25 พฤษภาคม 2558

หน้าสวยจิตใสใจงาม


ถ้าแต่งหน้า หน้าก็สวย
ถ้าแต่งกาย กายก็สง่า

ถ้าแต่งทั้งหน้าทั้งกาย 
ท่านก็จะมีทั้งสวยทั้งสง่า

ถ้าแต่งจิต จิตก็ใส
ถ้าแต่งใจ ใจก็สวย

ถ้าแต่งทั้งจิตทั้งใจ
ท่านก็จะมีทั้งจิตใสใจสวย

ถ้าท่านใส่ใจ........
แต่งทั้งหน้า แต่งทั้งกาย แต่งทั้งจิต แต่งทั้งใจ
มันจะมีสิ่งใดล้ำเลิศยิ่งกว่าความเป็นท่าน
ได้อีกล่ะ.........

เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
23-05-2015

โครงสร้างทางจิต


มนุษย์เป็นคน 2 มิติ
คือ มิติทางกายภาพของเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่เป็นตัวตนด้านกายหยาบหรือกายสังขาร
กับมิติทางพลังงานของจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นด้านของกายละเอียดที่เป็นตัวตนแก่นแท้

แต่จะมีใครรู้ความจริงได้ว่า
ในมิติทางพลังงานด้านของตัวตนแก่นแท้นั้น
ก็มีโครงสร้างของจิตที่ละเอียดซับซ้อนเช่นกัน
โดยสิ่งที่เรียกว่า "จิต" นั้น
จะเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ผู้คอยทำหน้าที่สั่นสะเทือนอวัยวะร่างกายให้ตื่นตัว
เพื่อทำหน้าที่นั้นๆร่วมกันอย่างเป็นระบบ
ซึ่งท่านทั้งหลายเรียกรวมๆว่า "มีชีวิต"
โดยจิตจะแบ่งหน้าที่กันทำรวมทั้งสิ้น 189 กลุ่ม

ดังนั้น...
หากจะกล่าวไว้พอเป็นสังเขปแล้ว
สามารถแบ่งจิตมนุษย์ตามบทบาทหน้าที่ได้ 6 อย่าง คือ

1.จิตสัญชาตญาณ:

เป็นคลื่นการคิดรู้ของจิตวิญญาณของท่าน
ที่สั่นสะเทือนร่วมกันกับก้านสมองตรงท้ายทอย

เพื่อทำหน้าที่คุ้มครองเครื่องยนต์แห่งกรรม
ให้แคล้วคลาด ปลอดภัย มีชีวิตรอด
จากสถานการณ์วิกฤตต่างๆในชีวิตประจำวัน
ให้รู้ร้อน รู้หนาว รู้เหนื่อย รู้กล้า รู้กลัว ฯลฯ

อีกทั้งยังคอยทำหน้าที่เตือนให้ท่านดูแลตนเอง
เมื่อถึงเวลาหิว กระหาย ได้เวลาพักผ่อน นอนหลับ
และอื่นๆ เป็นต้น

จิตสัญชาตญาณที่ว่านี้
เป็นความฉลาดทางจิตวิญญาณ
ในระบบอัตโนมัติ
ซึ่งเจ้าตัวจะไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้เลย
ทุกคนสามารถใช้มันได้และใช้อยู่
ตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ จนกระทั่งคลอด
ตราบกระทั่งวันตายเลยทีเดียว

2.จิตไร้สำนึก:

เป็นการสั่นสะเทือนของจิตมนุษย์
ที่ไหลไปตามอำนาจของสิ่งเร้าทั้งภายนอกภายใน
ซึ่งกระทำผ่านกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส
และสั่นไหวไปตามสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นในจิตเอง

โดยเมื่อจิตเกิดการสั่นไหวไปตามสิ่งเร้าแล้ว
จิตก็จะเกิดอาการที่เรียกว่า "ความรู้สึก"
ซึ่งเป็นได้ทั้งด้านบวกด้านลบ
ต่อทั้งสิ่งนั้น คนนั้น และตนเอง

จากนั้นจิตก็จะนำเอาความรู้สึกบวกหรือลบที่เกิดขึ้นนั้น
มาปรุงแต่งเป็นความอยากไม่อยาก
เพื่อทำให้ความรู้สึกดังกล่าวนั้นเป็นรูปธรรม
ที่จิตสามารถยึดได้ครองได้ปฏิเสธได้

หรือนำไปสู่การนึกด้วยจิต
ในรูปของการนึกบวกนึกลบ
ไปตามอำนาจของความอยากไม่อยาก
ที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกด้านบวกด้านลบแต่แรกนั้น

เมื่อนึกบวกจิตก็จะไปสั่นสะเทือนสมองให้คิดบวก
ถ้านึกลบจิตก็จะไปสั่นสะเทือนสมองให้คิดลบ
เพื่อกระทำตอบสนองด้วยกายกรรม วจีกรรม
ในแบบที่สมองจะสั่งการต่อไป

มนุษย์โลกส่วนใหญ่
ที่ตกเป็นทาสอารมณ์รู้สึกของตนเอง
เพราะตกเป็นทาสของสิ่งเร้านั้น
จะคิดบวกคิดลบเพื่อกระทำบวกกระทำลบ
ไปตามอารมณ์รู้สึกนึกคิดของตนเองเป็นสำคัญ
จึงไม่เป็นตัวของตัวเอง
ไม่รู้ไหนควรไม่ควร
ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ
ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว เป็นต้น

คนจำพวกที่ใช้จิตไร้สำนึกดำเนินชีวิต
จึงต้องใช้ "มหาสติ" เป็นเครื่องค้ำจุนจิตตนไว้

3.จิตรู้สำนึก หรือ จิตสำนึก:

เป็นการสั่นสะเทือนของจิตมนุษย์
เพื่อการสัมผัสรู้ดูเห็นและสนองตอบสิ่งเร้าใดๆ
ด้วยการกำหนดเอง
โดยมิปล่อยให้มันไหลไปตามอารมณ์รู้สึกที่เกิดขึ้น
แต่ใช้มหาสติเป็นเครื่องมือค้ำจุนไว้

มนุษย์ใช้จิตสำนึก หรือ จิตตปัญญาของตน
เพื่อใช้ความฉลาดทางสมองสองซีกที่มีอยู่
เรียนรู้สิ่งนั้นเรื่องนั้นคนนั้นหรือสถานการณ์นั้น
ก่อนที่จะคิดตรึกตรองเพื่อการตัดสินใจ
ตอบสนองต่อสิ่งเร้าทั้งหลายนั้น
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมดีงามในบั้นปลาย

คนที่เรียกตนเองว่ามนุษย์
จึงควรใช้จิตสำนึกให้ได้
ใช้มันให้เป็น......
ให้สมกับที่ได้รับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์
นั่นคือ ใช้สมองคิดก่อนพูด คิดก่อนทำ
โดยไม่ใช้จิตไร้สำนึก คือ อารมณ์รู้สึก
เป็นตัวขับเคลื่อนพฤติกรรมใดๆ

4.จิตใต้สำนึก:

จิตใต้สำนึกในความเป็นมนุษย์นั้น
แท้แล้วเป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณ
ในการสั่นสะเทือนกายหยาบให้ทำงาน
และยังเป็นเครื่องมือที่จะก่อให้เกิดผลกรรมใดๆ
ในมิติของจิตวิญญาณด้านของแก่นแท้
อันเกิดจากการสั่นสะเทือนของจิตสำนึก
และจิตไร้สำนึกของท่านทั้งหลายด้วย

