31 กรกฎาคม 2558

ถ้าเธอปรารถนาอย่างแรงกล้า


ถ้าเธอปรารถนาอย่างแรงกล้า

ที่จะฟันฝ่าหรือข้ามผ่าน....
ทุกบททดสอบจิตสำนึกของตนเองที่คนอื่นหยิบยื่นให้
ทุกแผนการร้ายของหมู่มารที่มักเล่นงานอีทีเผลอ
ทุกเงื่อนไขข้อเสนอที่ต้องผ่านการตัดสินใจให้ถูกต้อง
ทุกครรลองที่มีมากกว่าหนึ่งทางเลือก

ถ้าเธอไม่ไปฟังพระโอวาท
ไม่ไปพัฒนาความฉลาดด้วยตนเอง
ในวันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2558 นี้

เรานับว่า....
เธอน่ะพลาดอีกสิ่งสำคัญสุดๆในชาตินี้ไปเสียแล้ว

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

31-07-2015

30 กรกฎาคม 2558

นิสัยการคิดของมนุษย์


นิสัยการคิดของมนุษย์มี 6 จำพวก

แล้วท่านล่ะ...
จัดอยู่ในจำพวกไหนกันนะ

ป.วิสุทธิปัญญา

30-07-2015

29 กรกฎาคม 2558

ชีพจรแห่งจักรวาล


วิธีง่ายๆบนเส้นทางสายอริยะ
สำหรับนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
ที่ปรารถนาการเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล

เพียงแค่ท่านสั่นสะเทือนจิตปัญญาตนเอง
ด้วยการกระทำผ่าน "มหาสติ"
อันเป็นธรรมชาติสมาธิในทุกขณะจิต
เพื่อการดำเนินชีวิตประจำวันร่วมกันกับผู้อื่นเท่านั้น

แรงสั่นสะเทือนทางจิตปัญญาอันเกิดจากมหาสติ
มันจะสั่นสะเทือนเป็นคลื่นแผ่ขยายกระจายไปรอบทิศ
โดยมีตัวท่านเสมือนหนึ่งเป็นจุดศูนย์กลางแห่งจักรวาล

โอม...มหาสติ

ป.วิสุทธิปัญญา

29-07-2015

21 กรกฎาคม 2558

คาถาสอนใจ



เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การเป็นคนสองมิติของท่านทั้งหลายนั้น
นอกจากการเรียนรู้ทุกสิ่งทุกเรื่องราว
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้ว
ท่านยังจะต้องมีบททดสอบจิตสำนึก
ทั้งที่ง่ายและยากให้ได้เผชิญกันอยู่เนืองๆ

ดังนั้น
ต่อไปนี้ คือ คาถาสอนใจ
ให้ท่านหยิบฉวยนำไปใช้
ในกรณีที่ต้องเผชิญกับบททดสอบยากๆ
ไว้ป้องกันความเบื่อหน่าย ความเกียจคร้าน
ไว้เพื่อการจัดระเบียบชีวิตให้ตนเอง

จงท่องจำให้ขึ้นใจ
แล้วนำมันออกมาใช้ให้ชำนาญเถิด

1.เราทำได้
2.เราได้ทำ
3.เราทำได้แล้ว

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
21-07-2015

คนดวงดี


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
คนดวงดีไม่จำเป็นต้องมีการเสี่ยงดวง
ก็สามารถที่จะเป็นคนโชคดีได้เสมอ
เพราะท่านน่ะดวงดีอยู่แล้ว

โดยคนดวงดีจะมี 3 ดวง คือ
1.ดวงตาดี
2.ดวงใจดี
3.ดวงปัญญาดี

ดวงทั้งสามนี้ไม่มีใครสร้างไม่ได้
เพราะสร้างได้ง่ายๆด้วยการหมั่นฝึกฝน
โดยใช้มันในชีวิตประจำวันนั่นแหละ
ในที่สุดท่านก็จะเป็นคนดวงดีดังประสงค์
เมื่อดวงดีแล้วท่านก็มิพักต้องเสี่ยงดวงอีก
ตลอดชีวิต....

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
21-07-2015


17 กรกฎาคม 2558

เวรกรรม



เวรกรรม หมายถึง 
ผลกรรมใดๆที่เกิดขึ้นในมิติทางพลังงาน 
จากการที่ท่านกระทำไม่ถูกต้อง
ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

มีเพียงเจ้าของมันเท่านั้น
จึงจะสามารถทำให้ผลกรรมทางพลังงานนี้
เป็นกลางทางไฟฟ้า (Neutral) ได้
ด้วยการย้อนกลับมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์ใหม่
เพื่อพบเจอเงื่อนไขสถานการณ์แบบเดิมๆนั้นอีกครั้ง
แล้วตัดสินใจใหม่ให้ถูกต้อง
ด้วยความรัก ด้วยปัญญา
และด้วยองค์ธรรมจากพระบิดา
นี่คือกระบวนการล้างกรรม.....ล่ะนะ

ด้วยเหตุนี้เอง
ผลกรรมของใคร
คนนั้นจึงต้องรับผิดชอบ

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
17-07-2015

ถ้า...กรรมเก่าไม่แก้ไข



ดาวเคราะห์โลกกำลังถูกชำระ
เพื่อปรับสมดุลใหม่ 
ตามสมการสามมิติ 6-6-6

เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกนี้สู่ยุคพลังงานใหม่
ด้วยพลังงานบริสุทธิ์จากจิตวิญญาณของผู้มาใหม่
ผู้ก้าวมาจากดินแดนแห่งฟ้าสีครามอันแสนไกล

