07 ธันวาคม 2555

เตือนเขตภัยพิบัติโลก




หมายเหตุ:

แขวงคำม่วน ประเทศลาวในปัจจุบันนั้น
เดิมพระบิดาทรงประทานนามไว้ว่า "คำมวน" มาจากการที่ชนในกลุ่มนั้นทั้งชายหญิง ชอบกินทั้งหมากพลู-บุหรี่ ด้วยวิธีมวนใบพลูกับมวนใบยาสูบกันเป็นส่วนใหญ่ โดยผู้หญิงสาวจนถึงสาวแก่นิยมกินหมากพลูด้วยวิธีการม้วนหรือมวน ตามสำเนียงชาวถิ่นนั่น ส่วนชายหนุ่มจนถึงชายแก่ ก็นิยมดูดบุหรี่มวนหรือม้วนใบยาสูบกัน พอไปพบปะสังสรรค์กันที่ไหน ก็จะคว้าหมากพลูบุหรี่มวนใบยาสูบ มายื่นส่งให้แก่กันและกัน เพื่อแสดงความเป็นมิตร....

เจอกันทีไรก็หมาก 1 คำมวน สำหรับหญิง และมวนยาสูบ 1 คำมวน สำหรับชาย

ลางคนเล่นทีเดียวทั้งสองอย่าง คือ ทั้งหมากพลู และบุหรี่ 1 คำหมาก กับ 1 คำมวนบุหรี่

ดังนั้น ในแผนที่จึงใช้นามเดิม คือ "คำมวน" อย่างจงใจ มิได้พิมพ์ตกวรรณยุกต์เอกแต่อย่างใดนะ....จะบอกให้

ป.วิสุทธิปัญญา
7-12-2012

ภาคใต้


:))
คุณศศิวรรณ การประกอบ:
Q1.ไม่ทราบว่า ภาคใต้ จังหวัดพังงา กระบี่ จะมีผลกับภัยปลายปีนี้มากน้อยแค่ไหนค่ะ?
A1.
1.ผลภัยปลายปีนี้ยังไม่มีอะไรกระทบมาก นอกจากปัญหาเรื่องฝนตกหนัก ฟ้าคะนอง น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำอาจจะท่วมในที่ๆไม่เคยท่วม ภูเขาบางลูกจะสไลด์ลงมา ในช่วงเส้นทางระนอง-ตะกั่วป่า-พังงา-กระบี่-ตรัง-สตูล ก็ให่ระวังไว้หน่อย
2.ทะเลทั้งสองด้านจะมีคลื่นสูง (Storm Surge) แม้ในวันที่ไม่มีฝน-พายุ บ้านเรือนริมทะเลโปรดระวังโดยเฉพาะตอนที่กำลังหลับ
3.แผ่นดินไหวจากประเทศเพื่อนบ้าน อาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคใต้ตอนกลางบ้าง ตั้งแต่ช่วง 12/12/12 ถึง 31/01/2013
4.ที่กล่าวไว้อาจไม่เกิดอะไรขึ้นเลยก็ได้ ขึ้นกับช่างเทคนิคว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นเขาจะมีการเปลี่ยนแผนปฏิบัติการกันรึไม่....
5.แต่ที่แน่ๆพื้นที่ภาคใต้ เขตพังงา กระบี่ สุราษฎร์ธานี และเกาะภูเก็ต เมื่อปฏิบัติการชำระโลกสิ้นสุดลงก็จะเป็นพื้นที่สีแดงตามแผนที่ๆแนบมาให้ดู...สีแดงคือพื้นที่ๆจะถูกลบออกจากแผนที่ และเป็นการประกาศเขตภัยพิบัติของจักรวาลให้ทุกคนรู้ล่วงหน้า

Q2.จะต้องเตรียมหาสถานที่ไว้เพื่อหลบภัยไว้ล่วงหน้าหรือไม่ค่ะ?
A2.
1.เมื่ออ่านคำตอบแล้ว เธอคงตอบเองได้นะว่าต้องเตรียมหาสถานที่หลบภัยในตอนปลายปีนี้รึเปล่า
2.ในระยะสั้นคงไม่ต้องหาที่หลบภัยมั้ง นอกจากบ้านติดทะเล ติดภูเขา ใกล้แม่น้ำ เธออาจต้องระวังความปลอดภัยเอาไว้บ้างก็ดี
3.แต่ระยะยาวเธอคงต้องหลบไปให้พ้นพื้นที่สีแดง จากแผนที่ประกาศเขตภัยพิบัติของโลกของจิตจักรวาลแน่
4.เมื่อไหร่ที่จะมีปฏิบัติการชำระภาคใต้ ฟ้าจะส่งรหัสเตือนพวกเธอเอง หากเธอมีธรรมะเธอจะตื่นรู้ได้เอง....และหากเธอมีพระบิดาและเรา เธอย่อมได้รับการเตือนล่วงหน้าแน่ๆ....
5.การเตรียมตนเองเพื่อการผจญภัยที่ดีที่สุด มิใช่การหนีหรือหลบภัย ไม่ว่าเธอจะหลบหนีไปไหนก็หนีไม่พ้นหรอก เนื่องจากภัยที่จะเกิดขึ้นมันมิใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นภัยอันเกิดจากปฏืิบัติการชำระโลก เพื่อชำระสิ่งสกปรกโสโครกออกไปจากระบบโลก รวมทั้งคนไร้ศีลธรรม คนเบาปัญญา(คนที่งมงาย) ขยะวัตถุเทคโนโลยีและสิ่งปลูกสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นมาทำร้ายกันเอง ทำร้ายโลก และการจัดการระบบนิเวศนืที่เสียสมดุลเพราะถูกมนุษย์กระทำให้คืนสู่สมดุล ด้วยการสร้างแม่น้ำสายใหม่ ถมทับแม่น้ำสายเก่า ถล่มเกาะแก่งทิ้งไป ทำลายภูเขาน้อยใหญ่ที่หลงเหลืออยู่ให้แตกสลายกลายเป็นพื้นน้ำหรือที่ราบ จมเมืองหลวงเก่า-ใหม่ ทำลายวัตถุนิยมอันเป็นศูนย์กลางแห่งความงมงาย ฯลฯ
6.วิธีการเตรียมผจญภัยที่ดีที่สุด คือ เตรียมตนเองและจิตวิญญาณให้พร้อม ไม่ใช่การหนี-การหลบหน้า การเตรียมที่ดีคือ
6.1 คอยติดตามรับฟังข่าวสารจากจิตจักรวาลอย่างต่อเนื่อง
6.2 คอยติดตามรับฟังพระโอวาทจากพระบิดาเพื่อนำมาปฏิบัติจริงในชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อ...
@.แสดงปณิธานแห่งนิพพาน ต่อองค์จิตจักรวาล พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเธอเอง
@.ปณิธานที่แสดงคือ รักได้ ให้เป็น ไม่ก้าวล่วงใคร ใช้จิตปัญญาไม่ใช้อารมณ์ในการดำเนินชีวิต
@.ครองมหาสติตลอดวันในยามตื่น คือ รู้สติ มีสติ และใช้สติ
@.ทานอาหารจำพวกพืชผักผลไม้และเมล็ดธัญพืชเท่านั้น เพื่อลดการฆ่าสัตว์ด้วยปากจากการกินเลือดเนื้อของพี่ๆน้องของเธอเอง
@.ดูแลร่างกายให้แข็งแรงไว้ อย่าปล่อยให้ขี้โรค-ป่วยง่าย หากมีโรคประจำตัวก็ให้รีบแก้ไขเสียโดยไว.....
7.สุดท้ายคือ พยายามทำสามเหลี่ยมกับองค์จิตจักรวาลเอาไว้เสมอ

ด้วยรักและปรารถนาดี
ป.วิสุทธิปัญญา
7-12-12

Note: อย่าลืมย้อนขึ้นไปดูแผนที่เขตภัยพิบัติ 3 จังหวัดที่เธอถามไว้ประกอบด้วยนะ

20 พฤศจิกายน 2555

การเพิ่มพลังทางจิตวิญญาณ


จิตวิญญาณต้องการพลังงานช่วยเติมเต็ม


หลักแห่งการสร้างตนเองสู่ความสำเร็จ



อภินันทนาการจาก:
สถาบันสร้างเสริมจิตปัญญาเพื่อพัฒนาพฤติกรรมศาสตร์
โดย: อาจารย์ปริญญา ตันสกุล MBA,MS.