การสื่อสารทางจิตระหว่างกัน
หากท่านไม่มีพลังจิตใต้สำนึกก็จะไม่สามารถทำได้

การก่อกรรมให้เกิดผลกรรมด้านลบด้านบวก
ในชีวิตประจำวันของท่านทั้งหลายนั้น

ผลกรรมในมิติทางพลังงาน
ด้านของจิตวิญญาณ
มันเกิดมีขึ้นมาได้ก็เพราะพลังอำนาจ
ของจิตใต้สำนึกนี่เอง

ดังนั้น...อาจกล่าวได้ว่า
จิตใต้สำนึก คือ เครื่องมือของจิตสำนึกหรือจิตมนุษย์
ในอันที่จะก่อให้เกิดผลกรรมทางพลังงาน
ในมิติคู่ขนานด้านของจิตวิญญาณแก่นแท้นั่นเอง

เนื่องจากจิตใต้สำนึกมีคุณสมบัติสำคัญคือ
คิดเองไม่เป็น เห็นเองไม่ได้ สงสัยไม่มี
เมื่อจิตมนุษย์สั่นสะเทือนด้านบวกหรือด้านลบ
จิตใต้สำนึกก็จะสั่นสะเทือนไปตามนั้นเสมอ

5.จิตหยาบ:

จิตหยาบ คือ จิตมนุษย์
เป็นรูปธรรมทางพลังงานเช่นกัน
ซึ่งท่านสามารถสั่นสะเทือนเป็น
จิตไร้สำนึกหรือจิตรู้สำนึกก็ได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าท่านมี "มหาสติ"
คอยกำกับควบคุมจิตตนเองอยู่หรือเปล่า

จิตหยาบเป็นจิตที่ได้รับมอบอำนาจจากแก่นแท้
ที่ท่านเรียกกันว่าจิตวิญญาณ
ผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์เช่นท่านนั่นแหละ
เพื่อแสดงความมีชีวิตและแสดงบทบาทมนุษย์
ตามเงื่อนไขพันธะสัญญา 6 ของจิตวิญญาณ
ให้เกิดขึ้นทั้งสองมิติในนามของตนเอง

หลักๆคือ การรักให้ได้ ให้ให้เป็น
ใช้จิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์ให้ได้
เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณของตนให้สำเร็จ
ด้วยการผ่านบททดสอบจิตสำนึกรายวันให้ได้

จุดศูนย์กลางของการสั่นสะเทือนของจิตหยาบ
ตั้งอยู่ที่ต่อมไพเนียล หรือ ตาที่สามนั่นเอง

6.จิตวิญญาณ:

เป็นตัวตนแก่นแท้ในมิติทางพลังงาน
ของตัวท่านเองนั่นแหละ

ซึ่งเราเคยบอกท่านว่า
จิตวิญญาณท่านเป็นผู้ขันอาสา
มาเกิดเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรีนี้
เพื่อทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6
ด้วยเงื่อนไขไม่เกิน 6 หมื่นปีโลกต่อหนึ่งยุค

แล้วท่านต่างก็ล้วนมีหน้าที่
จะต้องนำพาแก่นแท้ของท่าน
กลับบ้านที่จากมาแสนนานให้จงได้

โดยจุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือน
ของจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จะตั้งอยู่ที่ต่อมพิทูอิทารี่

**นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ทั้งหมดนี้ก็เป็นความรู้อีกบทหนึ่ง
ซึ่งองค์จิตจักรวาลทรงมีพระเมตตา
ให้เรานำมากล่าวต่อท่านทั้งหลายไว้ในที่นี้
เพื่อเป็นพระคัมภีร์คู่โลกนี้ตลอดไป

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
23-05-2015

กฎแห่งกำ


นี่คือ....กฎแห่งกำ

1.กรรมใคร ใครกำ
2.กำแทนใคร ไม่ได้
3.กรรมดี กำได้
4.กรรมชั่ว อย่ากำ
5.ไร้กรรม ไม่ต้องกำ

เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
23-05-2015

พลังจิตใต้สำนึก 2


นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

พลังอำนาจทางจิตวิญญาณของท่าน
ที่เป็นพลังจิตใต้สำนึกนั้น
หากใช้มันไม่เป็น
ก็สามารถเสื่อมถอยน้อยพลังอำนาจลงไปได้
แต่ถ้าหากใช้เป็น....
พลังอำนาจนี้ก็จะไม่มีวันหมดสิ้น
ทั้งยังจะสามารถเพิ่มพูนได้เรื่อยๆอีกด้วย

ตัวชี้วัดพลังอำนาจทางจิตวิญญาณ
ที่กำลังเสื่อมถอยน้อยพลัง
จะสังเกตได้ด้วยตัวของท่านเองดังนี้

1.จะไม่ค่อยมีใครรักท่าน
เสมือนว่าท่านเป็นคนไร้เสน่ห์นั่นแหละนะ
จะคบหากับใครก็คบกันได้ไม่นาน
หากไม่ถูกเอาเปรียบก็จะมีความขัดแย้งอยู่เนืองๆ
เสมือนว่าท่านเป็นคนเข้ากับใครไม่ได้

2.ความรักในครอบครัว
มักมีปัญหาอันเกิดจากความขัดแย้งกันบ่อยๆ
มีปากเสียงกัน ไม่ลงรอยกัน
เข้ากันไม่ค่อยจะได้
หนักมากจะถึงขั้นครอบครัวแตกแยก
พ่อแม่ลูกจะไปกันคนละทางสองทาง
ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง

3.ท่านจะเป็นผู้นำที่ผู้ตามมักไม่ยำเกรง
ปกครองคนหมู่มากไม่ค่อยจะได้
ทำให้ทีมไม่เวิร์กจนถึงขั้นทีมแตก

กิจการภารธุระล้มเหลว ขาดทุน
รายได้ตกต่ำ ดำเนินไปได้ไม่ดีดังเดิม

หากท่านเป็นผู้ตามเจ้านายจะไม่ค่อยรัก
ทำถูกจะเป็นผิด จะถูกเพ่งเล็ง
เพื่อนฝูงจะหนีหน้าห่างหายออกไป

4.ท่านจะขาดสติง่ายกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์
ตื่นตกใจง่าย ไม่ค่อยมั่นใจในตนเอง
จิตใจไม่ค่อยสงบเย็นเท่าที่ควร
เครียดง่ายโดยไม่มีเหตุผล

จะกลายเป็นคนขี้ระแวง
วิตกจริตเพราะคิดลบโดยมองโลกในแง่ร้าย
สมองทึบคิดอะไรไม่ค่อยออก

5.ท่านพูดอะไรจะมีคนเชื่อคำท่านน้อยลง
เสมือนคำพูดนั้นไม่มีน้ำหนักเอาเสียเลย
ทั้งๆที่ท่านพูดความจริงทุกอย่าง

6.จะมีสุขภาพร่างกายอ่อนแอ อ่อนเพลียง่าย
จะเจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยกว่าปกติ
เพราะภูมิต้านทานโรคต่ำ

7.จะตัดสินใจผิดพลาดบ่อยๆ จะลืมง่าย
จะพบเจออุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆบ่อยมากขึ้น

8.ท่านจะขาดคนจริงใจ
มักจะพบเจอแต่คนไม่ดี ไว้วางใจใครไม่ได้
บางวันท่านอาจรำพึงกับตนเองว่า
อยากเจอคนจริงใจมีมั้ยแถวนี้...กันเลยทีเดียว