ขณะที่จิตวิญญาณมนุษย์ทั้งมวลจักถูกพิพากษา
เสมือนดั่งปลาที่ต้องถูกคัดทิ้งแลคัดไว้
ด้วยตัวชี้วัดแห่งคุณสมบัติอันยิ่งยวด
รวม 5 ประการ ดังต่อไปนี้

1.มีจิตใสใจสวย
2.ฉลาดด้วยปัญญาญาณ
3.มุ่งปณิธานแห่งการหลุดพ้น
4.เป็นคนเหนือกรรม
5.รู้ทำสามเหลี่ยมกับพระบิดา

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
17-07-2015

15 กรกฎาคม 2558

ดอกไม้สวย



ดอกไม้สวยที่เกสรชุ่มฉ่ำด้วยน้ำหวานนั้น
ภุมรินทร์บินไกลยังรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณ
ว่าความชื่นหวานเพื่อยังชีวิตตนนั้นอยู่หนใด
ทั้งเมื่อเขาได้เสพสมดั่งหมายแล้ว
เขาก็จะย้ายไปดมดอมดอกอื่นต่อ

แต่จะมีสักกี่ตัวกันนะที่จะรู้ว่า
ดอกไม้ดอกนั้นในวันพรุ่ง
ยังจะมีน้ำหวานหอมจรุงมากพอสำหรับชีวิตมัน
ให้เสพสมกันได้อีก....
ถ้าดอกไม้ดอกนั้นยังเบ่งบานอยู่ในใจ

ป.วิสุทธิปัญญา
15-07-2015

10 กรกฎาคม 2558

คัมภีร์แห่งธรรมจักร



คัมภีร์แห่งธรรมจักร:
............................
1.จิตวิญญาณของทุกท่านในทุกภพชาติ
ที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็น "คน" นั้น

จักต้องเรียนรู้ที่จะ "คนตนเอง" ให้เป็น "มนุษย์"
จักต้องเรียนรู้ที่จะ "คนตนเองให้เข้ากันได้ดี" กับผู้อื่น
จักต้องเรียนรู้ที่จะ "คนตนเองให้เป็นหนึ่งเดียว" กับโลก

จักต้องเรียนรู้ที่จะ "คน" ตนเองให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
กับผู้อื่น กับโลก และกับจักรวาลอันไพศาลนี้

2.การคนตนเองให้เป็นมนุษย์หมายถึง
การที่ท่านสามารถใช้กลไกอายตนะภายนอก
เช่น ตา หู จมูก ลิ้นหรือปาก มือ และเท้า
เพื่อการสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งต่างๆรายรอบตัว

แล้วนำเอาผลแห่งการสัมผัสนั่น
มาสั่นสะเทือนจิตใจที่ข้างใน
เพื่อให้เกิดเป็นความรักเพื่อให้

มาสั่นสะเทือนจิตใจที่ข้างใน
เพื่อให้เกิดเป็นความสุขสงบ
แล้วใช้สภาวะจิตที่สุขสงบนั้น
ไปสั่นสะเทือนทางปัญญาของสมองสองซีก
เพื่อสร้างกระบวนการคิดต่อไป

ก่อนที่จะตัดสินใจแสดงออกหรือกระทำ
พฤติกรรมที่เหมาะสมดีงาม
ต่อเพื่อนร่วมโลกได้ทุกสิ่ง

3.ถ้าท่านสามารถเข้าถึงความจริงที่จริงแท้
ในสองประการที่กล่าวมานั้นได้ก็เท่ากับว่า
ท่านเข้าถึงการคนตนเองให้เป็นมนุษย์
หรือท่าน "หมุนธรรมจักร" สำเร็จแล้ว

แต่ถ้าท่านมิอาจเข้าถึงได้ในสองประการที่กล่าวมา
โดยจิตเกิดการสั่นสะเทือนเป็นลบขึ้นมาแทน
จนยังผลให้เกิดความไม่สงบที่ในจิต
จนไม่สามารถเข้าถึงความรักและความคิด
ที่ถูกต้องเหมาะสมและดีงามต่อผู้ใดได้
นี่เท่ากับว่าท่าน "หมุนกรรมจักร" แทนเสียแล้ว

4.ถ้าหากท่านสามารถหมุนธรรมจักรได้
ปฏิบัติการนี้จะยังผลให้
เกิดพลังงานด้านบวกขึ้นมาได้
ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่ทุกคนทุกสรรพสิ่งและดาวโลกล้วนต้องการ

แต่ถ้าท่านหมุนกรรมจักร
ปฏิบัติการนี้ก็จะยังผลให้
เกิดพลังงานด้านลบขึ้นมาแทน
ซึ่งเป็นคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านลบ
ที่ทุกคนทุกสรรพสิ่งและดาวโลกไม่ต้องการ

5.พลังงานด้านบวก
จากการสั่นสะเทือนทางจิตปัญญา
เป็นพลังงานสร้างสรรค์
นั่นคือ บุญกุศล

พลังงานด้านลบ
จากการสั่นสะเทือนทางจิตปัญญา
จักเป็นพลังงานขยะ
นั่นคือ บาปกรรม

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
10-07-2015

08 กรกฎาคม 2558

ปัญญาญาณ



**เราจะกล่าวความจริงเบื้องต้น
ต่อท่านทั้งหลาย
ถึงลักษณะการใช้สมองซีกขวาเอาไว้ว่า

มันจะต้องสั่นสะเทือนด้วยจิตกับสมองซีกซ้าย
เพื่อการนึกคิดให้ได้ผลลัพธ์หรือผลึกการคิดก่อน
จากนั้นจึงนำคำตอบหรือองค์ความรู้ที่ได้
มาพิจารณาด้วยสมองซีกขวา
ในระบบ "กดปุ่ม" ต่อไป

ปัญหามีอยู่ว่า...
ท่านจะต้องเรียนรู้ต่อไปว่า
จะหาปุ่มที่จะกด
แล้วกดให้ตรงปุ่มนั่นได้หรือไม่
หากค้นหาได้แล้ว
จะกดเป็นกดได้หรือเปล่า

เพราะการไม่ฝึกคิด ไม่ฝึกใช้สมอง
โดยปล่อยไปตามนิสัยสันดานเดิมมาตั้งแต่เกิดนั้น
จึงได้มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนแล้ว
ที่จบสิ้นอายุขัยไปจากภพชาตินั้นๆ
ที่ยังมิอาจเข้าถึงความมหัศจรรย์
ของสมองซีกขวาของเขาเลย....

