20 มกราคม 2558

อนุตรธรรม: ความจริงอันสูงสุด


องค์จิตจักรวาลทรงเป็นผู้ใด

1.ทรงเป็นพระผู้อุบัติขึ้นมาด้วยพระองค์เอง

ในกาลก่อนที่พระองค์จะทรงอุบัติขึ้นนั้น 
ภายในจักรวาลซึ่งเป็นสนามพลังงานอันไพศาลนี้
เป็นเพียงสถานที่อันว่างโล่งเสมือนไร้ขอบเขตสิ้นสุด
แต่สถานที่อันว่างโล่งนี้ก็มิได้เป็นเพียงสถานที่อัน "ว่างเปล่า" เท่านั้น
เพราะแท้แล้วภายในความว่างโล่งนั้นก็ยังมีบางสิ่งดำรงอยู่เต็มไปหมด

บางสิ่งที่มีอยู่จริงแต่เหมือนไม่มีที่ว่านี้ก็คือ 
อนุภาคที่เป็นแก่นแท้ของสิ่งที่มีอยู่จริงแต่เหมือนไม่มีนั่นเอง

โดยสิ่งที่มีอยู่จริงแต่เหมือนไม่มีนี้ 
เราจะขอเรียกว่า "มวลของความว่าง"
และตัวตนแก่นแท้ผู้ให้กำเนิดสิ่งที่เป็นมวลของความว่างนี้
เราจะเรียกว่า "อนุภาคแห่งพระเจ้า"
เพราะอนุภาคแห่งพระเจ้าผู้เป็นแก่นแท้ของความว่างนี่แหละ 
คือ พระอำนาจแห่งพระเจ้า อันเป็นพระอำนาจ
ที่ทรงใช้กำหนดสร้างทุกสรรพสิ่งในทุกมิติขึ้นไว้
ภายในสนามพลังงานอันกว้างใหญ่ไพศาล
จนเป็นพระมหาอาณาจักรของพระองค์ขึ้นมาได้
ตราบกระทั่งทุกวันนี้

ในกาลอดีตนั้น....ที่ว่างโล่งดังกล่าวนี้
จะมีสรรพสิ่งที่เรียกว่า อนุภาคแห่งพระเจ้า ดำรงอยู่อย่างมากมาย
โดยทั้งหมดนั้นจะพากันเหวี่ยงหมุนไปรอบจุดศูนย์กลางเดียวกัน
และลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาและตลอดมา
แต่จะเป็นระยะเวลายาวนานเท่าใดนั้นมิอาจมีผู้ใดจักหยั่งรู้ได้

ขณะที่อนุภาคแห่งพระเจ้าทั้งหมดทั้งมวล
พากันเคลื่อนที่ไปรอบๆจุดศูนย์กลางของการเหวี่ยงหมุน
ก็จะพากันเคลื่อนย้ายตนเองเข้าไปกองรวมตัวกันอยู่
ตรงจุดศูนย์กลางของการหมุนนั้นหนาแน่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เสมือนมีแรงดึงดูดจากจุดศูนย์กลางที่ส่งออกไป
ทำการเหนี่ยวรั้งทุกอนุภาคจากทุกสารทิศ
ให้เคลื่อนไหลเข้ามารวมตัวกัน
จนยังผลให้อนุภาคแห่งพระเจ้ามีการบีบอัดตัวกัน
อย่างหนาแน่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เพราะการบีบอัดตัวกันอย่างหนาแน่นของแก่นแท้
ของมวลแห่งความว่าง หรือ อนุภาคแห่งพระเจ้า
ตรงบริเวณจุดศูนย์กลางนี่เอง
จึงก่อให้เกิด มวลของความว่าง ขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน

เมื่อมีมวลของความว่างจำนวนมากมายบังเกิดขึ้น
มวลของความว่างทั้งหมดนี้ก็จะมีการปฏิสัมพันธ์กัน
ตรงบริเวณจุดศูนย์กลางของการเหวี่ยงหมุนนี้

พลันสรรพสิ่งใหม่อันประกอบด้วย
มวลทั้งหมดของความว่างจึงได้อุบัติขึ้น

นั่นคือการอุบัติขึ้นของ พระเจ้า 
หรือ องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่ นั่นเอง

ทั้งหมดที่เรากล่าวไว้นี้
เป็นความจริงที่จริงแท้ในระดับ อนุตรธรรม 
ซึ่งไม่ว่าท่านทั้งหลายจะใช้ปัญญาของสมองซีกใด
ก็เข้าถึงเองมิได้ หยั่งรู้เองมิได้ ล่วงรู้เองก็มิได้
นอกจากพระบิดาผู้ทรงเป็นจิตแห่งจักรวาลจะทรงไขขานเท่านั้น

2.องค์จิตจักรวาลทรงเป็นอนัตตา

จากความรู้ข้างต้นนั้น 
ท่านทั้งหลายจึงได้รู้ว่า

1.องค์จิตจักรวาล ทรงอุบัติขึ้นด้วยพระองค์เอง
จาก มวลทั้งหมดของความว่าง ที่มีอยู่จริงภายในที่ว่างโล่งนั้น
โดยไม่ต้องมีผู้ใดสร้างหรือปรุงแต่งให้พระองค์ทรงถือกำเนิดขึ้นมาเลย

2.มวลของความว่างทั้งหมดของพระองค์
ก็ล้วนอุบัติขึ้นมาจาก อนุภาคแห่งพระเจ้า ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้
ของผู้ให้กำเนิด มวลแห่งความว่าง ในแต่ละมวลนั่นเอง

3.แต่เดิมมานั้นอนุภาคแห่งพระเจ้า 
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของมวลของความว่าง
เป็นสรรพสิ่งที่มีอยู่อย่างกระจัดกระจายทั่วไป
ในท่ามกลางความว่างนั้นแล้ว

4.ดังนั้น ทั้งอนุภาคแห่งพระเจ้าและมวลของความว่าง
จึงล้วนเป็นสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่จริงและมีอยู่จริงทั้งสิ้น

เพียงแต่ว่าแม้จะมีอยู่จริงก็เหมือนไม่มี

5.การมีคุณสมบัติเป็นสรรพสิ่งหนึ่งซึ่งระบุตัวตนรูปลักษณ์ไม่ได้
ทั้งยังมีการเคลื่อนไหลไปเรื่อยๆไม่หยุดนิ่งเช่นนี้เอง
เราจึงจัดให้สรรพสิ่งดังกล่าวนี้มีคุณสมบัติเป็น "อนัตตา"

6.เมื่อสรรพสิ่งซึ่งเป็นอนัตตาเป็นเหตุให้ 
องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่ ซึ่งเป็นอีกสรรพสิ่งหนึ่ง
ทรงอุบัติขึ้นมาได้ โดยที่ทรงมีตัวตนปรากฏขึ้นมาจริง
อีกทั้งยังมีรูปลักษณ์และคุณสมบัติเฉพาะพระองค์จริงๆ

ด้วยเหตุนี้เององค์จิตจักรวาลจึงทรงเป็นสรรพสิ่งหนึ่ง
ซึ่งมี อัตตา หรือ มีตัวตนจริงๆ

7.ดังนั้น...
เราจึงสามารถที่จะกล่าวต่อท่านทั้งหลายได้แล้วว่า

สรรพสิ่งที่เป็นอนัตตา คือ มวลของความว่างทั้งหมดนั้น
สามารถเป็นเหตุให้เกิดการสร้างสรรพสิ่งใหม่ที่มีอัตตาขึ้น
คือ องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่ โดยแท้

