30 มิถุนายน 2566

คำสอน 30/06/2023

 


กฤตสติ
คือการรู้ตัวล่วงหน้าว่า
จะเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นบ้าง
จึงไม่ตกใจเมื่อได้เผชิญ

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 30/06/2023

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
เพราะมนุษย์ทุกคนถูกสร้างให้เป็น คนสองมิติ
ประกอบด้วย มิติทางพลังงาน ด้านแก่นแท้
โดยมีจิตสามนึกของ “จิตหยาบ” หรือจิตมนุษย์
ใช้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกายสังขารหรือกายหยาบ
เป็นพฤติกรรมภายนอกทั้งกายกรรมและวจีกรรม
ในลักษณะของ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
 
จิตสามนึก” ก็คือ “นึกออก นึกเอา นึกเอง”
จิตสามนึกที่ว่านี้ล้วนเป็นต้นกำเนิดหรือบ่อเกิด
ทั้งพฤติกรรมดีอันเป็นที่พึงประสงค์ของคนอื่นๆ
กับพฤติกรรมที่ไม่ดีหรือพฤติกรรมชั่วๆ
ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของคนอื่น
 
ถ้านึกดีหรือนึกบวก ก็จะคิดดี ทำดีและพูดดี
อันเป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของคนรอบข้าง
แต่มีข้อเสียก็คือจะมองโลกในแง่ดีมากเกินไป
จนอาจเป็นเหยื่อของคนไม่ดีหรือไม่ซื่อได้ง่าย
 
ถ้านึกด้านดีหรือนึกด้านบวก
ก็จะคิดในด้านดี เพื่อทำดีและพูดดีในด้านนั้นๆ
อันเป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของคนรอบข้าง
โดยมีข้อดีก็คือจะมองคนอื่นในแง่ดีที่รอบครอบ
มองคนอื่นอย่างมีหลักการบนพื้นฐานของความจริง
มองในสิ่งที่เป็นไปได้อย่างมีเหตุผลรองรับเสมอ
 
ถ้านึกลบหรือนึกชั่ว ก็จะคิดชั่ว ทำชั่วและพูดชั่ว
อันเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของคนรอบข้าง
ซึ่งมีข้อเสียก็คือจะมองคนอื่นหรือมองโลกในแง่ร้าย
ในแบบของ คนวิตกจริต คือ “ตีตนไปก่อนไข้”
จนอาจทำให้คนอื่นเสียหายทุกข์ร้อนวุ่นวายใจ
ทำให้คนรอบข้างเสียสมดุลเพราะถูกก้าวล่วง
ทำให้เกิดการ “เกี่ยวกรรม” ต่อกันและกันได้ง่าย
ถ้าไม่ใช้ มหาสติ หรือ “ธรรมชาติสมาธิ” ค้ำไว้
 
การนึกด้านลบที่ว่านี้
เป็นการนึกคิดในมุมที่มีหลักการและเหตุผลรองรับ
เป็นการมองโลกหรือมองคนอื่นๆตามความเป็นจริง
เพื่อป้องกันตนเองไว้ไม่ให้ตกหลุมพรางของคนชั่ว
ทั้งยังจะช่วยคนอื่นไม่ให้ทำผิดคิดชั่วต่อตนเองด้วย
โดยเป็นการมองโลกในอนาคตแบบ ผู้มีวิสัยทัศน์
ในลักษณะของการ “ฉลาดอ่านคน” ด้วยจิตปัญญา
ซึ่งตรงข้ามกันกับคนที่ “วิตกจริต” อย่างสิ้นเชิง
 
เพราะคนวิตกจริตจะเป็นคนชอบหวาดระแวงคนอื่น
มักมองคนอื่นในแง่ร้ายจนจิตเสียสมดุลไปตามนั้น
ทั้ง ๆที่ในความเป็นจริงคนที่ถูกมองในแง่ร้ายนั้น
ตนก็ยังไม่ได้พิสูจน์ตรวจสอบให้แน่ชัดเลยว่า
เขาทำผิดคิดบาปชั่วต่อตัวเองไปแล้วจริงหรือไม่
แต่เกิดอาการ “จิตตก” ไปเพราะนึกลบเสียก่อนแล้ว
 
คนที่มองโลกหรือมองคนอื่นทั้งนึกบวกและนึกลบ
ที่ทำให้ทั้งตนเองและคนรอบข้างเสียหายได้ง่ายๆ
มักจะเกิดจาก “นิสัยการมองโลก” ที่ไม่ถูกต้อง
จนเกิดความเคยตัวเพราะมิได้ใช้สติและปัญญา
ทำให้เกิดปัญหาการดำเนินชีวิตในสังคมอยู่เนืองๆ
 
ดังนั้น
จึงเป็นหน้าที่ของพวกคุณเองเมื่อรู้ความจริงนี้แล้ว
จักต้องฝึกนึกก่อนคิดคิดก่อนพูดและคิดก่อนทำ
ด้วยการนึกด้านบวกเพื่อการคิดและทำด้านบวก
ทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างคุณทุกคนไว้เสมอ
โดยต้องใช้สติปัญญาและหรือปัญญาญาณ
นำการแสดงออกหรือกระทำภายนอกที่เคยตัว
แทนการใช้อารมณ์รู้สึกกับนิสัยการนึกลบของจิต
เพื่อการหมุนธรรมจักรในตนเองร่วมกับผู้อื่นให้ได้
 
การนึกด้วยจิตก่อนการคิดด้วยสมอง
แล้วกลั่นกรองออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอก
มันคือพฤติกรรมการเริ่มต้นที่จิตสัมฤทธิ์ที่กาย
อันเป็นบทบาทของการ “คนสองมิติ” ให้เข้ากัน
ซึ่งเราหมายถึง การหมุนธรรมจักร นั่นแหละ
ถ้าคุณสามารถใช้ความรักบริสุทธิ์เป็นตัวตั้งต้นได้
ขันธ์ห้าของคุณก็จะผลิตพลังงานบริสุทธิ์ออกมา
เพื่อช่วยค้ำจุนความสมดุลของโลกนี้ได้ในทันที
 
เพราะมนุษย์ถูกสร้างให้เป็นคนสองมิติ
มนุษย์จึงต้องสั่นสะเทือนจิตสามนึกให้ถูกต้อง
เพื่อสั่นสะเทือนเป็นมโนกรรมให้ถูกต้องเหมาะสม
แล้วใช้มโนกรรมที่ถูกต้องนั้นขับเคลื่อนออกมา
เป็นพฤติกรรมภายนอกคือวจีกรรมและกายกรรม
รวมเรียกว่าการสั่นสะเทือนทางจิตสามนึก
เพื่อช่วยสร้างเงื่อนไขด้านดีที่พึงประสงค์ของคนอื่น
ให้เขาทั้งหลายสั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวกตาม
เพื่อการหมุนธรรมจักรด้วยรักบริสุทธิ์ไปกับคุณด้วย
 