ฝากคำเตือนถึงเพื่อนร่วมโลก



ฝากคำเตือนถึงเพื่อนร่วมโลก

ยุคนั้น คือ ยุคนี้
สงครามโลกครั้งที่สาม ระหว่างมนุษย์โลกกับภัยธรรมชาติ
กำลังเผชิญหน้ากันแล้ว.....
ทั้งหมด...แถวตรง!
เตรียม....อาวุธ!
พวกเธอรู้มั้ย? อาวุธใดจึงจะต่อสู้กับภัยพิบัติธรรมชาติได้???

ป.วิสุทธิปัญญา

เครื่องมือที่จะใช้ต่อสู้กับภัยพิบัติได้
1.ใช้พลังจิตด้านบวก(ความรัก-เมตตา)
2.ใช้พลังปัญญา(มหาสติ-กฤตสติ)
3.ใช้พลังบารมี(กุศลกรรมที่สั่งสมไว้)
อีโมติคอนheart ขอให้ทุกคนจงแคล้วคลาด-ผ่านพ้นภัยพิบัติใดไปได้ด้วยพลังอำนาจในตนเองทั้งสามนี้เถิด

ป.วิสุทธิปัญญา
20-11-2012

04 พฤศจิกายน 2555

อย่าสอบตกเพราะ 6 ช.


อีกหนึ่งภารกิจ เพื่อประสิทธิผลแห่งนิพพาน

วิธีผ่าน 6 ช.

จงชอบในสิ่งที่ทำ
จงชังในสิ่งที่ชั่ว
จงเชื่อในสิ่งที่ใช่
จงชินในสิ่งที่เชี่ยวชาญ
จงชมในสิ่งที่ควรชม
จงแชร์ในสิ่งที่ตนเข้าใจ

ป.วิสุทธิปัญญา
4-11-2012
................

 เธอรู้ไหมว่าพี่ๆน้องๆแห่งเราทั่วเอกภพ เขามองชาวดาวโลกเสรีนี้ว่าไง?

1.ส่วนใหญ่ "งมงาย" เพราะใช้ปัญญาตนเองได้ แต่ใช้ไม่เป็นและใช้เป็นก็ใช้ไม่ถูกต้อง หนักไปทางฉลาดแต่เรื่องที่สมควรโง่มากกว่า จึงเกิดลัทธิกับเจ้าลัทธิขึ้นมามากมาย จึงเกิดเรื่องไร้สาระขึ้นในโลกมากมาย พวกเขาบอกเราว่าเราจะถูกคนงมงายระแวงเราเพราะกลัวว่าตัวเขาจะงมงายไปกับเรา และจะปฏิเสธเราเสียมากกว่า...

2.ส่วนใหญ่ "ดื้อ" เพราะมีมิจฉาทิฐิสูง ถ้ารักใครก็จะหลงคนนั้น ถ้ารักสิ่งใดก็จะหลงในสิ่งนั้น ถ้ารักคำพูดใดก็จะหลงใหลในคำพูดนั้น การยึดติดคน สิ่งของ และคำสอน จึงเกิดขึ้นโดยไม่ยอมใช้ปัญญาพิจารณา จะยึดมั่นถือมั่น ไม่ฟัง ไม่เชื่ออยู่อย่างนั้น พวกเขาบอกว่าเราต้องเหนื่อยหนักกับการมาทำหน้าที่สุดท้ายในยุคนี้กับคนดื้อพวกนี้ที่มีอยู่มากมายแน่ๆ...

3.ส่วนใหญ่ "ไม่มีสัจจะ" พวกเขาจะลืมพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ จำไม่ได้และไม่รู้จัก ทั้งจะลืมพันธะสัญญา 6 ซึ่งเคยให้คำมั่นต่อพระบิดาไว้ตั้งแต่ภพชาติแรกที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ลืมแม้แต่พระองค์ที่ตนเคยก้มลงจุมพิตแทบพระบาทด้วยปีติ เมื่อรับรู้ว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาฉุดช่วยอีกครั้ง ในคราที่พระบิดาจะทรงพิพากษาโลกก่อนกาลสิ้นยุค พวกเขาล้วนบอกเราว่า ชาวโลกจะจดจำอะไรไม่ได้สักอย่าง พันธะสัญญา 6 พระบิดา และพระองค์นั้น

เราเห็นแล้วว่า ที่พี่ๆน้องๆของเราเขากล่าวมา มีแนวโน้มว่าจริงน่ะ... :((

ก็ดูห้องเรียนกับห้องสนทนาสิ มีแต่คนเข้ามาเที่ยวเล่น-เยี่ยมชม มากกว่าเข้ามาถามเข้ามาเรียน เวลาไปฟังพระโอวาทพระบิดา จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่า "ว่าง-ไม่ว่าง" เป็นส่วนใหญ่

ป.วิสุทธิปัญญา



บั้งไฟพญานาค


อนุญาตให้แชร์เพื่อนำไปถ่ายทอดต่อผู้ที่ต้องการเรียนรู้แบบไม่งมงายได้.....มิใช่ถ่ายทอดสู่พวกที่รู้แล้วรีบงมงาย! เราต้องการให้พวกเธอรู้ไว้เป็นความรู้เท่านั้น ต้องเฉลยเพราะว่ามันสิ้นยุคแล้ว เธอจะได้ไม่เสียเวลาไปค้นคว้าล่าวิญญาณเพื่อการพิสูจน์ให้เสียเวลาตามวิธีคิดแบบจิตมนุษย์น่ะ

เมื่อถึงกาลชำระโลกก่อนวันปิดยุคพลังงานเก่านี้ ชีวิตจำนวนมากทั้งคน สัตว์ และพืช จะพากันล้มตายเป็นเบือ ที่เหลืออยู่น้อยกว่าที่ล้มลงนอนกับพื้นธรณี พญานาคครอบครัวนี้แม้จะทำหน้าที่ยังไม่ครบ 600 ปี ยังมีภาระเหลืออีกกึ่งหนึ่งก็ตาม แต่พวกเขาก็จะต้องทิ้งกายสังขารเหมือนกัน

เหตุที่ต้องละกายสังขารก็เพราะทนทานกับความเหนื่อยยากไม่ไหว เพราะน้ำในแม่น้ำโขงสายนี้ในวันข้างหน้ามันมากเหลือเกิน เพราะแผ่นดินสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงตลอดแนวที่ผ่านมาและผ่านไป ส่วนใหญ่จะจมหายอยู่ใต้แผ่นน้ำ พญานาคทั้งครอบครัวต้องช่วยกันสูบน้ำและพ่นน้ำ(เหมือนลูกสูบ) เพื่อช่วยระบายน้ำจำนวนมหาศาลออกสู่ทะเล-มหาสมุทร น้ำจะได้ไม่ท่วมแผ่นดินจนทำให้มนุษย์ในเขตที่ตนรับผิดชอบต้องได้รับทุกข์เวทนา แต่สูบเท่าใดก็ไม่แห้งหาย...จนในที่สุดพวกเขาจะพากันขาดใจตายโดยพลัน....

อย่าห่วงเลย ดวงจิตธรรมญาณของพวกเขาจักได้กลับคืนไปสู่สวรรค์มายาชั้นพรหมตามเดิมอีกครั้ง ด้วยสำนึกใหม่ที่ดีกว่าเก่า ด้วยญาณและฌานบารมีที่สูงกว่าเก่า ด้วยพระเมตตาแห่งองค์จิตจักรวาลและท่านเทพกรพิณเป็นสำคัญ และต่อไปข้างหน้าแม่น้ำโขงสายนี้จะไม่มีบนแผนที่โลกอีกตลอดไป....คงเหลือไว้แค่เพียงตำนานไว้เล่าให้เด็กๆยุคพลังงานใหม่ฟังตามที่เราเปิดเผยไว้ข้างบนนี้เท่านั้น

ป.วิสุทธิปัญญา
4-11-2012
............................................

เรื่องคนเลิกกินเนื้อสัตว์นั้นเธอเข้าใจว่าเป็นเพราะเนื้อสัตว์มีเชื้อโรคและปนเปื้อนรังสี เสมือนถูกบังคับให้เลิกกิน ไม่ใช่เลิกเพราะเมตตาสงสารสัตว์นั้น ถ้าเป็นกรณีก่อนวันปิดยุค ก่อนโลกจะมืดนาน 7 ราตรีนั้น ความเชื่อของเธออาจจะถูกต้องอยู่บ้าง แต่ยังมีคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์ในปัจจุบันนี้กับที่กำลังจะเลิกกินเนื้อสัตว์อีกจำนวนมากเช่นกันนะเธอ ที่เขามีจิตสำนึกที่ดีงามมากๆ ส่วนหลังวันชำระโลกแล้วจะเหลือแต่คนที่สำนึกดีที่ไม่กินเนื้อสัตว์ด้วยจิตสำนึกตนเองอยู่เท่านั้น พวกไม่กินเพราะกินไม่ได้สถานการณ์บังคับน่าจะอยู่ในอันตรายเสียแล้วกระมัง
..............................................

