26 มกราคม 2556

จดหมายถึงลูก ฉบับที่ 9


(((9))) จดหมายถึงลูกจากองค์จิตจักรวาล: (ฉบับที่ 9)

“จักรวาลวิทยา ภาคพิเศษ”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย…

ตั้งแต่แปดล้านหนึ่งแสนล้านปีมาแล้ว.... (8,100,000,000,000 ปี)
ดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้ บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดสร้างขึ้นเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นเสมือนจุดศูนย์กลางของเอกภพที่มีลักษณะเป็นสนามพลังงานรูปทรงกลมดั่งผลส้ม อันประกอบด้วยกาแล็กซี่น้อยใหญ่ 12,500 ล้านระบบ โดยมี 6 กาแล็กซี่ที่อยู่ใกล้กับแกนกลางของเอกภพ จะประกอบด้วยระบบสุริยะถึง 7 ระบบ ซึ่งกาแล็กซี่ธารน้ำนมหรือกาแล็กซี่ทางช้างเผือกจะเป็นระบบที่ใหญ่ที่สุดในบรรดากาแล็กซี่ทั้งหมดจึงมีระบบสุริยะอยู่ด้วยกันถึง 2 ระบบ เพื่อสร้างสมดุลของกาแล็กซี่ใหญ่นี้ไว้นั่นเอง

ความจริงที่จริงแท้มีอยู่ว่า ถ้าเจ้าต้องการให้วงกลมวงหนึ่งสมดุลอยู่ตลอดเวลา เจ้าก็จักต้องรักษาพิกัดตำแหน่งของจุดศูนย์กลางของวงกลมนั้นเอาไว้ให้คงที่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เพราะเส้นรอบวงของวงกลมใดๆก็ตามมันเกิดจากจุดเล็กๆจำนวนมากมาเรียงต่อกันเป็นวงรอบจุดศูนย์กลางเดียวกัน โดยมันจะต้องมีระยะห่างจากจุดศูนย์กลางที่เรียกว่ารัศมีเท่ากันตลอด ถ้าจุดศูนย์กลางของวงกลมนั้นพิกัดไม่คงที่ คือ โยกไปย้ายมาอยู่ตลอดเวลา วงกลมนั้นก็จะเสียสมดุลไปทันที สนามพลังงานคล้ายทรงกลมที่เรียกว่าเอกภพนี้ก็เช่นกัน หากบิดาแห่งเจ้าต้องการให้มีความสมดุลตลอดเวลาและตลอดไป ก็จำต้องกำหนดให้มีสรรพสิ่งหนึ่งรับหน้าที่คล้ายดั่งเป็นจุดศูนย์กลางเช่นเดียวกัน และเงื่อนไขสำคัญก็คือว่า จะทำอย่างไรที่จะช่วยให้สรรพสิ่งนั้นมีพลังอำนาจในตนเองพอที่จะทำหน้าที่อันสำคัญนี้ได้อย่างยั่งยืน และสามารถที่จะคงความสมดุลในตนเองเอาไว้ได้ตลอดตรงพิกัดตำแหน่งที่ตั้งที่พระบิดาได้กำหนดหมายเอาไว้แล้ว

จากหลักคิดดังกล่าวนี้เอง บิดาแห่งเจ้าจึงได้กำหนดให้ดาวมวลแข็งดวงหนึ่ง อุบัติขึ้นและดำรงตนเองอยู่ตรงพิกัดตำแหน่งที่จะเป็นเสมือนจุดศูนย์กลางของเอกภพ ทุกวันนี้พวกเจ้าเรียกดาวดวงนั้นว่า “ดาวเคราะห์โลก” แต่เนื่องจากว่าเอกภพอันเปรียบเสมือนเป็นห้องทดลองของพระบิดานี้มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลเหลือคณานับ การจะให้ดาวโลก (The Earth) ดำรงตนเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพื่อแสดงบทบาทอันสำคัญนี้แต่เพียงลำพังแล้ว คงต้องกำหนดสร้างให้ดาวโลกที่เป็นดาวมวลแข็งนี้มีขนาดใหญ่มหึมาด้วยเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมจะยังผลให้เอกภพของพระบิดามีพื้นที่ว่างโล่งน้อยลง หมายความว่ามันจะมีความหนาแน่นไปด้วยสรรพสิ่งทางกายภาพ จนแลดูไม่สวยงามเป็นแน่แท้ พระบิดาจึงกำหนดสร้างดาวเคราะห์โลกให้มีขนาดและน้ำหนักมวลที่เหมาะสม โดยมีโครงสร้างทางกายภาพภายในดาวโลกเป็นไปตามที่เคยกล่าวให้เจ้ารู้ในจดหมายฉบับก่อนๆแล้ว
เมื่อบิดาแห่งเจ้ากำหนดสร้างโลกให้มีขนาดเล็กลง แน่นอนว่าพระบิดาก็จำเป็นจะต้องสร้างตัวช่วยที่จะช่วยกันเหนี่ยวรั้งโลกของเจ้าไว้มิให้โยกย้ายพิกัดไปมาจนเสียตำแหน่งผู้ทำหน้าที่รักษาจุดศูนย์กลางของเอกภพไปง่ายๆ ดังนั้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว พระบิดาจึงได้กำหนดสร้างระบบสุริยะขึ้นมาระบบหนึ่งโดยมีดาวเคราะห์โลกเป็นสมาชิกหนึ่งในเก้าดวง และมีพระสุริยะอีกหนึ่งดวงรับหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางของระบบสุริยะที่ว่านี้

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย…

ยังมีความจริงที่เกี่ยวกับดาวโลกที่เจ้าเหยียบยืนกันอยู่นี้อยู่สิ่งหนึ่ง ที่นักดาราศาสตร์และนักจักรวาลวิทยาทั้งหลายเขาไม่รู้ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างดาวเคราะห์อีกแปดดวงกับดาวโลกและดวงอาทิตย์ของระบบนั่นเอง
ความจริงที่ว่านี้ก็คือ บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดให้ดาวโลกเป็นผู้ออกแรงดึงรั้งเพื่อนำพาดาวเคราะห์อีกแปดดวงพร้อมดาวเพื่อนคือดวงจันทร์ของแต่ละดวง โคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ในลักษณะเป็นวงรีโดยต่างดวงกันก็จะมีเส้นทางวงโคจรเป็นของตนเองไม่ทับกัน และวงโคจรนั้นก็กำหนดให้อยู่ในระนาบเดียวกัน
ดังนั้น พลังอำนาจที่สามารถฉุดรั้งให้ดาวโลกไม่สูญเสียพิกัดตำแหน่งจุดศูนย์กลางของเอกภพดังกล่าวนี้ จึงเป็นผลจากพลังอำนาจในการเหนี่ยวรั้งของดวงอาทิตย์ที่กระทำต่อดาวโลกไว้ตลอดเวลาเสมือนว่าฉุดรั้งไว้ไม่ให้หน่ายหนีไปทางไหน และพลังอำนาจที่ดาวเคราะห์ทั้งแปดดวงเหนี่ยวรั้งดาวโลกไว้เหมือนกัน ในขณะที่ดาวโลกนั้นก็ฉุดรั้งชักพาดาวเคราะห์ทั้งแปดให้โคจรไปรอบดวงอาทิตย์ตามการโคจรของตนเองอย่างต่อเนื่องด้วย
นอกจากนั้น บิดายังมีความรู้เสริมที่จะบอกกล่าวให้เจ้าได้ฉุกคิดฉุกรู้หรือฉุกสังเกตอีก 2 ประการก็คือ

1).จะทำให้ดาวเคราะห์แต่ละดวงรวมทั้งดาวโลกดวงนี้ มีความสมดุลในระบบของตนเองได้อย่างไร ในที่สุดพระบิดาก็ได้คำตอบที่พึงปรารถนาว่า จักต้องช่วยให้ดาวดวงนั้นเกิดการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่ๆเหมาะสมด้วย ดาวดวงนั้นจึงจะเกิดการสมดุลขึ้นมาได้ ไม่ต่างจากลูกข่างที่มีการเหวี่ยงหมุนรอบแกนหมุนของตนเองด้วยอัตราเร็วคงที่อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาสั้นๆ ลูกข่างนั้นก็จะสามารถตั้งอยู่บนแกนหมุนได้โดยไม่ล้มลงชั่วขณะหนึ่งเช่นกัน เพราะมันมีความสมดุลอันเกิดจากการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่ สำหรับพลังของการเหวี่ยงหมุนของดาวดวงนั้นๆพระบิดาสร้างขึ้นมาได้อย่างไร จะเปิดเผยให้ลูกทั้งหลายได้เรียนรู้กันในโอกาสต่อไป

 2).จะทำให้ดาวเคราะห์ทุกดวง รวมทั้งดาวโลกเองด้วย สามารถโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ผิดพลาดและปลอดภัย คือ ไม่ชนกันเอง หรือไม่ลื่นหลุดออกไปจากพิกัดที่กำหนดไว้จนจะยังผลให้ดาวโลกสูญเสียตำแหน่งจุดศูนย์กลางของเอกภพไปได้อย่างไร
ในที่สุดพระบิดาก็คิดได้ว่าจะต้องหาหนทางทำให้ดาวเคราะห์ทุกดวงที่จะโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันนี้ มีแนวแกนหมุนรอบตัวเองที่ทำมุมเอียงเบี่ยงเบนออกไปจากแนวดิ่ง ในพิกัดที่เหมาะสมของแต่ละดาวซึ่งมันจะมีขนาดของมุมองศาเอียงไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดความกว้างของวงโคจร น้ำหนักมวล และอัตราเร็วของการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ดวงนั้นๆเป็นสำคัญ โดยที่ต้องกำหนดให้ดาวแต่ละดวงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองและโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ในลักษณะเอียงทำมุมกับแนวดิ่งก็เพื่อเกื้อกูลต่อการเลี้ยวโค้งอ้อมดวงอาทิตย์และการวกกลับตามแนวโคจรเดิม ซึ่งการวกลับเกิดได้ก็เพราะดวงอาทิตย์ออกแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งไว้มิให้ดาวเคราะห์ทั้งเก้าดวงโคจรหลุดออกไปจากระบบนั่นเอง เพราะถ้ามีใครหลุดออกไปจากระบบก็เท่ากับว่าดาวโลกจะสูญเสียพิกัดตำแหน่งของตนเองไปจากจุดศูนย์กลางของเอกภพทันที

แต่เนื่องจากว่ากาแล็กซี่ธารน้ำนม (Milky Way) นี้ มีระบบสุริยะรวมทั้งสิ้น 2 ระบบ บิดาแห่งเจ้าจึงต้องกำหนดให้ดาวพลูโตที่เป็นดาวเคราะห์ดวงที่เก้าซึ่งมีวงโคจรอยู่นอกสุด เป็นดาวเคราะห์ของอีกระบบสุริยะหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามด้วยในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อช่วยค้ำจุนระบบสุริยะทั้งสองระบบให้สมดุลอย่างยั่งยืนตลอดไป บทบาทของดาวพลูโตที่เจ้าจะสังเกตพบก็คือ ดาวดวงนี้จะมีวิถีการโคจรที่ไม่สม่ำเสมอ บางปีดูเหมือนว่าจะหายออกไปจากระบบจนคล้ายกับว่าระบบสุริยะของโลกจะมีดาวบริวารของดวงอาทิตย์เพียงแค่แปดดวงเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะดาวพลูโตต้องทำหน้าที่เป็น “เศษส่วนของเมอริเดี้ยน”