9.ท่านจะนอนไม่ค่อยจะหลับ
ยามหลับได้ก็มักฝันร้ายบ่อยๆ

มีอาการเซื่องซึมแม้ผ่านการนอนมายาวนาน
เหมือนกับว่านอนไม่พอ หลับไม่อิ่มนั่นล่ะ

**นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย.....
ทั้ง 9 ประการข้างต้นนั้น
เป็น "ข้อสังเกต" บางประการ
ที่นักเรียนควรรู้แม้ว่าท่านจะไม่อยากรู้ก็ตาม

เพราะท่านจะไม่ใส่ใจ
ในพลังทางจิตวิญญาณไม่ได้แน่
ถ้าหากท่านปรารถนาการหลุดพ้น
เพื่อกลับคืนสู่แดนสุญตาที่ท่านจากมา
ซึ่งพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
คือ องค์จิตจักรวาลทรงรอคอยพวกท่านอยู่

ท่านจักต้องรู้ว่า....
พลังจิตใต้สำนึกขณะท่านมีชีวิตอยู่นี่แหละ
จะเปลี่ยนไปเป็นพลังอำนาจของเมอร์คขะบาห์
ซึ่งทำหน้าที่เป็นพาหนะขับเคลื่อนจิตวิญญาณ
เมื่อท่านทิ้งกายสังขารไปจากการเป็นมนุษย์

ท่านจะหลุดหล่น หลุดลอย หลุดลง
หรือว่า "หลุดพ้น" แบบใดแบบหนึ่งได้
ก็ล้วนขึ้นกับพลังอำนาจทางจิตวิญญาณที่ว่านี้
ประการหนึ่งด้วย.....

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-05-2015

วิธีเข้าถึงแรงบันดาลใจ



นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ทรงมีพระเมตตาให้เรา
มากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

วิธีการเข้าถึงการใช้พลังจิตใต้สำนึก
ที่เรียกว่า "แรงบันดาลใจ" จากจิตวิญญาณ
ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน
หรือการดำเนินชีวิตประจำวันของท่านนั้น

ท่านทั้งหลายสามารถจะกระทำ
ผ่านจิตสำนึก (Consciousness) ของตัวเองได้
ตามลำดับขั้นตอนที่จัดไว้ให้แล้วดังต่อไปนี้

1.ท่านต้องคิดหรือทำสิ่งใด
โดยมุ่งผลสัมฤทธิ์เท่านั้น

ผลสัมฤทธิ์ หมายถึง ผลสำเร็จอันสูงสุด
ที่ตัวท่านเองขณะปัจจุบันนั้น
สามารถที่จะเข้าถึงมันได้จริง
มิใช่เพ้อฝัน...มิใช่การหลอกตัวเอง

แต่จะเข้าถึงมันให้ได้
ด้วยความพร้อมด้านต่างๆที่ท่านมีอยู่แล้ว

เช่น ความรอบรู้ ความสามารถ ความชำนาญ
ความกล้าหาญ ความฉลาดทางปัญญา
ความฉลาดทางอารมณ์
ความฉลาดทางสังคม
ที่จะสร้างความสำเร็จร่วมกับผู้อื่น
และความรักที่จะคิดจะทำสิ่งนั้นอย่างแท้จริง

2.จงคิดหรือทำสิ่งใดเพื่อการ "ให้" เท่านั้น
เพราะการให้เป็นคุณสมบัติหรือบุคลิก
ของจิตวิญญาณของท่านนั่นเอง

การคิดหรือทำเพื่อมุ่งที่จะ "เอา"
เป็นพลังของจิตหยาบหรือจิตไร้สำนึก
ที่ขับเคลื่อนด้วยกิเลสตัณหา
ซึ่งเข้ากันกับจิตวิญญาณไม่ได้

3.จงมองปัญหาทุกปัญหา
ที่ท่านต้องคิดอ่านแก้ไขให้เป็นสิ่งน่าท้าทาย
แทนที่ความท้อแท้และท้อถอยให้ได้

ความรู้สึกท้าทาย (Challenge) ที่ในจิตใจท่าน
มันจะช่วยกระตุ้นให้จิตของท่านนั้น
เกิดการสั่นสะเทือนทางด้านบวกสูงสุด
เพื่อยกระดับสูงขึ้นจนเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณของท่านได้
ในรูปของความปรารถนาอย่างแรงกล้า
ที่จะประสบผลสำเร็จในสิ่งที่คิดหรือทำนั้นนั่นเอง

4.จงเชื่อมั่นในความพร้อมของตนเอง
ที่จะคิดหรือทำสิ่งนั้นได้สำเร็จโดยไม่ลังเล
หรือไม่เกิดอาการกลัวๆกล้าๆ
หรือไม่เกิดความรู้สึกว่า "เสียวๆ"
จะผิดพลาดจะล้มเหลวเพราะความเสี่ยง

ความพร้อมของท่าน
เราได้กล่าวไว้ในข้อ 1 แล้ว

เมื่อท่านเชื่อมั่นในตนเองแล้ว
การกล้าริเริ่ม กล้าลงมือทำ กล้ารับผิดชอบ
กล้าเปลี่ยนแปลง และสาระพัดกล้า
ที่จะนำพาความสำเร็จอย่างสง่างามมาให้
มันก็จะเกิดขึ้นเองตามมาดั่งอัตโนมัติแล้ว

5.จงคิดหรือทำสิ่งนั้นด้วยความมุ่งมั่น
มิเช่นนั้นแล้วเมื่อท่านต้องเผชิญกับอุปสรรคใดๆ
ท่านก็จะเกิดความท้อแท้ สิ้นหวัง
หมดความมานะ ละความอดทน
จนเลิกล้มความตั้งใจเสียกลางคัน
ซึ่งพวกท่านเรียกว่า "ความท้อแท้" นั่นล่ะ

นักเรียนจักต้องรู้ว่า....
อุปสรรคปัญหาใดๆที่เกิดขึ้น
บนเส้นทางของการคิดและการกระทำใดๆนั้น
เปรียบได้ดั่ง "บททดสอบความมุ่งมั่น" ของท่าน
เพื่อให้ท่านเกิดการเรียนรู้ว่า
สิ่งที่ท่านคิดหรือกระทำมันอยู่นั้น
ท่านมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า
มีความปรารถนาอย่างแท้จริง
ที่จะคิดจะทำมันให้สำเร็จจริงหรือเปล่า

เพราะถ้าท่านปรารถนาจะเข้าถึงผลสำเร็จจริง
ท่านก็จะพยายามข้ามผ่านหรือฟันฝ่า
อุปสรรคปัญหาใดๆที่ได้เผชิญหรือผจญ
อย่างไม่ท้อแท้และท้อถอยแน่นอน
ถ้าไม่จริง...
เมื่อพบเจออุปสรรคปัญหาเข้าหน่อย
ท่านย่อมถอยหรือเลิกคิดเลิกทำทันที

จงจำไว้ว่า....จิตสำนึกของท่าน
ต้องการความมุ่งมั่นเป็นกุญแจ
ไขสู่ประตูมิติแห่งจิตวิญญาณอยู่ดอกหนึ่งด้วยนะ

6.จงมีศรัทธามั่นในสิ่งที่คิดหรือทำอยู่นั้น
เพราะพลังความศรัทธา
จะช่วยค้ำจุนแรงสั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุด
ของจิตสำนึกของท่านในขณะนั้นเอาไว้
เพื่อให้สามารถสั่นสะเทือนร่วมกัน
กับจิตวิญญาณของท่านได้อย่างต่อเนื่อง
เพื่อจะรับถ่ายทอดเอาพลังจิตใต้สำนึก
ในรูปของแรงบันดาลใจ (Inspiration)
ให้หลั่งไหลอย่างไม่ขาดสาย
สู่พลังจิต พลังสมอง และพลังกายของท่าน
เพื่อการใช้งานได้อย่างเหลือเฟือ
โดยไม่มีหมด...มอด.....

