28 ธันวาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 28/12/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

ถ้าพวกท่านยังยึดติดอยู่กับความเชื่อเดิม

ยังยึดติดอยู่กับวิธีปฏิบัติบำเพ็ญแบบเดิมๆ

โดยไม่ยอมรับฟังพระโอวาทพระบิดา

ที่ทรงเมตตาสื่อเตือนผ่านมาทางเราแล้ว

แม้จะมีเวลาต่อไปให้อีกสักกี่ร้อยภพชาติ

ท่านก็จะไม่มีวันนำพาจิตวิญญาณของท่าน

"หลุดพ้น" ออกไปจากอนันตจักรวาลได้

ถ้าไม่ "หลุดลอย" เพราะหลงทาง

ไปค้างเติ่งอยู่บนสวรรค์มายา

ก็หลุดหล่นลงมาเกิดเป็นคนบนโลกนี้อีก

ที่แย่กว่านั้นคือ "หลุดลง" ไปยังภพภูมินรก

โดยมีกรรมที่ตนทำเป็นผู้นำพาไปกำเนิด

 

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ท่านทั้งหลาย

นำพาจิตวิญญาณหลุดพ้นนิพพานไม่ได้

แม้จะเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วหลายภพชาติ

เป็นเพราะหลงก้าวตามคนนำทางตาบอด

อย่างเชื่อมั่นและศรัทธาที่ขาดปัญญา

โดยท่านเชื่อตามพวกเขาไปเสียทุกเรื่อง

ท่านเชื่อมั่นศรัทธาพวกเขาเหมือนกับว่า

พวกเขาทั้งหลายนั้นเป็น "ศาสดา" เสียเอง

ทั้งๆที่พวกเขาเป็นแค่นักเรียนธรรมะ

เพื่อการปฏิบัติธรรมสู่การหลุดพ้นกลับบ้าน

เพื่อการปฏิบัติธรรมนำพระจิตสู่สวรรค์นิรันดร

เช่นเดียวกันกับท่านทั้งหลายเท่านั้น

แต่พวกเขารู้ธรรมะมากกว่าท่าน

 

เพราะเรียนมามากกว่าฝึกปฏิบัติมามากกว่า

จึงพอจะแบ่งปันคำสอนของพระศาสดา

ให้ท่านทั้งหลายกันได้บ้างอย่างผู้รู้คนหนึ่ง

แต่ท่านทั้งหลายก็ยังต้องตระหนักรู้

ก่อนจะปักใจเชื่อตามทำตามด้วยว่า

พระธรรมคำสอนที่เขากล่าวอ้างต่อท่านนั้น

ไหนเป็นพระวจนะของพระศาสดาที่แท้จริง

ไหนเป็นพระวจนะเทียมเท็จที่แอบอ้าง

ซึ่งอุตริคิดสร้างหลักธรรมนั้นๆกันขึ้นมาเอง

ไหนเป็นสัจธรรมคำสอนที่ผิดที่ไม่ถูกต้อง

เหตุเพราะพวกเขาแปลความผิดเข้าใจผิด

เพราะพวกเขาใช้ความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวผิด

จึงสรุปความคำสอนมาถ่ายทอดต่อแบบผิดๆ

แล้วเชื่อตามกันมาปฏิบัติตามกันมาแบบผิดๆ

จนตกเป็นมรดกบาปสืบเนื่องมานานนับพันปี

ซึ่งท่านทั้งหลายที่หลับตาก้าวตามเชื่อตาม

เพราะหลงผิดเนื่องจากมีตะเกียงที่ไร้น้ำมัน

จึงมิอาจรู้จำแนกแยกแยะถูกผิดอะไรได้

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ถ้าท่านรู้สติและมีสติกันได้แล้วว่า

คนนำทางที่ท่านก้าวตามอยู่มิใช่พระศาสดา

พวกเขาเพียงแต่รู้ธรรมะมากกว่าท่านเท่านั้น

ซึ่งพวกเขาอาจรู้ถูกรู้ผิดจนสอนท่านผิดๆถูกๆอยู่

หากท่านเชื่อตามและทำตามพวกเขาไปทุกสิ่ง

หรือเชื่อตามทำตามพวกเขาอย่างว่าง่าย

โดยมิได้ใช้สติปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว

พวกเขากลุ่มนี้ก็จะพาท่านขึ้นลงเขาวงกต

แล้วลดเลี้ยวขึ้นสู่ยอดเขาพระสุเมรุ

ขึ้นๆลงๆอยู่อย่างนี้โดยมิอาจถึงจุดหมายได้

เพราะพวกเขาและท่านทั้งหลาย

ต่างชักพากันหลงทางนิพพานนั่นเอง

โดยคนนำทางในกลุ่มนี้

พาให้ท่านเชื่อว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์

ด้วยการมีสังสารวัฏบนโลกนี้นั้น

เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

 

ถ้าชาตินี้ทำให้จิตวิญญาณ

ไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาติหน้าได้

ท่านทั้งหลายก็จะพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง

โดยอ้างว่าพระศาสดา "สอน" ไว้อย่างนั้น

นี่ก็เป็นความเชื่อของคนนำทาง "ตาบอด"

ที่หลงผิดเพราะตะเกียงไร้น้ำมันเช่นกัน

ที่เรากล่าวว่าพวกนี้มี "ตะเกียงที่ไร้น้ำมัน"

เพราะเขาไม่รู้ว่ามาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม

ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณพวกตนมาจากไหน

ใครเป็นผู้ให้มาเกิดและมาเกิดได้อย่างไร

ทั้งไม่รู้ว่าเกิดแล้วมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง

ซึ่งล้วนเป็นความจริงในระดับ #อนุตรธรรม

ที่มีเพียง #พระบุตรเอก ผู้กล่าวพระโอวาท

ในพระนามพระบิดาแห่งจิตวิญญาณเท่านั้น

ที่จะรู้และกล่าวความจริงเหล่านี้ต่อมนุษย์ได้

เหตุที่คนนำทางพวกนี้สอนท่านผิดๆ

 

พาท่าน "หนีทุกข์" ไปซุกจิตวิญญาณไว้

ด้วยการแทรกตัวอยู่บนสวรรค์มายา

จนละทิ้งหน้าที่หนีภารกิจทางจิตวิญญาณ

เพราะยึดติดพระศาสดาองค์เดียว

 