เศษส่วนของเมอริเดี้ยน หมายถึง การทำหน้าที่เป็นดาวเคราะห์ที่จะคอยรักษาสมดุลของระบบสุริยะทั้งสองระบบเอาไว้ให้มั่นคงนั่นเอง

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย.....
เมื่อบิดาแห่งเจ้าได้กำหนดสร้างสรรพสิ่งทางกายภาพขึ้นมาได้ แน่นอนว่าจักต้องพิจารณาสรรพสิ่งทางพลังงานอันเป็นด้านของแก่นแท้ด้วยพร้อมๆกันไป ดังนั้น สิ่งที่พวกเจ้าทั้งหลายจะต้องรู้ไว้ก็คือ บิดาแห่งเจ้ายังจะต้องคิดหาคำตอบให้ได้ว่า จะต้องทำอย่างไรจึงจะช่วยให้โลกมีพลังอำนาจในตนเองมากพอที่จะดำรงอยู่และมากพอที่จะเป็นผู้นำพาฉุดรั้งดาวเพื่อนอีกแปดดวงให้สามารถโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันได้ตราบชั่วนิรันดร ซึ่งบุตรรักทั้งหลายจะสามารถพิสูจน์ความจริงที่ดาวโลกเป็นผู้นำพาดาวเพื่อนทั้งแปดโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ มิใช่แต่ละดวงต่างโคจรรอบดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันด้วยพลังอำนาจในแต่ละดาวเองแต่อย่างใดนั้น โดยให้ตรวจสอบแผนที่พิกัดตำแหน่งของดาวเคราะห์ ระหว่างวันที่ 29 กันยายน ไปจนถึงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2623 ตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าเป็นต้นไป ภายในเวลา 3 วันที่ว่านี้ที่ตั้งของดวงดาวในระบบสุริยะจะเป็นดังว่านี้

1).โลกจะเป็นศูนย์กลางของดาวเคราะห์ทั้งแปดดวง ดวงอาทิตย์จะอยู่ทางทิศตะวันออกของโลกในเวลาเก้าโมงเช้า
2).ดาวเนปจูนจะอยู่ใกล้โลกทางด้านตะวันออกมากที่สุด จะทำมุม 45 องศากับแนวตะวันออกตะวันตกค่อนไปทางใต้ที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง
3).ดาวพฤหัสจะเป็นดาวที่อยู่ห่างจากโลกออกมาทางทิศตะวันออกเช่นกัน ซึ่งพิกัดตำแหน่งจะอยู่ถัดออกมาจากดาวเนปจูน จะทำมุม 10 องศากับแนวตะวันออกตะวันตกค่อนไปทางใต้ที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง
4).ดาวพุธจะเป็นดาวที่อยู่ถัดออกมาจากดาวพฤหัส ทางทิศตะวันออกของโลกเช่นกัน โดยจะทำมุม 5 องศากับแนวตะวันออกตะวันตกค่อนไปทางใต้ที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง
5).ทางทิศใต้ของโลกในขณะเดียวกันนั้น ก็จะมีดาวอีกสองดวงดำรงอยู่ ดวงแรกอยู่ใกล้โลกมากกว่าคือ ดาวพลูโต ซึ่งจะมีพิกัดทำมุม 30 องศากับทิศใต้ค่อนไปทางตะวันตกของโลก
6).ดวงถัดออกมาคือ ดาวศุกร์ จะอยู่ตรงพิกัดทำมุม 20 องศากับทิศใต้ค่อนไปทางตะวันตกของโลกเช่นกัน
7).ดาวเคราะห์ที่เหลืออีก 2 ดวง จะมีพิกัดอยู่ทางทิศตะวันตกค่อนไปทางทิศเหนือของโลกทั้งคู่ ดวงที่อยู่ใกล้โลกมากกว่าคือ ดาวยูเรนัส จะมีพิกัดทำมุม 30 องศากับแนวตะวันออกตะวันตกค่อนไปทางทิศเหนือของโลก
8).ดวงสุดท้ายที่อยู่ถัดจากดาวยูเรนัสออกมา คือ ดาวเสาร์ จะมีพิกัดทำมุม 45 องศาหรืออยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโลกพอดี

บุตรรักทั้งหลาย......
ความลับแห่งดวงดาวที่เปิดเผยให้เจ้ารู้นี้ มันจะเป็นความรู้ใหม่ของพวกเจ้าและเป็นความรู้สำหรับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่ที่จะต้องเรียนรู้กันต่อไป หลังวันสิ้นยุค
ในวันเวลาที่พระบิดากำหนดไว้นี้ มันจะเวียนครบรอบในทุกๆ 360 ปีโลก เพื่อแสดงให้เจ้าเห็นว่าเมื่อแรกสร้างและกำหนดให้โลกเป็นแกนนำของระบบนั้น ดาวทั้งเก้าดวง จะดำรงตนเองอยู่ในพิกัดนี้และเป็นเช่นนี้กันมาตลอด เจ้าเห็นหรือยังว่าถ้ามิกำหนดไว้ให้โลกของเจ้าเกี่ยวพันกันกับดาวเพื่อนทั้งแปดและหนึ่งดวงสุริยะ กับให้ดาวพลูโตทำหน้าที่สองบทบาทในสองระบบสุริยะ คือ เป็นเศษส่วนของเมอริเดี้ยนแล้ว โลกของพระบิดาที่พวกเจ้าขันอาสาเข้ามาทำหน้าที่แทนพระบิดา เพื่อช่วยให้โลกมีอำนาจและรักษาสมดุลค้ำจุนโลกไว้อีกแรงหนึ่งด้วยนั้น มันจะประสบผลสำเร็จด้วยดีมาตราบเท่าจนทุกวันนี้ได้หรือ.....ทุกสิ่งทุกเรื่องราวและทุกกลไกกระบวนการ ในสองมิติที่บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดไว้แล้วจึงเป็นสิ่งที่พวกเจ้าและทุกสรรพสิ่งจักต้องรักษาสัจจะ ต้องมีสัจจะ คือ ต้องปฏิบัติไปตามนั้น ต้องทำมันให้ศักดิ์สิทธิ์สัมฤทธิ์ผลด้วยพลังอำนาจในตัวเจ้าเองให้จงได้ พระบิดาประทานมาให้แก่พวกเจ้าทุกๆรูปธรรมกันอยู่แล้ว มันคือสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า “คุณสมบัติ” นั่นเอง

ถ้าปรารถนาจะรู้ว่า....พวกเจ้าขันอาสาพระบิดาเข้ามาทำหน้าที่ยังดาวโลกนี้ มีนัยอะไรที่เจ้าต้องรู้อีกบ้าง บิดาแห่งเจ้าจะเล่าให้ฟังในจดหมายถึงลูก ฉบับต่อไป...

ถ่ายทอดคลื่นความติดจากองค์จิตจักรวาลโดย
ป.วิสุทธิปัญญา
26-01-2013
--------------

ความรู้ใหม่จากพระบิดา จะยังความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เพื่อประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า องค์จิตจักรวาล คือ พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง พระผู้เริ่มต้นและสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่ง พระองค์คือพระเจ้า....และให้ได้รู้ว่าพระเจ้ามีจริงซึ่งมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น...ไม่ว่าเธอจะกล่าวพระนามพระองค์ว่าอย่างไร พระองค์ก็มีเพียงหนึ่งเดียว....
------------------------------------------------