กระบวนการใช้แรงบันดาลใจ
ใน 6 ประการที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
เป็นวิธีเข้าถึงการดำเนินชีวิตด้วยจิตวิญญาณ
ในแบบที่เป็นธรรมชาติ
ไม่ผิดบาปเพราะมิได้หลอกตัวเอง
ใช้พลังไปเท่าใดก็ไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันหมดสิ้น

เมื่อใดที่จิตวิญญาณท่านทิ้งกายสังขารไป
พลังอำนาจของเมอร์คขะบาห์หรือจิตใต้สำนึกแต่เดิม
ก็จะยังทรงพลังอยู่โดยสามารถจะนำพาแก่นแท้ของท่าน
เดินทางไปสู่สุคติภพหรือไปไหนๆ หรือหลุดพ้น
ตามคุณสมบัติทางจิตวิญญาณนั้นๆได้ดังประสงค์

เรากล่าวความจริงเพิ่มเติมต่อท่านทั้งหลายแล้ว
จงศึกษาความจริงนี้อย่างรอบคอบ
เพื่อยังประโยชน์ต่อตนเองและจิตวิญญาณ
ของท่านทั้งหลายตามอัธยาศัยเถิดนะ...

เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
22-05-2015

พลังจากจิตใต้สำนึก


หลายคนถามเราว่า....
เราเป็นนักวิชาการสัมผัสพิเศษ
ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางจิต
แล้วใยไม่จัดหลักสูตรฝึกอบรมพนักงานบริษัทต่างๆ
เกี่ยวกับการสั่งจิตใต้สำนึกแนวฝรั่งและต่างชาติ
ที่กำลังนิยมกันอยู่ในเมืองไทยขณะนี้ล่ะ

เราได้ตอบพวกเขาไปว่า.....

1.เพราะเราไม่ต้องการทำผิดบาป
ต่อจิตวิญญาณของผู้ที่จะมาเข้ารับการอบรมกับเรา

เพราะการกระตุ้นแรงบันดาลใจ
ด้วยวิธีการ "สั่งจิตใต้สำนึก" โดยตรงนั้น
เป็นการกระทำที่ผิดกระบวนการทางธรรมชาติ

การเจาะเข้าไปหาจิตวิญญาณข้างใน
เพื่อใช้อำนาจทางจิตวิญญาณ
ขับเคลื่อนพฤติกรรมใดๆ
แทนจิตสำนึกของตนนั้นเป็นการกระทำที่ผิดบาป
เสมอการก้าวล่วงจิตวิญญาณของตนนั่นเอง

เพราะธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนนั้น
สามารถเข้าถึงแรงบันดาลใจในตนเอง
ที่ได้จากจิตใต้สำนึกของตนเองกันอยู่แล้ว
โดยไม่ต้องใช้วิธีการหรือพิธีกรรมพิเศษเลย
เพียงแต่ว่าจะทำเป็นใช้เป็นกันหรือเปล่าเท่านั้น

2.เพราะเรารู้ว่า...
แรงบันดาลใจเป็นพลังอำนาจทางจิตวิญญาณ
ซึ่งมนุษย์โลกเรียกว่า "พลังแห่งจิตใต้สำนึก" นั้น
พลังอำนาจที่ช่วยให้คนตกใจเพราะไฟไหม้
สามารถแบกยกขนย้ายตุ่มน้ำ
ที่มีน้ำหนักมากกว่าตนเองหลายเท่าได้

โดยที่พลังอำนาจตัวนี้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์
จะสั่นสะเทือนเพื่อขับเคลื่อนออกมาให้ใช้

ผ่านความกลัวสุดขีด! ตกใจสุดขีด!
ในสถานการณ์วิกฤติคับขันเสี่ยงชีวิต

ผ่านความปรารถนาอย่างแรงกล้า
ผ่านความเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ผ่านความรักอันบริสุทธิ์
ผ่านความเชื่อมั่นอันสูงสุด

ผ่านสัญชาตญาณในชีวิตประจำวัน
เพื่อการมีชีวิตรอดของเครื่องยนต์แห่งกรรมนั้น
เช่น หิว หาว กระหาย เหนื่อยล้า การหนีภัย
การป้องกันตัว และอื่นๆ
ที่ทั้งคนและสัตว์ล้วนมีเหมือนๆกัน

ดังนั้น...
หากเราไปสอนท่านทั้งหลายให้ทำผิดธรรมชาติ
ทั้งๆที่ยังมีวิธีทางที่ถูกต้องถ่องแท้และไม่ยาก
ซึ่งท่านทั้งหลายสามารถปฏิบัติได้
ด้วยตนเองกันอยู่แล้ว
มันก็จะสร้างความผิดบาปให้เราเองด้วย

3.เพราะเรารู้ว่า....
การสอนท่านให้สั่งตนเองว่า "ทำได้ๆ"
แม้ว่าคำสั่งดังกล่าวนั้นมันอาจจะ "หล่นลงไป"
ในจิตใต้สำนึกของท่านได้ก็ตาม
แต่มันก็เป็นแค่เพียง
การสร้าง "ความเชื่อ" ขึ้นมาในอากาศ
เพื่อทำให้เกิด "ความกล้าแสดงออก"
สำหรับคนขลาดเท่านั้น
มิใช่สิ่งที่เราเรียกว่า "ความเชื่อมั่นในตนเอง"

ความ "เชื่อว่า" ท่านทำได้
กับ "ความเชื่อมั่นว่า" ท่านทำได้
สองสิ่งนี้ความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยนะ

การเชื่อว่าตนเองต้องทำได้
จนยังผลให้กล้าพูดกล้าทำกล้าแสดงออก
โดยที่ท่านยังขาดความรู้ ความชำนาญ ความฉลาด
ท่านยังขาดประสบการณ์
ขาดความพร้อมในหลายๆด้านแล้ว
ท่านจะทำสิ่งยากๆนั้นได้แน่หรือ

การเชื่อว่าตนเองต้องทำสำเร็จก็เช่นกัน
หากยังขาดทักษะความพร้อมในหลายๆด้าน
โดยมีแต่ความเชื่อ....เชื่อ.....จากการปลุกเร้าตนเอง
ท่านจะทำสิ่งยากๆนั้นสำเร็จได้แน่หรือ

ความกล้าริเริ่ม...กล้าลงมือทำย่อมเป็นสิ่งดี
แต่ท่านควรสร้างความมั่นใจที่จะทำสิ่งนั้น
ด้วยการเรียนรู้ที่จะสร้างความพร้อมที่จะทำ
ในอีกทางหนึ่งด้วย

มีตัวอย่างมั้ย....มีใครสักกี่คนกัน
ที่เขาสามารถเข้าถึงพลังทางจิตวิญญาณ
ด้วยวิธีการสร้างความเชื่ออย่างที่ท่านถามเรามา
แล้วสามารถคิดหรือทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า
ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม
เหนือมนุษย์คนอื่นๆ.....

