30 เมษายน 2563

ถ้าเลือกทางพระบิดา

ถ้าเลือกทางพระบิดา
จงอย่าต่อสู้กับคนชั่วแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
เพราะท่านจะชั่วตามเขาไปด้วย
ผู้ใดตบแก้มขวาก็จงอย่าตบตอบให้มือท่านสกปรก

จิตสามนึกแห่งการเป็นมนุษย์


ความรัก คือ การให้
ความรักบริสุทธิ์ คือ ให้หรือรัก
โดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน

เราต้องรักเขาได้เสมอ 
แม้ว่าเขาจะทำตัวไม่น่ารักกับเราอยู่ก็ตาม

ตราบใดที่ท่านยังรู้สึก "เจ็บปวด"
ที่ถูกเขากระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่านอยู่
แสดงว่าท่านยังรักไม่เป็น...ยังรักไม่จริง
จิตสามนึกแห่งการเป็นมนุษย์
คือ การมีสำนึกรักตนเอง รักผู้อื่นและสังคม
และการมีสำนึกรักโลกของพระบิดาฯ
ท่านก็ยังคงบกพร่องยังต้องแก้ไขอยู่

ท่านจะอ้างว่ารักได้ทุกคน....
แต่ยกเว้นอีเวรนี่...ไม่ได้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30/04/2020

บททดสอบ "จิตสามนึกแห่งการเป็นมนุษย์"



ตอบคำถาม : Thaitaishop Karaked

Question :
ไม่ได้เกลียดแต่ก็แค่ไม่อยากอยู่ร่วมกัน
รู้สึกไม่ดีที่อยู่ใกล้ๆ
ก็พยายามหาทางออกห่าง
เพราะเรารู้ว่าฝืนใจตัวเอง
ไปทำให้จิตสามนึกตนเองบกพร่องไปเรื่อยๆ
แบบนี้จะถือว่าเราทำหน้าที่บกพร่องไหมคะ

Answer:
1.มโนกรรม คือ "ไม่อยากอยู่ร่วมกัน"
กายกรรม คือ พยายามหาทางออกห่าง
พฤติกรรมที่แสดงออกถือว่า "ตรงกัน"
ทั้งพฤติกรรมภายนอกและพฤติกรรมภายใน
จึงมิได้เป็นคนไม่มีสัจจะ ไม่ผิดสัจจะ

2.มโนกรรม คือ "รู้สึกไม่ดีที่อยู่ใกล้ๆ"
กายกรรม คือ พยายามหาทางออกห่าง
พฤติกรรมที่แสดงออกถือว่า "ตรงกัน"
ทั้งพฤติกรรมภายนอกและพฤติกรรมภายใน
จึงมิได้เป็นคนไม่มีสัจจะ ไม่ผิดสัจจะ

3.แม้จะสอบผ่านบททดสอบ "สัจจะ" ทั้ง 2 ข้อ
แต่ท่านมาสอบตกบททดสอบอีกบทหนึ่ง
นั่นคือ บททดสอบ
"จิตสามนึกแห่งการเป็นมนุษย์"

จิตสามนึกแห่งการเป็นมนุษย์
หมายถึง ต้องรักตนเอง รักผู้อื่น
รักสังคม และรักโลกของพระบิดาฯ

การที่ท่านยังรู้สึกไม่ดีต่อผู้อื่น
การที่ท่านยังไม่อยากอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น
มันก็ไม่ได้ต่างไปจากการที่ตัวท่าน
อดทน อดกลั้น ให้อภัย
ในความไม่น่ารักของเขาไม่ได้นั่นเอง

ต่อให้ท่านปลีกตัวเองออกห่างเขาแล้ว
หรือยังหาทางหนีออกห่างเขาอยู่
ถ้าในจิตใจท่านยังรักคนไม่น่ารักคนนี้ไม่ได้
โดยไม่ต้องถามท่านหรอกว่า
ท่านเกลียดเขารึไม่