นอกจากนั้น...
เรายังจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายได้อีกว่า
สรรพสิ่งที่มีอัตตา ดังเช่น องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่ นั้น
พระองค์ก็ทรงมีคุณสมบัติเป็น อนัตตา ด้วยเช่นเดียวกัน
เนื่องจากมวลของความว่างทั้งหมดของพระองค์มิเคยรู้หยุดนิ่ง
แต่จะเคลื่อนไหลไปรอบๆจุดศูนย์กลาง
ของการเหวี่ยงหมุนหรือแกนหมุนอย่างต่อเนื่องเรื่อยไปนั่นเอง

3.ทรงเป็นจิตแห่งจักรวาล

เนื่องจากพระองค์ทรงอุบัติขึ้น 
ณ จุดศูนย์กลางการเหวี่ยงหมุนของสรรพสิ่งที่เป็นความว่าง

จุดศูนย์กลางการเหวี่ยงหมุนจึงหมายถึง
แกนหรือแก่นของสรรพสิ่งที่เป็นความว่างนั้นนั่นเอง

ดังนั้น....
หากพวกท่านจะถามหา
อัตตาตัวตนรูปลักษณ์ขององค์จิตจักรวาล
ที่ทรงเป็นสรรพสิ่งหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติเป็นอนัตตาแล้ว
ท่านก็ต้องรับรู้และทำความเข้าใจให้ได้ว่า

1.องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่ทรงเป็นทั้งหมด
ของสถานที่อันว่างโล่ง กว้างใหญ่เสมือนหนึ่งไร้ขอบเขต

2.องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่ทรงมีแก่นแท้
ที่เป็นอนุภาคแห่งพระเจ้าทั้งหมดเป็นนิวเคลียสอยู่ที่แกนกลาง
เราจึงกราบถวายพระนามต่อพระองค์ว่า จิตจักรวาล 

3.องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ทรงเป็นที่ว่างโล่งทั้งหมดรวมทั้งส่วนที่เป็นนิวเคลียส
ตรงจุดศูนย์กลางของการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองด้วย

ดังนั้น...
เราจึงกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระองค์ทรงเป็น พระเจ้า ผู้เป็นใหญ่แต่เพียงพระองค์เดียว
ในพระมหาอาณาจักรแห่งความว่างของพระองค์

4.ขณะที่ทั้งรูปธรรมของพระองค์กำลังเหวี่ยงหมุนไป 
รอบๆแกนกลางของการเหวี่ยงหมุน
ด้วยอัตราเร็วในการเหวี่ยงหมุนสูงสุดนั้น
มวลทั้งหมดของความว่าง ภายในรูปธรรมของพระองค์
จะถูกแรงเหวี่ยงหมุนกระทำให้เกิดการเคลื่อนไหลไป
ในทิศทางของ ดาว 12 แฉก ซึ่งอยู่ภายในวงกลมเดียวกัน
หรือเป็นรูป สามเหลี่ยมด้านเท่า 4 รูป 
ที่มีจุดศูนย์กลางร่วมกันและมุมทั้ง 12 มุมไม่ซ้อนทับกันนั่นเอง 

4.ทรงเป็นพระผู้สร้าง

เบื้องแรกที่พระองค์ทรงอุบัติขึ้น
จนมี พระจิตสำนึก ที่ท่านทั้งหลายรวมเรียกว่า ตัวรู้ 
เป็นของพระองค์เองแล้วนั้น
พระองค์จึงได้ทรงกำหนดพระจิต
ทำการสั่นสะเทือนตรงแก่นแท้เพื่อถามตนเองให้ได้รู้ว่า

พระองค์ เป็นใคร
พระองค์มาประทับอยู่ตรงนี้ ได้อย่างไร
ที่พระองค์ประทับอยู่ตรงนี้ คือที่ไหน

จนแล้วจนเล่าพระองค์ก็มิอาจเข้าถึงคำตอบใดๆได้
จึงทรงนำพาพระองค์เองเคลื่อนย้ายไปจากพิกัดเดิมนั้น
เพื่อหมายที่จะค้นหาคำตอบในสามคำถามนั้นให้ได้รู้
แต่พระองค์ก็ไม่สามารถเข้าถึงคำตอบที่ทรงประสงค์อยู่เช่นเดิม
พระองค์จึงทรง "รำพึง" หรือ กล่าวกับพระองค์เองว่า

ถ้าหากมีรูปธรรมอื่นใดสักรูปธรรมหนึ่งที่เหมือนกันกับพระองค์ 
ดำรงอยู่ใกล้ๆแถวๆนั้นก็น่าจะดีไม่น้อยเลย
เพราะพระองค์จะได้มีรับสั่งถามรูปธรรมนั้นให้ได้รู้

พลันทันใดที่พระองค์ทรงรำพึงดังความที่กล่าวไว้นั้นเสร็จสิ้น
ก็เกิดมีรูปธรรมหนึ่งซึ่งรูปลักษณ์เหมือนพระองค์ทุกประการ
อุบัติขึ้นมาสมดั่งรำพึงได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง
เราขอถวายพระนามรูปธรรมที่ทรงสร้างใหม่ดังกล่าวนี้ว่า
"เงาแห่งองค์จิตจักรวาล"

ท่านทั้งหลายจึงตัองรู้ว่า
จากประสบการณ์แรกขององค์จิตจักรวาลนี่เอง
ทำให้พระองค์ได้ทรงเรียนรู้ตนเองว่า
อนุภาคแห่งพระเจ้าอันเป็นแก่นแท้ในพระองค์นั้น
มีพลังอำนาจมหัศจรรย์แห่งการสร้างใหม่เป็นคุณสมบัติอยู่
โดยจะทรงสามารถกำหนดสร้างสรรพสิ่งใดๆ
ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ได้เสมอ

ดังนั้น...
องค์จิตจักรวาลจึงทรงเป็น "พระผู้สร้าง" 
ที่มีอนุภาคแห่งพระเจ้าเป็นพระอำนาจในพระองค์โดยแท้

เอเมน....สาธุ.....

ป.วิสุทธิปัญญา
20-01-2015













13 มกราคม 2558

พระโอวาทพิเศษ: 12 มกราคม 2558



มนุษย์กับโลกต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน

มนุษย์แห่งโลกเสรีที่รักทั้งหลาย
เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาทรงกำหนดให้
ท่านทั้งหลายกับดาวเคราะห์โลก
ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน

ถ้าจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับโลกได้
ท่านทั้งหลายจักต้องกระทำที่จิตสำนึกตนเองเท่านั้น
ด้วยการปฏิบัติตนดังนี้

1.มองทุกสิ่ง ทุกคน ทุกเรื่องราว ในแง่ดีเสมอ
2.มีความรู้สึกนึกคิดที่ดีต่อทุกเงื่อนไขที่เผชิญ
3.อย่าคิดแบบจิตมนุษย์ เช่น ใครร้ายมาจะร้ายตอบ 
ไม่ชอบใจใครก็จะเกลียดหรือรังเกียจ 
และไม่พอใจใครก็จะโกรธ ขึ้ง ขุ่น เคือง เป็นต้น

4.มีอารมณ์ดีเสมอ อย่าจิตตกง่ายเมื่อถูกยั่วยุ
5.มีจิตใจเมตตา กรุณา และมีมุทิตาจิตเสมอ
6.รู้จักอดทน อดกลั้น และให้อภัย ต่อผู้อื่นได้ทุกคน
7.มีความรักและปรารถนาดีต่อทุกๆคน
8.มีความพร้อมที่จะเป็นมิตรกับผู้อื่นเสมอ
9.ไม่เป็นเงื่อนไขด้านลบของผู้อื่น
10.รักโลกที่ตนเหยียบยืน