ที่พระบิดาสื่อถ่ายทอดความรู้นี้มาให้นักเรียนที่สนใจใฝ่รู้ถามมา ก็เพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใฝ่รู้เท่านั้น ไม่ได้กำหนดเป้าหมายว่าเมื่อเธอรู้แล้วจะต้องตัดสินความรู้นี้ว่า "จะเชื่อ-ไม่เชื่อ" เพราะพวกเธอไม่มีผู้ใดรู้จริงหรอก ถ้ารู้ไม่จริงหรือว่าไม่รู้อะไรเลยแล้วไปตัดสินความรู้นี้ว่าตนจะเชื่อหรือว่าไม่เชื่อ...นั่นเท่ากับเป็นการแสดงอุตริและงมงายทันที 

ถ้าสิ่งใดเป็นความรู้ใหม่น่าจะฟังหูไว้หูมากกว่าจะชิงปฏิเสธด้วยความไม่รู้ เนื่องจากความรู้ใหม่ที่เรานำมาตอบคำถามผู้ถามนี้ นักเรียนคนไหนเชื่อตามมันก็มิได้ใช้เปลี่ยนแปลงความเป็นคนดี คนเลว หรือความฉลาดและความโง่ของคนๆนั้นแต่เดิมได้หรอก 

ในทางกลับกันคนไหนปฏิเสธความรู้ใหม่นี้ ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความโง่ ความฉลาด ความเป็นคนดีคนเลวของตนได้อีกเหมือนกัน เพราะความรู้ใหม่ก็คือความรู้ รู้ไว้ดีกว่าไม่รู้

ป.วิสุทธิปัญญา


........................

((()))ตรงความใน ปล.ของหนูนั้นถูกต้องเป็นที่สุดแล้ว...หนูปฏิบัติถูกต้องแล้ว

((()))พญานาคมีจริง เป็นเทพที่ขันอาสาลงมาก็มี ถูกสาปส่งลงมาก็มี เพื่อให้ทำหน้าที่ควบคุมสมดุลน้ำบนโลกมนุษย์ คือ น้ำสาม ดินหนึ่ง ไม่ให้ดินหรือแผ่นดินที่มีน้อยกว่าอยู่แล้ว ถูกน้ำท่วมกลืน ไม่ว่าชั่วคราวหรือถาวร ไม่งั้นมนุษย์จะเดือดร้อน

((()))การที่เธอมีนิมิตถึงอยู่บ่อยๆเป็นเพราะภพชาติอดีต เคยเกี่ยวกรรมกันกับเขามาก่อน เช่น เคยกราบไหว้บูชา เป็นต้น เขาจึงแสดงนิมิตให้เธอรู้เห็นได้ไม่มีอะไรแปลก...จงถือว่าเป็นเรื่องปกติ พวกเขาแม้จิตจะเป็นเทพแล้วแต่ก็ยังต้องสร้างบุญกุศล ต้องนำตนปฏิบัติธรรมสู่การหลุดพ้น คือ นิพพานเหมือนกัน

ป.วิสุทธิปัญญา






30 ตุลาคม 2555

สมการพลังงานทางช้างเผือก



นี่เป็นสมการพลังงานร่วมด้านบวกของจิตพวกเธอ ในทุกๆวินาที 
ถ้าพวกเธอ x คน ร่วมกันหมุนธรรมจักรได้สำเร็จ เป็นสัญลักษณ์
ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะสัญลักษณ์ทุกตัวล้วนมีค่าแรงสั่นสะเทือนด้านบวก
รวมกันสูงมากๆ หากคิดเป็นค่าคงที่จะเท่ากับ 20 ซึ่งไม่มีจิตวิญญาณใดในกาแล็กซี่ทางช้างเผือกนี้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภูติผีปีศาจตนใด ไม่ว่าจะเป็นทวยเทพ เทวดา หรือว่าพรหมชั้นใดๆก็มีพลังอำนาจไม่อาจเทียบเท่าพลังบวกจากสมการนี้ได้ และนี่
จึงเป็นที่มาของ "ยันต์ไฮเทค" ล่ะศิษย์รักแห่งเราทั้งหลาย

บุญกรรม VS บุญกุศล




เรื่องของ "บุญกรรม VS บุญกุศล” 

*** การกระทำบุญ ไม่ใช่ "บุญกรรม" อย่างที่ลูกปลาเข้าใจ และบุญกุศลก็มิได้เป็น Sub Set ของบุญกรรมอีกเช่นกัน.....

*** บุญกรรม เป็นคำนาม หมายถึง ผลลัพธ์ของการทำบุญ-สร้างบุญ-ทำความดีงาม โดยเมื่อทำแล้วเธอก็คิดคาดหวังหรือร้องขอสิ่งตอบแทน เช่น ทำบุญแล้วขอโน่นนั่นนี่เป็นการแลกเปลี่ยน ในทางอภิปรัชญาของจิตมันก็จะก่อให้เกิด "ผลกรรม" ในรูปของมวลทางพลังงาน ซึ่งเป็นขยะที่รกโลกรกจักรวาลขึ้นมา ดังเช่น ที่เธอสร้างวัตถุเทคโนโลยีทั้งหลายขึ้นมาให้เป็นขยะทางกายภาพในระบบโลก จนหาที่กลบฝังไม่หมดแล้วในขณะนี้นั่นแหละ

*** บุญกรรม จึงใช้เรียก ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในมิติทางพลังงานที่สองตาเธอมองไม่เห็นแต่เกิดขึ้นจริง มีน้ำหนักมวลจริง แม้จะเป็นกรรมดี(การกระทำที่ดี) แต่มันก็คือขยะพลังงาน ที่ใครก่อใครสร้างมันขึ้นมาจักต้องรับผิดชอบในการกำจัด(ทำมันให้เป็นโมฆะ/ทำมันให้มีคุณสมบัติเป็นกลาง/ทำมันให้ไร้ซึ่งคุณสมบัติแห่งกรรมดีที่เรียกว่าบุญกรรมนั้น)

*** วิธีทำให้ ผลกรรมดีหรือผลกรรมด้านบวก ที่เรียกว่า "บุญกรรม" ให้เป็นกลาง (Neutral) ก็คือ การเกิดใหม่เพื่อมาชดใช้กรรมดีนั้นให้หมดสิ้น (เสวยกรรมดีตามที่ร้องขอไว้ในตอนที่กระทำ)

*** เธอจะเห็นได้ว่า "บุญกรรม" อันเป็นผลกรรมที่ดีๆนั้น มันกลายเป็นขยะรกโลกรกจักรวาล จนพวกเธอต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่กันไม่รู้จบสิ้นและนิพพานไม่ได้เสียทีก็เพราะ ทำความดีหรือทำบุญทีไร ดันอธิษฐานจิตร้องขอรางวัลในการทำกรรมดีงามนั้นเสมอ โดยลืมไปว่า "ทำดีย่อมได้ดีอยู่แล้ว" ไม่ต้องร้องขออะไรตอบแทนอีกแล้ว

*** ต่างกับ "บุญกุศล" มันเป็นคำนามเหมือนกัน โดยต่างกันตรงที่เมื่อทำความดีงามแล้วพลังอำนาจแห่งจิตด้านบวก จะสั่นสะเทือนให้เกิดคลื่นพลังงานด้านบวกที่สูงขึ้นจากสภาวะจิตปกติ พวกเธอเรียกว่า "ความปีติ" อันเป็นกุศลจิต ซึ่งคลื่นพลังงานนี้จะเป็นเพียงคลื่นความถี่ด้านบวกที่จิตสั่นสะเทือนอยู่ข้างในและไร้คุณสมบัติของกรรมเพราะไม่มีการร้องขอ มันจึงไม่มีมวลของผลกรรมใดๆเกิดขึ้น เป็นแต่เพลียงพลังอำนาจในการสั่นสะเทือนของจิตด้านบวก ที่จะใช้ขับเคลื่อนจิตวิญญาณสู่การหลุดพ้นคือนิพพานเท่านั้น

*** คำว่าบุญกุศล จึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นการกระทำความดีงามโดยมิได้ก่อให้เกิดผลกรรมในมิติทางกายภาพ(ไม่มีมวล) เกิดแต่ผลลัพธ์ในมิติทางพลังงานเท่านั้น เช่น จิตกุศล หมายถึง สภาวะจิตที่สั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวก หรือ จิตอกุศล หมายถึง สภาวะจิตที่สั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบ เป็นต้น

*** ยังไงๆ บุญกุศล ก็มิใช่สับเซ็ทของ "บุญกรรม" ถ้าจะหาเรื่องให้มันเป็นสับเซ็ทกันให้ได้จริงๆ เธอน่าจะหันไปพิจารณา 2 กรรมนี้น่าจะกล้อมแกล้มได้มากกว่า....คือ
1).บุญกรรม VS บุญวาสนา
2).บาปกรรม VS บุรพกรรม(วิบากกรรม)
เธอจงพิจารณาให้รอบคอบอีกหลายๆครั้ง....

