31 พฤษภาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 31/05/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
การที่ท่านทั้งหลายมีสำนึกในการ #ปฏิบัติธรรม
ขณะดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์อยู่บนโลกเสรีนี้นั้น
เป็นสิ่งที่น่ายินดีเป็นพฤติกรรมที่น่าสรรเสริญยิ่ง
ถ้าความหมายโดยรวมในการปฏิบัติธรรมของท่าน
คือ การคิดดี การพูดดี การทำดี การละเว้นทำชั่ว
หรือการปฏิบัติธรรมที่จริงจังตั้งใจไปมากกว่านี้
คือถือศีลกินเจสวดมนต์ให้ทานนั่งกรรมฐานภาวนา
รวมทั้งการเข้าโบสถ์เข้าวัดในวันสำคัญทางศาสนา
 
ทั้งหมดที่เรากล่าวมา
ล้วนเป็นความสวยงามในบริบทของมนุษย์โลกเสรี
ที่จะส่งผลให้มนุษย์อย่างท่านมีจิตใสใจสวยยิ่งขึ้น
ยังผลให้โลกเสรีนี้มีความสันติสุขมีความสงบได้
 
แต่น่าเสียดายยิ่งที่ท่านทั้งหลายมิได้ #ฉุกคิด กันว่า
ทุกศาสนาเป็นสากลมิได้เป็นของใครหรือของพวกใคร
จิตวิญญาณบริสุทธิ์ของทุกศาสดาก็มาจากที่เดียวกัน
เมื่อมาจุติยังโลกเสรีนี้ท่านก็ผลัดกันเข้ามาทำหน้าที่
ช่วยเหลือมนุษย์โลกในต่างยุคต่างสมัยกันตลอดมา
ถ้ายุคใดมนุษย์โลกขาดพร่องสัจธรรมในเรื่องใด
พระศาสดาก็จะทรงเข้ามาช่วยเติมเต็มในเรื่องนั้นให้
 
ท่านจึงเห็นได้ชัดว่าคำสอนของศาสดาแต่ละพระองค์
ในแต่ละยุคจะมีข้อธรรมะที่แตกต่างกันออกไปเสมอ
พระองค์ทั้งหลายจะมิสอนสัจธรรม “ทับซ้อน” กันเลย
เนื่องจากความต้องการสัจธรรมของมนุษย์ในแต่ละยุค
มันมีความผิดแผกแตกต่างกันนั่นเอง
 
ความเสียหายของคนใฝ่ธรรมที่เราเห็นว่าน่าเสียดาย
ก็ตรงที่พวกท่าน #หลงยึดติด ศาสนาเพียงหนึ่งเดียว
ชอบใจพอใจยอมรับศาสนาไหนก็จะยึดแต่ศาสนานั้น
ไม่ต่างจากการรับประทานอาหารในชีวิตประจำวัน
ถ้าตนชอบอาหารชนิดไหนก็จะเลือกรับทานแต่ชนิดนั้น
ยังผลให้เป็นโรคขาดสารอาหารจนร่างกายไม่แข็งแรง
เนื่องจากทานอาหารไม่ครบหมู่ตามที่ร่างกายต้องการ
 
สัจธรรมที่แต่ละพระศาสดาทรงสอนมนุษย์ในแต่ละยุค
ก็ไม่ต่างจากสารอาหารที่จิตวิญญาณมนุษย์ต้องการ
โดยมนุษย์จะ “เลือกทาน” หรือรับเอาจำเพาะศาสนา
เลือกรับถือเอาเฉพาะพระศาสดาพระองค์เดียวไม่ได้
ในแต่ละยุคของพระศาสดาทรงไม่สามารถกล่าวสอน
สัจธรรมความจริงที่มนุษย์โลกต้องรู้ต้องปฏิบัติได้หมด
แต่ละพระองค์จึงทรงเลี่ยงที่จะกล่าวซ้ำให้เสียเวลา
ได้แต่พยายามที่จะให้ความรู้ใหม่สานต่อกันมาเรื่อยๆ
 
เพราะการยึดติดศาสนายึดติดศาสดาและยึดติดคัมภีร์
ประโยคฮิตที่ว่า “ศาสดาของกูไม่ได้สอน กูไม่เชื่อ”
ประโยคฮิตที่ว่า “ศาสดาของกูเหนือกว่าศาสดามึง”
การแบ่งแยกศาสนาจึงเป็นสาเหตุหนึ่งในการแตกแยก
จนศาสนาทุกศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นได้แค่ #ลัทธิ
พระศาสดาแต่ละศาสนาจึงถูกลดองค์เสมอ #เจ้าลัทธิ
ทั้งๆที่พระศาสดาทรงมาจุติต่างยุคต่างสมัยกันแท้ๆ
พวกคลั่งศาสนาปัญญาเบายังเอาพระองค์มาแข่งกันได้
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
 
พระศาสดาแต่ละพระองค์เปรียบได้ดั่ง “ครู” แต่ละคน
สัจธรรมคำสอนในคัมภีร์ก็เปรียบดั่ง “ตำรา” แต่ละเล่ม
มันคงไม่ทำให้มนุษย์อย่างพวกท่าน “โง่” มากขึ้นแน่ๆ
ถ้าพวกท่านยอมให้ครูเก่งๆหลายคนอบรมสั่งสอนให้
ถ้าพวกท่านยอมศึกษาหาอ่านตำราดีๆหลายๆเล่ม
โดยเฉพาะพระศาสดาหรือครูทุกพระองค์ล้วนมีเมตตา
จึงเข้ามาจุติในระบบโลกเพื่อช่วยเหลือพวกท่าน
โดยไม่เลือกว่าพวกท่านนั้นจะเป็นชาติใดเผ่าใด
สัจธรรมคำสอนก็ล้วนเป็นอมตะไม่มีวันล้าสมัยเลย
ถ้าเป็นพระศาสดาที่เกิดจากโลกก็จะมีโลกิยธรรม
รวมทั้งโลกุตรธรรมเป็นสาระธรรมสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น
ท่านทั้งหลายจะปฏิเสธสัจธรรมคำสอนใดๆไม่ได้เลย
เพราะสัจธรรมทั้งสองระดับจะเป็นคู่มือของมนุษย์
ที่จะนำไปสู่การเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างมนุษย์กับโลก
 