นอกจากนั้นพระเจ้าหรือพระผู้สร้าง
ยังทรงติดตั้งกลไกอีกชิ้นหนึ่งเรียกว่า จิตใต้สำนึก
ให้คอยสั่นสะเทือนไปตาม “จิตทั้งสามนึก” เสมอ
เพื่อให้เกิดเป็นการกระทำในมิติของจิตวิญญาณด้วย
เมื่อคุณสั่นสะเทือนเป็นพฤติกรรมในมิติแห่งเนื้อหนัง
คุณก็สร้างพฤติกรรมในมิติของแก่นแท้ควบคู่ไปด้วย
มิติของแก่นแท้จึงเป็นมิติคู่ขนานกันกับมิติโลก
ซึ่งมันเป็นกระบวนการอัตโนมัติที่มนุษย์จะต้องรู้
 
ด้วยเหตุนี้เอง
ถ้าคุณทำผิดคิดชั่วกับใครในมิติโลกทางกายภาพ
จิตวิญญาณคุณจักต้องรับผิดชอบในผิดบาปนั้นเสมอ
แม้ตัวเองมิได้เป็นผู้กระทำในผิดบาปนั้นแต่อย่างใด
โดยความผิดบาปนี้จิตวิญญาณคุณจะต้องรับผิดชอบ
แม้ว่าจิตหยาบใช้จิตสามนึกไม่ถูกต้องกระทำผิดบาป
ด้วยการสั่นสะเทือนเป็นมโนกรรมด้านลบอยู่ข้างใน
ซึ่งเป็นการ ก้าวล่วงผู้อื่น ด้วยสันดานหรือขาดสติ
จิตวิญญาณคือตัวตนแท้จริงของคุณก็ต้องรับกรรมนั้น
โดยจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้
 
กระบวนการทำงานร่วมของจิตสามนึกกับจิตใต้สำนึก
เป็นกระบวนการที่แฝงเร้นใน 5 ขั้นตอนหรือ ขันธ์ 5
ที่เราพอจะนำมาอรรถาธิบายแบบสรุปย่อเอาไว้ในที่นี้
ซึ่งในอดีตมนุษย์โลกทั้งหลายยังไม่รู้ว่าตนไม่รู้กันอยู่
 
ตัวอย่างเช่น
ไม่รู้ว่าทำไมจึงโกหกตอแหลหรือทำผิดสัจจะไม่ได้
ไม่รู้ว่าผิดสัจจะคือการพูดหรือทำไม่ตรงกับที่นึกที่คิด
ไม่รู้ว่าทำไมจึงปฏิเสธกฎแห่งกรรมของพระเจ้าไม่ได้
ไม่รู้ว่าทำไมจึงหนีกฎแห่งกรรมไปไม่พ้น
ไม่รู้ว่าก่อกรรมไว้ในอดีตส่งผลถึงปัจจุบันได้อย่างไร
ไม่รู้ว่า เวรกรรม ต่างจาก บาปกรรม อย่างไรบ้าง
ไม่รู้ว่าทำไมจึงทำผิดศีลห้าของพระพุทธองค์ไม่ได้
 
ถ้าคุณตั้งใจอ่านพระโอวาทนี้ให้จบหลายๆเที่ยว
จะเข้าใจสิ่งที่ไม่เคยรู้และเข้าใจตนเองมากขึ้นด้วย
โดยเฉพาะเข้าใจเรื่องจิตสามนึกกับจิตใต้สำนึก
มันจะช่วยให้คุณเป็นมนุษย์ที่สมดุลเร็วขึ้นกว่าเดิม
เพราะสามารถใช้จิตสามนึกได้อย่างถูกต้อง
แทนที่จะถูกหลอกให้ใช้จิตใต้สำนึกแบบมั่วซั่ว
แทนที่จะถูกหลอกให้ใช้กิเลสกับความก้าวร้าว
อันเป็นสัญชาติญาณสัตว์พวกที่ไม่มีจิตหยาบ
ซึ่งมีทั้งสัตว์โลกและสัตว์ในต่างเผ่าตาว
คุณจะถูกเรียกว่ามนุษย์ได้อย่างเต็มคำมากขึ้น
 
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
 
ปัญญาวิสุทธิ์
30/06/2566

29 มิถุนายน 2566

คำสอน 29/06/2023

 


ถ้าคุณดับการเกิดดับ
ของกิเลสคือความรู้สึกได้
ตัณหากับอารมณ์ขยะจะดับด้วย
นี่คือนิพพานก่อนตาย

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 29/06/2023

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
#มรรควิถีจิตจักรวาล
เป็นเส้นทางการปฏิบัติธรรมของจิตหยาบคุณ
ที่จะนำพาจิตวิญญาณตัวตนแก่นแท้ของคุณเอง
หลุดพ้นออกไปจากเอกภพที่เป็นห้องทดลองนี้
เพื่อกลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณ
ที่คุณจากมาเสียนานจนหลายคนจำไม่ได้แล้วว่า
บ้านเกิดอยู่ไหนจะกลับบ้านหนทางใดและวิธีใด
 
ครั้นจะหากูรูพวก “กูรู้” ช่วยชี้ทางให้ก็ยิ่งสับสน
เพราะประดากูรู้แต่ละคนกลับชี้ช่องไม่เหมือนกัน
ซึ่งเข้าใจยาก “ลำบากเชื่อ” เมื่อได้ฟังแต่ละคน
โดยเฉพาะคำว่า #นิพพาน คำเดียวนี้ก็ตีไม่แตก
ต่างคนต่างสำนักก็ให้ความหมายแปลกแยกกัน
จึงไม่น่าจะแปลกใจที่ใครต่อใครพากันท้อแท้ใจ
เพราะเข้าใจผิดคิดว่า “นิพพาน” เป็นงานยาก
เนื่องจาก “กูรู้” ขยันทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นยาก
ทั้งๆที่ตัวตนคนสอนเองก็ยังไม่เคยถึงนิพพานเลย
 
เราใช้คำว่า “เข้าถึง” #นิพพาน นี้
คุณอย่าไปคิดแบบจิตมนุษย์กันนะว่า
นิพพานหมายถึงดินแดนหรือสถานที่ใดที่หนึ่ง
ซึ่งคุณต้องเดินทางไปให้ถึงพิกัดตำแหน่งนั้นให้ได้
พวกคุณจึงถูกหลอกให้หลงทางด้วยการถามคุณว่า
แดนนิพพานอยู่ที่ไหน”
นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา”
ซึ่งเป็นคำถามลวงเพื่อให้คุณหลงทางมาตลอด
 