ป.วิสุทธิปัญญา
30-10-2012

มายา



หลงรูปงาม คือ หลงในเงามายา
มายา คือ เปลือกนอกของ "แก่นแท้”

แก่นแท้ ที่เร้นอยู่ข้างใน เป็นผู้กำหนดตัวตนรูปลักษณ์ซึ่งเป็นเปลือกนอกของแก่นแท้นั้น

ตัวตนรูปลักษณ์ภายนอก ถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากคุณสมบัติต่างๆของแก่นแท้ที่เร้นอยู่ภายใน

ถ้าคุณสมบัติของแก่นแท้เปลี่ยนแปลงไป มายาที่เป็นตัวตนรูปลักษณ์ภายนอกก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย

ดังนั้น เปลือกนอกที่เป็นมายาจึงมิใช่ของจริง เพราะไม่จีรังยั่งยืน เนื่องจากมีวันเปลี่ยนแปลงได้ตลอด พวกเธอจึงไม่ควรหลงไหลหรือไปยึดติดมันเข้าให้ ใส่ใจที่คุณสมบัติของแก่นแท้จะเหมาะกว่า เช่น ไม่สนความสวย-ความรวย-ความหล่อ แต่สนที่ความเป็นคนดี คนฉลาด และคนเก่งหรือรอบรู้ เป็นต้น เพราะมันคงทนกว่านั่นเอง

ป.วิสุทธิปัญญา

กระตุกต่อมคิด


15 ตุลาคม 2555

หลัก "5 ยอ" ไม่ขอเกี่ยวกรรมใคร




(((+)))หลักการปฏิบัติธรรมนำสันติสุขแก่ตนและคนอื่นๆด้วย

"5 ยอ" (ยอเดียวน้อยไป....)
1.ยิ้ม เพื่อแสดงความเป็นมิตร
2.แย้ม เพื่อแสดงความจริงใจอย่างเปิดเผย
3.ยอ เพื่อแสดงความชื่นชมและให้เกียรติ
4.เย้า เพื่อแสดงความคุ้นเคยเป็นกันเอง
5.ยอม เพื่อแสดงความรักและปรารถนาดี

ป.วิสุทธิปัญญา

12 ตุลาคม 2555

เธอมีปณิธานแห่งนิพพานชัดเจนหรือยัง?




DIGITALIS


ถ้าเธอยังเจ้าอารมณ์ อายุขัยเธอจะถูกตัดทอนลงเรื่อยๆ อายุจะสั้นกว่าที่กำหนดไว้ 

1.เธอไม่มีวันรู้หรอกว่าเธอจะมีอายุขัยนานเท่าใด มีเส้นใยเกลียวแม่เหล็กติดตั้งมากี่ขด เพราะมันคือความลับสำหรับเธอและมันเป็นเงื่อนไขของฟ้า

2.มนุษย์มักจะคิดโง่ๆเสมอ เช่น ถ้าร่างกายต้องการธาตุโปรตีนก็ต้องไปไล่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอาเลือดเนื้อของเขามากินเป็นอาหาร เพราะเข้าใจว่ากินสารโปรตีนจากสัตว์แล้วมันจะเข้าไปเติมเต็มโปรตีนที่ร่างกายตนเองต้องการได้ 

3.ที่ว่าโง่ก็เพราะว่ามีวิธีอื่นที่ฉลาดกว่าโดยไม่ต้องฆ่าสัตว์ตัวใดเลยก็สามารถได้รับสารโปรตีนที่ร่างกายต้องการได้ เพียงแค่กินพืชผักและเมล็ดธัญพืช รวมทั้งผลไม้ให้หลากหลายเข้าไว้ในแต่ละวันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

4.เพราะเพียงแค่เอาวัตถุดิบเหล่านั้นทานเข้าไปในร่างกาย เซลอวัยวะร่างกายต่างๆที่พระบิดาติดตั้งโรงงานแปรรูปวัตถุดิบให้เป็นสารอาหารที่ร่างกายเธอต้องการแม้แต่โปรตีนที่ว่าเนี่ย ก็จะทำหน้าที่แปรธาตุผลิตสร้างสารอาหารที่ร่างกายต้องการได้เองจากสิ่งที่เธอทานเข้าไปนี่ล่ะ ทั่วร่างกายเธอพระบิดาทรงติดตั้งโรงงานต่างๆเอาไว้มากมายเพียงแค่เธอกินอาหารให้ถูกต้อง นั่นคือ ใส่วัตถุดิบเข้าไปในปากผ่านสู่กระเพาะลำไส้เธอเท่านั้นเอง เธอจะไม่มีวันขาดโปรตีนและสารอาหารใดๆเลยในชีวิตนี้ เธอจะไม่ท้องอืด ไม่เป็นโรคทาวเดินอาหาร และอายุยืนยาว อารมณ์ดีอีกด้วย 

5.อย่ากินเฉพาะเทศกาลกินเจเท่านั้น หยุดกินเนื้อสัตว์ให้ตลอดชีวิตเลยจะได้ผลอย่างที่เรากล่าวและไม่โง่ต่อไปอีกด้วย 

6.กินเซลเพื่อนมนุษย์ที่อายุยืนเหรอ เอามาไง ฆ่าเขาอีกเหรอ ไม่ว่าจะได้มาไง ไม่ได้ผลหรอก คิดโง่ๆอีกเหมือนเดิม เธอจะอายุยืนได้จริงๆนะเหรอทำแบบนี้สิ......
(1).จิตเป็นสุญตาตลอดเวลาในยามตื่น 
(2).ทานพืชผักผลไม้และธัญพืชเท่านั้น 
(3).ดื่มน้ำธรรมชาติบริสุทธิ์ให้เพียงพอ 
(4).ใช้ชีวิตประจำวันด้วยความไม่ประมาท 
(5).ทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์และต่อโลกด้วย ไม่ทำเพื่อตนเองและพวกตัวเท่านั้น และไม่นั่งนอนรอความตายอย่างเดียวเพราะคิดว่าตัวเองแก่แล้ว....หยุดแล้ว....ไม่ไหวแล้ว.....
(6).ไม่เบื่อโลก เบื่อเพื่อนมนุษย์ เบื่อตนเอง แต่จงสนุกกับชีวิต ศรัทธากับการเป็นมนุษย์ 

7.ทำแบบนี้ต่างหากถ้าอยากอายุยืน ไม่เห็นต้องฆ่าใคร ต้องกินใคร 

(ป.วิสุทธิปัญญา)


08 กันยายน 2555

อย่าเดินถ่างขา ถ้าใฝ่นิพพาน



สำหรับนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

1.ผู้เลือกที่จะครองเรือน มีครอบครัว มีสังคม

2.มีมรรคผล ตามเส้นทางสายอริยะมรรค ปลายทางคือหลุดพ้น

3.ทำความดีงามด้วยจิตสำนึก(จิตและกาย) โดยเน้นที่กุศลไม่เน้นการสั่งสมบุญวาสนา

4.สอบให้ผ่านบททดสอบจิตสำนึกรายวันที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้ หรือทำต่อตนเองให้จงได้

5.เครื่องมือที่ต้องใช้ในการทำข้อสอบมีดังนี้ (ต้องใช้ให้ครบ)
5.1 ต้องรักให้ได้แม้เขาจะไม่น่ารัก
5.2 ต้องให้เขาให้เป็น แม้เขาเป็นคนที่เราไม่น่าให้
5.3 ต้องไม่ก้าวล่วงผู้อื่น
5.4 ต้องรู้สติอยู่ตลอด
5.5 ต้องมีสติ คือ ฉลาดรับรู้ ฉลาดรับเอา และฉลาดสนองตอบ
5.6 ต้องใช้สติ คือ คิดก่อนคิด คิดก่อนพูด คิดก่อนทำเสมอ โดยใช้ ปริญญาโมเด็ล(Parinya Model) กฎแห่ง 4 ถูกให้ชำนาญ คือ
<<< ต้องถูกคน คือ ไม่ผิดคน
<<< ต้องถูกวิธี คือ ใช้วิธีที่ถูกต้อง
<<< ต้องถูกที่ คือ ที่ๆเหมาะสม
<<< ต้องถูกเวลา คือ เวลาที่เหมาะสม

