30 พฤษภาคม 2560

การก่อกรรมทางจิตโดยไม่เกิดผลกรรม











<3 พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ตั้งแต่นี้ไปจนกว่าถึงวันปิดยุคพลังงานเก่า
ในช่วง 56 วัน หรือ 8 ราตรีที่มืดมิดนั้น

การก่อกรรมทางจิตโดยไม่เกิดผลกรรมนั้น
พระบิดาจะทรงเมตตาให้โอกาสท่านกลับใจ
ภายในเวลาไม่เกิน 3 นาที
จะทรงถือว่า "ไม่มีอะไรเกิดขึ้น"

โดยการสั่นสะเทือนทางจิตด้านลบของท่าน
ไม่ว่าจะเป็นโลภ โกรธ หลง
มันจะไม่หล่นลงไปบันทึกไว้ใน จิตใต้สำนึก
ให้เกิดเป็น วิบากกรรม
ที่เป็นบุรพกรรมแม่เหล็กใดๆทั้งสิ้น

"จิตใต้สำนึก"ก็คือความทรงจำทางจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านนั่นเอง

"วิบากกรรม" ก็คือผลกรรมที่จิตวิญญาณท่า
ต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่ในภพชาตินี้
เพื่อมาพบผ่านสถานการณ์แบบเก่าๆ
แล้วใช้โอกาสแก้ไข จิตใต้สำนึก ที่ผิดบาป
เพราะจิตหยาบของท่านกระทำไว้ในอดีต
ให้คืนกลับสู่ความสมดุลดังเดิมนั่นเอง

"บุรพกรรมแม่เหล็ก" หมายถึง
อนุภาคประจุลบที่มีรหัสกรรมบันทึกไว้
ซึ่งมันจะถูกผลิตสร้างขึ้น
ด้วยกลไกที่เรียกว่า "คอร์พัสคอลโลซั่ม"
ในความร่วมมือของ "ไพเนียลแกลนด์"
โดยอนุภาคแห่งบุรพกรรมแม่เหล็กนี่แหละ
ที่ทำให้น้ำหนักมวลของจิตวิญญาณ
มากกว่าภพชาติแรกที่มาเกิดเป็นมนุษย์
จนไม่อาจดีดตนเองให้หลุดพ้นแรงดึงดูด
เพื่อออกไปจากระบบเอกภพนี้ได้
จึงต้องย้อนกลับมาสู่การเกิดใหม่ไม่สิ้นสุด

ดังนั้น
เงื่อนไขสำคัญหนึ่งในหลายประการ
ที่วันนี้ท่านทั้งหลายจำเป็นจะต้องรู้
หากเป็นผู้ปรารถนาการหลุดพ้
บนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้งคือ"ฆราวาส"

นั่นคือท่านจักต้องเรียกสติคืนให้ทัน
ภายในไม่เกินเวลา 3 นาทีโลก
ทุกครั้งที่ท่านเกิดความโกรธ โลภ หลง

พระบิดาจะทรงเมตตาท่าน
ด้วยการปิดกั้นการก่อผลกรรมนั้นๆไว้
เหมือนมันมิได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
เพื่อช่วยให้บุตรทั้งหลายของพระองค์
สามารถหลุดพ้นออกไปจากระบบได้ง่ายขึ้น
โดยบุตรของพระองค์ทุกชาติศาสนา
จะได้รับสิทธิพิเศษนี้เท่าเทียมกันทุกรูปธรรม

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30-05-2017

22 พฤษภาคม 2560

ศรัทธาในพระบิดา เชื่อมั่นในตนเองและทุกสิ่งที่ตนทำ



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า...

เพราะองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าเหนือทั้งปวง

ดังนั้น
ท่านทั้งหลายและทุกสรรพสิ่ง
จึงเป็นบุตรรักในพระองค์
จงเชื่อมั่นเถิดว่าพระองค์จะทรงรักและดูแลท่าน
เหมือนดูแลทุกสรรพสิ่งในจักรวาลอันไพศาลนี้
ที่ทรงให้กำเนิดและสร้างไว้เป็นอย่างดี
ดุจดั่งบิดามารดาเลี้ยงดูบุตรของตน
ให้เป็นคนฉลาด เป็นคนเก่ง และเป็นคนดี

คราใดที่ท่านเผชิญอุปสรรคปัญหา
ก็จงทราบไว้เถิดว่าในขณะนั้น
พระองค์กำลัง "หยิบยื่นปัญญา"
ที่สูงกว่า ฉลาดกว่ามาให้ท่าน

คราใดที่สังขารท่านเหนื่อยล้าอ่อนแอ
ก็จงทราบไว้เถิดว่าในขณะนั้น
พระองค์กำลังหยิบยื่น
"สุขภาพพลานามัยที่ดี" ให้แก่ท่าน

คราใดที่ท่านท้อแท้สิ้นหวัง
ก็จงทราบไว้เถิดว่าในขณะนั้น
พระองค์กำลังหยิบยื่น "พลังบันดาลใจ"
ที่ท่านทั้งหลายเรียกว่า "แรงฮึด" ให้แก่ท่าน

คราใดที่ท่านรู้สึกอัตคัตขัดสน
ก็จงทราบไว้เถิดว่าในขณะนั้น
พระองค์กำลังหยิบยื่น
"ประตูแห่งโอกาส"หลายๆบาน
ให้ท่านได้เลือกดิ้นรนที่จะเปิดมัน
ตามจริตและความพร้อมของท่าน

ถ้าท่านศรัทธาในพระองค์
เพราะเห็นพระคุณของพระบิดา
ท่านจะไม่มีชีวิตที่น่าอาภัพอับเฉา
ชีวิตท่านจะไม่มีวันขัดสนเลย

จงเชื่อมั่นในตนเองในทุกสถานการณ์
จงฉลาดดำเนินชีวิตด้วยจิตใจที่กล้าหาญ
จงเข้มแข็งอดทนและมีมานะพยายาม

