเราจะเปิดเผยให้รู้ในภายหน้า
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
 
การโคลนนิ่งมนุษย์โลกให้มีจิตวิญญาณเป็นมอด
มันคือวิธีการย้ายจิตวิญญาณมอดสู่ร่างกายมนุษย์
ที่ถูกสร้างขึ้นภายในห้องทดลองเหมือนในหนังเลย
เพื่อให้มนุษย์เข้าใจว่าการโคลนนิ่งเพื่อแทรกแซง
ทั้งระบบโลกและสังคมมนุษย์นั้นเป็นเรื่องไม่จริง
 
ท่านทั้งหลายลองคิดดูเถิดว่า
ถ้าผู้นำประเทศของท่านหรือผู้นำของโลก
ที่มีอำนาจเหนือคนส่วนใหญ่หรือคนทั้งโลก
เป็นผลิตผลของมอดจากการโคลนนิ่งที่ว่านี้
ขณะที่ผู้นำต้นแบบนั้นหายไปจากระบบโลกแล้ว
โลกกับมนุษย์จักต้องเผชิญกับชตากรรมแบบใด
ถ้าประดาผู้นำของโลกมิใช่พี่ๆน้องๆแท้ๆของท่าน
ถ้าไม่โง่ง่ายก็เชิญพวกท่านใคร่ครวญกันเองเถิด
 
เพราะพวกเขาเผ่ามอดเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ในการผ่าตัดจิตวิญญาณและศัลยกรรมเซลล์
ที่เรียกว่า Healing ของ Healers จากต่างดาวนั่นเอง
ซึ่งมีทั้งพลังจิตด้านลบกับเท็คโนโลยีชั้นสูงกว่ามนุษย์
เป็นเครื่องมือปฏิบัติการสะท้านจักรวาลเขาจึงทำได้
แม้ในสิ่งที่เหลือเชื่อถ้ายังคิดแบบจิตมนุษย์
 
เพราะความต้องการที่จะอยู่รอด
พวกเขาจึงจำเป็นต้องทำเช่นที่ว่านี้
เพื่อจะมีอำนาจเหนือนำชาวโลกผู้เป็นเจ้าของถิ่น
เพื่อการครอบครองทรัพย์สินธรรมชาติของโลก
ด้วยจิตไร้สามนึกของสัตว์ร้ายผู้กระหายกิเลส
และเพื่อความปลอดภัยจากสนามแม่เหล็กโลก
ขณะพวกตนใช้ชีวิตอยู่ในระบบโลกร่วมกับมนุษย์
 
เมื่อพวกมอดจัดการในเรื่องที่ว่านี้สำเร็จแล้ว
ปฏิบัติการขั้นต่อมาที่มอดได้ดำเนินการไปแล้วด้วย
ซึ่งมนุษย์โลกยังไม่รู้ว่าตนไม่รู้กันอยู่แต่จักต้องรู้นั้น
มันคืออะไรท่านทั้งหลายจงอย่าได้เดาให้เสียเวลา
ในครั้งหน้าองค์จิตจักรวาลจะทรงเมตตาเล่าให้ฟัง
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14/07/2022

13 กรกฎาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 13/07/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
คนที่พูดจาโกหกเพื่อหลอกลวงผู้อื่นนั้น
หมายถึงคนที่มีพฤติกรรมแบบต่างๆดังต่อไปนี้
 
1.พูดในเรื่องที่ไม่ตรงกับความจริง
2.พูดในสิ่งที่ตนไม่รู้หรือรู้ไม่จริง
3.พูดไม่ตรงกับสิ่งที่ตนรู้อยู่
4.พูดเพื่อจูงให้คนอื่นเข้าใจผิด คิดผิด หลงเชื่อ
5.พูดเพื่อเอาดีใส่ตัว แล้วเอาชั่วใส่คนอื่น
6.พูดเพื่อใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นให้เสื่อมเสีย
 
คนที่เคยพูดโกหกแล้วมีคนเชื่อมีคนคล้อยตาม
คนที่เคยพูดโกหกแล้วทำให้ตนเองพ้นผิด
คนที่พูดโกหกแล้วตนได้รับประโยชน์โภชน์ผล
 
