28 กันยายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

28/09/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

การงดทานเลือดเนื้อของสัตว์เป็นอาหาร
ซึ่งเป็นเทศกาลสำคัญในอีกไม่กี่วันข้างหน้านั้น
แทนที่พวกท่านจะเรียกกันว่า เทศกาลกินเจ
น่าจะเรียกว่า เทศกาลกินผัก ดูจะเหมาะสมกว่า

เพราะคำว่า "กินผัก" ก็บ่งชัดกันอยู่แล้วว่า
หมายถึงการทานแต่พืชผักผลไม้เท่านั้น
จะไม่ทานเลือดเนื้อหรือผลผลิตที่ได้จากสัตว์
จึงไม่ต้องคิดมากว่าอะไรทานได้อะไรทานไม่ได้
การกินแต่พืชผักผลไม้จึงเรียกว่ากิน มังสะวิรัติ

เพราะไปใช้คำว่า "กินเจ" นี่แหละ
คนส่วนใหญ่จึงสับสนกันว่าเอ๊ะ...อะไรหว่า
ให้งดกินเลือดเนื้อของสัตว์มากินแต่ผักแต่หญ้า
ใยจะมีข้อห้ามมิให้กินพืชผักบางชนิดกันอีกล่ะ
เช่น ห้ามกินกระเทียมและผักที่มีกลิ่นฉุน เป็นต้น
โดยกำหนดเอาไว้ให้รู้เสร็จสรรพว่า
กระเทียมและพืชผักกลิ่นฉุนที่คนกินเจห้ามกินนั้น
เพราะมันจะเป็นอันตรายต่อ ตับ ไต หัวใจ นั่นเอง

เพราะเชื่อเรื่องข้อห้ามนี้สืบทอดกันมา
จากคนนำทางตาบอดตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ
จึงยังผลให้คนที่มีนิสัยในการบริโภคที่ถูกต้อง
คือ พวกที่ต้องการทานแต่พืชผักผลไม้
ไม่ต้องการทานเลือดเนื้อของสัตว์ต้องยุ่งยากใจ
เพราะกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ
จริงไม่จริงไม่รู้จึงเชื่อตามเอาไว้ก่อน

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ในพระนามพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้เป็นเจ้าผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในอนันตจักรวาล
เราขอยืนยันต่อท่านทั้งหลายไว้ในที่นี้ว่า

1.พืชผักสวนครัว เมล็ดธัญพืชและผลไม้ทุกชนิด
มนุษย์สามารถนำมาทานเป็นอาหารได้ทั้งหมด

2.ในพืชผักสวนครัวไม่ว่าจะมีลำต้นกิ่งก้านใบ
จะสีเขียวหรือสีอะไรตามที่พระบิดาทรงสร้างไว้
รวมทั้งผลไม้ไม่ว่าจะสีอะไร รสชาติอะไรก็ตาม
ไม่ว่าจะเป็นพืชจำพวกหัวที่อยู่ในดิน
ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ที่อยู่บนต้นหรือที่โคนต้น

ท่านทั้งหลายสบายใจได้เลยว่า
ถ้าสัตว์กินได้มนุษย์ก็กินได้เช่นเดียวกัน
เพราะพระบิดาทรงออกแบบกำหนดสร้างไว้
ให้สิ่งมีชีวิตที่เป็นมนุษย์และสัตว์ใช้เป็นอาหาร
เพื่อการมีชีวิตรอดอยู่บนโลกเสรีนี้ทั้งสิ้น

3.ในพืชผักสวนครัวที่ใกล้ตัวมนุษย์
พระองค์จึงทรงเน้นให้มีสารอาหารที่มีคุณค่า
ต่อเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์เอาไว้เป็นพิเศษ
โดยเฉพาะสารอาหารจำพวกโปรตีน
ที่ร่างกายของมนุษย์ต้องการใช้เพื่อสร้างซ่อม

คำว่า "สร้าง" หมายถึงใช้เพื่อการเจริญเติบโต
คำว่า "ซ่อม" หมายถึงใช้เพื่อซ่อมส่วนที่สึกหรอ

เนื่องจากกายสังขารของมนุษย์ทุกคนทุกเผ่า
ประกอบด้วยโปรตีนที่เป็น DNA กับ RNA
แน่นอนว่ามนุษย์จึงขาดอาหารจำพวกโปรตีนไม่ได้

พระองค์จึงทรงออกแบบให้พืชผักทุกชนิด
มีความสามารถในการดูดซับเอาไนโตรเจน
เข้าสู่ระบบเพื่อใช้ในการผลิตสร้างโปรตีนเองได้
โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่วทุกชนิด
พระบิดาจะทรงออกแบบให้บริเวณรากของมัน
มีปุ่มปมเล็กๆสำหรับ แบ็คทีเรีย อาศัยอยู่
โดยแบ็คทีเรียพวกนี้จะพึ่งพาอาศัยกันกับต้นถั่ว

พระบิดาทรงเรียกการพึ่งพานี้ว่า ซิมไบโอซิส
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ให้ประโยชน์ต่อกันตลอด
โดยต้นถั่วจะอาศัยแบ็คทีเรียที่ปมของรากในดิน
ช่วยดูดซับเอาตัวไนโตรเจนที่ถั่วต้องการ
นำมาผลิตสร้างสารอาหาร "โปรตีน" ดังกล่าว
จึงยังผลให้ในเมล็ดถั่วและยอดถั่วทุกชนิด
มีสารอาหารโปรตีนมากกว่าพืชผักชนิดอื่น

4.ส่วนบางคนที่เชื่อกันอยู่ว่า
ถ้ากินผักกินหญ้าแม้ว่าจะมีโปรตีนก็จริงอยู่
แต่ปริมาณมันน้อยสู้กินจากเลือดเนื้อสัตว์ไม่ได้
เพราะเกรงร่างกายจะได้รับสารโปรตีนไม่เพียงพอ
จะทำให้อ่อนแออ่อนเพลียสุขภาพไม่แข็งแรงนั้น

เราก็ขอบอกความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
พระบิดาทรงออกแบบไว้ให้อย่างเหมาะสมแล้ว
โดยทรงกำหนดให้ร่างกายของมนุษย์ทุกคน
ใช้โปรตีนชนิดดีหรือบริสุทธิ์กว่าจะรับมาจากสัตว์
โดยได้จากพืชตระกูลถั่วกับผักสวนครัวต่างๆนั้น
เฉลี่ยวันละไม่เกิน 7% ของสารอาหารทั้งหมด
ที่ร่างกายต้องการใน 1 วันเท่านั้นเอง

ท่านสังเกตกันบ้างหรือไม่ว่า
ช้างม้าวัวควายล้วนตัวโตใหญ่กว่าพวกท่านมาก
พวกเขาก็แข็งแรงดีเติบโตได้ไม่ขี้โรคไม่อ่อนแอ
วันๆพวกเขากินแต่ยอดไม้ใบหญ้าเท่านั้น

ซึ่งต่างจากมนุษย์นะ
ชอบกินแต่เลือดเนื้อของสัตว์เป็นประจำ
แต่กลับแข็งแรงสู้สัตว์กินหญ้ายังไม่ได้
ตามโรงพยาบาลสัตว์มีแต่สัตว์ป่วยด้วยเชื้อโรค
ไม่มีสัตว์ตัวใดป่วยเพราะขาดโปรตีนเลยสักตัว
ทั้งๆที่เจ้าของเลี้ยงดูพวกเขาด้วย "หญ้า" เท่านั้น