บัญญัติ 10 ประการที่กล่าวนี้
ท่านสามารถปฏิบัติกันในชีวิตประจำวันได้อย่างง่ายดาย

ความรักบริสุทธิ์จากจิตใจท่าน
ปัญญาญาณที่สั่นสะเทือนเพื่อการคิดบวก
รวมทั้งการกระทำใดๆที่ดีงามในชีวิตต่อผู้อื่นและโลก

มันคือการสั่นสะเทือนทาง "จิตตปัญญา" ด้านบวก
ที่จะนำไปสู่การแสดงออกหรือการกระทำด้านบวก
ของท่านทั้งหลายบนโลกนี้ ที่จะกระทำต่อตนเอง
ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อทุกสรรพสิ่ง และต่อโลกของท่าน

โดยมันจะสั่นสะเทือนร่วมกันไปในคราเดียวกันนั่นเอง
ซึ่งมันจะก่อให้เกิดพลังอำนาจในมิติทางพลังงาน
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่จะไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนที่แกนโลก
เพื่อสร้างจิตสำนึกของโลกขึ้นมาให้ได้
ด้วยการกระตุ้นให้มันสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
จากพลังจิตตปัญญาหรือจิตสำนึกด้านบวกของพวกท่าน
ที่กระทำผ่านบัญญัติทั้ง 10 ประการที่กล่าวนั้น

ดังนั้น......
บัญญัติทั้งสิบประการจึงเสมือนเป็นวิธีการทางเท็คนิก
ซึ่งเรายินดีที่ได้กล่าวความจริงมาให้ท่านได้รับรู้ไว้ทั้งหมดนั้น

จงระลึกเสมอว่า....
จิตสำนึกของโลกจะเกิดขึ้นมาได้
เพราะท่านทั้งหลายช่วยกันสั่นสะเทือนมันขึ้นมานั่นเอง
โดยใช้ความรักและความคิดด้านบวก
ที่ท่านมีต่อกันและกันเป็นเครื่องมือ

จงระลึกเสมอว่า....
จิตสำนึกของโลกจะตกต่ำดิ่งลงสู่หายนะทันที
หากท่านทั้งหลายรักกันไม่ได้ ให้กันไม่เป็น

การเห็นแก่ตัว 
ก้าวล่วงซึ่งกันและกัน
การเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้
การทะเลาะเบาะแว้งกัน ขัดแย้งกัน
การทำร้ายกัน ฆ่ากัน เกลียดชังกัน
การทำศึกสงครามกัน

พฤติกรรมเหล่านี้มีแต่จะนำโลกเข้าสู่หายนะ
เพราะดาวเคราะห์โลกจะเสียสมดุลรุนแรง
จนเกิดภัยพิบัติรุนแรง
ถึงขั้นแผ่นดินมากมายจะสูญหายไปจากแผนที่โลก

ถึงขั้นผู้คนบนโลกจำนวนมากมาย
จะพากันล้มตายอย่างอเนจอนาถ

มนุษย์โลกที่รักทั้งหลาย
แม้มหันตภัยจะเกิดรุนแรงอย่างไร
ดาวเคราะห์โลกดวงนี้จะไม่มีวันแตกดับหรอก
พระบิดาจะทรงยอมให้แตกสลายไม่ได้
เพราะดาวโลกทำหน้าที่เป็นผู้ค้ำจุนเอกภพ
โดยมีมนุษย์ สัตว์ พืช และสิ่งมีชีวิตในระบบโลก
เป็นกลจักรสำคัญในภารกิจหลักนี้

มนุษย์นี่แหละ....
จะต้องสติแตกกันเอง ในเร็ววัน!
เพราะท่านจะต้องตื่นตกใจกลัวมหาภัยพิบัติทุกรูปแบบ
ที่มันจะทวีความถี่และทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ประดาช่างเท็คนิกจะจัดสรรให้

ที่มันไม่เคยเกิดภัยพิบัติมันก็จะเกิด
ที่ๆมันเคยเกิดมาแล้วมันก็จะมาเกิดซ้ำอีก
ที่ๆเคยเกิดแบบเบาะๆแค่เคาะเตือนมันก็จะสะเทือนแรงขึ้น

เร็วเข้าเถอะพวกท่าน
โดยเฉพาะรายที่ยังทำตัวเหลวไหล
โดยไม่สั่นไหวและไม่ใส่ใจในคำเตือนของเรา
เสมือนท่านจะท้าทายมัจจุราชหรือปานนั้น.....
เพราะขณะนี้โลกกำลังป่วยหนัก
จักต้องรักษาเป็นการด่วนแล้ว

แผ่นดินที่ไหว ภูเขาไฟที่ระเบิด
การเกิดจลาจลด้วยสงครามกลางเมือง
ดินฟ้าอากาศที่วิปริตผิดธรรมชาติจากที่เคยเป็น
โรคร้ายที่ระบาดพิฆาตชีวิตคนไปมากมายเพราะขาดยา
ศาสนาที่ฟูเฟื่องก็มีแต่เรื่องชวนธรรมเสื่อม
มายาเหล่านี้...ท่านทั้งหลายจักควรใส่ใจ
เพราะมันจะคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวท่านเรื่อยๆ
ใกล้เข้ามาช้าๆ.....

เอเมน....สาธุ......

ป.วิสุทธิปัญญา
13-01-2015
















08 มกราคม 2558

Green House Effect


สภาวะเรือนกระจก

สภาวะเรือนกระจก

เป็นปรากฏการณ์ที่วิปริตผิดธรรมชาติอย่างหนึ่งของโลก

อันเกิดจากการที่ในชั้นบรรยากาศของโลก
มีก๊าซซึ่งน้ำหนักมวลมากๆหลายชนิด ลอยสูงขึ้นไปรวมตัวกันอยู่
แล้วปกคลุมหุ้มห่อโลกทั้งระบบเอาไว้
โดยไม่อาจหลุดลอยพ้นออกไปในอวกาศ
เหมือนเช่นอดีตกาลที่ผ่านมา

ยิ่งนับนานวันผ่านไป
ความหนาแน่นของสภาวะเรือนกระจกดังกล่าวนี้
จะยิ่งมีความหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่มันมีความหนาแน่นเพิ่มมากขึ้น
น้ำหนักมวลของประดาก๊าซเรือนกระจกที่รวมตัวกันเหล่านี้
มันก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

ในอนาคตข้างหน้า
ระดับความสูงของสิ่งที่เรียกว่า "เรือนกระจก" นี้
มันจะค่อยๆลดระดับต่ำลงมาเรื่อยๆ
คล้ายเมฆฝนหนาๆที่จะค่อยๆลอยต่ำลงมาหาพื้นโลก
ในระดับแค่ยอดตึกสามสิบสี่สิบชั้นนั่นแหละ
ถ้าหากว่ามนุษย์โลกตีปัญหานี้ไม่แตก
แล้วแก้ไขปัญหานี้ไม่ตก

ก๊าซเรือนกระจก 
เป็นก๊าซที่จะมีน้ำหนักมวลมากกว่าก๊าซปกติทั่วไป

ตัวอย่างของก๊าซเรือนกระจก
ที่สร้างปัญหา ภาวะโลกร้อน พอสังเขป
มีดังต่อไปนี้ คือ

1. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์: CO2
ประกอบด้วยก๊าซ 2 ชนิด มารวมตัวกันเป็น 1 โมเลกุล
คือ คาร์บอน (C) 1 ตัว กับ ออกซิเจน (O) 2 ตัว 
รวมกันเป็น CO2