6.หากปฏิบัติตามข้อ 5 ได้ตลอดภพชาตินี้ มีสิทธิ์นิพพานกรรมได้อย่างสิ้นเชิง คือ "ไม่ก่อกรรมใหม่และแก้ไขกรรมเก่าได้ทุกกรณี"
โอกาสหลุดพ้นคือนิพพานในภพชาตินี้ มีเปอร์เซ็นต์สูงยิ่งนัก

ป.วิสุทธิปัญญา
8-10-2012

28 สิงหาคม 2555

ความรักในต่างศาสนา



เสวนาธรรมคำสอน 3 พระศาสดาเรื่อง "ความรักในต่างศาสนา"
พุทธ-คริสต์-อิสลาม ในงาน "รักเพื่อรัก" ครั้งที่ 8 จ.กำแพงเพชร
โดยท่านพระครู ดร.ศรีวชิรสุนทร บาทหลวงรังสิพน เปลี่ยนพันธ์ และโต๊ะอิหม่าม
วุฒิพงษ์ วงษ์มณี

16 สิงหาคม 2555

ความรักของมนุษย์ หยุดภัยพิบัติโลกได้



ถ้าน้ำในกาเดียวกัน "ร้อนกับเย็น" มันอยู่ด้วยกันไม่ได้
แล้วใจดวงเดียวกัน "รักกับชัง" มันอยู่ร่วมกันได้ไง?

15 สิงหาคม 2555

ดอกรักแรกพบ




"ดอกรักแรกพบ" จากแม่สอด
ช่อเก่าโรยไป ช่อใหม่บานแล้ว

(((+)))
อีโมติคอนheart สองดอกแดง แสงสด ดั่งหยดชาด
ช่อผงาด เคียงคู่ ชูเกสร
สี่กลีบดอก รูปหัวใจ ดั่งไฟฟอน
เร้ารุมร้อน เพราะประจักษ์ “รักแรกพบ”

ป.วิสุทธิปัญญา

08 สิงหาคม 2555

ครูคือใคร?



ครูคือใคร?

คนที่จะเป็นครูสอนธรรมะผู้อื่นนั้น ใช่ว่ารู้ธรรมะมากกว่าก็จะเที่ยวสั่งสอนคนอื่นได้ เพราะบทบาทหน้าที่ครูผู้สอนธรรมะ เป็นภารกิจทางจิตวิญญาณเฉพาะตนที่ถือติดตัวมาพร้อมกับพลังอำนาจทางจิตวิญญาณด้านของแก่นแท้ อันประกอบด้วยองค์สาม คือ ภูมิรู้ภูมิธรรม และภูมิปัญญาโดยอำนาจทั้งสามจักต้องสูงกว่าผู้ถูกสอนเสมอ
เพราะองค์สามนี้เท่านั้นที่จะปราบมิจฉาทิฐิ ความโง่ และความงมงายของผู้ถูกสอนได้ คนทั่วไปจึงควรเป็นครูผู้สอนตนเอง และทำตนเป็นแบบอย่างของคนอื่นๆน่าจะเหมาะกว่า

ป.วิสุทธิปัญญา
08-08-2012

25 กรกฎาคม 2555

“นายสลับนาง” กับ “นางสลับนาย”



“นายสลับนาง” กับ “นางสลับนาย”

(((+))) นี่...เป็นชาย แต่หมาย ได้เป็นหญิง
บ้างเป็นหญิง กลับหมาย เป็นชายบ้าง
ทั้งสองกรรม ยามอดีต ใฝ่ผิดทาง
ชาตินี้นาง สลับนาย จนว่าย...วน...

(((+))) เหตุแห่งกรรม ทำไว้ หลายฉบับ
ไม่ยอมรับ เพศแท้ ที่แม่สน
ไม่พอใจ ร่างร้าย แห่งกายตน
ไม่สานผล สมเหตุ แห่งเพศตัว

(((+))) จะเพศใด ได้เกิด นั้นเลิศยิ่ง
ชายหรือหญิง เป็นบุญ คุณล้นหัว
งามไม่งาม กรรมดล อย่าหม่นมัว
ละเว้นชั่ว ทำดี อยู่ที่ใจ

ป.วิสุทธิปัญญา
2-7-12

19 กรกฎาคม 2555

อย่าเดินถ่างขา ถ้าอยากนิพพาน



(((+)))นักเรียนห้องเรียน ป.วิสุทธิปัญญา ทุกคน

1.คำว่า "เดินถ่างขา" หมายถึง การดำเนินชีวิตแบบคนเดียวแสดงสองบทบาท คือ ยึดถือทั้งแบบนักรบแห่งแสงสว่าง เอาเยี่ยงอย่างพระหรือนักบวชหรือผู้ครองศีล ขณะที่ตนเองนั้นยังเลือกที่จะครองเรือนเสมือนพร้อมที่จะถือบทบาทของ "นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง" ไปด้วย
2.เธอทุกคนจักต้องรู้ว่า ถ้าเธอไปเลือกรับเอาวิถีปฏิบัติของ "นักรบแห่งแสงสว่าง" ผู้ละสิ้นซึ่งอาสวกิเลสแล้วอย่างที่เธอเพียรฝืนทำกันอยู่นั้น เธอก็จะประสบชะตากรรมเหมือนทุกภพชาติที่ผ่านมา คือ "บวชมานมนานแต่นิพพานไม่ได้"
3.เพราะวิถีปฏิบัติบนเส้นทางสายนิพพานของบรรดา "นักรบแห่งแสงสว่างนั้น" เขาเน้นการสร้างพลังอำนาจในตัวเอง โดยปฏิบัติกับจิตและปัญญาของตัวเอง ที่เรียกว่า "กรรมฐาน" คือ ทำอยู่ในที่ตั้งคนเดียว ลูกเมียไม่เกี่ยวหรือถือครองสันโดดเพื่อสร้างสมถะนั่นเอง
4.พวกเขาเน้นข้อพระธรรมในพระไตรปิฎกอันเสมือนเป็นตัวแทนแห่งพระโอวาทคำสอนของพระบรมมหาศาสดา เน้นครองพระธรรมวินัยที่พระศาสดาทรงบัญญัติไว้ทั้ง 227 ข้อ กับพระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ โดยมุ่งปฏิบัติตามนั้นอย่างเคร่งครัด ขณะที่เขาทั้งหลายจักต้อง "จำวัดปฏิบัติกรรมฐานสมาธิ และจำศีล" โดยเคร่งครัด มิเช่นนั้นจะยกระดับจิตปัญญาสู่สภาวะการรู้แจ้งไม่ได้ ที่สำคัญคือ ปิดกั้นตนเองให้ไกลจากอาสวกิเลสอันเป็นสิ่งยั่วยุทั้งปวง รวมทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ ลาภสมบัติ แม้ลูกเมียและอื่นๆ
5.เพราะถ้าใกล้สิ่งยั่วยุเหล่านี้ โอกาสที่จิตจะตกจนก่อกรรมใหม่ๆขึ้นมาได้ ในขณะที่กรรมเก่าก็ยังแก้ไขไม่สำเร็จอยู่อีกต่างหากด้วย การครองสันโดด(อยู่กับตัวเองคนเดียว) ก็เพื่อเหตุผลตรงนี้ด้วย
6.ถ้าเธอรักจะเจริญรอยตาม ก้าวตามพวกเขาไปในเส้นทางนี้ จณะที่เธอยังไม่ได้ละวางทางโลก เธอเห็นรึไม่ว่าเธอสามารถรับเอาศีลมาได้แค่ 5 ข้อ ไม่ก็ 8 ข้อเท่านั้น ทั้งๆที่แท้แล้วมีตั้ง 227 ข้อมิใช่หรือ เพราะเหตุใดจึงรับมาเท่านั้นล่ะ ก็เพราะมันไม่เป็นธรรมชาติในบทบาทผู้ครองเรือนอย่างเธอใช่มั้ยล่ะ?

14 กรกฎาคม 2555

ความรู้มีไว้ใช้มิได้มีไว้แบกขน



ความรู้มีไว้ใช้มิได้มีไว้แบกขน
(((+)))
เกิดเป็นคน อับปัญญา ก็ว่าโง่
เกิดเป็นคน พาโล ก็ว่าชั่ว
เกิดเป็นคน ไม่กล้า ก็ว่ากลัว
เกิดเป็นคน เห็นแก่ตัว ก็ว่าชัง 

การเรียนมาก รู้มาก แบกหนักหรือ
คนร่ำลือ เรียนน้อย เหมือนถอยหลัง
ที่ไม่รู้ ทำเป็นรู้ ดูเซซัง
ใครสอนสั่ง ว่าเรียนมาก จะยากนาน?