4.เพราะเรารู้ว่า....
พลังจิตใต้สำนึกหรือพลังทางจิตวิญญาณ
ที่ท่านเรียกว่า "แรงบันดาลใจ" นั้น
จะใช้สิ่งจูงใจภายนอกมากระตุ้นไม่ได้
เพราะแรงบันดาลใจมิใช่แรงจูงใจ

การขับเคลื่อนแรงบันดาลใจออกมาใช้นั้น
ท่านสามารถจะกระทำผ่านจิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์
ด้วยวิธีที่เป็นธรรมชาติได้เสมอเมื่อต้องการ
เพียงแต่ท่านจักต้องรู้กลไกกระบวนการ
เพื่อ "สั่งการ" ผ่านจิตสำนึกปกติของท่านให้เป็น
ซึ่งในสไลด์ต่อไป เราจะแนะนำให้ท่านได้รู้

5.เพราะเรารู้ว่า.......
พลังอำนาจทางจิตวิญญาณหรือแรงบันดาลใจนั้น
ถ้ามนุษย์ต้องการใช้มัน
จักต้องสั่นสะเทือนผ่านจิตสำนึกเท่านั้น
จะสั่นสะเทือนผ่าน "จิตไร้สำนึก" ไม่ได้
แม้ท่านจะทำสำเร็จก็ตาม

เพราะพลังอำนาจจากจิตใต้สำนึก
เปรียบเสมือนพลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่รถยนต์
รถยนต์เปรียบเสมือนเป็นร่างกายของท่านนั่นแหละ

เมื่อมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นในครรภ์แม่
ถ้าจิตวิญญาณซึ่งเสมือนเป็นแบตเตอรี่
ไม่เข้าไปปฏิสนธิทางวิญญาณ
มันก็ไม่ต่างจากรถยนต์ที่ผลิตเสร็จแล้ว
แต่ไม่ได้ติดตั้งแบตเตอรี่นั่นเอง
รถยนต์คันนั้นก็จะติดเครื่องยนต์
เพื่อขับเคลื่อนใช้งานไม่ได้

ถ้าหากเป็นมนุษย์ก็หมายถึง
ทารกน้อยคนนั้นในครรภ์แม่
จะมีชีวิตขึ้นมาเพื่อการเติบโตไม่ได้เช่นกัน

ถ้าท่านไปขับเคลื่อนพลังจิตใต้สำนึกออกมาใช้
โดยใช้จิตไร้สำนึกแทนจิตสำนึกมนุษย์
มันก็ไม่ต่างจากการไปต่อไฟสายตรง
ด้วยการลากสายมาจากแบตเตอรี่เพื่อใช้งาน
โดยท่านมิได้ติดเครื่องยนต์
เพื่อการรีชาร์จแบตขณะใช้
ผลบั้นปลาย คือ "ไฟหมดแบ็ต"

ท่านคงไม่รู้หรอกว่า
พลังจิตใต้สำนึกหรือแรงบันดาลใจ
ซึ่งเป็นหนึ่งในพลังอำนาจทางจิตวิญญาณนั้น
ถ้ามันเสื่อมลง อ่อนแอ หรือสิ้นพลังแล้ว
มันจะนำปัญหาใหญ่มาสู่คนๆนั้น
ทั้งทางโลกและทางจิตวิญญาณอีกมากมาย
อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

เรากล่าวความจริงตามที่หลายท่านถามเรามา
เราขอนำมาบันทึกเอาไว้ตรงนี้
เพื่อแบ่งปันความรู้นี้ต่อนักเรียนท่านอื่นด้วย
โดยเรามิได้มีเจตนาที่จะก้าวล่วง
ความเชื่อไม่เชื่อของท่านผู้ใดทั้งสิ้น

แต่ที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้น.....
มันเป็นความจริงของเราเท่านั้นเอง
เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
22-05-2015

เส้นทางสู่ความสำเร็จ


เส้นทางสู่ความสำเร็จสำหรับท่านทั้งหลายนั้น
มันขึ้นอยู่กับว่าท่านกล้าที่จะออกเดินก้าวแรกหรือไม่
เมื่อเดินก้าวแรกแล้ว...
ท่านพร้อมที่จะย่างเดินก้าวใหม่ต่อๆไปอีกหรือเปล่า

อุปสรรคขวากหนามที่รออยู่ข้างหน้า
เป็นเครื่องมือช่วยท่านในการสั่นสะเทือนทางปัญญา
มิใช่ตัวปัญหาที่จะนำพาความท้อถอยมาสู่ใจท่านเลย

ลูกท้อ...จึงมีไว้ให้ลิงถือเท่านั้น
จงอย่าชิงถือลูกท้อแทนลิงก็แล้วกัน

บันไดสู่ความสำเร็จนั้นมีหลายขั้น
จงหมั่นเรียนรู้ที่จะก้าวเดินแม้สูงชัน
เพราะรางวัลที่ท่านจะได้รับนั้นเลอค่ายิ่งนัก

เอเมน....สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
21-05-2015

ความเชื่อของท่าน กับความจริงของเรา




เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายเสมอ

ท่านจะรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้น
ท่านจะเข้าใจ....
เพราะท่านได้ศึกษาเรียนรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วนั้น

ท่านจะศรัทธาในความรู้ใหม่ของครู
เพราะท่านเองไม่เคยรู้ในความรู้ใหม่ที่ครูสอนนั้น

แต่...ท่านไม่รู้ในสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นนั้น
ท่านจึงไม่เข้าใจมัน....
เพราะไม่มีประวัติศาสตร์ให้ท่านได้ศึกษาเรียนรู้
ในสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยนั้น

ท่านจึงต้องไม่รีบปฏิเสธความรู้ใหม่ของครูคนไหน
ถ้าความรู้ใหม่ที่ครูกล่าวให้ท่านฟังนั้น
มันเป็นเรื่องราวของอนาคต
มันเป็นเรื่องจริงที่ยังมาไม่ถึง
มันเป็นความจริงที่สามารถจะรอพิสูจน์ได้

อย่าสรุปง่ายๆว่า....
สิ่งใดไม่เคยเกิดขึ้นสิ่งนั้นย่อมไม่เกิดตลอดกาล
ตัวอย่างเช่น....
ถ้าก้นของเด็กน้อยคนหนึ่งไม่เคยเป็นฝีมาก่อนเลย
พ่อแม่ของเด็กคนนี้จะบ่งชี้อย่างมั่นใจได้หรือว่า
เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาก้นของเด็กคนนี้
จะไม่มีวันเป็นฝีไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน

เราจึงจะกล่าวความจริงไว้ตรงนี้อีกครั้งว่า
อันภัยพิบัติธรรมชาติที่ผิดธรรมชาตินั้น
แม้เคยเกิดขึ้นที่ใดแล้ว มันก็จักเกิดขึ้นซ้ำได้อีก
แม้ที่ใดที่มันไม่เคยเกิดขึ้น
ณ ที่แห่งนั้นมันก็จะเกิดภัยขึ้นมาเป็นครั้งแรกได้เช่นกัน

นี่คือ...ความจริงของเรา
ซึ่งมันจะต่างกันกับ "ความเชื่อ" ของท่าน
พันเปอร์เซ็นต์...