ATTN:Punyaporn Rermrat Danchaiyakul
Q1:พระปฐมหรือองค์ประถม เป็นความหมายว่าผู้สร้างใช่ใหมคะ ไม่กล้าถามใครมาถามอาจารย์ค่ะ?
A1:
1.ความจริงแล้วพระปฐม-องค์ประถม-องค์ปฐม หรือไรที่เธอถามมาเนี่ย...เธอน่าจะถามคนที่พูดให้เธอฟัง หรือไม่ก็ถามคนที่เขาเป็นเจ้าของความรู้นี้นะ การถามเขาเพราะว่าอยากรู้นั้นเขาไม่น่าจะตำหนิเธอหรอกนะ
2.เธอเอาความรู้ของผู้อื่นที่มิใช่ความรู้ขององค์จิตจักรวาลมาถามเรา...เราคงตอบคำถามเธอไม่ได้ ต้องขออภัยจริงๆ เพราะเราเชี่ยวชาญแต่องค์ความรู้ที่พระบิดาประทานมาให้เราสื่อสอนมนุษย์โลกนี้เท่านั้น สิ่งใดที่พระองค์มิได้ตรัสมาหรือว่ามิเคยตรัสไว้เราไม่รู้หรอกเธอ อีกอย่างเป็นเพราะเราไม่ต้องการก้าวล่วงคนที่เขาเป็นเจ้าของความคิดความรู้นั้น ทั้งนี้ไม่ว่าความรู้ที่เธอถามมานั้นมันจะถูกหรือจะผิด มันจะจริงหรือจะเท็จก็ตาม...
3.แต่สำหรับความรู้ของเราจากประสบการณ์ของการเป็นมนุษย์ ซึ่งมิใช่ความรู้จากองค์จิตจักรวาลแล้วคำว่า "องค์ปฐม" นั้น เราทราบว่ามนุษย์ผู้กล่าวถึงเป็นรูปธรรมแรกในยุคปลายนี้ คือ ท่านนักบวชนามว่า "ฤาษีลิงดำ" ว่าแต่ว่าเธอรู้จักสมณะผู้มากด้วยบุญบารมีท่านนี้มั้ยล่ะ ซึ่งสมณะท่านนี้ให้ความหมายของคำว่า"องค์ปฐม"ไว้ว่า หมายถึง นักบวชในกาลอดีตรูปธรรมหนึ่งที่สามารถเข้าถึงการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด จนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของมวลชาวพุทธได้นั่นแหละ
4.สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็สามารถบรรลุมรรคผลสูงสุดคือคืนกลับแดนสุญตาในสภาวะนิพพานได้
Q2:ขณะนี้ตามที่ทราบในเครือข่ายการสื่อสารว่า หากมีการใช้วาจาไม่สุภาพต่อพระพุทธศาสนาจะมีโทษด้วย เราคงต้องดูแล และเป็นกำลังใจอาจารย์ในการให้องค์ความรู้ที่สมควรรู้ เพราะต่างความคิดกันอยู่แล้ว หากเขาไม่เปิดใจโดยการฟังจากที่นี่ด้วยและเอาปัญญาของเขามาใช้พิจารณา
A2:
1.เธอเคยพบเจอหรือที่ในยุคนี้ มีคนใช้วาจาไม่สุภาพ(ลบหลู่-ดูหมิ่น-ก้าวล่วง-ด่า)ต่อพระพุทธศาสนาน่ะ...เราว่าไม่มีมั้ง? ถ้าจะมีก็คงจะมีแค่คนทั่วไปที่เขารู้เท่าทันเขาด่าว่าหรือประนามไอ้คนที่ชอบอุตริเอาพระพุทธศาสนาหรือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นมาแอบอ้างเพื่อวัตถุประสงค์แอบแฝงเสียมากกว่า....
2.ปัญญาชนและวิญญชนทั้งหลายเขาไม่โง่หรอก เพราะเขารู้ว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาที่เป็นของแท้(ย้ำ) ทรงเป็นพระศาสดาผู้ประเสริฐพระองค์หนึ่ง ในจำนวน 24 พระองค์นั่นแหละเธอ มิมีแก่นธรรมข้อใดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้แล้วพระบิดาเห็นว่าไม่ถูกต้อง แต่พระบิดาทรงเห็นแล้วว่ามีมนุษย์ไม่น้อยเลยที่นำเอาคำสอนของพระพุทธองค์มาแปลความผิดเพี้ยนจนไม่ถูกต้องกันเสียเองอย่างไม่เกรงความผิดบาปด้วยซ้ำไป ถ้าความหมายของเธอที่ว่า "ใช้วาจาไม่สุภาพต่อพระพุทธศาสนา" หมายถึง ก้าวล่วง เราก็ยืนยันว่าไม่มีใครก้าวล่วงพระพุทธองค์แน่นอน พระศาสดาพระองค์อื่นๆก็ไม่เคยก้าวล่วงพระพุทธองค์และไม่ก้าวล่วงกันและกันด้วย ส่วนคำว่าก้าวล่วงพระศาสนานั้น คนที่พูดน่ะหมายถึงอะไร? อะไร คือ ศาสนา?
3.มนุษย์โลกเสรีนี้อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าเธอจะก้าวล่วงใคร พระศาสดา คนดี คนบ้า คนชั่ว หรือแม้แต่ตัวเอง เธอจักได้รับผลกรรมนั้นทั้งสิ้น...การนำเอาพระศาสดามาแอบอ้างทั้งๆที่มิใช่หน้าที่ มิได้รับอนุญาตและรู้ไม่จริงนี่ก็ถือเป็นก้าวล่วงเช่นกันมิใช่หรือ ถ้าสอนธรรมะผิดๆก็ตกนรกขุมที่ 13 เหมือนกันแหละเธอ...
4.ขอบใจนะที่เป็นห่วงการสอนธรรมะของเรา แสดงว่าเธอเพิ่งรู้จักเราล่ะสิ...เราสอนธรรมะในนามพระบิดา In The Name of God! หรือองค์จิตจักรวาล เราสื่อสารกับพระองค์ท่านในระบบจิตสู่จิต คนเดียวในโลก...ธรรมะทุกถ้อยอักษร เรามิได้กล่าวเองหรอก...นักเรียนทุกคนในห้องเรียนนี้เขายินยันได้ เพราะเขาร้จักเรามานับสิบปีแล้ว ลองถามพวกเขาในห้องนี้ดูสิเธอ...สบายใจได้ อย่าห่วงเราเลยนะ...ขอบใจเธออีกครั้ง...ห้องเรียนของเราสอนให้คนฉลาดขึ้น รู้ธรรมที่ถูกต้อง รู้ปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่หลงทางไปนิพพาน....ใครเห็นด้วยช่วยยกมือขึ้นหน่อย...เร้ววว....

ป.วิสุทธิปัญญา
26-01-2013
-------------




24 มกราคม 2556

ข่าวด่วนชวนระทึก


ข่าวด่วนชวนระทึก:
เชิญอ่านกันเอาเอง ไม่ต้องอธิบาย
----------------------------------------

เอาชนะความโกรธด้วยการไม่โกรธ

เอาชนะความทุกข์ด้วยการไม่ทุกข์
เอาชนะความกลัวด้วยการไม่กลัว
เอาชนะความเก็บกดทางอารมณ์ด้วยการเลิกเก็บกด
เอาชนะความวิตกกังวลด้วยการเลิกวิตกกังวล
------------------------------------------

ความไม่โกรธ

ความไม่ทุกข์
ความไม่กลัว
ความไม่เก็บกด
ความไม่วิตกกังวล....
ทั้งหลายเหล่านี้.....สามารถเกิดขึ้นได้ในจิตใจเธอด้วยพลังอำนาจของสิ่งเหล่านี้ คือ
1.ด้วยสติปัญญาและปัญญาญาณในตนเอง
2.ด้วยองค์ความรู้ของพระบิดาที่ทรงเมตตาสื่อสอนไว้ทั้งหมดดังแจ้งกันแล้วนั้น
3.ด้วยความรักจากแก่นแท้ ที่เป็นรักเพื่อให้ที่แท้จริง
4.ด้วยความมีสติทางวิญญาณที่รู้ว่าตนเองเป็นใคร มาจากไหน มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม และมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง โดยต้องระลึกไว้เสมอ
5.ข้ามพ้นการหลงในมิติแห่งมายา เลิกยึดติดตัวกูตัวมึง ของกูของมึง
6.มีองค์จิตจักรวาลพระบิดาแห่งจิตวิญญาณเป็นสรณะที่ตนจักต้องยำเกรง เหมือนลูกเกรงใจพ่อแม่ไม่กล้าทำผิดปานนั้น...


ป.วิสุทธิปัญญา
------------------------------------------

ANSWR:Karuna Karuna Nonthawong

อารมณ์ด้านลบทั้ง 5 อาการนั้น มีความถี่ของการสั่นสะเทือนแตกต่างกัน แต่ละย่านความถี่มีผลกระทบต่อการสั่นสะเทือนทางพลังงานของอวัยวะภายในแต่ละชื้นที่เป็นระบบอัตโนมัติต่างกัน กล่าวคือ ความโกรธเป็นอาการทางจิตที่ผลิตสร้างคลื่นพลังงานด้านลบที่จะไปหักล้างลดทอนการสั่นสะเทือนทางพลังงานด้านบวกเพื่อการทำหน้าที่อัตโนมัติของตับ เพราะอยู่ในย่านความถี่ตรงกันข้าม
------------------------------------------

ANSWR:Toffie Tiffie


เรากล่าวไว้นานแล้วว่า ถ้าถึงวันชำระโลกคาบสุดท้าย ใครมีผลกรรมเกิน 30% จะต้องถูกชำระไม่มีละเว้นและนิพพานไม่ได้ ถ้าวันๆเธอมัวแต่ถามว่าขาดสติชั่วคราวอยู่เรื่อย แล้วจะรีบดับด้วยการสำนึกผิด ถ้าภายในสองปีนี้สามารถแก้ไขได้....ยังมีโอกาสถูกเลือกมั้ย? คำตอบคือ โอกาสยังมี...แต่แน่ใจหรือว่าถ้ายังสอบตกอยู่เยี่ยงนี้ภายในสองปีจะสำเร็จได้จริงๆ และแน่นอนว่าพอถึงวันนั้น ผลกรรมจะเหลือไม่เกิน 30% ได้จริงรึเปล่า? ถ้าปัจจุบันขาดสติอยู่เป็นประจำทำให้เกิดผลกรรมด้านลบสั่งสมอยู่มิเว้นวาง ว่ามั้ย?
------------------------------------------

คุณ Toffie Tiffie วิธีแก้ปัญหาโรคขี้น้อยใจ-ขี้ใจน้อยจนเป็นที่มาของ "ดั้งสลาย" นั้นอาจทำได้ดังนี้


คือ จงอย่ายึดติดตนเองเป็นหลัก แต่ให้ยึดคนอื่นโดยเฉพาะคนที่เธอชอบน้อยอกน้อยใจเขานั่นแหละเป็นหลักแทน เช่น ไม่คาดหวังว่าเขาจะต้องยังงั้นยังงี้ต่อตัวเธอ แต่ให้เธอมองหาความต้องการของเขาเพื่อตอบสนองแทน เป็นต้น อาการน้อยใจมันมาจากความคาดหวัง เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองให้ตรงใจ คนๆนั้นก็จะมีปัญหาเสมอ คือ ขุ่นมัว ไม่พึงพอใจ ไม่สบอารมณ์ เพราะรู้สึกว่าตนไม่มีความสำคัญ ไม่มีค่าสำหรับคนๆนั้นที่เธอคาดหวังบางอย่างจากตัวเขานั่นแหละ...เช่นหวังว่าเขาคงจะแสดงความห่วงใยต่อตัวเราแต่เขากลับไม่ใส่ใจ...หรือหวังว่าเขาจะต้องถามความรู้สึกนึกคิดของเราบ้าง แต่เขากลับไม่แคร์เรา เป็นต้น....ความคาดหวัง กับการยึดติดตนเองเป็นหลัก คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกเธอกลายเป็นคนป่วยทางจิตด้วยโรค "ขี้ใจน้อย" นี่แหละนะ
------------------------------------------

ความจริงแล้วองค์ความรู้ขององค์จิตจักรวาล พระบิดาแห่งจิตวิญญาณทั้งปวงนั้นมิได้สงวนลิขสิทธิ์หรือที่เธอใช้คำว่า "ผูกขาด" ดอกนะ...ถ้าฉบับใดที่พระองค์ทรงเมตตากล่าวถึงเรื่องที่เราพิจารณาแล้วเห็นว่า คนทั่วไปเมื่อรับรู้รับทราบแล้วจะไม่มีผู้ใดก้าวล่วงพระองค์จนยังผลให้ผู้นั้น ต้องประสบกับอนันตริยะกรรมด้วยความไม่รู้สติแล้ว เราจะโพสท์ไว้ให้เฉพาะกลุ่มนักเรียน ในห้องเรียน ป.วิสุทธิปัญญา เท่านั้น เนื่องจากนักเรียนในห้องเรียนนี้ได้ถูกคัดกรองเคี่ยวกรำมาแล้วว่า รู้จักองค์จิตจักรวาลพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของตนเป็นอย่างดี ทุกคนมอบความศรัทธาด้วยปัญญาให้แก่พระองค์จนหมดสิ้นโดยมิลังเลสงสัยใดๆแล้ว...พวกเขาจะเปิดกว้างเพื่อการเรียนรู้ด้วยการคิดตาม...พิจารณาตาม...ในทุกเรื่องที่สอนด้วยมหาสติอย่างแท้จริง


แต่ถ้าจดหมายฉบับใดที่พระองค์ทรงกล่าวไว้แล้วนั้น หากเราพิจารณาแล้วเห็นว่า ความตอนใดตอนหนึ่งจะไม่มีผู้ใดสามารถนำไปเป็นเงื่อนไขเพื่อการก้าวล่วงพระองค์ได้ เราก็จะนำมาโพสท์ไว้ในหน้านี้ให้ได้รู้โดยทั่วกันเสมอ อย่างเช่นจดหมาย ฉบับที่ 9 เป็นต้น...หวังว่าคงเข้าใจวัตถุประสงค์ของเรานะ
------------------------------------------