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
8-07-2015

การหมุนธรรมจักร



มาหมุนธรรมจักร
แทนหมุนกรรมจักรกันเถอะ

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
8-07-2015

07 กรกฎาคม 2558

วีธีเข้าถึงสัจธรรมแห่งบัวบาน



*เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พวกท่านล้วนมีปัญญาพร้อมที่จะใช้
ในการเป็น "คนสองมิติ" บนโลกเสรีนี้
เพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์อยู่ 3 ระดับ

*ระดับต้น:
เป็นปัญญาที่ท่านใช้ได้ฟรีมาตั้งแต่เกิดไปจนตาย
นั่นคือ "สัญชาตญาณ" ซึ่งเป็นกลไกอัตโนมัติ
พวกท่านไม่สามารถเข้าไปกำกับมันได้
เพราะเป็นเครื่องมือของจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ได้ใช้มันกำกับดูแลเครื่องยนต์แห่งกรรม
รูปธรรมมนุษย์ของท่านเพื่อการมีชีวิตรอด

*ระดับกลาง:
เป็นปัญญาที่ท่านสามารถใช้ได้ฟรี
ตั้งแต่สามขวบไปจนตาย
นั่นคือ "สตึปัญญา" กับ "สติปัญญา"
ที่ได้จากการสั่นสะเทือนร่วมกัน
ของจิตกับสมองซีกซ้าย

ถ้าท่านรับรู้สิ่งใดแล้วรับเอา
จนจิตเสียสมดุลไปจากความสงบในทางต่ำ
เช่น รับรู้แล้วสภาวะจิตตก
จนเกิดเป็นโทสะ โลภะ และโมหะ
ยามนั้นท่านจะใช้ "สตึปัญญา"
คิดอ่านการกระทำผิดบาปแบบไม่สร้างสรรค์

แต่ถ้าท่านรับรู้สิ่งใดแล้วจิตใจสุขสงบ
ในกรณีที่จิตรับรู้สิ่งใดผ่านกลไกอายตนะเข้ามา
เช่น "รับรู้เพื่อเรียนรู้" ที่จะวิเคราะห์ว่า
อะไรเป็นอะไร ทำไม อย่างไร

เรียนรู้ไปตามความสามารถที่จะสัมผัสรู้ดูเห็น
โดยไม่มีอารมณ์รู้สึกนึกคิดใดๆเข้ามาเกี่ยวข้อง
ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกด้านลบก็ตาม

ในสภาวะที่จิตว่างเช่นว่านี้นั่นเอง
ยามนั้นท่านจึงจะใช้ "สติปัญญา" 
ของสมองซีกซ้ายของท่านได้เต็มพลัง

*ระดับปลาย:
เป็นปัญญาขั้นสูงแต่ยังไม่เป็นที่สุด
แต่ก็เป็นความฉลาดทางจิตตปัญญา
ที่สั่นสะเทือนร่วมกันระหว่างจิตกับสมองซีกขวา
ซึ่งท่านจะเข้าถึงได้ด้วยการ 
"กดปุ่ม" ใช้งานเท่านั้น

ผู้สามารถกดปุ่มได้และใช้เป็นเท่านั้น
จึงจะเข้าถึงความฉลาดสูงสุดในระดับนี้
เพื่อที่จะนำพาจิตวิญญาณของตน
ผ่านประตูมิติตรงด่านนภาลัย
คืนกลับไปกราบพระบาทพระบิดา
ตามเงื่อนไขพันธะสัญญา 6 ได้อย่างสง่างาม
มิใช่ข้ามผ่านไปอย่างสบักสบอมหรือมอมแมม

นักเรียนจึงต้องระลึกเสมอว่า
ท่านจะสามารถแลเห็นสรรพสิ่งทั้งหลายงดงามได้
ด้วยสองตาเนื้อของท่านกับสมองซีกซ้าย

แต่ถ้าท่านจะมองเห็นคุณค่าของสรรพสิ่งนั้นได้
ท่านจักต้องมองด้วยจิตใจกับสมองซีกขวา
ที่เรียกว่า "ปัญญาญาณ" เท่านั้น

ไม่ต่างจากการมองเห็นดอกบัวแล้วเห็นงาม
นั่นคือการมองด้วยสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
หรือมองเห็นดอกบัวแล้วรู้สึกรังเกียจ
เพราะรู้ว่าดอกบัวนั้นโผล่ขึ้นมาจากใต้ตม
นั่นคือการมองด้วย "สตึปัญญา" 
ของสมองซีกซ้ายเช่นเดียวกัน

กับการเห็นบัวแล้วเห็นพระบิดา
เพราะสำนึกรู้ว่าดอกบัวเป็นดอกไม้น้ำชนิดแรก
ที่พระบิดาทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้บนดาวโลก

ดังนั้น 
เมื่อใครระลึกถึงพระบิดาคราใดที่เห็นดอกบัว
จึงนับเป็นการมองเห็นคุณค่าแห่งดอกบัว
ด้วยจิตวิญญาณของท่านนั่นแหละ

