29 กรกฎาคม 2562

คำสอน 29/07/2019

 

เรานำแสงสว่างมาสู่โลก

ผู้ที่ก้าวตามเรามาจะไม่เดินหลงทาง
เพราะมิได้อยู่ท่ามกลางความมืด
แต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต

28 กรกฎาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 28/07/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

 

อนุตรธรรมสำคัญ

ในหลักแห่ง #ธรรมจักร ก็คือ

ทุกดวงจิตวิญญาณที่ได้รับโอกาสมาเกิด

เป็น "คนสองมิติ" คือ มิติของกายหยาบ

กับมิติทางพลังงานด้านจิตวิญญาณ

ซึ่งมีมายารูปลักษณ์เป็นรูปธรรมมนุษย์นั้น

 

ตัวท่านเองในแต่ละคน

มีหน้าที่จะต้อง "คน" ทั้งสองมิติที่ว่านี้

ให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้สำเร็จให้จงได้

นั่นหมายความว่าท่านทั้งหลาย

จะต้องยกระดับแรงสั่นสะเทือนด้านบวก

ของกายหยาบ จิตหยาบและจิตวิญญาณ

ให้มันเป็นหนึ่งเดียวกันให้จงได้

หากท่านทำสำเร็จ

เท่ากับว่าท่านได้คนตนเองจนเป็นมนุษย์แล้ว

 

ดังนั้น

เมื่อได้รับโอกาสมาเกิดเป็นคนบนโลกนี้

ตั้งแต่อายุ 3 ขวบขึ้นไป

พวกท่านทุกคนจักต้องเริ่มเรียนรู้

ที่จะทำการ "คน" ตนเองให้เป็นมนุษย์ให้ได้

 

แน่นอนว่าเครื่องมือที่จะใช้ในการคน

ต้องประกอบด้วยกลไกอายตนะภายนอก

คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส

กับ จิต และปัญญาของสมองเป็นสำคัญ

 

โดยท่านทั้งหลายจะต้องอาศัย "ตัวช่วย" ด้วย

นั่นคือ "คนรอบข้าง" ที่รายล้อมรอบๆตัวท่าน

พวกเขาจะรอพบท่านอยู่ทุกหนแห่งที่ท่านไป

เพื่อทำหน้าที่หยิบยื่นเงื่อนไขต่างๆ

ซึ่งเป็นการกระทำทั้งด้านบวกและด้านลบมาให้

โดยท่านจะสัมผัสรู้ดูเห็นเงื่อนไขของพวกเขา

ได้ด้วยอายตนะภายนอกทั้งห้านั่นแหละ

 

ในอดีตกาล

คนนำทางตาบอดเขาสอนพวกท่านให้ "หนี"

ปลีกตัวเองออกไปจากสังคม

กล่าวหาพวกเขาว่าสร้างความวุ่นวาย

สร้างปัญหาพาให้ท่านจมอยู่ในกองทุกข์

ทั้งๆที่พระพุทธองค์ทรงสอนหลักอริยสัจสาม

กับมรรคมีองค์ 8 ประการไว้ให้รับมือกับปัญหา

ทุกๆแบบที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้หมดจด

แต่ก็ยังพยายามจะหนีทุกข์เพื่อละทิ้งหน้าที่

ที่จิตวิญญาณของตนเองจะต้องกระทำอยู่ร่ำไป

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

การที่ชาวโลกเสรีรุ่นบุราณนานมา

เขากล่าวกันว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม

หมายความว่าใครจะปลีกวิเวก

พาตัวเองไปโดดเดี่ยวออกจากสังคมไม่ได้

เพราะทุกคนมีหน้าที่ต้องคนตนเองให้เป็นมนุษย์

และต้องช่วยเป็นเงื่อนไขบวกบ้างลบบ้าง

ให้แก่กันและกันตลอดวันและทุกวัน

ในยามตื่นขึ้นมาหรือเมื่อโคจรมาพบหน้ากัน

 

