29 กุมภาพันธ์ 2567

สวัสดีวันพฤหัสบดี 29/02/2024


 

คำสอน 29/02/2024


 

คำสอน 29/02/2024


 

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 29/02/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

เพราะองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่

ทรงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเกิดขึ้นของทุกสรรพสิ่ง

ที่มีอยู่จริงในทุกๆมิติภายในจักรวาลอันไพศาลนี้

เมื่อทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาจากจุดศูนย์กลางที่ว่านี้

พระองค์จึงทรงเสมือนดั่งจุดศูนย์กลางของจักรวาล

พระองค์จึงทรงมีพระสถานะเป็น #จิตจักรวาล

หมายถึงทรงเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลนั่นเอง

 

พวกคุณต้องรู้ว่า

แรกเริ่มเดิมทีก่อนที่พระองค์จะทรงอุบัติขึ้นมานั้น

จักรวาลเป็นเพียงอาณาบริเวณที่ว่างโล่งไม่มีสิ่งใด

แต่ในความไม่มีสิ่งใดนั้นมันก็มี “บางสิ่ง” ดำรงอยู่

จะกล่าวว่าเป็นความว่างที่มีอยู่แต่เหมือนไม่มีก็ได้

จักรวาลอันไพศาลที่ว่านี้จึงเรียกว่า #แดนสุญตา

เพราะ “สุญตา” แปลว่ามีบางสิ่งอยู่แต่เหมือนไม่มี

 

ก่อนที่พระองค์จะทรงอุบัติเกิดขึ้นมานั้น

บริเวณที่ว่างโล่งนี้มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลมาก

จนไม่มีผู้ใดสามารถจะไปถึงตรงขอบเขตสิ้นสุดได้

พื้นที่ว่างโล่งที่เราเรียกว่า “แดนสุญตา” ดังกล่าวนี้

จะเป็นบริเวณที่มีบางสิ่งซึ่งไร้ตัวตนในมิติแห่งมายา

มีการเหวี่ยงหมุนวนไปรอบจุดศูนย์กลางเดียวกันอยู่

โดยเหวี่ยงหมุนต่อเนื่องกันมานานเท่าใดไม่มีใครรู้

ลักษณะการหมุนวนของสิ่งที่ไร้ตัวตนไร้เงามายานี้

ไม่ต่างจากผงกาแฟกับน้ำตาลที่ถูก “คน” อยู่ในถ้วย

 

เมื่อคุณทำการคนทุกสิ่งในถ้วยกาแฟจนได้ที่แล้ว

คุณก็จะได้เครื่องดื่มกาแฟผสมน้ำตาลที่พร้อมดื่ม

 

ในการหมุนวนของสรรพสิ่งที่ไร้ตัวตนหรือเงามายา

ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในจักรวาลอันไพศาลนี้ก็เช่นกัน

บางสิ่งที่มีอยู่จริงแต่เหมือนไม่มีนี้จะถูกคนให้เข้ากัน

เมื่อบางสิ่งนั้นคลุกเคล้าเข้ากันจนเป็นหนึ่งเดียวแล้ว

ความมหัศจรรย์จึงอุบัติขึ้นดั่งเครื่องดื่มในถ้วยกาแฟ

ที่พร้อมต่อการดื่มชิมลิ้มรสชาติของส่วนผสมนั้นแล้ว

 

องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่

พระผู้ทรงเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาลก็เช่นกัน

พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาได้จากปรากฏการณ์ที่ว่านี้

พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาจากสรรพสิ่งที่เป็น #อนัตตา

ซึ่งเป็นสรรพสิ่งที่มีตัวตนอยู่จริงแต่เหมือนไม่มี

อาจกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงมีกำเนิดจาก “ความว่าง”

ความว่างที่ “ว่างไม่จริง” เพราะยังมีบางสิ่งดำรงอยู่

พระองค์ทรงเรียก “บางสิ่ง” ที่เป็นอนัตตาเหล่านั้นว่า

อนุภาคของแก่นแท้ที่ยังไม่ปรากฏตัวตนมายาให้เห็น

ซึ่งอนุภาคหรือตัวตนที่ว่านี้คือ #แก่นแท้ของความว่าง

 

ดังนั้น

เมื่อใดที่แก่นแท้ของความว่างเหล่านี้

มีการสั่นสะเทือนเกิดขึ้นก็จะปรากฏอัตตามายาขึ้น

นี่จึงเป็นที่มาของคำกล่าวที่ว่า

#สิ่งที่เป็นอนัตตาสร้างสรรพสิ่งที่มีอัตตาเสมอ

 

ด้วยเหตุนี้เอง

องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่

ทรงเป็นสิ่งแรกที่อุบัติขึ้นในจักรวาลอันไพศาล

ซึ่งทรงมีคุณสมบัติเป็นอนัตตาแต่ทรงมีอัตตา

โดยที่อัตตาตัวตนของพระองค์ที่เป็นมายานั้น

จะมีรูปลักษณ์เป็นรูปทรงเรขาคณิตที่มี 12 มิติ

อันเกิดจากสามเหลี่ยมด้านเท่าจำนวน 4 รูป

ที่อยู่ภายในวงกลมขนาดใหญ่วงเดียวกัน

หรือเป็นรูปธรรมในมิติทางพลังงาน 12 เหลี่ยมมุม

 