โดยหาคำตอบให้แก่ตนเองให้ได้ว่า
ความทุกข์ทั้งหลายที่ท่านทนมันได้ยากนั้น
พระองค์กำลังจะหยิบยื่นสิ่งดีใดให้แก่ท่าน
จงพร้อมต่อการรอคอยพระบิดาโดยไม่ย่อท้อ
เพื่อท่านจะได้อิ่มท้องและเป็นสุขในอีกไม่นาน
เมื่อวันแห่งชัยชนะของท่านมาถึง

ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เป็นนัยความหมายของคำว่า
ศรัทธาในพระบิดา
เชื่อมั่นในตนเองและทุกสิ่งที่ตนทำ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22-05-2017

21 พฤษภาคม 2560

การนึกลบ การนึกด้านลบ ไม่เหมือนกัน




<3 พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การนึกลบกับการนึกด้านลบไม่เหมือนกัน
นิยามของ "การนึกลบ" หมายถึง
อาการของจิตที่กำลังสั่นสะเทือนอยู่ในขณะนั้น
อันเกิดจากการมองโลกด้านลบของท่าน
แล้วเป็นเหตุให้จิตที่มันเคยสงบอยู่
ต้องเสียสมดุลไปในทางลบ
โดยมี "การนึกลบ" ของท่านเองเป็นเงื่อนไข
ทั้งๆที่โลกอันหมายถึงผู้อื่นหรือสิ่งอื่นนั้น
ยังมิได้สร้างเงื่อนไขลบใดๆต่อท่านเลยสักนิด
แต่เป็นการนึกคิดรู้สึกไปเองหรือมโนเองทั้งสิ้น

ดังนั้น
ลักษณะเด่นของการนึกลบก็คือ
1.เป็นการมองโลกอันหมายถึงคนอื่น สิ่งอื่น
ในแง่ร้าย ในแง่ไม่ดี ทั้งๆที่ในขณะนั้น
ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามที่ตนเองนึกเลยสักนิด

2.จากนั้นก็นำเอาสิ่งที่ตน "นึกลบ" นั้น
มาเป็นเงื่อนไขทางจิตใจให้ตนเอง
เกิดอารมณ์รู้สึกไปทางด้านลบต่อคนนั้นสิ่งนั้น
ตามที่ตนมโนไปเอง

3.เมื่อเสียสมดุลทางอารมณ์รู้สึกไปแล้ว
ท่านก็จะแสดงออกหรือกระทำด้านลบบางสิ่ง
ไปตามอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบของตัวเอง
ต่อคนๆนั้นหรือสิ่งนั้นแม้กระทั่งทำกับตนเอง
อาการทางจิตด้านลบนี้เรียกว่า วิตกจริต
คือ การตีตนไปก่อนไข้
หมายถึง พอนึกคิดว่าตนป่วยไข้
ก็เกิดความรู้สึกว่าตนมีอาการป่วยไข้แล้วจริงๆ
ซึ่งเป็นการ ป่วยทางจิต หรือจิตป่วย
ทั้งๆที่ร่างกายยังมิได้ป่วยไข้อะไรเลย

4.การนึกลบต่อผู้อื่นว่า "เขาต้องโกหก" แน่ๆ
มันจะทำให้ท่าน "ไม่เชื่อ" ในสิ่งที่เขาพูด
มันจะทำให้ท่าน "ไม่วางใจ" ในสิ่งที่เขาทำ
มันจะทำให้ท่าน "ไม่ไว้ใจ" ในตัวเขา
เพราะท่านรู้สึก "เชื่อ" ว่าตนจะถูกหลอกลวงแน่
เพราะท่านรู้สึก "เชื่อ" ว่าตนจะต้องผิดหวังแน่
เพราะท่านรู้สึก "เชื่อ" ว่าตนจะต้องเดือดร้อนแน่

5.เมื่อท่านเกิดความเชื่อว่าเขาจะเป็นลบ
สภาวะจิตของท่านมันก็ไม่สงบ
เพราะจิตเป็นเหตุให้จิตตกเอง
แล้วจิตที่เป็นลบอยู่ในขณะนั้น
มันก็จะหาทางที่จะป้องกันตนเองเสียใหญ่โต
ด้วยการแสดงออกหรือกระทำต่อคนนั้นสิ่งนั้น
ในลักษณะของการ "ปฏิเสธ" เช่น
ไม่ใส่ใจในคำพูดหรือการกระทำของเขา
ว่ามีสาระประโยชน์อันควรรับรู้เรียนรู้หรือไม่
โต้แย้งในสิ่งที่เขาพูดเพราะเชื่อว่าโกหก
ต่อต้านในสิ่งที่เขาทำเพราะเชื่อว่าหลอกลวง
ไม่ญาติดีกับเขาเพราะเชื่อว่าไว้วางใจไม่ได้

6.ความจริงทั้งหมดที่เรากล่าวมา
เป็นเรื่องของ การนึกลบคิดลบ
ที่เป็นเหตุให้เกิดพฤติกรรมด้านลบตามสูตรสำเร็จ
"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ทั้งนั้น