เพราะติดยึดแต่พระคัมภีร์เล่มเดียว

โดยหยัดยึดแต่ครูคนเดียวตำราเล่มเดียว

แล้วเชื่อว่าตนนั้นจะบรรลุธรรมขั้นสูงสุด

ทั้งที่เป็นใบไม้ในกำมือและนอกกำมือ

ของพระศาสดาองค์เดียวได้อย่างงมงาย

คนนำทางพวกนี้ "ปฏิเสธ" พระบุตรเอก

ซึ่งเป็นพระศาสดาที่มาจากพระเจ้า

และปฏิเสธผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตน

โดยทำตนเป็น "บุตรกำพร้า"

รับเอาแต่พระศาสดาที่มาจากโลกเท่านั้น

จึงมิอาจรู้ความจริงขั้นสูงสุดที่ว่านี้ได้เลย

 

นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่ง

ที่ทำให้พวกเขาทั้งหลาย "ตาบอด"

ขณะที่ยังมี "คนนำทาง" ในบางกลุ่ม

ก็จะพาท่านตายแล้วเกิดใหม่วนๆไปเรื่อย

เพราะท่านไปหลงเชื่อตามพวกเขาว่า

ถ้าเชื่อในพระองค์และศรัทธาในพระบิดา

พระศาสดาจะ "รับบาป" แทนพวกท่านได้

ตายไปในชาตินี้แล้วจิตวิญญาณของท่าน

จะคืนกลับสู่อ้อมกอดแห่งพระองค์ได้ทันที

 

โดยจิตวิญญาณของท่านจะไม่ตาย

เพราะไม่ต้องกลับมามีภพชาติใหม่อีก

ซึ่งคนนำทางกลุ่มที่พาท่านเชื่อเช่นว่านี้

จะสอนสั่งท่านไม่ให้เชื่อเรื่องการมีภพชาติ

เพราะพวกท่านเชื่อในพระบิดา

ศรัทธาในพระบุตรเอกอย่างยิ่งยวดแล้ว

พวกท่านจึงเป็นคนไม่มีบาปแล้ว

เพราะทรงรับบาปทั้งหมดแทนท่านแล้ว

เมื่อตายไปในภพชาตินี้ก็กลับบ้านได้เลย

อันเป็นการอุตริผิดสัจจะบิดเบือนในคำสอน

จนหลงเชื่อกันผิดๆมานานอีกเช่นกัน

ทั้งๆที่พระบุตรเอกผู้มาจากพระเจ้า

มิได้เคยตรัสสอนเอาไว้เช่นนั้นเลย

เป็นเพราะคนนำทางเหล่านี้

 

ตีความคำว่า "ไถ่บาป" ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์

โดยศิษย์ผู้เคยใกล้ชิดพระองค์บันทึกไว้

ซึ่งพระบุตรเอกมิเคยกล่าวมิได้เป็นผู้บันทึก

พวกเขาแปลผิดไปจากความเป็นจริง

จึงยังผลให้พระบุตรเอกเกิดความเสื่อม

อันเกิดจากพวกเขามีตะเกียงที่ไร้น้ำมัน

เพราะถูกคนพาหลงทางเหล่านี้แอบอ้าง

แล้วยังพาให้ผู้ตามส่วนใหญ่หลงผิด

 

คิดว่าพระบุตรเอกรับผิดรับบาปแทนได้จริง

ทั้งๆที่กฎของพระบิดาที่เป็นกฎแห่งจักรวาล

เป็นกฎเดียวกันที่ใช้กับมนุษย์และทุกสิ่ง

ที่ดำรงอยู่ในอนันตจักรวาลหรือเอกภพนี้

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

หากตราบใดที่ใครหิวกระหาย

คนนั้นยังต้องกินดื่มเอง

จะให้ใครอื่นกินดื่มแทนตนเองไม่ได้

หากตราบใดที่ใครง่วงเหงาหาวนอน

คนนั้นยังต้องหลับนอนพักผ่อนเอง

จะให้ใครอื่นหลับนอนพักผ่อนแทนไม่ได้

หากตราบใดที่ใครคนนั้นมีบาดแผล

คนนั้นยังต้องเจ็บปวดเองหาหมอเอง

จะให้ใครอื่นเจ็บปวดแทนหาหมอแทนไม่ได้

หากตราบใดที่ใครคนนั้นทำความดีงาม

คนนั้นก็ยังคงเป็นผู้รับกรรมดีที่ตนกระทำ

จะให้ใครอื่นเป็นผู้รับกรรมดีนั้นแทนไม่ได้

หากตราบใดที่ใครคนนั้นทำความชั่ว

คนนั้นก็ยังต้องเป็นผู้รับกรรมชั่วที่ตัวทำ

จะให้ใครอื่นเป็นผู้รับกรรมชั่วนั้นแทนไม่ได้

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เนื่องจากกรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง

ใครทำใครก็ได้รับผลกรรมนั้นเอง

ใครจะทำแทนใคร

หรือว่าใครจะรับผลกรรมแทนใคร

จึงไม่มีทางเป็นไปได้เลยสักนิดเดียว

ถึงแม้พ่อแม่จะรักลูกอย่างไร

ถ้าลูกซุกซนปีนป่ายจนตกเก้าอี้หัวแตกหัวโน

ลูกรักของพ่อแม่คนนั้นก็ต้องบาดเจ็บเอง

จะให้พ่อแม่บาดเจ็บแผลแทนลูกไม่ได้

 

ดังนั้น

ต่อให้พระบุตรเอก

ทรงยินดีที่จะรับกรรมแทนคนทั้งโลก

เพราะทรงรักมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง

พระองค์ก็จะฝืนกฎแห่งจิตจักรวาลไม่ได้

ทรงจะแบ่งรับความผิดบาปของมนุษย์ได้

ก็จะทำได้แค่เพียง "ทรงมีพระเมตตา"

หรือมีความรักและห่วงใยว่าพวกท่าน

จะมิอาจหลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตา

เพื่อไปกราบพระบาทพระบิดา

ตามพันธะสัญญา 6 ได้

 