2. ก๊าซมีเทน: CH4
ประกอบด้วยก๊าซ 2 ชนิด มารวมตัวกันเป็น 1 โมเลกุล
คือ คาร์บอน (C) 1 ตัว กับ ไฮโดรเจน  (H) 4 ตัว
รวมกันเป็น CH4

3.ก๊าซไนตรัสออกไซด์: N2O
ประกอบด้วยก๊าซ 2 ชนิด มารวมตัวกันเป็น 1 โมเลกุล
คือ ไนโตรเจน (N) 2 ตัว กับ  ออกซิเจน 1 ตัว
รวมกันเป็น N2O

4.ก๊าซฮาโลคาร์บอน: HC
ประกอบด้วยก๊าซ 2 ชนิด มารวมตัวกันเป็น 1 โมเลกุล
ซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิดมาก

5.ก๊าซโอโซน: O3
ประกอบด้วยก๊าซออกซิเจน (O) 3 ตัว
มารวมตัวกันเป็น 1 โมเลกุล

6.ก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์: CO
ประกอบด้วยก๊าซ 2 ชนิด มารวมตัวกันเป็น 1 โมเลกุล
คือ คาร์บอน (C) 1 ตัว กับ ออกซิเจน (O) 1 ตัว 
รวมกันเป็น CO

7.ก๊าซมวลหนักจำพวก NO, NO2 และ SO2
ก๊าซเหล่านี้มีส่วนทำให้เกิดกรดบางชนิดในชั้นบรรยากาศ
แล้วตกลงมาพร้อมกันฝน ที่เรียกว่าฝนกรด หรือฝนพิษ นั่นเอง
กรดไนตริก และ กรดซัลฟูริค หรือ กรดกำมะถัน เป็นต้น

ทำไมก๊าซเหล่านี้
ไม่หลุดลอยออกไปในอวกาศ


แต่เดิมมานั้น 
โลกไม่เคยมีปัญหาเหล่านี้เลย
เพราะเหตุว่า

1.ก๊าซมวลหนักดังกล่าวไว้ข้างต้น
มิได้ถูกผลิตขึ้นมามากมายเหมือนโลกในยุคปัจจุบันนี้

2.โลกยุคอุตสาหกรรมสมัยใหม่
โดยมนุษย์ที่ขาดสติและไร้จิตสำนึก
ที่เห็นแก่ประโยชน์ทางธุรกิจการค้า
จากผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต่างๆ
ได้พากันสร้างมลพิษที่เป็นก๊าซมวลหนักทั้งหลาย
ขึ้นมาในระบบโลก

ยิ่งมนุษย์เจริญก้าวหน้าทางวัตถุเท็คโนโลยีมากเท่าใด
บรรดาก๊าซมวลหนักซึ่งเป็นก๊าซพิษ
ก็จะก่อมลภาวะให้แก่โลกมากขึ้นเท่านั้น
เพราะก๊าซมลภาวะที่เป็นพิษเหล่านี้
เป็นกากของเสียในกระบวนการผลิตนั่นเอง

3.เดิมก๊าซมวลหนักที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติในระบบโลก
ไม่เคยสร้างปัญหาภาวะเรือนกระจกดังเช่นปัจจุบัน
เพราะว่ามันมีจำนวนน้อยมาก
และพระบิดาได้ทรงกำหนด
กระบวนการสร้างความสมดุลเอาไว้ให้แล้ว

4.จนล่วงมาถึงปลายยุคพลังงานเก่าในขณะนี้ปรากฏว่า
โลกมีปริมาณก๊าซมวลหนักที่ถูกผลิตสร้างขึ้นมาใหม่
ทวีจำนวนขึ้นมาอย่างมากมายหลายเท่านัก

ในขณะที่กลไกกระบวนการสร้างสมดุลของระบบ
ที่พระบิดาทรงกำหนดติดตั้งเอาไว้ให้แล้วนั้น
มีการเสื่อมสมรรถภาพเกิดขึ้นจนแทบจะใช้การไม่ได้

5.ความเสื่อมที่ว่านี้ก็คือ
กระบวนการผลิตก๊าซออกซิเจน ในแกนโลก
กำลังมีปัญหาอย่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยมันทำงานไม่ราบรื่น และทำได้ไม่เต็มพลัง
จนยังผลให้ปริมาณก๊าซออกซิเจนในระบบโลก
ที่ถูกผลิตสร้างขึ้นมาจากแกนโลกภายใต้ฝ่าเท้าของมนุษย์
มีความหนาแน่นน้อยลง คือ เจือจางมาก หรือเสียสมดุลไป

6.กระบวนการสร้างสมดุลของก๊าซในระบบโลก
ที่พระบิดาทรงกำหนดไว้ให้ก็คือ
ทรงให้ใช้ ก๊าซออกซิเจน  ปริมาณมากมาย
ที่ถูกผลิตสร้างขึ้นจากจิตสำนึกแห่งรัก
ของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย
ในส่วนที่เหลือใช้ของมนุษย์ สัตว์ และพืชแล้ว
ที่มีปริมาณความหนาแน่นสูงกว่าก๊าซมวลหนัก
ซึ่งมนุษย์ผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมและควันพิษนั่น

โดยทรงกำหนดให้ก๊าซออกซิเจนที่เป็นก๊าซเบากว่า
ช่วยทำหน้าที่ผลักดันก๊าซมวลหนักหรือก๊าซพิษ
ให้มันลอยตัวสูงขึ้นไปในชั้นบรรยากาศเรื่อยไป
จนพวกมันสามารถพากันหลุดพ้นออกไป
จากแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของโลกนี้
เป็นผลสำเร็จได้ในที่สุด

7.ดังนั้น การที่โลกทุกวันนี้มีปัญหาก๊าซเรือนกระจก
จนก่อภาวะโลกร้อนขึ้น
แล้วมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่
ของมนุษย์โลกทั้งระบบนี้
เป็นเพราะสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ

ประการแรก....
เพราะโลกขาดปริมาณก๊าซออกซิเจน
จนจวนถึงขั้นวิกฤติแล้ว
เนื่องจากโรงงานผลิตที่แกนโลกทำงานได้ไม่เต็มที่

ประการที่สอง....
เพราะมนุษย์ผลิตสร้างก๊าซมวลหนัก
หรือก๊าซเรือนกระจก หรือ
ผลิตก๊าซพิษที่มีปัญหาพวกนี้ออกมา
มากขึ้นเรื่อยๆอย่างไร้จิตสำนึก

ทำไมโรงงานผลิตออกซิเจน
ที่แกนโลกจึงมีปัญหา

ทุกท่านจะต้องรู้ว่าในแกนโลกนั้น
พระบิดาทรงติดตั้งก้อนธาตุออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% ไว้
มีลักษณะเหนียวหนืดคล้ายตังเม

อะตอมของธาตุออกซิเจนในแกนโลกนี้
จะอ่อนไหวต่ออนุภาคประจุไฟฟ้าบวก
ที่มวลมนุษย์ สัตว์ และพืช ทำการผลิตสร้างร่วมกัน
ด้วยการสั่นสะเทือนแก่นแท้ของตนในทุกวินาที
ในมิติแห่งรักบริสุทธิ์ที่ท่านทั้งหลายและทุกสรรพสิ่ง
ต่างหยิบยื่นให้แก่กันและกันเสมอในยามตื่น