นอกจากนั้นแล้ว
สัจธรรมขั้นสูงสุด คือ #อนุตรธรรม
ที่พระบิดาทรงเมตตามีพระบัญชาให้เรากลับเข้ามา
กล่าวเป็นพระโอวาทและวจนะในพระนามพระองค์
ในช่วงปลายยุคพลังงานเก่า (Old Age) นี้นั้น
ก็ยิ่งเป็นความจริงที่มนุษย์ทุกคนต้องรู้และต้องฟัง
เพราะมีเราเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะกล่าวต่อท่านได้
ที่สำคัญคือพวกท่านจะไม่รู้อนุตรธรรมที่ว่านี้ไม่ได้
 
เหตุที่มนุษย์ไม่รู้อนุตรธรรมที่เรานำมากล่าวไม่ได้
เพราะจะไม่รู้วิธีปฏิบัติตนเพื่อนำพาแก่นแท้กลับบ้าน
ในสภาวะแห่งการ #หลุดพ้น ของจิตวิญญาณ
เมื่อโลกและจิตวิญญาณถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่า
คือครบหกหมื่นปีโลกตามสัจจะในพันธสัญญา 6
ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาก่อนมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติแรก
 
ถ้าท่านทั้งหลายยังยึดติดพระศาสดายึดติดพระคัมภีร์
จนทำให้ศาสนาเกิดการแตกแยกและสังคมแตกแยก
โดยไม่ยอมเข้าใจในสิ่งที่เรากล่าวมาตั้งแต่ต้น
อีกทั้งหากยังปฏิเสธเราผู้เป็น #ตัวแทน ของพระองค์
ซึ่งถือเอาความรักกับอนุตรธรรมสำคัญเข้ามาฝากแล้ว
ท่านผู้นั้นจะต้องเป็น “สิ่งตกค้าง” อยู่ในระบบโลก
 
ไม่ต่างจากพวกที่กำลัง “หลุดลอย” อยู่ข้างบน
ซึ่งเป็นดั่งต้นไม้ที่พระบิดาไม่ได้ทรงปลูกเอาไว้
ไม่ต่างจากพวกที่กำลัง “หลุดลง” อยู่ข้างล่าง
ซึ่งเป็นดั่ง #วัชพืช ที่หาประโยชน์อันใดแก่โลกมิได้
 
เมื่อถึงวันพิพากษาโลกในอีกไม่นานนี้แล้ว
สิ่งตกค้างทั้งสามพวกสามกลุ่มที่เรากล่าวมา
จะมีค่าเพียงขยะที่จักถูกชำระทิ้งออกไปจากโลก
การแตกสลายของจิตวิญญาณพร้อมกายสังขาร
คือจุดจบที่น่าสลดที่สุดตั้งแต่พระองค์ทรงสร้างโลก
เพราะจิตวิญญาณมนุษย์เหล่านี้จะเป็นสิ่งแรกสุด
ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นแล้วถูกทำลายทิ้งนั่นเอง
เพราะเป็นสิ่งด้อยค่ากว่า “ไส้ติ่ง” ในช่องท้องมนุษย์
 
การก้าวล่วงพระเจ้าผู้ให้กำเนิดตนเอง
การยึดติดศาสดาองค์เดียวยึดคัมภีร์เล่มเดียว
การก้าวล่วงศาสดาอื่นศาสนาอื่น
การนำเอาศาสนามาด้อยค่าเป็นลัทธิ
ใครไม่ยอมเข้ารีตถือเป็นคนนอกศาสนา
การปฏิบัติธรรมโดยไม่ใช้สติปัญญา
การไม่รู้คุณค่าที่ได้รับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์
 
ท้ายที่สุดคือการปฏิเสธ “เรา” ผู้มาจากพระองค์
ซึ่งเท่ากับว่าท่านนั้นเป็นผู้ปฏิเสธพระบิดา
เพราะเหตุว่าเราเป็นผู้มาจากพระองค์
 
ผู้จะเป็น #สิ่งตกค้าง คือผู้มีคุณสมบัติที่กล่าวมา
การทำตนเหลวไหลคือการพิพากษาตนเองแล้ว
เพราะท่านคงจำได้นะว่าดาวเคราะห์โลกดวงนี้
เป็นดาวแห่งทางเลือกเสรีสำหรับทุกคน
จงรีบตื่นแจ้งกันเถิดท่านก่อนสัญญาณเตือนจะยุติ
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
31/05/2022

30 พฤษภาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 30/05/2022

 
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
“ดาวเคราะห์โลก” เป็นดาวแห่งทางเลือกเสรี
ที่องค์จิตจักรวาลได้ทรงออกแบบเอาไว้
ให้พวกท่านทุกคนที่เรียกตนเองว่า #มนุษย์
มีทางเลือกเสรีอย่างมากมายหลายหลาก
ในการดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
เพื่อช่วยกันใช้ความรักความเมตตาค้ำจุนโลก
ให้มีความสมดุลมั่นคงตราบชั่วกาลนิรันดร์
 
ความสมดุลตลอดกาลของโลกจะเกิดได้
ก็ต่อเมื่อโลกจะต้องเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
ด้วยอัตราเร็วคงที่อย่างต่อเนื่องได้เท่านั้น
ซึ่งจะเป็นจริงได้ก็ต้องอาศัยมนุษย์และสัตว์
ที่มีอายตนะ จิตหยาบ ขันธ์ 5 สติปัญญา
ความรักและเครื่องยนต์แห่งกรรมสองมิติ
รวมทั้งสิ้น 6 อย่างเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติ
 
ในการใช้เครื่องมือทั้ง 6 อย่างที่ว่านี้
เพื่อสร้างความสมดุลให้แก่ดาวโลกดังกล่าว
พระบิดาทรงเรียกว่า #การหมุนธรรมจักร นั่นเอง
 
