31 สิงหาคม 2560

ถอยสักก้าว คลื่นลมจะสงบ

#ตอบคำถาม: Cjw Surin
**************************
#Question:
ไม่ทราบว่าคำพูดเหล่านี้
ถูกต้องไหมครับ ท่านอาจารย์
******************************
"ถอยสักก้าว คลื่นลมจะสงบ"
******************************
ในชีวิตคนเรา
ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกัน
เพื่อให้เรื่องราวกระจ่างแจ้งชัดในทุกเรื่อง

เพราะน้ำที่ใสสะอาดเกินไปไร้ปลา
คนที่ใสสะอาดเกินไปไร้เพื่อน

ทะเลาะกับคนในครอบครัว
ต่อให้ชนะ ความผูกพันก็หมดไป

ทะเลาะกับคนรัก
ต่อให้ชนะ ความรักก็จืดจางไป

ทะเลาะกับเพื่อน
ต่อให้ชนะ มิตรภาพก็สูญหายไป

ทะเลาะกันเพราะเหตุผล
ที่เสียหายคือความสัมพันธ์
ที่เจ็บปวดคือตนเอง

สีดำก็คือสีดำ สีขาวก็คือสีขาว
ให้โลกเป็นผู้พิสูจน์เถอะ

วางอคติและความยึดติดของตนลงเสีย
คุณก็จะกลายเป็นคนใจกว้างขึ้นมาในทันที

#Answer:
เรามิบังอาจก้าวล่วงครูอาจารย์ของท่าน
ผู้กล่าวสอนท่านไว้ด้วยถ้อยความทั้งหมดนั้น
ว่าไหนถูกไหนผิด

ดังนั้น
ไหนๆเมื่อท่านถามเรามาแล้ว
จึงกราบขออนุญาตครูอาจารย์ของท่าน
ตอบคำถามท่านผู้ถามในเชิงว่า
เรา "เห็นด้วย" หรือ "ไม่เห็นด้วย"
กับคำกล่าวนี้อย่างไรน่าจะเหมาะกว่า

#เพราะมันคือความคิดเห็นมิใช่การพิพากษา

ท่านที่รักทั้งหลาย
ความเห็นของเราในประเด็นที่ไม่เห็นด้วย
ลำดับความได้ดังนี้

1.ประโยคที่กล่าวว่า
********************
"ในชีวิตคนเรา
ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกัน
เพื่อให้เรื่องราวกระจ่างแจ้งชัดในทุกเรื่อง"

#เราไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้
เพราะคำกล่าวนี้ตีความได้ว่า
ท่านแนะนำมิให้ทะเลาะกัน
เพื่อให้เรื่องราวกระจ่างแจ้งชัด #ในทุกเรื่อง

แสดงว่า #บางเรื่อง
ท่านก็ยังจะสามารถทะเลาะกันกับใครก็ได้ล่ะสิ

#นี่ไง...ที่เราไม่เห็นด้วยเพราะเหตุว่า

<3 ท่านไม่ควรจะทะเลาะเบาะแว้งกันเด็ดขาด
เพราะการทะเลาะกันคือการทำลาย
ความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ซึ่งผิดบาปต่อพันธะสัญญา 6

<3 การที่ท่านไม่เข้าใจกันในเรื่องใดก็ตาม
แล้วไม่พยายามทำความเข้าใจกันให้กระจ่าง
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม
มันจะทำให้การดำเนินชีวิตร่วมกันไม่ราบรื่น

เพราะความไม่เข้าใจกัน
ความไม่ไว้วางใจในกันและกัน
ความไม่เชื่อมั่นในกันและกัน
ล้วนแล้วแต่จะเป็นตัวการบ่อนทำลาย
มิตรภาพความสัมพันธ์ให้ตกต่ำลง
จนเชื่อมโยงร้อยสัมพันธ์กันด้วยความรักมิได้

<3 เราเห็นว่าถ้าท่านจะทำความไม่เข้าใจกัน
ให้มันกระจ่างอย่างจริงใจแล้ว
มันยังมีวิธีการอีกตั้งมากมายที่จะนำมาใช้
โดยหลีกเลี่ยงมิให้ "ทะเลาะ" กันก็ได้

2.ประโยคที่กล่าวว่า
********************
"เพราะน้ำที่ใสสะอาดเกินไป ไร้ปลา
คนที่ใสสะอาดเกินไป ไร้เพื่อน"

#เราไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่านี้
เพราะคำกล่าวนี้เสมือนจะสอนให้เข้าใจว่า
เกิดมาเป็นคนมันก็ต้องมีสิ่งไม่ดีปนอยู่บ้าง
ถ้าเป็นคนดีเกินไปเพื่อนก็จะไม่คบหา
เหมือนน้ำที่ใสสะอาดเกินไปปลาอยู่ไม่ได้

ที่เราไม่เห็นด้วยเพราะเหตุว่า

1.คำกล่าวนี้ใช้การเปรียบเปรย
ที่ไม่สอดคล้องต้องกันกับหลักสัจธรรม

เพราะความอุปมาว่า
"น้ำที่ใสสะอาดเกินไป"
จนปลามีชีวิตอยู่ไม่ได้นั้น

แหล่งน้ำในธรรมชาติที่ใสสะอาดเกินไป
มันไม่มีอยู่จริงหรอกท่าน
เมื่อเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริงในธรรมชาติ
ท่านจึงมิอาจนำมากล่าวเป็นอุปมาได้

#นี่ไง...เหตุผลแรกที่เราไม่เห็นด้วย!

2.เราไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงที่ว่า
"คนที่ใสสะอาดเกินไปไร้เพื่อน"

ถ้าท่านนิยามคำว่า #ใสสะอาด คือ ดีงาม
ประโยคนี้ท่านย่อมหมายความว่า
คนที่ดีจนเกินไปจะไร้เพื่อน
ซึ่งเป็นคำสอนที่เรายิ่งไม่เห็นด้วยเลย

เพราะพระศาสดาทุกๆพระองค์
ทรงสอนคนทุกคนให้เป็นคนดี
พระบิดาสอนให้คนทุกคนมีจิตใสใจสวย

ยิ่งชำระจิตให้ใสสะอาดมากก็ยิ่งฉลาดมาก
เมื่อจิตใสมากฉลาดมากก็ยิ่งเป็นคนดีมาก
แล้วมีหรือที่คนดีๆจะไม่มีใครคบหาเป็นมิตร
ขนาดคนชั่วยังต้องการคบคนดีไว้เป็นมิตรเลย

ดังนั้น
เราจึงมองเห็นว่าคำกล่าวของท่าน
ผิดหลักสัจธรรมตามแนวพระศาสดา
ผิดไปจากพระโอวาทพระบิดาอย่างสิ้นเชิง

#นี่ไง...อีกเหตุผลหนึ่งที่เราไม่เห็นด้วย!