คำว่า “เข้าถึง” ตามนัยความหมายที่เรากล่าวนี้
เราหมายถึงตัวคุณโดยจิตหยาบและจิตวิญญาณ
บรรลุเป้าหมายสูงสุดของ #สภาวะนิพพาน
ด้วย #คุณสมบัติสำคัญบางประการ กันได้แล้ว
เรามิได้หมายความว่าคุณต้องเดินทางไปถึงที่นั่น
ด้วยจิตหยาบกับจิตวิญญาณของคุณแต่อย่างใด
 
พวกคนนำทางตาบอดสาวกของผีโสโครก
ใช้สองคำถามที่เรายกมากล่าวไว้ข้างต้นนั้น
เพื่อจูงคนที่หลับตาเดินตามคนนำทางตาบอด
ให้ฝักใฝ่ที่จะไปยังแดนสวรรค์มายาที่มันไม่มีจริง
โดยมีคำอธิบายรองรับว่าใครตายแล้วไปเกิดที่นั่น
แสดงว่าจิตวิญญาณของคนนั้นเข้าถึงนิพพานแล้ว
ซึ่งคำว่านิพพานของพวกเขาคือตายแล้วหายจ้อย
อันเป็นนิพพานแบบตาลยอดด้วนกันดื้อๆนั่นแหละ
นั่นคือการตายแล้วไม่กลับมาผุดเกิดบนโลกอีก
ไม่ต่างจากจิตวิญญาณตกนรกลึกสุดมิได้ผุดเกิด
 
คุณจะต้องรู้เอาไว้ว่า
จิตวิญญาณเป็นกล่องพลังงานกล่องหนึ่ง
ซึ่งมีรูปทรงเรขาคณิตเป็น 6 เหลี่ยมมุม
ที่สองตาเปล่าของมนุษย์นั้นมองไม่เห็น
แม้คุณจะมองไม่เห็นแต่จิตวิญญาณนั้นมีอยู่จริง
และพลังงานก็เป็นสรรพสิ่งเดียวเท่านั้น
ที่จะสูญหายไปไหนไม่ได้เลยคุณ
เมื่อมาเกิดเป็นรูปธรรมมนุษย์จึงต้องมีกายหยาบ
ใช้ปกคลุมหุ้มห่อจิตวิญญาณเอาไว้ข้างในไงล่ะ
 
ดังนั้น
เมื่อจิตวิญญาณของคุณนั้นมีตัวตนอยู่จริง
จิตวิญญาณจึงไม่ต่างจากลูกตุ้มนาฬิกาแบบแขน
ถ้าคุณยกแขนลูกตุ้มให้มันไปลอยสูงอยู่ด้านหนึ่ง
สมมติว่าด้านนั้นเป็น “บ้านเกิด” ของจิตวิญญาณ
ซึ่งเปรียบได้กับกาลเวลาในอดีตอันเป็นที่มา
เมื่อลูกตุ้มแกว่งลงมาก็จะเคลื่อนผ่านด้านล่างสุด
ซึ่งเปรียบได้กับกาลเวลาในปัจจุบันที่เป็นมนุษย์
 
ถ้าแรงเหวี่ยงมีมากพอลูกตุ้มนั้นก็จะเหวี่ยงต่อไป
เมื่อเหวี่ยงแกว่งไปจนสุดทางสูงของอีกด้านหนึ่ง
ซึ่งเปรียบได้กับกาลเวลาในอนาคตหลังตายแล้ว
ลูกตุ้มนาฬิกานั้นยังต้องเหวี่ยงกลับมาทางเดิม
เพื่อเคลื่อนผ่านจุดล่างสุดที่เป็นจุดปัจจุบัน
แล้วแกว่งต่อไปในทางเดิมเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
แปลว่าจิตวิญญาณนั้นต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่
วนเวียนซ้ำซากอยู่เช่นนั้นเองถ้ายังมีแรงเหวี่ยงอยู่
 
คำว่า “แรงเหวี่ยง” นี้หมายถึงแรงโน้มถ่วงของโลก
ที่กระทำต่อลูกตุ้มนาฬิกาขณะถูกยกขึ้นสูงนั่นเอง
จิตวิญญาณคุณที่เป็นกล่องพลังงานก็ไม่ต่างกัน
โลกจะดึงดูดเหนี่ยวรั้งจิตวิญญาณให้มาเกิดใหม่
ถ้าจิตวิญญาณคุณยังมีเสบียงกรรมติดตัวอยู่
คือมีน้ำหนักเกินพิกัดที่พระเจ้าทรงกำหนดเอาไว้
คุณจะถูกโลกเหนี่ยวรั้งให้กลับมาเกิดใหม่อยู่อีก
เพื่อชำระเสบียงกรรมที่ทำให้น้ำหนักตัวเกินนั้นทิ้ง
หมายความว่าแรกมาเกิดจิตวิญญาณหนักเท่าใด
เมื่อตายแล้วคุณจะแบกขนอะไรติดตัวไปอีกไม่ได้
มาเท่าไหร่ต้องกลับไปเท่านั้น
 
แต่จิตวิญญาณคุณที่ถูกหลอกให้
นิพพานแบบตาลยอดด้วนโดยหายตัวไปดื้อๆนั้น
แท้จริงแล้วมิได้หายไปไหนจากเอกภพนี้ได้
แต่ถูกหลอกให้ “หลงทาง” ไปนอนค้างอยู่บนรั้ว
ให้ไปหลงเพลินอยู่กับทิพยวิมานบนสวรรค์มายา
เพราะจิตวิญญาณเสพติดกิเลสที่จิตหยาบพาทำ
ขณะมีภพชาติเป็นมนุษย์เมื่อก่อนสิ้นอายุขัย
พระเจ้าทรงเรียกว่าอยู่ในสภาวะ #หลุดลอย
 
คนบนโลกไม่อาจรู้เห็นได้ว่า
จิตวิญญาณผู้หลงทางพวกนี้กลับมาเกิดอีก
ไม่ต่างจากแขนลูกตุ้มนาฬิกาที่แกว่งขึ้นไปแล้ว
มันแกว่งไปจนลับหูลับตาหายตัวไปเฉยเลย
จึงหลงเชื่อสาวกของพวกผีโสโครกที่หลอกว่า
จิตวิญญาณรูปธรรมนั้นเข้าถึงนิพพานแล้ว
ที่ไหนได้พวกเขาไปนั่งนอนเสพกิเลสอยู่บนนั้น
สบายบรื๋อสะดือโบ๋กันสลอนเลยทีเดียวเชียว
 