เพียงแค่ "ความรังเกียจ" ที่อยู่ในใจท่าน
มันก็ทำให้จิตสามนึกท่านบกพร่องแล้วล่ะ
เมื่อจิตสามนึกบกพร่องท่านก็เป็นมนุษย์ยังไม่ได้

เมื่อเป็นมนุษย์ยังไม่ได้
ท่านก็จะยังนิพพานกรรมไม่ได้

พยายามฝึกต่อไปนะ
เราขอเอาใจช่วย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30/04/2020

ศาสตร์แห่งอริยะ



"ศาสตร์แห่งอริยะ"
*************************
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

บนเส้นทางแห่งอริยะ
ผู้ปรารถนาจะนำพาจิตวิญญาณของตน
สู่การหลุดพ้นนิพพานไปจากอนันตจักรวาลนั้น

การเป็นสัตว์สังคมอาจทำให้ท่านยุ่งยาก
ในการใช้ชีวิตร่วมกันกับคนอื่นๆอย่างสันติสุข
เนื่องจากท่านต้องใส่ใจในความรู้สึกนึกคิด
และความต้องการไม่ต้องการของคนอื่นๆด้วย
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ท่านจงอย่าละทิ้งความเป็นตัวของตัวเอง
ด้วยการฝืนใจกระทำบางสิ่งเพื่อคนอื่น
เพราะมันจะทำให้ท่านบกพร่องด้านจิตสามนึก
ในข้อหาไม่มีสัจจะและไม่ซื่อตรงนั่นเอง
เนื่องจากปากกับใจท่านมันไม่ตรงกัน

จิตวิญญาณของท่านขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
จักต้องซื่อต้องตรงตั้งฉากกับพื้น
เพื่อยื่นเหยียดเศียรเกล้าน้อมถวายพระบิดาฯเสมอ
ถ้าท่านมีวาจากับการกระทำไม่ตรงกับใจ
แม้ท่านจะแสดงออกหรือกระทำต่อผู้ใดก็ตาม
มันคือความไม่ซื่อตรงต่อพระองค์ด้วยเช่นกัน
พฤติกรรมมนุษย์มิอาจพ้นจากสายพระเนตรไปได้
แม้มนุษย์จะหลับหูหลับตากระทำชั่วก็ตาม

ดังนั้น
ท่านทั้งหลายจึงต้องรักษาสัจจะ
ด้วยการกล่าวตรงใจทำจริงจังตามที่คิดเสมอ
รู้ก็บอกว่ารู้ จริงก็บอกว่าจริง ใช่ก็บอกว่าใช่
กล่าววาจาออกไปให้ตรงกับที่คิดในใจเท่านั้น

ถ้าหากพิจารณาแล้วว่า
การกล่าวความจริงออกไปจะมีผลเสียเกิดขึ้น
ท่านก็เลือกที่จะไม่กล่าวหรือกล่าวไม่ครบ
โดยเลือกกล่าวความจริงเพียงบางส่วนก็ได้
มันก็ยังมิได้ทำให้ท่านผิดสัจจะหรือไม่ซื่อสัตย์
เพราะท่านทำเช่นนี้ก็เพื่อไว้ไมตรีต่อกัน
เพื่อรักษาหน้ารักษาความสัมพันธ์อันดีต่อกันไว้
มิได้ทำไปเพื่อหาประโยชน์ส่วนตนแต่อย่างใด
ความผิดบาปก็จะไม่เกิดขึ้นต่อจิตวิญญาณท่าน

นอกจากนั้น
ปัญหาในการใช้ชีวิตเป็นสังคมของมนุษย์
อีกสาเหตุหนึ่งก็คือการไม่เชื่อใจในกันและกัน
คำว่า "ไม่เชื่อใจ" มันมาจากคำสองคำรวมกัน
คือคำว่า "ไม่เชื่อถือ" กับคำว่า "ไม่ไว้ใจ"