ดังนั้น
การมาเกิดเป็นสัตว์ประจำโลกและมนุษย์
ของจิตวิญญาณผู้ข้ามมิติเข้ามาในห้องทดลอง
ที่เรียกว่า “อนันตจักรวาล” ของพระบิดานั้น
จึงมิใช่จิตวิญญาณพเนจรไม่มีหัวนอนปลายเท้า
พลัดหลงเข้ามาติดอยู่ในกับดักของ #กฎแห่งกรรม
ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสามภพ
ทำให้ต้องมี #สังสารวัฏ จนติดอยู่กับ “ความทุกข์”
อันไม่ควรจะพลัดหลงเข้ามาเกิดอย่างที่คิดกัน
 
แต่แท้จริงแล้วจิตวิญญาณของพวกท่าน
เป็นผู้ขันอาสาองค์จิตจักรวาลเข้ามาทำหน้าที่
ตามที่เรากล่าวไว้ข้างต้นนั้นต่างหาก
ซึ่งพวกท่านอยู่ในฐานะของ “ตัวแทน” พระบิดา
ผู้มาทำหน้าที่ #เพื่อนร่วมงาน กับดาวโลกดวงนี้
ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญอันยิ่งใหญ่ที่ควรภาคภูมิใจ
เพราะหน้าที่ผลิตพลังงานความรักค้ำจุนสมดุลโลก
มันมีผลต่อเนื่องในการสร้างสมดุลของเอกภพ
ที่เป็น #ห้องทดลองของพระบิดา ให้ดำรงอยู่ได้
โดยสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นไม่ได้รับโอกาสให้ทำ
เพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมพวกเขาขาดคุณสมบัติ
 
เพียงแค่ท่านไม่ตกเป็นทาสของกิเลสง่ายๆ
หรือถ้าจิตหยาบเสพติดกิเลสอยู่ก็ชำระมันให้สิ้นไป
ด้วย #มรรควิถีจิตจักรวาล จนนิพพานกิเลสให้หมด
แล้วเรียนรู้ที่จะใช้จิตตปัญญาเข้าถึงความรักให้ได้
โดยใช้ความรักนั้นขับเคลื่อนพฤติกรรมในสองมิติ
ด้วยกระบวนการของ “ขันธ์ 5” อย่างเป็นรูปธรรม
ท่านทั้งหลายก็จะเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกได้แล้ว
 
ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
พลังอำนาจของดาวเคราะห์โลกดวงนี้จะมากน้อย
ขึ้นอยู่กับแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกของมนุษย์
ถ้ายิ่งพวกท่านสามารถหมุนธรรมจักรร่วมกันได้มาก
ดาวเคราะห์โลกก็จะยิ่งมีพลังอำนาจด้านบวกสูงตาม
เพราะพวกท่านจะช่วยให้แกนโลกเกิดการสั่นสะเทือน
จากการระเบิดจนเกิดการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องได้
 
ถ้าท่านทั้งหลายต้องการยกระดับ
พลังอำนาจของดาวโลกดวงนี้ในระดับที่สูงขึ้นไป
มนุษย์อย่างพวกท่านเพียงแค่ยกระดับจิตสำนึก
ให้มันสูงขึ้นทางด้านบวกด้วยรักเพื่อให้กันเท่านั้น
พลังอำนาจของโลกก็จะสูงขึ้นได้เองแล้ว
โดยไม่ต้องหวังให้ใครส่งพลังงานอะไรเข้ามาช่วยเลย
ไม่มีใครช่วยได้หรอกท่านเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งนั้น
 
องค์จิตจักรวาลพระผู้สร้างโลก
ทรงออกแบบให้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
มีกลไกกระบวนการต่างๆอันแยบยลและมีศักยภาพสูง
เพียงพวกท่านใช้ความเป็น “สัตว์สังคม” นำมันออกมา
ในรูปของ #พลังงานร่วมจากจิตสำนึกด้านบวก นี่แหละ
นั่นคือรักกันให้ได้แม้ไม่น่ารัก อภัยให้เป็นแม้ไม่น่าอภัย
โดยทุกคนบนโลกนี้ต้องร่วมด้วยช่วยกันอย่างจริงจัง
จงอย่าเสียทีที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์เลย
 
ถ้าพวกท่านมีชีวิตไม่ติดกรรม
ไม่ทำผิดบาปต่อจิตวิญญาณแก่นแท้ของตัวเอง
ไม่ก่อเวรเกี่ยวกรรมกับเพื่อนร่วมโลกของตนเอง
จิตวิญญาณพวกท่านก็จะอายุยืนโดยไม่มีวันตาย
 
ถ้าพวกท่านปฏิบัติธรรมตามมรรควิถีจิตจักรวาล
จนสามารถนิพพานกิเลสของจิตหยาบได้หมดสิ้น
และสามารถยกระดับจิตหยาบหรือจิตคนให้สูงขึ้น
จากการหมั่นหมุนธรรมจักรจนเป็นธรรมชาติได้
ความฉลาดทางจิตปัญญาของท่านจะสูงขึ้นสู่อริยะ
ท่านจะเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแท้ได้
ภายในภพชาติปัจจุบันโดยไม่ต้องใช้อุตริอวิชชาใดๆ
 
จงเชื่อมั่นในพระบิดาและศรัทธาในภารกิจของเรา
ทุกสิ่งที่ทรงออกแบบให้พวกท่านปฏิบัตินั้นแสนง่าย
เพียงแค่ใช้ความรักและปัญญาหมุนธรรมจักรให้ได้
นอกนั้นมันจะเกิดเป็นของมันเองโดยอัตโนมัติ
เพราะถูกมอดมารมันบิดเบือนหลอกลวงมายาวนาน
ทำให้สิ่งที่ง่ายๆกลายเป็นเรื่องยากของพวกท่านไป
เรากลับมาฉุดช่วยพวกท่านตามสัญญาแล้ว
ถ้าใครมีหูก็จงรับฟังไว้ ใครมีตาก็จงเร่งอ่านเอาเถิด
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30/05/2022