7.ส่วน การนึกด้านลบ (มีคำว่า "ด้าน" อยู่ด้วย)
เป็นการมองโลกซึ่งเป็นคนอื่นสิ่งอื่น
เพื่อ "ป้องกัน" มิให้สร้างเงื่อนไขด้านลบ
ต่อตัวท่านเองทั้งในปัจจุบันและอนาคต
โดยเป็นการคิดป้องกันเอาไว้ล่วงหน้า
อย่างรู้สติ มีสติ และใช้สติ
เพื่อมิให้เหตุการณ์ด้านลบที่ตนนึกคิดอยู่
มันเกิดขึ้นมาได้ตามที่ตนเองนึกคิดนั้น
เป็นต้นว่า
วันนี้ที่เขาดีกับท่านอยู่เพราะสาเหตุใด
แล้ววันหน้าเขายังจะดีกับท่านตลอดไปมั้ย
ถ้าเขาจะไม่ดีกับท่านเป็นเพราะสาเหตุใด
ทั้งหมดเป็นการนึกคิดด้านลบล่วงหน้า
ที่ไม่เป็นเหตุให้ตัวท่านเอง
เกิดการเสียสมดุลในจิตใจหรือจิตตกเลย
แต่เป็นการคิดด้านลบเพื่อป้องกันไม่ให้
เกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์ในอนาคต
เป็นการคิดด้านลบ
ที่ไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่น
เกิดความเดือดร้อนเสียหายใดๆทั้งสิ้น
ทั้งยังจะเป็นการบ่งชี้ว่า
ท่านไม่ประมาทและฉลาดดำเนินชีวิต
เสียมากกว่าด้วยซ้ำไป