โดยที่เงื่อนไขที่ท่านยื่นให้คนอื่น

และที่คนอื่นยื่นเงื่อนไขให้ท่าน

เราเรียกมันว่า "บททดสอบจิตสามนึก"

ซึ่งมีที่มา 2 แบบด้วยกันคือ แบบแรก

 

เป็นบททดสอบที่จิตวิญญาณของพวกท่าน

ขีดเขียนบทบาทนั้นๆกันมาเองที่ด่านนภาลัย

ซึ่งจิตวิญญาณของพวกท่านต่างก็รู้กันดีอยู่

มีแต่จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ท่านนี่แหละที่ไม่รู้

เพราะถูกปกปิดมิติไว้มิให้ล่วงรู้

เนื่องจากถ้าให้รู้การทดสอบนั้นก็จะเป็นโมฆะ

ถ้าแผนการทดสอบเป็นโมฆะ

นั่นเท่ากับว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ล้มเหลว

 

เราเรียกบททดสอบแบบแรก

ซึ่งจิตวิญญาณพวกท่าน

ประชุมวางแผนเลือกบทบาทกันมาแสดง

เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์นี้ว่า

#บทละครชีวิต หรือ ชะตาชีวิต

 

ส่วนเงื่อนไขทดสอบจิตสามนึก แบบที่ 2

เป็นบททดสอบที่มิได้วางแผนมาก่อน

แต่ทุกท่านต้องมาเผชิญกันเองแสดงเอง

ส่วนมากจะเป็นบุคคลที่มิได้วางแผนว่า

จะมาเกิดเป็นวงศาคณาญาติกัน

หรือวางแผนว่าจะมาเป็นครอบครัวเดียวกัน

โดยต่างคนเป็นเพียงแค่สมาชิกคนหนึ่ง

ที่ดำรงอยู่ในสังคมเล็กใหญ่ร่วมกันเท่านั้น

 

บททดสอบแบบที่สองนี้

เป็นเงื่อนไขที่เกิดจากการกระทำ

ทั้งด้านบวกด้านลบดีๆชั่วๆมั่วๆกันไป

ซึ่งเกิดจากอุปนิสัยส่วนตัวของพวกท่าน

ที่ผิดแผกแตกต่างกันอย่างหลากหลาย

ทั้งนิสัยการดำเนินชีวิตและนิสัยการทำงาน

 

พฤตินิสัยที่แตกต่างกันในแต่ละคน

ก็จะกลายเป็นเงื่อนไขของกันและกันได้

ถ้ากระทำต่อกันแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมรับ

หรือสร้างความไม่พอใจให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

คำว่า "ธรรมจักร" ในประการแรก

จึงหมายถึงการคนตนเองให้เป็นมนุษย์

ด้วยการที่ท่านจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้อายตนะ

ทำงานร่วมกันกับจิตและสมองให้ได้

ใช้มันให้เป็น และใช้มันอย่างถูกต้องนั่นเอง

 

ตัวอย่างเช่น

ถ้าท่าน "เห็น" ปลาแล้วนึกถึงอาหาร

นี่มิใช่การคนตนเองให้เป็นมนุษย์

เพราะท่านยังใช้จิตฝ่ายต่ำ

แสดงความ #ตะกละ และคิดชั่วต่อปลาอยู่

พฤตินิสัยแบบนี้ คือ การ "หมุนกรรมจักร"

 

แต่ถ้าท่านมองเห็นปลาตัวเดิม

แล้วท่านพบว่า "ปลาน่ารักน่าเอ็นดู"

นี่ท่านก็จะเป็นผู้มีจิตใจสูงส่งแล้ว

เพราะสั่นสะเทือนเป็นความรักและเมตตาได้

ปลาตัวนั้นก็จะไม่ถูกฆ่าตาย

 