จำนวน 12 เหลี่ยมมุมดังกล่าวนี้

เกิดจากการเหวี่ยงหมุนรอบจุดศูนย์กลางรอบหนึ่ง

ยังผลให้อนุภาค “แก่นแท้ของความว่าง” ทั้งหมด

เคลื่อนไหวไหลวนไปชนกระแทกขอบเส้นรอบวน

โดยจะกระเด้งกระดอนกันเป็นลักษณะ 3 เหลี่ยม

นับจำนวนได้ 4 รูปซึ่งอยู่ภายในวงกลมวงเดียวกัน

หรือนับการกระเด้งกระดอนได้เป็นจำนวน 12 ครั้ง

ซึ่งการหมุนวนแต่ละรอบจะเท่ากับ 12 ครั้งทุกรอบ

 

นี่จึงเป็นที่มาของพระสัญลักษณ์ของพระองค์

ซึ่งมีรูปทรงเรขาคณิตเป็น 12 เหลี่ยมมุม

ที่ได้จาก 3 เหลี่ยมด้านเท่าจำนวนทั้งสิ้นสี่รูป

โดยทุกเหลี่ยมมุมของสามเหลี่ยมทั้ง 4 รูปนั้น

จะอยู่บน #เส้นรอบวน เส้นเดียวกันตลอดนั่นเอง

 

หลังจากที่พระองค์ทรงถือกำเนิดด้วยการอุบัติขึ้น

สิ่งแรกที่พระองค์ทรงสร้างหรือทรงให้กำเนิดเกิดขึ้น

ซึ่งทรงสร้างขึ้นมาใหม่โดยมิได้ #กำหนดสร้าง

แปลความหมายว่าทรงสร้างขึ้นมาโดยมิได้ตั้งใจ

ทรงสร้างขึ้นด้วยพระอำนาจภายในตนเองที่มีอยู่

โดยไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะทรงเนรมิตสร้างสิ่งใดได้

เนื่องจากพระองค์เพิ่งทรงอุบัติขึ้นเป็นครั้งแรก

จึงไม่มีประสบการณ์อดีตไม่มีประวัติศาสตร์ให้จดจำ

 

สิ่งแรกที่พระองค์เนรมิตขึ้นโดยมิได้กำหนดสร้าง

มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นจำนวน 2 สิ่งใน “สิ่งเดียวกัน”

คำว่า #สิ่งเดียวกัน ในที่นี้เราหมายถึง #เงามายา

โดย “เงามายา” ที่ทรงเนรมิตขึ้นมานี้ซึ่งมีสองสิ่ง

สิ่งแรกก็คือเงามายาที่เป็นรูปลักษณ์ของพระองค์

ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงานรูปทรง 12 เหลี่ยมมุม

สิ่งที่สองก็คือ “เงาเสียง” หรือ “เสียงสะท้อนกลับ”

อันเป็นความรู้ใหม่ของพระองค์ที่ทรงเรียนรู้ได้

 

ด้วยเหตุนี้เอง

เมื่อทรงกำหนดสร้างสิ่งใดสิ่งนั้นจะต้องมีเงามายา

ถ้ามีเสียงเกิดขึ้นมันจะต้องมีเสียงก้องตามมาเสมอ

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์


29/02/2567




28 กุมภาพันธ์ 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 28/02/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

การที่คุณรู้สึกไม่สบอารมณ์จนเกิดความขุ่นเคือง

เกิดความไม่พึงพอใจหรือไม่ชอบใจต่อใครบางคน

ที่เขากระทำไม่ถูกต้องต่อตัวคุณแบบใดแบบหนึ่ง

นั่นแสดงว่าคุณกับใครคนนั้นมีความแตกต่างกัน

ทางด้านอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตหรือด้านทัศนคติ

เช่น เขาเป็นคนพูดมากพูดไปเรื่อยเปื่อยพูดไม่รู้จบ

ขณะที่คุณไม่ชอบคนพูดมากอยากฟังแต่สาระก็พอ

 

เขาเป็นคนชอบเอาเรื่องบุคคลที่สามมา “นินทา”

ซึ่งการหาเรื่องแบบนี้มาคุยมาสนทนากับคุณนั้น

มันเป็นเรื่องที่คุณรังเกียจคือไม่ชอบเอามากๆ

เพราะเป็นการก้าวล่วงบุคคลอื่นให้เกิดการผิดบาป

ที่คุณไม่ปรารถนาจะร่วมสังฆกรรมกับเขาด้วย

คือไม่ต้องการที่จะร่วมก่อกรรมทำเวรอย่างไร้สติ

 

เขาเป็นคนเจ้าอารมณ์ขี้หงุดหงิดขี้โมโห

เป็นคนที่เมื่อไม่ถูกใจจะระเบิดอารมณ์ออกมาทันที

จากคนที่สุภาพเรียบร้อยก็จะเปลี่ยนเป็นคนก้าวร้าว

ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า #ของขึ้น ดั่งคนมีของ

คือจะมีอาการปากคอสั่นตัวสั่นเพราะจิตตกรุนแรง

จนกลายเป็นคนละคนไปชนิดที่ตั้งรับแทบไม่ทัน

นิสัยแบบนี้เป็นสิ่งที่คุณไม่ชอบคือรับไม่ได้เช่นกัน

 

เขาเป็นคนโลภเป็นคนมักมากเป็นคนเห็นแก่ตัว

โดยยึดหลักว่าผลประโยชน์ของตนต้องมาก่อน

ประโยชน์ของตนจะต้องได้มากกว่าคนอื่นๆเสมอ

แถมยังเป็นคนที่มีนิสัยตระหนี่ถี่เหนียวคือ “ขี้งก”