สำหรับมนุษย์ที่กินเลือดเนื้อของสัตว์เป็นหลัก
อายุขัยยังไม่มากเท่าไหร่ก็ต้องไปนอน รพ.แล้ว
เหตุเพราะป่วยด้วยอวัยวะบกพร่องแทบทั้งนั้น
ส่วนทีเจ็บป่วยเพราะเป็นโรคติดเชื้อนั้นน้อยมาก

5.เพราะมนุษย์เข้าใจผิดคิดว่าในพืชผักไม่มีโปรตีน
จึงหันมากินเลือดเนื้อของสัตว์ประจำโลกเข้าให้
เนื่องจากเชื่อฝังหัวว่าถ้าขาดโปรตีนแล้วจะตาย
จึงใช้ความได้เปรียบฆ่าสัตว์ตายนำมาเป็นอาหาร
เพื่อตนเองนั้นจะดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องตาย

พอกินไปกินมาจึงพากันติดใจในรสชาติเข้าให้อีก
เมื่อถูกท้วงทักตักเตือนว่ากินเลือดเนื้อสัตว์เป็นบาป
จึงพยายามโต้แย้งโต้เถียงข้างๆคูๆว่ากินได้ไม่บาป
โดยอ้างว่าสัตว์เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์
ทั้งๆที่ไม่มีสัตว์ตัวไหนมันบอกมนุษย์ว่าอย่างนั้น
เพราะสัตว์ทุกตัวทุกชนิดมันก็รักก็หวงชีวิตเช่นกัน

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
เจ้ากรรมนายเวร ของมนุษย์ที่เป็น มารภูต
ที่ติดตามทำตนเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต
ที่คอยติดตามทำร้ายพวกท่านแต่ละคนนั้น
จำนวนมากกว่า 50% คือจิตวิญญาณของสัตว์
ที่ถูกพวกท่านกินเลือดกินเนื้อพวกเขามา
จนทำให้พวกเขาถูกฆ่ามาเป็นอาหารของท่าน
นี่คือความจริงอีกด้านหนึ่งซึ่งมนุษย์ต้องรู้

6.สำหรับกระเทียมและผักกลิ่นฉุน
ที่ถูกใส่ร้ายว่าทานแล้วจะเป็นภัยต่อร่างกาย
ให้พวกท่านต้อง "งด" ทานกันโดยเด็ดขาดนั้น
เราขอนำมายืนยันในท้ายนี้ว่า ไม่จริง

ไม่มีอะไรที่ทานได้ในโลกนี้
หากทานเป็นทานอย่างถูกต้องแล้ว
จะเป็นพิษเป็นภัยต่อลูกแกะของพระองค์หรอก
ไม่มีพ่อคนใดที่ไม่รักลูกของตน
จึงอย่าระแวงในการทานกระเทียมและผักฉุน

กระเทียมที่มีรสเผ็ดร้อนและมีกลิ่นฉุนนั้น
เพราะพระบิดาทรงออกแบบเอาไว้
เพื่อมิให้ลูกๆทานกระเทียมเยอะเกินไป
จนเกิดโทษแก่ร่างกายนั่นเอง

ประโยชน์ของกระเทียมคือ ช่วยขับลม
บำรุงเลือด บำรุงหัวใจ ใช้แทนยาปฏิชีวนะได้
โดยเฉพาะแก้แผลอักเสบ ฝีหนองทำนองนั้น
นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
สำหรับรายที่มีฮอร์โมนเพศไม่ปกติอีกด้วย

สำหรับผักอื่นๆที่มีกลิ่นฉุนก็เช่นกัน
พระองค์ให้พวกท่านทานได้แต่คงไม่มากแน่ๆ
เพราะคงจะทนกลิ่นฉุนๆไม่ไหว
เรื่องที่ทานแล้วจะทำให้ตับไตหัวใจพัง
มันไม่มีวันเกิดขึ้นได้หรอกท่าน
ไหนๆจะกินผักกินมังสะวิรัติตลอดชีวิตกันแล้ว
ไหนๆจะเป็นลูกที่ดีที่จะหลุดพ้นกลับบ้านแล้ว
มาติดอาวุธทางปัญญากันในเทศกาลนี้เลย
ถ้ายังหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอดอยู่อีก
ก็จะพากันหลงทางเหมือนอดีตชาติที่ผ่านมา

บอกตามตรงนะว่า...
พระบิดาทรงเป็นห่วงท่านทั้งหลาย
สำหรับเราก็มิได้ต่างกัน

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28/09/2021


24 กันยายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

24/09/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เราขอขอบใจท่านที่แสดงความห่วงใยต่อเรา
กรณีที่มีคนทำตัวเป็นแกะนอกคอก
เข้ามาก้าวล่วงจ้วงจาบเราขณะสื่อพระโอวาท
ใช้วาจาหมิ่นพระเกียรติองค์พระเยซูคริสต์เจ้า
ยังลบหลู่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า
โดยใช้วาจาสามหาวดั่ง "คนบ้า" อีกด้วย

เขาเข้ามาก้าวล่วงเราด้วยอาการหื่นๆ
เหตุเพราะฟังไม่ได้ศัพท์แต่ดันจับไปกระเดียด

เพราะขาดทักษะในการใช้อายตนะคือหู
เพราะขาดทักษะในการใช้ปัญญาคือสมอง
เพราะขาดทักษะในการใช้สติคือจิตหยาบ
เพราะขาดทักษะในการเรียนรู้
เนื่องจากปฏิบัติธรรมด้วยวิธีที่ผิดธรรมชาติ

เพราะต้องการไปสวรรค์คนเดียวจึงละทิ้งสังคม
แล้วปิดอายตนะภายนอกทั้งห้าที่พระบิดาให้มา
แล้วหาทางกดดันบังคับจิตตนเองให้มันนิ่งสงบ
ซึ่งเป็นการฝืนธรรมชาติของจิตหยาบของตน
ที่ถูกออกแบบไว้ให้มันนึกออกนึกเอาและนึกเอง
เพื่อให้จิตหยาบพร้อมที่จะใช้ปัญญาของสมอง
สั่นสะเทือนกระบวนการของ ขันธ์ห้า เพื่อเรียนรู้
ทุกสิ่งในปัจจุบันขณะได้โดยอัตโนมัตินั่นเอง

แต่ผู้ก้าวล่วงรายนี้
กลับไปใช้วิธีปฏิบัติธรรมเพื่อการบรรลุธรรม
ด้วยวิธี ปิดอายตนะภายนอก ทั้งหมดเลย
โดยเน้นที่การฝึกจิตหยาบของตนอย่างเดียว
เขาจึงเก่งในการสร้างความสงบขณะอยู่คนเดียว

เมื่อใดก็ตามที่คนพวกนี้พาตนเองออกมาสู่สังคม
ที่จะต้องเปิด "อายตนะภายนอก" ทั้งหมดไว้
เพื่อให้หน้าต่างทั้งห้าบานสัมผัสกับสิ่งเร้าภายนอก
แล้วส่งข้อมูลต่อให้ "จิตหยาบ" ข้างในรับรู้ตามจริง
เพื่อให้จิตหยาบสั่นสะเทือนร่วมกับสมองสองซีก
ในการ "เรียนรู้" สิ่งแวดล้อมหรือเรียนรู้โลกกันจริงๆ
แทนการ นั่งมโนเอง นึกคิดเอาเองแบบโดดเดี่ยว