จดหมายถึงลูก ฉบับที่ 8


จดหมายถึงลูกจากองค์จิตจักรวาล: (ฉบับที่8)

“โลก มนุษย์ และสัตว์ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย…
เจ้าจะต้องรู้ว่า บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ และรูปธรรมของสรรพสัตว์ที่มีชีวิตน้อยใหญ่หลากหลายรูปแบบเอาไว้ให้พวกเจ้า เข้ามาทำหน้าที่เป็นแก่นแท้ที่เร้นอยู่ภายในรูปธรรมนั้นๆ เพื่อทำการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมของเจ้าในการทำหน้าที่เป็น “เพื่อนร่วมงาน” ของดาวเคราะห์โลกทั้งสองมิติ คือ มิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้กับมิติโลกทางด้านกายภาพด้วยกันทั้งสิ้น มิมีผู้ใดยกเว้นเลย เนื่องจากบิดาแห่งเจ้าได้กำหนดจำนวนรูปธรรมอันหมายถึงน้ำหนักมวลโดยรวมของพวกเจ้าเอาไว้ เพื่อสร้างสมดุลของดาวเคราะห์โลกดวงนี้เอาไว้อย่างเหมาะสมแล้ว ดังนั้น พวกเจ้าซึ่งฉลาดและมีพลังอำนาจเหนือกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจึงต้องไม่เบียดเบียนทำร้ายหรือเข่นฆ่าพวกเขาที่อ่อนด้อยกว่า ที่สำคัญคือจิตวิญญาณแก่นแท้ของเจ้าที่เป็นมนุษย์และจิตวิญญาณแก่นแท้ของสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายทั่วโลกนั้น ต่างก็ล้วนเป็นบุตรรักแห่งบิดาหรือเป็นพี่ๆน้องๆของเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น

การทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลกของพวกเจ้านั้น หากจะปฏิบัติให้เป็นผลสำเร็จได้พวกเจ้าก็จะต้องรู้ว่า........
ภารกิจนั้นคืออะไร?
จักต้องปฏิบัติตนอย่างไร จึงจะบรรลุผลสำเร็จได้ดังประสงค์?
คำตอบโดยสรุปจากจดหมายฉบับที่ผ่านมา ซึ่งบิดาแห่งเจ้าได้กล่าวไว้นานแล้วมีดังนี้

1).ภารกิจของพวกเจ้าที่มีรูปธรรมเป็นสัตว์ทั้งหลาย ทั้งอยู่ในน้ำ ในทะเลลึก-มหาสมุทร บนบก ในดิน และในอากาศ ก็คือ การเข้าถึงซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันที่พวกเจ้าเห็นแล้วเรียกพวกเขาว่า “สัตว์สังคม” นั่นแหละ โดยเน้นการใช้จิตสัญชาตญาณไร้เดียงสาเป็นตัวขับเคลื่อนพลังแห่งรักของพระบิดาออกมาใช้ในการดำเนินชีวิตเป็นสำคัญ เมื่อจบสิ้นอายุขัยเพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมเสื่อมทรุดหลุดสภาพไปตามกาลเวลาอันเหมาะควรแล้ว พวกเขาก็จะย้อนกลับสู่การเกิดใหม่ วนเวียนแบบนี้เรื่อยไป เหตุเพราะว่าพี่ๆน้องๆของเจ้าซึ่งเป็นสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ได้ขันอาสาพระบิดาเดินทางข้ามมิติเข้ามาสู่ระบบโลกโดยไม่ขอกลับบ้านหรือกลับคืนสู่แดนสุญตานอกระบบเอกภพตราบชั่วกัลปาวสานกันเลยทีเดียว พวกเจ้าจึงสมควรเรียกพวกเขาว่า “สัตว์ประจำโลก” มากกว่า เพราะพวกเขาจะพากันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเกิดเพื่อทำหน้าที่ “เพื่อนร่วมงานกับโลก” ตลอดมาและตลอดไป การเรียกพวกเขาว่า “สัตว์ประจำโลก” จึงฟังดูแล้วไพเราะกว่าสง่างามกว่าเรียกพวกเขาว่า “สัตว์โลก” หรือ “สัตว์เดรัจฉาน”

2).ส่วนภารกิจของพวกเจ้าที่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมเป็นรูปธรรมมนุษย์นั้น มิได้แตกต่างไปจากสรรพสัตว์ทั้งหลายแต่อย่างใด นั่นก็คือ เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแสดงบทบาทคน 2 มิติ ด้วยการกระทำผ่านจิตสำนึกด้านบวกของตนเอง และแน่นอนว่าสิ่งที่ช่วยให้เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของพวกเจ้าได้ มีเพียงสิ่งเดียวก็คือ พลังอำนาจแห่งรักที่เร้นอยู่ในแก่นแท้หรือตัวตนของเจ้าเอง

3).สรรพสัตว์ทั้งหลายเข้าถึงพลังแห่งรักในตนเองที่โลกต้องการได้ ผ่านการสั่นสะเทือนเป็นสัญชาติญาณของแก่นแท้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของพวกเขาเองโดยตรง ไม่ยุ่งยากสลับซับซ้อนอะไร เพราะบิดากำหนดให้พวกเขาขับเคลื่อนพฤติกรรมทั้งสองมิติได้ด้วยอำนาจจากแก่นแท้โดยตรงหรือเป็นไปตามธรรมชาติของพวกเขา มิพักต้องมีเงื่อนไขบททดสอบใดๆช่วยเหลือทั้งสิ้น แต่สำหรับคนสองมิติที่เรียกว่ามนุษย์อย่างเช่นพวกเจ้านี้ จะสามารถน้อมนำเอาพลังแห่งรักจากแก่นแท้ออกมาได้ จักต้องอาศัยบททดสอบหลากหลายในชีวิตประจำวัน ทั้งผู้อื่นช่วยหยิบยื่นให้และที่ตนเองสร้างเงื่อนไขนั้นๆกันขึ้นมาเอง โดยเงื่อนไขที่ว่านี้มันจะมีทั้งด้านบวกคือดี และด้านลบคือด้านที่เจ้าไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นคนอื่นหยิบยื่นมาให้หรือเงื่อนไขที่เจ้าสร้างขึ้นมาให้เป็นปัญหาของตนเองก็ตาม





บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย......
สำหรับคนสองมิติที่เรียกว่ามนุษย์ดังเช่นพวกเจ้านั้น “เงื่อนไขบททดสอบ” ที่จะใช้กระตุ้นจิตหยาบให้สั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุด เพื่อเปิดมิติแห่งแก่นแท้แล้วนำเอาพลังแห่งรักจากพระบิดาที่พวกเจ้าแบกขนกันมาสู่ระบบโลกออกมาให้ได้นั้น ปกติแล้วจะเป็นเงื่อนไขที่เผชิญกันในชีวิตประจำวัน เพื่อทดสอบสภาวะจิตของพวกเจ้าด้วยกันเอง ใน 3 ประการ คือ 

1).บททดสอบความอดทน: 
เพื่อสอนเจ้าให้รู้จักรักตนเอง ในขณะที่จักต้องเป็นหนึ่งเดียวกับคนอื่นๆที่เขามีพฤตินิสัยหลายแบบที่เจ้าเองไม่พึงประสงค์ ไม่พอใจ ไม่ปรารถนา เพราะว่ามันเป็นพฤติกรรมขยะที่เจ้าไม่ต้องการ

2).บททดสอบความอดกลั้น:
เพื่อสอนเจ้าให้รู้จักรักตนเองได้และสามารถที่จะแบ่งปันรักนั้นแก่คนอื่นๆด้วยในเวลาเดียวกัน แม้คนอื่นๆนั้นจะมีพฤตินิสัยบางประการที่เจ้าไม่พึงประสงค์ ไม่พอใจ ไม่ปรารถนา เพราะว่ามันเป็นพฤติกรรมขยะที่เจ้าไม่ต้องการหรือไม่ชอบ

3).บททดสอบการให้อภัย:
บททดสอบบทนี้ เป็นบททดสอบที่เป็นเงื่อนไขที่ยากสุดๆในการเป็นมนุษย์ของพวกเจ้าเลยทีเดียว เช่น เจ้าต้องให้อภัยให้ได้แม้แต่บุคคลที่เจ้าเห็นว่าไม่สมควรที่จะให้อภัย เป็นต้น ซึ่งถ้าเป็นในกาลอดีตเจ้าจะสามารถเข้าถึงการให้อภัยผู้อื่นได้ ก็จักต้องสอบผ่านบททดสอบความอดทน และความอดกลั้นมาอย่างโชกโชนแล้วเท่านั้น เพราะการให้อภัยของเจ้ามันจะต้องกระทำผ่าน PARINYA MODEL: ว่าด้วย “3 ยอ” นั่นคือ ยอมรับ ยอมปรับ และยอมร่วมให้สำเร็จเสียก่อน

นอกจากนั้นเจ้ายังต้องรู้อีกว่าเมื่อปฏิบัติตาม “ปริญญาโมเดล” ทั้ง 3 ยอที่ว่านี้แล้ว เจ้าก็ยังไม่อาจจะเข้าถึงพลังความรักของพระบิดาที่เร้นอยู่ข้างในแก่นแท้ของเจ้าได้หรอก เจ้ายังจะต้องใช้ปริญญาโมเดล ว่าด้วย “การตัดกรรม” ปิดท้ายการทำบททดสอบข้อนั้นๆของเจ้าด้วยเจ้าจึงจะสามารถเข้าถึงบททดสอบการให้อภัย อันเป็นพลังแห่งรักระดับขีดสุดในการเป็นมนุษย์ของพวกเจ้าได้อย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว 
กุศโลบายของปริญญาโมเดล เพื่อการตัดกรรม คือ การสอนจิตตนเองให้นึกคิดด้านบวกนั่นเอง ซึ่งปกติแล้วมันทำได้ไม่ง่ายเลย ถ้าพวกเจ้ายังไม่สามารถเข้าถึง “3 ยอ” มาก่อน 
การนึกบวกคิดบวก เพื่อการตัดกรรมใดๆกับใครอื่น ที่เขากระทำไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่ดีงามต่อเจ้าในชีวิตประจำวันนั้น มี 4 แนวคิดดังนี้ คือ
ช่างเขาเถอะ....
ม่เป็นไร.....
ยังไงก็ได้....
แค่นี้ก็ดีแล้ว....