เราจึงเตือนคุณว่านิพพานมิใช่ตายแล้วหายสูญ
แขนลูกตุ้มนาฬิกาที่แกว่งขึ้นแล้วยังต้องแกว่งลง
ถ้าแกว่งขึ้นไปสุดทางแล้วหายไปเลยคือผิดปกติ
ยกเว้นแขนของลูกตุ้มนั้นมันชำรุดหรือหลุดออก
ยังผลให้นาฬิกาเรือนนั้นไม่มีแขนแกว่งลูกตุ้มอีก
ซึ่งหมายถึงจิตวิญญาณนั้นหมดหน้าที่แกว่งแล้ว
ลูกตุ้มก็จะหลุดออกจากแขนที่ใช้เหวี่ยงแกว่งไป
 
#นาฬิกา ในที่นี้เราหมายถึงโลกเสรีที่คุณมาเกิด
#แขนสำหรับแกว่งลูกตุ้ม เราหมายถึงแรงดึงดูด
ที่โลกและกาแล็กซี่ธารสายน้ำนมกระทำต่อคุณ
ส่วนแรงเหวี่ยงขึ้นลงของแขนลูกตุ้มนั้นหมายถึง
แรงโน้มถ่วงของโลกและพลังทางจิตวิญญาณ
ที่ตัวคุณสั่นสะเทือนเพื่อหมุนธรรมจักรขณะมีชีวิต
สองแรงร่วมกันจะทำให้การแกว่งนั้นต่อเนื่องได้
แต่ถ้าโลกและเอกภพเสียสมดุล
รวมทั้งตัวคุณล้มเหลวในการหมุนธรรมจักร
จิตวิญญาณคุณจะไม่ต่างจากแขนลูกตุ้มนาฬิกา
ที่มันจะแกว่งไปแกว่งมาขึ้นๆลงๆช้าลงเรื่อยๆ
จนในที่สุดมันก็จะหยุดแกว่งตรงตำแหน่งล่างสุด
หมายถึงการตายของจิตวิญญาณในปัจจุบันขณะ
เพราะไร้ซึ่งแรงเหวี่ยงแกว่งตัวเองแล้ว
 
ถ้าจะให้มันแกว่งเหมือนเดิมอีก
ก็ต้องช่วยยกแขนลูกตุ้มนาฬิกาเรือนนั้นให้สูงขึ้น
เพื่อให้มันเริ่มกระบวนการแกว่งกันใหม่
ก็ไม่ต่างจากการตายแล้วเกิดใหม่ดีๆนี่เอง
 
เราจะกล่าวความจริงให้รู้ว่า
ถ้าคุณจะทำตัวเองให้มีพลังอำนาจในการแกว่ง
คุณจึงต้องนิพพานกิเลสในจิตหยาบให้สิ้นสูญ
เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคในการแกว่งขึ้นๆลงๆ
เพื่อมิให้จิตวิญญาณมีน้ำหนักมากเกินพิกัด
เพราะถ้าหนักมากก็จะแกว่งยากขึ้นกว่าเดิม
เนื่องจากโลกจะดึงดูดเหนี่ยวรั้งลงไปในแนวดิ่ง
 
คุณสมบัติของผู้จะเข้าถึงสภาวะนิพพานได้นั้น
จึงต้องดับการเกิดดับของกิเลสให้สิ้นสูญไป
เพราะกิเลสทำให้คุณหมุนธรรมจักรไม่ได้เลย
กิเลสยังเป็นเหตุให้เกิดการก่อผลกรรมขึ้นมาใหม่
ผลกรรมนี่แหละที่ทำให้น้ำหนักมวลจิตวิญญาณ
มันเพิ่มขึ้นมาจากเดิมที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้
ทั้งกฎแห่งกรรมทั้งอายุขัยทั้งสังสารวัฏมาเพียบ
เพราะคุณเสพติดกิเลสตามพวกผีโสโครกหลอก
พระเจ้าจึงทรงบัญชาให้เรากลับมาบอกพวกคุณ
ด้วยอนุตรธรรมความจริงสูงสุดเหล่านี้
 
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
 
ปัญญาวิสุทธิ์
29/06/2566

28 มิถุนายน 2566

คำสอน 28/06/2023

 


แดนนิพพานคือแดนสุญตา
แดนสุญตาเป็นดินแดนของผู้ที่
อิ่มเอิบอยู่กับความว่าง
ซึ่งเป็นบ้านเกิดของจิตวิญญาณ

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 28/06/2023

(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
อุปสรรคสำคัญที่สุดของชาวดาวโลกยุคปัจจุบันนี้
คือสนิมของจิตหยาบที่เรียกว่า #กิเลส นั่นแหละ
ที่เรียกว่า “สนิม” ของจิตหยาบก็เป็นเพราะเหตุว่า
มันเป็นดั่งสนิมที่เกาะกัดเนื้อเหล็กจนผุกร่อนชำรุด
เมื่อใดที่คุณพยายามจะเคาะเหล็กเอาสนิมนั้นออก
เนื้อเหล็กก็จะหลุดล่อนออกมาพร้อมกับสนิมด้วย
 
กิเลสที่เกาะติดกับจิตหยาบของคุณก็ไม่ต่างกัน
ยิ่งชาตินี้ถ้าคุณเกิดมานานปียิ่งมีอายุมากเท่าใด
สนิมกิเลสนี้จะยิ่งฝังเข้าไปอยู่ในจิตหยาบจนแน่น
เมื่อฝังแน่นจนเป็นเนื้อเดียวกันมันก็จะทำให้ชำรุด
เมื่อจิตหยาบชำรุดแสดงว่าคุณเป็นผู้เสพติดกิเลส
เมื่อเสพติดกิเลสเซลล์อวัยวะร่างกายคุณทั้งระบบ
ก็จะเกิดอาการเสื่อมเพราะมีแต่ประจุลบไหลผ่าน
เม็ดเลือดแดงจะแบกขนขยะประจุลบไปให้เซลล์
แม้เซลล์จะได้รับสารอาหารและออกซิเจนมิได้ขาด
แต่เซลล์ทุกเซลล์จะถูกประจุไฟฟ้าลบทำให้เสื่อม
 