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-05-2017

20 พฤษภาคม 2560

การคิดบวก ไม่คิดลบ เป็นหน้าที่ทางจิตวิญญาณ



<3 พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
หน้าที่ทางจิตวิญญาณของท่าน
คือการใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
สั่นสะเทือนทางจิตสามนึกด้านบวกไว้เสมอ
เพราะทันทีที่จิตสามนึกสั่นสะเทือนด้านบวก
อันประกอบด้วยนึกดี คิดดี พูดดีได้แล้ว
กลไกเครื่องยนต์แห่งกรรมร่วมกับจิตของท่าน
ก็จะร่วมกันผลิตสร้างคลื่นพลังงานจิตด้านบวก
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกออกมา
พลังงานส่วนใหญ่จะส่งให้แก่คนที่ท่านนึกบวก
เพียง 1 ใน 100% จะเป็นส่วนที่ท่านปันให้โลก
ที่เหลือทั้งหมดมันจะย้อนกลับคืนมาสนองท่านเอง
ปรากฏการณ์เบื้องหลังมิติโลกด้านบวกนี้
มันจะเกิดเองตามธรรมชาติในทุกๆวินาที
ในขณะเดียวกัน
ทันทีที่จิตสามนึกของท่านสั่นสะเทือนด้านลบ
อันประกอบด้วยนึกลบ คิดลบ พูดลบ
กลไกเครื่องยนต์แห่งกรรมร่วมกับจิตของท่าน
ก็จะร่วมกันผลิตสร้างคลื่นพลังงานจิตด้านลบ
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบออกมา
พลังงานส่วนใหญ่จะส่งให้แก่คนที่ท่านนึกลบ
1 % จะเป็นส่วนที่ท่านเหวี่ยงทิ้งไว้ในบรรยากาศ
นอกนั้นมันจะย้อนกลับคืนมาสนองตัวท่านเอง
ปรากฏการณ์เบื้องหลังมิติโลกด้านลบนี้
มันจะเกิดเองตามธรรมชาติในทุกๆวินาทีเช่นกัน
<3 แต่มีบางสิ่งที่ท่านต้องจำใส่ใจไว้ก็คือ
ถ้าท่านนึกบวกคลื่นพลังจิตของท่าน
ที่เหวี่ยงมันออกมาอย่างต่อเนื่องนั้น
มันจะประกอบด้วย
คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
กับคุณสมบัติด้านอารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านบวก
ที่จิตตปัญญาของท่านกำลังสั่นสะเทือนอยู่
โดย #จิตใต้สำนึก เป็นผู้ขับเคลื่อนมันออกมา
เราเคยย้ำบ่อยครั้งมาแล้วว่า
#จิตใต้สำนึกเป็นเครื่องมือของจิตสามนึก
เมื่อท่านนึกบวก คิดบวก พูดบวก ทำบวก
จิตใต้สำนึกของท่านที่คิดเองไม่เป็น
เห็นเองไม่ได้ สงสัยไม่มี
ก็จะเข้าใจว่า "จิตสามนึก" ต้องการอย่างนั้น
"จิตใต้สำนึก" ก็จะไปแสวงหาสิ่งนั้นจนพบเจอ
ไม่ว่ามันจะอยู้ใกล้ไกลลึกลับแค่ไหน
พบแล้วก็จะเหนี่ยวรั้งชักพามาให้ท่านในทันใด
ตัวท่านก็จะได้เผชิญสิ่งนั้นไม่ช้าก็เร็ว
<3 ดังนั้น
การมีนิสัยนึกบวก คิดบวก พูดบวก ทำบวก
จากจิตสามนึกด้านบวกของท่าน
มันจึงเป็นประโยชน์สุขในการดำเนินชีวิตของท่าน
ร่วมกันกับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆบนโลกเสรีนี้
ทั้งยังเป็นการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ที่ท่านต้องรับผิดชอบตามพันธะสัญญา 6
ไปในเวลาเดียวกันอีกด้วย
<3 ในทางกลับกัน
ถ้าวันๆท่านเอาแต่สั่นสะเทือนทางด้านลบ
"จิตใต้สำนึก" จะเข้าใจผิด
คิดว่าท่านต้องการสิ่งลบๆนั้น
เขาก็จะไปแสวงหามันจนพบ
แล้วเหนี่ยวรั้งสิ่งลบๆนั้นเข้ามาสู่ชีวิตท่าน
การนึกลบคิดลบสั่นสะเทือนจิตสามนึกเป็นลบ
มันจึงก่อโทษให้กับชีวิตท่านโดยตรง
ซึ่งไม่ต่างจากการทำร้ายตนเองโดยแท้
อีกทั้งยังจะล้มเหลวในการทำหน้าที่
เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลกอีกด้วย
<3 จงระลึกเสมอว่า
ถ้าท่านนึกบวก คิดบวก พูดบวก ทำบวก
ชีวิตท่านก็จะมีแต่สิ่งดีๆที่เป็นด้านบวกเข้ามาหา
ถ้าท่านนึกลบ คิดลบ พูดลบ ทำลบ
ชีวิตท่านก็จะมีแต่สิ่งลบๆหรือไม่ดีเข้ามาหาเช่นกัน
การนึกบวกได้บวก
การนึกลบ ได้ลบ
จึงเป็นปรากฏการณ์ปกติของคนสองมิติ
ที่เรียกว่า "มนุษย์" นั่นเอง
<3 เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การฝึกเป็นคนดิดบวกไม่คิดลบนั้น
ท่านสามารถปฏิบัติได้ด้วยตัวเอง
ไม่ต้องให้ใครเสี้ยมสอนท่านหรอก
สมองของท่านก็มีอยู่
จิตของท่านก็ยังดีๆอยู่
เพียงแค่เวลามองโลกจงมองสองด้าน
แล้วคิดมันในอีกด้านหนึ่งที่ท่านไม่เคยคิดด้วยสิ
แล้วเปรียบเทียบดูว่าด้านใดนึกคิดแล้ว
คนอื่นๆเขาเกิดประโยชน์สุขกับท่านด้วย
ด้านนั้นแหละด้านบวกที่เรากล่าวถึง
เป็นต้นว่า.....
1.ท่านมีอะไรที่ดีๆที่จะให้แก่เขาบ้าง
แทนที่จะคิดว่า
มีอะไรดีๆทีท่านจะเอาจากเขาได้บ้าง
2.เมื่อพบว่าเขาโกหกหลอกลวงท่าน
แทนที่จะย้ำคิดเพียงว่า
เขาทำให้ท่านเกิดความเสียหายขายหน้า
ก็เปลี่ยนมาคิดเสียอีกด้านหนึ่งว่า
เขาได้มอบบทเรียนอันมีค่ามาให้ท่านแทน
หน้าที่ของท่านคือใช้จิตตปัญญา
ฝึกการนึกบวกคิดบวกให้เป็นนิสัย
โดยสำนึกให้ได้ว่ามันเป็นหน้าที่
จงอย่าไปตกหลุมพรางคนที่เขาชักจูงท่าน
ชวนเชิญให้ท่านคิดบวกเพราะอยากได้สิ่งดีๆ
สอนให้เลิกคิดลบเพื่อไม่ต้องข้องแวะกับสิ่งลบๆ
ชวนท่านไปอบ-ไปรม บ่มจิตกันแบบนี้
ท่านต้องรู้ว่าการชวนกันแบบนี้
มีแต่จะสร้างจริตนิสัย "โลภ" ขึ้นมาใหม่
มันจะทำให้จิตของท่าน "เสื่อม" โดยใช่ที่
จงจำไว้ว่าอย่าพยายามนึกบวกคิดบวก
แล้วพยายามไม่นึกลบคิดลบอะไรด้วย
เพียงเพราะท่านอยากได้สิ่งดีๆในชีวิต
เพียงเพราะไม่อยากเจอสิ่งเลวร้ายในชีวิต
ตามที่บางลัทธิเขาโฆษณาชวนเชื่อ
แต่เราขอให้ท่านนึกบวกไม่นึกลบ
ด้วยเหตุผลเดียวคือ เป็นหน้าที่มนุษย์ทุกคน
รวมทั้งหน้าที่ของตัวท่านเองด้วย
ที่จะต้องครองตนอย่างนี้ด้วยกันทั้งสิ้น
สิ่งดีๆในชีวิตที่มันจะเข้ามาหาท่าน
มันจะเป็นรางวัลที่ท่านได้รับเอง
ไม่ต้องไปอยากได้ใคร่มีให้จิตเสื่อม
ไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองเพราะไม่รู้
...........โอเคมั้ย?
การนึกบวก คิดบวก พูดบวก ทำบวก
มันเป็นหน้าที่ของพวกท่านทุกคนไป
ที่จักต้องเรียนรู้ที่จะทำให้ได้ในชีวิตประจำวัน
ผลลัพธ์ก็เกิดง่ายทำได้เอง
ไม่ต้องให้ใครช่วย
ชีวิตที่ต้องเจอสิ่งไม่ดีทั้งหลาย
มันล้วนเป็นทั้งบททดสอบและบทเรียน
ไม่มีใครมีแต่สมหวังหรือผิดหวังด้านเดียวหรอก
อย่าไปเชื่อว่า...นึกบวกคิดบวกแล้ว
ชีวิตท่านจะไม่มีสิ่งไม่พึงประสงค์ให้ต้องเผชิญ
ถ้าชะตาชีวิตและชะตากรรมของท่าน
ถูกขีดเขียนออกแบบมาให้เป็นอย่างนั้น
<3 ขอความสว่างในดวงจิตตปัญญา
จงบังเกิดแก่ท่านที่ถามเรามา
รวมทั้งท่านผู้อ่านความบทนี้ด้วยเถิด
มรรควิถีจิตจักรวาลจะยังความสว่างไสว
ให้แก่สามภพภูมิตลอดไป
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-05-2017
หมายเหตุ:
สัจธรรมด้านอภิปรัชญาบทนี้ยาวหน่อย
แต่เปี่ยมไปด้วยสาระและความรัก
สำหรับทุกท่านอยู่ในนั้น <3 <3 

18 พฤษภาคม 2560

จิตสามนึกที่ดี ต้องมาจากข้างใน


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า....