แม้การแลเห็นสัจธรรมหลายๆสิ่ง
อันเป็นรหัสนัยซึ่งเร้นอยู่ในความเป็น "บัว"
ก็ล้วนต้องใช้ดวงตาพิเศษที่ว่านี้ทั้งสิ้น

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
7-07-2015

จงอย่าเก็บธรรมะใดๆเอาไว้แค่ "ปาก"



เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เราเคยพร่ำเตือนพวกท่าน
ให้หมั่นเข้าห้องเรียนทุกวัน
ให้ขยันฝึก "มหาสติ"
โดยมีสไลด์คำสอนสำคัญๆ
เพื่อเตรียมผจญบททดสอบกันให้ล่วงหน้าด้วย
(นึกไม่ออกก็ให้ย้อนกลับไปดู)

ต่อนี้ไป.....
เมื่อได้เห็นคำสื่อสอนจากพระบิดาผ่านมาทางเรา
ไม่ว่าสไลด์ใด คำสอนใด คำเตือนใด

ให้ถามตนเองว่าท่านจะทำอย่างไร
สไลด์กับพระโอวาทจึงจะผันจาก "เข้าตา" คือ รู้เห็น
เปลี่ยนมาเป็น "เข้าใจ"

สุดท้ายเมื่อท่านเข้าใจข้อความนั้นๆแล้ว
ท่านจะซาบซึ้งด้วยการ "เข้าถึง" คำสื่อสอนนั้นๆ
ด้วยการนำมาใช้ในชีวิตประจำวันกันอย่างไร

เพียงแค่เข้าตา เข้าใจ 
แต่มิอาจ "เข้าถึง" กันได้
พระโอวาทหรือพระวจนะดีๆใดๆ
ท่านก็จะมิอาจยังประโยชน์ใดๆได้เลย

การเรียนรู้ที่ถูกต้อง
จักควรสิ้นสุดที่การ "เข้าถึง"
มิใช่แค่การอ่านให้เข้าตาแล้วรู้สึกว่า "เข้าใจ"
โดยท่านมิอาจสร้างความแข็งแรงให้แก่แก่นแท้ได้

ท่านจงจำไว้เป็นบทเรียนว่า
"ศัตรูทั้งหลาย" ยังมีอยู่มากมายในชีวิตท่าน
"หมู่มารทั้งหลาย" ก็ยังวนเวียนอยู่รอบกายท่าน

ไม่เห็นตัวไม่เห็นหน้าไม่เห็นนัย
รู้หน้ารู้ตัวไม่รู้ใจ
การเตรียมพร้อมตั้งรับศัตรูและหมู่มาร(ทั้ง 3 ตัว)
เพื่อการข้ามผ่านบททดสอบทั้งยากและง่าย
จึงเป็นหลักสูตรเร่งรัดของท่านล่ะนะ

ขณะสนามแม่เหล็กโลกกำลังอ่อนแอลงทุกวัน
เพราะการมีจิตสำนึกตกต่ำของชาวโลก
จึงยังผลให้ประตูมิติที่เคยปิดกั้นกักกันหมู่มารไว้
เริ่มมีอาการสั่นไหวไม่แข็งแรงจนแง้มออก
ประดาศัตรูแห่งพระเจ้า 
อุปสรรคแห่งเหล่าเราต่างล้นทะลักกันออกมา
จักเป็นขวากหนามที่ทุกท่าน
ต้องข้ามผ่านกันไปให้ได้
ด้วยการใช้องค์ความรู้ทุกสิ่งอย่างจริงจัง
ผ่านการครองมหาสติในชีวิตประจำวัน
และแสดงปณิธานแห่งนิพพานให้ชัดเจนไว้

โอม...สงบ
โอม...สติ...มหาสติ
โอม...สำรวม
โอม...อโหสิ

ต่อนี้ไป...
พวกท่านทั้งหลาย
อย่าได้แต่กราบพระบาท
อย่าได้แต่กราบขอบพระทัย
แล้วยกพระโอวาทขึ้นไว้บนหิ้งบูชา

แต่ท่านจักต้องน้อมนำมาสถิตย์เอาไว้ที่จิตใจ
เพื่อการพร้อมใช้ตลอดเวลา

จงอย่าเก็บธรรมะใดๆเอาไว้แค่ "ปาก"
เพราะปากเป็นเพียงแค่ช่องทางหรือประตู

จิตตปัญญาของท่านต่างหาก
จักเป็นผู้ใช้ปากของท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

นี่ไง....
พระโอวาทจึงสมควรสถิตย์เอาไว้ที่จิตใจ
มิใช่เก็บไว้ที่ปาก...
เหมือนอย่างที่ผ่านมา

เรารักพวกท่านทุกคน

กราบพระบาทพระบิดาแห่งมหาจักรวาล

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
7-07-2015

06 กรกฎาคม 2558

มรรควิถีแห่งจิตจักรวาล 2



นักเรียนที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านว่า

ทุกสิ่งทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตท่าน
ไม่ว่าจะโลดโผนตื่นเต้นเร้าใจแค่ไหน
ไม่ว่าจะมีใครสักกี่คนเป็นตัวแสดง
ไม่ว่าจะราบเรียบรื่นรมย์รุนแรงปานใด
มันล้วนเป็นมายาแห่งบททดสอบแทบทั้งสิ้น

มายาแห่งบททดสอบ
หมายถึง "บทละคร" ที่ถูกพวกท่านนั่นแหละ
ขีดเขียนกันมาว่าจะเล่นบทไหนกับใคร

โดยหน้าที่ของพวกท่านที่จะสอบผ่านบททดสอบได้
ก็ด้วยการใช้ความรักและปัญญาที่มีอยู่
ค้นหาคำตอบให้ตนเองให้จงได้ว่า
กับเงื่อนไขในบทละครดังกล่าวนั้น
ท่านจะทำอย่างไรจึงจะสามารถข้ามผ่านหรือฟันฝ่า
อุปสรรคปัญหาที่เป็น "มายา" นั้นๆไปได้
อย่างสง่างามนั่นเอง