3.ประโยคที่กล่าวว่า
*********************
"สีดำก็คือสีดำ สีขาวก็คือสีขาว
ให้โลกเป็นผู้พิสูจน์เถอะ"

ท่านหมายความว่า "สัจธรรม" แห่งสีนี้
มนุษย์ไม่ต้องไปเสียเวลาพิสูจน์ความจริง
จนต้องทะเลาะเบาะแว้งกันเลย
สีดำคือสีดำ สีขาวคือสีขาวอยู่แล้ว
เช่นนั้นหรือ

เราใคร่ถามท่านผู้กล่าวประโยคนี้ว่า
คำว่า #ให้โลกเป็นผู้พิสูจน์เถอะ" น่ะ
มันหมายถึง "ใคร" ล่ะ

เราเห็นว่ามันเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน
ที่จะต้อง "เรียนรู้" ร่วมกันว่า
ไหนดีไหนชั่ว ไหนจริงไม่จริง
ไหนควรไม่ควร ไหนบุญไหนบาป
ไหนคุณไหนโทษ ไหนถูกไหนผิด

เรียนรู้เพื่อพิสูจน์ให้ชัดเจนว่า
ความถูกต้องเหมาะสมดีงามนั้นเป็นเช่นไร
ใครเป็นฝ่ายประพฤติดีไม่ดีนั้นเป็นเรื่องรอง

ดังนั้น
เมื่อมนุษย์มีปัญหาในการดำเนินชีวิตกัน
ก็ควรหันหน้ามาเรียนรู้ร่วมกันให้ได้ความรู้
#โดยหาเรื่องมาคุยกันมิใช่คุยหาเรื่อง

ถ้าเกิดปัญหาข้อขัดข้องขึ้นมา
แล้วสอนให้แต่ละคนหุบปาก
โดยไม่ยอมเรียนรู้อะไรๆเลยนั้น
มันจะช่วยให้

แต่ละคนจะโง่น้อยลงได้อย่างไร
แต่ละคนจะรู้มากขึ้นได้อย่างไร
จะก้าวผ่านข้อขัดแย้งกันในวันหน้าได้อย่างไร

ที่สำคัญคือ "สัจธรรม" ล้วนเป็นจริงแท้แน่นอน
คือ ดำเป็นดำ ขาวเป็นขาว กันอยู่แล้ว
แต่ท่านจะกล่าวสอนมนุษย์ให้หยุดการเรียนรู้
เพราะกลัวการทะเลาะกันจนไม่คิดต่อว่า
จะคุยกันอย่างไรจึงไม่ทะเลาะกัน
มันจะทำให้มนุษย์มืดบอดทางปัญญา
เพราะไม่รู้ว่า "อะไร" เป็นสัจธรรมเสียมากกว่า

#นี่ไง...อีกเหตุผลหนึ่งที่เราไม่เห็นด้วย!

อันองค์ธรรมแห่งพระบิดานั้น
เพราะภูมิปัญญากับความสามารถของผู้รู้
ผู้สอน และผู้สื่อถ่ายทอดต่างระดับกัน
คำกล่าวสอนของแต่ละรูปธรรม
ในเรื่องเดียวกันจึงมีความแตกต่างกันชัดเจน

ผู้สมดุลทางจิตวิญญาณแล้วเท่านั้น
ที่จะสามารถบ่งชี้ได้ทันทีที่รับรู้รับฟังว่า
ธรรมะนั้นๆผู้สูงส่งระดับใดใครเป็นผู้กล่าว
แต่ท่านทั้งหลายต้องรู้ความจริงด้วยว่า
ใครสอนธรรมะผิดจะมีความผิดบาปมาก
ต้องหลุดลงไปชำระความใน "ขุมที่ 13"
นี่คือความจริงที่จริงแท้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31-08-2017

30 สิงหาคม 2560

ความรักเท่านั้น เชื่อมสมานทุกสิ่งได้


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

<3 เพราะความรักต่อทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง
พระองค์จึงมิทรงปล่อยวางสิ่งใด
ให้เลือนหายไปจากความทรงจำ

<3 เพราะความรักท่านทั้งหลายบนดาวโลกเสรี
พระองค์จึงทรงบัญชาให้บุตรเอกแต่ละพระองค์
ผลัดกันเข้ามาจุติเพื่อทำหน้าที่กล่าวพระโอวาท
ประกาศพระวจนะ ชำระอธรรมและอวิชชา
เพื่อสร้างสติทางวิญญาณและชี้ทางกลับบ้าน
ให้แก่ท่านทั้งหลายในทุกยุคสมัย

<3 เพราะความรักลูกและรักโลก
ในปฏิบัติการชำระโลก ครั้งที่ 4
เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่ในขณะนี้
พระองค์จึงทรงบัญชาให้โลกเสรีได้มี "เรา"
เข้ามานำพาแก่นแท้ของท่านกลับบ้าน
ผ่าน #ด่านนภาลัย ประตูมิติแห่งการหลุดพ้น

<3 เพราะความรักของบิดรมารดา
จึงมีท่านทั้งหลายถูกสร้างขึ้นมาใหม่ได้

<3 เพราะความรักของพ่อแม่เช่นท่าน
จึงมีบุตรหลานอันน่ารักน่าชังบังเกิดได้

<3 เพราะความรักที่ไร้เงื่อนไขเท่านั้น
จึงช่วยท่านให้อภัยแก่ใครก็ได้

<3 เพราะความรักเท่านั้น
จึงช่วยให้ท่านยอมรับใครที่ทำตัวไร้สาระได้

<3 เพราะความรักเท่านั้น
จึงช่วยให้ท่านรักษาสัมพันธ์ให้มั่นคงไว้ได้

<3 เพราะความรักเท่านั้น
จึงช่วยท่านระวังตนมิให้ก้าวล่วงผู้อื่น
จนต้องก่อเวรเกี่ยวกรรมกับใครได้

<3 เพราะความรักเท่านั้น
จึงจะช่วยให้ท่านมีจิตใส ใจสวย
รวยสติ มากมีความฉลาดทางปัญญา
รู้เห็นคุณค่าตนเองและผู้อื่นเสมอ

<3 เพราะความรักเท่านั้น
จึงจะช่วยให้ท่านเชื่อมั่นในองค์พระบิดา
มีศรัทธาในภารกิจทางจิตวิญญาณ
และทำนิพพานให้แจ้งแก่ตนเอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30-08-2017

27 สิงหาคม 2560

จงอย่าท้อแท้ใจไหวหวั่นที่จะทำการดี



กราบพระบาทพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-08-2017

ร่วมฆ่าร่วมตัดรอน



พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงว่า

การตัดรอนอายุขัยผู้อื่นให้สั้นลง
ทำให้เขาหมดโอกาสทำภารกิจ
เพื่อพระบิดาต่อไปจนครบอายุขัยจริงได้นั้น