เหตุแห่งการไม่เชื่อถือและไม่ไว้ใจมีมากมาย
เช่น ไม่เชื่อถือเพราะเคยโกหกเขามาแล้ว
ที่ไม่เชื่อถือเพราะเขาเคยทำตามแล้วล้มเหลว

เหตุแห่งการไม่ไว้ใจก็มีหลายอย่าง
เช่น ไม่ไว้ใจเพราะเป็นคนแปลกหน้
ไม่ไว้ใจเพราะบุคลิกลักษณะท่าทางมีพิรุธ
ไม่ไว้ใจเพราะมีบางสิ่งชวนสงสัย เป็นต้น

หากท่านสังเกตให้ดีก็จะพบว่
เหตุแห่งการไม่เชื่อถือก็คือเป็นผู้มีประวัติไม่ดี
เหตุแห่งการไม่ไว้ใจเพราะความระแวงสงสัย
ซึ่งใครจะห้ามใครให้เชื่อใจใครไม่เชื่อใจใคร
ก็คงจะห้ามกันขอร้องกันคงจะไม่ได้

ทางออกของคนส่วนใหญ่
ที่มิใช่พฤตินิสัยแห่งผู้เป็นอริยะสมควรทำ
แต่ก็มักจะปฏิบัติกันก็คือการใช้วิธี สาบาน


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

โบราณว่าไว้ว่าวาจาจริงเป็นสิ่งไม่ตาย
คนที่พูดความจริงก็ไม่ต้องตาย
ถ้าฉลาดใช้ปัญญาในการพูด
คือต้องคิดทุกครั้ง คิดหน้าคิดหลัง
คิดอย่างรอบครอบก่อนที่จะพูดออกมา
มิใช่นึกแล้วพูดโดยพูดทุกสิ่งที่ท่านนึกคิด

ที่ท่านต้องคิดพิจารณาก่อนจะพูดอะไรออกมา
ก็เพื่อค้นหาคำพูดที่สั้นกระชับเข้าใจง่าย
เมื่อกล่าวออกไปแล้วไม่ทำให้คนฟังสับสน
กล่าวออกไปแล้วไม่ทำให้คนฟังเข้าใจผิด
กล่าวออกไปแล้วไม่ทำให้คนฟังเสียสมดุล
กล่าวแล้วจะเข้าใจตรงความต้องการของท่าน

ท่านจงอย่ากล่าวคำสาบานเลย
เช่น สาบานว่าข้าฯขอ "เอาหัว" เป็นประกัน
ถ้าท่านยังไม่สามารถสั่งเส้นผมของท่าน
ให้เปลี่ยนจากสีดำไปเป็นสีหงอกขาว
หรือเปลี่ยนจากสีหงอกขาวให้เป็นสีดำ
ได้ตามสั่งแม้แต่เพียงเส้นเดียว

ท่านจงอย่ากล่าวคำสาบานเลย
เช่น อ้างเอาสวรรค์มาสร้างความเชื่อใจ
เอาสวรรค์ของสูงมาเป็นสักขีพยาน
เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นที่ประทับของพระเจ้า
ซึ่งท่านมิบังควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง

ท่านจงอย่ากล่าวคำสาบานเลย
เช่น อ้างเอาพระธรณีมาเป็นสักขีพยาน
เพราะพระธรณีเป็นที่วางพระบาทของพระองค์
ซึ่งท่านก็มิบังควรกระทำเช่นเดียวกัน

ท่านทั้งหลายจึงต้องรักษาสัจจะ
ด้วยการกล่าวตรงใจทำจริงจังตามที่คิดเสมอ
รู้ก็บอกว่ารู้ จริงก็บอกว่าจริง ใช่ก็บอกว่าใช่
กล่าววาจาออกไปให้ตรงกับที่คิดในใจเท่านั้น

ถ้ากล่าวเกินไปจากที่ว่านี้แล้ว
คำกล่าวนั้นก็มาจาก "มาร"
มิได้เกิดจาก "ท่าน" แล้วล่ะนะ