ท่านจึงต้องไม่สั่นไหวไปกับบทละครแห่งมายา
ในยามต้องเผชิญหน้ากับเงื่อนไขบททดสอบ
เพราะหน้าที่ของท่านคือ "คิดพิจารณา" 
และ "ตัดสินใจ" กระทำตอบสนอง
ให้ถูกต้องในทุกกรณี

ท่านจึงไม่ควรตกหลุมพรางแห่งความถูกผิด
นอกจากเรียนรู้ที่จะรักษาความเป็นมิตรต่อกันไว้

ท่านจึงไม่ควรตกหลุมพรางแห่งอารมณ์ขยะ
นอกจากจะอดทน อดกลั้น ให้อภัยหรืออโหสิ
ต่อผู้ร่วมแสดงละครเวทีเดียวกันกับท่านทุกๆคน
เพื่อเหวี่ยงหมุนธรรมจักรร่วมกันให้จงได้

ทั้งหมดนี้...
เป็นมรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
ในการสอบผ่านบททดสอบจิตสำนึก
เพื่อการเรียนรู้ร่วมกันโดยแท้

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
6-07-2015

05 กรกฎาคม 2558

มรรควิถีแห่งจิตจักรวาล 1



*ถ้าไม่ใช่คนชั่ว จะกลัวนรกไปทำไม
ถ้าจะเป็นคนดี ไม่ต้องมีสวรรค์ก็ได้

ถ้าปรารถนาการหลุดพ้น
จงสนใจใฝ่ปฏิบัติธรรม
ด้วยการกระทำที่จิตสำนึกตนเอง

มรรควิถีจิตจักรวาล
เราสื่อสอนพวกท่านว่าดั่งนี้

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
5-07-2015

พันธะสัญญา 6



***เราจะกล่าวความจริงเพื่อเตือนติงท่านทั้งหลายว่า
การที่ตัวตนแก่นแท้ คือจิตวิญญาณของท่าน
เป็นผู้ขันอาสาองค์จิตจักรวาล
เดินทางข้ามมิติเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์
ยังดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้นั้น

ก็เพื่อเข้ามาปฏิบัติภารกิจหลักที่สำคัญ 6 ประการ
โดยในที่นี้จะเรียกว่า "พันธะสัญญา 6"
ซึ่งท่านทั้งหลายจักต้องกระทำให้สำเร็จให้ได้
ภายในกำหนดเวลาหนึ่งยุค คือ 60,000 ปีโลก
แล้วจากนั้นท่านก็จะต้องหาหนทาง
นำพาจิตวิญญาณแก่นแท้ของตน
ย้อนคืนกลับบ้านที่จิตวิญญาณจากมา
ในสภาวะจิตที่เป็นสุญตาดังเดิมให้จงได้

แต่นักเรียนทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ถ้าท่านจะปฏิบัติภารกิจทั้ง 6 นั้นให้ลุล่วงได้
พวกท่านจักต้องยกระดับความเป็นคน
ด้วยการ "คนตนเองให้เป็นมนุษย์" 
ให้สำเร็จก่อน!!!

เพราะว่าถ้าท่านยัง "คนไม่เสร็จ" 
หรือ ยังคนไม่สำเร็จ
จนเรียกว่าเป็นมนุษย์กับเขาได้อย่างเต็มคำแล้ว
ต่อให้เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อีกสักกี่ภพชาติ
ท่านก็จะไม่สามารถบรรลุเป้าประสงค์ทางจิตวิญญาณ
ในการมาเกิดเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรีนี้ได้เลย

ตัวอย่างเช่น....
ท่านจะเป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก
ตามข้อ 1 ในพันธะสัญญา 6 ไม่ได้
ถ้าหากตราบใดที่ท่านยังใช้จิตหยาบ
ซึ่งถูกครอบงำไว้ด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน
อันเป็นคุณสมบัติของฝ่ายมารกับซาตาน
จนท่านมิอาจเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้
ซึ่งเร้นอยู่ในเครื่องยนต์แห่งกรรม
รูปธรรมมนุษย์ของตนเองได้ 

ที่เข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับแก่นแท้ของท่านเองไม่ได้
เพราะวันๆอายตนะทั้งหกของท่าน
มันตั้งหน้าตั้งตาแต่จะหมุน "กรรมจักร" 
แทนการหมุน "ธรรมจักร" อยู่นั่นเอง

เมื่อจิตหยาบหมุนธรรมจักรไม่สำเร็จ
จิตหยาบจึงเข้าถึงจิตวิญญาณของท่านเองไม่ได้

เมื่อจิตหยาบกับจิตวิญญาณของท่าน
เข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้
จิตวิญญาณของท่านจึงมิอาจเข้าถึง
การเป็นหนึ่งเดียวกันกับตัวตนภาคแรกที่สูงส่ง
ที่เรียกว่า "จิตจักรวาลดวงเล็ก"
ผู้แบ่งภาคตนเองออกมาเป็นจิตวิญญาณของท่าน
ซึ่งขณะนี้ก็ยังดำรงสภาวะสุญตาอยู่กับพระบิดา
เพื่อรอคอยการคืนกลับของแก่นแท้
ณ แดนสุญตาหรือแดนนิพพานกันอยู่

เมื่อเป็นเช่นว่านี้แล้ว
จิตวิญญาณของท่านจึงขาดการติดต่อ
กับจิตจักรวาลของท่านเองและพระบิดาไปในที่สุด