ป.วิสุทธิปัญญา
21-05-2015

หน้าที่มนุษย์ต้องเรียนรู้


ความรู้สูง รู้มาก 
เพราะเรียนมาก
มิได้หมายความว่าเป็นคนฉลาด

ได้คะแนนสูง เรียนเก่ง
เพราะคิดน้อย แต่จำมาก
มิได้หมายความว่าเป็นคนดี

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
16-05-2015

โลกมีภูเขาไฟไว้ทำไม


มนุษย์บางคนได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่อง
ภูเขาไฟบาร์เร็น Barren Volcano 
ที่ยังคงคุกรุ่นและปะทุอยู่เรื่อยๆ ในมหาสมุทรอินเดีย
ในทำนองที่จะทำให้พี่ๆน้องๆเชื่อตาม
จนยังความประมาทให้เกิดขึ้น
อันอาจเกิดการสูญเสียมากมายในวันข้างหน้าได้
เขากล่าวกันว่าดั่งนี้......

"พลังงานของภูเขาไฟอยู่ในระดับต่ำ
โอกาสที่จะระเบิดรุนแรง
เกินไปกว่า VEI ขนาด 2 จึงมีน้อยมาก

แม้มีความเชื่อมโยงกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ 9.1
ในสุมาตราปี 2004

หรือแผ่นดินไหว 7.8 ในเนปาล
ที่เพิ่งเกิดไปก็ตาม
โอกาสเกิดสึนามิจึงมีน้อยมากเช่นเดียวกัน"

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาทรงกำหนดสร้างภูเขาไฟขึ้นไว้
ในทวีปต่างๆทั่วทั้งโลก
ทั้งบนบกและใต้ทะเล
ทั้งที่พวกท่านพบแล้วและยังไม่พบ
ก็เพื่อวัตถุประสงค์สำคัญดังนี้

1.เพื่อให้มนุษย์โลกทั้งหลายได้รู้ว่า
ภายในของโลกทางกายภาพนั้น
มีความร้อนสูงอยู่
เนื่องจากทรงรู้ดีว่า
มนุษย์ไม่สามารถดำดิ่งลงไปในแกนโลก
เพื่อพิสูจน์ความจริงได้ง่ายๆ

2.เพื่อให้มนุษย์ฉุกคิดว่า
ทำไมภายในโลกจึงยังคงร้อนแรงอยู่
ทั้งๆที่ดาวโลกถูกสร้างขึ้นมานานนับล้านปีแล้ว
โลกมีอะไรเกิดขึ้นข้างในหรือ
จึงก่อให้เกิดความร้อนสูงอยู่ตลอดมา
โดยไม่มีทีท่าว่าจะเย็นลงตามกาลเวลาเลย

3.เพื่อให้มนุษย์เข้าใจในความจริง
ที่ทรงเมตตากล่าวผ่านมาทางเราได้ว่า

ความรักจากจิตมนุษย์
ทำปฏิกริยากับบางสิ่งที่ทรงติดตั้งไว้ในแกนโลก
จนเกิดการระเบิดขึ้นรุนแรงและต่อเนื่อง
อันยังผลให้โลกเกิดการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
ได้อย่างต่อเนื่องมาจนตราบกระทั่งทุกวันนี้

ซึ่งตัวชี้วัดความรู้ใหม่นี้ว่าจริงแท้แน่นอนก็คือ
ลาว่าแดงฉานที่ร้อนแรงที่พ่นผ่านออกมา
จากปากท่อภูเขาไฟนั่นปะไร

4.เพื่อใช้เป็นช่องทางหรือปล่อง
ระบายความเครียด
หรือลด "ความดันในแกนโลก"
ด้วยการปรับให้สมดุลเอาไว้ตลอด

ในกรณีที่บางวันเวลา
เกิดแรงดันภายในสูงเกินพิกัด
จนอาจสามารถทำให้ดาวโลกแตกระเบิดได้
เหมือนดาวบางดวงในจักรวาลของพระองค์
ที่เคยแตกสลายจากการระเบิดจากข้างในมาแล้ว

ซึ่งหลักการใช้งานก็มิได้ต่างไปจากรถบัส
ที่ใช้ระบบถุงลมนั่นเอง

กล่าวคือ....
ถ้าภายในระบบเครื่องยนต์มีแรงดันสูงเกิน
วาล์วก็จะเปิดเพื่อเป็นช่องระบายลม
ที่ก่อให้เกิดแรงดันสูงนั้นออกมา
จนอยู่ในระดับปกติและปลอดภัย

สำหรับภูเขาไฟที่ปะทุ
จนพ่นเถ้าถ่านหรือลาว่าออกมาจากปล่องก็เช่นกัน
มันคือการระบายความเครียด
เพื่อลดความดันภายในแกนโลกนี่เอง

5.เมื่อภูเขาไฟถูกกำหนดขึ้นใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้
เราจึงขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
ไม่ว่าสำนักไหนที่วิจารณ์ว่าภูเขาไฟลูกไหน
ไม่ระเบิด ไม่ปะทุแรงๆ ก็อย่าได้วางใจเชื่อ
เพราะพวกเขาเอาแต่ประวัติศาสตร์มาอ้าง
เพราะไม่รู้ความจริงของพระบิดา

สำหรับปฏิบัติการชำระโลกครั้งที่สี่นี้
ภายในแกนโลกจะเกิดความเครียดสูงมาก
เพราะมีการระเบิดแบบ Nuclear Fission
ที่ไม่สม่ำเสมอ

เพราะห่วงโซ่ปฏิกริยาที่แกนโลก
เกิดการขาดตอนบ่อยครั้ง
เนื่องจากจิตสำนึกด้านบวกของมนุษย์
เกิดการบกพร่องเพราะตกต่ำรุนแรง
ทำให้แกนโลกขาดแคลนเชื้อเพลิง
ที่ใช้ในการจุดระเบิด

ความจำเป็นที่จะต้องใช้ปล่องภูเขาไฟ
ระบายความเครียดภายในแกนโลก
ในอนาคตอันใกล้นี้จึงมีโอกาสสูงยิ่ง

ต่อนี้ไปทั้งภูเขาไฟเก่าและใหม่
จะถูกช่างเท็คนิกจากนอกระบบ
เข้ามากระทำการเจาะทะลวงท่อเก่าให้โล่ง
ดังที่พวกท่านได้เห็นการปะทุมาแล้วพร้อมกัน
ของภูเขาไฟเก่า จำนวน 32 ลูกนั่นล่ะ

พร้อมๆกับจะเจาะท่อใหม่ๆเตรียมการไว้ล่วงหน้า
ที่พวกท่านจะตะลึงว่ามีภูเขาไฟใหม่เกิดขึ้น
ซึ่งเราเคยกล่าวเปิดเผยแผนการให้รู้กันไปแล้วว่า
ภูเขาไฟใหม่ในย่านนี้จะมีให้เห็น เช่น
ที่บริเวณภูเขาซึ่งต่อแดนราชบุรีกับพม่า
ที่บ้านกุดฉิม อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น เป็นอาทิ
แม้กระทั่งด้านท้องทะเลอ่าวไทยกับอันดามัน

ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งเชื่อเรา
เพราะเรากล่าวความจริงในสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น
เรากล่าวถึงความจริงของอนาคต...รอพิสูจน์ได้

ท่านทั้งหลายก็อย่าเพิ่งเชื่อพวกเขา
เพราะพวกเขากล่าวความจริงในอดีต
เป็นอดีตที่มันยังไม่เคยปรากฏเกิดขึ้น
เพราะพวกเขากล่าวถึงอนาคต
โดยใช้อดีตเป็นบรรทัดฐาน
ซึ่งพวกเขาไม่เคยรู้ว่า