กราบพระบาทพระบิดาฯที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30/04/2020

29 เมษายน 2563

ศาสตร์แห่งอริยะ

"ศาสตร์แห่งอริยะ"
*******************

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

องค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ผู้ทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
ในอนันตจักรวาลหรือเอกภพอันไพศาลนี้

ทรงมีพระบัญชาให้เรากลับมาตามสัญญา
เพื่อกล่าวพระโอวาทในพระนามพระองค์
ต่อพี่ๆน้องๆทั้งหลายบนโลกเสรีนี้ให้ได้รู้ว่า
บัดนี้โลกกับมนุษย์สิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
เพราะครบ 6 หมื่นปีตามกำหนดหมาย
ที่ให้จิตวิญญาณแก่นแท้จากแดนสุญตา
ข้ามมิติเข้ามาจุติเป็นคนบนโลกเสรีนี้แล้ว
ท่านทั้งหลายจึงต้องเร่งนำพาจิตวิญญาณ
กลับบ้านที่จากมานับหมื่นปีกันได้แล้ว

เพราะพระองค์จะทรงชำระโลกด้วยภัยพิบัติ
จะทรงกำจัด "ขยะ" ที่รกโลกออกไปจากระบบ
จะทรงยกระดับความสมดุลของโลกใหม่
เพื่อให้ดาวเคราะห์โลกมีพลังอำนาจมากกว่าเดิม

ผู้ใดที่มิได้รับประทานความรอดจากพระองค์
เพราะขาดคุณสมบัติเนื่องจากไม่ฟังพระโอวาท
หรือฟังแล้วไม่นำไปปฏิบัติในชีวิตจริงให้เกิดผล
โดยมองเห็นเป็นเรื่องไร้สาระหรือเป็นเรื่องเท็จ
หรือยังคงยึดติดกับวิธีปฏิบัติแบบเก่าๆ
ที่ปฏิบัติกันมานานนับหมื่นๆปีแล้วแต่ไม่สำเร็จ
รับฟังเราแล้วแต่ยังไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง
จักต้องประสบกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แน่ๆ

ถ้าท่านทั้งหลายมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
ท่านจะมิได้รับความรอดจากภัยพิบัติ คือ

1.ถ้ายังคงมีผลกรรมติดตัวอยู่เกิน 30%
ตัวชี้วัดก็คือท่านต้องไม่มีประจุลบ
เกาะติดอยู่กับเม็ดเลือดแดงเกิน 30%
ของเม็ดเลือดแดงทั้งหมดในร่างกายท่าน
โดยที่เม็ดเลือดแดงจำนวน 1 เม็ด
จะมีประจุลบเกาะได้เพียง 1 ประจุเท่านั้น

ซึ่งท่านจะมีคุณสมบัติข้อนี้ได้ก็ต่อเมื่อ
ท่านต้องสามารถแทรกแซงกรรมจักร
ด้วยการหมุนธรรมจักรในชีวิตประจำวันให้ได้

การหมุนกรรมจักรก็คือการใช้กิเลสตัณหาราคะ
กับอารมณ์หยาบๆรายวันทั้งหลายดำเนินชีวิต
ซึ่งจะเป็นนิสัยที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่เป็นเด็กน้อย
โดยที่ท่านจักต้องแทรกแซงเพื่อเปลี่ยนแปลง
จากการหมุนกรรมจักรให้เป็น "ธรรมจักร" ให้ได้
ด้วยการใช้ความรักกับปัญญาดำเนินชีวิตแทน

เราขอกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านไม่ใส่ใจรับฟังเรา
ถ้าท่านไม่ใส่ใจที่จะฝึกใฝ่ในการปฏิบัติตามนี้
โดยใช้เวลาฆ่าโอกาสของท่านไปวันๆแล้ว
จิตวิญญาณของท่านจักกลายเป็นขยะอีกชิ้นหนึ่ง
ที่จะถูกช่างเทคนิกหรือฑูตสวรรค์ชำระทิ้ง