คนพวกนี้ถ้าหากเคยทำสำเร็จได้ครั้งหนี่งแล้ว
การประพฤติผิดบาปในครั้งต่อๆไป
พวกนี้ก็จะกระทำซ้ำได้ง่ายขึ้นยิ่งขึ้น
 
ยิ่งถ้ามีการประพฤติโกหกบ่อยขึ้นๆเรื่อยๆ
เขาคนนั้นก็จะกลายเป็นคนเสพติดการโกหก
โดยเป็นผู้มี "จริตสันดานโกหก" ไปในที่สุด
โกหกทั้งๆที่ไม่มีผู้ใดกดดันให้ต้องพูดโกหกเลย
 
แต่ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
ถ้าท่านทำให้ตนเองมีสันดานโกหกเสียจนเคยตัว
โดยเฉพาะในเรื่องที่ "ใหญ่ขึ้น" กว่าปกติ
อย่างเช่นกรณีนิทานเรื่อง "เด็กเลี้ยงแกะ" แล้ว
หากมีคนจับโกหกได้ท่านก็จะหายนะตลอดชีวิต
เพราะต่อไปจะไม่มีใครเชื่อถือคำพูดของท่านอีกเลย
แม้ครั้งหน้าท่านจะกล่าวความจริงมิได้โกหกก็ตาม
 
นอกจากนั้นถ้าเป็นการพยายามจะโกหก
เพื่อจะทำให้คนอื่นเชื่อในเรื่องไม่จริงที่เป็นเรื่องใหญ่
เพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเองด้วยอำนาจกิเลสในจิตตน
ซึ่งมันจะต้องโกหกให้ "แนบเนียน" มากกว่าปกติแล้ว
สิ่งหนึ่งที่จิตมนุษย์ของท่านมันจะเกิดอาการเลยเถิด
คือสร้างเรื่องเท็จเพื่อ "โกหกตัวเอง" ให้สำเร็จก่อน
 
ถ้าท่านสร้างเรื่องเท็จเพื่อโกหกตัวเองได้
โดยทำให้ตนเองเชื่อว่าเรื่องเท็จนั้นเป็นเรื่องจริง
ในทางจิตวิทยาของคนโกหกจำพวกนี้
จะทำให้เกิดความมั่นใจและความกล้าหาญมากขึ้น
ในการกล่าวคำโกหกนั้นเหมือนดั่งมันเป็นเรื่องจริง
เหมือนดั่งคนที่กำลังพูดความจริงทุกประการ
ซึ่งเป็นการประพฤติชั่วโดยไม่รู้ตัวว่าชั่วเพราะไร้สติ
 
นักการเมือง พ่อค้า แม่ค้า นักธุรกิจ
รวมทั้งเจ้าลัทธิอุตริที่มิได้มีองค์ความรู้เป็นของตัว
แต่แอบขโมยเอาความรู้ของครูคนอื่นๆมาทำ "ต้มยำ"
โดยจำของครูคนนี้มาหนึ่งประโยคแล้วเติมเข้าไปอีกสิบ
ซึ่งสิบประโยคที่เติมก็เป็นความรู้ของครูคนอื่นๆทั้งนั้น
แล้วนำมา "ต้ม" คนที่เขาไม่รู้เสียจน "สุก" ว่า
เป็นความรู้อันยิ่งใหญ่ของ "กูเอง" กูสื่อมาเองทั้งนั้น
 
พวกคนหน้าหล่อแต่ใจคดที่ไร้สัจจะและขาดคุณธรรม
เพราะเห็นแก่อำนาจและผลประโยชน์ส่วนตนทั้งหลาย
พวกที่หลอกลวงได้แม้กระทั่งหลอกตัวเองนี้
จะสำแดงการหลอกลวงเพื่อล่าสาวกได้อย่างหน้าด้าน
เพราะไม่สำนึกรู้ว่าตนกำลังทำบาปชั่วและน่าอาย
ยิ่งมีคนโง่ง่ายไปหลงกราบไหว้บูชาเป็นมหาโค้ชเข้า
จิตชั่วก็ยิ่งเหิมเกริมยิ่งหลงตัวเองอวดอุตริมากยิ่งขึ้น
เจ้าลัทธิพวกนี้จึงมีสันดานโกหกตลอดอายุขัยที่เหลือ
เพราะไม่โกหกก็หากินไม่ได้เนื่องจากจะไม่มีใครเชื่อ
จึงต้องแอบลอกเลียนคนอื่นเอามาปรุง "ต้มยำ" ขาย
ภายใต้อำนาจกิเลสทั้งของคนขายและฝ่ายคนซื้อ
 