คนพวกนี้ก็จะเกิดอาการ
จิตตก สติแตก ศีลแตก สมาธิแตก ตบะแตก
เพราะขาดการฝึกฝนตนเองในวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง
หรือฝึกฝนกันมาด้วยวิธีที่ผิดธรรมชาตินั่นแหละ
เมื่อกลับเข้ามาอยู่ในสังคมที่ต้องเปิดอายตนะ
ต้องเปิดใจต้องเปิดปัญญาเพราะเป็นโลกใบใหม่
คนพวกนี้จึงเกิดอาการทุรนทุรายบ้าคลั่งไม่ได้สติ
เกิดอาการน็อคน้ำเหมือนปล่อยปลาลงในน้ำใหม่
เพราะไม่เคยชินหรือไม่ชำนาญนั่นเอง

เหตุที่เขามีอาการคลุ้มคลั่งให้พวกท่านเห็น
เกิดจากการฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียด
แสดงว่าความสามารถด้านการเรียนรู้โลก
มันอ่อนแอมากเพราะหลับตาเรียนอยู่คนเดียว
รวมทั้งยังบกพร่องในการใช้สติปัญญาพิจารณา
ก่อนจะตัดสินใจหรือก่อนจะพิพากษาใครด้วย
เพราะควบคุมจิตตนเองไม่ได้แปลว่าไร้สติแหละ

นอกจากนั้นท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า
นิสัยถาวรด้านลบอันเป็นขยะจำเพาะตนของเขา
ก็ยังมิได้รับการชำระออกไปจากขันธ์ทั้งห้า
ด้วยวิปัสนากรรมฐานตามที่เขาชำนาญการเลย
อัตตาตัวกูของกูหรืออีโก้ก็ยังเยอะอยู่อีกมาก
โทสะจริต โมหะจริต จึงแสดงความวิปริตให้เห็น
จนแปลกตาไปจากประดาคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน
ซึ่งแม้ศีลจะไม่เสมอกันกับเขาอย่างชัดเจนมาก

ดังจะเห็นได้จากการยกตนข่มท่านเห็นการข่มขู่
เห็นจากพฤติกรรมก้าวร้าวเกินสมณสารรูป
ที่เอาบทสวดให้พรญาติโยมมาสาปแช่งเราแทน
ทั้งๆที่เรายังไม่เคยแม้แต่จะเหยียบหางเขาเลย
ย่อมเป็นตัวอย่างที่ประจักษ์แก่ท่านทั้งหลายว่า
คนนำทางตาบอด มีลักษณะที่ไม่เป็นคุณอย่างไร
เป็นผู้ไม่เหมาะสมต่อการก้าวตามอย่างไร

เพราะพยายามจะปิดอายตนะจนเหลือแต่จิต
เพราะพยายามจะใช้แต่จิตจนปิดการใช้ปัญญา
เพราะความพยายามจะดับอัตตาให้เป็นอนัตตา
เพราะพยายามจะเป็นอนัตตาเพื่อพ้นทุกข์
เพราะพยายามจะพ้นทุกข์ด้วยวิธีดับขันธ์ 5
เพราะพยายามจะดับขันธ์ 5 เพื่อดับสังสารวัฏ
เพราะพยายามจะดับสังสารวัฏเพื่อจะดับทุกสิ่ง
เพราะพยายามจะดับทุกสิ่งเพื่อหวัง "นิพพาน"

ตามเส้นทางของพวกเขาคร่าวๆเหล่านี้
เป็นแนวทางที่มิใช่พระวจนะของพระพุทธองค์
แต่เป็นคนนำทางตาบอดที่สืบทอดความเชื่อ
สอนต่อๆกันมาเชื่อตามๆกันมาอย่างยาวนาน
แล้วนำเอาพระศาสดามาอ้างอิงให้คนเชื่อ
ทั้งๆที่มันเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง
พอเรานำความจริงมากล่าวให้ฉุกคิดกลับสิ้นคิด
แถมกล่าวหาว่าเราด่าพระศาสดาของเขาเสียอีก

เพราะคำกล่าวของเราที่ว่า
มีผู้กล่าวพระวจนะเทียมเท็จนั้น
เราหมายถึงประดาคนนำทางตาบอด
ที่พาคนตาบอดผู้ก้าวตามจนหลงทางนิพพาน
เพราะพวกนี้แหละที่นำพระวจนะของพระศาสดา
มากล่าวผิดบิดเบือนจนเบี่ยงเบนไปจากความจริง
เรามิได้หมายถึง พระศาสดา แต่อย่างใดเลย

ฟังพระโอวาทพระบิดา
ที่ทรงพระเมตตาสื่อผ่านเรามาด้วยภาษาง่ายๆ
แต่กลับต่อต้านทั้งๆที่ตนยังไม่เข้าใจไม่เข้าถึง
แบบนี้จะมิให้เรียกว่า "งมงาย" จนโง่ได้อย่างไร

ความผิดบาปหนักน้อยอย่างไร
มันเป็นกรรมของคนที่ก่อเราไม่ขอเกี่ยวด้วย
แต่เรารู้ว่า “จิตอุเบกขา” ของเรานั้น
สามารถชนะมารได้โดยไม่ต้องใฝ่ต่ำไปตอบโต้
สู้นำมาเป็นบทเรียนให้แกะที่ดีของพระบิดา
ได้เรียนรู้ว่า

1.อย่าหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอด
เพราะคนนำทางตาบอดมิใช่พระศาสดา

2.การมุ่งบรรลุธรรมด้วยวิธีที่ผิดธรรมชาติ
มิใช่ตัวอย่างอันควรเอาเยี่ยงอย่าง

3.การจะบรรลุธรรมที่แท้จริงก็คือ
ต้องรู้ว่า "ขันธ์ 5" เป็นเครื่องมือของ "คนสองมิติ"
ไม่ต้องพยายามจะดับมันให้เสียชาติเกิดเสียเวลา
เพราะมันจะดับของมันเองเมื่อท่านตายแล้ว

4.จิตวิญญาณเป็นตัวตนแก่นแท้อยู่ข้างใน
จิตหยาบต่างหากที่เป็นตัวแทนจิตวิญญาณ
ในการดำเนินชีวิตเป็นคนสองมิติหรือมนุษย์
เมื่อจบสิ้นอายุขัยจิตวิญญาณเป็นผู้ตาย
จิตหยาบจะเป็นผู้แตกสลายไปกับกายสังขาร

5.การพยายามจะดับขันธ์ 5 ดับอัตตา ดับทุกข์
คือการพยายามจะดับ "จิตหยาบ" เท่านั้น
เพราะจิตหยาบเป็นผู้ใช้ "ขันธ์ 5" นั่นเอง
มันมิได้เป็นการกระทำต่อจิตวิญญาณแต่อย่างใด
มันจะทำให้เสียภพชาติในการมาเกิดไปเปล่าๆ

6.การไม่ต้องกลับมาเกิดอีกตลอดกาล
มิใช่การดับอัตตาตัวตนของตนให้สิ้น

ท่านน่ะต้องมีตัวตนของตน
เพราะจิตวิญญาณของท่านเป็นสรรพสิ่งหนึ่ง
ที่มีอยู่จริงในอนันตจักรวาลที่ทรงสร้าง
แต่ท่านจงอย่าไปหลงยึดติดมัน
มิเช่นนั้นมันอาจทำให้ท่านบ้าเพราะขาดสติได้

การนิพพานที่แท้จริงมิใช่เทียมเท็จ
คือการที่จิตวิญญาณของพวกท่าน
หลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาลผ่านประตูมิติ
กลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณ
ซึ่งพระบิดาของพวกท่านทรงรออยู่นานแล้วได้

ท่านไม่ต้องเสียเวลาเกิดหลายภพชาติหรอก
แค่ดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ให้เป็น
และรู้ว่าทางกลับบ้านของจิตวิญญาณไปทางไหน
เพียงชาตินี้ชาติเดียวใครๆก็หลุดพ้นกลับบ้านได้
ท่านจะเป็นนักบวชศาสนาไหน ชนชาติไหน
ก็สามารถเดินตามมรรควิถีจิตจักรวาลได้
เพียงแค่ท่านต้องรู้จักถ่อมตนและถ่อมใจเท่านั้น