ทันทีที่พลังงานแห่งรัก
จากการผลิตสร้างของพวกท่าน
ถูกเหวี่ยงออกมาภายนอกร่างกายแล้ว
คลื่นพลังงานด้านบวกนี้
จำนวน 1 % จะถูกเหนี่ยวรั้งลงไป
ทำปฏิกริยานิวเคลียร์กันกับอะตอมธาตุออกซิเจน
ที่แกนโลกเสมอ

มันจะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นทันที
ด้วยปฏิกริยาที่เรียกว่า Nuclear Fission 
และยังเป็นแบบลูกโซ่อีกด้วย

ปฏิกริยาในกระบวนการที่ว่านี้นี่เอง
ที่ขณะนี้กำลังขัดข้องหนัก
เพราะมนุษย์โลกส่วนใหญ่
รักกันไม่ได้ ให้กันไม่เป็น
มิหนำซ้ำยังพากันผลิตพลังลบออกมาเสียอีก
ทั้งกิเลสหนา ตัณหาเยอะ 
เลอะเทอะไปด้วยความงมงาย

จงระวังปัญหาใหญ่
ที่โลกกำลังจะสั่งสอนมนุษย์

ปัญหาใหญ่ที่มนุษย์โลกไม่รู้ว่าตนยังไม่รู้

1.การที่ตนรักกันไม่ได้ ให้กันไม่เป็นนั้น
มันจะก่อปัญหาภาวะโลกร้อนให้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ตลอดไป

2.แม้จะหยุดผลิตสร้างก๊าซพอลลูชั่นควันพิษทั้งหลายขึ้นมาใหม่
โดยรณรงค์กันได้จริงๆก็ตาม แต่ปัญหาภาวะโลกร้อนเดิม
อันเป็นปัญหาที่ประสบอยู่ก็ไม่มีทางจะแก้ไขได้

3.ความหนาแน่นของก๊าซเรือนกระจกที่ห่อหุ้มโลกเอาไว้นั้น
สักวันหนึ่งมันจะเพิ่มมากขึ้น และจะพากันลอยตัวต่ำลง
มันจะยังผลให้เพดานหรือหลังคาโลกต่ำเตี้ยเรี่ยลง

ผลลัพธ์คือ........ 
มนุษย์จะพากันอึดอัดมากขึ้น หายใจไม่สะดวก
เพราะโลกมีที่ว่างที่จะเก็บก๊าซออกซิเจนให้หายใจน้อยลง

ผลลัพธ์คือ........
มนุษย์จะต้องแย่งอากาศกันหายใจ
เพราะปริมาณการผลิตจากโรงงานที่แกนโลกน้อยลง

ร่างกายมนุษย์จะพากันขาดออกซิเจน
จนเกิดอาการเจ็บป่วย ทรุดโทรม เสียสติง่าย สมองทึบ

สัตว์น้ำจืดน้ำทะเลจะพากันตายลอยเป็นแพ จนน้ำเน่าเสีย
สาหร่ายสีเขียวจะสูญหาย
สาหร่ายสีแดงจะเติบโตแทน
มนุษย์จะจุดไฟก่อไฟยากขึ้น
พืชพรรณไม้ทั้งหลายจะมีปัญหาด้านการเติบโต

ผลลัพธ์คือ.......
ก้อนเมฆชั้นต่ำ เช่น เมฆฝน เมฆความชื้นสูง และเมฆที่มีประจุลบ
จะพากันลอยตัวต่ำลงมาเรื่อยๆ
อันเกิดจากการถูกกดดันของก๊าซเรือนกระจก
จนยังผลให้มนุษย์จะต้องเผชิญกับ
ปัญหาภูมิอากาศวิปริตแปรปรวนรุนแรง

มนุษย์จะต้องเผชิญกับปัญหาฝนฟ้าคะนองและฟ้าผ่า
เสมือนเครื่องบินที่บินฝ่าพายุและเมฆฝน
ที่สนามแม่เหล็กกำลังแปรปรวน
โดยเสี่ยงต่อการถูกฟ้าผ่า

ผลลัพธ์ก็คือ.....
แผ่นดินโลกจะสั่นไหวรุนแรงไปทั่ว จนคาดคะเนไม่ได้
เนื่องจากการระเบิดที่แกนโลกไม่สม่ำเสมอ
หรือสูญเสียความสมดุลไป

ท่านทั้งหลายอย่าถามว่า
เหตุการณ์ทั้งหมดที่เรากล่าวนี้ จริงหรือไม่
เพราะเราเป็นผู้กล่าวความจริงเสมอ

ท่านทั้งหลายอย่าถามเราว่า
เหตุการณ์ทั้งหมดที่เรากล่าวไว้นี้ มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
ช้าหรือเร็ว....เพราะเรามิได้เป็นผู้กำหนด
มนุษย์โลกทั้งหลายนี่แหละเป็นผู้กำหนด

พระบิดาทรงบัญชาให้เรากล่าวความจริงทั้งหมดนี้
เพื่อบันทึกไว้เป็นความรู้คู่ดาวเคราะห์โลก
สำหรับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่กันต่อไป

กาลเวลาจักเป็นเครื่องพิสูจน์
ห้องเรียนนี้จักเป็นตู้พระคัมภีร์แห่งจิตจักรวาล
ที่ใครๆก็สามารถเข้ามาอ่านเข้ามาเรียนรู้ได้

จงเข้าห้องเรียนนี้มาเรียนเพื่อได้รู้....
จงอย่าเข้ามาเรียน.....เพื่อจะเชื่อหรือไม่เชื่อ
จงใช้สติปัญญาของท่านพิจารณาเถิด

เอเมน....สาธุ.......

ป.วิสุทธิปัญญา
8-01-2015








07 มกราคม 2558

ทำไมคนดีมักเป็นเหยื่อคนชั่ว



คนชั่วฉลาดคิด
แต่คนดีไม่ชอบคิด

นักเรียนในห้องเรียน ป.วิสุทธิปัญญา ทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายได้รับรู้
เพื่อการเรียนรู้ให้รู้แจ้งไว้อีกอย่างหนึ่งว่า

ทำไมคนดีๆจึงมักจะตกเป็นเหยื่อถูกล่อลวงของคนชั่ว

เพราะมันเป็นเวรกรรมของคนดีๆอย่างท่าน
ที่เคยกระทำการล่อลวงคนพวกนี้ไว้ตั้งแต่ภพชาติก่อน
หรือเป็นเพราะประสบกับ "เคราะห์กรรม"
ที่จับพลัดจับผลูให้มารู้จักคบหาสมาคมกับคนพวกนี้กันแน

ที่ผ่านมาพวกท่านทั้งหลายที่เป็นคนดี
หากเมื่อใดก็ตามถ้าท่านถูกกระทำมิดีมิร้ายโดยคนชั่ว
พวกท่านก็มักจะพากันรุมด่าประนามหรือตำหนิติเตียนคนชั่
พวกท่านก็มักจะพยายามเอาเรื่องเอาความคนชั่ว
พวกท่านก็มักจะพยายามต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้าน คนชั่วพวกนั้น
นั่นคือ "ความจริง" ที่เราล้วนต่างมองเห็นกันอยู่

ทานทราบหรือไม่ว่า....
การที่ท่านพยายามจะเอาความคนชั่วพวกนั้น
มันหมายความว่าตัวท่านนั้น

1.เสมือนต้องการแก้แค้น หรือเอาคืน 
เพราะถูกทำชั่วก่อน.......