ไม่รู้จักแบ่งปันไม่รู้จักแลกเปลี่ยนไม่รู้จักเสียสละ

เวลาคนอื่นมีปัญหาก็ไม่อาจพึ่งพาอาศัยอะไรได้

นิสัยแบบนี้คุณก็รับไม่ได้อีกเช่นกัน

 

ที่เรากล่าวมาทั้ง 4 ตัวอย่างเหล่านี้

ล้วนเป็นพฤติกรรมขยะของคนใกล้ตัวบางคน

ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่คุณไม่พึงประสงค์นั่นแหละ

 

#พฤติกรรมขยะ แบบต่างๆที่มนุษย์แต่ละคน

ประพฤติปฏิบัติต่อคุณทั้งแบบถาวรและชั่วคราว

มันล้วนเป็นมายาซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิตหยาบ

ที่เป็นตัวแทนของแก่นแท้ของพวกเขาทั้งสิ้น

 

#ถ้าเป็นสันดานที่ไม่ดีของเขาก็เป็นมายาแบบถาวร

#ถ้าเป็นพฤติกรรมขยะแค่บางเวลาก็คือมายาชั่วคราว

 

โดยที่มนุษย์โลกทุกคนรวมทั้งตัวคุณเองด้วย

ต่างก็มีสันดานส่วนตัวที่เป็นพฤติกรรมขยะกันทุกคน

มากบ้างน้อยบ้างทั้งเหมือนกันและแตกต่างกันก็มี

คุณจำคำกล่าวของคนโบราณประโยคนี้ได้หรือไม่ล่ะ?

ที่กล่าวว่า “ว่าแต่เขา.....อิเหนาเป็นเอง!” นั่นน่ะ

จนเป็นที่มาของคำสอนที่ว่าถ้าคุณเองยังมีดีไม่พอ

ก็อย่าเที่ยวไปวิจารณ์หรือประจานเพื่อนมนุษย์คนอื่น

อันเป็นคำเตือนสติของคนโบราณที่น่ารับฟังยิ่ง

เหมือนคำกล่าวที่ว่า #ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ นั่นแหละ

 

เราจึงจะกล่าวความจริงต่อพวกคุณว่า

การสอนเพื่อเตือนสติกันมาในลักษณะนี้

พวกคุณได้ยินได้ฟังกันมาเกือบจะค่อนชีวิตแล้ว

มันได้ผลกันบ้างไหมล่ะมันช่วยคุณยับยั้งชั่งใจ

ไม่เอาเรื่องไม่เอาราวไม่ต่อความยาวสาวความยืด

ไม่กระตุ้นต่อมกิเลสตัณหาอารมณ์ขยะได้บ้างไหม

คำตอบก็คือ #คำเตือนคำสอน ที่ดีๆเหล่านี้

ในโลกแห่งความจริงนั้นพวกคุณใช้มันไม่ได้ผล

 

เพราะเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหาเข้า

คุณก็มักจะเกิดอาการ “จิตตก” แบบปัจจุบันทันด่วน

ไม่ต่างจากการพลัดตกจากที่สูงอย่างกระทันหัน

พลัดตกโดยไม่ทันตั้งตัวหรือไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน

มีทั้งอาการตื่นตกใจมีทั้งอาการกลัวภัยที่ต้องเผชิญ

ลึกๆแล้วคุณไม่ต้องการให้เขาทำเช่นนั้นกับคุณเลย

อาการตกใจและกลัวภัยจึงทำให้คุณจิตตกดังกล่าว

จึงทำให้ตัวคุณต้องแสดงอาการบางอย่างออกมา

เพื่อทำการปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยเอาไว้ก่อน

 

แต่วิธีเลือกที่จะปกป้องตัวเองของคุณนั้น

คุณกลับเลือกใช้วิธี #ต่อสู้ #ตอบโต้ #ต่อต้าน

ซึ่งเป็นการมุ่ง “ทำร้าย” คนเหล่านั้นให้แพ้พ่าย

ทั้ง ๆที่จุดจบของคุณกับพวกเขามีแต่ “หายนะ”

โดยไม่มีใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าถึงชัยชนะได้เลย

 

คนโง่เท่านั้นที่จะหาญกล้าทำศึกสงคราม

เข้าโรมรันพันตูกับข้าศึกทั้ง ๆที่รู้ตัวดีอยู่ว่า

ต่อสู้กันไปก็ไม่มีใครชนะต้องพ่ายแพ้ทั้งสองฝ่าย

 

เราจะกล่าวความจริงให้พวกคุณรู้ว่า

พระบิดาหรือพระเจ้าทรงยอมให้พวกคุณต่างกัน

ไม่ว่าจะเป็นด้านดีคือบวกหรือด้านร้ายก็คือลบ

เพื่อให้เป็นเงื่อนไขกระตุ้นจิตสามนึกของพวกคุณ

ด้วยบททดสอบที่หลากหลายใช้ได้ทุกสถานการณ์

แต่พวกคุณดันไปหลงผิดด้วยการยึดติดมายา

จนเข้าถึงแก่นแท้คือจิตวิญญาณกันและกันไม่ได้

เพราะคุณนำความแตกต่างมาสร้างความแตกแยก

จึงเข้าถึง #ความรักเพื่อให้ ในแบบพระเจ้าไม่ได้

การเป็นหนึ่งเดียวจากการ “คนให้เข้ากัน” ที่ต้องทำ

ต้องประสบความล้มเหลวกันตลอดมา

 

ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นอย่างซ้ำซากแบบนี้

นอกจากเข้าถึงแก่นแท้คือความรักเพื่อให้ไม่ได้แล้ว

พวกคุณถูกหลอกให้เสพติดกิเลสเสียจนเคยตัว

จนกิเลสฝังตัวอยู่ในจิตหยาบให้ผิดบาปตลอดมา

ซึ่งมันบดบังทั้งปัญญาและมหาสติเสียจนมืดมิด

แทนที่จะคิด “ยอมรับ” ในมายาที่เป็นแค่คุณสมบัติ

ซึ่งเป็นนามธรรมที่มิใช่อัตตาตัวตนแต่อย่างใด

พวกคุณกลับปฏิเสธความแตกต่างนั้นอย่างสิ้นเชิง

ยังผลให้ยิ่งโกรธมากมายานั้นจะยิ่งกลายเป็นอัตตา

ที่จิตหยาบพวกคุณสามารถยึดมั่นถือมั่นมันได้

เรื่องมันก็เลยเถิดจนยุ่งยากมากขึ้นไปอีกไม่รู้จบ

 

เมื่อคุณไม่พอใจพฤติกรรมขยะของใครบางคน

ลองสังเกตดูบ้างก็ได้ว่าการที่คุณโกรธขึ้งเขา

เป็นเพราะคุณไม่ชอบใจในพฤติกรรมขยะนั้น

นั่นคือคุณไม่อยากให้เขาทำไม่ดีแบบนั้นกับคุณ

ความหมายแท้จริงมันจะตรงกันกับประโยคที่ว่า

คุณต้องการให้เขาทำในแบบที่คุณชอบใจพอใจ

ถ้ายิ่งมีความต้องการมากคุณก็จะยิ่งโกรธมาก

 

นี่คือที่มาของตัวอย่างเรื่องการกินทุเรียน

ถ้าเนื้อในสีทองอร่ามหวานมันอร่อยของทุเรียนนั้น

คุณจะได้รับประทานหรือได้กินมันก็ต่อเมื่อ

คุณต้องฟันฝ่าผ่าแงะกลีบพูทุเรียนที่มีหนามคม

โดยข้ามผ่านอุปสรรคที่เป็นมายานั้นเข้าไปให้ได้

ถ้าคุณเป็นคนประเภท “อยากกินเนื้อแต่เบื่อหนาม”

มันจะทำให้การกินทุเรียนของคุณยุ่งยากมากยิ่งขึ้น

แปลความว่าคุณจะเข้ากันกับคนอื่นๆรอบข้าง

เพื่อปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณ

ด้วยการใช้ความเมตตาหรือความรักเพื่อให้

สั่นสะเทือนจิตสามนึกของจิตหยาบด้วยขันธ์ห้า

ในการผลิตพลังงานไฟฟ้าให้แกนแม่เหล็กโลก

เพื่อช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนจนสมดุลไม่ได้เลย

เพราะการหมุนธรรมจักรคนเดียวตามลำพังนั้น

พลังงานที่เกิดขึ้นมันไม่มากพอที่จะช่วยโลกได้

 

ดังนั้น ถ้าคุณเจอหนามทุเรียนเมื่อไหร่

จงอย่าบังอาจคิดจะเปลี่ยนทุเรียนให้ไร้หนาม

เพื่อทำให้คุณง่ายขึ้นที่จะปอกจะกินทุเรียนนั้น

ไม่ต่างจากการพบเจอใครที่มีพฤติกรรมขยะ

จงอย่าบังอาจคิดจะไปเปลี่ยนสันดานของเขา

เพื่อทำให้คุณคบกับเขาได้สะดวกใจมากยิ่งขึ้น

ถ้าคุณเปลี่ยนธรรมชาติของทุเรียนไม่ได้

สันดานที่ไม่ดีของคนอื่นซึ่งคุณไม่ชอบใจ

คุณก็เปลี่ยนไม่ได้ต้องให้เขาเปลี่ยนเองเช่นกัน

 

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์



28/02/2567




สวัสดีวันพุธ 28/02/2024


 

27 กุมภาพันธ์ 2567

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 27/02/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

การที่คุณหมุนธรรมจักรร่วมกันด้วยความรักมิได้

แม้กับคนร่วมเตียงเคียงหมอนในครอบครัวตัวเอง

สาเหตุหลักก็คือ

 

1.เพราะพวกคุณเข้าถึงความจริง

เบื้องหลังมิติโลกของกันและกันไม่ได้ว่า

แก่นแท้คือจิตวิญญาณทั้งของเขาและของคุณนั้น

จูงมือพากันมาเกิดตั้งแต่ภพชาติแรก

 

โดยวางแผนเขียนบทละครร่วมกันเพื่อมาแสดง

ในบทบาทของสมาชิกครอบครัวเดียวกัน

โดยมีหน้าที่จะต้องแสดงร่วมกันคือเป็นผัวเมียลูก

ที่จะต้องแสดงไปตาม “บทละคร” ที่ออกแบบมา

ซึ่งบทละครที่ต่างก็ออกแบบมาแสดงร่วมกันนั้น

มันจะใช้เป็น “เงื่อนไขในบททดสอบ” จิตสามนึก

เพื่อกระตุ้นให้จิตสามนึกสั่นสะเทือนเป็นความรัก

ในแบบของพระเจ้าคือ #รักเพื่อให้ ให้จงได้

 

บทละครที่แสดงออกหรือกระทำต่อกันนั้น

จึงมีทั้งบทดีบทร้ายคละเคล้าสลับสับเปลี่ยนกันไป

ทั้งนี้เพื่อเป็นเงื่อนไขให้ทุกคนทุกฝ่ายในครอบครัว

ตอบสนองทุกเงื่อนไขเป็นอดทนอดกลั้นให้อภัยให้ได้

 