คนจำพวกนี้
เป็นพวกที่จะทำให้จิตวิญญาณป่วยเพราะหลงมิติ
จากการมีสันดานพูดโกหกให้ผู้อื่นเสียหาย
แต่โกหกแล้วทำให้ตนเองเป็นฝ่ายได้ประโยชน์
กับพวกเจ้าลัทธิอุตริที่หากินด้วยการขาย "ต้มยำ"
จะถูกส่งตัวลงไปนรกเพื่อดัดสันดานของจิตกับปาก
ด้วยการถูกลงโทษที่ปากและลิ้นให้เจ็บปวดสุดๆ
ให้ทุกข์ทรมานสุดๆเพื่อสร้างสำนึกด้วยปัญญาให้ได้ว่า
ปากเป็นอายตนะสำคัญควรเอาไว้กินแต่สิ่งดีๆ
ควรเอาไว้พูดความจริงพูดแต่สิ่งที่เป็นมงคลเท่านั้น
จะใช้ปากโกหกโป้ปดมดเท็จทำร้ายใครไม่ได้
 
ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานของปากกับลิ้น
เพราะถูกลงโทษในแดนนรกนั้น
เป็นการสร้างสำนึกใหม่ทางจิตปัญญา
เพื่อช่วยเยียวยาจิตวิญญาณที่หลงมิตินั่นเอง
อีกทั้งการสร้างสำนึกใหม่ให้ปัญญาแก่จิตวิญญาณ
เพื่อการสำนึกรู้ดีชั่วบุญบาปในนรกนั้นก็แสนทรมาน
เพราะจิตวิญญาณไม่มีสมองเป็นเครื่องช่วยสำนึก
 
ถ้าใครตกนรกเพราะสาเหตุหนักหนานี้
ก็จะต้องใช้เวลาตกนรกกันค่อนข้างนาน
กว่าจะได้กลับขึ้นมาผุดเกิดบนโลกพระบิดาได้อีก
 
แต่สำหรับเจ้าลัทธิอุตริหลอกลวงสาวก
เพื่อแสวงหาลาภผลด้วยวิธีการปรุงต้มยำขาย
โดยขโมยวัตถุดิบและสารตั้งต้นมาจากคนอื่น
จนทำให้สาวกหลงธรรมหลงทางนิพพานกลับบ้าน
ก็จะตกนรกขุมที่ลึกกว่านรกขุมที่สิบสาม
คือนรกอเวจีที่จิตวิญญาณจะถูกหมกไหม้อยู่ในนั้น
โดยจะไม่มีวันได้ผุดเกิดอีกตราบชั่วกาลนิรันดร
เพราะพระบิดาจะส่งลงไปทำหน้าที่ #ถ่วงโลก ไว้
เพื่อมิให้แกนหมุนโลกส่ายขณะที่โลกเหวี่ยงหมุน
 
ส่วนพวกที่ลักขโมยอนุตรธรรมจากพระโอวาท
แม้ได้รับพระเมตตาตักเตือนแล้วมิรู้สำนึกใดๆ
เพราะจิตบอดเนื่องจากมีสนิมกิเลสเกรอะกรังอยู่
ขณะยังมีชีวิตจิตวิญญาณจะถูกสุมเผาด้วยไฟร้อน
แล้วจะถูกโบยด้วยหวายพระบิดาคือถูกสายฟ้าฟาด
กายสังขารจักเป็นเถ้าถ่านจิตวิญญาณจักแตกระเบิด
เพราะกระทำผิดกฎแห่งกรรมของจักรวาลสากล
 
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
 
โลกนี้แม้จะเป็นดาวแห่งทางเลือกเสรี
ชนิดที่ใครเลือกจะทำดีทำชั่วก็ได้
แต่ท่านก็ต้องยอมรับผลกรรมดีชั่วที่ตัวทำนั้น
อย่างไม่มีข้อแม้และไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น
 