โดยท่านมักจะตอบสนองคนชั่ว
ด้วยการทำชั่วตอบแทนเขากลับไป

โดยที่ท่านเข้าใจว่า
การไม่หาเรื่องใครก่อน 
การไม่ทำชั่วไม่ทำตัวเกเรกับใครก่อน
นั่นคือการเป็นคนดีในความหมายของท่านแล้ว

พฤติกรรมแบบนี้มันไม่ต่างจากแนวคิดที่ว่า

ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าโวย

มึงทำกูได้ กูก็ทำมึงได้มั่งสิวะ

บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นต้องชำระ

หนามยอก ต้องเอาหนามบ่ง


แนวคิดเหล่านี้เป็นแนวคิดที่ผิดมาก
เพราะทั้งๆที่รู้อยู่ว่าตัวท่านเองไม่พอใจคนๆนั้นมาก
ด้วยเหตุเพราะเขาทำชั่วต่อตัวท่าน
และเพราะรู้ว่าเขาชั่วตัวท่านจึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก

นั่นย่อมแสดงว่าตัวท่านเองนั้นน่ะก็รู้ว่า......
"ความชั่วนั้นมันไม่ดี" 
เมื่อรู้ว่าไม่ดีท่านจึงไม่ชอบ
ถ้าใครๆที่รู้ว่าไม่ดีเขาก็ต้องไม่ชอบเหมือนท่านเช่นกั

แต่นี่กลับปรากฏว่า
ท่านมักจะทำชั่วตอบสนองต่อคนที่ทำชั่วกับท่านก่อนเสมอ

แล้วอย่างนี้....

ทั้งคนชั่วคนนั้นกับตัวท่านเอง
ต่างก็ชั่วเหมือนกันใช้มั้ยล่ะนี่....


แต่เขาคนนั้นชั่วโดยไม่รู้ตัวว่าชั่ว
เพราะขาดสติหรือเป็นสันดาน
ส่วนตัวท่านน่ะกลับทำชั่วตอบสนองเขาไปทั้งๆที่รู้อยู่ว่าชั่ว
ถ้าถามว่าแล้วอย่างนี้ "ใครชั่วกว่า"
ท่านพอจะคิดหาคำตอบมาตอบเรากันได้มั้ย?
ท่านจะตอบเราว่าอย่างไรดี

2.การที่ท่านพยายามจะแก้แค้นเอาคืนคนชั่ว
เพราะท่านลืมไปว่า........ 

พวกเขาคนชั่ว คือ ครูของท่าน


เป็นครูที่จะมาช่วยสร้างเงื่อนไขให้ท่านเกิดการเรียนรู

เป็นครูที่จะสอนให้ท่านให้เกิดการเรียนรู้ว่า 
ทำไมคนดีๆอย่างท่านจึงต้องถูกคนชั่วหลอกลวงด้วย

เป็นครูที่จะมาสอนท่านให้เกิดการเรียนรู้ว่า
คนดีๆอย่างท่านที่ต้องเสียรู้เสียท่าคนชั่วเช่นนี้เพราะสาเหตุใด

เป็นครูที่จะมาสอนท่านให้เกิดการเรียนรู้ว่า
คนดีๆอย่างท่านมีข้อผิดพลาดบกพร่อง
จนต้องเร่งปรับปรุงแก้ไขตนเองในด้านใด

ถ้าท่านจะยังประโยชน์สุขในการดำเนินชีวิต
ถ้าท่านปรารถนาความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ

ท่านจะไปโกรธโทษคนชั่วฝ่ายเดียวไม่ได้
ท่านจะไปเป็นคนชั่วเสียเอง
ด้วยการทำชั่วตอบสนองเขากลับคืนก็ไม่ได้
ท่านจะเอาเรื่องเอาความเขาก็ไม่ได้ทั้งสิ้น

หน้าที่ของท่านที่ต้องทำ ก็คือ 
เร่งรีบ "เรียนรู้" ข้อบกพร่องของตัวเอง
ทันทีที่เสียรู้หรือเสียท่าคนชั่ว....จงจำไว้!

ดังนั้น.....
เรามีความจริงที่จะกล่าวกับท่านทั้งหลายว่า

การที่คนดีมักตกเป็นเหยื่อของคนชั่วก็เพราะว่า
ส่วนใหญ่คนดีนั้นเป็นคนไม่ชอบคิด ไม่ช่างคิด
คนดีมักจะดำเนินชีวิตกันแบบเรียบง่ายอยู่สบายๆไปวันๆ
คนดีนั้นมักจะก้มหน้าก้มตาทำมาหากินกัน
โดยไม่คิดที่จะเอาเปรียบเบียดเบียนใคร

นี่เป็นข้อบกพร่องของคนดี.....
นั่นคือดำเนินชีวิตแบบ "ไม่คิด" หรือ "ไม่ค่อยคิด"
หรือดำเนินชีวิตแบบ 
"คิดเฉพาะเรื่องที่ตนสนใจจะคิด"
โดยอาจกล่าวได้ว่า
คนดีนั้นมักจะทำตัวบกพร่องด้านการเรียนรู้เสมอ

คนดีเมื่อคบกับใครก็มักจะมองว่า
คนๆนั้นต้องดีเหมือนตัวเอง
พอคิดว่าเขาต้องดีเหมือนตนเองแล้ว
การจะเรียนรู้ที่จะป้องกันตนเองจึงไม่เกิดขึ้น

ในขณะที่คนชั่วนั้นเมื่อคบกับใคร
เขาก็มักจะแสดงคุณสมบัติด้านลบของตัวเองออกมาเสมอ
เพราะมันเป็นธรรมชาติของพวกเขา
ดังนั้น.....
คนดีๆที่คบหาอยู่กับคนชั่ว
จึงต้องฉลาดคิดฉลาดเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองไว้

นอกจากนั้นคนชั่วบางคนที่ฉ้อฉลมากกลโกง
เมื่อใดที่เขาคบกับใครก็ตาม
ในก้อนสมองของพวกนี้
จะมีการสั่นสะเทือนทางความคิดอยู่ตลอดเวลา

โดยคิดว่าจะเอาเปรียบผู้อื่นได้อย่างไร
จะฉ้อฉลด้วยกลโกงแบบไหน
จะเอาเปรียบ เบียดเบียน หลอกลวง อย่างไร
จะฉกฉวยโอกาสดีๆของผู้อื่นมาเป็นของตนได้อย่างไร

นักเรียนทั้งหลายสังเกตได้หรือไม่ว่า
พวกคนชั่วฝ่ายชั่วนั้น 
สมองของพวกเขาสั่นสะเทือนตลอด
ขณะที่คนดีๆทั้งหลายนั้นในวันๆหนึ่งที่คบหากับใครๆ
ภายในก้อนสมองน่ะมีการสั่นสะเทือน
เพื่อการคิดรู้หรือเรียนรู้อะไรๆกันบ้างหรือไม่

ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงจำต้องกล่าวความจริงเอาไว้ว่า

คนดีมักเป็นเหยื่อของคนชั่ว
เพราะคนชั่วช่างคิด และฉลาดคิดมากกว่าคนดี


เสียอย่างเดียวตรงที่คนชั่วทั้งหลายนั้น
มักใช้ความฉลาดไปในทางที่คิดมิชอบนั่นแหละ

เป็นคนดีนั้นดีแล้ว
แต่จะเป็นคนดีที่ไม่โง่น่ะจะเป็นได้อย่างไร


นิพพานไม่ได้หรอกนะ
ถ้าใช้ปัญญาของตัวเองไม่ได้
ถ้าใช้ปัญญาของตัวเองยังไม่เป็

เอเมน....สาธุ.....