2.ถ้ายังคงยึดติดคนนำทางตาบอดกันอยู่
โดยหลงผิดคิดว่าคนนำทางของท่านเป็นศาสดา
ท่านจึงยังคงเชื่อตามทำตามพวกเขาอย่างว่าง่าย

ทั้งๆที่เราได้กล่าวต่อท่านทั้งหลายทุกบ่อยแล้วว่า
ท่านต้องรับฟังแล้วคิดตามก่อนที่ท่านจะเชื่อตาม
เพราะมีคำสอนของพวกเขาหลายอย่างไม่ถูกต้อง
โดยที่พระศาสดามิได้หมายความเช่นว่านั้นเลย
เมื่อท่านไปหลงเชื่อตามทำตามพวกเขาเข้า
จึงเกิดการหลงธรรมนำไปสู่การหลงทางตลอดมา
จนไม่สามารถบรรลุมรรคผลสูงสุดได้

มาชาตินี้ก็เป็นโอกาสสุดท้ายของท่านแล้ว
ถ้ายังไม่ฉุกคิดให้ได้กันเสียทีว่า
ทำไมเวียนเกิดเวียนตายกันมายาวนาน
แล้วใยจึงยังหลุดพ้นนิพพานแท้จริงกันมิได้
ก็มิใช่เพราะท่านเดินทางผิดหรอกหรือ

ทั้งๆที่การจะหลุดพ้นหรือนิพพานแท้ได้นั้น
ไม่ต้องการโอกาสมากภพชาติในการเกิดหรอก
เพียงภพชาตินี้ชาติเดียวก็บรรลุมรรคผลได้แล้ว
หากท่านเรียนรู้อนุตรธรรมตามวิถีจิตจักรวาล
แล้วรู้ที่จะนำไปสู่ "การกระทำ" ในชีวิตจริง

คนนำทางบางกลุ่มก็สอนท่าน
ให้หนีทุกข์ไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์มายา
ซึ่งพวกเขาใช้จิตปรุงแต่งสร้างกันขึ้นมาเอง
ทั้งๆที่พระบิดาฯมิได้ทรงสร้างไว้แต่อย่างใด
สวรรค์มายาจึงมิได้อยู่ในสาระบบ
ของอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้

จึงยังผลให้จิตวิญญาณจำนวนมาก
ผู้หลงทางไปแขวนลอยติดค้างกันอยู่บนนั้น
กลายเป็น #ขยะ พลังงานของจักรวาลไป

ดังนั้น
ในการสื่อพระโอวาททุกครั้งบนโลกนี้
พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงเมตตาเปิดมิติให้
ประดาผู้หลงทางทั้งหลายเหล่านี้
ได้รับโอกาสเฝ้าฟังพระโอวาทร่วมกับมนุษย์
เพื่อให้เกิด "สติทางวิญญาณ"
จนรู้ทางกลับบ้านในสภาวะแห่งการหลุดพ้นได้

ถ้าท่านยังปฏิเสธพระโอวาทพระบิดา
ที่ทรงพระเมตตาสื่อผ่านเรามาต่อท่านทั้งหลาย
โดยยังก้าวตามคนนำทางตาบอดกันอยู่อีก
หรือที่หลุดลอยไปแล้วก็ติดค้างอยู่บนนั้น
แม้รับฟังพระโอวาทพระบิดาแล้วก็ยังมิได้สติอีก
เมื่อถึงวันนั้นพวกท่านจะถูกจัดเป็นกลุ่มขยะ
ซึ่งต้องถูกชำระทิ้งไปจากจักรวาลสถานเดียว
นี่เรากล่าวความจริงโดยมิได้ล้อเล่นแต่อย่างใด