24 พฤษภาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 24/05/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
การอ่านพระโอวาท
เมื่อถ่ายทอดมาสั้นๆท่านก็อ่านไม่เข้าใจ
พอร่ายยาวเป็นสนทนาประสาจิตจักรวาลมาให้
ส่วนใหญ่ก็จะอ่านกันลวกๆ บ้างก็เบื่อหน่ายที่จะอ่าน
ทั้งๆที่เป็นความรู้ใหม่และเป็นอนุตรธรรมสูงสุด
ในระดับที่เข้าใจกันมิได้ง่ายๆอย่างที่คิด
บางท่านก็ไปเอาความรู้เดิมความเชื่อเดิมมาเติมเต็ม
ซึ่งเป็นความรู้เดิมที่มอดมารมันหลอกลวงไว้
 
อย่างเช่นกรณีที่พระบิดาสื่อพระโอวาทมาว่า
ผลกรรมใดๆในชีวิตที่ท่านเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้
ทั้งที่เผชิญกันมาอย่างยาวนานหรือว่านานๆเผชิญที
ไม่ว่าหนักมากหรือหนักน้อยหรือว่าแค่เล็กๆน้อยๆ
ล้วนมีที่มาจาก #กฎแห่งกรรม ด้วยกันทั้งสิ้น
 
คำว่ามาจาก “กฎแห่งกรรม” ก็คือ
สิ่งที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ในชีวิตทุกวันนี้
จนเกิดการติดขัด เจ็บปวด เจ็บป่วย ทุกข์ทรมาน
ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุหรืออยู่ๆก็ป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ
ล้วนเป็นผลกรรมที่ตัวท่านเองเป็นผู้ก่อหรือกระทำ
จนยังผลให้คนหรือสัตว์ได้รับความเดือดร้อนเสียสมดุล
ทั้งทางร่างกายและหรือจิตใจมาก่อนด้วยกันทั้งสิ้น
 
คนที่ดำเนินชีวิตด้วยความประมาทหรือขาดสติ
ไม่เคยแคร์ความรู้สึกนึกคิดต้องการของคนรอบข้าง
ชอบใช้ตนเองเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจบาตรใหญ่
มักจะมี “ผลกรรม” ที่ต้องรับผิดชอบแบบนี้อยู่เสมอ
ถึงแม้อาจไม่รุนแรงจนทนไม่ได้แต่ชีวิตก็จะไม่สงบสุข
เพราะต้องเผชิญกับปัญหาอันเกิดแต่กรรมเหล่านี้
 
ดังนั้น
เราจึงนำพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล
มากล่าวต่อท่านทั้งหลายไว้ก่อนหน้านี้ว่า
 
“สำนึกผิดด้วยจิตหยาบสำนึกบาปด้วยจิตวิญญาณ
คือ จิตหยาบจักต้องรู้ว่าเคยทำผิดอะไร กับใคร
และเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ได้กระทำบาป
ต่อจิตวิญญาณของตนเองให้ต้องรับผลกรรมนั้น
และสัญญาว่าต่อไปจะไม่ทำเช่นนี้กับใครอีก”
 
ท่านทั้งหลายอ่านพระโอวาทที่ว่านี้แล้ว
เข้าใจความหมายกันว่าอย่างไรกันบ้างล่ะ?
ลองอ่านภาพรวมที่ท่านทั้งหลายเขียนมาดูนะ
 
1.หนูขอสำนึกผิดที่กระทำ
ด้วยกายวาจาใจทั้งตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี
 
2.ขออภัยต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
ทั้งภพชาติอดีตที่ผ่านมาและภพชาติปัจจุบัน
ถ้ามีสิ่งใดที่เราทำให้ท่านระคายเคือง
หรือล่วงเกินท่านไปเราขออโหสิกรรมท่านด้วย
ในทุกๆกรณี
 
3.สำนึกผิดในการกระทำที่ทำให้คนอื่น
เสียสมดุลด้วยกาย วาจา ใจ ทั้งที่ไม่ได้เจตนา
 
4.ขอสำนึกในความผิดบาปทั้งปวง
ที่ได้กระทำในทุกๆภพชาติที่ผ่านมา
และขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งปวง
 
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
การมีสำนึกผิดแบบนี้นั้นมันเป็นวิธีการเก่าๆ
ที่คนนำทางตาบอดเสี้ยมสอนกันมายาวนาน
เราขอยืนยันต่อพวกท่านเอาไว้ในที่นี้ว่า
มันจะไม่มีผลต่อการ #ชำระบาป ทางจิตวิญญาณ
เพื่อให้ผลกรรมที่ท่านกำลังเผชิญมันอยู่เป็นโมฆะได้
เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้
 
1.จะ “ทอดแห” ให้ครอบคลุมเจ้ากรรมนายเวรไม่ได้
ท่านต้องรู้ว่าตนเองนั้นทำผิดบาปไว้กับใคร ชัดๆ ตรงๆ
ถ้าไม่รู้ว่าตนเองเป็นจำเลยของผู้ใดเคยทำผิดไว้กับใคร
การสำนึกผิดบาปนั้นมันจะไม่ได้ผลเลย
 
2.จะเหมารวมกรณีกรรมที่ทำก็ไม่ได้
เช่น เคยล่วงเกินด้วย กาย วาจา ใจ ใครเขาไว้
แต่ท่านจำไม่ได้ว่าล่วงเกินเขา #อย่างไร
นี่ก็มิใช่การสำนึกผิดที่ตนกระทำอย่างแท้จริง
 
3.การสำนึกผิดที่ตนกระทำ
มันมิใช่การกล่าวลอยๆตามประเพณีที่เคยกล่าว
ซึ่งเป็นกล่าวแบบมั่วๆเหมือนไม่รู้สำนึกเลยว่า
ทำผิดอะไร ทำผิดต่อคนหรือสัตว์ คนไหน ตัวไหน
 