ประจุลบในกระแสเลือดในร่างกายของคุณนั้น
เปรียบได้ดั่งขยะโสโครกที่อยู่ในถังปฏิกูลนั่นเอง
ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานให้มันหมักหมมจนเน่าเหม็น
มันก็จะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคขึ้นมาได้
คุณก็จะกลายเป็นคนขี้โรคมีร่างกายไม่แข็งแรง
เป็นคนผอมแห้งแรงน้อยสามวันดีสี่วันไข้นั่นแหละ
จนร่างกายก็ทรุดโทรมลงทรงกายต่อไปไม่ไหว
จึงล้มหมอนนอนป่วยแล้วก็ตายไปในที่สุด
เพราะกายสังขารหรือกายหยาบใช้การไม่ได้แล้ว
จิตวิญญาณคุณจึงจำต้องสละมันทิ้งไปในที่สุด
ที่พวกคุณเรียกว่า “ทิ้งกายสังขาร” นั่นเอง
 
ถ้ากายหยาบหรือกายสังขารยังใช้งานได้ดีอยู่
จิตวิญญาณจะไม่มีวันละทิ้งไปอย่างไม่ใยดีหรอก
เพราะเสียดายจิตหยาบที่ยกระดับจนถึง 4D แล้ว
ต้องทิ้งขว้างมันไปเพื่อเริ่มต้นใหม่ในชาติหน้า
ทำให้เสียเวลาที่ผ่านไปในการเกิดเป็นมนุษย์ยิ่งนัก
แต่ก็จำต้องยอมเพราะตายแล้วจะกลับมาเกิดใหม่
มันก็มิใช่สิ่งที่จะเป็นเรื่องง่ายดายเท่าใดนัก
เพราะต้องเสียเวลาไปในระหว่างภพชาติอีกด้วย
 
เวลาที่จิตวิญญาณคุณต้องเสียไประหว่างภพชาติ
ก่อนจะได้รับโอกาสให้มาเกิดใหม่ในชาติต่อไป
มันจะเสียเวลาไปกับ 3 ประการ คือ
 
1.จิตวิญญาณของคุณต้องเสียเวลาไปลงนรก
เพื่อเข้ากระบวนการ “ไซโคโชว์” ของ #พระยายม
ช่วยซ่อมแซมจิตวิญญาณที่ป่วยด้วยอาการหลงมิติ
อันเกิดจาก “จิตหยาบ” เสพติดกิเลสจนป่วยหนัก
จนยังผลให้แพร่เชื้อเข้าไปถึงจิตวิญญาณข้างใน
 
เพราะขณะที่ยังเป็นมนุษย์ไม่ได้เข้าชำระจิตหยาบ
ด้วยกระบวนการไซโคโชว์ของ “ปริญญา” มาก่อน
ปล่อยให้จิตหยาบป่วยหนักจนจิตวิญญาณป่วยตาม
จึงมีวิธีเดียวคือต้องถูกส่งลงไปบำบัดเยียวยาในนรก
ถ้าจิตวิญญาณป่วยหนักมากก็ต้องใช้เวลารักษานาน
ถ้าจิตวิญญาณป่วยน้อยก็จะใช้เวลารักษาไม่นาน
 
2.จิตวิญญาณของคุณเสียเวลากับการ “หนีนรก”
เพราะในวันตายของคุณจิตวิญญาณเกิดตกใจกลัว
ในทันทีที่พบเจอกับ “ยมทูต” คือทูตนรกของพระเจ้า
ซึ่งมีหน้าตาดุดันแข็งกร้าวพราวไปด้วยความน่ากลัว
อีกทั้งจิตวิญญาณคุณรับรู้ก่อนตายมาบ้างแล้วว่า
ภพภูมินรกนั้นมีแต่เรื่องน่ากลัวมีแต่เรื่องทุกข์ทรมาน
 
ตอนก่อนตายคุณไม่เคยเชื่อว่านรกนั้นมีจริง
คุณจึงไม่กลัวการทำผิดบาปไม่ใส่ใจการปฏิบัติธรรม
เพื่อทำการชำระกิเลสปฏิเสธตัณหาละอารมณ์ขยะ
ไม่ยอมเข้ากระบวนการ #ไซโคโชว์ ของ “ปริญญา”
ซึ่งเป็นกระบวนการที่พระเจ้าประทานให้เรามาช่วย
ชำระจิตสามนึกพี่ๆน้องๆทั้งหลายที่ต้องการให้ช่วย
ด้วยวิธีการในมุมกลับกับรูปแบบที่ใช้กันอยู่ในนรก
อีกทั้งคุณจำได้ว่าตนเองทำบาปทำกรรมหนักไว้มาก
หากไปลงนรกก็กลัวความทุกข์ทรมานที่ต้องเผชิญ
จึงหลบหนียมทูตเพื่อหนีนรกเหมือนนักโทษหนีคุก
 
การผละหนีนรกเหมือนนักโทษหนีคุกนั้นคือความโง่
เพราะการลงนรกนั้นเป็นการให้พระยายมช่วยเหลือ
เพื่อบำบัดรักษาอาการป่วยของจิตวิญญาณของคุณ
ให้กลับสู่ความสมดุลเป็นปกติดังเดิมคือหายป่วย
เมื่อหายป่วยแล้วจิตวิญญาณก็จะได้รับโอกาสให้
พ้นจากนรกมาเกิดเป็นคนสองมิติอยู่ในระบบโลก
เพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์ด้วยการหมุนธรรมจักร
เพื่อทำหน้าที่ของตนในชาติใหม่ต่อไปได้อีกครั้ง
 
การไปลงนรกจึงมิใช่การไปตายหรือถูกทำร้าย
ตามที่คนนำทางตาบอดบิดเบือนให้พวกคุณ “กลัว”
 
การหนีนรกคือการหนีโรงพยาบาลหรือหนีหมอ
เพราะกลัวเข็มฉีดยากลัวการกินยากลัวการฉีดยา
ซึ่งเป็นการนึกคิดที่ไร้สาระอย่างคนไร้สตินั่นแหละ
เพราะหากคิดให้รอบครอบแล้วคุณจะรู้ได้เองว่า
การหนีอันเกิดจากความกลัวอย่างขาดสติที่ว่านี้
มันไม่ต่างจากการที่คุณหนีคุกเพราะกลัวจะติดคุก
จะหนีนานแค่ไหนสักวันหนึ่งคุณยังต้องเข้าคุกอยู่ดี
เพราะคดีกรรมความผิดของคุณนั้นมันยังติดตัวอยู่
 
3.จิตวิญญาณของคุณที่ชำระจิตวิญญาณแล้ว
จะได้รับอนุญาตจากท่านพระยายมให้พ้นออกมาได้
แต่ถ้าจิตวิญญาณคุณหลงมิติอยู่หลายกรรมหลายคดี
โดยเฉพาะคดีกรรมที่ทำให้หลงมิติหนักมากที่สุด
จิตวิญญาณคุณก็จะถูกส่งลงไปในแดนนรกที่ลึกกว่า
เพื่อให้หมอที่เชี่ยวชาญอาการนั้นๆช่วยเยียวยาให้
 