2.เพราะพวกคุณเข้าถึงความจริง

เบื้องหลังมิติโลกของกันและกันไม่ได้ว่า

จากการสอบตกบททดสอบจิตสามนึกของกันและกัน

ตั้งแต่ชาติแรกที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดร่วมกันนั้น

จึงยังผลให้ทุกคนในครอบครัวเดียวกันในชาติแรก

พากันสอบตกซ้ำชั้นเพราะรักกันไม่ได้ให้อภัยไม่เป็น

ทำให้จิตวิญญาณของทุกคนต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่

เพื่อแก้ไขความผิดบาปที่เคยสอบตกร่วมกันมาก่อน

ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งถึงชาติปัจจุบัน

 

3.เพราะพวกคุณเข้าถึงแก่นแท้

ที่เป็นจิตวิญญาณของกันและกันไม่ได้

เนื่องจากหลงยึดติดมายาภายนอกของกันและกัน

ทั้งที่เป็นมายาแบบถาวรและมายาแบบชั่วคราว

จนลืมตัวตนแก่นแท้ของกันและกันที่เร้นอยู่ข้างใน

 

เมื่อจิตหยาบหลงยึดติดมายาภายนอกแล้ว

จิตหยาบก็ทำการ “สมสู่กับมายานั้น” จนมีการได้เสีย

จึงให้กำเนิดตัวอ่อนก็คือ #กิเลส ที่ต่อมาก็เป็นตัวแก่

นั่นคือ #ตัณหา กับบริวารอีกฝูงหนึ่งก็คืออารมณ์ขยะ

จึงทำให้จิตตปัญญาพวกคุณมืดบอดตลอดเวลา

จนเข้าถึงความรักในแบบพระเจ้าที่เป็นรักเพื่อให้ไม่ได้

เข้าถึงอำนาจในการใช้ปัญญาของสมองสองซีกมิได้

ในที่สุดพวกคุณ “คนตนเอง” จนตายมาแล้วหลายชาติ

ก็ไม่อาจคนตนเองให้เป็น “มนุษย์” กับเขาได้จนชาตินี้

 

เพียงแค่ไม่สมสู่กับมายาภายนอกของกันและกัน

ด้วยการ #รับรู้แล้วไม่รับเอามาปรุงแต่ง ในเวทนาขันธ์

โดยไม่ต้องแสร้งปิดทวารทั้งห้าเอาไว้คล้ายคนพิการ

ซึ่งเป็นวิธีการหนึ่งของจิตจักรวาลในเรื่อง #มหาสติ

เพื่อป้องกันมิให้จิตหยาบเกิดความรู้สึกใดๆขึ้นมาได้

ไม่ว่าจะรู้สึกชอบหรือไม่ชอบจะรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ

ก็อย่าให้มันเกิดขึ้นมาในจิตคุณจากการสมสู่เด็ดขาด

เพราะถ้ามีการสมสู่เกิดขึ้นเมื่อใดเป็นต้องท้องแน่นอน

การตั้งท้องก็คือการเกิดตัวอ่อนตัวแก่ในเวทนาขันธ์

ที่เรียกว่า “กิเลสกับตัณหา” นี่แหละ

 

4.เพราะพวกคุณไม่รู้ว่า

สมาชิกทุกคนในครอบครัวจะขาดกันและกันไม่ได้

จะละเมิดพันธะสัญญาที่จิตวิญญาณจับมือกันมาว่า

จะรักกันให้ได้อภัยกันให้เป็นโดยไม่ทอดทิ้งกันไม่ได้

 

แต่ละคนละเลยหลงลืมพันธะสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน

จึงกลายเป็นว่าไม่มีใครแคร์ใครไม่มีใครสนใจใคร

ได้แต่แคร์ความรู้สึกนึกคิดต้องการของตนเป็นสำคัญ

หรือเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่อยู่อย่างนั้น

ทั้งๆที่ครอบครัวพวกคุณมันถูกสร้างขึ้นด้วยความรัก

แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกคุณก็ไม่รู้ว่ารักแท้นั้นคืออะไร

จนเกิดเหตุการณ์ “บ้านแตกสาแหรกขาด” ตลอดมา

 

ด้วยนิสัยเอาแต่ใจตนเองเป็นสำคัญ

จากในครอบครัวตัวเองจนลามปามออกมานอกบ้าน

ทำให้ความล้มเหลวทางจิตวิญญาณของพวกคุณ

ทวีความเสียหายให้เกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวง

เพราะพวกคุณใช้ความรักช่วยให้โลกหมุนกันไม่ได้

ทำให้โลกทั้งระบบเสียสมดุลรุนแรงขึ้นทุกวัน

จนนำไปสู่มหันตภัยพิบัติโลกที่รุนแรงขึ้นถี่ขึ้นเช่นกัน

 

คนหลายคนยังไม่รู้ว่า

ความตายกับหายนะภัยกำลังรออยู่เบื้องหน้า

ทุกอย่างที่อันตรายกำลังจ่ออยู่ที่ปลายจมูกแล้ว

อีกหลายคนยังอยากไปเกิดบนสวรรค์มายากันอยู่

โดยไม่รู้ว่าตนนั้นกำลังหลงทางนิพพานไปแล้ว

หลายคนแม้อ้างตนว่าเป็นคนชอบธรรม

แต่กลับปฏิเสธข่าวประเสริฐจากพระองค์

ที่ทรงสื่อผ่านเรามาอย่างไม่ใยดี

เหตุเพราะมองข้ามผ่านมายามนุษย์ของเรา

เพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของพระบุตรเอกเช่นเราไม่ได้