คนดีคือ
คนที่ขับเคลื่อนสิ่งดีๆออกมาจากข้างใน
เปรียบเสมือนต้นไม้พันธุ์ดี
ก็จะให้แต่ผลที่ดีเท่านั้น

ส่วนคนเลวก็คือ
คนที่ขับเคลื่อนสิ่งเลวๆออกมาจากข้างใน
เปรียบเสมือนต้นไม้พันธุ์ไม่ดี
ก็จะให้แต่ผลไม้ที่ไม่ดีเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เอง
ต้นไม้พันธุ์ดีจะให้ผลเลวจึงเป็นไปไม่ได้
ถ้าต้นนั้นเป็นต้นไม้พันธุ์ดีที่แท้จริง
ขณะที่ต้นไม้พันธุ์ไม่ดีนั้น
จะให้ผลดีก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
ถ้าต้นนั้นเป็นต้นไม้พันธุ์ไม่ดีที่แท้จริง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ความดีงามที่ท่านแสดงกันออกมา
ก็คือ "ผลผลิตดี" จาก "จิตสามนึก" ของท่าน
คำว่า "ผลผลิตดี" จึงเปรียบได้ดั่งผลที่ดี
ที่ถูกขับเคลื่อนออกมาจากข้างในของต้นไม้นั้น
ก็คือตัวท่านที่เป็นคนดีนี่แหละ
โดยสิ่งที่อยู่ข้างในที่ให้ผลดี
จนเป็นที่ปรากฏออกมาข้างนอก
คือสิ่งที่เราเรียกว่า จิตสามนึกด้านบวก
หรืออาจเรียกตัวขับเคลื่อนนี้ว่า จิตรู้สามนึก

ในทางตรงข้ามกัน
ความเลวแต่ละอย่างที่ท่านแสดงกันออกมา
ก็คือ "ผลผลิตไม่ดี" จาก "จิตสามนึก" ของท่าน

คำว่า "ผลผลิตไม่ดี" จึงเปรียบได้ดั่งผลที่เลว
ที่ถูกขับเคลื่อนออกมาจากข้างในของต้นไม้นั้น
ก็คือตัวท่านที่เป็นคนไม่ดีนี่แหละ
โดยสิ่งที่อยู่ข้างในที่ให้ผลเลวหรือผลไม่ดี
จนเป็นที่ปรากฏออกมาข้างนอก
คือสิ่งที่เราเรียกว่า จิตสามนึกด้านลบ
หรืออาจเรียกตัวขับเคลื่อนนี้ว่า จิตรู้สามนึก ก็ได้

ดังนั้น
จิตสามนึกนี่แหละที่อยู่ข้างใน
ที่เป็นตัวกำหนดว่าใครจะเป็นคนดีหรือเลว
ตามความจริงทั้งหมดที่เรากล่าวมา

ถ้าท่านเป็นต้นไม้พันธุ์ดีหรือเป็นคนดีแท้จริง
พฤติกรรมที่ท่านแสดงออกมา
จักต้องเป็นพฤติกรรมดีๆเท่านั้น
เพราะคนดีจักต้องมี จิตสามนึกดี เสมอ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนกับใครเวลาใด
พฤติกรรมที่ท่านแสดงออกมา
จักต้องดีสถานเดียวไม่ดีไม่ได้

เราจึงจะกล่าวต่อท่านทั้งโลกว่า
ถ้าปรารถนาจะเป็นคนดี
ถ้าปรารถนาให้ใครเป็นคนดี
จักต้องกระทำที่ "จิตสามนึก" ของคนๆนั้นเท่านั้น
จะทำผ่านการสอนให้รู้ ผ่านการจูงใจ
จะทำด้วยวิธีบังคับข่มขืนฝืนใจไม่ได้

อ้าว....งั้น "จิตสามนึกดี"
คือ อะไร อย่างไรล่ะท่าน?

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-05-2017

16 พฤษภาคม 2560

กงกรรม กงเกวียน



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า....

ในเรื่องของ กงกรรมกงเกวียน
ที่หลายท่านชอบนำมาอ้างอิงว่า
ถ้าชาตินี้ใครกินเลือดเนื้อของสัตว์อะไร
ชาติหน้าก็จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์นั้น
เพื่อให้สัตว์ที่ถูกฆ่าถูกกินกลับมาเกิดเป็นคน
แล้วแก้แค้นเอาคืนด้วยการฆ่ากินเข้าให้บ้างนั้น
เป็นการคิดเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เรื่องของ "กงกรรมกงเกวียน" นั้น
ใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตที่มี จิตสามนึก เท่านั้น
ซึ่งหมายถึงเป็นเรื่องของมนุษย์ด้วยกันเอง
สัตว์มีชีวิตน้อยใหญ่ทั้งหลาย
มิได้มีส่วนต่อกฎแห่งกรรมนี้แต่อย่างใดเลย
ท่านอยากรู้เหตุผลใช่มั้ย?

คำตอบก็คือสรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตนั้น
พวกเขามีดวงจิตธรรมญาณ
เช่นเดียวกับมนุษย์อย่างพวกท่านก็จริง
แต่พวกเขาก็ต่างกันกับจิตวิญญาณมนุษย์
ตรงที่แก่นแท้ของพวกเขาทั้งหลายนั้น
เป็นผู้ ขันอาสาพระบิดา
ลงมาเกิดเป็น สัตว์ประจำโลก ตลอดกาล

คำว่าเป็น "สัตว์ประจำโลก" ตลอดกาล
หมายถึงการที่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
เมื่อต้องตายไปในภพชาตินี้แล้ว
จะด้วยสาเหตุแห่งการตายแบบใดก็ตาม
สัตว์ชนิดใดก็มีหน้าที่กลับมาเกิดใหม่
เพื่อเป็นสัตว์ชนิดนั้นๆอีกไม่รู้สิ้นสุด