โดยกรรมเบาๆจะถูกชำระด้วยการบำบัดกันก่อน
ส่วนกรรมที่หนักกว่าจนถึงหนักที่สุดจะบำบัดทีหลัง
นั่นคือเริ่มจากนรกขุมที่หนึ่งลึกลงไปจนถึงขุมที่ 16
ซึ่งนรกตั้งแต่ขุมที่ 14 ลงไปจนถึงขุมที่ 16 นั้น
จิตวิญญาณจะไม่มีโอกาสกลับขึ้นมาเกิดใหม่ได้อีก
ส่วนนรกขุมที่ 16 คือตกนรกหมกไหม้เพราะร้อนจัด
เนื่องจากพิกัดของมันคือ “แกนโลก” นั่นเอง
 
จิตวิญญาณใดที่ก่อกรรมทำบาปไว้ไม่หนักมาก
จะได้รับโอกาสให้ออกจากนรกได้เร็วกว่าใครอื่น
เมื่อออกมาแล้วยังต้องตั้งแถวรอคิวเพื่อเกิดใหม่อีก
เพราะการย้อนกลับมาเกิดใหม่ของแต่ละรูปธรรมนั้น
เป็นการกลับมาเกิดใหม่เพื่อแก้ไขปรับปรุงตนเอง
ในความผิดบาปจากกรรมเก่าที่เคยคิดผิดทำผิดไว้
จะได้ตัดสินใจใหม่แก้ไขปรับปรุงใหม่ให้มันถูกต้อง
โดยส่วนใหญ่นั้นจะสอบตกเพราะกิเลสด้วยกันทั้งสิ้น
คำว่าสอบตกในที่นี้หมายถึงการ #หมุนกรรมจักร
ตอบสนองเงื่อนไขทั้งบวกหรือลบที่คนอื่นยื่นมาให้
ทั้งจากการขาดสติและสันดานเคยตัวนั่นเอง
 
การรอคอยคิวการเกิดใหม่ที่ว่านี้นั้น
มีหลักความจริงที่คุณต้องรู้เอาไว้ในที่นี้ก็คือ
รูปธรรมจิตวิญญาณใดที่มีกรรมต้องแก้ไขมากกว่า
รูปธรรมนั้นจะ “ได้รับโอกาสให้มาเกิดก่อน” เสมอ
รูปธรรมจิตวิญญาณใดมีกรรมที่ต้องแก้ไขน้อยกว่า
รูปธรรมนั้นก็จะได้รับโอกาสให้มาเกิดทีหลังเสมอ
 
ดังนั้น
การเสียเวลาไปในระหว่างภพชาติของจิตวิญญาณ
จึงล้วนมีสาเหตุมาจากทั้งสามเงื่อนไขนี้ทั้งสิ้น
 
เพราะความจริงมันเป็นของมันเช่นนี้แหละคุณ
สังคมชาวดาวโลกในปลายยุคพลังงานเก่าขณะนี้
ผู้คนส่วนใหญ่จึงมีจิตสามนึกตกต่ำลงมากยิ่งขึ้น
จนพบหาคนดีที่ชอบธรรมแท้จริงได้อย่างยากเย็น
ผู้ที่มีความสมดุลทางจิตวิญญาณยิ่งหายากมากขึ้น
ดาวเคราะห์โลกทั้งระบบจึงเสียสมดุลรุนแรงขึ้น
จนภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจะหนักขึ้นมากขึ้นชัดเจนขึ้น
ในอีกไม่ช้าพวกคุณจะต้องทำสงคราม 2 แบบคือ
 
สงครามแบบแรกคือสงครามกลางเมือง
สงครามแบบที่สองคือสงครามกับภัยพิบัติ
 
เราเตือนคุณแล้ว!
 
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
 
ปัญญาวิสุทธิ์
28/06/2566

27 มิถุนายน 2566

คำสอน 27/06/2023


จงทำตนให้คนอื่นรัก
จงรักทุกคนให้ได้แม้จะไม่น่ารัก
เพื่อหมุนธรรมจักรร่วมกันไว้
จิตหยาบของทุกคน
จะเพิ่มมิติจาก 4D เป็น 5D

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 27/06/2023


(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
หนึ่งใน “พันธะสัญญา 6”
ซึ่งจิตวิญญาณแก่นแท้คือตัวตนจริงของคุณ
ที่ขันอาสาพระเจ้าเข้ามาเกิดเป็น #คนสองมิติ
คือคนตนเองโดยหมุนธรรมจักรเพื่อเป็นมนุษย์
เมื่อทำหน้าที่อยู่ในระบบโลกเสรีนี้ในข้อที่ว่า
#จะสืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้ นั้นหมายถึง
 
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดในระบบโลกแล้ว
ทุกคนจะต้องมีครอบครัวต้องสร้างครอบครัว
ทุกคนจะต้องมีครอบครัวคือมีสามีหรือมีภรรยา
เมื่อได้ครองคู่เป็นสามีภรรยากันเรียบร้อยแล้ว
ก็ต้องนอนมุ้งเดียวกันต้องกินข้าวหม้อเดียวกัน
ในที่สุดก็มีจิตวิญญาณผู้มาใหม่มาเกิดเป็นบุตร
ทั้งสามคนจึงเป็นเสมือนถูก “ครัว” ครอบเอาไว้
ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า #ครอบครัว เดียวกัน
 
คุณคงจำได้กันเป็นอย่างดีว่า
การสร้างครอบครัวนั้นต้องสร้างขึ้นด้วยความรัก
จำนวนคนในครอบครัวที่เป็นพ่อแม่ลูกนั้น
อย่างน้อยก็เริ่มต้นตั้งแต่สามคนขึ้นไปทั้งสิ้น
เพื่อให้ทั้งสามคนร่วมกันทำหน้าที่ในสองมิติคือ
หน้าที่ทางโลกอันเป็นฝ่ายเนื้อหนังในทางสังคม
นั่นคือการเลี้ยงดูอุ้มชูกันการช่วยเหลือค้ำจุนกัน
กับหน้าที่ทางจิตวิญญาณคือใช้ความรักบริสุทธิ์
หมุนธรรมจักรร่วมกันเพื่อผลิตพลังงานให้โลก
ด้วยกระบวนการ “ขันธ์ 5” ของจิตหยาบให้ได้
ซึ่งสอดคล้องกับสมการพลังงานศักดิ์สิทธิ์ ∑βx
ตามที่พระเจ้าทรงออกแบบเอาไว้ให้แล้ว
 
สมการพลังงานจากจิตสามนึกด้านบวก ∑βx นี้
มันจะศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมได้จริงก็ต่อเมื่อ
ตัว X ในสมการนี้ต้องเป็นจำนวน 3 ขึ้นไปเท่านั้น
ในครอบครัวเดียวกันจึงต้องมีอย่างน้อยสามคน
คือมีพ่อแม่และมีลูกอีกอย่างน้อยหนึ่งคนขึ้นไป
เมื่อครอบครัวมีครบสามคนซึ่งถักทอไว้ด้วยรักแท้
ในแต่ละวินาทีก็จะผลิตพลังงานสะอาดออกมา
จากจิตสามนึกบริสุทธิ์ร่วมกันได้ 540 เมกะเฮิร์ทซ์
 
พลังงานสะอาดที่จิตหยาบผลิตร่วมกันออกมาได้
จากการสั่นสะเทือนขันธ์ห้าโดยทุกคนร่วมกันนั้น
ได้จากสูตรสมการพลังงานร่วมของพระเจ้าก็คือ
βx = 3X²(β₁+β2+β₃+…+βx) Mhz.
 