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย…
เจ้าจะเห็นได้ว่า บททดสอบจิตสำนึกที่จะนำไปสู่ความรักขั้นสูงสุดได้นั้น มันจะต้องผ่านปฏิบัติการทางจิตหลายขั้นตอนอยู่ แต่ละขั้นก็มิใช่เรื่องง่ายดายนัก แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถอันเกิดจากความมุ่งมั่นของตัวเจ้าเอง เพราะมันเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถฝึกฝนตนเองได้ในชีวิตประจำวันจากสถานการณ์ใดๆในชีวิตที่เจ้าพบพานผ่านเผชิญ ด้วยเหตุดังว่านี้แหละที่บิดาแห่งเจ้าจึงเปรียบโลกเสรีดวงนี้ไว้ว่าเป็นเสมือน “ห้องเรียนขนาดใหญ่” หรือโรงเรียนแห่งหนึ่งในเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่พระบิดาส่งพวกเจ้าเข้ามาเป็นนักเรียนเพื่อเรียนรู้ให้สำเร็จ “บทเรียนโลก” ด้วยการทำข้อสอบให้ผ่าน “บททดสอบจิตสำนึก” ทุกข้อกันให้ได้นั่นเอง และพวกเจ้าก็ล้วนรับรู้ความจริงเหล่านี้กันตั้งแต่ภพชาติแรกที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์กันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า เมื่อเจ้าเข้าสู่การเกิดเป็นคนสองมิติเข้าจริงๆทุกสิ่งจึงต้องถูกปกปิดมิติเอาไว้ชั่วคราว เพราะมันเป็นเงื่อนไขหนึ่งในกระบวนการทดสอบ ที่เจ้าจะนึกรู้ความจริงเสมือนรู้ข้อสอบก่อนเข้าห้องสอบไม่ได้ มันจะทำให้การสอบนั้นเป็นโมฆะ หากเจ้าประสงค์จะรู้แจ้งในความจริงเหล่านี้ เจ้าก็จำต้องยกระดับความฉลาดทางปัญญา และพัฒนาจิตสู่สุญตากันให้ได้ก่อน ความลับเบื้องหลังมิติโลกเหล่านี้จึงจะถูกเปิดออก เจ้าก็จะ Enlightenment ด้วยตนเองได้ เพราะเจ้าสามารถเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน (Oneness) กับทุกสรรพสิ่งในจักรวาลอันไพศาลของบิดาแห่งเจ้าได้อย่างกลมกลืน

ภารกิจแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นกฎจักรวาล เป็นกฎของพระบิดา ที่พวกเจ้าและโลกเสรีจะต้องสอบผ่านบททดสอบนั้นๆให้จงได้ดังกล่าวแล้ว ถ้าพวกเจ้าร่วมกันทำสำเร็จพร้อมๆกับดาวเคราะห์โลกที่เจ้าขันอาสาพระบิดาเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมงานได้ โลกเสรีนี้ก็จะมีพลังอำนาจในตัวเองและสมดุลตลอดไป ยังผลให้เอกภพทั้งระบบพลอยสมดุลอย่างยั่งยืนตลอดไปได้ด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้น เจ้าจึงต้องรู้เอาไว้ว่าจิตสำนึกของพวกเจ้ากับจิตสำนึกของดาวโลกนี้นั้น มันเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าจิตสำนึกโดยรวมของพวกเจ้าสั่นสะเทือนไปในด้านลบ มันจะยังผลให้จิตสำนึกของโลกพลอยสั่นสะเทือนไปในทางด้านลบตามไปด้วย

กับการที่โลกกำลังเกิดภัยพิบัติรุนแรงขึ้น ถี่ขึ้น ในทุกวันนี้นั้น มันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจิตสำนึกโดยรวมของมนุษย์โลกมันสั่นสะเทือนค่อนไปในทางต่ำลงๆทุกวันใช่หรือไม่?
ถ้าพวกเจ้าต้องการให้โลกเสรีนี้เกิดการสุขสงบ ไม่มีภัยพิบัติใดๆรุนแรงเกิดขึ้นหรือให้มันเกิดขึ้นน้อยลงแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็จักต้องยกระดับจิตสำนึกตนเองให้สูงขึ้นทางด้านบวกที่กำลังดิ่งลงต่ำอยู่นี้ให้จงได้และให้เร็วที่สุดด้วย ก่อนที่โลกทั้งใบจะหายนะ.....
แน่นอนว่า....หน้าที่พวกเจ้า ต้องเกิดมาเป็นคนสองมิติที่เรียกว่ามนุษย์ชายหญิง ต้องเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันให้สำเร็จให้จงได้ ต้องไม่มีเส้นแบ่งให้เกิดการแตกแยกใดๆโดยเด็ดขาด หากจะมีก็แค่เพียงความแตกต่างที่เจ้าสามารถเลือกที่จะนำมันมาสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นให้จงได้
บุตรรักทั้งหลาย เจ้าจะเอาความแตกต่างมาสร้างความแตกแยกไม่ได้หรอก ความแตกต่างเท่านั้นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ร่วมกันขึ้นมาได้.....

ป.วิสุทธิปัญญา
24-01-2013






23 มกราคม 2556

จดหมายถึงลูก ฉบับที่ 7


“จิตสำนึกของมนุษย์กับดาวเคราะห์โลกล้วนเป็น 1 เดียวกัน”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย..
ไม่นานวันมานี้ พระบิดาได้เปิดเผยความลับเบื้องหลังมิติโลกที่สองตาเปล่าของพวกเจ้ามองไม่เห็น และพลังปัญญาของพวกเจ้าก็มิอาจเข้าถึงได้ด้วยตนเองไว้เรื่องหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับภารกิจหลักของแก่นแท้หรือตัวเจ้าเองที่ขันอาสาพระบิดาเข้ามาปฏิบัติกันให้ลุล่วงภายในระบบโลก นั่นคือการสร้างพลังอำนาจให้แก่ดาวเคราะห์ดวงนี้ด้วยการสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกสูงสุดของตนเอง เพื่อกระตุ้นให้โลกเกิดการสั่นสะเทือนด้านบวกตามจิตสำนึกของพวกเจ้าไปด้วยอย่างต่อเนื่อง และขณะเดียวกันพวกเจ้ายังต้องช่วยให้โลกนี้สมดุล ด้วยการช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราเร็วคงที่อย่างต่อเนื่องตลอดไปด้วยเช่นกัน บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลายคงจะไม่เลือนลืมความจริงที่จริงแท้ซึ่งเป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ของตนเองที่ว่านี้กันง่ายๆดอกนะ

ถ้าจะทำความเข้าใจว่า เจ้าจะช่วยเหลือโลกของเจ้าในภารกิจหลักทั้งสองประการที่ว่านั้นกันได้อย่างไรแล้ว ก่อนอื่นเจ้าก็จักต้องรู้ว่า ดาวเคราะห์โลกที่เจ้าเหยียบยืนกันอยู่นี้นั้น พระบิดาได้กำหนดสร้างให้มีโครงสร้างทางกายภาพที่แตกต่างจากจินตนาการหรือสมมติฐานของฝ่ายที่เป็นนักวิทยาศาสตร์โลกที่เจ้าร่ำเรียนฝังหัวกันมาตั้งแต่เยาว์วัยอย่างสิ้นเชิง (จงดูภาพประกอบจากสไลด์) โดยเมื่อแรกสร้าง บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดให้ดาวเคราะห์โลกดวงนี้มีโครงสร้างหลักทางกายภาพพอสังเขปดังนี้

1.ชั้นนอกสุด: 
เป็นบริเวณเปลือกโลกชั้นนอกที่มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้และหลากหลายสรรพสิ่งดำรงอยู่ แม้กระทั่งน้ำบาดาล น้ำใต้ดินก็อยู่ในเปลือกโลกชั้นนอกสุดนี้ด้วย
2.ชั้นที่สอง:
เป็นบริเวณที่ถัดลงไปจากชั้นนอก คือแผ่นเปลือกโลกที่เป็นหินแข็ง มีความหนาตั้งแต่ 60 กิโลเมตรขึ้นไป โดยเมื่อแรกสร้าง พระบิดาได้กำหนดให้มันแยกออกจากกันอย่างอิสระจำนวนทั้งสิ้น 3 แผ่น เพื่อประโยชน์ในการยืดตัวหดตัวและเพื่อการดูดซับแรงสั่นสะเทือน อันเกิดจากการกระทำบนพื้นผิวโลกชั้นนอกสุด รวมทั้งการดูดซับปรับสมดุลแรงสั่นสะเทือนที่ถูกถ่ายทอดขึ้นมาจากภายในแกนโลกเอง เป็นต้น
3.ชั้นที่สาม:
เป็นชั้นของน้ำใต้โลกที่มีความลึกหลายร้อยกิโลเมตร น้ำส่วนนี้จะทำหน้าที่ค้ำจุนแผ่นเปลือกโลกทั้งหมดเอาไว้ ให้ลอยตัวอยู่ได้อย่างสมดุล เป็นน้ำร้อนที่มีความร้อนสูงในระดับเลยจุดเดือดหลายเท่าและร้อนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเธอจะสังเกตได้ว่าน้ำพุร้อนทั้งหลายที่พุ่งผ่านรอยแยกของเปลือกโลกขึ้นมาเกือบทุกแห่ง ล้วนมีความร้อนสูงในระดับที่ต้มไข่ให้สุกได้ภายในไม่กี่นาทีเลยทีเดียว
4.ชั้นที่สี่:
เป็นชั้นของสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า “ของไหล” หรือแม็กม่า ซึ่งเกิดจากหินและแร่ธาตุต่างๆทั้งโลหะและอโลหะที่อยู่ในสภาวะหลอมละลายรวมตัวกันอยู่เพราะถูกย่างเผาด้วยความร้อนสูงเกินกว่าจะวัดค่าอุณหภูมิได้นั่นเอง ของไหลที่ว่านี้มีลักษณะเหนียวหนืดคล้ายตังเมที่ร้อนแดงและเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา พวกเจ้าจึงต้องรู้ว่าความร้อนสูงสุดในระดับเลยจุดเดือดหลายร้อยเท่าของๆไหลที่ว่านี้นั้น มันจะมีลักษณะเช่นเดียวกันกับการที่พวกเจ้าใช้ถ่านไฟร้อนๆต้มกาน้ำร้อนอยู่บนเตาจนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลานั่นแหละลูก จึงยังผลให้น้ำใต้โลกมีความร้อนสูงในระดับเลยจุดเดือดดังกล่าวแล้ว
5.ชั้นที่ห้า:
เป็นโครงสร้างทางกายภาพของดาวเคราะห์โลกชั้นในสุดหรืออาจเรียกว่า “แกนกลาง” ก็ได้ โดยแกนกลางของโลกที่ว่านี้หากเปรียบไปก็คล้ายดั่งเมล็ดในของผลไม้ประเภทผลเดี่ยวเมล็ดเดียวทั้งหลายนั่นแหละลูก บิดาแห่งเจ้ากำหนดสร้างขึ้นไว้ด้วยธาตุออกซิเจนเหลวเข้มข้นและบริสุทธิ์ 100% โดยมีลักษณะทางกายภาพก็คือ มีสีเขียวใสดั่งเนื้อของพระแก้วมรกต เมื่อสะท้อนแสงจะเป็นเงาวาวคล้ายสีของปีกแมลงทับและมีความเหนียวหนืดคล้ายตังเมซึ่งก้อนธาตุออกซิเจนชั้นในสุดนี้ จะเข้มข้นกว่าและรวมตัวกันอยู่อย่างหนืดเหนียวกว่าชั้นของๆไหลที่ห่อหุ้มอยู่ด้านนอกในชั้นที่สี่ที่กล่าวมาแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อจะรักษาคุณสมบัติความเป็นก้อนธาตุของแกนโลกเอาไว้ให้คงตัวอยู่ได้ตลอดเวลาและตลอดไปนั่นเอง