เพราะพวกเขาขันอาสามาทำหน้าที่
เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกตลอดกาล
จึงไม่มีหน้าที่ต้องกลับบ้านหรือ "นิพพาน"
เหมือนกับจิตวิญญาณของมนุษย์
จิตสามนึกจึงไม่จำเป็นต้องใช้ในสัตว์
คงใช้แต่จิตสัญชาตญาณเท่านั้น
กฎแห่งกรรมสำหรับพวกเขาจึงไม่มี
ถ้าท่านฆ่าแกงกินเลือดเนื้อของเขา
ถ้าท่านตัดเขาตัดงาตัดเขี้ยวของเขา
ถ้าท่านนำพวกเขามากักขังไว้ดูเล่น
จนสูญเสียความมีชีวิตเสรีขาดอิสรภาพ
จิตวิญญาณของพวกเขาเมื่อตายไป
จะมีก็เพียงความโกรธแค้นแสนรันทด
จนจิตวิญญาณไม่ยอมไปผุดเกิด
โดยจะคอยเฝ้าติดตามเหมือนเงา
เพื่อหาโอกาสแก้แค้นเอาคืนทันที
ในทุกสถานที่ทุกเวลาถ้ามีโอกาสเหมาะ
โดยจะคอยซ้ำเติมเมื่อท่านมีอุบัติเหตุ
เพราะความประมาทหรือขาดสติเพียงชั่ววูบ
จะคอยสั่นสะเทือนจิตฝ่ายต่ำของท่าน
ในยามที่ท่านโลภ โกรธ หลงงมงาย
ชวนให้ท่านคิดผิด ตัดสินใจผิด กระทำผิด
เพื่อหาเรื่องให้เพื่อนมนุษย์คนอื่น
ทำร้ายท่านแทนพวกเขาที่เจ็บแค้น

บางกลุ่มที่อาฆาต
ก็อาจเข้าโจมตีระบบชีววิทยาของท่าน
ตรงที่เป็นจุดอ่อนแอที่สุดที่ท่านมีอยู่
โดยเข้าไปสั่นสะเทือนด้านลบตรงจุดนั้น
ยังผลให้ท่านเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยเรื้อรัง
หรือมีกลไกอวัยวะภายในทำงานบกพร่อง
ในยามที่ภูมิต้านทานโรคของท่านอ่อนแอ
เพราะในร่างกายท่านมากมายด้วยประจุลบ
อันเกิดจากกิเลสตัณหาราคะ
และอารมณ์ขยะรายวันนั่นเอง

จงระลึกเอาไว้ว่า
มีแต่มนุษย์ด้วยกันเท่านั้น
ที่สร้างกงกรรมกงเกวียนตามกฎแห่งกรรมขึ้นมา
เพื่อรักษาดุลยภาพระหว่างตนกับคนอื่นไว้
โดยผู้ถูกฆ่าสามารถย้อนกลับมาเกิดใหม่
เพื่อจะใช้โอกาสเป็นผู้ฆ่ากลับคืนบ้าง
เรื่องแบบนี้ในสัตว์ไม่มีหรอก

เว้นแต่ว่ามนุษย์คนใด
ที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
มีจิตสำนึกบกพร่องบางอย่าง
พระบิดาก็จะส่งให้ไปเกิดเป็นสัตว์
ที่มีบุคลิกแห่งจริตที่ดีงาม
ในด้านที่มนุษย์คนนั้นบกพร่อง
เพื่อจะได้ทำการดัดจริต
ให้กลับมางดงามดุจเดิมได้

เป็นต้นว่า
ถ้าเกิดเป็นมนุษย์แล้วไม่กตัญญู
ต่อพ่อแม่ผู้มีพระคุณ
จิตวิญญาณนั้นก็จะลดชั้นลงไปเกิดเป็นสุนัข
เพราะสุนัขทุกตัวมีหน้าที่กตัญญูต่อเจ้าของ

ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วมีนิสัยขี้ลักขี้ขโมย
เมื่อตายไปแล้วจิตวิญญาณที่เสื่อมเสียนั้น
จะตกชั้นไปเกิดเป็นแมวขโมย
เพื่อให้คนที่ถูกแมวขโมยนั้นช่วยทุบตีทำร้าย
จนบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจจะได้เข็ดจำ

ถ้าเกิดเป็นสตรีแล้วใช้ปทุมถันยั่วผู้ชาย
เพื่อการขายเซ็กซ์ให้เสื่อมเสีย
ก็จะตกชั้นไปเกิดเป็นแม่วัวนมที่ต้องโชว์เต้า
เพื่อให้คนเขาบีบรีดเต้านมจนชั่วชีวิต
เพื่อให้สำนึกด้วยจิตมนุษย์ในความเป็นแม่วัวว่า
อะไรควรไม่ควร เป็นต้น
คนตกชั้นไปเป็นสัตว์จึงมิใช่กงกรรมกงเกวียน
แต่เป็นเพราะขาดจิตสามนึกที่ถูกต้อง
หรือมีจิตสามนึกที่บกพร่องต่างหาก
กฏแห่งกรรมเป็นเรื่องของมนุษย์เท่านั้น

การที่เราสอนว่าอย่าฆ่าสัตว์อย่ากินเนื้อสัตว์
เพราะต้องการจะบอกท่านว่า
ท่านกำลังทำร้ายผู้ที่ไม่มีทางสู้ท่านได้เลย
มีแต่จะทำให้พวกเขาอาฆาต
จนไม่มีโอกาสได้ผุดเกิดต่างหาก
เราต้องการให้ท่านเมตตาพวกเขา
และเราสอนท่านด้วยว่าให้ครองมหาสติไว้
จักได้ไม่ประมาทหรือขาดสติ

เผื่อที่ผ่านมาท่านกินพวกเขามาเยอะแยะ
ท่านมีเจ้ากรรมนายเวรเหล่านี้อยู่มาก
ท่านจะได้ปลอดภัยจากการแก้แค้นเอาคืน
ในตอนที่ท่านประมาทหรือขาดสติ
เพราะไม่มีปณิธานแห่งนิพพานนั่นแหละ

นี่เป็นอีกหนึ่งความจริงที่ท่านต้องรู้
เรากล่าวต่อท่านในพระนามของ
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของพวกท่าน
คือ องค์จิตจักรวาล
เพื่อไถ่บาปของพวกท่านด้วยตัวท่านเอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16-05-2017