"วิทยาศาสตร์ทางจิต" เป็นจริตของแก่นแท้
"วิทยาศาสตร์ทางกายภาพ" เป็นจิตหยาบคาดคะเน

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
5-05-2015

จงค้นหาสาระ ในสิ่งที่ไร้สาระนั้นให้พบ


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
อันสิ่งแวดล้อมรายรอบตัวท่านนั้น
ล้วนเต็มไปด้วย "สิ่งไร้สาระ" สำหรับท่าน
มากกว่า "สิ่งที่มีสาระ" นับเท่าไม่ถ้วน

ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะ "สิ่งไร้สาระ"
จากสิ่งแวดล้อมรายรอบตัวท่านนี่แหละ
ที่มันทำให้ท่านทั้งหลาย
ต้องกลายเป็น "คนไร้สาระ" กันตลอดมา

สิ่งที่มีสาระสำหรับท่านนั้น
เราหมายถึงสิ่งใด เรื่องใด สถานการณ์ใดก็ตาม
ที่ท่านได้พบพานผ่านเผชิญแล้ว
มันให้คุณแก่ท่าน
มันให้ประโยชน์แก่ท่าน
มันให้ความสุขแก่ท่าน

เป็นต้นว่าถ้าท่านมีปฏิสัมพันธ์กันกับใครแล้ว
พฤติกรรมของเขาทำให้ท่านรู้สึกดี
พฤติกรรมของเขาทำให้ท่านมีความสุข
พฤติกรรมของเขาทำให้ท่านได้รับประโยชน์
นี่ย่อมเป็น "สิ่งที่มีสาระ" สำหรับท่านนั่นเอง

ส่วน "สิ่งที่ไร้สาระ" สำหรับตัวท่านนั้น
เราหมายถึงสิ่งใด เรื่องใด สถานการณ์ใดก็ตาม
เมื่อท่านได้พบพานผ่านเผชิญแล้ว
มันให้โทษแก่ท่าน
มันไร้ประโยชน์สำหรับท่าน
มันทำให้ท่านเกิดทุกข์หมดสุขไม่สนุก
นี่ย่อมเป็น "สิ่งที่ไร้สาระ" สำหรับท่านนั่นเอง

สำหรับผู้ที่ยังคนตนเองให้เป็นมนุษย์ไม่สำเร้จ
มักจะสับสนในบทบาทหน้าที่ของตนเอง
ทั้งสองประการ คือ ......

1.เผชิญใคร สิ่งใด เรื่องใด สถานการณ์ใด
จักต้องเรียนรู้คนนั้น สิ่งนั้น เรื่องนั้น สถานการณ์นั้น
เท่าที่ความสามารถตนเองมีอยู่ให้จงได้

แต่ผู้ที่คนยังไม่สำเร็จ
ก็มักไม่สามารถที่จะเรียนรู้อะไรๆ
ตามบทบาทหน้าที่ของตนเองได้

ที่เรียนรู้กันไม่ได้เพราะไม่รู้ว่า
ตนมีหน้าที่ต้องเรียนรู้

ที่เรียนรู้กันไม่ได้ก็เพราะว่า
คนส่วนใหญ่ยังคิดไม่เป็น
ที่คิดไม่เป็นเพราะได้แต่นึกด้วยจิต
โดยไม่ฝึกคิดด้วยสมองของตนเองเลย

2.เผชิญใคร สิ่งใด เรื่องใด สถานการณ์ใด
ก็จักต้องหยิบยื่นความรักบริสุทธิ์
ให้แก่คนนั้น สิ่งนั้น เรื่องนั้น สถานการณ์นั้น
อย่างเต็มความสามารถของตนเองให้จงได้

ผู้ที่คนยังไม่สำเร็จก็มักไม่สามารถที่จะ
รักใคร รักสิ่งใด รักเรื่องใด รักสถานการณ์ใด
ตามบทบาทหน้าที่ของตนเองได้

ดังนั้น....
พวกท่านที่เป็นคนส่วนใหญ่ทั้งหลาย
จึงมักชอบหยิบเอา "สิ่งที่ไร้สาระ" ของผู้อื่น
เช่น พฤติกรรมขยะของคนรอบข้าง
มาเป็นเงื่อนไขในการสั่นสะเทือน
อารมณ์รู้สึกนึกคิดของจิตท่านเสมอ

แน่นอนว่า...
เพราะมันล้วนเป็นพฤติกรรมขยะของเขา
ซึ่งเป็น "สิ่งที่ไร้สาระ" ของท่านไงล่ะ

เมื่อท่านนำมันมาเป็นเงื่อนไขด้านลบ
โดยยอมให้มันกระทบจิตใจท่านเมื่อไหร่
พวกท่านก็จะพากันสอบตกบททดสอบเหล่านี้เสมอ
ด้วยการต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้าน หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไร้สาระ
ซึ่งท่านหยิบมันมาเป็นเงื่อนไขดังว่านี้โดยพลัน

เพราะพวกท่านเก็บกดอดกลั้นกันไม่ไหวนี่แหละ
มันจึงยังผลให้ท่านต้องกลายเป็น
คนที่ไร้สาระสำหรับคนอื่นๆไปทันทีเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้เอง
วันๆหนึ่งพวกท่านจึงสอบตกบททดสอบเช่นนี้เสมอ
เพราะมักหยิบเอาสิ่งที่ไร้สาระสำหรับท่านมาจากผู้อื่น
มาเป็นเงื่อนไขด้านลบของตนเอง
จนก่อชะตากรรมและวิบากกรรมใหม่ๆ
ให้แก่ตนเองกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

เพราะไม่เข้าใจและไม่อาจรู้เท่าทันได้ว่า
ไหนคือสิ่งที่มีสาระ
ไหนคือสิ่งที่ไร้สาระสำหรับท่าน

อีกทั้งยังขาดปัญญาที่จะเรียนรู้ด้วยว่า
ท่านควรที่จะค้นหา......
สิ่งที่เป็นสาระสำหรับท่าน
จากสิ่งที่ไร้สาระของคนอื่นๆ
ในมุมมองของท่านนั้นให้พบ
เมื่อพบแล้วก็ให้นำเอาสิ่งดีๆที่มีสาระที่พบนั้น
มาเติมเต็ม "ความมีสาระ" ให้แก่ตัวท่านเองสืบไป

นี่เพียงแค่ท่านใด....
ปฏิเสธคำกล่าวของเราเหล่านี้
ในทันทีที่ได้อ่านได้รู้

โดยมองว่าทุกถ้อยวจีของเรา
ล้วนเป็นคำกล่าวที่ไร้สาระสำหรับท่านแล้ว
มันก็ยิ่งจะเป็นการปฏิเสธสิ่งที่มีสาระ
เพื่อชี้วัดความเป็นคนที่ไร้สาระของท่านด้วย

เอเมน....สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
5-05-2015

กฎแห่งกรรม หรือว่า "เคราะห์กรรม"