ก้อนธาตุออกซิเจนที่มีขนาดใหญ่ภายในแกนของดาวเคราะห์นี่เอง คือกลไกชิ้นสำคัญที่บิดาแห่งเจ้าจะติดตั้งเอาไว้กับดาวดวงใดก็ตามที่มีรูปธรรมมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายดำรงอยู่บนดาวนั้นเสมอ

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย...
โครงสร้างทางกายภาพของดาวเคราะห์ที่พวกเจ้าขันอาสาพระบิดาเข้ามารับผิดชอบดูแล ในบทบาทของ “เพื่อนร่วมงานกับโลก” ดังกล่าวมาแล้วนั้น เป็นการกำหนดคุณสมบัติอัตลักษณ์ต่างๆไว้ให้สอดคล้องและเกื้อกูลต่อการปฏิบัติตามพันธะสัญญา 6 ด้วยเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ในบทบาทของ “คน 2 มิติ” โดยเฉพาะ

พวกเจ้าทั้งหลายจะต้องรู้ว่า พระบิดาได้กำหนดติดตั้งกลไกภายในโครงสร้างทางชีววิทยาของเจ้าเอาไว้ให้แล้ว เพื่อให้มันเป็นเครื่องมือที่จะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ได้ในสองมิติซึ่งเป็นมิติคู่ขนานกันอยู่ คือ มิติโลกด้านกายภาพกับมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้ที่สองตาเปล่ามองไม่เห็น กล่าวคือ เมื่อใดก็ตามที่กลไกอวัยวะประสาทสัมผัสทั้ง 5 มีการสัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งใดเข้า ผัสสะที่อยู่ในรูปของคลื่นพลังงานนั้นๆก็จะถูกถ่ายทอดเข้าไปข้างในสู่จิตหยาบ ถ้าจิตหยาบรับรู้ข้อมูลการผัสสะนั้นแล้วมีการรับเอาหรือมีการเรียนรู้อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตาม มันก็จะนำไปสู่การสั่นสะเทือนของจิตกับสมองของพวกเจ้าเมื่อนั้น

สมองเมื่อถูกกระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนด้วยกระบวนการทางจิตเมื่อใด อำนาจที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ พลังแห่งการคิดอันเกิดจากความเฉลียวฉลาดทางปัญญาของเจ้านั่นแหละ และความเฉลียวฉลาดทางปัญญาไม่ว่าจะสูงหรือต่ำของพวกเจ้าก็ขึ้นกับ ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กของสมองของเจ้าในขณะนั้นๆเช่นกัน ส่วนจิตของเจ้าเมื่อมันถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าผ่านอายตนะทั้งหลายเมื่อใด การสั่นสะเทือนของจิตทั้งด้านบวกด้านลบก็จะเกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะเป็นการสั่นสะเทือนแล้วเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกและการนึกคิดของจิตเองอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ผลบั้นปลายก็คือ กลไกทางกายภาพจำพวกต่อมไร้ท่อซึ่งบิดาแห่งเจ้า ติดตั้งเอาไว้ให้เจ้าได้ใช้เป็นเครื่องมือในการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณเพื่อสานสัมพันธ์กับโลกในมิติทางพลังงานมันก็จะสั่นสะเทือนขึ้นทันที ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบเป็นบวกไปตามชนิดของการสั่นสะเทือนของจิตในขณะนั้นๆเป็นสำคัญ ซึ่งพวกเจ้าจะเรียกพลังงานที่เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนทางจิตว่า “พลังจิต” และเรียกพลังงานที่เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนทางปัญญาของสมองว่า “พลังปัญญา” หรือ คลื่นการคิดอันเป็นคลื่นผสมระหว่าง คลื่นพลังจิตกับคลื่นปัญญาที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นบวกเป็นลบกำกับอยู่ด้วย

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
หน้าที่สำคัญของพวกเจ้าในบทบาทของคนสองมิติที่ทุกคนจำเป็นต้องกระทำก็คือ เจ้าจะต้องช่วยเหลือตนเองและเพื่อนร่วมโลกคนอื่นๆซึ่งเป็นพี่ๆน้องๆของเจ้าที่คบหาสมาคมกัน ให้พยายามเข้าถึงการสั่นสะเทือนจิตและปัญญาของสมองทางด้านบวก ที่รวมเรียกว่า “สั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกสูงสุด” กันให้จงได้ โดยอาศัยบททดสอบจิตสำนึกที่พวกเจ้าเองถือติดตัวกันมาจาก “วิหารสีขาว” มาหยิบยื่นให้แก่กันตามที่ได้วางแผนการณ์กันไว้ ก่อนเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์ตั้งแต่ภพชาติแรกนั้นเป็นตัวช่วย หรือเป็นกุศโลบาย หรืออาจเรียกง่ายๆว่าเป็น “บทละคร” ที่จักต้องมาแสดงร่วมกันก็ไม่ผิดนัก

ดังนั้น เจ้าจึงต้องรู้ว่าเมื่อใดขณะใดที่เจ้าสามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกหรือจิตปัญญา จนเข้าถึงด้านบวกสูงสุดได้ เครื่องยนต์แห่งกรรมสองมิติที่เป็นรูปธรรมมนุษย์ของเจ้าก็จะทำการผลิตสร้างคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกด้านลบตามที่เคยกล่าวถึงไว้บ้างแล้วออกมาภายนอกเครื่องยนต์แห่งกรรมของเจ้าทันที เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ทางพลังงานกับส่วนที่พี่ๆน้องๆคนอื่นๆเขาขับเคลื่อนออกมาในวินาทีเดียวกันนั้น จนก่อให้เกิดเป็น “พลังงานร่วมทางจิตสำนึกด้านบวก” และจำนวน 1% ของพลังงานร่วมทั้งหมดนั้น จะถูกเหนี่ยวรั้งด้วยอะตอมของธาตุออกซิเจนภายในแกนโลกด้วยอำนาจทางไฟฟ้าด้านลบ แล้วก่อให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ (Nuclear Fission) จนอะตอมระเบิดแตกตัวออกในแบบปฏิกิริยาลูกโซ๋(Chain Reaction)คือระเบิดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่พวกเจ้ารู้สติรู้สำนึกในยามตื่นคือตอนกลางวันนั่นเอง

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
การสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของพวกเจ้าดังกล่าวแล้วนั้น มันจะยังผลให้แกนโลกหรือจิตของโลกเกิดการระเบิดนิวเคลียร์แบบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนเพราะการระเบิดของแกนโลกอย่างต่อเนื่องนี่เอง จึงเสมือนหนึ่งพวกเจ้าได้เป็นผู้สร้างจิตสำนึกของดาวเคราะห์โลกให้เกิดขึ้นมาได้ และยังผลให้โลกมีพลังอำนาจขึ้นมาได้คล้ายดั่งมีชีวิต เหมือนเช่นพวกเจ้าซึ่งอยู่ในรูปธรรมมนุษย์ที่มีชีวิตเพราะมีการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

ผลลัพธ์แห่งการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของโลก ซึ่งมีมนุษย์โลกเช่นพวกเจ้าเป็นผู้ร่วมงานหรือเป็นผู้ช่วยเหลือนี้ มี 2 ประการ คือ การช่วยให้โลกมีพลังอำนาจในตนเอง และการช่วยให้ดาวเคราะห์โลกสมดุลได้อย่างมั่นคง โดยพลังอำนาจของโลกที่ถูกพวกเจ้าช่วยกันผลิตสร้างขึ้นมาด้วยกระบวนการที่ว่านี้ ประกอบด้วย
1.ระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก ที่จะยกตัวสูงขึ้นในระดับ 6 หมื่นกิโลเมตรจากพื้นโลก
2.ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกในระดับ 14 เกาส์
3.แรงความโน้มถ่วงของโลก หรือแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของโลก
4.ก๊าซออกซิเจนที่แทรกซึมขึ้นมาจากแกนโลก
5.ความอบอุ่นที่เหมาะกับสัตว์เลือดอุ่นอย่างพวกเจ้า ซึ่งได้จากความร้อนที่แผ่ออกมาจากน้ำใต้โลกที่ถูกของไหลหรือแม็กม่าที่ร้อนแดงเกินจุดเดือดเผาหรือต้มอยู่ตลอดเวลา

ส่วนความสมดุลของดาวเคราะห์โลกที่เกิดจากความช่วยเหลือของพวกเจ้าก็คือ การเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองให้ทุกสิ่งที่เกาะติดอยู่กับโลกหรืออยู่ในระบบโลกไม่หลุดลอยจนกระเด็นออกไปจากระบบโลกนั่นเอง

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย.....
ในชั้นนี้พวกเจ้าก็ได้รับรู้กันแล้วว่า พระบิดาอนุญาตให้พวกเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อให้เข้าถึงบทบาทการเป็นคนสองมิติ ด้วยการสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกร่วมกัน เพื่อนำเอาความรักของพระบิดาที่พวกเจ้าแบกขนกันมาจากบ้าน เข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์เพื่อมอบให้กับโลก ได้ใช้เป็นพลังอำนาจในการสร้างแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของโลกให้จงได้ดังกล่าวแล้ว เจ้าจึงสามารถทำความเข้าใจด้วยตนเองได้ว่า การที่พระบิดากำหนดสร้างโลกทางกายภาพเอาไว้ดังกล่าวแล้วนั้น ก็เพื่อให้ดาวเคราะห์โลกกับตัวเจ้า สามารถทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกันได้อย่างลงตัวจนอาจกล่าวได้ว่า.....
จิตสำนึกของโลกกับจิตสำนึกของมนุษย์นั้นล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน

ป.วิสุทธิปัญญา
23-01-2013








11 มกราคม 2556

จดหมายถึงลูก ฉบับที่ 3



จดหมายถึงลูก: ฉบับที่ 3
“หกหมื่นแปดร้อยปีแห่งความล้มเหลว”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
นับเนื่องนานกาลผ่านมาได้ หกหมื่นแปดร้อยปีแห่งกาลสิ้นยุค จนล่วงเลยมาได้กว่า 800 ปีเศษตราบกระทั่งบัดนี้นั้น....นอกจากมันจะเป็นกาลเวลาในมิติโลกที่พวกเจ้าทั้งหลายได้ใช้มันเพื่อการเรียนรู้ในอันที่จะปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณ ด้วยความสัตย์ซื่อตามนัยแห่งพันธะสัญญา 6 ให้ลุล่วงไปอย่างสิ้นเปลืองแล้ว มันยังเป็นห้วงเวลาที่บิดาแห่งเจ้าเฝ้ามองและรอคอยที่จะได้ประจักษ์ต่อความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์กับการย้อนคืนกลับบ้านสู่แดนสุญตา อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนพวกเจ้าอยู่อย่างวังเวงด้วยเช่นเดียวกัน
บทสรุปเมื่อถึงกำหนดแห่งกาลสิ้นยุคก็คือ มีพี่ๆน้องๆของพวกเจ้าจำนวนเพียงนับนิ้วมือได้เท่านั้นที่เขาสามารถใช้เส้นทางที่เรียกว่าทางสายน้ำนม (ทางช้างเผือก) เดินทางสู่ประตูสวรรค์ คือ"ด่านนภาลัย" แล้วข้ามผ่านออกไปได้อย่างสง่างาม สมเกียรติ สมศักดิ์ศรี ขณะที่พวกเจ้าผู้เป็นจำนวนมวลพลังงานก้อนใหญ่ กลับยังหน่วงรั้งซึ่งกันและกันไว้ด้วยเหตุปัจจัยแห่งการหลงในมิติของมายา เพราะการเรียนรู้ที่จะใช้กลไกอายตนะทั้งหกให้เป็นและใช้มันให้ถูกต้องนั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ซึ่งยังผลให้ความสามารถในการใช้ความฉลาดทางปัญญาของสมองตกต่ำกว่าศักยภาพอันเป็นอำนาจแท้จริงที่มีอยู่ในตนร่วม 80% ตามไปด้วย สภาวะจิตพวกเจ้าทั้งมวลใหญ่ต่างจึงถูกครอบงำโดยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และความงมงาย เพราะในระบบโลกเสรีของพวกเจ้ายังขาดคัมภีร์ที่ถูกต้อง ยังขาดครูผู้เป็นองค์รวม และพวกเจ้าก็ยังขาดการรู้แจ้งได้ด้วยปัญญาในตนเองโดยแท้

“เหตุแห่งความล้มเหลว”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในภารกิจ และการกลับบ้านหรือนิพพานไม่ได้แม้ล่วงเลยวันสิ้นยุคพลังงานเก่าอันเป็นกาลสิ้นยุคของพวกเจ้ามานานปีเหล่านี้มีสาเหตุสำคัญสูงสุด คือ......
เพราะพวกเจ้าขาดปัญญาญาณซึ่งมีอยู่ในตน จึงยังผลให้เข้าถึงอภิปรัชญาที่เป็นองค์รวมซึ่งเกี่ยวเนื่องระหว่างตัวเจ้าเอง บิดาแห่งเจ้าและทุกเรื่องราวทุกสรรพสิ่งในสนามพลังงานจักรวาลสากลที่พวกเจ้าเรียกกันสั้นๆว่า "สัจธรรม" ให้โปร่งแจ้ง-ทะลุแจ้งด้วยตนเองกันไม่ได้ ทั้งๆที่พวกเจ้าหลายรูปธรรมก็มีความเพียรกันอยู่หลายภพชาติที่ผ่านมาแล้ว....
บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
พวกเจ้าจะประสบผลสำเร็จในภารกิจศักดิ์สิทธิ์ที่ขันอาสาพระบิดาเข้ามาทำหน้าที่ยังดาวเคราะห์โลกเสรีได้อย่างไรกัน ต่อให้ใช้เวลาเต็มที่สักกี่หมื่นปีก็ตาม ถ้าพวกเจ้าแต่ละคนยังเป็นเช่นที่พวกเจ้าเป็นกันอยู่เยี่ยงที่จะกล่าวต่อไปนี้......

1).แสวงหาแต่ความรู้ (ธรรมะ) จากผู้ที่ตนชอบและเชื่อว่าเป็นครูของตนได้ โดยลืมใช้หลักแห่งกาลามสูตรเป็นแนวทางแห่งการรับธรรม ท้ายที่สุดแล้วหากยังชอบและเชื่อครูอยู่ ก็กลายเป็นงมงายไปกับครูซึ่งเป็นได้แค่เพียงเจ้าลัทธิของตนเท่านั้น เพราะใครก็ตามเพียงทำให้เธอชอบและเชื่อ เขาคนนั้นก็เป็นครู(เจ้าลัทธิ)ของเธอได้อย่างง่ายดายแล้ว....

2).แสวงหาแต่ครูที่ทำให้ตนเชื่อว่าเป็นผู้รู้แจ้งในแสงธรรมนั้นๆอย่างแท้จริง...พฤติกรรมเยี่ยงนี้ดูดีกว่าที่กล่าวมาในข้อแรก เพราะดูเหมือนว่ายังพอมีพอใช้สติปัญญาในการแสวงหาครูอย่างรอบคอบระมัดระวังตัวมากขึ้น...แต่ก็น่าเศร้าใจที่เธอจำนวนมากมายก็ต้องตกเป็นสาวกของเจ้าลัทธิพวกนั้นไปเสียอีก เพราะครูที่เธอเชื่อแล้วว่าเป็นผู้รู้แจ้งของเธอนั้นดันมีความรู้ผิดๆ...รู้ไม่ถ่องแท้...เพราะครูของเธอก็ขาดการรู้แจ้งด้วยปัญญาที่ในตนเหมือนกับเธอผู้ไปยอมตนเป็นศิษย์สาวกเข้าให้นั่นแหละ....
รายนามพวกเขาที่เธอชอบยกเอาชื่อนามของเขาขึ้นมากล่าวอ้างเพื่อหมายข่มขู่พี่ๆน้องๆผู้พร่องธรรมคนอื่นๆนั้น มันเป็นตัวบ่งชี้ชัดว่านามพวกเขาที่เป็นครูของเธอ ซึ่งมีชื่อเสียง มีหน้าตาในสังคมนั้น ถูกยกย่องยอมรับด้วยสาวกส่วนใหญ่ที่ยังขาดปัญญาญาณเพื่อการรู้แจ้งทั้งสิ้น....ในขณะที่คนพิเศษหรือผู้วิเศษของเธอนั้น เป็นแค่เพียงเด็กน้อยซุกซนคนหนึ่งซึ่งกำลังคลำหาหนทางกลับบ้านอยู่เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่าพวกเขากำลังใช้วิธีลองผิดลองถูกลองทำอยู่...โดยผิดถูกนั้นต้องยอมแลกมันด้วยการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อแก้ไขเพื่อต่อยอดมันไปเรื่อยๆ ซึ่งกรรมวิธีของพวกเขา คือ สิ่งที่เขาบอกกล่าวให้เธอรู้ โดยทำตัวเป็นครูเป็นเจ้าสำนักสอนเธอเพื่อล่าสาวก อันหมายจะพิสูจน์ว่าถ้าเขามีสาวกเยอะๆซึ่งมีเธอรวมอยู่ด้วยคนนึง มันจะยังความเชื่อมั่นในการลองผิดลองถูกให้แก่เขาได้มากขึ้นนั่นเอง แต่พอเธอได้รู้เห็นเข้าด้วยเพราะคาดไม่ถึง-นึกเองไม่ได้ เธอจึงเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำให้ดู สอนให้เธอรู้มันน่าจะเป็นหนทางอันประเสริฐแน่ๆ โดยที่ทั้งครูทั้งศิษย์เองก็ยังไม่รู้จริงรู้แจ้งด้วยซ้ำไปว่า ที่รู้อยู่ปฏิบัติอยู่และสอนอยู่ เพียงเพราะเชื่อว่าใช่น่ะมันถูกต้องถ่องแท้แน่นอนแล้ว...มันจึงเป็นการซื้อขายความเชื่อเพราะว่าชอบโดยแท้...ซึ่งทั้งเจ้าลัทธิทั้งสาวกเองก็หลงผิดว่า ตนนั้นต่างได้ใช้ปัญญาพิจารณาแล้ว ทั้งๆที่ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเพียงแค่ "ตาบอดคลำช้าง” เท่านั้น

“ตาบอดคลำช้าง”

บุตรรักทั้งหลาย.....เจ้าลัทธิมิใช่พระศาสดา ที่จะสามารถเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณพวกเจ้าได้หรอก....
นิทานเรื่องตาบอดคลำช้าง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนตาบอด 5 คนที่ เปรียบเสมือนดั่งคนพิเศษหรือผู้วิเศษทั้งห้าคนที่เธอชอบกล่าวอ้างต่อผู้อื่น เพื่อแสดงว่าตนเป็นศิษย์มีครูนั่นแหละ โดยตาบอดทั้งห้าคือผู้ที่จะแสวงหาความหมายที่เป็นอัตลักษณ์ของ "ช้าง" นั่นแหละว่า ช้างน่าจะมีนิยามว่าอย่างไร?

1.พวกเขารู้ว่า ถ้าจะเรียนรู้ว่าช้างอัตลักษณ์เป็นแบบไหน ก็ต้องใช้ผัสสะ ซึ่งยังดีกว่าเจ้าลัทธิของเธอบางคนตามที่เธอว่าที่พยายามจะดับผัสสะของอายตนะภายนอกภายในทั้ง 6 อย่างใดอย่างหนึ่งนั่น เพราะวาดฝันถึงอุเบกขาแบบผิดๆนั่นแหละนะ....ทั้งๆที่คนสองมิติที่เรียกว่าคนอย่างพวกเจ้านั้น อายตนะทั้งหมดดับเมื่อใดก็ตายเมื่อนั้น อายตนะไหนบกพร่องใช้การไม่ได้ หรือไปพยายามดับมันเข้า พวกเจ้าก็จะกลายเป็นคนพิการไม่ครบอาการ 32 พระพุทธองค์ยังมิทรงอนุญาตให้บวชเลย เพราะกลไกการเรียนรู้มันชำรุด จะไม่อาจบรรลุธรรมจากการรู้แจ้งด้วยตนเองได้นั่นเอง

2.ตาบอดคนที่ 1 ไปคลำเจอขาช้าง เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนต้นไม้นี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่าต้นไม้นั้นมีลักษณะเป็นดุ้นใหญ่ผิวหยาบเหมือนขาช้างนั่นเอง...เป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆ....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนต้นไม้ที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูอีกสี่คนต่อไปนี้

3.ตาบอดคนที่ 2 ไปคลำเจอลำตัวของช้างเข้า เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนกำแพงนี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่ากำแพงมันมีลักษณะแข็งแรง ผลักเท่าไหร่ก็ไม่เขยื้อนนั่นเอง...นี่จึงเป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆอีกแล้ว....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนกำแพงที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูซึ่งเป็๋นคนตาบอดคนแรกและอีกสามคนต่อไปนี้เช่นกัน....

4.ตาบอดคนที่ 3 ไปคลำเจอเอางาช้างเข้า เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนหอกนี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่าหอกมันมีลักษณะเป็นด้ามกลมปลายเรียวแหลม นั่นเอง...นี่จึงเป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆอีกเช่นกัน....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนหอกที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูซึ่งเป็๋นคนตาบอดสองคนแรกและอีกสองคนต่อไปนี้เช่นกัน....