ทั้งผู้กระทำและผู้ร่วมกระทำ
จักต้องชดใช้ด้วยอายุขัยจริงของตนเอง
เท่ากับจำนวนอายุขัยของเขาที่ถูกท่านตัดรอน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-08-2017

26 สิงหาคม 2560

จงศรัทธาต่อพระองค์


จงศรัทธาต่อพระองค์
มั่นคงในการก้าวตามเราไปให้ถึงที่สุด

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-08-2017

บททดสอบของทุกท่าน คือ ปัญหาทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต



บททดสอบของทุกท่าน
คือ ปัญหาทั้งหลายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ซึ่งมันมีทั้งยากและง่าย
จงอย่าได้หวั่นกลัว วิตกกังวล

ทุกปัญหาที่เผชิญ
ท่านสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้เรื่อยๆ
โดยมีข้อแม้ว่า

1.ท่านต้องกล้าเผชิญปัญหานั้น
ด้วยรู้เท่าทันว่ามันล้วนเป็นบททดสอบ

2.ท่านต้องเชื่อมั่นว่า
ท่านสามารถรับมือมันได้แน่
เพราะเชื่อว่าทุกปัญหาล้วนมี 2 สิ่งที่เป็นตัวช่วย
นั่นคือ #ตัวเลือก กับ #ทางออก

3.ท่านต้องใช้อำนาจในตนเองที่มีอยู่
เข้าจัดการกับทุกปัญหาให้ราบเรียบ

นั่นคือ
#อำนาจจากความเฉลียวฉลาดทางปัญญา
#อำนาจจากความเฉลียวฉลาดทางอารมณ์
และ #อำนาจจากความรักเพื่อให้

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พลังอำนาจทั้งสามประการนี้
มันล้วนมีอยู่ในตัวท่านเอง
อันเกิดจากการเรียนรู้และฝึกทักษะการใช้มัน

เมื่อท่านผ่านบททดสอบแล้ว
ท่านก็จะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตจากพระองค์

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-08-2017

กราบพระบาทองค์จิตจักรวาล



กราบพระบาทองค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์โลกเสรี
พระผู้ทรงกำหนดสร้างทุกสรรพสิ่ง
พระผู้เป็นเจ้าเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง

ลูกขอกราบพระบาท
เทอดพระเกียรติพระองค์ด้วยจิตสำนึกแห่งรัก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-08-2017

คนใจบาปหยาบช้าเท่ากับสะสมโทษให้ตนเอง


ลูกแก้วสองดวง



ลูกแก้วสองดวง
ที่พระองค์ทรงประทานผ่านเรามา
ซึ่งเราได้มอบให้แด่ท่านไปแล้วนั้น
ยังอยู่ครบถ้วน ดูแลอย่างดี
สมบทบาท #นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง กันอยู่มั้ย?

23 สิงหาคม 2560

การไถ่บาป


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงเรื่อง #การไถ่บาป
ให้รู้ไว้โดยทั่วกันเพื่อเป็นข้อบัญญัติว่า
คำว่า "ไถ่บาป" นั้นมีนัยดังต่อไปนี้

1.ถ้ามีพี่ๆน้องๆของเราคนใดคนหนึ่ง
กระทำไม่ถูกต้องหรือผิดบาปต่อตัวเรา
จนทำให้เราเกิดการเสียสมดุลทางจิตใจ
ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม

2.ไม่ว่าใครคนนั้นจะกระทำผิดบาปต่อเรา
ด้วยความประมาท ด้วยการขาดสติ 
หรือว่าจงใจกระทำทั้งต่อหน้าและลับหลัง

3.แต่เราก็จะไม่ถือโทษโกรธเคือง
หรือขุ่นแค้นอาฆาตมาดร้ายใดๆ
เพื่อหมายว่าจะตอบโต้ ต่อสู้ ต่อต้าน 
ในทุกๆแหล่งแห่งที่และทันทีที่เรามีโอกาส

แม้ว่าตัวเราจะอยู่ในฐานะของ #ผู้ถูกกระทำ
โดยเป็นผู้ที่ถูก "ก้าวล่วง" ก่อนก็ตาม

4.การที่เราเป็นฝ่ายถูกกระทำผิดบาป
เป็นผู้ที่ถูกผู้อื่นก้าวล่วง
แล้วเราไม่ถือโทษโกรธเคืองผู้กระทำนี้
ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
สิ่งที่เราหยิบมาพิจารณามีแค่ 2 สิ่งเท่านั้น

สิ่งแรก คือ #ตัวตนผู้กระทำผิดบาป ต่อเรา
กับสิ่งที่สอง คือ #ความผิดบาป 
ที่ผู้นั้นกระทำต่อเรา

5.ทั้งสองสิ่งนี้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
ที่มันจะเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของเรา
ซึ่งถ้าเราเป็นมนุษย์แล้วไม่ฉลาดดำเนินชีวิต
เจ้าสิ่งนี้เองที่มันจะนำเราเข้าสู่กระบวนการ
ที่พวกท่านเรียกว่า "กฎแห่งกรรม" ทันที

ถูกต้องแล้วเรากำลังกล่าวถึงสิ่งที่สองอยู่
นั่นคือ "ความผิดบาป" ที่ผู้อื่นกระทำต่อเรา
โดยเราไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจอีกสิ่งหนึ่ง
นั่นคือ "ตัวผู้กระทำผิดบาป" ต่อเราเลย

6.เราหมายความว่า.....
แม้ใครจะกระทำผิดบาปต่อเราก็ตาม
เราก็จะรับเอาความผิดบาปนั้นไว้เสียเอง

ความผิดบาปนั้นก็คือสิ่งไม่ดีที่เขากระทำ
กับผลกรรมที่ไม่ดีที่ตัวเราต้องเผชิญ
อันเกิดจากการถูกกระทำนั่นแหละนะ

โดยที่เราจะไม่นำเอาความผิดบาปของใคร
มาเป็นเงื่อนไขที่จะทำไม่ดีตอบสนอง
อันเป็นการ #ยกโทษให้ ผู้ก้าวล่วงเรา
เสมือนเป็นการ #ไถ่บาป ให้เขานั่นเอง

ดังนั้น
คำว่า "ไถ่บาป" จึงหมายถึง
การยอมรับการกระทำที่ไม่ดีของคนอื่น
ที่ก้าวล่วงต่อเราโดยไม่เอาความ
หรือ "อโหสิกรรมให้" อย่างไม่มีเงื่อนไข

ซึ่งเป็นการตัดพันธะกรรมระหว่างกัน
เพื่อมิให้เกี่ยวกรรมกับผู้กระทำผิดบาปนั้น
จนต้องเกิดมีภพชาติใหม่กันต่อไปอีก
เพียงแค่เพราะผูกจิตเจ็บแค้นเท่านั้นเอง