4.ท่านต้องยอมรับให้ได้เสียก่อนว่า
การเดินสะดุดหินเล็บฉีกจนเลือดไหลเยิ้มนั้น
มันทำให้ท่าน “เจ็บปวด” ณ บัดนั้น ใช่หรือไม่
ความเจ็บปวดนี่แหละที่ท่านต้องใช้กระตุ้นต่อมสำนึก
เพื่อสำนึกผิดด้วยจิตหยาบให้ได้ว่า
 
ที่ตนต้องสะดุดหินเล็บฉีกจนเลือดไหลนี้
เพราะตนเคยทำผิดบาปต่อใครผู้ใดไว้ในอดีตหนอ
ท่านต้องนึกให้ออกบอกตัวเองให้ได้
ถ้านึกออกบอกได้ถูกต้องตรงจริงแล้ว
จึงค่อยสัญญาต่อจิตวิญญาณตัวเองว่าต่อไป
ตนจะไม่ทำเช่นว่านี้ให้จิตวิญญาณต้องรับกรรมอีก
 
5.การที่ต้องสำนึกในผิดบาป
เพื่อชำระกรรมนี้ให้เป็นโมฆะก็เพราะว่า
มันเป็นกรรมเก่าที่ท่านเคยทำไว้กับผู้อื่นหรือสัตว์
ที่เขาได้รับความเจ็บปวดเสียหายเสียสมดุลมาก่อน
แต่พวกเขามิได้เอาความท่านเจ้ากรรมนายเวรจึงไม่มี
แต่จิตวิญญาณต้องรับชะตากรรมที่จิตหยาบก่อไว้นั้น
เพราะมันเป็น #บทเรียนกรรม ที่ต้องเรียนรู้เอาไว้
จักได้ไม่มีการก่อกรรมทำซ้ำซากแบบเดิมนั้นอีก
 
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
 
ท่านเห็นหรือยังว่าการอ่านพระโอวาทไม่ละเอียด
อ่านแบบรัวๆมั่วๆนั้นมิใช่การศึกษาอนุตรธรรมที่แท้จริง
วิธีการของท่านทั้งหลายที่เขียนไว้เป็นวิธีที่มอดมาร
ใช้หลอกลวงพวกท่านให้ทำผิดซ้ำซากตลอดมา
เพื่อจะใช้ความเจ็บปวดความทุกข์กายทุกข์ใจของท่าน
เป็นพลังงานกิเลสให้พวกเขาได้เสพดูดเป็นอาหาร
เพราะพวกท่านมีความรู้เดิมแบบวิชามาร
เมื่ออ่านพระโอวาทแบบลวกๆรัวๆจึงเบี่ยงเบนไปเลย
 
ขอท่านทั้งหลายโปรดจำไว้เป็นบทเรียน
จงเรียนรู้อย่างมีมหาสติ เรียนรู้ด้วยความว่าง
มิใช่เอาความรู้เดิมมานั่งกางขณะรับสื่อพระโอวาทนะ
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24/05/2022

21 พฤษภาคม 2565

VDO. EP. 387: ชีวิตนี้ใยมีแต่ปัญหา (Full Version)

 


บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

20 พฤษภาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 20/05/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
#องค์จิตจักรวาล พระผู้สร้างโลกและจักรวาล
รวมทั้งทุกสรรพสิ่งที่มีอยู่จริงในจักรวาลสากล
ทรงกำหนดให้โลกเป็น #ดาวแห่งทางเลือกเสรี
โดยคำว่า “โลก” ทรงหมายถึงมนุษย์และทุกสิ่ง
ที่ดำรงอยู่จริงภายในระบบโลกนี้ด้วย
 
คำว่า “ทางเลือกเสรี” ของทุกสิ่งในระบบโลก
หมายถึงความมีอิสระในการดำเนินชีวิต
เพื่อการดำรงอยู่ร่วมกันกับสรรพสิ่งอื่นอย่างลงตัว
สามารถดำเนินชีวิตร่วมกันเป็นสังคมอย่างมีสันติสุข
ตามกฎหลักของจักรวาลคือ #การเป็นหนึ่งเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว สถานที่ทำงานหรือในสังคม
ทุกคนล้วนมีอำนาจในตนเองที่จะคิดเห็นเป็นทำ
สิ่งใดก็ตามที่ตนปรารถนาได้อย่างอิสระเสรีเสมอภาค
 
โดยพระบิดาหรือองค์จิตจักรวาล
ได้ทรงประทานเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ที่มีความพร้อมทั้งพลังกายพลังปัญญาและพลังจิต
ให้บุตรมนุษย์ของพระองค์ได้ใช้เป็นเครื่องมือไว้แล้ว
ถ้าท่านทั้งหลายใช้มันเป็นก็สามารถพึ่งพาตนเองได้
ไม่ต้องพึ่งคนรอบข้าง สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือว่าพึ่งต่างดาว
ซึ่งเป็นความเชื่อที่งมงายเพราะเป็นความจริงไม่ได้
 
การพึ่งพาคนรอบข้างซึ่งเป็นมนุษย์นั้นยังพอได้บ้าง
แต่ถ้าคอยหวังจะพึ่งแต่คนอื่นอย่างเดียวอยู่ร่ำไปแล้ว
ท่านก็จะถูกมองว่าเป็นประเภท #มนุษย์เจ้าปัญหา
แปลว่า “สมองกลวง” เพราะใช้ปัญญาคิดเองไม่เป็น
จนติดเป็นนิสัยชอบวานให้คนอื่นช่วยคิดแทนนั่นเอง
แถมบ่อยครั้งยังติดนิสัยชอบวานให้คนอื่นทำแทนด้วย
 
พี่ๆน้อง ๆที่รักทั้งหลาย
 
ดาวเคราะห์ “โลกเสรี” ดวงนี้นั้น
มิได้แตกต่างจากองค์กรขนาดใหญ่องค์กรหนึ่ง
ซึ่งมีประชากรมนุษย์แต่ละคนเป็นพนักงาน
ที่ท่านเจ้าขององค์กรคือ “องค์จิตจักรวาล”
ทรงเป็นผู้ทำการคัดเลือกจากบุคคลที่เหมาะสม
ให้แต่ละคนมีหน้าที่ของตนที่จะต้องทำให้สำเร็จ
ในฐานะ #เพื่อนร่วมงาน ที่จะต้องประสานงานกัน
เพื่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า #พลังร่วมแห่งหมู่คณะ
 