เพราะลืมพระบิดาลืมหน้าที่ของตนเอง

จำกำพืดตนเองไม่ได้ว่าตนเป็นใคร

พระองค์จะทรงทำได้แค่เพียงฟื้นคืนชีพ

ก่อกำเนิดพระองค์ขึ้นมาใหม่

 

ดั่งนกฟีนิกซ์ผู้เป็นอมตะเทพแห่งสุริยะ

ที่ก่อกำเนิดขึ้นมาเป็นนกฟีนิกซ์ตัวใหม่

จากกองขี้เถ้าที่เป็นอดีตของตนเอง

โดยก่อกำเนิดขึ้นมาด้วยความรักเมตตา

เพื่อปรารถนาจะกลับมาช่วยฉุดช่วยแกะ

ประดาคนหลงทางกลับบ้านกลับคอก

ซึ่งพยายามตะกาย "ปีนรั้วคอก" กันอยู่

โดยไม่รู้ว่าประตูทางออกกลับบ้านอยู่ไหน

กระนั้นแล้วถ้าจะแปลคำว่า "ไถ่บาป"

เป็นดั่งการ "รับบาป" รับกรรมแทนท่านได้

น่าจะแปลความว่า

 

พระบุตรเอก "เสียสละ" ตนเอง

กลับมาจุติใหม่อีกครั้ง

เพื่อฉุดช่วยมนุษย์โลกเสรี

ที่ยังคงติดค้างอยู่ในอนันตจักรวาลนี้

ให้หลุดพ้นออกไปให้หมด

ตามพันธะสัญญาที่เคยให้ไว้ต่อพระบิดา

ก่อนกาลเวลาพิพากษาโลกคาบสุดท้าย

ที่โลกทั้งดวงจะมืดสนิทไร้แสง

 

นาน 8 ราตรีของพระบิดา คือ 56 วันโลก

โดยจะมานำพาจิตวิญญาณของพวกท่าน

นิพพานหลุดพ้นออกไปให้หมดเท่าที่ได้

เพราะโลกสิ้นยุคพลังงานเก่ามานาน

ร่วม 800 ปีเศษแล้วนี่ต่างหาก

 

ที่น่าจะเรียกว่ากลับมา "รับกรรม" แทน

เพราะไม่ต้องเผชิญชตากรรมนี้ก็ได้

การกลับมาฉุดช่วยท่านทั้งหลายครั้งนี้

พระบุตรเอกจึงต้องกลับมาเสี่ยงเจ็บตาย

อย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กันกับพวกท่าน

เนื่องจากโลกนี้ต้องเปลี่ยนผ่าน

สู่ยุคพลังงานใหม่

 

พระบิดาจึงต้องทรงบัญชาให้ฑูตสวรรค์

ปฏิบัติการชำระโลกด้วยมหันตภัยพิบัติ

ชนิดที่รุนแรงสูงสุดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เพราะมนุษย์ทุกยุคที่ได้รับโอกาสมาเกิด

ต่างทำจิตสำนึกตกต่ำย่ำแย่ลงเรื่อยๆ

ใช้ความรักค้ำจุนสมดุลโลกไม่ได้

โลกจึงเสียสมดุลขั้นวิกฤตทั้งสองมิติ

จึงยังผลให้พระบิดาแห่งเรา

จะต้องยอมให้สร้างภัยพิบัติขึ้นมา

เพื่อปรับสมดุลเดิมของโลก

 

ตามสมการพลังงานสามมิติที่ 3-3-3 แล้ว

ยังต้องยกระดับสมดุลโลกนี้ใหม่

เป็นสมการพลังงานสามมิติที่ 6-6-6 แทน

กาลเวลาที่โลกต้องเจอภัยพิบัติจึงยาวนาน

ความรุนแรงที่โลกจักต้องเผชิญนั้น

จึงถึงขั้นแผ่นดินจมหายคนตายนับไม่ถ้วน

ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

การที่พระบุตรเอกรู้ดีว่า

หากกลับมาฉุดช่วยพี่ๆน้องๆเช่นท่านแล้ว

ตนเองต้องเผชิญกับภัยอันน่ากลัวน่าตาย

พร้อมๆกับคนที่หลงทางกลับบ้านกันอยู่

แต่ก็ยัง "กล้าหาญ" ที่จะกลับมาช่วยเหลือ

ด้วยความรักและเมตตาอันเหลือประมาณ

นัยความหมายที่เรายกมาสาธยายความนี้

น่าจะแปลความมาจากคำว่า "ไถ่บาป" ได้

โดยต้องมารับบาปรับกรรมแทนพวกท่าน

จากการที่ต้องมาเผชิญกับโลกที่เลวร้าย

อย่างไม่มีทางเลี่ยงได้เพราะเด็กเส้นไม่มี

แทนที่จะมาแบกรับกรรมที่ทุกท่านก่อไว้

โดยปัดสวะทั้งหมดไปให้ทรงรับไว้แทน

ตามความคิดเชื่อของคนนำทางตาบอด

ทั้งๆที่ไม่ต้องกลับมาช่วยพวกท่านก็ได้

 

พระบิดาก็มิได้ทรงบังคับให้กลับมา

แต่เพราะรักและห่วงใยพวกท่านมาก

จึงหวั่นเกรงว่าพวกท่านจะกลับบ้านไม่ได้

จะกลับบ้านไม่ทันก่อนวันเปลี่ยนยุค

จึงกล้าหาญขันอาสากลับมาช่วยเหลือท่าน

ทั้งๆที่ถูกก้าวล่วงถูกลบหลู่อยู่เนืองๆอีกด้วย

เราก็ยังยืนหยัดที่จะใช้ "น้ำตา"

กับ "หยาดเหงื่อ" จากความยากลำบาก

ช่วยชุบชีวิตของจิตวิญญาณพวกท่าน

ให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วย "ขนมปัง" พระบิดา

ที่ทรงประทานผ่านเรามามอบให้พวกท่าน

ที่กินแล้วจิตวิญญาณไม่ต้องตาย

จึงไม่ต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่อีก

 