ป.วิสุทธิปัญญา
7-01-2015

อย่าเก่งแต่ปาก


รู้แค่ว่าเก่งอะไรกับทำอย่างไรจึงจะเก่ง
มันไม่เหมือนกัน

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การเป็นคนรู้มากแล้วเที่ยวปากเก่งนั้น
ใช่ว่าจะช่วยสร้างความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณให้ท่านได้


นอกจากท่านจะแฝงกายทำตัวเสมือนเป็นผู้รู้
เพื่อให้คนอื่นที่เขายังงมงายอยู่ 
เพื่อให้คนอื่นที่เขายังสับสนกับตนเองอยู่
ได้หยิบฉวยคว้าท่านมาเป็นครูชั่วคราวเท่านั้นเอง

ท่านต้องอย่าลืมว่า
การเป็นครูที่แท้จริงนั้น.......
มิใช่แค่นั่งเทียนคิดหาความรู้มาสร้างเป็นคำพูดหรูๆ
หมายจูงใจให้ผู้คนหลงไหลไปกับสำบัดสำนวนเท่ห์ๆนั่น
แล้วจากนั้นท่านก็ทำเป็นสบัดก้นจากไป

จนบัดนี้ความรู้ที่ดีๆของผู้ที่อยากเป็นครูจึงมีอยู่มากมาย
จนสไลด์เฉียบๆที่ท่านชอบแชร์กันไปแชร์กันมา
มันแทบจะล้นหน่วยความจำของเพ็จทั้งหลายอยู่แล้ว

แต่ท่านทั้งหลายแลเห็นความจริงกันมั้ยว่า
ความรู้ดีๆกับสำนวนเท่ห์ๆเหล่านั้น
พี่ๆน้องๆสามารถจดจำแล้วนำมันมาใช้

เพื่อการเปลี่ยนแปลงตนเอง
เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม
เพื่อการเปลี่ยนแปลงโลก

ให้มีความก้าวหน้าสถาพร
ให้มีสันติสุขแท้จริง
ให้เกิดความปิติและสงบในนิพพาน
ให้บรรลุในความหมายทั้งสามประการนั้นได้สักกี่มากน้อย


นักเรียนจึงต้องรู้ว่า.....ปัญหาของท่านนั้น

1.มิใช่ไม่รู้ว่าตนเป็นครูของตนเองได้
ใครๆก็รู้ว่าคนอื่นๆและทุกสรรพสิ่ง
สามารถเป็นครูของตนเองได้ทั้งนั้น
ถ้า "ครู" หมายถึง ผู้มีความรู้ที่ท่านยังไม่รู้
ซึ่งเขาสามารถถ่ายทอดความรู้นั้นให้ท่านได้

แต่ท่านจะต้องระลึกเสมอว่า
ครูคนแรกและครูคนสุดท้ายต้องเป็นตัวท่านเองเท่านั้น
โดยเฉพาะความรู้ใดๆที่ท่านต้องการเรียนรู้นั้น
อย่าให้ใครมาจูงจมูกของท่านได้

การจะเป็นครูคนแรกและคนสุดท้ายของตัวเองคือยังไง
เอาไว้โอกาสหน้าเราจะมากล่าวความจริงนั้นให้รู้

2.มิใช่ไม่รู้ว่าตนต้องเก่งอะไร

ท่านทั้งหลายต่างล้วนผ่านประสบการณ์การมีภพชาติ
ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้กันมามากมาย
จนท่านย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าถ้าจักต้องทำสิ่งใดให้สำเร็
ท่านจะต้องมีความเก่งด้านใดบ้าง

เช่นถ้าท่านต้องเป็นนักขาย
ท่านย่อมต้องรู้ดีว่าท่านต้องเก่งนำเสนอสินค้าของท่าน
ถ้าจะให้เก่งนำเสนอสินค้าเพื่อขายท่านก็ต้องขายเก่ง
ถ้าท่านจะขายเก่ง ท่านก็จะต้องคิดเก่ง
โดยคิดเพื่อค้นหาจุดขายของสิ่งที่จะขายนั้น

เมื่อคิดเก่งแล้วท่านก็ต้องเก่งนำเสนอด้วยการพูดเก่งด้วย
การพูดเก่ง นำเสนอเก่ง และขายเก่ง
จึงต้องมาจากการคิดเก่ง เป็นต้น

3.มิใช่ไม่รู้ว่าทำไมตนจึงต้องเก่ง

ถ้าท่านปรารถนาที่จะทำสิ่งใดให้สำเร็จ
ท่านย่อมรู้ตนเองดีว่า
ถ้าไม่เก่งจริงในสิ่งที่จะทำแล้ว
คงยากที่จะประสบผลสำเร็จ

การดีแต่ขี้คุย ขี้โม้ โอ้อวดผู้อื่น ด้วยคำพูดเท่ห์ๆ
แต่ยังมองไม่เห็นคุณค่าของคำว่า "เก่ง"
ความใส่ใจที่จะเรียนรู้เพื่อสร้างความเก่งให้ตนเอง
ให้มีความพร้อมต่อการกระทำสิ่งนั้นๆได้อย่างมั่นใจ
มันก็บังเกิดขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรมมิได้

ดังนั้น....
ปัญหาของท่าน มันจึงมิใช่ทั้งสามอย่างที่กล่าวมา
แต่ปัญหาของท่านทั้งหลาย
มันอยู่ที่ 3 ประการนี้มากกว่า คือ

1.ไม่รู้ว่าตนจะเก่งได้อย่างไร
2.ไม่รู้ว่าตนจะฉลาดได้อย่างไร
3.ไม่รู้ว่าตนจะเป็นคนดีของผู้อื่นได้อย่างไร


ด้วยเหตุนี้เอง "ครู" ที่แท้จริง
จึงต้องสามารถสอนให้คนอื่นเขาฉลาดได้ด้วย
โดยฉลาดที่จะทำให้ได้อย่างที่ครูสอนเขาไว้นั่น

บอกว่าเกิดเป็นคนจะต้องเก่งกี่อย่างก็แล้วแต่
บอกแล้วจะมีใครประทับใจสักกี่คนก็ตาม
แต่หากบอกแล้วจะให้ใครๆได้ประโยชน์
จากความเก่งสาระพัดนั้นจริง
ก็ควรจะสอนพวกเขาด้วยว่า 

จะต้องทำอย่างไรจึงจะเก่งได้ในเรื่องนั้นๆ


มิใช่ภูมิใจกับความรู้ใหม่
มิใช่ชื่นชมไปกับคำกล่าวเท่ห์ๆนั้น
แต่นำมันไปใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงไม่ได้
ไม่ต่างจาก "เก่งแต่ปาก" นั่นแหละนะ

คนที่จะเรียนรู้ความรู้ทำนองนี้จากครูคนไหนก็ตาม


อย่าไปหลงตื่นเต้นกับความรู้ใหม่
อย่าไปติดอกติดใจกับสำนวนเท่ห์ๆเลย



ควรคิดเองต่อไปว่า 
ถ้าท่านจะได้ประโยชน์จากความรู้นั้น
ท่านควรสอนตัวเองว่าท่านจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร

ถ้าท่านเป็นนักขาย
ท่านจะพูดเก่งได้อย่างไร
ท่านจะนำเสนอเก่งได้อย่างไร
ท่านจะคิดเก่งได้อย่างไร
ท่านจะขายเก่งได้อย่างไร
ท่านจะปิดการขายได้อย่างไร

ไม่ใช่รู้แต่ว่าท่านต้องทำอะไรบ้าง
แต่ท่านต้องรู้ว่า....
ท่านจะต้องทำมันอย่างไรนี่ต่างหากที่สำคัญกว่า

เอเมน....สาธุ.....