และถ้าท่านจะใช้ปัญญาค้นหาธรรมะจากปลา

ด้วยสมองซีกขวาคือปัญญาญาณที่ท่านมีอยู่

ท่านก็จะพบสัจธรรมซึ่งพระบิดาหรือพระผู้สร้าง

ทรงฝากแฝงเอาไว้กับปลา

เพื่อทรงเจตนาจะสั่งสอนธรรมะแก่ท่านได้ด้วย

 

พฤตินิสัยแบบที่สองนี้แหละ

คือ การ "หมุนธรรมจักร"

 

อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น

ถ้าท่านได้ยินมาว่ามีคนนินทาว่าร้ายท่าน

ท่านก็เกิดความรู้สึกโกรธเคืองขุ่นใจทันที

นี่ท่านก็ "สอบตก" เพราะขาดสติแล้ว

มันจึงเป็นการคนตนเองอย่างล้มเหลวอยู่

เพราะยังเป็นมนุษย์ผู้มีจิตใจสูงไม่ได้

พฤตินิสัยแบบนี้ คือ การ "หมุนกรรมจักร"

 

แต่ถ้าท่านรู้มาว่ามีใครบางคน

นินทาว่าร้ายท่านให้เสียหายมากมาย

แต่ท่านสามารถอดทน อดกลั้น ให้อภัย

แก่ผู้ที่ก้าวล่วงท่านด้วยวาจาได้

ไม่มีจิตตก ไม่หวั่นไหว

แต่มีจิตใจอันสุขสงบได้อย่างมั่นคง

พฤตินิสัยแบบนี้นี่แหละ คือ "หมุนธรรมจักร"

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

ภารกิจหลักหนึ่งในหกอย่าง

ที่จิตวิญญาณของท่านต้องรับผิดชอบ

และต้องทำให้สำเร็จก็คือ

การ "คน" ตนเองให้เป็น "มนุษย์"

โดยอาศัยพี่ๆน้องๆร่วมโลก

ช่วยสร้างเงื่อนไขให้

ซึ่งเป็นเรื่องเดียวกันกับ #ธรรมจักร นั่นเอง

 

ดังนั้น

เหตุที่บวชนานปฏิบัติธรรมมานาน

แต่นิพพานไม่สุดเลยหลุดพ้นกันไม่ได้

ก็เพราะเชื่อแต่ผู้นำทางตาบอด

ที่พยายามจะพาท่านตายไปให้พ้นจากโลก

เพราะเชื่อผิดๆว่าพ้นโลกได้ก็พ้นทุกข์

โดยเน้นเขียนภาพให้เกลียดกลัวความทุกข์

ทั้งๆที่พระพุทธองค์ผู้ประเสริฐนั้น

ได้ทรงมอบอริยสัจกับอริยมรรคเอาไว้ให้แล้ว

 

ด้วยเหตุนี้เอง

ท่านที่เป็นฆราวาสซึ่งตนเองมีสังคมอยู่

ต้องพยายามแสดงบทบาทสัตว์สังคมให้ดี

ด้วยการรักทุกคนให้ได้แม้ใครจะไม่น่ารัก

ให้อภัยเขาให้เป็นแม้เขาจะทำตัวไม่น่าให้อภัย

 

แม้จะช่วยอะไรใครเขาไม่ได้

ถ้าพบเห็นความทุกข์ของใครซึ่งหน้า

ท่านก็จักต้องมีเมตตาสงสารเขาคนนั้นให้ได้

แทนที่จะวางเฉย หรือ สมน้ำหน้า

 

ที่เรากล่าวมานี้

มันคือการคนตนเองให้เป็นมนุษย์

มนุษย์คือผู้ที่มีจิตใสใจสวยยิ่งๆขึ้นไป

และวิธีการคนของท่าน

มันคือการหมุนธรรมจักรในตนเองโดยแท้

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

28-07-2019

สนทนาประสาจิตจักรวาล 28/07/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การปฏิบัติธรรมในเรื่องหล่านี้ คือ
1. ธรรมจักร
2. คนสองมิติ
3. คนตนเองให้เป็นมนุษย์