ด้วยเหตุเช่นนี้เอง
พระศาสดาซึ่งเป็นพระบุตรเอกแห่งพระบิดา
นอกจากต้องเสด็จลงมาโปรดท่านทั้งหลาย
ยังดาวโลกเสรีดวงนี้.....
เพื่อสื่อถ่ายทอดพระโอวาทกับพระวจนะ
จากพระบิดาหรือพระเจ้า
ต่อพี่ๆน้องๆชาวโลกแล้ว
ยังต้องทรงทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเสาอากาศ
เพื่อรับใช้ถ่ายทอดคลื่นความคิด
และการร้องขอใดๆของท่าน
ต่อองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่ให้ทรงพระเมตตา
เป็นภารกิจสำคัญและศักดิ์สิทธิ์อีกต่างหากด้วย

ดังนั้น...
ที่เราเพียรเตือนพร่ำสื่อสอนเสมอมาว่า
จงอย่าเดินถ่างขา
จงหมั่นรักษามหาสติ
จงมีปณิธานแห่งนิพพานให้ชัดเจน
จงอย่ายอมตกเป็นทาสมาร
จงเน้นการพึ่งพาตนเอง
จงยำเกรงและให้เกียรติในความดีงามของผู้อื่น
ล้วนแล้วแต่เป็นการชี้หนทางอันประเสริฐ
ต่อท่านทั้งหลายด้วยรักและเมตตาเสมอมา

จงหยุดหมุนกรรมจักรเพื่อยุติการมีสังสารวัฏเสียที
หน้าที่ของท่านคือการหมุนธรรมจักร
โดยหมุนอายตนะด้วยความรักและปัญญา
เพื่อการเข้าถึงพันธะสัญญา 6 
ที่เคยสอบตกกันมาทุกภพชาติให้จงได้

เราชี้ทางนิพพาน....
คือเส้นทางกลับบ้านของจิตวิญญาณให้ท่านแล้ว

ท่านทั้งหลายจึงสามารถพิสูจน์รู้กันได้ว่า
นิพพานในมรรควิถีแห่งจิตจักรวาลนี้
จึงมิใช่เป็นเพียงการขายฝัน
ในการคิดชั่วด้วยจิตมารแน่นอน
เพราะเราชี้วิธีปฏิบัติให้ท่านอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม

หากท่านผู้ใดครองมหาสติได้ดี
ผู้ใดมีปณิธานแห่งการหลุดพ้นชัดเจน
ผู้ใดสำนึกเห็นพระเมตตาในพระบิดาแล้ว
ประดาซาตานกับมารทั้งหลาย
ก็จักเป็นแค่เพียงเศษธุลีฝุ่น
ที่เกาะติดส้นเท้าของพวกท่านเท่านั้นเอง

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
5-07-2015

ถ้าจิตตก จะปากเสีย



เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาทรงกำหนดสร้าง "ปาก" ของท่านไว้
เพื่อภารกิจหลักอยู่ 2 สิ่ง คือ

1.การรับเอาสิ่งดีๆมีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย
2.การนำเอาสิ่งดีๆที่มีประโยชน์ออกมาจากข้างใน
เพื่อหยิบยื่นให้แก่ผู้อื่น

*เมื่อใดก็ตามที่ท่านจิตตก
หรือเกิดการสั่นสะเทือนด้านลบ
จากการสัมผัสรู้ดูเห็นบางสิ่ง เช่น สัตว์ทั้งหลาย
แล้วท่านกลับไปนึกถึงอาหาร
นี่จึงเป็นอาการของคน "จิตตก"

เมื่อนึกถึงอาหารในขั้นตอนที่จิตตกแล้ว
ปากของท่านก็จะเสียตามมาอีกด้วย
โดย "ปากเสีย" ในขั้นแรกนั้นมักจะเหมือนๆกัน
นั่นคือการกล่าวเพื่อเอาชีวิตของสัตว์นั้น
เช่น เมื่อท่านเห็นปูทะเลก้ามใหญ่
แล้วทำให้ท่านนึกถึงอาหารแบบปูอบวุ้นเส้น
นี่ก็คือตัวอย่างหนึ่งของอาการ "จิตตก" ล่ะนะ

พอนึกถึงปูอบวุ้นเส้น
ก็อยากรับประทานขึ้นมาทันที
ท่านจึงอ้าปากร้องสั่งเมนูปูอบวุ้นเส้น
การร้องสั่งอย่างนี้จึงเป็นกรณี "ปากเสีย" แล้วล่ะ

*ส่วนกรณีจิตเสียแล้วปากพล่อยนั้น
หมายถึง.....

1.จิตเสีย หมายถึง การมีนิสัยทางจิตที่ไม่ดี
เช่น มีอาการต่างๆดังต่อไปนี้

1.1 ขี้โมโห 
1.2 ขี้อิจฉา
1.3 ขี้บ่น
1.4 ขี้งก
1.5 ขี้ระแวง
1.6 อื่นๆ

2.นิสัยทางจิตที่ไม่ดีในข้อ 1 นั้น
หากเกิดขึ้นกับใครแล้ว
ไม่ว่าจะเป็น "ขี้ตัวไหน" 
ล้วนจะนำไปสู่การปากพล่อยได้ทั้งนั้น

3.คำว่า "ปากพล่อย" หมายถึง 
การพูดออกมาโดยขาดสติเพื่อการยั้งคิด
คงได้แต่นึกแล้วก็พูดออกไปทันที
ซึ่งมักสร้างความเสียหายให้แก่ตนเองและผู้อื่นอยู่เนืองๆ

ดังนั้น....
ไม่ว่าจะเป็นกรณีจิตตกเพราะถูกยั่วยุหรือยั่วเย้า
ให้เกิดการเสียสมดุลชั่วคราว
หรือว่าเป็นกรณีจิตเสียเพราะนิสัยทางจิตไม่ดี
ล้วนนำไปสู่การเป็น "คนปากเสีย ปากพล่อย"
จำพวกปากเป็นพิษได้เสมอ