พฤติกรรมขโมยความรู้ของคนอื่น
ไปลอกเลียนแบบดัดแปลงหรือทำซ้ำหากิน
นี่ก็จะถูกลงโทษตามกฎหมายฐานละเมิดลิขสิทธิ์
 
พฤติกรรมขโมยอนุตรธรรมพระบิดา
ที่สื่อผ่านพระวจนะพระบุตรเอกแต่เพียงผู้เดียว
ลักเอาไปโดยไม่ถวายพระเกียรติแก่พระองค์
แล้วนำไปกล่าวสอนสาวกของตนให้หลงผิด
เพราะใช้กิเลสบิดเบือนอนุตรธรรมให้เสื่อมเสีย
ทั้งๆที่ตนไม่มีหน้าที่จะกล่าวอนุตรธรรมได้
จึงผิดกฎของจักรวาลฐานก้าวล่วงนั่นแหละ
 
ผู้ใดที่ก้าวล่วงพระผู้เป็นเจ้าตั้งแต่อดีตกาลที่ผ่านมา
ชีวิตบั้นปลายล้วนจบไม่สวยแม้แต่รายเดียว
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
13/07/2022

12 กรกฎาคม 2565

คำสอน 12/07/2022


จงละเว้นการประพฤติชั่ว
เพราะความชั่วที่ท่านทำนั้น
จะแยกท่านออกจากพระองค์
ดั่งวัชพืชในนาที่ต้องถูกชำระทิ้ง
เพราะเป็นศัตรูของข้าวที่อยู่ในนา

สนทนาประสาจิตจักรวาล 12/07/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
#โจทย์ข้อแรก ที่ศัตรูของมนุษย์ต้องทำให้สำเร็จ
เพื่อให้พวกตนดำรงชีวิตอยู่ในระบบโลกนี้ได้ตลอด
คือต้องจัดการให้ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกลดลง
หรือต้องจัดการให้สนามแม่เหล็กโลกเปลี่ยนไป
เป็นแบบที่เครื่องยนต์แห่งกรรมของพวกตนต้องการ
 
เมื่อพวกศัตรูรู้ความจริงได้แล้วว่า
พลังอำนาจแม่เหล็กโลกที่เข้มข้นแข็งแกร่งนั้น
เกิดจากแรงสั่นสะเทือนทางจิตสามนึกด้านบวก
ในแบบ #พลังร่วมแห่งหมู่คณะ ของมนุษย์โลก
ที่เป็นผลผลิตจากการสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
เมื่อมีสิ่งเร้าผ่านอายตนะภายนอกเข้ามากระทบจิต
จนเกิดเป็นความรักเพื่อให้และเกิดปัญญาเพื่อเรียนรู้
 
โดยเดิมทีพระบิดาหรือพระผู้เป็นเจ้าทรงออกแบบไว้
ให้จิตหยาบสั่นสะเทือนตอบสนองสิ่งเร้าด้วย"ขันธ์ทั้งสี่"
ซึ่งเป็นกระบวนการง่ายๆมิใช่ขันธ์ห้าอย่างในปัจจุบัน
เมื่อตาหูจมูกลิ้นหรือกายได้สัมผัสกับสิ่งเร้าภายนอก
คลื่นพลังงานจากการสัมผัสก็จะถูกส่งไปยังตาที่สาม
คือต่อม “ไพเนียล” ให้ #รับรู้ ว่ามีสิ่งเร้าอยู่ภายนอก
จิตหยาบตรงตาที่สามก็จะสร้างกระบวนการสั่นสะเทือน
เพื่อการตอบสนองสิ่งเร้าหรือเงื่อนไขนั้นทันที
 
ขันธ์ที่ 1 ก็คือ #รูปขันธ์
อันเป็นขั้นตอนแรกที่จิตจะรับรู้ดูเห็นรูปธรรมนามธรรม
ที่กลไกอายตนะภายนอกส่งเป็นรหัสสัญญาณเข้ามาให้
 