เพราะพลังร่วมของพนักงานทุกคนทุกแผนกทุกฝ่าย
จะเป็นพลังอำนาจขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุผลสำเร็จ
ซึ่งพลังงานร่วมของพี่ๆน้องๆในองค์กรโลก
จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้ามนุษย์โลกทุกคนไม่รักกัน
ถ้ามนุษย์โลกทำงานร่วมกันแบบตัวใครตัวมัน
ถ้ามนุษย์โลกทำงานร่วมกันแบบเห็นแก่ตัวและพวกตัว
ถ้ามนุษย์ทำงานร่วมกันโดย #ขาดจิตสำนึกแห่งหมู่คณะ
ถ้ามนุษย์ไม่มีจิตสำนึกรักโลกที่เป็นองค์กรของตนเอง
 
เพราะมนุษย์โลกทุกวันนี้
สร้างพลังงานร่วมจากจิตสามนึกด้านบวกไม่ได้
จึงยังผลให้พลังงานที่จะได้จากสมการ #ซัมเบต้าเอ็กซ์
ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กในแบบที่โลกต้องการ
มนุษย์โลกก็ไม่สามารถผลิตสร้างออกมาได้
แปลว่าพนักงานโดยรวมขององค์กรทำงานล้มเหลว
เพราะขาดจิตสำนึกตามที่เรากล่าวมาข้างต้น
จนองค์กรโลกทั้งระบบกำลังจะวิบัติเพราะเสียสมดุล
 
นอกจากนั้น
มนุษย์ไม่รู้ว่าพวกตนนั้นมี “ศัตรู” ผู้ไม่หวังดี
ซึ่งมีทั้งมอดมารภายนอกคอยวางแผนหลอกใช้
กับ “มารภายใน” ที่เป็นดีเอ็นเอของสัตว์ร้ายอยู่ในตน
คอยหลอกให้เสพติดกิเลสจนโง่ง่ายงมงายโงหัวไม่ขึ้น
ทำให้หลายคนถึงขั้นไม่รู้จักว่ารักแท้คืออย่างไรแล้ว
นอกจากนั้นมอดมารยังบิดเบือนสัจธรรมของศาสดา
บิดเบือนสัจธรรมที่เป็น “อนุตรธรรม” ขององค์จิตจักรวาล
เพื่อทำให้มนุษย์หลงทางนิพพานด้วยการหลงธรรม
โดยใช้แผนซับซ้อนประเภท “ในจริงมีเท็จ ในเท็จมีจริง”
ตั้งแต่นับหมื่นๆปีที่ผ่านมาจนทุกวันนี้ก็ยังล่อลวงอยู่
 
ตัวอย่างเช่นการหลอกลวงมนุษย์โลกว่า
ตนสามารถช่วยโลกและมนุษย์ให้ยกระดับสูงขึ้นได้
โดยจะส่งพลังงานระดับสูงจากนอกโลกเข้ามาให้
ทั้งๆที่พระบิดาทรงออกแบบให้โลกนี้เป็นโลกเสรี
ให้มนุษย์โลกมีทางเลือกเสรีเป็นของตนเองเท่านั้น
ถ้าเลือกผิดมนุษย์ก็ต้องรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นนั้นเอง
ซึ่งมนุษย์หลายคนหลงเชื่อคำลวงนี้กันมาก
 
เชื่อทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าน้ำตาลเคลือบยาพิษนี้
เจ้าของผู้ที่หยิบยื่นมาให้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
เชื่อโดยขาดความรู้ที่แท้จริงว่าอำนาจของโลกนี้
จะยกระดับได้สูงกว่าเดิมอย่างแน่นอน
 
ถ้าทุกคนเลิกโง่ง่าย ไม่หลงทางมอดมาร
หยุดเสพติดกิเลสเพื่อผลิตพลังงานกิเลสให้มอดไม่ตาย
ขณะที่มนุษย์ผู้หิวกิเลสต้องตายเพื่อมอดมารเสียเอง
เพียงแค่หันมาฟังพระบิดาแล้วหมุนธรรมจักรให้ได้
ทุกอย่างที่เหลวไหลมันก็จะเปลี่ยนร้ายให้กลายดีทันที
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20/05/2022

17 พฤษภาคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 17/05/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
เส้นทางการปฏิบัติธรรมของมนุษย์โลกทุกคนนั้น
แท้จริงแล้วจะมีอยู่เพียง 2 ทางเลือก คือ
 
1.เส้นทางของ #นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
 
ในที่นี้ “นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง” เราหมายถึงชาวบ้าน
ที่เป็นผู้ครองเรือน มีครอบครัว มีบุตรบริวาร มีงานทำ
ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมซึ่งมีสิ่งแวดล้อมที่ตนควบคุมมิได้
โดยสิ่งแวดล้อมที่ตนควบคุมมิได้หมายถึง #อุปนิสัย
ในการดำเนินชีวิตของคนรอบข้างที่ต่างกันออกไป
บางคนก็ดีบางทีก็ร้ายบางคนคุ้มดีคุ้มร้ายวุ่นวายตลอด
 
แต่เนื่องจากจิตวิญญาณพวกท่านผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
ต้องมีหน้าที่ช่วยกันมอบพลังงานความรัก #ค้ำจุนโลก
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าพวกท่านจะมอบความรักให้แก่กันได้
อย่างไร้เงื่อนไขและไม่หวังสิ่งใดตอบแทนได้อย่างไร
ถ้าคนรอบข้างท่านมีทั้งผู้ที่ทำตัวดีและทำตัวร้าย
 
ดังนั้น
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณคือองค์จิตจักรวาลหรือพระเจ้า
จึงทรงประทานโอกาสให้แก่บุตรมนุษย์ทั้งหลาย
เรียนรู้ที่จะปฏิบัติต่อกันให้ถูกต้องด้วย 2 รูปแบบดังนี้
 