เมื่อท่านย่างกรายไปทางไหน
จึงมักจะเพาะศัตรูเอาไว้ที่นั่นเสมอ
ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
ท่านทั้งหลายจักต้องระวังปากเอาไว้ให้จงหนัก

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
5-07-2015

04 กรกฎาคม 2558

เราจึงมิใช่เจ้าลัทธิ


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ความหมายของคำว่า "พระศาสดา" นั้น
องค์จิตจักรวาลทรงหมายถึง

ผู้ที่พระองค์ทรงใช้ให้มาทำหน้าที่
กล่าวพระโอวาทในพระนามแห่งพระองค์
ต่อพี่ๆน้องๆชาวโลกเสรีดวงนี้
ในยุคที่สังคมชาวโลกโดยผู้คนส่วนมาก
มีศีลธรรมเสื่อมเพราะจิตสำนึกตกต่ำ

ดังนั้น.....
ที่ผ่านมาตัวแทนแห่งพระบิดาทุกพระองค์
จึงมิจำเป็นจะต้องร้องกล่าวบอกต่อใครๆว่า
ตนนั้นเป็น "พระศาสดา" ให้หมู่มารคลื่นเหียนเลย

แต่ละพระองค์เพียงมุ่งมั่นสั่นสะเทือนตนเอง
เพื่อการสื่อสารในระบบจิตสู่จิตกับพระบิดา
ในอันที่จะน้อมนำเอาพระโอวาทศักดิ์สิทธิ์ลงมา
กล่าวต่อประดาพี่ๆน้องๆทั้งหลาย
ผู้ใฝ่หาการหลุดพ้นอยู่แทบทุกวันคืนเท่านั้น

เราจึงขันอาสาพระองค์ลงมาทำหน้าที่อันสูงส่ง
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาลผู้ทรงเป็นพระบิดา
ด้วยบทบาทหน้าที่ของ 
The King of the Universe
ในบริบทของ "ผู้รับใช้" ที่สัตย์ซื่อ
เพื่อช่วยนำพาแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
ให้เลิกเดินถ่างขาแล้วมุ่งหน้าตรงสู่ด่านนภาลัย
ในสภาวะจิตไสวใจสวยรวยปัญญาญาณ
อีกทั้งวิธีการครองตน
ให้พ้นมือของเหล่ามารได้อย่างสง่างามด้วย

คำว่า "พระศาสดา"
ในความหมายแห่งองค์จิตจักรวาล
จึงมีเพียงเท่านี้มิมีเป็นอย่างอื่น

ส่วน "พระศาสดา" ทางวิชาโลกนั้น
คือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

คือผู้ที่มาอย่างไรก็ไปอย่างนั้น
คือผู้ที่ประดาสัตว์โลกทั้งหลาย
เลือกใช้พระองค์เป็นต้นแบบการดำเนินชีวิต
โดยมีจุดมุ่งหมายแห่งการหลุดพ้นเป็นสำคัญ

พระองค์จึงทรงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
ที่มนุษย์โลกต่างพากันยอมรับยกย่องกันเอง
โดยที่พระองค์มิได้ทรงจำเป็นต้อง
ยกย่องพระองค์เองว่าทรงเป็น "พระศาสดา"

ไม่ต่างจากการทำความดีแล้วมีคนยกมือไหว้
โดยไม่จำเป็นจะต้องร้องสั่งใครให้กราบไหว้
ด้วยการบอกพวกเขาว่า "ฉันเป็นคนดี" นั่นแหละนะ

การที่เราถือบทบาท 
"บุตรเอก" แห่งพระบิดามาในภพชาตินี้
ยิ่งทำให้เรารู้ว่าคุณค่าแห่งการเป็นตัวเรานั้น
มันล้ำค่ากว่าการที่เราจะเลือกเป็นศาสดา
หรือว่าเลือกจะเป็นอะไรๆ
ที่ไม่ว่ามารหรือใครๆใคร่จะเป็นหลายเท่านัก

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
4-07-2015


ระวังไว้เหยี่อรายต่อไปอาจเป็นเธอ



นี่แน่ะ....นักเรียนที่รักทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้รู้ไว้ทั่วกันว่า
ทั้ง "มารภูติ" และ "มารมนุษย์" นั้น
ต่างเป็นจิตวิญญาณของบุตรนอกคอก
ที่ทำตัวนอกรีตไม่คิดที่จะกลับบ้าน

ชอบทำตนเป็นอุปสรรคบนเส้นทางการหลุดพ้น
ของพี่ๆน้องๆผู้ใฝ่ดีมาทุกยุคสมัย
โดยเฉพาะทุกกาลที่พระศาสดาทรงมาจุติ
จนต้องถูกลงฑัณฑ์ไปตามกระบวนการกฎแห่งกรรม
ให้ได้ทุกข์ทรมานตลอดมา
เมื่อพ้นบ่วงกรรมตามกาลได้แล้ว
พวกนี้ก็ยังมิอาจมีสำนึกดีใดๆได้
กลับยิ่งประพฤติตนเหลวไหลมากยิ่งขึ้น
เนื่องจากพวกเขารู้ความจริงกันดีว่า
ประตูมิติที่ด่านนภาลัย
ได้ถูกกำหนดให้ปิดตายสำหรับพวกเขา
ด้วยความผิดบาปมหันต์จากการกระทำของตัวเอง