7.พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย

การที่เราเว้นวางมิใส่ใจในอีกสิ่งหนึ่ง
คือ "ตัวตนคนที่กระทำผิดบาป" ต่อเรานั้น
เป็นเพราะเรารู้ว่าเขาจักต้องรับเอาผลกรรม
จากการกระทำผิดบาปของเขาเอง
ตามกฎแห่งกรรมกันอยู่แล้ว

เพราะกรรมดี กรรมชั่ว เป็นของตัวเอง
ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้

เมื่อความจริงมันเป็นดั่งนี้แล้ว
เราจะเข้าไปเกี่ยวกรรมกับเขาทำไมกัน
เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา

8.หน้าที่เราคือต้องนำพาแก่นแท้
สู่การหลุดพ้นด้วยมรรคผลนิพพาน
จึงต้องตัดพันธะกรรมกับเขาเสียทันที
โดยยอมรับเอาความผิดบาปทั้งหลาย
ที่เขาหยิบยื่นมาให้นั้นไว้เสียเอง 
เช่น ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ
ความเสื่อมโทรมเสียหาย
ในทุกรูปแบบ เป็นต้น

ซึ่งในมุมมองของตัวเราเองนั้น
การปฏิบัติตนเยี่ยงนี้จึงไม่ต่างไปจาก
ตัวเขาคนนั้นเสมือนมิได้ทำผิดบาปต่อเราเลย
ทั้งๆที่เราเป็นผู้ถูกกระทำจนเสียสมดุลก็ตาม

ด้วยเหตุนี้เอง
ในภพชาติอดีตเราจึงเรียกวิธีปฏิบัติเช่นนี้ว่า
#การไถ่บาป ไงล่ะท่านทั้งหลาย

9.พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ไม่ว่าท่านจะมองว่าตัวเราเป็นใคร
ไม่ว่าจะเป็นตัวเราในอดีตชาติ
หรือเป็นผู้ย้อนคืนกลับมาในภพปัจจุบัน
เราต่างก็มีพื้นฐานในการเป็นมนุษย์เช่นกัน

ดังนั้น
ปฏิบัติการ "ไถ่บาป" ของเรา
จึงเป็นการกระทำต่อตัวเราเอง
เพื่อยกโทษบาปให้แก่เฉพาะผู้กระทำต่อเรา
โดยเราไม่สามารถจะรับกรรมและผลกรรม
แทนพวกท่านทั้งหลายที่มิเคยเกี่ยวกรรม
กระทำผิดบาปต่อเราได้เลย

ท่านก่อกรรมทำบาปกับใคร
ท่านก็ต้องไปเกี่ยวกรรมกับผู้นั้น
ผลกรรมไม่ดีใดๆที่ท่านเป็นผู้ก่อขึ้นไว้
ท่านจักต้องรับผิดชอบมันเอง
จะให้เราหรือว่าใคร
มาไถ่บาปแทนพวกท่านทั้งโลกมิได้
แม้ว่าเราปรารถนาจะทำเช่นนั้นอยู่ก็ตาม

10.พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

การกลับมายังโลกเสรี
ในปลายยุคพลังงานเก่านี้
ภารกิจหนึ่งของเราก็คือ

การไถ่บาปให้ประดาผู้คนทั้งหลาย
ที่เคยกลุ้มรุมทำร้ายทำลายโอกาสเรา
ในการทำหน้าที่บุตรเอกแห่งพระบิดา
ในบทบาทของมนุษย์โลกเสรี
เพื่อกล่าวพระโอวาทแทนพระองค์
ต่อท่านทั้งหลายในภพชาติอดีตที่ผ่านมา

เพราะการที่เราจะตัดกรรมใดๆกับใครได้
จักต้องกระทำเมื่อตอนที่เป็นมนุษย์เท่านั้น
เพราะเรามีปณิธานแห่งนิพพานแท้จริง
การมีภพชาตินี้จึงเป็นโอกาสสำคัญ
ที่จะไถ่บาปใดๆที่ค้างคาอยู่กับใครๆนั่นเอง

ถ้าท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์เช่นเรา
ปฏิบัติการไถ่บาปให้กับทุกคน
เพื่อการหลุดพ้นในภพชาตินี้
จึงเป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลาย
จะแสร้งเป็นไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่ทำ ไม่ได้แล้ว

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-08-2017

การไถ่บาป


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย


เราจะกล่าวความจริงเรื่อง #การไถ่บาป

ให้รู้ไว้โดยทั่วกันเพื่อเป็นข้อบัญญัติว่า

คำว่า "ไถ่บาป" นั้นมีนัยดังต่อไปนี้


1.ถ้ามีพี่ๆน้องๆของเราคนใดคนหนึ่ง

กระทำไม่ถูกต้องหรือผิดบาปต่อตัวเรา

จนทำให้เราเกิดการเสียสมดุลทางจิตใจ

ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม


2.ไม่ว่าใครคนนั้นจะกระทำผิดบาปต่อเรา

ด้วยความประมาท ด้วยการขาดสติ 

หรือว่าจงใจกระทำทั้งต่อหน้าและลับหลัง


3.แต่เราก็จะไม่ถือโทษโกรธเคือง

หรือขุ่นแค้นอาฆาตมาดร้ายใดๆ

เพื่อหมายว่าจะตอบโต้ ต่อสู้ ต่อต้าน 

ในทุกๆแหล่งแห่งที่และทันทีที่เรามีโอกาส


แม้ว่าตัวเราจะอยู่ในฐานะของ #ผู้ถูกกระทำ

โดยเป็นผู้ที่ถูก "ก้าวล่วง" ก่อนก็ตาม


4.การที่เราเป็นฝ่ายถูกกระทำผิดบาป

เป็นผู้ที่ถูกผู้อื่นก้าวล่วง

แล้วเราไม่ถือโทษโกรธเคืองผู้กระทำนี้

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า

สิ่งที่เราหยิบมาพิจารณามีแค่ 2 สิ่งเท่านั้น


สิ่งแรก คือ #ตัวตนผู้กระทำผิดบาป ต่อเรา

กับสิ่งที่สอง คือ #ความผิดบาป 

ที่ผู้นั้นกระทำต่อเรา


5.ทั้งสองสิ่งนี้มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

ที่มันจะเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของเรา

ซึ่งถ้าเราเป็นมนุษย์แล้วไม่ฉลาดดำเนินชีวิต

เจ้าสิ่งนี้เองที่มันจะนำเราเข้าสู่กระบวนการ

ที่พวกท่านเรียกว่า "กฎแห่งกรรม" ทันที


ถูกต้องแล้วเรากำลังกล่าวถึงสิ่งที่สองอยู่

นั่นคือ "ความผิดบาป" ที่ผู้อื่นกระทำต่อเรา

โดยเราไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจอีกสิ่งหนึ่ง

นั่นคือ "ตัวผู้กระทำผิดบาป" ต่อเราเลย


6.เราหมายความว่า.....