ขันธ์ที่ 2 ก็คือ #สัญญาขันธ์
อันเป็นขั้นตอนที่สองเมื่อจิตเกิดการรับรู้สิ่งเร้านั้นแล้ว
โดยจิตหยาบหรือจิตมนุษย์จะสั่นสะเทือนเป็นความรัก
เพื่อตอบสนองสิ่งเร้าที่ตนรับรู้ได้ทุกรูปแบบเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหตุการณ์ เรื่องราว
ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นเงื่อนไขที่ดีหรือร้ายต่อตนเองก็ตาม
พระบิดาได้ทรงออกแบบให้นำความรักจากสัญญาขันธ์
ออกมาตอบสนองสิ่งเร้าทั้งหลายนั้นได้โดยอัตโนมัติ
เพราะจิตหยาบมีความรักบริสุทธิ์ให้ใช้แค่คุณสมบัติเดียว
ที่ได้รับการแบ่งภาคออกมาจากจิตวิญญาณแก่นแท้
ซึ่งเป็นจิตวิญญาณผู้ถือกำเนิดจากพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
จึงไม่มีคุณสมบัติทางจิตอย่างอื่นให้เลือกใช้นั่นเอง
 
ในขั้นตอนของ “สัญญาขันธ์” นี้
ถ้าสิ่งที่จิตสัมผัสรู้ดูเห็นนั้นตนเคยมีประสบการณ์มาก่อน
จิตก็จะระลึกรู้ได้เองทันทีว่าสิ่งนั้นเรื่องนั้นคืออะไร
ซึ่งพระบิดาทรงกำหนดให้เป็นกระบวนการอัตโนมัติ
เพื่อมิให้มนุษย์บุตรของพระองค์ต้องลำบากยากเข็ญ
แต่ถ้าสิ่งที่จิตสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้นตนไม่เคยมีประสบการณ์
ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรมาก่อนจิตก็จะกระตุ้นตนเองอัตโนมัติ
ให้เกิดการสั่นสะเทือนเป็นความอยากรู้อยากเห็นทันที
 
ขั้นตอนที่ 3 ก็คือ #สังขารขันธ์
อันเป็นขั้นตอนที่สามเมื่อจิตเกิดการรับรู้สิ่งเร้านั้นแล้ว
ขั้นตอนนี้จิตหยาบจะตอบสนองสิ่งเร้านั้นด้วยความรัก
โดยท่านจะมองเห็นความน่ารักของสิ่งนั้นๆได้ง่ายๆ
เพราะพระบิดาทรงสร้างทุกสรรพสิ่งไว้รายรอบตัวท่าน
ให้มีคุณสมบัติเหมือนกันในความแตกต่างอันหลากหลาย
นั่นคือ ความน่ารักน่าชมน่าทนุถนอมและน่าอนุรักษ์
 
เมื่อท่านหยิบยื่นความรักบริสุทธิ์ให้กับสิ่งนั้นแล้ว
จิตก็จะใช้ความอยากรู้อยากเห็นจากสัญญาขันธ์
ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่จิตวิญญาณได้ถือติดตัวมา
จากด่านนภาลัยเพื่อให้ใช้งานในตอนที่เกิดเป็นมนุษย์
โดยเมื่อใดที่จิตวิญญาณสามารถหลุดพ้นกลับบ้านได้
ค่อยแวะลงตรงประตูมิติคือ #ด่านนภาลัย
เพื่อนำเอาคุณสมบัติที่เป็นความอยากรู้อยากเห็นนี้
กลับไปคืนตรงวิหารสีขาว ณ ด่านแห่งนี้ก่อน
จึงจะสามารถหลุดพ้นจากห้องทดลองของพระบิดา
คือ เอกภพหรืออนันตจักรวาลอันไพศาลนี้ได้
 
ดังนั้น
พวกท่านจึงสามารถใช้ความรักกับความอยากรู้
นำไปสู่กระบวนการเรียนรู้ด้วยจิตตปัญญาด้านบวก
ที่เรารวมเรียกว่า #จิตสามนึกด้านบวก นี่แหละ
โดยใช้พลังอำนาจจิตด้านบวกอันเกิดจากความรัก
ขับเคลื่อนกระบวนการคิดของสมองสองซีกของท่าน
เพื่อวิเคราะห์และสังเคราะห์สัจธรรมตามพลังปัญญา
ในอันที่จะกระทำตอบสนองต่อสิ่งเร้าทุกรูปแบบ
เพื่อเป็นเงื่อนไขด้านบวกต่อกันได้อย่างง่ายดายยิ่ง
ซึ่งมันคือ #การหมุนธรรมจักรร่วมกัน อย่างต่อเนื่อง
ตามที่พระองค์ทรงออกแบบไว้นั่นเอง
 