12 พฤษภาคม 2560

จิตจักรวาลอ่านธรรม : อันรูปลักษณ์มายาแห่งบรรพชิต



อันรูปลักษณ์มายาแห่งบรรพชิต
มีสิ่งชวนคิดชวนตรอง ในมุมมองแห่งฆราวาส
ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแฝงเอาไว้ในสำแดง
รวมเบ็ดเสร็จทั้งสิ้น 9 ประการด้วยกัน
โดยสำแดงไว้ภายนอก 4
สั่นสะเทือนอยู่ข้างใน 5
รวมความโดยสังเขปว่าดั่งนี้
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
สำหรับมนุษย์โดยทั่วไปนั้น
สิ่งที่ง่ายที่สุดในการชำระจิต คือ "ราคะจริต"
ราคะจริต
คือ การที่จิตยึดติดความพึงพอใจ
ในรูป รส กลิ่น เสียง และกายสัมผัส
ถ้าหากเป็นบุรุษก็จะยึดติดในความหล่อ
ความเท่ห์ ความสำอาง
โดยเน้นที่รูปร่างหน้าตาเอาไว้ก่อน
ดังนั้น
การโกนผมบนศีรษะจนเกลี้ยงเกลา
กับการโกนหนวดเคราและขนคิ้ว
จึงเป็นการสละหรือละหรือ "ปลง" ราคะจริต
เพื่อสำแดงให้ตนเองและผู้อื่นรู้ว่า
ตนนั้นได้ละวางมันไปแล้วนั่นเอง
การออกบวชเป็นการมุ่งทุ่มเทเวลา
ให้กับการศึกษาธรรมะและการประพฤติธรรม
ถ้าผมไม่ยาว หนวดเคราไม่รุงรัง
ท่านก็จะมีเวลาให้กับตนเอง
เพื่อการประพฤติธรรมได้อย่างเต็มที่มากขึ้น
เพราะไม่ต้องไปเสียเวลากับการดูแล
ให้เรียบร้อยไม่รุ่มร่ามเลย
นอกจากนั้น
การมีศีรษะโล้นขนคิ้วก็ไม่มีเยี่ยงนี้
ก็จักเป็นเครื่องป้องกันที่ดี
เพื่อมิให้เป็นเงื่อนไขเร้าใจ
กระตุ้นให้เกิด "ราคะจริต" แก่เพศตรงข้าม
ที่จะเกิดการหลงเสน่ห์ดูเท่ห์ดูงาม
อันนำไปสู่การเกิด "ราคะจริต" กันต่อไปอีก
2.ครองไตรจีวร
การบวชพระเป็นการละแล้วซึ่งอาสวกิเลส
หนึ่งในนั้นก็คือการละวางซึ่ง
พัสตราภรณ์แต่งกายที่หรูหราราคาแพง
ที่ต้องแต่งกันตามแบบแฟชั่นให้ทันสมัยเสมอ
โดยหันมาใช้ผ้าแค่สามผืนพันกาย
ซึ่งเป็นเครื่องหมายของความพอเพียง
ไม่ต้องดิ้นรนในการทำมาหาเงินเพื่อซื้อหามัน
อันเป็นการดับ "ตัณหา" และความใคร่ที่จะมี
ภายในจิตใจตนเองได้อีกด้วย
นอกจากนั้น
การครองจีวรก็ยังเป็นการปิดกั้น
มิให้เกิดการกระตุ้นราคะจริตได้ง่ายนัก
ซึ่งอาจนำไปสู่ตัณหาและความใคร่ทางกามารมณ์
ของเพศตรงข้ามได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
เพราะแฟชั่นการแต่งกายทันสมัย
กับเสื้อผ้าสวยงามราคาอันแสนแพงนั้น
มันมักก่อให้เกิดกิเลสตัณหาในจิตใจ
ทั้งของผู้สวมใส่และผู้พบเห็นได้เสมอ
เพียงผ้าสามผืน
ที่มีสีเดียวกันกับแสงแดดยามรุ่งอรุณ
ที่ชาวบ้านแลเห็นกันอยู่ทุกเช้าตรู่แล้วชื่นใจ
เพียงเท่านี้ก็พอเพียงแล้ว
ถ้ามนุษย์รู้จักพอเพียง
โดยเฉพาะรู้จักพอมีพอกินพอใช้
อยู่ง่าย กินง่าย ไม่สะสม
ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงบาตรขนาดย่อมแค่หนึ่งใบ
เพื่อเอาไว้รองรับอาหารจากญาติโยมผู้ใจบุญ
สำหรับการฉันบริโภคของตนแค่วันต่อวัน
ท่านก็จักเรียนรู้ที่จะละวาง "ความโลภ"
เพราะการรู้จัก "พอ" ลงได้ในทันที
ซึ่งท่านยังจะเรียนรู้ด้วยตนเองได้อีกว่า
ถ้าเตรียมภาชนะที่เป็น "บาตรขนาดใหญ่"
เพื่อหมายจะใส่สะสมอาหารได้เยอะๆนั้น
มันยังจะเป็นการเพิ่มภาระ
และสร้างปัญหาใหม่ให้ตนเองด้วย
ภาระ คือ บาตรใหญ่ใส่อาหารได้เยอะ
ชาวบ้านเห็นบาตรใหญ่
ก็จะพากันตักเติมลงไปมากๆ
ศรัทธาพระมากก็ยิ่งใ่สมากด้วยคิดว่าได้บุญเยอะ
พื้นที่บาตรว่างมากชาวบ้านก็ใส่ไม่อั้น
ชาวบ้านจะ "ลืม" คิดไปว่า
พระจะอุ้มบาตรหนักไปไหม
วัดที่พระจำวัดอยู่นั้นมันไกลหรือใกล้แค่ไหน
กว่าจะอุ้มบาตรกลับถึงวัด
มันจะเป็นภาระของพระอันหนักใหญ่หรือเปล่า
ชาวบ้านมีแต่ปิติใจที่ได้ตักบาตรพระเท่านั้น