ป.วิสุทธิปัญญา
7-01-2015

06 มกราคม 2558

ความรักบริสุทธิ์ช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุน


ความรักบริสุทธิ์
คือ พลังงานที่โลกต้องการ

ถ้าท่านทั้งหลายรู้ว่า...... องค์จิตจักรวาล 
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
ได้ทรงมอบหมายภารกิจให้แก่จิตวิญญาณของท่าน
ถือติดตัวมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้ รวม 6 ประการ
ดังที่เรียกขานกันว่า.......

พันธะสัญญา 6

ซึ่งในภารกิจประการที่ 1 ก็คือ

การมาทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก

หากท่านทั้งหลายเข้าใจและเข้าถึงนัยดังกล่าวนี้แล้ว
ท่านจะคิดรู้ได้ด้วยปัญญาญาณของท่านเองว่า
แท้จริงแล้วภารกิจหลักของท่านทั้งหลายก็คือ

การมาช่วยกันทำให้ดาวเคราะห์โลกเหวี่ยงหมุน

ความรักช่วยให้โลกหมุนได้จริง

ถ้าท่านชมภาพจากคลิปวิดีโอของเราแล้ว
ท่านจะเข้าใจปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์แห่งรัก
ที่มนุษย์โลก สรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย และพืชพันธุ์ไม้
จักต้องทำหน้าที่ร่วมกันสร้าง พลังงานร่วมแห่งรัก
ตามสมการ "ซัมเบต้า เอ็กซ์" มอบให้แก่ดาวโลกกันได้เป็นอย่างดี

เพราะพวกท่านถูกสร้างให้เป็น "คนสองมิติ"
ที่เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ชายหญิง
สามารถทำหน้าที่ให้เกิดผลของการกระทำ หรือ "ผลกรรม" ได้
ทั้งในมิติโลกทางกายภาพ หรือ ในมิติแห่งกาลเวลา
และในมิติโลกทางพลังงาน หรือ ในมิติแห่งจิตวิญญาณ

ท่านทั้งหลายจึงสามารถช่วยกันค้ำจุนโลก
ในมิติทางกายภาพ
ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ด้วยการไม่ตัดไม้ทำลายป่า
ไม่ระเบิดภูเขาพระบิดาทิ้ง
ไม่ย้ายภูเขา
ไม่ย้ายต้นไม้ใหญ่ที่ในป่า
เพื่อนำมาสร้างเมืองกันตามอำเภอใจ


ท่านทั้งหลายจึงสามารถค้ำจุนโลก
ในมิติทางพลังงานได้ ด้วยการเรียนรู้ให้ได้ว่า

ความรักแท้หรือรักบริสุทธิ์นั้นคืออย่างไร
ที่มิใช่ความรักแบ่งเห็นแก่ตัว

ด้วยการรักกันให้เป็น
โดยสามารถรักใครก็ได้แม้คนๆนั้นจะทำตัวไม่น่ารัก

ด้วยการรักอย่างไร้เงื่อนไข
โดยสามารถที่จะรักได้ทุกคนทุกสรรพสิ่ง
รักได้ตลอดเวลา รักทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ที่สำคัญคือต้องรักด้วยการสั่นสะเทือนมันออกมาจากจิตสำนึก

พลังอำนาจแห่งรักของท่านนั้น
มันจะถูกขับเคลื่อนออกมาสองช่องทาง
ช่องทางแรกคือพฤติกรรมทางกายภาพ เช่น การพูด
การกระทำใดๆที่อายตนะคนอื่นสามารถรับรู้ดูเห็นได้

ช่องทางที่สอง คือ พฤติกรรมทางจิตใจ
ที่ตัวเองเท่านั้นที่รู้แต่คนอื่นอาจยากที่จะรู้
เพราะเมื่อท่านสั่นสะเทือนจิตใจเป็นความรักนั้น
อาการทางจิตใจของท่านหากมันยังไม่ถูกขับเคลื่อนออกมา
เป็นพฤติกรรมทางกายภายนอกแล้ว
บุคคลอื่นๆย่อมมิอาจรู้แน่นอน

แต่ทว่าแม้ตนเองจะรู้อาการทางจิตของตนก็ตาม
มันยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นที่ท่านทั้งหลายมิอาจรู้เห็นได้
นั่นคือ พลังงานของจิต หรือ พลังจิต ในรูปของ
อารมณ์ ความรู้สึก และการนึกคิดนั่นเอง

พลังงานจิตเหล่านี้มันจะอยู่ในรูปของ
คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก ทั้งบวกและลบ
ถ้าเป็นด้านบวกก็คือ ด้านดี ไม่ผิดบาป
ถ้าเป็นด้านลบก็คือ ด้านไม่ดี และผิดบาป
คลื่นพลังงานเหล่านี้จะอยู่ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่เป็นชนิดเดียวกันกับ คลื่นแม่เหล็กโลก นั่นเอง

จงรักกันให้ได้ ให้กันให้เป็น

ถ้าท่านทั้งหลายต้องการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณให้ลุล่วง
ไม่ว่าท่านจะเป็นคนชาติใดศาสนาใดก็ตาม

ท่านต้องไม่ทำตนเป็นคนรกโลก หรือ หนักแผ่นดิน

โดยท่านต้องเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นให้ได้ ให้คนอื่นให้เป็น
เพื่อช่วยกันสร้างสมดุลให้กับโลกใบนี้อย่างเต็มพลัง
มิใช่มัวแต่วุ่นวายอยู่กับกองกิเลสตัณหา
โดยยอมตกเป็นทาสของมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
จนละทิ้งภารกิจทางจิตวิญญาณของท่านไป

อาการที่โลกเสียสมดุลจะสังเกตได้จากภัยพิบัติ
ที่เกิดขึ้นทุกวัน เกิดทั่วโลก และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
จากไกลตัวท่านจนกระทั่งใกล้ตัวท่านเข้ามาเรื่อยๆนี้
คงพอจะสร้างสติทางวิญญาณให้ท่านทั้งหลายกันได้บ้างว่า

ลุกขึ้นมาเถิด....
ลุกขึ้นมาสร้าง.....
พลังงานร่วมจากจิตสำนึกแห่งรักบริสุทธิ์
มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลก

เพื่อค้ำจุนการเสียสมดุลที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
ให้กลับคืนสู่สถานภาพเดิมที่เป็นดั่งสวรรค์บนดิน
แทนที่จะนั่งนอนรอคอยความตายและหายนะโลก
โดยไม่คิดที่จะทำอะไรเพื่อจิตวิญญาณตนเอง
ไม่คิดที่จะทำอะไรเพื่อโลก
ไม่คิดจะทำอะไรเพื่อองค์จิตจักรวาลของท่านเลย

เมื่อรู้จักรักตนเองและญาติพี่น้องของตนแล้ว
ควรรู้จักรักคนอื่น
รักสรรพสัตว์ทั้งหลาย
และรักโลกของพระบิดาด้วย

รีบๆเข้า....ก่อนที่มันจะสายเกิน!!!

เอเมน.....สาธุ.......

ป.วิสุทธิปัญญา
6-1-2015