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24/09/2021

21 กันยายน 2564

สนทนาประสาจตจักรวาล

21/09/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ทุกพระวจนะที่พระองค์ทรงสื่อผ่านเรามา
มักมีตัวอย่างเข้ามาในชีวิตจริง
ให้ท่านทั้งหลายได้เรียนรู้กันอยู่เนืองๆ

อย่างน้อยในสัปดาห์นี้ก็มีอยู่หนึ่งกรณีใหญ่
อันเป็นอภิมหากรรมยิ่งกว่า "องคุลีมาล"
ผู้จาบจ้วงล่วงเกินพระศาสดาซึ่งยังพอให้อภัยได้
เพราะท่านองคุลีมาลถูกหลอกลวงให้หลงผิด
เพื่อฆ่าคนตัดนิ้วมาร้อยคอไม่เว้นแม้แต่พระศาสดา

แต่กรณีกรรมใหญ่นี้เกิดจาก "นักบวช" ตนหนึ่ง
ที่อ้างตนว่าเป็นผู้ทรงศีลอ้างว่าเชี่ยวชาญกรรมฐาน
ถึงขั้นตั้งตนเป็นครูสอนวิปัสนากรรมฐานกับเขาด้วย
ซึ่งปัญญาบารมีนั้นน่าจะสูงกว่าท่านองคุลีมาล
ที่เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง

แต่กลับทำตนคลุ้มคลั่งดั่งคนบ้าหรือว่ามารนั่นแหละ
เข้ามาใช้วาจาสามหาวโกหกมดเท็จใส่ร้ายป้ายสีเรา
ถึงในห้องเรียนนี้ขณะที่กำลังสื่อพระโอวาทอยู่
ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนและมิได้เป็นอริกันด้วย
ซึ่งพฤตินิสัยที่แสดงออกมามันน่าจะเป็นอันธพาล
มากกว่าการจะเรียกว่าเป็น นักบวช ด้วยซ้ำไป

กล่าวหาว่าเราทำลายพุทธศาสนา
กล่าวหาว่าเราด่าว่าพระพุทธเจ้า
ใส่ร้ายป้ายสีเราว่าเป็น "บาทหลวง"

ใช้คำพูดก้าวร้าวกักขฬะหยาบคาย
แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อเราอย่างรุนแรง
ทั้งๆที่เรายังมิได้เป็นเงื่อนไขด้านลบต่อเขาเลย
เราไม่เคยก้าวล่วงแม้จะแค่เหยียบหางด้วยซ้ำไป

ความผิดบาปของเขาก็คือ
กระทำการก้าวล่วงเราจนสั่นสะเทือนถึงพระบิดา
ด้วยหลายข้อหาดังต่อไปนี้

1.กระทำทุศีลข้อมุสากรณีใส่ร้ายป้ายสีเรา
ด้วยข้อความอันเป็นเท็จทั้งปวงอย่างไร้สติ
แถมยังกล่าววาจาเสียดสีหมิ่นหยาม
ด้อยค่าความเป็นมนุษย์ของเรา
ด้วยการข่มขู่และใช้วาจาอันหยาบคาย
ผิดวิสัยแห่งสมณรูปโดยแท้

2.กระทำทุศีลในข้อปาณาติบาต
ด้วยการแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อเรา
ซึ่งผิดคุณสมบัติของการเป็นสงฆ์
ที่จะต้องมีจิตใจเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา
แต่นักบวชตนนี้กลับทำตนตรงข้าม
จนไม่เหลือความงดงามแห่งศิษย์ตถาคตเลย

3.กระทำบังอาจด้วยการใช้บทสวดกรวดน้ำ
ที่พระศาสดาทรงใช้ในการแผ่ความรักและเมตตา
ให้แก่เวไนยสัตว์สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่เลือกหน้า
แต่นี่อุตรินำมาสวดเพื่อ "สาปแช่งเรา" ว่า ณ บัดนาว
ทั้งๆที่เรามิได้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเขาเลย

4.นอกจากนั้นยังใช้กรณีจาบจ้วงเรา
ทำปากยาวจาบจ้วงไปถึงพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ก้าวล่วงถึงท่านพระบุตรเอกศาสดาของศาสนาอื่น
ทั้งๆที่ทั้งสองมิได้ทรงลดพระองค์ลงมาต่ำด้วยซ้ำไป
ซึ่งเป็นการกล่าวร้ายด้วยอคติและด้อยปัญญายิ่งนัก

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

พระบิดากับเรา
มิได้ใส่ใจในบาปกรรมของเขาหรอก
กรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง
ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้หรอกนะ
แต่ที่น่าสมเพชเวทนาก็ตรงที่ว่า

1.อุตส่าห์อวดตนเป็นคนทรงศีล
อยู่ดีๆทำจิตตกสติแตกแหกศีล 227 ข้อเสียดื้อๆ
ทั้งๆที่เรายังมิได้ไปก้าวล่วงจ้วงจาบอะไรเลย
อย่างนี้เขาเรียกว่า "นักบวชศีลแตก"

2.อุตส่าห์ยกตนเป็นคนสอนวิปัสนากรรมฐาน
ทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญในการควบคุมจิตตนเอง
มีสาวกตั้งมากมายแต่มาตกม้าตายให้ศิษย์เห็น
ก็ตรงที่ "สติแตก" ปรี๊ดแตก โดยไม่มีใครยั่วยุ

จึงกระทำตนในลักษณะขาดความสงบสำรวม
ซึ่งครูสอนกรรมฐานจะขาดพร่องมิได้
อย่างนี้เขาเรียกว่า "สติแตก" นั่นแหละ

3.เมื่อนักบวชเก่งกรรมฐานตนนี้
เกิดอาการจิตตก ศีลแตก และสติแตกแล้ว
ผลสืบเนื่องขั้นต่อมาก็คืออาการ "สมาธิแตก"

อาการสมาธิแตกของเขาตรวจพบได้จาก
จริยาวัตรอันสำรวมแบบ "สมณะ" อยู่แต่เดิมนั้น
กลายร่างเป็น "มาร" สาวกของซาตานไปทันที
ถามว่ารู้ตัวมั้ย...ตอบได้เลยว่าคงไม่รู้ตัว

ถ้าหากรู้ตัวเขาก็คงไม่แสดงบทบาท
ที่ต่ำต้อยด้อยค่าตนเองกว่าเป็น "นักบวช" แน่ๆ
น่าสงสารลูกศิษย์ของเขาคนนี้จัง
ที่ก้าวตามคนนำทางตาบอดมาเนิ่นนาน

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เรานำกรณีนี้มาเป็นบทเรียนตัวอย่าง
เพื่อยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า

1.จงอย่าหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอด
เพราะคนตาบอดนำทางคนตาบอดนั้น
มันจะพากันเดินตกเหวด้วยกันทั้งหมด

2.จงอย่าหนีสังคมปลีกวิเวก
หมายจะไปสวรรค์คนเดียวนั้นไม่ได้
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม

3.การบรรลุธรรมมิใช่การนิพพานความทุกข์
ด้วยการพยายามดับขันธ์ 5 เพื่อดับอัตตาให้สิ้น
โดยไม่รู้ค่าที่จะเรียนรู้เพื่อการใช้มันดำเนินชีวิต