5.ตาบอดคนที่ 4 ไปคลำเจอเอางวงช้างที่แกว่่งส่ายอยู่ไปมาเข้า เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนงูตัวใหญ่นี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่างูมันมีลักษณะตัวกลมๆยาวเรียวๆและเลื้อยไปมานั่นเอง...นี่จึงเป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆอีกเช่นกัน....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนงูใหญ่ที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูซึ่งเป็๋นคนตาบอดสามคนแรกและอีกคนสุดท้ายต่อไปนี้เช่นกัน....

6.ตาบอดคนที่ 5 คนสุดท้ายไปคลำเจอเอาหางช้างที่แกว่่งส่ายอยู่ไปมาเข้า เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนงูตัวเล็กๆนี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่างูจะมีขนาดตัวเล็กๆ มีลักษณะตัวกลมๆยาวเรียวๆและเลื้อยไปมานั่นเอง...นี่จึงเป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆอีกเช่นกัน....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนงูเล็กที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูซึ่งเป็๋นคนตาบอดสามคนแรกและอีกคนสุดท้ายต่อไปนี้เช่นกัน....

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย.....
บรรดาเจ้าลัทธิที่พวกเจ้าชื่นชมผสมยกย่องว่าเป็นครู จนชอบยกเอาชื่อนามกับความรู้ของพวกเขามากล่าวอ้างนั้น มันไม่ต่างกันกับนิทานเรื่อง "ตาบอดคลำช้างทั้ง 5 คน" นี่หรอกนะ.....

เธอตื่นเต้นแปลกใจกับความรู้ใหม่ ที่ได้จากครูที่เสมือนเด็กซุกซนซึ่งกำลังแสวงหาการหลุดพ้นด้วยการลองผิดลองถูกอยู่ เพราะยังเป็นผู้ขาดปัญญาเนื่องจากไม่รู้ว่าจะยกระดับจิตปัญญาของตนได้อย่างไร เนื่องจากดีแต่นึกไม่เคยฝึกคิด...ใช้จิตปัญญาไม่เป็น โดยอาศัยความเป็นอัตโนมัติอันเป็นคุณสมบัติของจิตเบื้องต้น ที่บิดาแห่งเจ้ากำหนดไว้ให้ใช้เพียงแค่วัยกุมารน้อย แต่พวกเจ้าก็ใช้สอยมันมาจนชราก็ยังหาวิธีเข้าถึงการคิดแบบกดปุ่มกันไม่ได้ ทั้งครูทั้งศิษย์จึงเป็นแบบที่เป็นกันอยู่....บ้างก็ย่ำอยู่กับที่ บ้างก็สับสนกับตนเอง บ้างก็หลงทางไปนิพพาน....บ้างก็เที่ยวบอกกับใครต่อใครด้วยเข้าใจว่าตนน่ะถึงนิพพานได้แล้ว....ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่านิพพานคืออย่างไร?

 “อย่าเอาเจ้าลัทธิมาแทนพระศาสดา”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
ความจริงที่พวกเจ้าต้องรู้ก็คือ นอกจากพระศาสดาของพวกเจ้าเช่น องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น องค์เยซูคริสต์เจ้า องค์นบีมูฮัมหมัดเจ้า และพระองค์อื่นๆอีก 21 พระองค์ที่พวกเจ้าละลืมไปบ้างแล้ว มิมีผู้ใดเข้าถึงการรู้แจ้งที่สามารถกล่าวสัจธรรมอนุตรธรรมแห่งพระบิดาได้อย่างถูกต้องถ่องแท้และลึกซึ้งซึ่งบิดาแห่งเจ้ายอมรับว่าใช่แล้วใช่เลยหรอกนะ....แล้วเจ้าจะไปเชื่อเจ้าลัทธิอย่างไม่ลืมหูลืมตาได้อย่างไร...แทนที่เจ้าจะหาความรู้อยู่ด้านเดียว ใยเจ้าไม่เร่งหาปัญญาใส่ตนให้มากๆควบคู่ไปด้วยเล่า ก็บุตรเอกแห่งบิดาที่จุติมาเป็นอาจารย์เจ้ามาเป็นผู้นำทางปัญญา มากล่าวโอวาทแห่งพระบิดาเจ้าเพื่อการปิดยุค เพื่อนำพาพวกเจ้ากลับนิพพานเป็นคำรพสามในรอบหกหมื่นปีนี่แล้วนี่ไง...ใยเจ้ามิใส่ใจใยดี
เจ้าคงไม่รู้หรอกว่า....อันความรู้ของเจ้าลัทธิทั้งหลายของเจ้าที่เปรียบดั่งตาบอดคลำช้าง เมื่อคลำแล้วเหมาเอาว่าช้างเป็นแบบนั้นแบบนี้ทั้งๆที่เข้าใจผิด สรุปผิด เชื่อผัสสะผิดๆ เพราะพวกเขาขาดปัญญา ขณะที่เจ้าเองก็เบาปัญญาได้แต่แสวงหาครูที่ในโลกนี้มันขาดผู้รอบรู้แท้จริง จึงยังผลให้พวกเจ้าหลงทางไปนิพพานกันมาตลอด จนสำนึกทางวิญญาณดิ่งเหว พลอยให้ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ป่วยหนักถึงขั้นตรีฑูต เพราะพวกเจ้าใช้ความรักค้ำจุนโลกไม่ได้ และหลงทางไปนิพพานดังกล่าวแล้ว....
คนโง่มักอวดว่าตนฉลาด คนฉลาดมักถ่อมตน และไม่ก้าวล่วงใคร โดยพร้อมที่จะเรียนรู้ด้วยปัญญาในตนมากกว่าเรียนรู้เพราะว่าชอบเรียนรู้เพราะว่าอยากรู้ และเรียนรู้เพราะว่าเชื่อเท่านั้น
บุตรรักทั้งหลาย....

ในจักรวาลอันไพศาลนี้ เจ้าจงรู้ไว้ว่า นอกจากสิ่งที่เจ้ารู้เพราะอยากรู้ซึ่งอาจรู้ผิดพลาด รู้ไม่จริง รู้ไม่ถูกต้องแล้ว มันยังมีความรู้ที่เจ้าก็รู้ว่าตนยังไม่รู้ และมีความรู้ที่เจ้าไม่รู้ว่าตนจะต้องรู้อยู่อีกมากมายนัก โดยเฉพาะความรู้ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก และความรู้ที่จะนำไปสู่ทักษะการนำพาแก่นแท้ตนเองกลับบ้านคือนิพพาน ในสภาวะของการหลุดพ้นออกไปจากเอกภพ....จงอย่าหลงงมงายและหลงตนเองอีกเลย

“ต้นไม้แห่งนก”

ถ้าเจ้าเปรียบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีรากแก้วเป็นต้นทางแห่งโลก ที่จะเชิดชูลำต้นกิ่งก้านใบสู่ท้องฟ้าเข้าหาสรวงสวรรค์แห่งบิดาเจ้า อันเป็นปลายทางแห่งนิพพานแล้ว กิ่งไม้สองกิ่งใหญ่ของต้นไม้ต้นนี้ที่เจ้าว่านั้น กิ่งหนึ่งย่อมเหมาะสมกับนักบวช-นักพรต นักรบแห่งแสงสว่างซึ่งเป็นนกสีเหลืองที่ละแล้วซึ่งอาสวะกิเลส ไม่มีครอบครัว มีตัวคนเดียว ใช้ยึดเกาะ โดยผู้นำกลุ่ม คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า...ขณะที่อีกกิ่งหนึ่งเหมาะสมกับนกหลายสีที่มีครอบครัวมีภารกิจทั้งทางโลกและทางธรรมใช้ยึดเกาะ โดยมีองค์เยซูคริสต์กับองค์นบีเป็นผู้นำกลุ่มในแต่ละยุคสมัยซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงมีแก่นแท้ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยกิ่งนี้เป็นเส้นทางสู่นิพพานในบทบาทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้งโดยแท้ ดังนั้น การที่เจ้าเป็นผู้ครองเรือนเจ้าจึงต้องอยู่ในกลุ่มของนกหลากสี โดยความหลากสีก็คือ บทละครชีวิตครอบครัวและสังคมที่พวกเจ้าขีดเขียนกันมาตั้งแต่ภพชาติแรกนั่นแหละ พวกเจ้าทุกคนจึงเป็นนกประเภทเดียวกัน ต้องเกาะอยู่กิ่งไม้เดียวกัน เจ้าจะไปเลือกเกาะกิ่งไม้อีกกิ่งหนึ่งที่เป็นกิ่งของนกสีเหลืองแบบ "นกหลงฝูง" ไม่ได้....แม้ปลายกิ่งสุดท้าย จะเชิดชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้าที่เปรียบดั่งสวรรค์หรือแดนนิพพานเหมือนกันก็ตาม...

ป.วิสุทธิปัญญา
13-01-2013











10 มกราคม 2556

คลื่นพลังงานจิตด้านลบ


คลื่นพลังงานจิตด้านลบที่โลกไม่ต้องการจากมนุษย์เลย


05 มกราคม 2556

พายุโซนร้อนโซนามุ



เหตุการณ์วันนี้:
(((0)))เวลา 22:00 น.
พายุโซนร้อนโซนามุ ทวีความเร็วลมขึ้นจาก 40 เป็น 45 น็อต และทิศทางพายุล่าสุดจาก TSR พายุจะหันหัวออก ไม่ขึ้นฝั่งไทย หรือมาเลเซีย.....
(((0)))พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นไปตามรหัสละเว้นประเทศไทย หากปล่อยให้เคลื่อนเข้ามา จะสร้างปัญหาหนักให้กับภาคใต้ฝั่งตะวันออกที่ขณะนี้ปัญหาฝนตกน้ำท่วมเพิ่งจะผ่อนคลายลง ให้เดือดร้อนมากขึ้น...โปรดสังเกตติดตามพายุลูกต่อไป...เกิดแล้วจะเปลี่ยนใจเลี้ยวออกไม่เข้าไทยตามแผนที่ๆนำมาแสดงไว้นี้อีกไหม?


ทิศทางพายุโซนามุแต่เดิม:
เมื่อเวลาเย็น 18:40 น.พายุโซนร้อนโซนามุ เคลื่อนออกมาทางตะวันตกอีกเล็กน้อย แนวทางเดินพายุปรับล่าสุดจากทาง TSR ยังคงไปขึ้นฝั่งที่นราธิวาส....นราธิวาส (โปรดดูภาพประกอบ) ก่อนที่จะเลี้ยวออกเปลี่ยนทิศทางตามภาพล่างที่นำมาแสดง


ทางไปนิพพาน


ไม่อาดูร หมายความว่า ไม่เกิดความเดือดเนื้อร้อนใจให้ต้องทนทุกขเวทนา หรือการไม่เจ็บปวด เศร้าหมองและชอกช้ำทั้งกายและใจ อันเกิดจากการกระทำใดๆที่ไม่ถูกต้องของผู้อื่นต่อตัวเธอ หรืออาจกล่าวง่ายๆว่า "ไม่จิตตก" ก็ได้ เพราะสภาวะจิตตกต่ำจะฉุดรั้งให้พลังอำนาจของจิตวิญญาณเธอพลอยตกต่ำลงตามไปด้วย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการหลุดพ้นแต่อย่างใด