ที่เรียนมาก ยากนาน เพราะมันโง่
มีความรู้ เพียงไว้โม้ โชว์ทั่วย่าน
ใช้ความรู้ ไม่เป็น ไม่เห็นงาน
จึงซมซาน แบกวิชา ไม่กล้าวาง....

ป.วิสุทธิปัญญา
14-07-2012 

13 กรกฎาคม 2555

ใช้ชีวิตคู่อย่างไรให้ยืนยาว



จะสอบผ่านบททดสอบชีวิตคู่กันได้ ต้องใส่ใจเรื่องเหล่านี้ 
........................................................................................


สาเหตุที่เขาไม่ค่อยจะพูดกับเธอ.................
อาจไม่ใช่เป็นเพราะมีนิสัยเป็นคนไม่ค่อยชอบพูดอย่างที่เธอคิดก็ได้ เป็นต้นว่า

1.เขากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่อย่างจดจ่อ
2.เขากำลังรอให้เธอง้อเพราะเธอทำให้เขางอน
3.เขาไม่อยากพูดกับเธอ เนื่องจากเธอเป็นคนไม่ยอมฟังเขาพูดบ้าง จึงนิ่งเสียตำลึงทอง
4.เขาไม่อยากพูดกับเธอ เพราะพูดทีไรทะเลาะกันทุกที ตัวเขาไม่อยากมีปัญหากับเธอจึงเงียบเฉยดีกว่า
5.เขาไม่อยากพูดกับเธอในขณะนั้น เพราะมีปัญหาทางปาก เช่น ปวดฟัน ปวดเหงือก ปวดลิ้น ไม่ก็เจ็บคออยู่
6.เขายังมีอารมณ์ค้าง ไม่พอใจเธอมาตั้งแต่วันวานแล้ว
7.เขากำลังเบื่อเธอ เซ็งเธอ เพราะความไม่เข้าใจกัน ความไม่ยอมกัน
8.เขาเบื่อความดื้อรั้นดันทุรังของเธอ พูดอะไรก็ไม่เชื่อ แนะอะไรก็ไม่ฟัง เธอเอาแต่ความคิด ความเชื่อ และอารมณ์ของเธอเองเป็นสำคัญ มีแต่หลักกูไม่มีหลักการและไม่มีเหตุผล
9.สาเหตุอีกเยอะแยะเลย....
(((+)))พบสาเหตุแล้ว แก้ไขที่เหตุ ทุกอย่างก็แจ๋ว....

ป.วิสุทธิปัญญา

07 กรกฎาคม 2555

เก็บรักมาหักชัง



บทเรียนจาก หลักสูตร "เก็บรักมาหักชัง"
ของเหล่ายุวจิตจักรวาลทายาท หลักสูตร 12

เป็นคาถาวิเศษ ใช้หยิบขึ้นมากำราบมารทันทีที่ก่อตัวขึ้นภายในสภาวะจิตของตน เพื่อการเก็บความรักขึ้นมาหักล้างความเป็นลบที่กำลังจะก่อตัวขึ้นให้ทันภายใน 3 นาทีที่พระบิดาทรงโปรโมชั่นเอาไว้ให้พวกเธอนั่นเอง

ป.วิสุทธิปัญญา
07-08-2012

03 กรกฎาคม 2555

แท่งเทียน


(((+)))ศิษย์รักแห่งเราทั้งหลาย....


1.แท่งเทียน คือ หลักธรรม
2.มือกุมกำ คือ หลักฟ้า
3.ความร้อน คือ ความเพียร
4.อีกแสงเทียน คือ ปัญญา
5.เทียนหยด คือ หยาดเหงื่อ
6.แท่งที่เหลือ คือ เวลา
7.เทียนสั้น คือ มรรคา
8.เทียนดับวับ คือ นิพพาน

ป.วิสุทธิปัญญา
03-07-2012

Attn.:Teerawat


Attn.:Teerawat
Q1:ในศาสนาคริสต์พวกเราถูกสอนให้สวดบทภาวนาต่างๆ เพื่ออ้อนวอนสรรเสริญและขอพรจาก พระบิดา พระบุตรและพระจิต รวมทั้งบรรดานักบุญต่างๆ แต่หลังจากที่ได้ศึกษาธรรมะและหนังสือของอาจารย์ ผมมีปัญหาว่า เราควรสวดเพื่อระลึกถึงความรักของพระองค์...มากกว่าขอพร ใช่มั้ยครับ?
Answer: In the Name of God @ Jesus Chryst

1.การที่คุณถูกสอนให้ทำเช่นนั้น ก็เพื่อให้คุณเข้าถึงการเป็น "คนสามมิติ" ด้วยการทำสามเหลี่ยมกับองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดาหรือพระเจ้าเอาไว้ตลอดเวลา โดยใช้กุศโลบายให้คุณสรรเสริญ-ภาวนา-ขอพระพร จากพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นยอดสูงสุดของสามเหลี่ยมเอาไว้ทุกลมหายใจเข้าออกเลย

2.การปฏิบัติเช่นนี้ก็เพื่อที่จะช่วยให้มนุษย์ เมื่อทิ้งกายสังขารลงไปเมื่อใด จะสามารถนำพาจิตวิญญาณตนเองคืนกลับสรวงสวรรค์ นอกระบบเอกภพ หรือแดนสุญตาที่จิตวิญญาณมนุษย์จากมาเสียนานทันที เพื่อจะได้กลับไปกราบพระบาทพระบิดาได้เลย โดยไม่ต้องแวะระหว่างทางที่ไหนให้ยุ่งยาก วุ่นวาย เสียเวลาไงครับ และถ้าระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา การทำชั่วย่อมไม่มี เมื่อไม่มีทำชั่วคำว่า "นรก" จึงมิพักต้องไปกล่าวถึงไว้ในศาสนาคริสต์ถูกมั้ย? ถ้าจะมีก็กล่าวเตือนแค่เพียงว่า "จะถูกไฟชำระ" ใช่มั้ยล่ะ??

3.เธอและชาวคริสต์ของเราทั้งหลาย จะต้องทำความเข้าใจด้วยว่า การทำสามเหลี่ยมกับพระบิดานั้น "เรา" สอนพวกเธอให้ทำสัญลักษณ์ด้วยมือแตะตรงหน้าผากและไหล่ซ้าย-ขวา เพื่อชี้ตาที่สามของเธอกับตัวตนที่เป็นมนุษย์ของเธอเอง เป็นรหัสที่เธอจะต้องใช้ปัญญาญาณถอดความให้ได้ว่า ไหล่ซ้ายขวาคือฐานของสามเหลี่ยม ด้านหนึ่งหมายถึง "พระบุตร" และอีกด้านหนึ่ง หมายถึง "พระจิต" และหน้าผากที่ตั้งของตาที่สามหมายถึงองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดานั่นเอง ที่ผ่านมาพวกเธอทำสามเหลี่ยมแบบนี้มาตลอดและยังทำอยู่ใช่มั้ย?

4.สำหรับพระบิดาซึ่งเป็นยอดสามเหลี่ยมนั้น หมายถึงพระผู้สร้างหรือผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง และเป็นผู้ทรงอนุญาตให้จิตวิญญาณของพวกเธอมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกนี้ ซึ่งก็คือพระเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้านั่นเอง ดังนั้น ถ้าพวกเธอเป็นมนุษย์ ไม่ว่าเธอจะมีเชื้อชาติศาสนาใดหรือไม่มีศาสนา พวกเธอก็มีพระเจ้าพระองค์เดียวกันทั้งนั้น ไม่ว่าเธอจะลืมพระเจ้าไปแล้ว เธอจะปฏิเสธพระองค์ หรือเธอจะต่อต้านพระองค์ เธอก็ยังคงมีพระองค์อยู่เช่นเดิม

5.ไหล่ซ้ายและขวาที่เธอแตะ อันเป็นฐานของสามเหลี่ยมนั้น ด้านหนึ่งหมายถึงพระบุตร คือ องค์จิตจักรวาลดวงเล็ก ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มี 11 เหลี่ยมมุม และทุกวันนี้ยังคงดำรงตนเองอยู่กับพระบิดานอกระบบเอกภพ โดยที่พระบุตรก็คือ ตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของมนุษย์ที่พระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้ในแดนสุญตา จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน และทรงอนุญาตให้หนึ่งรูปธรรม สามารถแบ่งภาคตนเองออกมาเป็นกล่องพลังงาน 6 เหลี่ยมมุม ที่มนุษย์เรียกว่า "จิตวิญญาณ" ได้ถึง 36 รูปธรรม เพื่ออาสามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้ 

6.ดังนั้น มนุษย์แต่ละคนจึงมี "พระบุตร" 1 รูปธรรมด้วยกันทั้งสิ้น และพระบุตร 1 รูปธรรม ก็จะสามารถแบ่งภาคตนเองออกมาเป็นจิตวิญญาณได้เต็มที่ถึง 36 รูปธรรม (รวมทั้งตนเองด้วย) "เรา" เรียกจิตวิญญาณที่ถูกแบ่งภาคมาเกิดเป็นมนุษย์ในแต่ละคนว่า "พระจิต"... อันเป็นรหัสของไหล่อีกด้านหนึ่งที่เธอสัมผัสนั่นเองยังคงระลึกถึงกันได้อยู่ไหม?