ถ้าท่านเน้นแต่จะดับขันธ์ 5
เริ่มจากปิดหูปิดตาอยู่ในโลกส่วนตัวเป็นนิจ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต กับสมอง
มันจะไม่เชี่ยวชาญในการทำงานร่วมกัน
ท่านจะเก่งก็แต่หลับตาอยู่คนเดียวเท่านั้น

เมื่อออกจากเท็คนิกสมาธิหรือกรรมฐาน
อันเป็นโลกส่วนตัวที่น่าภาคภูมิใจ
โดยเอาตัวและจิตใจออกมาสู่โลกกว้างใหญ่
ที่มิใช่ป่า มิใช่ถ้ำ มิใช่ความมืดอีกต่อไป
แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะท่าน...
ศีลสมาธิปัญญาแตกหมดจนเป็นดั่งคนบ้า
ซึ่งคนสติดีศีลดีปัญญาดีเขาไม่เป็นกันนั่นน่ะ

เพียงแค่อ่านเจอชื่อเรื่องว่า....
ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ
ก็ฟันธงแล้วว่าไอ้นี่...กำลังด่าพระพุทธเจ้า!
แล้วพยายามโฆษณาชวนเชื่อให้สาวกของตน
เชื่อตามคำจาบจ้วงของตน
เหมือนจะชวนลงนรกไปด้วยกันนั่นแหละ

แสดงว่าที่บวชนานแล้วยังนิพพานไม่ได้
ฝึกกรรมฐานมานานแต่ยังกำหนดจิตตนไม่ได้
ฝึกวิปัสสนามานานแต่ยังฉลาดใช้ปัญญามิได้
ปฏิบัติธรรมมานานแต่ยังครองสติไม่ได้
ปัญหาเหล่านี้มันมาจากการหลงทางนิพพาน
และมีมิจฉาทิฐิจึงขาดความอ่อนน้อมถ่อมใจ

ดูไว้เป็นครู
ไม่ต้องไปลบหลู่เขานะ
ยังมีแบบนี้ให้ท่านเห็นให้ท่านเรียนรู้กันอีกเยอะ

มรรควิถีจิตจักรวาล
ที่มีดวงแก้ว 2 ดวงให้ท่านถือครองอยู่นั้น
จงปฏิบัติกันให้มั่นคงไว้เถิดอย่าหาทำอย่างอื่น
เพราะธรรมชาติสมาธิดีกว่าเท็คนิกสมาธิแน่นอน

โอม...อโหสิ อโหสิ อโหสิ

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21/09/2021



16 กันยายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล


16/09/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ทั้งสัตว์ประจำโลกทั้งหลายและมนุษย์ทุกคน
เป็นสิ่งมีชีวิตที่พระบิดาทรงสร้างขึ้นมาบนโลก
ให้มีคุณสมบัติเป็นสิ่งมีชีวิตที่มี 2 มิติ
คือมิติแห่งเนื้อหนังอันเป็นมิติโลกทางกายภาพ
กับมิติแห่งจิตวิญญาณอันเป็นมิติทางพลังงาน
ซึ่งสิ่งมีชีวิตจะต้องร่วมกันสั่นสะเทือนด้วยความรัก
เพื่อช่วยกัน "ค้ำจุนโลก" ให้สมดุลทั้งสองมิติ

ความสมดุลทั้งสองมิติหมายถึง
สัตว์ทุกตัวทุกสายพันธุ์จักต้องเป็นสัตว์สังคม
ที่สามารถอยู่ร่วมกันบนโลกเสรีนี้ได้อย่างสงบสุข
โดยไม่ทำร้ายกันไม่เบียดเบียนกันไม่ฆ่ากัน
เพราะมีความรักบริสุทธิ์ต่อกันเสมอ

มนุษย์ทุกคนทุกชนชาติก็จักต้องเป็นสัตว์สังคม
ที่สามารถอยู่ร่วมกันบนโลกเสรีนี้ได้อย่างสันติสุข
โดยไม่ทำร้ายกันไม่เอาเปรียบเบียดเบียนกัน
เพราะมีความรักบริสุทธิ์ต่อกันอย่างไร้เงื่อนไข

สาเหตุที่ทั้งสัตว์และมนุษย์ต้อง "รัก" กัน
อันเป็นเหตุผลสำคัญสุดยอดซึ่งเป็น อนุตรธรรม
ที่มนุษย์โลกเสรีทุกคนจักต้องรู้ไม่รู้ไม่ได้เพราะว่า

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณคือองค์จิตจักรวาล
ทรงออกแบบให้เครื่องยนต์แห่งกรรมสัตว์และมนุษย์
ร่วมกันทำหน้าที่ผลิตสร้างพลังงานความรักออกมา
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
เพื่อมอบให้แกนแม่เหล็กโลกที่ทรงติดตั้งไว้ภายใน
ได้ใช้เป็นพลังงานในการบิดตัวเพื่อช่วยให้โลกหมุน
ในการสร้างสมดุลของระบบโลกตลอดไปนั่นเอง

เครื่องมือลึกลับชิ้นสำคัญที่สัตว์และมนุษย์ต้องใช้
เพื่อการผลิตสร้าง พลังงานความรัก ที่ว่านี้ก็คือ

1.กลไกอายตนะภายนอกภายในทั้ง 6 คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส และจิตภายใน

2.กำหนดให้จิตวิญญาณเฉพาะในสัตว์ประจำโลก
มีหน้าที่สั่นสะเทือนให้เกิดพฤติกรรมทั้ง 2 มิติ
คือพฤติกรรมภายนอกในมิติทางกายภาพ
กับพฤติกรรมภายในของจิตเองในมิติทางพลังงาน

3.สำหรับมนุษย์โลกทุกคนทุกชนชาติ
ทรงกำหนดให้ จิตหยาบ ทำหน้าที่แทน จิตวิญญาณ
มีหน้าที่สั่นสะเทือนให้เกิดพฤติกรรมทั้ง 2 มิติ
คือพฤติกรรมภายนอกในมิติทางกายภาพ
กับพฤติกรรมภายในของจิตเองในมิติทางพลังงาน

เหตุที่มนุษย์ต้องใช้ "จิตหยาบ" แทนจิตวิญญาณ
เพราะจิตวิญญาณของมนุษย์จักต้อง "กลับบ้าน"
อันหมายถึงการหลุดพ้นกลับออกไปยังถิ่นที่จากมา
เมื่อครบวาระเข้ามาทำหน้าที่บนโลกเสรีนี้แล้ว
นั่นคือเมื่อโลกสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้วนั่นเอง

ถ้ามิให้จิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
โดยจิตวิญญาณทำหน้าที่เองเหมือนสัตว์ประจำโลก
โอกาสที่จิตวิญญาณจะหลงมิติจนกลับบ้านไม่ได้
จะมีสูงมากซึ่งพระบิดาทรงยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้

เพราะลูกแกะของพระองค์ทุกตัวมาได้ก็ต้องกลับได้
จึงทรงออกแบบให้จิตหยาบทำหน้าที่แทนดังกล่าว
โดยทรงกำหนดให้เมื่อจิตวิญญาณจบสิ้นอายุขัย
จิตหยาบของมนุษย์จะสลายตัวไปพร้อมกายหยาบ
ขณะที่จิตวิญญาณแก่นแท้นั้นยังคงอยู่รอดปลอดภัย
ยกเว้นรายที่จิตหยาบต่ำช้าสามานย์สุดๆ
พาให้จิตวิญญาณหลงมิติจนถึงขั้นนรกมิอาจเยียวยา
คนจำพวกนี้เท่านั้นที่จิตวิญญาณจะถูกระเบิดทิ้ง