โดยตายแล้วจิตวิญญาณจะกลับบ้านเกิด

กลับไปกราบพระบิดาอย่างพร้อมหน้ากัน

ความหมายอันสำคัญที่เรากล่าวมา

เกี่ยวกับคำว่า #พระผู้ไถ่บาป

มันจึงน่าจะเหมาะสมกว่าถอดความเป็นเท็จ

จนทำให้พระบุตรเอกทรงเสื่อมพระเกียรติ

อย่างที่หลงผิดติดงมงายกันมายาวนาน

เพราะมีตะเกียงที่ไร้น้ำมันกันอยู่ไหมล่ะท่าน

 

ด้วยเหตุเหล่านี้

หลายท่านจงอย่าจิตตกเสียสมดุล

เมื่อได้ยินคำว่า "คนนำทางตาบอด" อีกเลย

เพราะกลุ่มคำที่เรากล่าวนี้มิใช่คำด่าทอ

มิใช่คำสบประมาทดูหมิ่นก้าวล่วงใคร

แต่เป็นคำที่พระบิดาทรงบัญญัติขึ้น

เพื่อเรียก "คนนำทาง" ที่ไร้แสงสว่าง

เพราะถือตะเกียงที่ไร้น้ำมันจึงจุดไฟไม่ติด

เลยให้แสงสว่างในความมืดไม่ได้

 

โดยวันนี้ขณะนี้

เราก็กำลังเติมน้ำมันให้พวกท่านอยู่

เพียงแค่ท่านไม่ลืมเปิดฝาถังน้ำมันออก

ด้วยการเปิดที่หัวใจของท่านนั่นแหละ

แล้วเอาตะเกียงของท่านรองรับน้ำมัน

ที่เรากำลังเทรินให้อยู่อย่างต่อเนื่อง

ก่อนที่มันจะหมดเมื่อถึงหยดสุดท้าย

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

28-12-2019

คำสอน 28/12/2019

 

"นกฟีนิกซ์" แสดงตนบนเมฆฟ้า
เป็นมายาว่าพระองค์ผู้ทรงศักดิ์
ทวงพื้นคืนลับมาเพื่อพา "รัก"
มาจำหลักในกมลคนมีธรรม

ตื่นเถิดเธอมนุษย์จ๋าเรามาแล้ว
เสียงเจื้อยแจ้วแจ่มชัดประกาศซ้ำ
เรากลับมาตามสัญญาเพื่อพานำ
คนพ้นกรรมกลับบ้าน "นิพพาน" พลัน

26 ธันวาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 26/11/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ผู้ที่ถูกเรียกว่า "คนนำทางตาบอด"

ไม่ว่าพวกเขาจะยึดถือพระศาสดาองค์ไหน

ไม่ว่าพวกเขาจะยึดติดพระคัมภีร์เล่มใด

จะมีคุณสมบัติและลักษณะนิสัยไม่ต่างกัน

ซึ่งสามารถจำแนกแยกแยะได้ไม่ยากนัก

โดยส่วนใหญ่จะสังเกตพฤติกรรมได้ดังนี้

 

1. จะ "ยกย่อง" ศาสนาและศาสดาที่ตนเชื่อ

แล้ว "ย่ำยี" ศาสนาและศาสดาพระองค์อื่น

 

คนนำทาง "ตาบอด" พวกนี้

จะล้างสมองผู้ที่หลงก้าวตามตนเองว่า

ศาสนาที่พวกตนเชื่อและชอบอยู่นั้น

เป็นศาสนาที่ดีที่สุดในโลก

ทั้งๆที่คนนำทางตาบอดพวกนี้

ยังไม่เคยศึกษาเรียนรู้คำสอนศาสนาอื่น

อย่างลึกซึ้งจริงจังและแตกฉานเลย

 

แถมบางคนที่ตาบอดนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า

พระไตรปิฎกปกสีอะไร

พระคัมภีร์ศาสนาอื่นมีคำสอนทั้งหมดกี่บท

 

นอกจากนั้น

คนนำทางตาบอดพวกนี้

ยังอธิบายไม่ได้ด้วยซ้ำไปว่า

ศาสนาที่ตนยอมรับนับถืออยู่นั้น "ดีที่สุด"

คือดีกว่าศาสนาอื่นใดในโลกนี้ที่ตรงไหน

 

ทั้งๆที่พระศาสดาแต่ละพระองค์

ไม่เคยมีพระองค์ใดลงมาจุติยุคเดียวกัน

ไม่มียุคใดมีศาสดามากกว่า 1 พระองค์

 

คนนำทางตาบอดพวกนี้ไร้สติจนไม่รู้ว่า

พระศาสดาแต่ละพระองค์ล้วนสำคัญเท่ากัน

เพราะต่างเสด็จมาฉุดช่วยมนุษย์และโลก

ด้วยความฉลาด ความรอบรู้ ความรัก

และความกล้าหาญเสมอกันทั้งสิ้น

 

พระศาสดาของโลกในแต่ละยุค

จึงเป็นสิ่งที่ศาสนิกชนทุกคน #ไม่ต้องเลือก

เพราะยุคเดียวมีพระศาสดาให้พระองค์เดียว

 

ดังนั้น

สาเหตุที่พวกคนนำทางตาบอดในเรื่องนี้

จึงเป็นเพราะว่าพวกเขามาเกิดทีหลัง

แล้วได้เรียนรู้มาว่าโลกนี้มีหลายศาสนา

โลกนี้ได้มีพระศาสดามาแล้วหลายพระองค์

พวกเขาจึงใช้ตะเกียงที่ไร้น้ำมันที่ตนถืออยู่

มองผิดหลงผิดเพราะจิตปัญญามืดบอด

 

ไปนำเอาศาสดาและศาสนาทั้งหมด

ที่เคยมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์โลก

มาตัดสินใจเลือกศาสดาไว้แค่องค์เดียว

เหมือนตัดสินใจเลือก "แกง" ชนิดที่อยากกิน

เพียงหนึ่งอย่างจากแกงร้อยหม้อมาราดข้าว

เพราะสตางค์ในกระเป๋ามีจำกัด

ทั้งๆที่การยอมรับนับถือพระศาสดาทุกพระองค์

กับการเรียนรู้สัจธรรมคำสอนของศาสดาต่างๆ

ไม่ต้องใช้สตางค์ไม่ต้องลงทุนรอนอะไรเลย

แล้วจะมิให้เรากล่าวติติงพวกเขาว่า

เป็นคนนำทาง "ตาบอด" ได้อย่างไร

 