7.การที่ "เรา" กำหนดรหัสเช่นนี้ไว้ ก็เพื่อให้เธอทั้งหลายได้น้อมนำจิตวิญญาณของเธอสร้างความสัมพันธ์เป็นระบบสามเหลี่ยมไว้กับพระบิดา และตัวตนภาคแรกของเธอหรือ "พระบุตร" เอาไว้ให้มั่นคงตลอดเวลา โดยอาศัยพลังงานความรักจากจิตวิญญาณของเธอเองที่สั่นสะเทือนมอบให้แก่เพื่อนมนุษย์และโลกตลอดวัน กับพลังงานของความศรัทธาอย่างสุดซึ้งที่พวกเธอพึงจะมีต่อองค์พระบิดาหรือพระเจ้าของเธอเป็นตัวขับเคลื่อนกระบวนการปฏิสัมพันธ์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ประหนึ่งว่าเธอมียอดเจดีย์หรือเสาอากาศสวมครอบไว้บนศีรษะเธอ ในการติดต่อสัมพันธ์กับองค์จิตจักรวาลซึ่งเธอสามารถเคลื่อนย้ายไปได้ทุกที่ ทุกแห่งหน และทุกเมื่อที่เธอปรารถนา โดยไม่ต้องยุ่งยากเสียเวลาไปติดตั้งหรือสร้างเสาอากาศ สร้างเจดีย์ สร้างสัญลักษณ์ที่เป็นวัตถุใดๆขึ้นมาให้รกโลกของพระบิดาแห่งเราโดยไม่จำเป็นอีก

8.เพื่อให้พวกเธอสามารถเข้าถึงการเป็น "คนสามมิติ" ดังกล่าวมาแล้วได้จริงๆเราจึงแนะเน้นพวกเธอเสมอว่า "จงรักให้ได้ แม้ว่าเขาจะไม่น่ารักก็ตาม" "จงให้อภัยเขาให้ได้ แม้ว่าเขาไม่สมควรที่เราจะให้อภัยก็ตาม" และเราสอนเธอให้รักในพระเจ้า รักในพระบิดา ทั้งนี้ก็เพื่อใช้คลื่นพลังงานความรัก ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกที่เป็นคลื่นจิตนี่เอง ทำให้สามเหลี่ยมนี้ศักดิ์สิทธิ์สมดุล ในอันที่จะช่วยให้เธอสื่อสารกับพระบิดาหรือพระเจ้าได้ และพระองค์ก็ได้ทรงเมตตาประทานพรตามที่พวกเธอจำนวนมากร้องขออยู่เสมอมาแม้จะไม่บ่อยเท่าใดนัก เนื่องจากพระองค์มีพระประสงค์จะให้พวกเธอรู้จักขอจากตนเองมากกว่า แต่ถ้าเป็นความรักแล้วพระองค์ทรงมีให้แก่พวกเธอเสมอมาและตลอดไป

ป.วิสุทธิปัญญา

ใจหรือจิตใจ


Visudhi Punya (((+)))

1.คำว่า "ใจหรือจิตใจ" อักษรจีนเน้นจุดสี่จุด โดยมีรูปลักษณ์ดั่งเคียวกั้นอยู่ท่ามกลาง

2.จุดทั้งสามหมายถึง การเป็นคน 3 มิติ อันหมายถึง "มนุษย์"

3.จุดที่ลักษณะคล้ายเคียวอยู่ท่ามกลางนั้น มันมิใช่สิ่งกีดขวาง แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเคลื่อนไหว-เหวี่ยงหมุน ทั้งสามจุดนั้นให้สมดุลต่างหาก

4.เนื่องจากพวกเธอต้องใช้จิตหรือจิตใจเป็นกลไกการขับเคลื่อน สู่การเป็นคนสามมิติให้สำเร็จ และลูกศรแสดงทิศทางการเหวี่ยงหมุนที่เธอเรียกว่าเคียวเกี่ยวข้าว ทุกอย่างจึงเป็นสัญลักษณ์แทนคำว่า "ใจ" ที่วันๆจักต้องทำหน้าที่ดังว่านี้ให้สำเร็จ

5.จุดแรกจึงหมายถึงจิตวิญญาณตนเองที่อยู่บนโลก เชื่อมโยงกับจุดที่สองคือตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของตนในแดนสุญตา และจุดสูงสุดคือองค์จิตจักรวาลผู้ทรงเป็นพระบิดาซึ่งสถิตย์ประทับอยู่ตรงแกนกลางของมหาจักรวาลนั่นแล....

6.หมายความว่าถ้าทำสำเร็จ เธอก็นิพพานได้ คือ กลับบ้านได้ และทุกคนต้องกลับบ้านด้วยโดยใช้จิตเป็นตัวขับเคลื่อน สมดั่งคำว่า "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" นั่นเอง

ป.วิสุทธิปัญญา

02 กรกฎาคม 2555

พลังจิตหยุดวิกฤตโลกได้อย่างไร?



(((*1*))) พลังจิตหยุดวิกฤตโลกได้อย่างไร?

1.วิกฤตโลก หมายถึง สภาวการณ์ที่โลกเผชิญกับภัยพิบัติรูปแบบต่างๆที่แนวโน้มนับวันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

2.พลังจิต หมายถึง พลังงานของจิตอันได้จากการผลิตของจิตมนุษย์ เมื่อมีการสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึกเกิดขึ้นและเมื่ออยู่ในอาการสุขสงบ โดยที่พลังงานของจิตนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นบวก กับ ชนิดที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบ

3.พลังจิตของมนุษย์ จึงเป็นคลื่นความถี่ทางพลังงานที่เป็นชนิดเดียวกันกับคลื่นความถี่ของสนามแม่เหล็กโลกนี่เอง จะต่างกันก็ตรงที่พลังอำนาจแม่เหล็กโลกจะมีเพียงชนิดเดียวคือ ชนิดที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นบวก (ความรัก) เท่านั้น

4.คุณสมบัติทางไฟฟ้าของคลื่นพลังจิต จะเป็นด้านบวกหรือลบ ขึ้นกับอารมณ์รู้สึกของสภาวะจิตในขณะนั้นๆจะเป็นตัวกำกับ เช่น ถ้าสภาวะจิตสุขสงบและอารมณ์ดีพลังจิตที่ผลิตสร้างออกมาก็จะมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าของคลื่นเป็นบวก แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดีหรือสั่นสะเทือนเป็นกิเลสตัณหาและขณะมีสภาวะจิตว้าวุ่นสับสนแล้ว พลังจิตที่ผลิตสร้างออกมาก็จะมีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบเสมอ

5.สภาวะจิตกับอารมณ์รู้สึก ในมนุษย์แต่ละคนในทุกขณะจิตเมื่อยามตื่น ไม่ว่าในขณะนั้นๆเธอจะมีสติอยู่หรือไม่ก็ตาม ล้วนสามารถผลิตสร้างพลังจิตในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กออกมาภายนอกอยู่ตลอดเวลา วิธีการส่งคลื่นดังกล่าวนี้ออกมาภายนอกคล้ายๆกับการแผ่รังสีของพระสุริยะเทพ (Sun) นั่นเอง

(((*2*))) พลังจิตหยุดวิกฤตโลกได้อย่างไร?