ส่วนปัญหาใหม่ของพระบาตรใหญ่ก็คือ
ของที่ญาติโยมตักใส่ลงไปในบาตรทั้งหมดนั่น
มันจะกลายเป็น #ของร้อน สำหรับพระไปเลย
ยิ่งอาหารโดยเฉพาะข้าวสุกเต็มบาตรมากเท่าไหร่
ของในบาตรก็จะยิ่งกลายเป็นของร้อนมากเท่านั้น
ถ้าผู้เป็นนักบวชมีสำนึกพอเพียง
ไม่ใช้บาตรใหญ่ให้ของในบาตรหนักเกิน
ไม่ใช้บาตรใหญ่ให้ของในบาตรเป็นของร้อน
ที่จะเพิ่มภาระและสร้างปัญหาใหม่ให้ตนเองแล้ว
มันยังจะช่วยให้ท่าน ละโลภ ได้ด้วยสิ
นั่นหมายความว่า
ผู้ครองจีวรสีเดียวที่เป็นผ้าเพียงสามผืนนั้น
จักต้อง มีสำนึกพอเพียง ตามการถือครองด้วย
มิใช่ถือครองกันตามบทบัญญัติหรือขนบประเพณี
มิเช่นนั้นแล้วแม้จะสมมติตนเองว่าเป็นพระ
ท่านก็มิอาจจะละวางความโลภลงได้เลย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การเป็นนักรบแห่งแสงสว่างนั้น
วิธีอบรมจิตตนเองส่วนใหญ่
จะกระทำผ่านกิจกรรม "กรรมฐาน"
ซึ่งเป็นปฏิบัติการทางเท็คนิกในลักษณะนั่งปฏิบัติ
โดยใช้วิธีปิดอายตนะภายนอกทั้งห้า
แล้วหันมาเน้น "อบรมจิต" ที่เป็นอายตนะภายใน
อย่างคร่ำเคร่งและมุ่งมั่นเท่านั้น
เพราะการปลีกวิเวกและมุ่งสันโดด
ทำให้นักรบทั้งหลายไม่ต้องฝึกอายตนะ
ที่เป็นตา หู ปาก-ลิ้น และจมูกให้ยุ่งยาก
แค่อยู่คนเดียวก็แทบจะหมดปัญหา
ที่จะเกิดการถูกเย้ายวนยั่วยุให้จิตตกได้แล้ว
แต่มันยังมีอายตนะภายนอกอีกสิ่งหนึ่ง
ขณะนั่งเฉยๆมันฝึกทักษะแห่งผัสสะไม่ได้
หรือฝึกได้แต่ไม่ค่อยจะดีเท่าใดนัก
นั่นคือ "สัมผัสกาย"
การเลือกใช้ "ฝ่าเท้า" ที่ก้าวย่ำไปตามทาง
เพื่อฝึกทักษะแห่งผัสสะทางกาย
จึงเป็นการเหมาะสมอย่างยิ่งยวดแล้ว
เพราะสามารถฝึกการรับรู้แล้วไม่รับเอาได้เป็นอย่างดี
โดยรับรู้ว่าร้อนเมื่อก้าวย่ำไปตามทางหินทราย
แต่ไม่นำพาร้อนกายที่ฝ่าเท้าเอามาสู่ "ร้อนใจ"
อันหมายถึงการไม่นำพาทุกข์กายไปสู่ "ทุกข์ใจ"
ซึ่งเป็นการฝึกแยกกายออกจากจิตใจนั่นเอง
นอกจากนั้น
สองฝ่าเท้าที่ก้าวย่ำไปตามทางกรวดหรือลูกรัง
นอกจากจะร้อนผ่าวสำหรับสองเท้าเปลือยๆแล้ว
ก้อนกรวด ก้อนหิน และเม็ดทราย
มันยังมีความแหลมคมพร้อมทิ่มตำฝ่าเท้าอีกด้วย
การก้าวย่ำทิ้งน้ำหนักเต็มฝ่าเท้า
การก้าวยาวๆอย่างร้อนรนไม่ระมัดระวัง
ในลักษณาการขาดสติและไม่สำรวมของจิต
ก็รังแต่จะสร้างความเจ็บปวดเพราะบาดเจ็บ
ในทุกก้าวย่ำไปตามทางนั้นเสมอ
ท่านจึงต้องครองสติอยู่กับปัจจุบัน
ก้าวย่างเหยาะมันไปเบาๆและสำรวมระวัง
ก็จะลดอาการทุกข์ที่ฝ่าเท้าลงไปได้อีกโข
ถ้าท่านปฏิบัติอยู่เป็นเนืองนิจ
มันก็จะเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยให้
จิตของท่านละเอียดสุขุมและสงบยิ่งขึ้นได้
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ไม่ว่ากุศโลบายแห่งพระพุทธองค์
สำหรับนักรบแห่งแสงสว่าง
ที่ใช้ในการอบรมจิตนักบวชในชีวิตประจำวัน
หรือ การอบรมจิตตปัญญา
ตามมรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
สำหรับนักสู้เพื่อการรู้แจ้งหรือ "ฆราวาส" นั้น
แม้วิธีการประพฤติปฏิบัติจะแตกต่าง
โดยปฏิบัติได้ขณะใช้ชีวิตอยู่ในสังคม
แต่จุดหมายปลายทางนั้นเป็นจุดเดียวกัน
คือ การหลุดพ้นทางจิตวิญญาณเช่นกัน
ขอท่านทั้งหลายจงเจริญด้วยจิตตปัญญา
เข้าถึงความจริงที่เรากล่าวนี้เถิด
หมายเหตุ:
ท่าน "อัคคธีโร ภิกขุ"
(ฉายาที่สมเด็จพระสังฆราช องค์ที่ 20
ทรงเมตตาประทานให้)
เมตตาให้ช่างภาพ
บันทึกภาพต้นแบบนี้เพื่อสอนธรรมะได้
จึงขอกราบขอบพระคุณ
พระคุณเจ้ามา ณ ที่นี้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12-05-2017