3.ทั้งสัตว์และมนุษย์จึงต่างต้องใช้ขันธ์ 5
เพื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมของตน
โดยมีจิตวิญญาณในสัตว์ประจำโลกขับเคลื่อน
มีจิตหยาบทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณในมนุษย์
เพื่อผลิตสร้างพลังงานความรักมอบให้โลก

แต่ในสัตว์ทั้งหลายนั้นมีสมองก้อนเดียว
ที่จิตวิญญาณจะใช้ทำงานร่วมกันกับกายสังขาร
เมื่อใดที่กลไกอายตนะทั้ง 5 ของสัตว์นั้นๆ
มีการสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งแวดล้อมรายรอบตัวเอง
กับจิตซึ่งเป็นอายตนะภายในเมื่อเกิดการนึกคิด
โดยมี "ขันธ์ 5" เป็นเครื่องมือในการสั่นสะเทือน
เพื่อผลิตสร้างพลังงานในแบบที่โลกต้องการ

ขันธ์ 5 จึงเป็นกระบวนการสั่นสะเทือนของจิต
ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตสร้างพลังงานให้โลก
ตามที่พระบิดาหรือพระผู้สร้างทรงออกแบบไว้
โดยมีทั้งหมด 5 ขั้นตอนตามลำดับดังนี้ คือ

1.ขั้นตอนรับรู้รูป (รูปขันธ์)
หมายถึง รับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

2.ขั้นตอนสัญญา (สัญญาขันธ์)
หมายถึง จำได้ว่าที่รับรู้นั้นคืออะไร
และหมายรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้นได้

3.ขั้นตอนเวทนา (เวทนาขันธ์)
หมายถึง เมื่อรับรู้แล้วจิตเกิดความรู้สึกหรือไม่
ถ้ารับรู้แล้วเกิดความรู้สึกแสดงว่า จิตตก
ถ้ารับรู้แล้ววางเฉยจิตจะผ่านขันธ์นี้ไปได้

4.ขั้นตอนสังขาร (สังขารขันธ์)
หมายถึง เมื่อจิตตกเพราะเกิดความรู้สึก
จิตจะสั่นสะเทือนเป็นตัณหา อารมณ์ขยะ
และการนึกลบ คิดลบ ต่อไป

แต่ถ้าจิตว่างไปจากความรู้สึกในเวทนาขันธ์
จิตก็จะนำข้อมูลที่รับรู้รูปในรูปขันธ์มาเรียนรู้
ด้วยการนึกคิดไปตามความเป็นจริง
ตามที่กลไกอายตนะสัมผัสรู้ดูเห็นส่งเข้าไปให้
โดยใช้จิตปัญญาที่เป็นความรักและความฉลาด
ขับเคลื่อนพฤติกรรมทั้ง 2 มิติให้ปรากฏได้
เพราะจิตว่างจากกิเลสตัณหาอารมณ์ขยะนั่นเอง

5.ขั้นตอนนี้จักเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ของ "ขันธ์ 5" เรียกว่า "วิญญาณขันธ์"

ถ้าจิตของสัตว์หรือมนุษย์
เมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นนึกคิดด้วยอายตนะของตนแล้ว
เกิดการ "จิตตก" ด้วยอาการโกรธแค้นไม่พอใจ
สำหรับมนุษย์ก็มีโลภ โกรธ หลง งมงายด้วย
จิตก็จะผลิตสร้างวิญญาณคือพลังงานลบออกมา
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กที่โลกไม่ต้องการ
ถ้าจิตสั่นสะเทือนในรูปแบบนี้ก็เรียกว่า กรรมจักร

แต่ถ้ารับรู้แล้วไม่รับเอาเพราะ "จิตไม่ตก"
จนสามารถผลิตพลังงานความรักด้านบวกออกมาได้
การสั่นสะเทือนขันธ์ 5 แบบนี้ก็จะเรียกว่า ธรรมจักร
เนื่องจากเข้าถึงความรักด้วยปัญญาเป็นเลิศได้นั่นเอง

มนุษย์ทั้งหลายพึงทราบว่า
สัตว์มีแต่จิตวิญญาณกับสมองก้อนเดียว
ที่ไม่สามารถใช้สติปัญญาของสมอง
เพื่อสั่นสะเทือนเป็นความรักอะไรได้
สัตว์จึงใช้จิตของตนสั่นสะเทือนตอบสนองสิ่งเร้า
ที่รับรู้ผ่านกลไกอายตนะของตนด้วยอารมณ์รู้สึก
ซึ่งเป็นสัญชาติญาณของพวกเขาเท่านั้น
คือ พอใจก็รักตอบ ไม่พอใจก็ร้ายตอบ

แต่มนุษย์อย่างพวกท่าน
พระบิดาทรงติดตั้งสมองสองซีกให้ใช้
ซึ่งเป็นความฉลาดตั้ง 2 ระดับชั้นที่สัตว์ไม่มี
โดยสามารถใช้จิตกับสมองรักคนไม่น่ารักก็ได้
ให้อภัยแก่คนที่ทำตัวไม่น่าให้อภัยก็ได้
เพื่อทำหน้าที่ใช้ขันธ์ 5 สร้างพลังงานความรัก
มอบให้กับโลกได้เสมอในทุกเงื่อนไขสิ่งเร้า

ถ้าท่านยังมีดีมาก็ดีตอบ ยังมีชั่วมาก็ชั่วตอบ
โดยมีพฤติกรรมดำเนินชีวิตประจำวัน
ไม่ต่างจากสัตว์ที่ไร้ปัญญาเยี่ยงนี้แล้ว
มองเห็นความน่ารักด้วยปัญญาไม่เป็น
เน้นใช้แต่เห็นเท่าที่ตามองเห็นเท่านั้น

อายสัตว์ประจำโลกมั้ย?
เสียชาติเกิดมั้ย?
จะนิพพานกิเลสตัณหาในชาตินี้ทันมั้ย?
จะหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตากันมั้ย?

ยังจะพยายามดับขันธ์ 5 ไม่รู้ค่าของขันธ์ห้า
ยังจะมุ่งดับอัตตา
ยังหาทางจะดับทุกข์โดยดับขันธ์ห้า
ยังจะขลุกอยู่กับโลกส่วนตัว
ในแบบละทิ้งสังคมทั้งภพชาติต่อไปอีกมั้ย?

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16/09/2021


11 กันยายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

11/09/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
มีศาสนิกท่านหนึ่งถามเรามาว่า
ข้อความใน มัทธิว 15:13-14 ในพระคัมภีร์นั้น
ทรงหมายความว่าอย่างไร

พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า....

"ต้นไม้ทุกต้น
ซึ่งพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์
ไม่ได้ทรงปลูกไว้จะถูกถอนออกเสีย

ช่างเถิด...เขาทั้งหลาย
เป็นผู้นำที่ตาบอดของคนตาบอด
ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด
ทั้งสองคนจะตกลงไปในบ่อ"

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราจะขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
ข้อความเหล่านี้เป็นคำกล่าวของพระบุตรเอก
ที่มีต่อศิษย์สาวกของพระองค์และชาวโลก
เพื่อเปิดเผยความจริงให้รู้ว่า...