กฎแห่งกรรม หรือว่า "เคราะห์กรรม"
.................................................
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 
ชาวเนปาลกลุ่มหนึ่งได้จัดจัดเทศกาลสลด
ด้วยการฆ่าสัตว์ 5 แสนตัวเซ่นเทพเจ้าแม่กาธิมัย
โดยสำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า
เทศกาลดังกล่าวนี้สุดสลดยิ่ง 
เพราะมีการฆ่าฟันคอสัตว์น้อยใหญ่กว่า 500,000 ตัว 
เพื่อทำการบูชายัญเจ้าแม่กาธิมัย
พวกเขาเชื่อว่าการกระทำดังกล่าว
จะนำโชคดีมากให้ 
ขออะไรได้ทุกอย่าง
ด้านนักพิทักษ์สิทธิสัตว์ก็ยังคงเดินหน้า
ต่อต้านพิธีกรรมสุดโหดร้ายนี้
พิธีกรรมดังกล่าวนี้จัดขึ้นในหมู่บ้านปาริยะปุระ 
บริเวณชายแดนเนปาลที่ติดกับประเทศอินเดีย
ชาวบ้านทั้งในหมู่บ้านเองและจากที่ต่าง ๆ 
ที่ศรัทธาในเจ้าแม่กาธิมัย 
ซึ่งเป็นเทพเจ้าของฮินดู จำนวนกว่า 2 ล้านคน 
ได้เข้าร่วมพิธีกรรมฆ่าสัตว์กว่า 500,000 ชีวิต 
ตลอดช่วงเวลา 2 วันของเทศกาลบูชายัญเจ้าแม่นี้
สัตว์ที่ถูกฆ่ามีตั้งแต่วัวควาย ไปจนถึงสัตว์เล็ก ๆ อย่างหนู 
ทั้งหมดจะถูกฆ่าด้วยวิธีเดียวกันคือ
ฟันคอจนตายอย่างทรมาน 
จนกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วหมู่บ้าน
ขณะเดียวกันผู้คนในหมู่บ้านก็จะพากันรื่นเริง
พากันตื่นเต้นเห็นพ้องไปกับพิธีกรรมนี้กันหมด
สำหรับพิธีกรรมบูชายัญเจ้าแม่กาธิมัยนี้ 
จะจัดให้มีขึ้นในทุก ๆ 5 ปี 
โดยครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อปี 2552
โดยชาวบ้านมีตำนานเล่าขานกันมาว่า 
ครั้งหนึ่งเจ้าแม่กาธิมัยได้มาเข้าฝันชายคนหนึ่งว่า
ขอให้เขาสร้างวิหารให้ 
และเมื่อตื่นขึ้นมา 
ชายรายนี้ก็พบว่าเขาเป็นอิสระ
จากการถูกพันธนาการทุกอย่าง
จึงเชื่อว่าเจ้าแม่กาธิมัยเป็นผู้ช่วยเขา 
หลังจากที่เขาหลบหนีออกมาในตอนนั้น
ก็ได้สร้างวิหารและบูชายัญด้วยสัตว์ต่าง ๆ 
เพื่อเป็นการขอบคุณ
อย่างไรก็ดี 
การฆ่าสัตว์จำนวนนับแสน ๆ ตัวเช่นนี้ 
ทำให้นักพิทักษ์สัตว์ทั้งในเนปาลเองและประเทศอื่น ๆ
ได้มีการส่งหนังสือร้องเรียนรัฐบาลเนปาล
ขอให้ยุติการจัดเทศกาลอันโหดเหี้ยมนี้ 
แต่ก็ไม่เป็นผล
ทุก ๆ 5 ปี ชาวเนปาลก็จะหลั่งไหลกันมา
ทำพิธีกรรมบูชายัญเจ้าแม่กาธิมัยอยู่อย่างเดิม
จนรถราติดขัดไปทั่วเมือง
การทำร้ายชีวิตสัตว์อย่างโหดเหี้ยม
ให้ต้องตายหมู่คราวละ 5 แสนชีวิตเช่นนี้
ทำให้สัตว์ผู้น่าสงสารเหล่านั้น
ผลิตสร้างพลังลบออกมาอย่างมากมาย
จนแผ่นดินในพิกัดดังกล่าว
แม้จะเคยเป็นแว่นแคว้นที่ศักดิ์สิทธิ์มาก่อน
กลับไม่มีพลังอำนาจด้านบวกมากพอ
ที่จะใช้ค้ำจุนความสมดุลของแผ่นเปลือกโลกได้
ที่ค้ำจุนไม่ได้เพราะการระเบิดที่แกนโลก
ต้องอาศัยเมตตาธรรมของผู้คนและสัตว์
ช่วยกันใช้ความรัก
ซึ่งเป็นพลังไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ลงไปช่วยจุดระเบิดเท่านั้น
หากมนุษย์บนแผ่นดินใด
ยังคงไร้สำนึกต่อนัยที่เรากล่าวมา
ยังคงเข่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ยังคงคิดทำสงครามทำลายล้างกัน
แม้คนในชาติเดียวกันเอง
แผ่นดินนั้นจักต้องสั่นไหวแน่ๆ
เพราะคนไม่ไหว..แผ่นดินจึงต้องไหว
เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27-04-2015

เรื่องน่ารู้เบื้องหลังปฏิบัติการสร้างสมดุล

เรื่องน่ารู้เบื้องหลังปฏิบัติการสร้างสมดุลกรณีแผ่นดินไหวเนปาล-อินเดียขนาด 7.9 ริคเตอร์เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2558""""...

Posted by Visudhi Punya on 26 เมษายน 2015

เราอยู่ที่นี่ ตั้งนานแล้ว


พี่ๆน้องๆที่รักในพระบิดา
ผู้ซึ่งยังศรัทธาในพระองค์

ผู้ซึ่งประสงค์ใช้ปากเสียง
ในพระนามแห่งพระองค์ทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่มนุษย์เผชิญนั้น
พระบิดามิได้ทรงกำหนดมา
หรืออยู่ในวาระแห่งการพิพากษาโลกหรอก

เพราะพระองค์ทรงรักพวกท่านทุกคน
และทรงรักทุกสรรพสิ่ง
ในพระอาณาจักรแห่งพระองค์
ในพระนามแห่งพระผู้สร้าง
มิใช่บทบาทผู้ทำร้ายทำลายด้วยภัยใดๆทั้งนั้น...

มนุษย์ด้วยกันเองต่างหาก
ที่เป็นผู้กระทำผิดบาปกันเอง
จึงต้องผจญภัยพิบัตินั้นๆกันอยู่มิเว้นวาง

พระองค์เสมือนทรงเป็น
พระผู้สร้างถนนอันราบหรูไว้ให้ลูกๆก้าวเดิน
แต่ถ้าลูกๆคนไหน
พากันไปย่างเดินย่ำดงกันอยู่
นอกมรรควิถีที่ควรดำเนินแล้ว
ลูกๆนอกพระโอวาทเหล่านั้นก็จักต้องรู้ว่า

ความยากลำบากจากขวากหนาม
ความขรุขระใดๆในชีวิตของพวกท่าน
ความสูงๆต่ำๆลุ่มๆดอนๆในชีวิตจริง
ความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับอุปสรรค
นอกมรรควิถีทั้งหลายนั้น

มันล้วนมิได้เป็นพระประสงค์ของพระองค์
ที่จะทรงเขียนความหวาดกลัวขึ้นไว้เลยสักนิด
แต่...เป็นเพราะมนุษย์ต่างลิขิตเองต่างหาก

เลือกใช้ความรักแห่งพระองค์
กับจิตตปัญญาของแต่ละคนที่จะเข้าถึงได้
เป็นแรงบันดาลใจที่จะน้อมนำให้ลูกๆทั้งหลาย
ก้มลงมามองที่ตัวเอง
เพื่อปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ด้วยจิตสำนึกในตนเอง
แทนการแหงนหน้ามองฟ้า
เพื่อรอคอยการกลับมาช่วยเหลือจากใครบางคน

ต้องคิดตรึกตรองกันแล้วล่ะนะ
เราเอง...ก็อยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
28-04-2015