คนนำทางบางกลุ่มก็สอนท่านให้เชื่อว่า
พระศาสดาสามารถ "ไถ่บาป" ให้ท่านได้
โดยคำว่า "ไถ่บาป" นี้พวกเขาหมายถึง
พระบุตรเอกจะทรงยกโทษบาปทั้งหมดให้
ด้วยการที่พระองค์จะทรงแบกรับบาปนั้นแทน
เมื่อพระองค์เสด็จกลับมาตามสัญญา

ทั้งๆที่คำว่า "ทรงไถ่บาป" ให้กับเหล่ามนุษย์นั้น
แท้แล้วหมายถึงพระองค์จะทรงกลับมาสื่อสอน
ให้มนุษย์สำนึกรู้ในบาปบุญคุณโทษ
ให้หมั่นเพียรทำแต่ความดีละเลิกทำชั่วต่างหาก
มิใช่เสด็จมารับบาปรับกรรมแทนใคร
เพราะกฎแห่งการกระทำของจักรวาลนั้น
กรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง
ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้
พระบุตรเอกจึงรับกรรมรับบาปแทนมนุษย์มิได้
ก็เพราะกฎหลักข้อนี้นั่นเอง

ดังนั้น
การเฝ้ารอคอยพระบุตรเอกเสด็จกลับมา
จึงขาดการใส่ใจในการชำระความผิดบาป
ยังผลให้มีวิบากกรรมชะตากรรมเพิ่มขึ้น
ขณะกรรมเก่าที่ค้างคามิได้รับการชำระ
เมื่อถึงวันที่พระองค์เสด็จกลับมา
ถึงคราพระบิดาพิพากษาโลก
พี่ๆน้องๆเหล่านี้อาจต้องกลับคืนบ้าน
ไปกราบพระบาทพระบิดาเป็นกลุ่มสุดท้าย
ทั้งๆที่รู้จักพระบิดาฯศรัทธาพระบุตรเอก
เป็นมนุษย์ยุคแรกๆของโลกเสรีนี้ด้วยซ้ำ

ท่านยังจำคำกล่าวของเราได้หรือไม่ว่า
ผู้พวกที่มาทีหลังจะคืนกลับได้ก่อน
ผู้พวกที่มาก่อนจะคืนกลับได้หลังสุด
เพราะผู้ที่มาเฝ้าพระบิดาก่อนนั้น
เป็นเจ้าสาวที่ยืนนั่งและนอนหลับไหล
วางตะเกียง (สมอง) เอาไว้ปลายเท้า
ในตะเกียงก็ไม่มีน้ำมัน (ขาดปัญญา)
ตะเกียงที่วางอยู่ก็ไร้แสงสว่าง (คิดไม่เป็น)

แต่ผู้คนที่มาทีหลัง
คือ กลุ่มยุวจิตจักรวาลทายาท
แม้จะเพิ่งจำพระบิดาและพระบุตรเอกได้
แต่เป็นกลุ่มเจ้าสาวผู้ตื่นรู้
พวกเขาพากันถือตะเกียงยืนรอเจ้าบ่าว
ให้ช่วยเติมน้ำมันใส่ตะเกียงอยู่ทุกเดือน
จุดตะเกียงเมื่อไหร่ก็บังเกิดแสงสว่างเมื่อนั้น

พวกเขาผู้มาทีหลัง
จึงหมั่นชำระจิตใจให้ใสสวยอย่างจริงจัง
บาปกรรมจำเพาะตนจึงลดลงไปเรื่อยๆ
จนมีคุณสมบัติพอที่จะทรงประทานความรอด
จึงสามารถคืนกลับไปกราบพระบิดาได้ก่อน
นี่คือความจริงที่พี่ๆน้องๆทั้งหลายต้องรู้

3.ถ้ายังคงปฏิเสธพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้ทรงให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่าน
โดยอ้างแต่ว่าศาสดาที่ตนรับถือมิได้สอน
ท่านก็เลยไม่เชื่อโดยไม่ยอมคิดตาม
อย่างนี้ก็มิอาจหลุดพ้นนิพพานได้