แม้ใครจะกระทำผิดบาปต่อเราก็ตาม

เราก็จะรับเอาความผิดบาปนั้นไว้เสียเอง


ความผิดบาปนั้นก็คือสิ่งไม่ดีที่เขากระทำ

กับผลกรรมที่ไม่ดีที่ตัวเราต้องเผชิญ

อันเกิดจากการถูกกระทำนั่นแหละนะ


โดยที่เราจะไม่นำเอาความผิดบาปของใคร

มาเป็นเงื่อนไขที่จะทำไม่ดีตอบสนอง

อันเป็นการ #ยกโทษให้ ผู้ก้าวล่วงเรา

เสมือนเป็นการ #ไถ่บาป ให้เขานั่นเอง


ดังนั้น

คำว่า "ไถ่บาป" จึงหมายถึง

การยอมรับการกระทำที่ไม่ดีของคนอื่น

ที่ก้าวล่วงต่อเราโดยไม่เอาความ

หรือ "อโหสิกรรมให้" อย่างไม่มีเงื่อนไข


ซึ่งเป็นการตัดพันธะกรรมระหว่างกัน

เพื่อมิให้เกี่ยวกรรมกับผู้กระทำผิดบาปนั้น

จนต้องเกิดมีภพชาติใหม่กันต่อไปอีก

เพียงแค่เพราะผูกจิตเจ็บแค้นเท่านั้นเอง


7.พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย


การที่เราเว้นวางมิใส่ใจในอีกสิ่งหนึ่ง

คือ "ตัวตนคนที่กระทำผิดบาป" ต่อเรานั้น

เป็นเพราะเรารู้ว่าเขาจักต้องรับเอาผลกรรม

จากการกระทำผิดบาปของเขาเอง

ตามกฎแห่งกรรมกันอยู่แล้ว


เพราะกรรมดี กรรมชั่ว เป็นของตัวเอง

ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้


เมื่อความจริงมันเป็นดั่งนี้แล้ว

เราจะเข้าไปเกี่ยวกรรมกับเขาทำไมกัน

เพราะมันไม่ใช่เรื่องของเรา


8.หน้าที่เราคือต้องนำพาแก่นแท้

สู่การหลุดพ้นด้วยมรรคผลนิพพาน

จึงต้องตัดพันธะกรรมกับเขาเสียทันที

โดยยอมรับเอาความผิดบาปทั้งหลาย

ที่เขาหยิบยื่นมาให้นั้นไว้เสียเอง 

เช่น ความทุกข์กาย ทุกข์ใจ

ความเสื่อมโทรมเสียหาย

ในทุกรูปแบบ เป็นต้น


ซึ่งในมุมมองของตัวเราเองนั้น

การปฏิบัติตนเยี่ยงนี้จึงไม่ต่างไปจาก

ตัวเขาคนนั้นเสมือนมิได้ทำผิดบาปต่อเราเลย

ทั้งๆที่เราเป็นผู้ถูกกระทำจนเสียสมดุลก็ตาม


ด้วยเหตุนี้เอง

ในภพชาติอดีตเราจึงเรียกวิธีปฏิบัติเช่นนี้ว่า

#การไถ่บาป ไงล่ะท่านทั้งหลาย


9.พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย


ไม่ว่าท่านจะมองว่าตัวเราเป็นใคร

ไม่ว่าจะเป็นตัวเราในอดีตชาติ

หรือเป็นผู้ย้อนคืนกลับมาในภพปัจจุบัน

เราต่างก็มีพื้นฐานในการเป็นมนุษย์เช่นกัน


ดังนั้น

ปฏิบัติการ "ไถ่บาป" ของเรา

จึงเป็นการกระทำต่อตัวเราเอง

เพื่อยกโทษบาปให้แก่เฉพาะผู้กระทำต่อเรา

โดยเราไม่สามารถจะรับกรรมและผลกรรม

แทนพวกท่านทั้งหลายที่มิเคยเกี่ยวกรรม

กระทำผิดบาปต่อเราได้เลย


ท่านก่อกรรมทำบาปกับใคร

ท่านก็ต้องไปเกี่ยวกรรมกับผู้นั้น

ผลกรรมไม่ดีใดๆที่ท่านเป็นผู้ก่อขึ้นไว้

ท่านจักต้องรับผิดชอบมันเอง

จะให้เราหรือว่าใคร

มาไถ่บาปแทนพวกท่านทั้งโลกมิได้

แม้ว่าเราปรารถนาจะทำเช่นนั้นอยู่ก็ตาม


10.พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย


การกลับมายังโลกเสรี

ในปลายยุคพลังงานเก่านี้

ภารกิจหนึ่งของเราก็คือ


การไถ่บาปให้ประดาผู้คนทั้งหลาย

ที่เคยกลุ้มรุมทำร้ายทำลายโอกาสเรา

ในการทำหน้าที่บุตรเอกแห่งพระบิดา

ในบทบาทของมนุษย์โลกเสรี

เพื่อกล่าวพระโอวาทแทนพระองค์

ต่อท่านทั้งหลายในภพชาติอดีตที่ผ่านมา


เพราะการที่เราจะตัดกรรมใดๆกับใครได้

จักต้องกระทำเมื่อตอนที่เป็นมนุษย์เท่านั้น

เพราะเรามีปณิธานแห่งนิพพานแท้จริง

การมีภพชาตินี้จึงเป็นโอกาสสำคัญ

ที่จะไถ่บาปใดๆที่ค้างคาอยู่กับใครๆนั่นเอง


ถ้าท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์เช่นเรา

ปฏิบัติการไถ่บาปให้กับทุกคน

เพื่อการหลุดพ้นในภพชาตินี้

จึงเป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลาย

จะแสร้งเป็นไม่รู้ ไม่ชี้ ไม่ทำ ไม่ได้แล้ว


เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

23-08-2017

22 สิงหาคม 2560

ทุกศาสนาล้วนเป็นสากล


การรับถือพระศาสดาพระองค์ใด

สำหรับมนุษย์แห่งโลกเสรีนี้นั้น


หมายถึงการเลือกดำเนินชีวิต

ตามพระธรรมคำสอน

แห่งพระศาสดาพระองค์นั้น

เพราะถูกจริตของท่าน


จงอย่าคิดเหมาเอาว่า

แนวทางแห่งพระศาสดาที่ท่านเลือกแล้ว

ถูกต้องถ่องแท้เป็นที่สุด

ยอดเยี่ยมที่สุดเหนือกว่าพระศาสดา

ในศาสนาอื่นๆ


เพราะนอกจากจะเป็นการก้าวล่วง

ให้ผิดบาปทางจิตวิญญาณแล้ว

ยังเป็นการแสดงออกทางปัญญาด้วยว่า

ไม่สูงส่งอีกต่างหากด้วย


เราขอกล่าวความจริงว่า


พระศาสดาแต่ละพระองค์นั้น

ท่านทรงเสด็จมาฉุดช่วยเวไนยคนละยุคสมัย

จะนำแต่ละพระองค์มาเปรียบเทียบว่า

พระองค์ใดเหนือกว่าพระองค์ใดย่อมมิบังควร

นอกจากท่านจะสำนึกว่าตนโชคดี

ได้เกิดมาในยุคนี้ซึ่งเป็นยุคที่

มีแนวทางปฏิบัติสู่การหลุดพ้น

ให้เลือกเดินมากกว่าหนึ่งวิธีเท่านั้น


เพราะไม่่ว่าจะเลือกเดินตามวิถีใด

มรรคผลเบื้องปลายก็ #หลุดพ้นได้ ทั้งนั้น


พระศาสดาแต่ละพระองค์

มิใช่ "สิ่งของ" ที่ทรงมาจุติเพื่อ #เป็นผู้ถูกเลือก

โดยถ้าท่านถูกจริตพระองค์ใดก็ให้ #เลือกไว้

ถ้า #ไม่เลือกไว้ แทนที่จะน้อมคารวะดุจเดิม

ก็กลับ #คัดทิ้ง ด้วยการปฏิเสธหรือต่อต้าน

อันเป็นการคิดด้วยจิตมนุษย์ที่ทรุดโทรมยิ่ง


พระศาสดาทุกพระองค์ล้วนสูงส่งนัก

จงอย่าฉุดชักนำพระองค์ให้ลงต่ำ

ทำเหมือนว่าพระองค์เป็นเสมอเพียง "เจ้าลัทธิ"


ลองตรองดูเถิดว่าในครั้งอดีตกาลผ่านมา

ถ้าโลกเสรีนี้ว่างจากการมีพระศาสดาแล้ว

สังคมมนุษย์โลกเสรีแห่งนี้จักเป็นเช่นไร


เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

21-08-2017

พันธะสัญญา 6


#อภิปรัชญา (Meta-physics)


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย


จนบัดนี้...

วันสิ้นสุดกาลเวลาโลกยุคพลังงานเก่า

ได้ล่วงเลยจาก 6 หมื่นปีมาได้ 800 ปีเศษแล้ว

บทสรุปของพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ในสายพระเนตรของพระองค์ต่อมนุษย์โลกเสรี