สูตรสมการนี้หมายความว่า
พลังงานรวมจากจิตสามนึกด้านบวกคือรักเพื่อให้
รักเพื่อให้” หมายถึงการอดทน อดกลั้น ให้อภัย
หมายถึงความเมตตากรุณามุทิตาที่มีให้กันและกัน
ขณะมี “ครัว” ครอบทุกคนเอาไว้ด้วยกันตลอดนั้น
จะมีค่าเท่ากับ 3 เท่าของจำนวนคนยกกำลังสอง
คูณด้วยผลรวมของพลังงานที่แต่ละคนผลิตกันได้
ซึ่งเป็นค่าคงที่ไม่เกิน 20 หน่วย
 
ดังนั้น
พลังงานรวมของคนสามคนในครอบครัวเดียวกัน
ในแต่ละวินาทีขณะรักกันอยู่นั้นจะแทนค่าได้ด้วย
βx = 3(3)²(20) = 540 เมกะเฮิร์ทซ์นี่เอง
โดยพลังงานทั้งหมดที่ทั้งสามคนเหวี่ยงออกมา
จะมีการปฏิสัมพันธ์จนเกิดเป็นพายุหมุนรูปปิรามิด
หมุนวนอยู่ในอากาศบริเวณเหนือหลังคาบ้านคุณ
อัตราเร็วการเหวี่ยงหมุนจะแปรตามความรักที่เกิด
ถ้าต่างรักกันมากอัตราเร็วการเหวี่ยงหมุนก็จะมาก
 
พลังงานที่ทุกคนร่วมกันผลิตสร้างขึ้นในวินาทีนั้น
จำนวน 99% ของพลังงานด้านบวกทั้งหมด
ทุกคนทั้งพ่อแม่ลูกต่างจะได้รับประโยชน์ร่วมกัน
นั่นคือพลังงานร่วมทั้ง 99% นี้จะถูกนำไปใช้
ยกระดับทั้งแรงสั่นสะเทือนและการหมุนของจักระ
เพื่อยกระดับจิตหยาบจากมิติที่ 4D สู่ 5D ได้
ถ้าครอบครัวนั้นหมั่นหมุนธรรมจักรร่วมกันได้เรื่อยๆ
ซึ่งจะบรรลุเป้าหมายถึง 5D ได้คุณต้องทำต่อเนื่อง
พระเจ้าทรงออกแบบไว้ให้มันเป็นระบบอัตโนมัติ
โดยคุณเพียงแค่หมุนธรรมจักรด้วยรักเพื่อให้เท่านั้น
และต้องไม่ทำให้กายสังขารเสื่อมจนตายเสียก่อน
 
เพราะถ้าคุณต้องตายจิตหยาบนั้นก็ใช้ไม่ได้
เมื่อจิตวิญญาณคุณกลับมาเกิดใหม่ในชาติใหม่
จะต้องแบ่งภาคเป็นจิตหยาบในมิติที่ “ศูนย์” ใหม่
เพื่อเริ่มต้นกระบวนการยกระดับจิตหยาบอีกครั้ง
เพราะไม่สามารถที่จะต่อยอดจากชาติที่แล้วได้
การตายและเสียเวลาไปกับภพชาติของพวกคุณ
จึงเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
 
ดังนั้น
พระเจ้าจึงทรงกำหนดให้พวกคุณ
รับผิดชอบกันแค่สืบทอดเผ่าพันธุ์มนุษย์คือมีบุตร
โดยต้องสร้างครอบครัวขึ้นมาร่วมกันนั่นแหละ
ที่สำคัญคือคุณต้องใช้ความรักบริสุทธิ์ถักทอกันไว้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย
นอกจากนั้นจะเป็นกระบวนการในระบบอัตโนมัติ
ตามที่ทรงออกแบบกำหนดเอาไว้ให้ดีแล้วทั้งสิ้น
 
พวกคุณตองรู้ว่า
เมื่อจิตวิญญาณของคุณเดินทางมาถึงประตูมิติ
อันเป็นทางเข้ามาสู่เอกภพหรือ “อนันตจักรวาล”
อันเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระเจ้านั้น
จิตวิญญาณพวกคุณทั้งสามรูปธรรมหรือมากกว่า
ได้มีการประชุมวางแผนร่วมกันมาล่วงหน้าแล้วว่า
ใครจะเป็นผู้สวมบทบาทพ่อแม่และใครจะเป็นลูก
พร้อมกับเขียนบทละครที่จะแสดงร่วมกันไว้ด้วย
เพื่อใช้บทละครที่ออกแบบไว้นั้นเป็น #บททดสอบ
เพื่อเป็นเงื่อนไขกระตุ้นจิตสามนึกของกันและกัน
ให้มันสั่นสะเทือนเป็น “ความรักบริสุทธิ์” ให้ได้
 
แน่นอนว่าบททดสอบนั้นมันจะมีทั้งยากและง่าย
บททดสอบง่ายๆก็คือการกระทำดีต่อกันนั่นเอง
แต่บททดสอบที่ยากมากก็คือการทำชั่วต่อกัน
มันยากตรงที่จะตอบสนองกันด้วยความรักบริสุทธิ์
อย่างไม่มีเงื่อนไขไม่มีข้อแม้อะไรเลยไม่ค่อยได้
ส่วนใหญ่ถ้าดีมาก็จะทำดีตอบสนองต่อกันทันควัน
แต่ถ้าทำชั่วมาก็จะทำชั่วตอบสนองทันควันเช่นกัน
ถ้าทุกคนในครอบครัวยังคิดแบบจิตมนุษย์กันอยู่
 