ผู้ทำหน้าที่ประกาศศาสนาผู้เผยแพร่ธรรมะ
ที่ทรงเปรียบเสมือนบ่าวของพระองค์
ซึ่งมีหน้าที่ "แจกอาหาร" แก่เพื่อนมนุษย์นั้น

ถ้าใครทำตนเป็นดั่ง 
#คนนำทางตาบอด
อันหมายถึงพาเพื่อนมนุษย์ก้าวเดินสะเปะสะปะ
เหมือนเดินอยู่ท่ามกลางความมืด
ในขณะที่คนก้าวเดินตามเองก็ "ตาบอด" ด้วย
จะยังผลให้คนตาบอดที่ก้าวเดินตาม
พากันพลัดตกลงไปในบ่อคือ "แดนนรก"
ส่วนคนนำทางตาบอดเองก็จะ 
#หลุดลอย ขึ้นไป
ติดค้างอยู่ในสวรรค์มายาภายในอนันตจักรวาลนี้
กลายเป็น 
#ต้นไม้ ซึ่งพระบิดามิได้ทรงปลูกไว้

ที่สำคัญคือทุกคนจะนำพาจิตวิญญาณของตน
#หลุดพ้น ออกไปจากอนันตจักรวาลหรือเอกภพ
ซึ่งเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระบิดา
เพื่อกลับคืนสู่แดนสุญตาบ้านเกิดเมืองนอน
อันเป็นพระนิเวศน์ของพระองค์ที่ทรงรออยู่มิได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

คำว่า "คนนำทางตาบอด" นี้
พระองค์ทรงหมายถึงผู้ที่ขันอาสา
ทำหน้าที่เป็น "ผู้นำทางจิตวิญญาณ" ของโลก
โดยเป็นผู้เผยแพร่สัจธรรมในนามพระศาสดา
ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดๆของโลกเสรีนี้ก็ตาม
แต่ถ่ายทอดพระธรรมคำสอนให้ผู้คนหลงผิด
โดยสอนให้เชื่อตามคำสอนแบบผิดๆเพี้ยนๆ
ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีเหมือน "คนขี้เมา"
อันหมายถึงงุนงงสับสนกับตนเองเพราะขาดสติ
ทำตัวเกลือกกลั้วกิเลสตัณหาบ้าแสงหิวแสง
หลงใหลในอามิสแห่งโลกมายา
ทำตนเป็น "บ่าวชั่ว" ที่ลอยหน้าลอยตาไม่รู้ว่าชั่ว

รวมทั้งกรณีที่บิดเบือนคำสอนของพระศาสดา
เพราะ "ตาบอด" คือด้อยสติปัญญากันเอง
จึงไม่รู้ว่าพระศาสดาตรัสรู้สัจธรรมอะไรกันแน่
จึงนึกเองคิดเองเออเองจนหลงทางนิพพาน

นอกจากนั้นยังยึดติดพระศาสดาองค์เดียว
เชื่อในพระคัมภีร์เล่มเดียวที่พระศาสดามิได้เขียน
จนทำให้พลาดความจริงระดับ 
#อนุตรธรรม
ที่พระบุตรเอกซึ่งเป็นศาสดาผู้มาจากพระเจ้า
ทรงขันอาสาเข้ามาจุติเพื่อกล่าวความจริงให้โลกรู้
เพราะมนุษย์จะไม่สามารถคิดรู้เรื่องเหล่านี้เองได้
เพราะสมองมนุษย์มีจำกัดแค่สองซีกซ้ายขวา
เช่น จิตวิญญาณเป็นใคร มาจากไหน มาเกิดทำไม
ใครให้มาเกิดและต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง เป็นต้น

เพราะไม่รู้ความจริงขั้นสูงสุดนี้
คนนำทางตาบอดจึงนำทางคนตาบอดให้เชื่อว่า
การมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
การเวียนว่ายตายเกิดหรือมีสังสารวัฏก็ทุกข์หนัก
แล้วก็โทษว่า "ขันธ์ 5" คือชีวิตคืออัตตาตัวตน
ซึ่งเป็นเหตุแห่งการเกิดในวัฏสงสาร
จึงพยายามจะ "นิพพาน" คือหมายดับอัตตาตัวตน
ด้วยการดับทุกข์ดับขันธ์ 5 เพื่อดับอัตตาให้สิ้นสูญ

ผลก็คือจิตวิญญาณคนนำทางตาบอดเหล่านี้
จึงต้องพากัน "หลุดลอย" ไปค้างบนสวรรค์มายา
กลายเป็น "ต้นไม้" ที่พระบิดามิได้ทรงสร้างไว้
ซึ่งรอวันช่างเท็คนิกของพระบิดาจะมา "ถอนทิ้ง"
เพราะเป็นขยะรกอนันตจักรวาลนั่นแหละ

ที่ร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
จิตมนุษย์หรือจิตหยาบที่หลงธรรมหลงทางนี้
ยังทำให้จิตวิญญาณตนต้องรับกรรมที่ตนมิได้ก่อ
ทั้งต้องเสียชาติเกิดและหมดโอกาสเกิดใหม่
จนไม่สามารถทำหน้าที่ของจิตวิญญาณ
ที่ขันอาสาพระบิดาเข้ามามอบความรักค้ำจุนโลก
ด้วยกระบวนการขันธ์ 5 ร่วมกับมนุษย์คนอื่นๆได้
เพราะจิตหยาบไม่เอาไหนไม่เอาถ่านนั่นเอง

ในท้ายที่สุดคนตาบอดทุกคนที่หลงก้าวตาม
ก็จะพากันตกหลุมนรกกันเสียทั้งหมด
เพราะมิอาจจะหลุดลอยตามขึ้นไปได้
เนื่องจากจิตวิญญาณมีน้ำหนักมากกว่า
จนโลกออกแรงดึงดูดจิตวิญญาณพวกผู้ตาม
ให้ "หลุดลง" จากภพภูมิโลกดิ่งสู่นรกนั่น

พระองค์จึงทรงสรุปว่า
ถ้าคนนำทางตาบอดนำทางคนตาบอดแล้ว
มันจะยังผลให้คนนำทางตาบอด
กลายเป็นต้นไม้ขยะของจักรวาลที่ต้องถูกถอนทิ้ง
เพราะพระบิดาหรือพระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงปลูกไว้

ส่วนคนเดินตามที่ตาบอดด้วย
เพราะขาดแสงสว่างอันหมายถึงขาดปัญญา
ก็จะพากันหล่นลงไปในบ่ออันหมายถึงนรก
ชะตากรรมของทั้งสองฝ่ายสุดท้ายแล้ว
จักต้องรับผลกรรมไปตามที่เรากล่าวนี้

จงรับรู้เอาไว้ด้วยว่า
การทำให้พระวจนะของพระบิดาเป็นโมฆะ
ด้วยคำสอนผิดๆที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ
โดยหลับตาหน้ามืดเหมือนกลัวแสงสว่างนั้น
มันมิได้เป็นผลดีต่อท่านทั้งหลายแม้แต่น้อย

ท่านยังจะละเมิดพระบัญญัติของพระบิดา
ด้วยการเชื่อตามคนนำทางตาบอดกันอยู่อีกหรือ
ในเมื่อเราก็กลับมากล่าวความจริงด้วยตนเองแล้ว

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11/09/2021

10 กันยายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

10/09/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

มีศาสนิกท่านหนึ่งส่งคำถามมายังเรา
เพื่อขอความกระจ่างจากพระคัมภีร์
ใน ลูกา 12:42-48; มัทธิว 24:45-51
ว่าพระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไร
โดยเฉพาะในข้อความที่ว่า....

 ใครเป็น บ่าวที่ซื่อสัตย์และฉลาด
ที่ นายตั้งไว้เหนือบ่าวอื่นๆ
เพื่อ แจกอาหาร ตามเวลา
เมื่อนายมาพบเขาทำอย่างนั้น บ่าวคนนั้นก็เป็นสุข

เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า
นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแล
ทรัพย์สิ่งของทั้งหมดของท่าน

แต่ถ้า บ่าวชั่ว นั้นคิดในใจของเขาว่า
"นายของข้ามาช้า" และเริ่มต้นโบยตีเพื่อนบ่าว
และกินดื่มอยู่กับ พวกขี้เมา

นายของบ่าวคนนั้น
จะมาในวันที่เขาไม่คิด ในชั่วโมงที่ไม่รู้
และจะลงโทษเขาอย่างหนักและจับขับไล่
ให้ไปอยู่ในที่ของ พวกคนหน้าซื่อใจคด
ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน.