2. ประดาคนนำทางตาบอด

ที่ตัวท่านปิดอายตนะหลับหูหลับตาก้าวตามอยู่

จะกล่าวหาว่าท่าน "โง่" ทันที

หากรู้ว่าท่านฟังพระโอวาทที่ทรงสื่อผ่านเรามา

หากรู้ว่าท่านอ่านพระคัมภีร์จิตจักรวาล

ที่เรานิพนธ์ขึ้นมาตามพระบัญชาของพระองค์

 

เขาจะกล่าวหาว่าท่านโง่ท่านหลงทาง

แล้วพวกเขาก็จะห้ามท่านว่าจงอย่าเชื่อ "เรา"

ด้วยเหตุผลว่าเราสื่อกับพระเจ้าไม่จริง

เป็นแค่นำเอาศาสตร์ด้านจิตวิทยาที่เรียนมา

บวกกับความฉลาดทางปัญญาอ่านมากรู้มาก

มาสร้างตำราทางศาสนาเองแล้วอ้างพระเจ้า

เพื่อสร้างความร่ำรวยให้ตนเองเท่านั้น

 

*เราจึงขอฝากถามท่านคนนำทางตาบอด

ที่ก้าวล่วงเราในกรณีนี้เป็นประการแรกว่า

 

ปรมาจารย์ด้านจิตวิทยาที่เก่งๆในยุคนี้นั้น

มีอยู่เป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน

ทำไมคุรุเหล่านั้นจึงไม่ทำเช่นที่เราทำ

ตามที่ท่านกล่าวหลอกลวงผู้ก้าวตามอยู่ล่ะ

ถ้าหากว่าใครมีคุณสมบัติพร้อมที่จะทำได้จริง

คงต้องมีคนอื่นหรือคนอื่นๆทำไปนานแล้ว

พวกท่านสะกดคำว่า "เอกะทัคคะ" เป็นมั้ย

 

*เราจึงขอฝากถามท่านคนนำทางตาบอด

ที่ก้าวล่วงเราในกรณีนี้เป็นประการที่สองว่า

 

ตัวคนนำทางตาบอดเอง

เคยอ่านพระคัมภีร์จิตจักรวาล

เคยฟังพระโอวาทจากพระบิดา

ที่ทรงสื่อผ่านเรามา

ให้เป็นมงคลแก่จิตวิญญาณของท่านบ้างหรือยัง

 

ทั้งๆที่ท่านยังไม่เคยศึกษาเรียนรู้เลยสักนิด

ท่านยังกล้า "หลอก" คนที่เขาก้าวตามท่านว่า

อย่าไปเชื่ออย่าไปศึกษาเรียนรู้จิตจักรวาล

เพราะเราสื่อสารกับพระเจ้าไม่จริง

 

การหลอกลวงนี่ถือเป็นการผิดสัจจะหรือไม่

ท่านรักพระศาสดาและก้าวตามพระองค์แน่หรือ

นี่ก็เพิ่งพ้นผ่านวันคริสต์มาสไปหยกๆ

จำไม่ได้หรือว่าเพราะรักษาสัจจะด้วยชีวิต

พระองค์จึงต้องสิ้นพระชนม์เพราะคนชั่ว

 

ท่านสำแดงตนว่ารักพระเจ้ารักพระผู้ไถ่บาป

ใยจึงไร้สติไม่รู้ตัวเลยหรือว่าท่านกำลังผิดบาป

จากการ "หลอกลวง" ให้คนอื่นเชื่อตามท่าน

ทั้งๆที่ท่านยังมิได้รู้ข้อเท็จจริงอะไรเลยสักนิด

พฤติกรรมของพวกท่านในกรณีไร้สัจจะ

ก้าวล่วงพระบิดาและข้อหาสบประมาทเรา

สาเหตุเพราะในตะเกียงไม่มีน้ำมัน

กรรมนี้จะส่งจิตวิญญาณท่านลงไปสู่ไฟชำระ

แทนการขึ้นไปสู่ประตูสวรรค์นิรันดร

 

3. ประดาคนนำทางตาบอด

ที่ตัวท่านหลับหูหลับตาก้าวตามอยู่

พวกเขาก็จะห้ามท่านว่าจงอย่าเชื่อ "เรา"

ด้วยเหตุผลว่าเราสื่อกับพระเจ้าไม่จริง

 

โดยพวกเขาจะยืนหยัดยืนยันกับท่านว่า

ในโลกนี้จะมีมนุษย์ผู้สื่อกับพระเจ้าได้

แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นไม่มีใครอื่น

คือพระศาสดาที่ตนยอมรับนั่นเอง

 

แต่ถ้าท่านถามพวกเขากลับไปบ้างว่า

"ทำไม" เขาจึงเชื่อเช่นนั้น

คำถามของท่านก็จะจางหายไปกับสายลม

เพราะพวกเขาจะตอบคำถามนี้ไม่ได้

นอกจากจะบอกว่าเชื่อฉันสิเชื่อฉันเถอะ

ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนเธอนะ

ฉันอาวุโสกว่าเธอไง

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า

พระศาสดาที่เป็นพระบุตรเอกนั้น

ก็คือผู้ที่พระบิดามีพระบัญชา

ให้ลงมาจุติเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้

เพื่อกล่าวพระโอวาทตามพระประสงค์

ต่อพี่ๆน้องๆในพระนามแห่งพระองค์

ในยามใดยุคใดที่มนุษย์และโลกมีปัญหา

 

โดยพระบุตรเอกจะนำเครื่องมือสื่อสาร

ที่ใช้เป็นช่องทางติดต่อกับพระเจ้า

ติดตัวมากับจิตวิญญาณด้วย

ซึ่งจิตวิญญาณที่มาเกิดเป็นมนุษย์ทั่วไปจะไม่มี

เพราะไม่มีหน้าที่พิเศษนั่นเอง

ซึ่งมีพระบุตรเอกอย่างน้อยสองพระองค์แล้ว

ที่เข้ามาจุติเพื่อสื่อสารกับพระเจ้า

ในการกล่าวพระโอวาทต่อมนุษย์โลกมิใช่หรือ

 