พวกคุณจึงต้องรู้ความจริงต่อไปนี้
เพื่อคิดในแบบที่จิตวิญญาณพวกคุณคิดให้ได้ว่า
ที่เขียนบทละครบทร้ายหรือบทชั่วมากระทำต่อกัน
ทั้งๆที่เริ่มสร้างครอบครัวกันมาด้วยความรักบริสุทธิ์
มิใช่ใครกวนตีนใครหรือใครต้องการทำร้ายใคร
แต่เป็นแผนในบทละครที่จิตวิญญาณขีดเขียนมา
ให้พวกคุณได้แสดงออกเพื่อเป็นเงื่อนไขทดสอบ
จิตสามนึกแห่งรักของกันและกันนั่นต่างหาก
 
การคิดแบบจิตวิญญาณในกรณีที่ว่านี้ก็คือ
ถ้าคุณเผชิญกับเงื่อนไขบททดสอบที่เป็นบทร้าย
จิตวิญญาณพวกคุณคิดว่าจะกระทำตอบสนองกัน
ด้วยการสั่นสะเทือนเป็นความรักที่สูงกว่าปกติ
จึงจะสามารถชนะความโกรธโดยไม่โกรธตอบได้
แปลว่าถ้ารักมากก็จะอดทนอดกลั้นให้อภัยได้มาก
นี่คือวิธีคิดแบบจิตวิญญาณของพวกคุณนั่นเอง
 
แต่เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์มาสร้างครัวครอบกันจริงๆ
จิตวิญญาณพวกคุณมิได้เป็นผู้แสดงบทละครเอง
แต่จิตหยาบของพวกคุณเป็นผู้แสดงบทบาทแทน
เมื่อพวกคุณต่างคิดแบบจิตมนุษย์กันอยู่ตั้งแต่เกิด
เพราะถูกมอดมารปิดบังมิติไว้ไม่ให้รู้ความจริงว่า
มนุษย์โลกเสรีนี้แม้จะมีจิตวิญญาณเป็นผู้มาเกิด
แต่ได้มอบอำนาจให้จิตหยาบแสดงบทมนุษย์แทน
พวกคุณจึงคิดแบบจิตมนุษย์กันโดยไม่รู้ว่า
บทละครบทร้ายที่พวกคุณแสดงต่อกันตลอดชีวิต
เป็นเงื่อนไขเพื่อให้พวกคุณรักกันให้มากยิ่งขึ้น
มิใช่เป็นการจงใจจะทำร้ายกันด้วยจิตมนุษย์เลย
 
พระเจ้าทรงกำหนดมาให้ทุกคนต้องทำแบบนี้
โดยให้เขียนบทละครของครอบครัวกันมาเช่นนี้
ก็เพื่อให้โลกนี้เป็นโลกเสรีที่แท้จริงโดยแท้
เสรีเพราะออกแบบบทละครมาแสดงร่วมกันได้เอง
เสรีตรงที่จะตัดสินใจอะไรได้ด้วยจิตปัญญาของตน
โดยไม่บังคับขับเข็ญข่มขู่คุกคามหรือข่มขืนจิตใจ
โดยไม่ต้องจูงใจด้วยอามิสให้คล้อยตามด้วยกิเลส
 
เพราะ 99% ของพลังงานสะอาดที่ผลิตร่วมกันได้
ถ้ายิ่งมากก็จะช่วยยกระดับมิติของจิตหยาบได้มาก
ถ้ายิ่งสั่นสะเทือนเป็นด้านบวกบ่อยครั้งมากเท่าใด
จิตหยาบจะบรรลุถึงมิติ 5D-6D ได้เร็ววันเท่านั้น
พวกคุณแต่ละคนจึงต้องหมุนธรรมจักรในตนเอง
เมื่อหมุนเป็นแล้วก็ต้องชวนทุกคนในครอบครัว
มาร่วมกันหมุนธรรมจักรด้วยสมการศักดิ์สิทธิ์ให้ได้
เพื่อช่วยยกระดับจิตหยาบของกันและกันให้สูงขึ้น
จนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณที่มิติ 6D ถาวรได้
ยิ่งเมื่อพวกคุณทุกคนเข้าถึงผลสำเร็จมากขึ้นแล้ว
สามารถเปิดตัวต่อสังคมในชุมชนคนหมู่มากได้
มันก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อจิตหยาบของคุณมากขึ้น
เพราะคนรอบข้างจะมาร่วมหมุนธรรมจักรกับคุณด้วย
มิใช่จะมีแค่ลูกผัวตัวเมียของคุณเท่านั้น
 
เพราะคนข้างบ้านหรือทุกคนในสังคม
จิตวิญญาณพวกเขาก็ถือเงื่อนไขทั้งดีและร้าย
ติดตัวมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้เช่นเดียวกับคุณ
คุณจึงต้องคิดแบบจิตวิญญาณให้ได้ว่า
#ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน ของพวกคุณแต่ละคนนั้น
มันคือการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขเพื่อช่วยเหลือกัน
ในการยกระดับจิตหยาบให้มีมิติที่สูงขึ้น
มิใช่การทำร้ายกันโดยจิตมนุษย์แต่อย่างใดเลย
 
คุณคงจะสงสัยว่า
ทำไมพลังงานรวมจากจิตสามนึกแห่งรัก
ที่พวกคุณร่วมกันผลิตตั้งแต่สามคนขึ้นไปนั้น
จึงได้ประโยชน์กันแค่ 99% ในทุกวินาทีเท่านั้น
เพราะว่าพระเจ้าทรงกำหนดออกแบบเอาไว้ว่า
จำนวน 1% ของทั้งหมดที่พวกคุณผลิตกันได้
โลกจะรับเอาไปใช้ค้ำจุนความสมดุลของตนเอง
จากการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราเร็วคงที่
และจะเหวี่ยงหมุนต่อเนื่องได้ถ้ามนุษย์ยังรักกัน
ซึ่งโลกก็จะยังคงสมดุลไปตลอดตราบชั่วนิรันดร
 
ที่เรากล่าวมาทั้งหมดในบทนี้
เป็นอนุตรธรรมความจริงที่พวกคุณไม่รู้ว่าไม่รู้
ที่พระเจ้าให้เรากลับมาบอกเจ้าสาวอย่างพวกคุณ
เพื่อจูงเจ้าสาวเข้าสู่ประตูเรือนหอคือด่านนภาลัย
เพื่อมาบอกความจริงกับลูกแกะของพระเจ้า
ที่กำลังหลงทางเพราะก้าวตามคนนำทางตาบอด
ให้เขานำพาป่ายปีนรั้วกลับเข้าคอกอยู่เหยงๆ
ทรงให้เรามาบอกว่า “ประตูคอกแกะ” อยู่ทางนี้
 
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
 
ปัญญาวิสุทธิ์
27/06/2566