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

27/02/2567




คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 27/02/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ถ้าหนามทุเรียนอันแหลมคมซึ่งเป็นเปลือกนอก

มันมิใช่ตัวตนแก่นแท้ที่เป็นของผลทุเรียนลูกนั้น

เมล็ดของมันซึ่งมีเนื้อสีเหลืองทองหอมหวานหุ้มอยู่

นั่นต่างหากที่เป็นตัวตนแก่นแท้ของผลทุเรียน

ซึ่งกินแล้วได้คุณค่าทางอาหารและอร่อยดีอีกด้วย

ทำให้คนไทยและชาวต่างชาตินิยมรับประทานกัน

จนทุเรียนกลายเป็นราชาแห่งผลไม้ที่มีราคาสูงลิ่ว

 

ถ้าใครมองเห็นผลทุเรียนที่มีหนามแหลมคม

ถ้าใครได้กลิ่นฉุนของกำมะถันอันเป็นกลิ่นที่รุนแรง

ถ้าใครลองปอกทุเรียนแล้วรู้ว่าแซะแงะพูนั้นมันยาก

ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอุปสรรคในการกินทุเรียนมาก

จนทำให้เลิกล้มความตั้งใจในการกินทุเรียนไป

ใครคนนั้นก็จะไม่มีวันได้ลิ้มรสทุเรียนอย่างแน่นอน

ถ้าอยากกินเนื้อแต่เบื่อหนามและรู้ว่าปอกก็แสนยาก

 

เพื่อนมนุษย์ของพวกคุณก็เช่นกัน

ไม่ว่าเขาจะเป็นใครและเกี่ยวข้องกับคุณกันอย่างไร

แต่ละคนล้วนมีมายารูปลักษณ์แบบถาวรของตนเอง

ซึ่งเป็นคุณสมบัติทางจิตวิญญาณของพวกเขา

ที่จะแสดงออกมาเป็นตัวตนคือสังขารและรูปลักษณ์

รวมทั้งอุปนิสัยใจคอและสันดานทั้งที่ดีไม่ดีปนกันไป

 

นอกจากนั้นแต่ละคนก็มีมายารูปลักษณ์แบบชั่วคราว

ซึ่งจะถูกนำออกมาแสดงไปตามอารมณ์ของตนด้วย

แน่นอนว่ามายารูปลักษณ์ทั้งถาวรและชั่วคราวที่ว่านี้

หลายอย่างของเขาคุณอาจจะไม่ชอบหรือไม่ยอมรับ

ขณะที่บางอย่างของเขาคุณอาจจะชอบหรือพอรับได้

ถ้าคุณปฏิเสธ “มายา” ที่เขาแสดงออกมาให้ได้รู้เห็น

โดยนำเอาสิ่งที่คุณไม่ชอบไม่พอใจหรือรับไม่ได้

มาเป็นเงื่อนไขด้านลบเพื่อทะเลาะหรือขัดแย้งกับเขา

คุณก็จะเข้าถึงแก่นแท้คือจิตวิญญาณของเขาไม่ได้

 

ไม่ต่างจากการปฏิเสธหนามหรือกลิ่นฉุนของทุเรียน

ก็จะทำให้คุณอดกินเนื้อทุเรียนแสนอร่อยที่อยู่ข้างใน

เพราะคุณข้ามผ่านมายาที่เป็นเปลือกนอกเข้าไปมิได้

ถ้าคุณฉลาดใช้ #จิตตปัญญาตาที่สาม” ของคุณ

โดยยืนยันที่จะกินเนื้อในของทุเรียนลูกนั้นให้ได้แล้ว

คุณแค่ถามตนเองว่า “ฉันจะกินเนื้อในนั้นได้อย่างไร”

เป็นการถามหา “วิธีการ” เพื่อให้บรรลุผลที่ต้องการนั้น

แทนที่จะท้อแท้ท้อถอยแล้วเลิกล้มความตั้งใจกันดื้อๆ

 

คุณจักต้องรู้ว่า

คนรอบข้างหรือคนใกล้ตัวของคุณทุกคนในทุกที่

พวกเขามีจิตวิญญาณที่มีความรักจากพระเจ้ากันอยู่

ภายในตัวตนแก่นแท้ของคุณเองก็มีอยู่เช่นกัน

 

ดังนั้น

แก่นแท้คือจิตวิญญาณของพวกคุณแต่ละคน

จึงไม่ต่างจากเนื้อในที่เป็นแก่นแท้ของทุเรียนลูกนั้น

ที่คุณต้องการจะเข้าถึงมันเพื่อแบ่งปันประโยชน์กัน

ถ้าคุณปฏิเสธมายาถาวรหรือชั่วคราวของกันและกัน

โดยนำมันมาเป็นเงื่อนไขด้านลบเพื่อผลักไสกันแล้ว

แก่นแท้ของคุณกับแก่นแท้ของตัวเขาคนนั้น

จะปฏิสัมพันธ์กันด้วยรักและเรียนรู้ร่วมกันได้อย่างไร

เพราะคุณนำเอาสิ่งที่แตกต่างมาสร้างความแตกแยก

ตั้งแต่แรกพบแรกเจอกันเสียก่อนแล้ว

 