#แบบแรก
ทรงอนุญาตให้พวกท่านใช้วิธีเรียนรู้ด้วยตนเอง
แบบ “ลองผิดลองถูก” (Learn to Do Right by Wrong)
โดยเรียนรู้ที่จะทำให้ถูกต้องโดยลองทำผิดก่อน
แล้วให้ถือว่าความผิดนั้นเป็น “ครู” ครั้งหน้าอย่าทำอีก
การมีสำนึกเสียใจในการกระทำผิดบาปของท่าน
มันคือจิตหยาบที่สั่นสะเทือนขันธ์ห้าด้วยความเมตตา
ที่มีต่อตัวตนของคนที่ถูกท่านกระทำผิดบาปต่อเขา
เท่ากับว่าท่านกำลังหมุนธรรมจักรในตนเองแล้ว
เมื่อท่านร้องขออภัยในความผิดบาปที่กระทำต่อเขา
ก็เท่ากับว่าท่านชวนให้เขาหมุนธรรมจักรไปกับท่าน
ตัวเขาก็จะมีความสุขมีอารมณ์ดีพร้อมปฏิบัติดีกับท่าน
 
ที่เรากล่าวมานี้
เป็นการออกแบบ #ธรรมจักรกัปวัตนสูตร” ของพระเจ้า
ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ด้วยอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
แล้วนำมาตรัสเป็นปฐมเทศนาแก่มนุษย์ห้าคนนั่นเอง
 
นอกจากนั้น
เมื่อท่านค้นพบว่าการกระทำผิดบาปเป็นอย่างไร
โดยท่านจะไม่กระทำเช่นว่านั้นอีกตลอดชีวิต
และท่านยืนยันที่จะกระทำแต่สิ่งที่ดีงามต่อคนรอบข้าง
มันจึงเป็นการเรียนรู้ที่นำท่านสู่การรู้แจ้งด้วยจิตปัญญา
จากประสบการณ์จริงในชีวิตประจำวัน
ทั้งในมุมของผู้ที่กระทำและในมุมของผู้ถูกกระทำ
สลับคละเคล้ากันไปในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคม
 
การเจริญเติบโตทั้งอายุขัยของกายสังขาร
กับการก้าวหน้าทางจิตปัญญาและจิตวิญญาณ
จะนำท่านและคนรอบข้างสู่การเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลซึ่งพระเจ้าทรงออกแบบไว้
ให้พวกท่านปฏิบัติธรรมในบริบท “นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง”
แบบต่อยอดความก้าวหน้าไปเรื่อยๆโดยไม่ต้องตาย
 
น่าเสียดายยิ่งนักที่คนส่วนใหญ่
ไม่ปฏิบัติธรรมตามแบบที่พระบิดาทรงออกแบบไว้
โดยเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้งกันไม่ได้เป็นได้แต่ “ตัวร้าย”
นั่นคือ ใครดีมาข้าจะดีตอบใครร้ายมาข้าจะยิ่งร้ายตอบ
 
#แบบสอง
ทรงอนุญาตให้พวกท่านใช้วิธีเรียนรู้
จากประสบการณ์ผ่านบุคคลอื่นหรือคนรอบข้าง
โดยท่านต้องเป็นคนช่างสังเกตและฉลาดเรียนรู้
พฤติกรรมหรือการกระทำใดๆของคนรอบข้าง
ทั้งที่พวกเขากระทำต่อกันและกันให้ท่านรู้เห็น
และพฤติกรรมที่พวกเขาแต่ละคนกระทำต่อท่าน
วิธีการเรียนรู้ผ่านบุคคลอื่นนี้เรียกว่า Modelling
 
โดยเรียนรู้ว่า “พฤติกรรมนั้น” คืออย่างไร
ผลลัพธ์จากการ “ถูกกระทำ” เป็นอย่างไร
มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมดีงามหรือไม่อย่างไร
พวกท่านก็จะใช้ประสบการณ์อ้อมนั้นเป็นสาระวิชา
เพื่อหยิบฉวยนำมาเป็นบทเรียนของตนเองกันต่อไป
การเรียนรู้ด้วยวิธีนี้พระบิดาทรงเรียกว่า #Modelling
 
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
 
การปฏิบัติธรรมด้วยวิธีพึ่งตนเองทั้งสองแบบ
ในบทบาทของ “นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง” ที่เรากล่าวมานี้
ท่านทั้งหลายจักต้องสร้างคุณสมบัติสำคัญของตนด้วย
จึงจะเป็นนักสู้เพื่อการรู้แจ้งแบบงองูมาก่อนฉอฉิ่งได้
คุณสมบัติที่ว่านั้นก็คือ
 
1.ต้องมีความต้องการคบมิตรสูง
2.ต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ดี
3.ต้องรู้หน้าที่ของจิตวิญญาณ
4.ต้องไม่ปลีกหนีสังคมเพื่อหนีทุกข์
5.ต้องยอมรับธรรมชาติที่แตกต่างกัน
6.ต้องฉลาดทางปัญญาและอารมณ์
 
2.ปฏิบัติธรรมตามเส้นทาง
ของ #นักรบแห่งแสงสว่าง
 
คำว่า “แสงสว่าง” ในที่นี้หมายถึงสติปัญญา
ซึ่งเป็น #ความฉลาด ของสมองทั้งสองซีกนั่นเอง
สำหรับเส้นทางของนักรบแห่งแสงสว่างนี้
เป็นเส้นทางพิเศษซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกเสรี
ที่มนุษย์โลกสามารถเลือกที่จะปฏิบัติธรรมกันได้
ซึ่งในอดีตทางสายนี้จะเป็นทางเลือกของนักบวช
เพราะพระศาสดาทรงดำเนินเป็นแบบอย่างไว้
 
เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมเส้นทางนักบวชก็คือ
ต้องการบรรลุเป้าหมายในการยกระดับสติปัญญา
ด้วยวิธีการพัฒนาที่พลังอำนาจจิตของตนเอง
โดยกระทำผ่านวิธีการ #กรรมฐานสมาธิ แบบวิเวก
ตามแนวทางที่พระศาสดาทรงปฏิบัติไว้เป็นต้นแบบ
ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ
 