นอกจากนั้นคนนำทางตาบอด

ที่หลอกท่านว่าอย่าเชื่อเรานั้น

พวกเขาก็ยังไม่รู้ความจริงอีกด้วยว่า

 

กระบวนการสื่อสารทางจิตที่เราใช้นั้น

เป็นการสื่อสารทางจิตที่ถาวร

ด้วยระบบจิตสู่จิตในแนวดิ่ง(Vertical Telepathy)

โดยใช้จักระที่เจ็ดเป็นศูนย์กลางการสั่นสะเทือน

ทำสามเหลี่ยมกันกับดาวพฤหัสและพระสุริยะ

ซึ่งมนุษย์ทั่วไปจักระที่เจ็ดจะถูกปิดมิติไว้

จึงเชื่อมต่อกับดาวพฤหัสและพระสุริยะมิได้

 

เพราะคนนำทางของท่าน

ไม่รู้ความจริงเหล่านี้

โดยไม่ยอมเปิดจิตตปัญญาศึกษาเรียนรู้

จึงพิพากษาเราและก้าวล่วงภารกิจพระบิดา

ด้วยตะเกียงที่ไร้น้ำมันและงมงายเยี่ยงนี้

จะมิให้เรากล่าวว่าพวกเขา

คือ "คนนำทางตาบอด" ได้อย่างไร

 

ในที่นี้ "ตาบอด"

หมายถึงการมีกลไกอายตนะที่มืดบอด

 

มีตาก็เหมือนไม่มีเพราะไม่ฉลาดมอง

มีหูก็เหมือนไม่มีเพราะไม่ฉลาดรับฟัง

มีปากก็เหมือนไม่มีเพราะไม่ฉลาดที่จะถาม

มีจิตก็เหมือนไม่มีเพราะไม่ฉลาดที่จะอยากรู้

มีสมองก็เหมือนไม่มีเพราะไม่ฉลาดที่จะคิด

 

ท่านโชคร้ายมาก

หากไปหลงก้าวตามคนนำทางตาบอด

ที่มีคุณลักษณะตามที่เราเล่ามา

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

26-12-2019

24 ธันวาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 24/12/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

มีเพื่อนร่วมโลกของท่านรายหนึ่ง

ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็น

 

เรื่อง "ถ้ายังนิพพานไม่ได้ จะเลือกไปทางใด

ระหว่างหลุดลอยไปเกิดเป็นเทพเทวดา

ดำรงตนอยู่บนสวรรค์มายา

กับการหลุดหล่นลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีก"

 

โดยเธอเข้ามาสำแดงความคิดเห็น

เป็นเชิงถามย้อนกลับว่า....

 

A&Q:

1. "หากได้ปฏิบัติมา /

ภาวนาเป็น ( กรรมฐาน = งานทางจิตทางใจ )

 

2. หากเกิดเป็นเทพ /เทวดา

ก็ไปต่อได้ ไม่มีร่างกายเป็นภาระ

 

3. หากได้เกิดเป็นคน

มีร่างกายเป็นเครื่องมือในการปฏิบัติ ก็ใช่

แต่เกิดมาแล้วไม่ได้พบพุทธศาสนา ล่ะ"

 

Answer:

เราขอตอบคำถามของเธอท่านนี้

แม้เธอจะไม่ถามพระบิดาหรือไม่ถามเรา

โดยมิได้ระบุชัดๆว่าถาม หรือเน้นว่าถามใคร

เพื่อทำหน้าที่ของเราที่อาสามาว่าดั่งนี้

 

#Answer 1.

ใครบอกท่านว่า

การปฏิบัติกรรมฐานเพื่อการฝึกจิตนั้น

มันจะนำพาจิตวิญญาณของท่าน

หลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาล

ซึ่งเป็นการนิพพานแท้จริงได้ในบั้นปลาย

 

ถ้าใครบอกท่านเช่นนั้นจริง

แสดงว่าคนที่บอกท่าน

เป็นพวกเดียวกันกับคนนำทางตาบอด

ที่บอกให้คนเชื่อตามจนหลงทางนิพพาน

ผ่านมานานนับพันปีที่ผ่านมาจนบัดนี้แล้ว

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

การนั่งหลับตาอบรมจิตตนเองอย่างเดียว

ฝึกปฏิบัติจิตอยู่คนเดียวโดยมุ่งให้จิตสงบระงับ

ขณะหลับหูหลับตาปิดช่องทางรับรู้ของจิตไว้

ไม่ให้มีเงื่อนไขใดๆเล็ดลอดเข้าไปกระทบจิตได้

โดยฝึกจิตให้สงบระงับขณะว่างจาก "ผัสสะ"

ของอายตนะภายนอกทั้งห้านั้น

 

เป็นการฝึกจิตในสถานการณ์จำลอง

เหมือนว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรอยู่รายล้อมตัวท่าน

ซึ่งมันเป็นสถานการณ์เทียมเท็จ

การกระทำของท่านจึงอุตริผิดธรรมชาติ

การกระทำของท่านจึงมิใช่การปฏิบัติธรรม

ผลลัพธ์ของการปฏิบัติจึงชำระจิตให้ปภัสสรมิได้

 

เพราะกรรมฐานช่วยให้จิตถึงสงบได้

เหตุเพราะไม่มีสิ่งใดจากภายนอก

ยั่วยุเย้ายวนผ่านอายตนะภายนอกเข้าไปได้

 

ถ้าท่านแน่จริงก็อย่าเก่งแต่อยู่คนเดียวสิ

ลองทำตัวเป็นสัตว์มีสังคมดูบ้างเป็นไร

เพื่อพิสูจน์ว่าความแตกต่างอย่างหลากหลาย

ทั้งความคิดความต้องการทั้งนิสัยสันดาน

ระหว่างท่านกับคนรอบๆข้างของท่าน

ในขณะที่อายตนะทุกช่องทาง "เปิดอยู่" นั้น

กรรมฐานที่ท่านหมั่นฝึกต่อยอดมานานนั้น

มันช่วยท่านให้มีสภาวะจิตสงบระงับ

ไม่สั่นไหวไปตามการยั่วยุปลุกเร้าจากรอบข้าง

จนถึงกับจิตตกสติแตกได้จริงหรือเปล่า

 