ประเด็นที่ชัดเจนที่สุดก็คือ


ยิ่งเนิ่นนานผ่านวันมา

ท่านทั้งหลายก็ยิ่งพากันหลงมิติมากขึ้น

โดยจิตหยาบของท่านจดจำกันไม่ได้แล้วว่า

ท่านยังมีจิตวิญญาณเป็นแก่นแท้อยู่ข้างใน


การทำอะไรตามใจตัว

รู้สึกชอบไม่ชอบอย่างไรก็ทำไปตามนั้น

มีอารมณ์แบบใดก็ทำไปแบบนั้น

เชื่อว่าอย่างไรก็ทำไปตามที่เชื่อนั้น

นึกว่าอย่างไรก็ทำไปตามที่นึกอยู่นั้น

โดยมิได้ใช้สติสัมปชัญญะปัญญา

ใคร่ครวญพิจารณาเสียก่อนว่า


สิ่งที่ตนจะพูดจะทำลงไปนั้น


1.#มันถูกต้องเหมาะสมดีงามหรือไม่

2.#จะพูดจะทำด้วยความรักหรือเปล่า

3.#จะพูดจะทำไปตามสำนึกแห่งการให้หรือเอา

4.#จะเป็นบาปบุญคุณโทษหรือเปล่า 


คำถามตนเองทั้ง 4 ประการนี้

เป็นเรื่องราวของ #จิตสามนึก เฉพาะตนล้วนๆ

ทั้งสี่คำถามแนวนี้แหละ

ที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน

ปรารถนาสูงสุดที่จะให้จิตหยาบ

สั่นสะเทือนทุกครั้งก่อนจะพูดหรือทำสิ่งใด

ซึ่งตรงกับภาษาคุ้นชินของท่านว่า

คิดใคร่ครวญให้มั่นใจก่อนจะพูดหรือทำนั่นเอง


ดังนั้น

มนุษย์ส่วนใหญ่บนโลกเสรีนี้

นอกจากจะบกพร่องต่อหน้าที่

ในพันธะสัญญา 6 ประการแล้ว

ยังเป็นตัวการทำลายสมดุลของระบบโลกด้วย


เพราะจดจำไม่ได้ว่าตนเองนั้น

ยังมีจิตวิญญาณเร้นอยู่ข้างใน


ทั้งยังจำไม่ได้ด้วยว่าตนเองนั้นเป็นแค่เพียง

ผู้รับมอบอำนาจให้ทำหน้าที่แทน

แก่นแท้ของตนเท่านั้นเอง


ความสมดุลของระบบโลก

ที่ถูกมนุษย์ส่วนใหญ่ทำลายไปแล้วมีดังนี้


1.ทรัพยากรทางธรรมชาติบนพื้นโลก

จำพวกป่าไม้ ภูเขาหิน แม่น้ำ ลำคลอง

หนอง บึง ทะเลสาป และทะเล 

ถูกทำลายจนเสียสมดุล 


โดยผู้ทำลายมุ่งหวังกอบโกยประโยชน์

จากทรัพยากรโลกเพื่อตนและพวกพ้อง


เช่น สร้างคันเขื่อนกักกั้นแม่น้ำ

ทำให้ระบบไหลเวียนพลังงานน้ำของโลก

สูญเสียสมดุลไปเพราะความเห็นแก่ตัว


เช่น การระเบิดหินทำลายภูเขา

ย้ายเอาไปสร้างตึกสร้างป่าคอนกรีตยังที่อื่น

อันเป็นการย้ายมวลหนักๆจากที่หนึ่ง

เอาไปวางยังอีกพิกัดหนึ่งที่ห่างไกลออกไป

ซึ่งเดิมทีภูเขาทั้งหลายในธรรมชาตินั้น

พระบิดาผู้ทรงกำหนดสร้างได้จัดวางไว้

อย่างสมดุลดีอยู่แล้ว


เพราะถ้าจัดวางตำแหน่งภูเขา ที่ราบ

ท้องน้ำ ทะเล และมหาสมุทร ไม่ถูกที่

ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ก็จะไม่สมดุล

เมื่อเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองก็จะโคลงเคลง

ที่เรียกว่าเกิดอาการแกว่งส่ายนั่นแหละ


เมื่อแต่เดิมสมดุลดีอยู่แล้ว

แต่มนุษย์ผู้อาสาพระบิดามาพิทักษ์โลก

กลับไม่ทำหน้าที่ผู้พิทักษ์

เพราะลืมพันธะสัญญาที่เคยให้ไว้ต่อพระบิดา

หลงลืมว่าตนเองมีจิตวิญญาณอยู่ข้างใน

ทั้งกลับทำตัวเป็น #ผู้ทำลายโลกเสียเอง

ด้วยการโยกย้ายภูเขาเอาไปไว้ที่อื่น

โดยแปรสภาพเป็นอาคารวัตถุเท็คโนโลยี

แข่งกันสร้างความสูง ความสวย

อวดความร่ำรวย อวดเท็คโนโลยีแทน

จนลืมพันธะหน้าที่ของแก่นแท้ไปหมดสิ้น


2.อำนาจแม่เหล็กโลกและสนามแม่เหล็กโลก

ถูกทำลายลงจนเสียสมดุล


ลักษณะการทำลายมีสองรูปแบบ คือ

แบบแรกเกิดจากการสร้าง

สนามแม่เหล็กไฟฟ้าเทียมขึ้นมาใหม่

จากเครื่องมือเครื่องใช้ระบบไฮเทค

ทั้งที่มีขนาดเล็กและขนาดใหญ่

ที่สามารถสร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเทียม

ขึ้นมาลดทอนอำนาจแม่เหล็กโลก


ซึ่งเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์

จะขาดก็ไม่ได้ จะเพิ่มหรือลดลงก็ไม่ได้

มันจะกระทบกับกลไกอวัยวะร่างกาย

กระทบกับกระบวนการทางจิตตปัญญา