#ขั้นตอนแรก
จะเน้นที่การสร้างพลังอำนาจของจิตก่อน
วิธีการนี้พระศาสดาทรงเรียกว่า #สมถะกรรมฐาน
ซึ่งเป็นขั้นตอนการฝึกกำหนดจิตให้อยู่ในความสงบ
ให้ว่างเป็นเวลายาวนานที่สุดเท่าที่ตนจะปฏิบัติได้
เพราะการฝึกจิตให้สงบว่างเป็นเวลายาวนานนี่เอง
ภายหลังจึงเรียกวิธีการนี้ว่า #สมถะกรรมฐานสมาธิ
โดยเป้าหมายของสมถะกรรมฐานก็คือสร้างพลังจิต
หน่วยวัดพลังจิตอันเกิดจากความสงบก็คือ #ฌาน
เมื่อจิตยกระดับฌานได้สูงขึ้นถึงระดับ 3 ขึ้นไปแล้ว
นักบวชก็จะฝึกทักษะขั้นต่อไป
 
#ขั้นตอนที่สอง
เมื่อสร้างพลังอำนาจจิตจนเกิดฌานได้แล้ว
นักบวชก็จะใช้พลังอำนาจของฌานที่ฝึกได้
มาปฏิบัติธรรมในขั้นตอนสุดท้ายต่อไป
 
วิธีปฏิบัติในขั้นตอนนี้เรียกว่า #วิปัสสนากรรมฐาน
ซึ่งเป็นการฝึกทักษะการทำงานของจิตร่วมกับสมอง
ถ้าจิตมีพลังฌานสูงสมองก็จะมีพลังปัญญาสูงตาม
หมายความว่ายิ่งจิตมีอำนาจสูงก็จะยิ่งฉลาดสูงด้วย
โดยจิตมีหน้าที่ “นึก” เพื่อกำหนดให้ “สมอง” คิด
 
มันยากสำหรับนักบวชที่ต้องทำตัวเป็นนักนึกนักคิด
ก็ตรงที่ต้องค้นหาเรื่องที่จะนึกเพื่อให้สมองคิดกันเอง
ขณะที่ฆราวาสหรือชาวบ้านผู้ก้าวตามวิถีจิตจักรวาล
จะมีคนรอบข้างในสังคมสร้างเงื่อนไขให้นึกให้คิด
ในรูปแบบของปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวันนั่นเอง
โดยที่ชาวบ้านจะใช้ #ธรรมชาติสมาธิ คือ “มหาสติ”
ในการยกระดับพลังแห่ง #จิตปัญญา ไปด้วยกัน
ขณะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้โดยไม่ต้องปลีกวิเวก
 
การที่นักบวชต้องเข้าให้ถึงแสงสว่างทางปัญญา
ก็เพื่อจะใช้สร้างจิตสามนึกด้านบวกให้ตนเอง
ในการจัดการกับขยะจำพวกกิเลสตัณหาราคะจริต
ที่มันเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ซึ่งเป็นอุปสรรคของจิต
ที่จะเข้าถึงความรักของพระเจ้าในจิตวิญญาณได้
 
เพราะมนุษย์มีมอดมารผจญกันมายาวนาน
เมื่อพระศาสดาทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว
การปฏิบัติกรรมฐานสมาธิในแนวทางเดิมที่เราว่ามา
ก็ถูกคนนำทางตาบอดที่ไปหลงทางมารเข้าให้
ลวงให้ใช้กรรมฐานสมาธิเพิ่มพลังจิตเพื่อสร้างฤทธิ์
แทนการฝึกกรรมฐานสมาธิเพื่อยกระดับจิตปัญญา
ที่เคยเรียกว่า “นักรบแห่งแสงสว่าง” แนวทางเดิมไป
ซึ่งเป็นแผนของมอดมารเพื่อยั่วให้นักบวชเกิดกิเลส
จากเวทย์มนต์จากอิทธิฤทธิ์สาระพัดที่คนอื่นทำไม่ได้
อันเป็นสาเหตุให้เกิดการ “หลงทางนิพพาน” นั่นเอง
 
ที่สำคัญก็คือ “เท็คนิกสมาธิ” ที่ผิดเพี้ยนไปนี่แหละ
มอดมารหลอกลวงให้พวกท่านใช้พลังจิตจากสมาธิ
ขับเคลื่อนมันออกมานอกร่างกายในรูปของพลังกิเลส
เพื่อสั่งจิตให้ไปเอาทรัพย์กับความรวยจากอากาศมาให้
ทั้งๆที่สิ่งนั้นมันมิได้มีอยู่จริงในอวกาศแต่อย่างใด
ทุกครั้งก็สั่งให้ใช้พลังจิตที่เป็นพลังกิเลสเหวี่ยงออกมา
เพื่อกระทำบางสิ่งตามที่จิตติดกิเลสมันปรารถนา
ขณะที่มอดมารตัวร้ายจะคอย “ดักดูด” พลังงานกิเลส
ที่มนุษย์ผู้งมงายเพราะโง่ง่ายพากันเหวี่ยงมันออกมา
ตามที่เจ้าลัทธิมอดมารสำนักนั้นๆจูงใจไว้ให้ทำ
 
นี่คืออนุตรธรรมความจริงที่มนุษย์ไม่รู้ว่าไม่รู้
จนนำความเสื่อมมาสู่จิตวิญญาณตนเองอย่างไร้สติ
จนสร้างความเสียสมดุลให้แก่ระบบโลกอย่างมาก
เพราะโลกมีแต่พลังงานขยะจากกิเลสเต็มไปหมด
จากการปฏิบัติเท็คนิกสมาธินอกแนวทางพระศาสดา
จนพลังงานความรักความเมตตาแบบที่โลกต้องการ
แทบจะไม่มีผู้ใดใส่ใจใยดีเพราะคนนำทางเป็นเหตุ
 
โอววว...ดาวเคราะห์โลกที่น่าสงสาร
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17/05/2022