ทั้ง 3 กรณีที่ว่านี้ เป็นเรื่องเดียวกัน
เป็นกงล้อที่ต้องหมุนไปในทิศทางเดียวกัน
ต้องหมุนไปในทิศทางที่ถูกต้องเท่านั้น คือ

1. #ธรรมจักร
คือ การหมุนวนอายตนะภายนอกทั้งห้า
ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัส
เข้าไปหาจิตที่ติดตั้งอยู่ข้างใน
โดยถ่ายทอด "ผัสสะ" จากอายตนะทั้งห้า
เข้าสู่ภายในตรงไปยัง "จิตหยาบ"
เพื่อให้จิตหยาบ "รับรู้" แล้ว "เรียนรู้"

เรียนรู้ว่า "อะไร" เป็น "อะไร" ด้วยปัญญา
เรียนรู้ว่าจะ "รับเอา" หรือ "ไม่รับเอาอะไร"
ด้วยความฉลาดทางจิตปัญญาที่สูงขึ้นไป
ในอันที่จะนำไปสู่การสั่นสะเทือนจิตใจ
เป็น #ความรักความเมตตา ตอบสนอง
เป็นกายกรรม วจีกรรม ที่เหมาะสมดีงาม

ดังนั้น
คำว่า "หมุนวน" คือ การสับเปลี่ยน
เป็นการหมุนเวียนกันใช้อายตนะ
ผัสสะสิ่งเร้าแวดล้อมจากภายนอก
เพื่อส่งข้อมูลเข้าไปหาจิตกับสมอง
ที่ติดตั้งอยู่ข้างใน

ท่านจักต้องเรียนรู้ที่จะรักให้ได้
ให้อภัยตนเองและผู้อื่นให้เป็นเท่านั้น
ถ้าเขาคนนั้นทำตนเป็นเงื่อนไขด้านลบ
ให้ท่านทุกข์ใจ ท้อใจ เบื่อหน่ายหรือไม่ชอบ
ห้ามท่านคิดก้าวล่วงทำร้ายเขาเด็ดขาด

ที่สำคัญคือจะหลบไปปลีกวิเวก
นั่งๆนอนๆหลบมุมจุ้มปุ๊กอยู่คนเดียว
โดยจะไม่ขออะไรกับอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
เพราะ #จิตจักรวาล จะถือเป็นการละทิ้งหน้าที่
และท่านจะเสียชาติเกิดฟรีๆไปอีกหนึ่งภพชาติ

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

หากท่านสังเกตให้ดีก็จะเห็นความจริงว่า
การหมุนธรรมจักรที่ว่านี้นั้น
มันจะมีลักษณะพิเศษให้ชวนสังเกตก็คือ

1. ท่านจะเป็นผู้เริ่มต้นกระบวนการเหวี่ยงหมุน
ด้วยการใช้กลไกอายตนะภายนอก
ในช่องทางใดช่องทางหนึ่งในห้าช่องทาง
จับความเคลื่อนไหวเงื่อนไขภายนอกได้
ที่พวกคนนำทางตาบอดเรียกว่าเกิด "ผัสสะ"

2. เมื่ออายตนะภายนอกทั้งห้า
รับผัสสะส่งเข้าไปหาจิตที่อยู่ข้างใน
จนยังผลให้จิตสั่นสะเทือนเป็นการรับรู้
แสดงว่าท่านกำลังหมุนจากข้างนอกเข้าในอยู่

3. เมื่อจิตท่านรับรู้แล้ว
สั่นสะเทือนเป็นความรักเพื่อให้
สั่นสะเทือนเป็นการรักที่จะเรียนรู้อะไรๆ
สั่นสะเทือนเป็นการสนองตอบ
ด้วยความรักเพื่อให้
ด้วยการใช้ปัญญาของสมอง
เพื่อการตอบสนองออกมาภายนอก
เป็นมโนกรรม วจีกรรม หรือ กายกรรม
ที่เป็นพฤติกรรมทางด้านบวกต่อผู้อื่น