กระทบกับกระบวนการทางจิตประสาท

ในทางเสียสมดุลไปทั้งในทันทีและผ่อนส่ง


3.ดาวเคราะห์โลกเสียสมดุลทางพลังงาน

เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึง

การมอบพลังความรักทางวิญญาณให้โลกได้

โดยผู้คนส่วนใหญ่ได้แต่สั่นสะเทือนจิตใจ

เพื่อแสดงออกหรือกระทำภารกิจใดๆ

สนองความต้องการของตนเองกับพวกตัว

มากกว่ากระทำเพื่อจิตวิญญาณและโลกทั้งสิ้น


มนุษย์ส่วนใหญ่ที่ดำรงอยู่ในระบบโลก

จึงพึ่งตนเองไม่ได้และยังเป็นที่พึ่งของโลก

ในลักษณะเป็นเพื่อนร่วมงานของโลกก็ไม่ได้

จึงยังผลให้มนุษย์แต่ละคนมีค่าแค่เพียง

มวลหยาบๆมวลใหญ่ที่ทำให้หนักโลก

เป็นภาระของโลกที่ต้องแบกน้ำหนักไว้

มนุษย์จึงไม่ต่างจาก "ขยะ" ที่ปลิวว่อนไปมา

โดยแทบจะหาคุณค่าสำหรับโลกมิได้


4.สนามพลังงานในระบบโลก

โดยเฉพาะในชั้นบรรยากาศไม่เกิน 60 กม.

เกิดการเสียสมดุลอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้น


ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุว่า

อีเล็คตรอนอิสระที่มีค่าเป็นลบ

อันเกิดจากพลังจิตด้านลบของมนุษย์โลก

ที่ผลิตสร้างกันขึ้นมาในทุกวินาที

มีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ


ยิ่งจิตติดกิเลสตัณหาราคะมากเท่าใด

ปริมาณประจุลบที่เหวี่ยงออกมาสั่งสมไว้

ในชั้นบรรยากาศเหนือถิ่นพำนักอาศัย

ก็จะเพิ่มปริมาณความหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ

จนท่านทั้งหลายสามารถสังเกตดูท้องฟ้าได้


วันใดที่พี่ๆน้องๆตรงใต้ท้องฟ้าพิกัดไหน

สั่นสะเทือนจิตใจด้วยกิเลสตัณหาราคะมาก

เมฆบนฟ้าตรงพิกัดนั้นก็จักเป็นสีเทา 

ดำหรือดำคล้ำและหนาทึบมากตามไปด้วย

จนกลายเป็นเมฆฝนห่าใหญ่

และเกิดฟ้าคะนองฟ้าร้องฟ้าผ่ารุนแรงตามมา

เมื่อตกลงมาก็จะมีพายุลูกเห็บขนาดโตๆ

พรั่งพรูลงมาอย่างน่ากลัวอีกต่างหากด้วย


พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า


ถ้าท่านเป็นมนุษย์คนหนึ่ง

ซึ่งเป็นไปตามบริบทในแบบที่ว่านี้


ขอท่านจงลดละเลิกพฤติกรรมเหล่านี้เถิด

หันมาทำคุณอันประเสริฐแก่โลก

เพื่อลดภาระของโลกและช่วยโลกทำงาน

ด้วยการรักกันให้ได้ ให้กันให้เป็น

แล้วละวางกิเลสตัณหาราคะกันเสียทันที


ให้คิดทำทุกสิ่งเพื่อจิตวิญญาณและโลก

แทนการทำทุกสิ่งเพื่อสนองกิเลสตัณหาราคะ

จนตนเองกลายเป็นขยะรกโลกไปโดยไม่รู้ตัว

ซึ่งรอวันให้ช่างเท็คนิกมาเก็บกวาดสาดทิ้ง

ให้ออกไปจากระบบโลกอยู่ต่อไปอีกเลย


ลูกแก้วสองดวงนั่นไง

รับจากพระหัตถ์พระบิดาผ่านมาทางเราแล้ว

ใยจึงถือครองเฉยเสมือนหลับอยู่ด้วยเล่า

จงตื่นตัวอยู่ในมหาสติ

จงเบิกบานอยู่ในปณิธานแห่งนิพพานเถิด


ภัยพิบัติทั้งหลายในปฏิบัติการชำระโลก

กำลังเยี่ยมกรายเข้ามาใกล้เรื่อยๆแล้ว

จะทำอะไรจงเร่งรีบทำเสียเถอะนะ

การมีวิถีแห่งจิตจักรวาลนั้นนับเป็นบุญวาสนา

ที่พระบิดาทรงโปรดปรานท่าน

แต่การจะใช้บุญวาสนาที่มีอยู่เป็นหรือไม่

มันเป็นเรื่องของส่วนบุคคลแล้วล่ะท่าน


เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

21-08-2017

09 สิงหาคม 2560

Pure-Meta Physics


Pure-Meta Physics:
**********************
พี่น้องที่รัก <3 แห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

#องค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ได้ทรงใช้มวลน้ำจำนวนมหาศาล
เข้าปฏิบัติการชำระโลก
มาตั้งแต่ยุคแรกจนถึงยุคที่สาม
เพื่อทำลายโลกของคนอธรรม
ทำลายเมืองที่รกรุงรังไปด้วยวัตถุเท็คโนโลยี
ให้พังพินาศลงมาจนเป็นเศษซากธุลี