พวกคุณต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า

เพราะคุณรู้จักรักตนเองเท่านั้น

คุณจึงสามารถหมุนธรรมจักรในตนเองได้

เพราะคุณรู้จักรักผู้อื่นทุกคนได้อย่างไม่มีเงื่อนไข

คุณจึงจะสามารถหมุนธรรมจักรร่วมกันกับทุกคนได้

 

ถ้าคุณเป็นผู้เริ่มต้นในการหมุนธรรมจักรเป็นคนแรก

แล้วชวนให้คนอื่นมาร่วมกันหมุนไปกับคุณได้ตลอด

ด้วยการแสดงออกหรือกระทำด้านบวกต่อพวกเขา

พลังร่วมที่เกิดขึ้นจากการหมุนธรรมจักรร่วมกันนั้น

มันจะเป็นไปตามสมการพลังงานทางช้างเผือก Σβx

ที่จะช่วยให้คนตั้งแต่สามคนขึ้นไปที่มาช่วยกันหมุน

สามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือนของจิตหยาบทุกคน

ให้สูงขึ้นจากปกติคือ 4D สูงขึ้นสู่ 5D และ 6D ได้

รวมทั้งคนอื่นๆที่หยัดยืนอยู่บนพื้นที่ 33.33 ตร.กม.

ซึ่งไม่ได้เข้ามาช่วยกันหมุนร่วมกับพวกเขาด้วยเลย

จะพลอยได้รับอานิสงส์ที่ตรงนี้แบบไปสวรรค์ด้วยกัน

 

คุณจะเห็นได้ว่า

แค่คุณเริ่มต้นฉลาดในการเป็น “คน” ได้เป็นคนแรก

โดยสามารถข้ามผ่านมายาถาวรและชั่วคราวที่ไม่ดี

ของคนทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดตัวคุณคือคนในครอบครัว

รวมทั้งข้ามผ่านมายาที่ไม่ดีของคนข้างบ้านทั้งหลาย

จนปฏิสัมพันธ์กันด้วยความรักแท้ของพระเจ้าได้

โดยใช้ปัญญาของสมองคือตาที่สามเป็นเครื่องมือ

ความสำเร็จสูงสุดของพวกคุณทุกคนมิใช่แค่บางคน

จึงจะบังเกิดผลอันยิ่งใหญ่อย่างเป็นรูปธรรมได้จริง

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

27/02/2567




คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 27/02/2567

 #คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้อง ๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

เมื่อคุณได้รู้ความจริงกันไปแล้วว่า

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณคือ #องค์จิตจักรวาล

พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งรายรอบตัวคุณขึ้นมา

โดยทรงมีวัตถุประสงค์หลักก็คือต้องการเรียนรู้ว่า

การที่พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาด้วยพระองค์เองนั้น

นอกจากจะทรงสร้าง “เงามายา” ของพระองค์เอง

ทั้งเงาที่เป็นตัวตนรูปลักษณ์และ “เสียงก้อง”

ซึ่งเป็นดั่ง “เงาเสียง” ของพระองค์ได้แล้ว

ยังจะทรงพระปรีชาสามารถทำสิ่งใดได้อีกบ้าง

 

ในบทที่ผ่านมา

เราได้หยิบยกเอาสรรพสิ่งต่างๆที่พระองค์ทรงสร้าง

ซึ่งเป็นสรรพสิ่งต่างๆที่พวกคุณสัมผัสรู้ดูเห็นใกล้ตัว

มาเป็นตัวอย่างอธิบายความให้คุณเข้าใจและเข้าถึง

โดยเฉพาะในเรื่องของ #มายารูปลักษณ์กับแก่นแท้

ด้วยการอธิบายความให้รู้เห็นสัจธรรมในธรรมชาติว่า

ทุกถ้วนสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นมานั้น

จะเป็นสรรพสิ่งที่มี “สองมิติ” ประกอบกันเสมอ

 

โดยตัวตนที่แท้จริงของสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้าง

จะเป็น “กลุ่มพลังงาน” ซึ่งเร้นตัวเองอยู่ข้างใน

แต่เนื่องจากเป็นพลังงานจึงไม่อาจดำรงอยู่อิสระได้

พระองค์จึงทรงต้องออกแบบให้มี “เปลือกนอก”

ทำหน้าที่ห่อหุ้มโอบอุ้มไว้ให้แก่นแท้ใช้ยึดเหนี่ยว

เปลือกนอกที่มีมวลหยาบกว่าซึ่งพลังงานยึดเกาะได้

จึงเป็นมิติทางกายภาพอีกมิติหนึ่งของสรรพสิ่งนั้น

ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้างล้วนมีสองมิติเหมือนกัน

 

ไม่เว้นแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่พวกคุณเรียกว่า #สัตว์โลก

อันหมายรวมถึง “สัตว์ประจำโลก” และ “สัตว์มนุษย์”

ซึ่งมี #กล่องพลังงาน แต่มิใช่ “กลุ่มพลังงาน”

ทำหน้าที่เป็นตัวตนแก่นแท้ของสิ่งนั้นอยู่ข้างใน

โดย “กล่องพลังงาน” ก็คือ #รูปธรรมจิตวิญญาณ

ซึ่งมีรูปธรรมที่เป็นรูปทรงเรขาคณิต 6 เหลี่ยมมุม

ทั้งในมนุษย์และสัตว์ประจำโลกทั้งหลายทุกเผ่าพันธุ์

ต่างจากต้นไม้ใหญ่หรือต้นหญ้าใบเล็กๆและสิ่งอื่นๆ

สรรพสิ่งเหล่านี้จะมีแค่ “กลุ่มพลังงาน” หลายความถี่

ลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ข้างในเปลือกนอกเท่านั้น

 