6.เธอทุกคน สัตว์ทุกตัว ต้นไม้ทุกต้น ทรายทุกเม็ด และดินทุกๆอณู ต่างก็ล้วนมีคุณสมบัติและสมรรถนะในการแสดงศักยภาพแห่งการ ผลิตสร้างพลังงานที่มีคุณสมบัติด้านบวกหรือ “ความรัก” ออกมาภายนอกรูปธรรมของตนได้ทั้งสิ้น เพราะคุณสมบัติดังว่านี้ถูกกำหนดโดยพระผู้สร้างหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งพวกเธอกล่าวพระนามว่า “องค์จิตจักรวาล” นั่นเอง

7.พระองค์ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้เช่นนี้ก็เพื่อ มอบพลังอำนาจให้พวกเธอสำหรับการเข้ามาทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลกให้สำเร็จดังประสงค์ เพราะทรงอนุญาตให้พวกเธอมาเกิดแล้วกำหนดหน้าที่ให้ทำโดยไม่ประทานพลังอำนาจที่จะใช้ทำหน้าที่นั้นๆย่อมไม่ได้

8.หน้าที่ของพวกเธอและทุกสรรพสิ่งในระบบโลก ในบทบาทของ “เพื่อนร่วมงาน” ก็คือ การสั่นสะเทือนจิตสำนึกแห่งตน ผ่านอารมณ์รู้สึกนึกคิดของจิตที่เป็นด้านบวก เพื่อผลิตสร้างพลังจิตด้านบวกในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกโดยเฉพาะ ซึ่งพวกเธอสามารถกระทำได้ด้วยจิตใจของเธอเอง โดยมีเพื่อนร่วมโลกทุกคน ทุกตัว และทุกสิ่ง ในทุกขณะจิตยามที่เธอตื่นอยู่จะเป็นผู้หยิบยื่นเงื่อนไขทั้งดีและร้าย ให้เธอใช้กระตุ้นสภาวะจิตของเธอให้มันสั่นสะเทือนทางด้านบวกทั้งวี่วันให้จงได้ ส่วนใครจะดีจะร้ายกับเธอนั้น มีเพียงคำตอบเดียวก็คือ เธอจักต้องสั่นสะเทือนจิตใจมอบความรักแก่เขาให้ได้นั่นแหละเธอ...ไม่มีเป็นอื่นเด็ดขาด!

9.พลังจิตชนิดบวกของพวกเธอนั้น เมื่อสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกเป็นการแสดงออกหรือกระทำดีต่อกันแล้ว จำนวน 1% ของผลผลิตทางพลังงานร่วมที่เกิดขึ้นในทุกวินาที คือ พลังงานเริ่มต้นที่พวกเธอแต่ละคนแต่ละหมู่คณะได้มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกของเธอไปแล้ว ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาเธอมิอาจล่วงรู้

10.พลังจิตด้านบวกในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กที่มีอำนาจทางไฟฟ้าเป็นบวกนี้ คือ พลังงานเริ่มต้นที่พวกเธอจะต้องช่วยกันผลิตสร้างขึ้นมอบให้ดาวโลกในทุกวินาที เพื่อใช้จุดคบเพลิงหรือจุดไฟให้แก่ดาวโลกของเธอเอง ด้วยสำนึกว่ามันคือ “หน้าที่ทางจิตวิญญาณ” ของสัตว์ทั้งหลายและมนุษย์ทุกคนอย่างพวกเธอนี่แหละ

11.ถ้าเธอเลือกแสดงบทบาทของผู้ครองเรือน เธอจึงต้องกระทำหน้าที่ดังกล่าวนี้ผ่านการเป็นคนสองมิติและสองบทบาท สองมิติหมายถึงต้องกระทำผ่านจิตและปัญญาหรือรวมเรียกว่า “จิตสำนึก” ส่วนสองบทบาท หมายถึง การเป็นนักรบแห่งแสงสว่าง และการเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง ควบคู่กันไปในชีวิตประจำวัน

12.การแสดงบทบาทของนักรบแห่งแสงสว่าง คือ การที่เธอจะต้องต่อสู้กับความไม่รู้ ความเกียจคร้าน ความเหนื่อยล้า ความทุกข์ยาก และความท้อแท้ในชีวิต เพื่อเอาชนะกิเลสตัณหาราคะอวิชชาและอุปาทานที่เธอต้องเผชิญมันอยู่รายวันนั้น เพื่อยกระดับแรงสั่นสะเทือนแห่งจิตหยาบให้เป็นหนึ่งกับใจคือจิตวิญญาณแก่นแท้ของเธอเองให้จงได้ เมื่อทำสำเร็จเครื่องยนต์แห่งกรรมของเธอก็จะทำการผลิตสร้างพลังจิตด้านบวก ที่จะใช้จุดคบเพลิงเพื่อให้แสงสว่างแก่ดาวโลกของเธอได้ในที่สุด

ป.วิสุทธิปัญญา
2-7-12

(((*)))ไฟชำระแท้จริงหมายความว่าอย่างไร? 

ทราบแต่ว่าถ้าบาปหนักตกนรก บาปเบาลงไฟชำระ แล้วมีโอกาสไปสวรรค์ได้
(((+)))ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆนั้น ใครที่ทำผิดบาปครั้งที่เป็นมนุษย์เมื่อตายไปจิตวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะต้องถูกส่งไปลงนรก เพื่อไปปรับจูนจิตสำนึกทางวิญญาณที่หลงมิติหรือเสียสมดุลไป(การชำระบาป)ให้คืนกลับสู่ความสมดุล อันหมายถึงการบำบัดรักษานั่นเอง

ทุกรูปธรรมทีจะถูกชำระบาปในนรกจะต้องเผชิญกับสถานการณ์อันไม่พึงประสงค์ เช่น ความทุกข์ทรมาน การอยู่ไม่เย็นไม่เป็นสุขหรือทำนองนั้น เปรียบเสมือนตกอยู่ในกองไฟฟอนนั่นแหละ เมื่อปรับสมดุลได้ดังเดิมแล้วถือว่า "ไฟชำระบาป" บรรลุผลแล้ว ก็ขึ้นมาจากนรกเพื่อมาเป็นมนุษย์แล้วมีโอกาสที่จะนิพพานหรือคืนกลับสวรรค์ไปกราบพระบาทพระบิดาตามปกติเหมือนคนอื่นๆต่อไป

แต่ถ้าหากมนุษย์คนใดทำกรรมหนักหนามากเหลือเกิน ก็จะตกนรกขุมที่ต่ำกว่าขั้นที่ 13 ลีกลงไปอีกจนถึงขั้นสุดท้าย คือ 16 นั่นแหละ ขั้นที่ 14-16 คือนรกโลกันต์ ลงไปแล้วกลับขึ้นมาไม่ได้อีกแล้วก็นิพพานหรือไปสวรรค์ก็ไม่ได้เสียด้วยสิ....

ปัญญาญาณ คือ อะไร?



(((+))) ปัญญาญาณ คือ อะไร?
1.คือ ระดับค่าของการสั่นสะเทือนของเซลสมองซีกขวา อันเกิดจากการกดปุ่มใช้มัน
2.คือ ระดับค่าความเข้มสนามแม่เหล็กของสมองซีกขวา ที่ได้จากการสั่นสะเทือนในขณะที่เธอกดปุ่มใช้มันอยู่
3.คือ พลังอำนาจทางปัญญาของจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของเธอ ที่จิตหยาบของเธอสามารถเข้าถึงการใช้งานมันได้ในขณะนั้น
(((+))) 
1.ปัญญาญาณ จะเกิดมีได้หรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวข้องกันกับว่าใครคนนั้นจะต้องมีภูมิรู้ ภูมิธรรม ภูมิปัญญา ถึงพร้อมเสียก่อน
2.แต่ภูมิรู้และภูมิธรรม...จะต้องได้มาจากภูมิปัญญาแห่งตนเท่านั้น 
3.หากไร้ซึ่งภูมิปัญญาใยจะมีเครื่องมือแสวงหาภูมิรู้และภูมิธรรมได้ล่ะ

ป.วิสุทธิปัญญา
02-07-2012

27 มิถุนายน 2555

15 มิถุนายน 2555

หลักแห่งการเป็นคนดี



(((+)))
หลักแห่งการเป็นคนดี:
1.ต้องรักให้ได้ แม้ใครคนนั้นไม่น่ารัก
2.ต้องให้เขาให้เป็น แม้เขาคนนั้นทำตัวไม่น่าจะให้
3.ต้องไม่ก้าวก่าย (ทางโลก) ไม่ล่วงเกิน (ทางจิตวิญญาณ)
4.ต้องใช้จิตสำนึกดำเนินชีวิต
>>คิดก่อนคิด
>>คิดก่อนพูด
>>คิดก่อนทำ
5.มีมหาสติทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน (ธรรมชาติสมาธิ)
>>ต้องรู้สติ
>>ต้องมีสติ
>>ต้องใช้สติ

โดย: ป.วิสุทธิปัญญา