เมืองที่เป็นศูนย์กลางการผลิตสร้าง
ขยะวัตถุเท็คโนโลยีเมื่อสองหมื่นกว่าปีเศษ
ที่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่มีจิตสามนึกต่ำทราม
เพราะได้แต่เมามัวหลงใหลในการเสพ
จนไม่ว่างใส่ใจในการชำระจิตตนเอง
ทั้งเมืองทั้งผู้คนจึงต้องถูกพลิก
กลบฝังเอาไว้ใต้แผ่นเปลือกโลก
เพื่อเก็บทรากของเมืองนั้นไว้
เป็นตัวอย่างแก่คนอธรรมในอนาคต

แต่ทรงไว้ชีวิตผู้ครองความชอบธรรม
เพราะทรงเห็นว่าเขารักความชอบธรรมจริง
แม้จะอยู่ท่ามกลางหมู่คนอธรรมก็ตาม
เมื่อได้แลเห็นพฤติกรรมต่ำทรามแล้ว
จิตใจที่ชอบธรรมของพวกเขาก็เป็นทุกข์

#คนอธรรม คือ
คนที่ชอบก้าวก่ายล่วงเกินผู้อื่น
คนที่ชอบทำตนเป็นอุปสรรคขัดขวาง
บนเส้นทางนิพพานของผู้อื่น

#คนอธรรม คือ
คนที่ชอบปล่อยตัวปล่อยใจ
ให้เคลื่อนไหลไปตามกิเลสตัณหาราคะ

คนที่ชอบล่วงเกินในสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ
คนที่ทำตนมีมลทินเป็นที่น่ารังเกียจ
คนที่ชอบทำบาปมิรู้สิ้นสุดยุติ

#คนอธรรม คือ
คนที่ได้พบพระบิดาแล้ว
แต่กลับหันหลังให้กับมรรควิถีจิตจักรวาล
ที่พระองค์ทรงประทานผ่านเรามา
เพราะหนีความเสื่อมของโลกไม่พ้น
เขาก็จะประสบกับสิ่งร้ายๆ
ยิ่งกว่าตอนที่ยังไม่รู้จักพระบิดาเสียอีก

พี่ๆน้องๆที่รัก <3 ทั้งหลาย
พระบิดาทรงตรัสต่อเราไว้แล้วว่า

ในปลายยุคพลังงานเก่านี้
เราจักต้องเผชิญกับผู้ใช้วาจาเยาะเย้ย
ผู้ใช้ถ้อยคำถากถางอยู่เนืองนิจ

เพราะพวกเขาไม่เชื่อการกลับมาของเรา
พวกเขาไม่เชื่อข่าวสารการชำระโลก
พวกเขาไม่เชื่อเรื่องการสิ้นยุคของโลก
พวกเขาไม่เชื่อเรื่องคำพิพากษา
พวกเขาไม่เชื่อแผนที่โลกยุคพลังงานใหม่
พวกเขาไม่เชื่อในคำเตือนใดๆของเรา
พวกเขาไม่เชื่อว่าภัยธรรมชาติ
ต่างจากภัยพิบัติ

เพราะเขาเป็นแกะที่จำเสียงเจ้าของไม่ได้
เพราะเขาเป็นปลาที่รักสนุกไปวันๆ

เพราะเขาไม่เชื่อในสัจจะของเรา
แม้ปากเขาจะบอกว่ารักพระองค์จนสุดใจ
แต่เราก็มิได้หวั่นไหวไปตามลมปากนั้น

ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงขอกล่าวความจริงไว้ให้ท่านรู้ว่า

ในสามยุคที่ผ่านมา
พระองค์ทรงใช้น้ำสร้างความวินาศ
เพื่อชะล้างเมืองอธรรมบนแผ่นดินโลก
กับจิตวิญญาณมนุษย์ที่ไม่บริสุทธิ์ตลอดมา

ณ บัดนี้
วันเวลาแห่งการปิดยุคพลังงานเก่า
เพื่อนำมนุษย์กับโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
ใกล้จะมาถึงเต็มทีแล้ว

ท่านทั้งหลายจักต้องเตรียมตนเอง
กับจิตวิญญาณเพื่อการผจญภัยกันได้แล้ว
เครื่องมือผจญภัยนั้นพระบิดาทรงประทาน
ผ่านเรามาให้ท่านตั้งนานแล้ว
นั่นคือ #แก้วสองประการ

หนึ่ง คือ มหาสติ
สอง คือ ปณิธานแห่งนิพพาน

ท่านทั้งหลายต้องเร่งฝึกฝนการใช้งาน
ให้ชำนาญจนเป็นธรรมชาติของท่านให้ได้
ท่านจักต้องดำเนินชีวิตของท่าน
เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ในตนเอง
พร้อมปฏิบัติตนให้พระบิดาทรงพบเห็นว่า
ท่านเป็นผู้หนึ่งที่พยายามดำเนินชีวิต
อย่างไร้มลทินและปลอดจากคำตำหนิ
เพื่อรับรางวัล "ความรัก" จากพระองค์
เพราะความรักจากพระบิดาเท่านั้น
จักเป็นความรอดของพวกท่าน

แผ่นดินใหม่ ฟ้าใหม่
จักเป็นที่อยู่อาศัยของคนประพฤติธรรม
ขอท่านทั้งหลายจงอย่าปล่อยตัวและใจ
ให้มันลื่นไหลไปตามเส้นทางอธรรม
เหมือนกาลเวลาที่ผ่านมาเถิด

วันพิพากษาโลกได้มาถึงแล้ว
ปฏิบัติการชำระครั้งที่สี่นี้
จะทรงใช้ไฟเผาบนท้องฟ้า
แผ่นพสุธาจะใช้ไฟผลาญมลาย
พิกัดส่วนเกินจะสูญหายไปในนที
เพื่อสร้างฟ้าและแผ่นดินใหม่
ให้เป็นที่อยู่ถาวรสำหรับคนชอบธรรม

จะค่อยๆยกระดับทั้งความถี่
จะค่อยๆทวีความรุนแรง
พร้อมขยายพื้นที่กว้างไกลออกไปเรื่อยๆ
เพื่อเปิดโอกาสให้ท่านทุกคน
สร้างจิตสามนึกแห่งการเป็นคนดีศรีโลก
ด้วยตัวของท่านเองเพื่อความรอด

เพราะพระองค์มิประสงค์จะให้ผู้ใดพินาศ
จนกว่าประตูแห่งโอกาสบานสุดท้าย
จะถูกปิดลงอย่างสนิทแล้วเท่านั้น

กราบพระบาทพระบิดา
ที่ทรงพระเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-08-2017