เนื่องจากพระองค์ทรงกำหนดสร้างกลไกอายตนะ

ในการสัมผัสสิ่งแวดล้อมต่างๆที่ทรงสร้างขึ้นไว้

จาก “มายา” ที่เป็นเปลือกนอกของแก่นแท้นั้นๆ

เฉพาะสิ่งที่เป็นรูปธรรมรสชาติกลิ่นเสียงกายสัมผัส

ด้วยกลไกอายตนะภายนอกเอาไว้ให้ทั้งห้าอย่างแล้ว

โดยไม่มีกลไกอายตนะใดๆที่จะสัมผัสกับพลังงาน

ซึ่งเร้นอยู่ในตัวตนแก่นแท้ทั้งหลายโดยตรงได้เลย

ก็เพื่อจะเปิดช่องทางการใช้ “ดวงตาแห่งปัญญา”

อันประกอบด้วย “จิตหยาบ” กับ “สมองซีกซ้าย”

ให้พวกคุณเรียนรู้ที่จะหยิบมันขึ้นมาใช้งานนั่นเอง

 

ดังนั้น

ดวงตาแห่งปัญญาที่เป็น “จิตกับสมองซีกซ้าย”

จึงเป็นเสมือนหนึ่งกลไกอายตนะชิ้นที่ 6 ที่สำคัญ

ที่คุณจะต้องใช้มันสัมผัสรู้สรรพสิ่งที่พระองค์สร้างไว้

ซึ่งเกินความสามารถที่จะใช้ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสได้

โดยที่สมองมนุษย์กับสมองของสัตว์ประจำโลกนั้น

พระองค์ทรงออกแบบให้มีสมรรถนะที่แตกต่างกัน

แน่นอนว่าสมองมนุษย์จะซับซ้อนแยบยลยิ่งกว่า

คุณจึงมีหน้าที่ต้องเรียนรู้ที่จะใช้สมองของตนให้ได้

ซึ่งทรงพระเมตตากำหนดให้คุณใช้สมองทั้งสองซีก

ในแบบอัตโนมัติกันอยู่บ้างแล้วทั้งซีกซ้ายและขวา

ตั้งแต่คุณมีอายุครบสามขวบปีเป็นต้นมานั่นแหละ

 

พวกคุณใช้งานอายตนะแบบอัตโนมัติกันเสียจนเพลิน

โดยไม่เคยเรียนรู้ที่จะใช้อายตนะทั้งหกอย่างจริงจัง

เพื่อให้เกิดประสิทธิผลในการเรียนรู้โลกของพระองค์

สู่การคนตนเองด้วยความรักหรือ #หมุนธรรมจักร

เพื่อยกระดับจิตหยาบจาก 4D สู่มิติที่ 6D กันอีกเลย

ความฉลาดในการใช้อายตนะทั้ง 6 จึงมิได้พัฒนากัน

ภาษาโลกเรียกว่าพวกคุณ “ติดใจที่จะใช้ของฟรี”

ที่พระองค์ทรงเมตตาติดตั้งเอาไว้ให้มาตั้งแต่เกิด

คุณจึงใช้งานกันอย่างไม่คุ้มค่าไม่เต็มประสิทธิภาพ

จนพากันเสี้ยมสอนสืบทอดกันมาแบบผิดๆว่า

 

#สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น

#สิบตาเห็นไม่เท่าเอามือคลำเอง

 

หมายความว่าจะเชื่อได้ก็ต่อเมื่อ

แค่ฟังคำเล่าลือที่เขาบอกต่อกันมาไม่ได้

คุณต้องรู้เห็นมันด้วยตาของตัวเองเท่านั้น

แต่แค่รู้เห็นด้วยตาของตนก็ยังไม่พอ

คุณต้องลูบต้องจับต้องคลำมันด้วยตนเองเท่านั้น

จึงจะเชื่อว่าใช่ได้แน่ ๆยิ่งกว่าแช่แป้ง!

 

คุณจะสังเกตได้ว่า

ตั้งแต่ยุคโบราณนานนมมาแล้ว

พวกคุณชาวโลกไม่เคยใส่ใจในอายตนะที่ 6

ที่เป็น #จิตตปัญญา ของจิตกับสมองสองซีกเลย

จนผู้รู้หลายคนในหมู่พวกคุณกันเองเปรียบเปรยว่า

คนบางคนมีสมองเอาไว้แค่คั่นหูสองข้างเท่านั้นเอง

 

เราจึงรีบกลับมาก่อนกำหนด

เพื่อช่วยจุดประกายทางปัญญาให้พวกคุณ

เหมือนดั่งนำเอาแสงสว่างมาสู่โลกเสรีนี้

เริ่มต้นจากโลกด้านตะวันออกแผ่ไปทางตะวันตก

ให้เกิดปรากฏการณ์เป็นประกายดุจสายฟ้าแลบ

เรากลับมาทำหน้าที่ช่วย “จุดตะเกียง” ให้พวกคุณ

ตะเกียงใครที่มีน้ำมันหรือใครที่ “มีน้ำยา”

ตะเกียงของคนนั้นก็จะลุกติดไฟได้ง่ายกว่าคนอื่น

ตะเกียงใครไม่มีน้ำมันหรือไม่มีน้ำยาจะจุดไม่ติด

เราจักต้องเสียเวลาเติมน้ำยากันก่อนแล้ว

 

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

 

เอเมน สาธุ

#ปัญญาวิสุทธิ์

27/02/2567