นี่ก็บ่งชี้ได้ว่า
ท่านกำลังเหวี่ยงหมุนธรรมจักรจากนอกสู่ใน
เมื่อถึงสุดที่เป็นก้นบึ้งแห่งจิตใจแล้ว
ก็เหวี่ยงหมุนเอา "ความรัก" กับ "ปัญญา"
ออกมาตอบแทนผู้ที่เป็นเงื่อนไขบวกลบให้
ซึ่งมันจะทำให้คนอื่นๆรายรอบตัวท่าน
ได้รับโอกาสหมุนธรรมจักรตามท่านไปด้วย

ดังนั้น
ความหมายของการหมุนธรรมจักรก็คือ
การเหวี่ยงหมุนอายตนะด้วยวิธีธรรมชาติ
เข้าไปหาจิตที่เร้นอยู่ข้างใน

เมื่อจิตสั่นสะเทือนตามเพราะถูกปลุกเร้า
ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
ตรงความต้องการทางจิตวิญญาณแล้ว
จิตก็จะเหวี่ยงหมุนเอาความรักเพื่อให้
กับความคิดสร้างสรรค์อันแสนฉลาดล้ำ
แสดงออกมาเป็นการกระทำด้านบวกต่อผู้อื่น
ให้เป็นพฤติกรรมเชิงประจักษ์สู่โลกภายนอก
จนเป็นธรรมชาติของท่านเองไปในที่สุด
เพื่อจะชวนให้คนรอบข้างของท่าน
พากันหมุนธรรมจักรตามท่านไปด้วย
แล้วก็หมุนต่อเนื่องไปเรื่อยๆไม่รู้สิ้นสุด

กระบวนการง่ายๆธรรมดาที่ว่านี้แหละท่าน
จึงเป็นที่มาของคำว่า "หมุนธรรมจักร"
คือ การเหวี่ยงหมุนธรรมชาติในตนเอง
ร่วมกันกับคนอื่นๆที่อยู่ในสังคมของท่าน
มิใช่แอบไปนั่งหลับตากำหนดจิตเอาเอง
นั่งหลับตาตามดูจิตตนเองเหมือนตาบอด
ได้แต่สร้างมโนภาพเอาเองอยู่ลำพังคนเดียว
เหมือนจะพยายามไปสวรรค์คนเดียว
ตลอดระยะเวลานับหมื่นๆปีที่ผ่านมา
จนเสียเวลาทางจิตวิญญาณไปเยอะแล้ว

ทั้งหมดที่เรากล่าวมา
เป็นเรื่องปฏิบัติการทางธรรมชาติของทุกคน
ที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันทั้งนั้น
ไม่จำเป็นต้องใช้ปฏิบัติการทางเท็คนิก
ที่มันดูจะ #ฝืนธรรมชาติ หรือผิดธรรมชาติ
เข้ามาฝืนจริตปฏิบัติกันด้วยซ้ำไป

แท้จริงแล้วธรรมะเป็นเรื่องง่ายๆ
อะไรที่เข้าใจยากจึงไม่น่าจะใช่ธรรมะ
วอนพวกคนนำทางตาบอดทั้งหลาย
ที่ชอบสร้างวาทะกรรมให้ฟังยากเข้าใจยาก
ให้หยุดสร้างวาทะกรรมอำพรางสัจธรรมเสียเถิด
สร้างกันขึ้นใหม่มากๆจะยิ่งทำให้ชาวบ้านสับสน
จนแยกกันไม่ออกแล้วว่าไหนพระวจนะ
ไหนเป็นแค่วาทะกรรมของคนนำทางตาบอด