ถ้าท่านทำตามที่เราบอก

แล้วพบว่าจิตท่านมั่นคง

ไม่สั่นไหวสติแตกไปตามการยั่วยุได้จริงๆ

ท่านก็จงเจริญกรรมฐานต่อไปอย่าชักช้า

แต่ถ้าท่านพบว่าเมื่อออกจากกรรมฐาน

กลับเข้ามาอยู่ในสังคมมนุษย์ตามปกติแล้ว

 

ยังมีสุขมีทุกข์อยู่ ยังมีชอบไม่ชอบอยู่

ยังมีกิเลสตัณหา โลภโกรธหลงคาใจอยู่

ยังมีห่วงหา ยังมีอาลัยอาวรณ์อยู่

ยังมีวิตกจริตเป็นกังวลอยู่

แสดงว่าจิตของท่านยังสอบไม่ผ่านการยั่วยุ

จากเงื่อนไขภายนอกพันเปอร์เซ็นต์

เพราะในชีวิตจริงอันเป็นธรรมะแท้นั้น

ท่านมิอาจไปควบคุมพฤติกรรมของใครๆ

มิให้เขากระทำในสิ่งที่ท่านไม่พอใจได้หรอก

 

ท่านอาจเก่งแต่การควบคุมเงื่อนไขภายในจิต

โดยการฝึกจิตควบคุมจิตตนเองเอาไว้ได้

ผ่านการฝึกปฏิบัติกรรมฐานสมาธิ*

ในสถานการณ์เทียมเท็จที่ถูกสร้างขึ้น

เพื่อมิให้จิตสร้างเงื่อนไขให้ตนจิตตกสติแตก

จนท่านเชื่อว่า "กรรมฐาน" นั้น

มันช่วยให้จิตวิญญาณของท่านถึงนิพพานได้

โดยที่ท่านไม่เคยพิสูจน์บ้างว่า

ถ้าคนอื่นๆรอบข้างตัวท่านสร้างปัญหาให้

จิตของท่านมันยังจะฟุ้งซ่านหวั่นไหว

จนอยากหนีเข้าป่าไปอยู่คนเดียวอีกมั้ย

 

ที่สำคัญคือ

ท่านเชื่อได้อย่างไรว่า

การหลุดลอยไปเป็นเทพเทวดาบนสวรรค์มายา

กรรมฐานสมาธิที่ฝึกไว้และถือติดตัวไปบนนั้น

เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยประหารกิเลส

อันเกิดจากสันดานจิตของตนเป็นเหตุนั้น

มันช่วยให้พวกเขา "สิ้นทุกข์" ได้แล้วจริงๆ

ขณะที่ต้องลอยนิ่งๆอยู่บนนั้นชั่วกัปชั่วกัลป์

 

#Answer 2.

การฝึกกรรมฐานด้วยการนั่งหลับตานั้น

ใครจะเป็นผู้ทดสอบสภาวะจิตให้ท่านได้ว่า

ท่านเป็นคนที่จิตเป็นอุเบกขาได้แล้ว

ท่านเป็นคนที่จิตเข้าถึงสภาวะสุญตาได้แล้ว

 

เป็นนักเรียนออกข้อสอบเอง

ทำข้อสอบเอง

แล้วตรวจข้อสอบเองได้หรือ?

 

ท่านจะฝึกจิตสอบจิตของท่านได้อย่างไร

เมื่อจิตถูกปิดอายตนะภายนอกเอาไว้ทั้งหมด

เหมือนคนตาบอดหูหนวกไม่รู้เห็นไม่ได้ยินอะไร

 

ซึ่งแท้จริงแล้วการจะทดสอบจิตว่าเจ๋งรึไม่

ท่านต้องตรวจสอบตอนที่ท่านใช้ชีวิตตามปกติ

ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมกับคนส่วนใหญ่

ให้สมกับการเกิดมาเป็น "สัตว์สังคม"

ด้วยการพิสูจน์ตนเองให้ได้ว่า

 

1. ท่านรักคนไม่น่ารักได้รึเปล่า

2. ท่านให้อภัยคนที่ไม่น่าให้อภัยได้รึเปล่า

3. ท่านใช้ชีวิตในสังคมอย่างมีความสันติสุข

โดยไม่ต้องหนีไปปลีกวิเวกอีกรึเปล่า

 

ที่ท่านเชื่อว่าหากเกิดเป็นเทพเทวดาแล้ว

ท่านก็สามารถไปต่อให้ถึงนิพพานได้นั้น

 

เราขอถามว่า...

ท่านศึกษามาลึกซึ้งดีพอแล้วเช่นนั้นหรือว่า

เส้นทางนิพพานไปทางสวรรค์มายาได้จริงๆ

 

ถ้าหากสามารถไปทางนั้นได้จริง

ทำไมพระพุทธเจ้าสมณโคดม

ท่านจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์

เพื่อดับขันธปรินิพพานตอนที่ท่านเป็นมนุษย์?

 

เราขอถามท่านว่า...

มีเทพพรหมองค์ไหนกันหนอ

ในพันในหมื่นขวบปีที่ผ่านมา

ที่สามารถหลุดพ้นนิพพานได้แล้วจริงๆ

โดยไม่ลอยค้างคว้างอยู่ในสวรรค์ 31 ชั้น

ภายใน #อนันตจักรวาล อันไพศาลนี้บ้าง

ช่วยบอกเพื่อนๆเอาบุญหน่อยได้มั้ย?

 

มีคนนำทางตาบอดคนไหน สำนักไหน

ที่บอกท่านและสอนท่านให้เชื่อว่า

ไปเกิดเป็นเทพเทวดาแล้วถึงนิพพานได้แน่ๆ

และเหตุผลที่ท่านเชื่อพวกเขาด้วยว่าคืออะไร

 

#Answer 3.