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

คำกล่าวทั้งหมดข้างต้นตามที่ถามเรามานั้น
พระองค์ทรงบอกกล่าวต่อศิษย์สาวกทั้งหลาย
พวกที่ฉลาดและมีศรัทธาต่อพระบิดา
เหนือพี่ๆน้องๆที่เป็นมนุษย์คนอื่นๆในยุคนั้น
โดยทรงมอบหมายให้พวกเขาทำหน้าที่สำคัญ
ในระหว่างวันเวลาที่พระองค์เสด็จกลับไป
เพื่อที่จะเสด็จกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่งว่า

ขอให้ประดาผู้เป็น "บ่าว" ของพระองค์นั้น
จงช่วยกันทำหน้าที่เป็น คนนำทาง
พี่ๆน้องๆทั้งหลายในพระนามของพระองค์
ด้วยจริงจังและตั้งใจจนกว่าพระองค์จะกลับมา
ซึ่งคำว่า "คนนำทาง" ในที่นี้เราหมายถึง
ผู้มีหน้าที่ชี้ทางสว่างตามแนวทางแห่งพระเจ้า
ให้แก่พี่ๆน้องๆชาวโลกเสรีทั้งหลายให้ได้รู้
บทบาทหน้าที่ในการมาเกิดเป็นมนุษย์
หน้าที่ทางจิตวิญญาณที่ขันอาสามาเกิดบนโลก
และให้สามารถจดจำพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้ทรงอนุญาตให้ทุกคนมาเกิดเป็นมนุษย์ได้
รวมทั้งพระโอวาทอันประเสริฐอื่นๆที่ทรงสื่อสอนไว้

โดยพระองค์ทรงเรียกคนนำทางในยุคนั้นว่า "บ่าว"
ทรงเรียกการเผยแพร่ธรรมะว่า "แจกอาหาร"

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

พระองค์ตรัสสอนประดา "คนนำทาง"
ซึ่งทรงสมมติว่าเป็น "บ่าว" เอาไว้ว่า
ในระหว่างที่พระองค์ยังไม่เสด็จกลับมายังโลก
ถ้าคนนำทางหรือบ่าวของพระองค์คนใดก็ตาม
ทำหน้าที่ "แจกอาหาร" หรือสอนธรรมะแก่พี่น้อง
อย่างจริงจังและตั้งใจจริงโดยไม่เหลวไหลแล้ว
เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาและทรงรับรู้รับทราบ
คนนำทางหรือบ่าวคนนั้นก็จะมีปิติสุขมากกว่าใคร

ที่จะมีปิติสุขมากกว่าใครอื่นก็เพราะเหตุว่า
บ่าวคนนั้นจะมีความภาคภูมิใจในตนเองเป็นที่ยิ่ง
ที่ได้ทำหน้าที่คนนำทางอย่างซื่อสัตย์เสมอมา
เพราะเชื่อมั่นว่าพระองค์ต้องเสด็จกลับมาแน่นอน
ยิ่งถ้าพระองค์เสด็จกลับมาพบเห็นเขาคนนั้น
"แจกอาหาร" ปันธรรมะให้มวลมนุษย์ "ตามเวลา"
อันหมายถึงแจกในทุกชาติที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์
พระองค์ก็ย่อมจะทรงพอพระทัยในบ่าวคนนั้นด้วย
ตัวคนนำทางเองจึงย่อมยินดีมีความสุขด้วยเช่นกัน

แต่ถ้า "คนนำทาง" หรือ บ่าวคนใดก็ตาม
ทำตัวเหลวไหล ไม่เอาถ่าน ไม่เอาไหน
ไม่ทำหน้าที่ตามที่ให้สัจจะต่อพระองค์ไว้
ในการเผยแพร่ธรรมะของพระเจ้าแก่เพื่อนมนุษย์
โดยทำตนเป็น คนนำทางตาบอด หรือเป็น "บ่าวชั่ว"
ด้วยการไม่ทำตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่พี่ๆน้องๆ
ด้วยการบิดเบือนคำสอนทั้งเจตนาและโง่
จนพาให้ผู้ก้าวตามหลงทางไปเดินอยู่ในความมืด

นอกจากนั้นถ้าบ่าวคนใดก็ตาม
เวียนว่ายตายเกิดมาเป็นมนุษย์หลายภพชาติ
จนมีความรู้สึกว่าพระองค์เสด็จกลับมาช้ามาก
หรืออาจคิดไปว่าพระองค์ไม่ทรงกลับมาแน่แล้ว
บ่าวหรือคนนำทางเหล่านี้ก็จะลดละความจริงจัง
โดยปล่อยให้กิเลสมารตัณหาเข้าครอบงำ
จนทำให้พี่ๆน้องๆที่จิตใจตกต่ำย่ำแย่อยู่แล้ว
พลอยทำตัวแย่ตามบ่าวชั่วหนักเข้าไปอีก

พระองค์ทรงเปรียบบ่าวชั่ว
ซึ่งเป็นคนนำทางตาบอดและเหลวไหลว่า
เป็นผู้ที่กินดื่มอยู่กับ "พวกขี้เมา"
เพราะเป็นพวกที่เมามายอยู่ในกิเลสตัณหา
เป็นพวกที่ขาดสติทางวิญญาณ
ไม่รู้ว่าไหนดีไหนชั่ว ไม่รู้ว่าไหนบุญไหนบาป
เหมือนเดินสะเปะสะปะท่ามกลางความมืด
เพราะกิเลสตัณหาพาให้ปัญญามืดบอดนั่นแหละ

พระองค์ยังได้ทรงกล่าวตักเตือนเอาไว้ด้วยว่า
พระองค์ คือ "นาย" ของคนนำทางผู้เป็นบ่าว
จะเสด็จกลับมาวางพระเศียรบนโลกเสรีนี้อีกครั้ง
ในวันเดือนปีที่พวกเขาจะมิอาจคาดคิด
ในชั่วโมงนาทีที่พวกเขาจะมิอาจรู้

คนนำทางคนไหนตาบอดและทำตนเหลวไหล
พระองค์จะนำส่งจิตวิญญาณของบ่าวชั่วพวกนี้
ไปยังดินแดนของพวกคนหน้าซื่อแต่ใจคด
อันหมายถึง "แดนนรก" เพื่อทำการชำระบาป
เพราะจิตวิญญาณป่วยหรือเสียสมดุลนั่นเอง
ซึ่งดินแดนนรกนั้นจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ความทุกข์ทรมานที่ต้องร้องครวญครางอย่างอนาจ

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

คำสอนที่ถามมานี้
พระองค์ทรงกล่าวต่อบ่าวของพระองค์
อันหมายถึงผู้อาสาพระองค์ทำหน้าที่เป็นคนนำทาง
หรือที่ทรงเรียกว่า "แจกอาหาร" แก่เพื่อนมนุษย์
ในระหว่างที่พระองค์เสด็จกลับไปยังไม่กลับมา

ดังนั้น
ใครขันอาสาไว้ว่าจะทำหน้าที่คนนำทาง
ในนามของศาสนาหรือศาสดาใดก็ตาม
ท่านจะทำตนบกพร่องเหลวไหลเมามายในกิเลส
หรือทำตนเป็นคนนำทางตาบอดไม่ได้เด็ดขาด
ใครมีหูก็จงรับฟังกันไว้เถิด

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10/09/2021