เราจะกล่าวถึงเรื่องที่ 2
ในตอนต่อไป

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28-07-2019

27 กรกฎาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 27/07/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

เรื่องของ #ธรรมจักร นั้น

เป็นความจริงระดับ #อนุตรธรรม

 

ที่ไม่มีมนุษย์คนใดจะเข้าถึงได้

ด้วยศักยภาพของเครื่องยนต์แห่งกรรม

ที่มีสภาวะจิตกับกลไกสมองสองซีก

ซึ่งติดตั้งอยู่ภายในโครงสร้างทางชีววิทยา

ที่เรียกขานกันว่า

 

#เครื่องยนต์แห่งกรรม

รูปธรรมมนุษย์ทั้งชายหญิง

 

เหตุผลที่สำคัญก็คือ

จิตวิญญาณที่มาเกิดเป็นมนุษย์ทุกรูปธรรม

จักต้องถูกปกปิดมิติแห่งความจริงนี้ไว้

มิให้ผู้ใดล่วงรู้ความจริงอันสำคัญนี้ง่ายๆ

ก่อนจะได้เรียนรู้บทเรียนโลกอันหลากหลาย

และก่อนจะสอบผ่านบททดสอบมากมาย

เพื่อค่อยๆยกระดับจิตตปัญญาของจิตหยาบ

ควบคู่ไปกับการหมุนธรรมจักร

อย่างกลมกลืนกับชีวิตประจำวัน

และเป็นธรรมชาติที่สุดโดยมิต้องฝืนดัดจริต

 

ดังนั้น

จิตวิญญาณทุกรูปธรรม

ที่ได้รับโอกาสให้ข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็นคน

เพื่อเรียนรู้ที่จะยกระดับจากคนให้เป็นมนุษย์

จึงมิได้รับอนุญาตให้ถือ "อนุตรธรรม" ที่ว่านี้

ติดตัวมากับจิตวิญญาณของพวกท่านด้วย

 

นอกจากเครื่องมือที่จำเป็นต้องใช้ 3 ชิ้นก็คือ

1. ความอยากรู้อยากเห็น

2. ความรักและเมตตา

3. ความสามารถด้านการนึกคิด

ของจิตกับสมอง

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไม

พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้อนุตรธรรมบทนี้ได้

แล้วใยจึงมิทรงกล่าวสอนไว้ในรายละเอียด

จนทำให้ประดาคนนำทางตาบอด

พาคนที่หลับหูหลับตาก้าวตาม

หลงทางนิพพานกันอยู่ตราบจนทุกวันนี้

คำตอบแรก ก็คือ เพราะในขณะนั้น

ยังเปิดเผยความจริงนี้ให้โลกรู้ไม่ได้

ยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยหรือเฉลย

เพราะโลกยังไม่ถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่า

ที่จิตวิญญาณพวกท่านจะต้องกลับบ้าน

คืนสู่แดนสุญญตาที่จากมาแสนนาน

 

คำตอบที่สองก็คือ

ทุกคนยังจะต้องเข้าถึงอนุตรธรรมบทนี้

ผ่านการประพฤติธรรมอย่างจริงจัง

ในชีวิตประจำวันด้วยตนเอง

เพื่อยกระดับจาก "คน" ไปเป็น "มนุษย์"

แม้จะยังไม่รู้ว่า "หมุนธรรมจักร" คืออะไร

ทำไมต้องหมุนธรรมจักรด้วยก็ตาม

 

คำตอบที่สามก็คือ

พระบิดาทรงเว้นไว้ให้ "พระบุตรเอก"

ที่จะลงมาจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้าย

เป็นผู้เข้ามากล่าวความจริงเรื่องธรรมจักรนี้

ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาลเอง

 