ท่านเชื่อได้อย่างไรว่า

ถ้าได้หลุดลอยไปเกิดเป็นเทพเทวดาแล้ว

สามารถก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ

ได้ดีกว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะไม่มีกายหยาบไม่มีร่างกายเป็นอุปสรรค

 

ท่านมีเหตุผลอะไรจึงเห็นว่ากายหยาบ

เป็นปัญหาใหญ่ในการเข้าถึงนิพพานของท่าน

 

ท่านคงลืมเรื่อง

#จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว ไปแล้ว

เพราะท่านมัวแต่นั่งนอนเดินกรรมฐาน

โดยใส่ใจแต่อาการทางจิตอย่างเดียวนานไป

จนลืมใส่ใจกายสังขารของท่านเอง

จนลืมสิ่งแวดล้อมรอบข้างไปเสียสนิทใจ

 

ท่านจึงมองว่า "กาย" เป็นอุปสรรคของท่าน

ถ้าตายตามๆกันไปเกิดเป็นเทพเทวดาได้

โดยไม่มีร่างกายเป็นอุปสรรคอีก

คงเหลือแต่มายาที่เป็นรูปลักษณ์สวมชฎา

มันคงจะทำให้ท่านง่ายขึ้น

ในการปฏิบัติกรรมฐานเพื่อนิพพานของท่าน

 

โดยที่ท่านเองยังไม่รู้เลยว่า

สภาวะนิพพานของจิตวิญญาณคืออย่างไร

 

โดยที่ท่านยังไม่รู้เลยว่าจะนิพพานไม่ได้

ถ้าจิตไม่มีกลไกอายตนะของกายหยาบ

ร่วมหมุนธรรมจักรในชีวิตประจำวัน

 

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

คนนำทางตาบอดที่สอนท่านมาผิดๆ

หรือการที่ท่านคิดเองเออเองแบบนี้

ก็เพราะพวกท่านนี่แหละที่คิดเอาเองว่า

ตนไม่น่ามาเกิดเป็นมนุษย์เลย

เพราะเห็นว่าเกิดเป็นมนุษย์เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

เกิดแก่เจ็็บตายก็เป็นเหตุแห่งทุกข์

คนรอบข้างสิ่งแวดล้อมก็นำมาซึ่งความทุกข์

เพราะวันๆเต็มไปด้วยปัญหาให้ต้องเผชิญ

จึงคิดว่าหนีเข้าป่าปลีกวิเวกดีกว่า

ไม่มาเกิดเป็นคนบนโลกนี้อีกดีกว่า

 

เพราะตนเองตาต่ำจิตต่ำจึงมองว่า

ทุกปัญหานำมาซึ่งความทุกข์ทั้งสิ้น

แทนที่จะใช้ตาสูงจิตสูงคือดวงตาแห่งปัญญา

มองว่าทุกปัญหาเป็นบ่อเกิดแห่ง "ปัญญา"

ตามพฤติวิสัยแห่งการเป็น #พุทธะ แท้จริง

จะได้ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณอย่างสมเกียรติ

ตามที่ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นมนุษย์

 

พวกท่านจึงพากันละทิ้งหน้าที่

ตะเกียกตะกายจะหนีทุกข์ด้วยการหนีปัญหา

โดยปฏิเสธที่จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

ทั้งๆที่จิตวิญญาณของท่านเองนั้น

ขันอาสามาเกิดเป็น "คนสองมิติ" คือ มนุษย์

มิใช่มาเกิดเพื่อจะทำตัวเป็นเทพเทวดา

ซึ่งมีเพียงมิติเดียวแต่อย่างใด

 

พวกท่านจึงเพียรพยายามดับการมีสังสารวัฏ

ด้วยสาระพัดวิธีที่จะทำกัน

เช่น ขายบุญ ล้างบาป ปลีกวิเวก สะเดาะเคราะห์

ทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างเบื้องบน

สวดมนต์ ถือศีล อธิษฐานขอ ภาวนา เป็นต้น

 

แต่ปรากฏว่าตายแล้วก็ "ดับ" ได้ไม่จริง

เพราะยังหลุดลอยไปเกิดเป็นเทพเทวดาแทน

ยังไปทุกข์อยู่บนนั้นเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อ

จึงต้องหลอกตนเองให้เชื่อว่า "นิพพาน" แล้ว

ทั้งๆที่มันเป็นแค่นิพพานเทียมเท็จเท่านั้น

 

#Answer 4.

ทำไมท่านจึงหวั่นกลัวว่า

ถ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ในภพชาติหน้าอีก

ท่านจะไม่สามารถต่อยอดจนถึงนิพพานได้

เพราะอาจไม่มีพระพุทธศาสนาแล้ว

 

ท่านไม่รู้ใช่มั้ยว่าโลกมนุษย์นี้

เขามีพระศาสดาตั้ง 24 พระองค์มาแล้วล่ะ

ทุกพระศาสดาล้วนนำพาจิตวิญญาณมนุษย์

ให้เข้าถึง "นิพพานแท้" คือ หลุดพ้นได้ทั้งสิ้น

ถ้าทำไม่ได้เขาไม่เรียกว่าพระศาสดาหรอก

เขาจะเรียกว่า #เจ้าลัทธิ เท่านั้นเอง

 

ท่านจงอย่าวิตกกังวลเลยว่า

โลกมนุษย์จะไม่มีพระศาสดาอยู่คู่โลก

หรือโลกจะว่างจากศาสดาเหมือนปลายยุคนี้

 

เพราะไม่มีใครกล้าขันอาสาลงมาทำหน้าที่

เป็นศาสดาขณะพระบิดาจะพิพากษาโลก

ด้วยอภิมหาภัยพิบัติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในอีกไม่ช้านานนี้แล้ว

 

เพราะไม่มีใคร

กล้าอาสาลงมาเป็นศาสดาในยุคนี้

ในยุคที่จิตสามนึกมนุษย์ตกต่ำ

จนยากแก่การแก้ไขเยียวยากว่ายุคใดๆในอดีต

 

แต่เรา...กลับมาตามสัญญา

ดั่งนกฟีนิกซ์ในตำนานที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมา

เพื่อที่จะใช้หยาดเหงื่อและน้ำตา

ช่วยชุบชีวิตให้จิตวิญญาณของเจ้าสาวผู้ใฝ่ดี

ซึ่งน่าจะพอหลงเหลืออยู่บ้างบนโลกเสรีนี้

เพราะเป็น "พุทธะแท้" ที่มีปัญญาเป็นอาวุธ

มิใช่คนปลอมของปลอมเพราะเป็นทาสมาร

เนื่องจากหลับหูหลับตาเดินตามมาร

แทนที่จะก้าวเดินตามพระศาสดา

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

24-12-2019