ขั้นตอนที่ 4 ก็คือ #วิญญาณขันธ์
อันเป็นขั้นตอนสุดท้ายของจิตที่ทรงออกแบบไว้
ให้มนุษย์เป็น “คนสองมิติ” ด้วยขันธ์ 4 มาตั้งแต่แรก
 
โดยขณะที่จิตสั่นสะเทือนในมิติทางพลังงาน
เพื่อการขับเคลื่อนสติปัญญาของสมอง
ให้เกิดเป็นกายกรรม วจีกรรม ตอบสนองสิ่งเร้า
ในมิติทางกายภาพในขันธ์ที่ 3 ดังกล่าวแล้ว
จิตหยาบของมนุษย์ก็ยังเป็นเหตุให้ต่อมไร้ท่อต่างๆ
เกิดการสั่นสะเทือนตามในมิติทางพลังงานไปด้วย
ซึ่งเราเรียกว่าจิตสั่นสะเทือนใน #มิติคู่ขนาน กัน
เพื่อผลิตพลังงานจิตด้านบวกเหวี่ยงออกมาให้โลก
อันเป็นภารกิจของจิตวิญญาณที่พากันขันอาสามา
ช่วยกันใช้ความรักค้ำจุนสมดุลโลกเอาไว้ให้ได้
ให้ทำหน้าที่กัน 6 หมื่นปีต่อหนึ่งยุคโดยไม่ต้องตาย
 
ที่เรากล่าวมาเรื่อง “ขันธ์ 4” ข้างต้นนี้
เพื่อบอกความจริงที่เป็น #อนุตรธรรม ให้รู้ทั่วกันว่า
เดิมทีคนสองมิติอย่างพวกท่านทั้งหลายนั้น
พระบิดาทรงเมตตาออกแบบไว้ให้ใช้แค่ขันธ์ 4
มิใช่ขันธ์ 5 อย่างยุคปลายนี้แต่อย่างใด
หากท่านอ่านทบทวนที่เรากล่าวถึงกระบวนการขันธ์สี่
เพื่อทำความเข้าใจกันหลายๆรอบแล้วจะรู้ได้เองว่า
การเป็นคนสองมิติเพื่อสั่นสะเทือนจิตหยาบด้วยรัก
และเพื่อใช้สติปัญญาของสมองสองซีกอย่างฉลาดนั้น
มันมิได้ยุ่งยากและมิได้ลำบากปฏิบัติอะไรเลย
 
แต่พอมันเป็นขันธ์ 5 เท่านั้นแหละ
มนุษย์โลกทั้งหลายก็ “งานเข้า” นับตั้งแต่บัดนั้น
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
 
ผู้ที่ทำให้พวกท่านล้มเหลวในการเป็นมนุษย์
เพราะไม่สามารถปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณ
ในการใช้เมตตาธรรมช่วยกันค้ำจุนโลกเอาไว้ให้ได้
หรือร่วมมือร่วมใจกันหมุนธรรมจักรไม่ได้
เพราะถูกศัตรูของมนุษย์เข้าแทรกแซงกระบวนการ
เพื่อทำให้สิ่งง่ายๆกลายเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อน
 
จนยังผลให้พลังงานแม่เหล็กโลกต้องอ่อนแอลง
จนทำให้ดาวโลกเสียสมดุลรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าของโลกเองกลับต้องอยู่ในระบบยากขึ้นทุกวัน
ขณะที่ศัตรูผู้เป็นมอดทุกตัวกลับกระดี๊กระด๊ายิ่งขึ้น
เพราะพวกเขามีความแข็งแรงและอยู่ง่ายขึ้นทุกวัน
 
พวกเขาจัดการอย่างไรกับมนุษย์บ้าง
โปรดติดตามความจริงระดับอนุตรธรรมในครั้งหน้า
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตาลูกแกะทุกตัว
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12/07/2022