เพราะท่าน "ยึดติดศาสดา" อยู่องค์เดียว
ยึดเอาไว้เสียแน่นหนักโดยมิยอมปล่อยวาง
โดยเชื่อว่าศาสดาที่ตนรับถือเป็นเลิศในปฐพี
เพราะพระองค์เป็นสัพพัญญูรู้แจ้งทั้งจักรวาล

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
อนันตจักรวาลที่มีโลกเสรีพิกัดที่ท่านมาเกิดนี้
เปรียบเหมือนกะลาใบใหญ่ที่คว่ำครอบกบไว้
กบตัวปัจจุบันเป็นรุ่นลูกหลานเหลนโหลนแล้ว
เมื่อมันเกิดมามันก็เห็นทุกอย่างที่อยู่ในกะลา
มันจึงเชื่อว่าสิ่งที่มีอยู่จริงมีแค่ในกะลาเท่านั้น

เมื่อมันได้พบคุรุกบผู้เป็นสัพพัญญูรู้ทุกสิ่งเข้า
มันจึงยึดติดแต่คุรุของตนไว้คนเดียว
เพราะมันไม่รู้ว่าเหนือฟ้าในกะลาคว่ำนั้น
ยังมีฟ้ากว้างใหญ่ที่ครอบเหนือกะลาอยู่
ซึ่งคุรุกบสัพพัญญูเองก็มิอาจรู้

ดังนั้น
พวกท่านกลุ่มนี้
จึงปฏิเสธพระบิดาไม่ศรัทธาเรา
ทำให้ขาดคุณสมบัติสำคัญเพื่อการหลุดพ้น

เนื่องจากท่านทั้งหลายมัวแต่รังเกียจพระเจ้า
ทั้งๆที่พระองค์เป็นดั่งผู้บังเกิดเกล้า
ของจิตวิญญาณของตนเองแท้ๆ
จึงมิอาจสร้าง "สามเหลี่ยมจิตจักรวาล"
โดยมีพระผู้เป็นเจ้าเป็นยอดสามเหลี่ยมได้
จึงเป็นได้แค่เส้นตรงในแนวระนาบ
คือตัวเรากับตัวท่านเองเท่านั้น
เราจึงไม่สามารถนำพาท่านขึ้นไปกราบ
พระบิดาฯแห่งจิตวิญญาณ
ที่ทรงรอคอยพวกท่านมานานแล้วได้

เสียดายบ้างมั้ยล่ะ...
ถ้าจะเป็นผู้หนึ่งที่มิได้รับความรอด
เพราะกลัวถูกเราหลอกทั้งๆที่เรายังมิได้หลอก
ขณะตนอยู่กับฝ่ายที่กำลังหลอกแต่กลับไม่กลัว
และเพราะการยึดติดและมีมิจฉาทิฐิ
จึงปฏิเสธพระบิดาฯของตนเอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/04/2020


26 เมษายน 2563

เมื่อมีคำถาม ก็มีคำตอบ



ตอบคำถาม : LoveIs All Around

กราบเรียนถามท่านอาจารย์ค่ะ

ในการรักษาสัจจะ
โดยต้องพูดให้ตรงกับใจที่คิด 
กับการไม่เบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก 
มุ่งถือศีล กินเจ ปฏิบัติธรรม

ก่อนที่จะได้พบเจอท่านอาจารย์ยังกินเนื้อสัตว์ 
เกิดมาแล้วก็ถือปฏิบัติตามครอบครัว ตามสังคม 
โดยไม่ได้นึกคิดสิ่งใด ปฏิบัติตามๆกันมา 
จนได้มาเรียนรู้จากท่านอาจารย์และจิตจักรวาล 
จึงมุ่งปฏิบัติตามวิถีจิตจักรวาล 
ละการเบียดเบียน