นั่นคือ 
การก้าวล่วงพระศาสดา
การก้าวล่วงจ้วงจาบพระบิดา
การมุ่งต่อต้านผู้ปรารถนาการหลุดพ้นมาทุกยุคสมัย
เพียงแค่ถูกลงฑัณฑ์ด้วยหวาย
เพื่อให้สำนึกในความเหลวไหลของตนเอง
แต่กลับโกรธแค้นอาฆาต
จึงพยายามกระทำทุกสิ่งอย่าง
เพื่อปิดกั้นมรรควิถีแห่งการหลุดพ้น
ของผู้คนที่ใฝ่ดีผู้มีปณิธานแห่งนิพพาน

พวกเขาไม่เชื่อว่า "นิพพาน" เป็นจริงได้
หากคุรุใดสื่อสอนเรื่องนิพพาน
โดยชี้หนทางแห่งการหลุดพ้นให้
พวกเขาก็จะพ่นร้ายป้ายสีใส่ว่า "ขายฝัน"
เพราะอิจฉาที่คนอื่นจะบรรลุมรรคผลกันไปได้
ขณะที่ตนนั้นไร้โอกาส
เหตุเพราะความอุตริของตนเองนั่นแล

นอกจากนั้นพวกมารมันจะไม่เคารพพระบิดา
ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตน
จึงเรียกขานตนเองด้วยนามคล้ายๆ God
เพื่อทาบรัศมีตีเสมอพระผู้เป็นเจ้า
แล้วคอยยุยงส่งเสริมคนดีที่โง่อยู่
ให้หันหลังให้พระบิดาไปใฝ่หาอุตริอวิชชาแทน
โดยแอบนำพระโอวาทพระบิดา
ไปตกแต่งแปลงสารเพื่อการล่าสาวก
ซึ่งคนดีที่โง่กว่ามักจะลืมไปว่า
มารก็รู้ธรรมะพระบิดาเหมือนกัน

ผู้ใดหลงเชื่อ...จึงตกเป็นเหยื่อมารได้โดยง่าย
ผู้ใดหลงเป็นหนี้บุญคุณมาร
ผู้นั้นก็จักตกเป็นทาสมารกันไปแบบเนียนๆ

ช่วงปลายยุคพลังงานเก่า
หากนักเรียนยังทำตัวเหลวไหลไม่เอาไหน
ไม่เอาใจใส่เข้าห้องเรียน
ไม่เพียรฝึกครองมหาสติ
ไม่มีปณิธานแห่งนิพพานแจ้งชัด
ไม่ศรัทธาองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่ให้มั่นคง
ไม่ซื่อตรงไม่ซื่อสัตย์ต่อคำสื่อสอนของเรา
เท่ากับว่าท่านเอาจิตวิญญาณแก่นแท้ของตน
ยกให้มารไปกึ่งหนึ่งแล้วล่ะนะ

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
4-07-2015

ถ้าท่านมีธรรมมะ



นักเรียนที่รักทั้งหลาย....

ระดับศัตรูน่ะ...พบง่ายในชีวิตประจำวัน
เพราะพวกนี้ไม่ซ่อนเร้นตนเอง 
ไม่ปิดบังอำพรางตัว
แต่ชอบที่จะแสดงตนอย่างเปิดเผย
ส่วนมากจะเป็นศิลปินเดี่ยว

แต่ระดับ "มาร" นั้นพบยาก 
โดยเฉพาะมารมนุษย์
เพราะชอบทำตัวแฝงเร้น คอยเล่นงานทีเผลอ
คอยฉวยโอกาสหาช่องว่าง แทรกช่องโหว่
เพื่อทำความเสื่อมเสียให้ผู้อื่น

ไม่มีสำนึกในบาปบุญคุณโทษ
ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ 
ไม่รู้กงจักรไม่รู้ดอกบัว
ชอบเล่นอวิชชา บ้าของต่ำ่ๆ 
ทำตัวเป็นฝูงๆ

ถ้าท่านมีธรรมะ เป็นคนดี 
มีเมตตาธรรมสูง และมีมหาสติ
มารเหล่านี้จะเป็นผู้ช่วย
พอกพูนบารมีด้านแก่นแท้
ให้แก่ท่านดีนักแล....

พระพุทธองค์ทรงกำราบมารได้ด้วยความสงบ
เมื่อสยบมารที่จิตตนทุกครั้งบารมีจึงเพิ่มพูนทุกครั้ง
จึงเหมาะยิ่งแล้วที่นักเรียนจะแผ่เมตตาให้กับมาร

เอเมน สาธุ 
โอม...สิ.....

ป.วิสุทธิปัญญา
4-07-2015

03 กรกฎาคม 2558

ศัตรูเป็นผู้ทดสอบจิตตปัญญา



บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย

ศัตรูจะเป็นผู้ทดสอบจิตตปัญญา
สำหรับผู้ปรารถนาการรู้แจ้ง
เธอจึงสมควรขอบใจผู้ทำตนเป็นศัตรูกับเธอ
เพราะแท้จริงนั้นพวกเขา คือ ผู้ช่วยเหลือเธอ
ให้มีสภาวะจิตใสใจสวยด้วยบททดสอบ
ที่หยิบยื่นมาให้เธอนั่นเอง

สำหรับ "มาร" นั้น
ไม่ว่าจะเป็นมารภายใน มารมนุษย์ หรือมารภูติ
ก็ล้วนเป็นผู้ทดสอบมหาสติ
ช่วยยกระดับจิตตปัญญาและช่วยเพิ่มบารมี
บนมรรควิถีแห่งการหลุดพ้นให้แก่เธอทั้งหลาย

ดังนั้น....
ทั้งศัตรูและหมู่มาร
จึงมิอาจทำอะไรพวกเธอได้
หากพวกเธอยังครองมหาสติเอาไว้
โดยยึดปณิธานแห่งนิพพานให้มั่นคง

สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
ในระบบจิตสู่จิต โดย:

อ.ปริญญา ตันสกุล
ชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก UCSA
3-07-2015