แต่ในขณะที่ทำอาหาร
ก็ยังติดในรสชาติและรสสัมผัส
ของอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ 
จึงทำเลียนแบบ หรือในบางครั้ง บางแว่บ 
เจออาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์แล้ว
มีความอยากทานอาหารนั้นขึ้นมา 
ก็พยายามปลอบใจ ข่มใจ สอนใจ 
ที่จะลด ละ เลิก หลีกเลี่ยงที่จะเบียดเบียน 
โดยใช้คำสอนของท่านอาจารย์
มาเป็นหลักที่จะไม่เบียดเบียน
พี่น้องเพื่อนร่วมโลก

Question 1 :
ช่นนี้แล้ว 
ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ตรงกับใจ 
เป็นการผิดสัจจะเป็นการทำผิดบาป
โดยการหลอกลวงตนเองหรือไม่คะ
กับการทำตามใจเมื่อมีความอยากผุดขึ้นมา 
ก็จัดการอาหารตรงหน้าให้ตรงกับทึ่ใจคิด

Answer :

1.ถ้าใจ "อยาก" จะกินเลือดเนื้อสัตว์
แล้วใช้วิธีบังคับ "ข่มใจ" ที่กำลังอยากจะกินนั้นไว้
มิให้แสดงพฤติกรรมการกินไปตามความอยาก
ตามที่มรรควิถีจิตจักรวาลสอนไว้
ก็ยังถือเป็นความ "ผิดบาป" แน่นอน

เพราะกรรมของมนุษย์เกิดขึ้นที่ "มโนกรรม"
ตรงที่จิตอยากจะกินเลือดเนื้อของสัตว์นั้นไปแล้ว
แม้กายกรรมจะยังมิได้แสดงออกหรือกระทำ
เพราะถูกเก็บกดเอาไว้ก็ตาม

2.ถ้าใจ "อยาก" จะกินเลือดเนื้อของสัตว์
แล้วใช้วิธี "สอนจิตตนเอง" ที่กำลังอยากจะกิน
ให้รู้สำนึกว่ามันเป็นสิ่งอันไม่ควรประพฤติ
โดยมีเหตุผลให้ตนเองและตนยอมรับเหตุผลนั้นได้
จนฆ่าความอยากจะกินหมดสิ้นไปจากใจได้จริง
ก็ไม่ถือเป็นการ "ผิดบาป" แต่อย่างใด

3.การผิดสัจจะก็คือ
การพูดหรือทำไม่ตรงกับสิ่งที่ตนกำลังนึกคิดอยู่
แต่การนึกอยากจะกินแล้วเปลี่ยนใจเป็นไม่กิน
แล้วท่านก็ไม่กินเนื้อสัตว์นั้นจริงๆ
ตามที่จิตสุดท้ายสั่งว่าไม่กินตามเงื่อนไขข้อ 2.นั้น
ท่านคิดว่ามันผิดสัจจะที่ตรงไหนล่ะ

Question 2 :
การคิดว่าไม่คิด 
คือ การหลอกตนเองหรือไม่คะ
ในขณะที่บางแว่บผุดขึ้นมาในความคิด 
ควรสอนตนเองอย่างไรคะ

Answer :

การคิดว่า "ไม่คิด" มิใช่การหลอกตนเอง
แต่เป็นการ "บอกตนเอง" ว่าไม่คิด

เป็นนิสัยของพวกที่ "ไม่อะไรกับอะไร"
จนทั้งชีวิตไม่มีการเรียนรู้อะไรเลย
การพัฒนาจิตปัญญาจึงไม่เกิดขึ้น
ความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณจึงไม่มี
เพราะกลัวว่าถ้าไปอะไรกับอะไรเข้าแล้ว
มันจะทำให้จิตตกสติแตก

คนพวกนี้จึงบกพร่อง 2 อย่าง คือ
1.บกพร่องด้านการเรียนรู้
2.บกพร่องด้านการฝึกมหาสติ
เพราะกลัวว่า "จิต" จะไปมีอะไรกับอะไรเข้า

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26/04/2020