โดยมิให้ผู้ใดกล่าวแทน

เพื่อป้องกันการหลงผิด คิดผิด เข้าใจผิด

จนทำการสื่อสอนผิดๆเยี่ยงคนนำทางตาบอด

เพราะยังใช้วิธีคิดด้วยจิตมนุษย์กันอยู่

ยังมิอาจเข้าถึงการคิดด้วยจิตวิญญาณได้

ซึ่งพระองค์ทรงทอดพระเนตรอยู่นานแล้วว่า

มันจะทำให้บุตรมนุษย์ทุกคนของพระองค์

มิอาจหลุดพ้นกลับบ้านในแดนสุญญตา

ทันเวลาปิดยุคพลังงานเก่าในอีกไม่นานนี้ได้

 

ที่เน้นย้ำว่าการกล่าวอนุตรธรรม

จะไม่มีวันบิดเบือนเบี่ยงเบนจากความจริงแน่

เพราะ "พระบุตรเอก" เป็นผู้ที่พระบิดา

ทรงแต่งตั้งให้ลงมาทำหน้าที่แทนพระองค์

โดยถือเครื่องมือสื่อสารช่องทางตรง

 

ในระบบจิตสู่จิตในแนวดิ่ง

กับพระองค์ติดตัวมาด้วย

เพื่อให้ทุกคำสอนทุกคำกล่าวพระโอวาท

ซึ่งทรงสื่อสารผ่านพระบุตรเอกลงมา

เป็นพระวจนะพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์จากพระองค์

เป็น "ขนมปังแห่งชีวิต" ที่กินง่ายและไร้พิษ

เป็นพระโอวาทแท้จริงที่ไร้สิ่งปนเปื้อน

 

บัดนี้

พระบิดาทรงพิพากษาโลกแล้ว

จึงทรงอนุญาตให้ฑูตสวรรค์ทั้งหมด

ผู้เป็นบรรดาช่างเท็คนิกแห่งเรา

ลงมือปฏิบัติการตามแผนที่กำหนดไว้แล้ว

ทั่วแผ่นดินโลกเสรีนี้

 

หน้าที่ของเรากับท่าน

จึงต้องเร่งหันมาเปิดปฏิบัติการเรียนรู้กันว่า

 

1. ธรรมจักร คือ อะไร

2. หมุนธรรมจักร หมุนอย่างไร

3. หมุนธรรมจักรเพื่ออะไร

4. เรื่องธรรมจักรสงวนลิขสิทธิ์ไว้

สำหรับบางศาสนา บางลัทธิได้ไหม

5. ทำไมไม่หมุนธรรมจักรหรือหมุนไม่สำเร็จ

จะมิหลุดพ้นจนกลับบ้านแดนสุญตาไม่ได้

6. ทำไมการปฏิบัติธรรมหนีทุกข์

ตายแล้วจึงต้องไปซุกอยู่บนสวรรค์มายา

เมื่อเข้าใจในหกประเด็นเหล่านี้แล้ว

 

จงหันหน้าเข้าหาคนรอบข้าง

แล้วตั้งใจปฏิบัติธรรม

เพื่อหมุนธรรมจักรกันทันที

ด้วยวิธีธรรมชาติในชีวิตประจำวัน

อย่าชักช้า หรือ ลังเล

 

ไม่ต้องขี้โม้

ไม่ต้องขี้คุยอวดธรรมะใครๆ

ด้วยภาษาอะไรที่ใครอื่นฟังไม่รู้เรื่อง

ไม่ต้องแบ่งแยกศาสนา บ้าลัทธิ

ด้วยการเบ่งทับศาสนาอื่น

ด้วยการแบ่งแยกคนนอกรีตที่คิดต่าง

ตามวัตรปฏิบัติแบบเดิมๆนับพันปีที่ผ่านมา

 

จงหันมาปฏิบัติธรรมหรือบวชที่ใจตัวเอง

แล้วปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามที่เราช่วยเหลือ

ด้วยการติดอาวุธทางปัญญาสมองสองซีกให้

เพื่อให้ท่านทั้งหลายเป็น #พุทธะ ที่แท้จริง

มิใช่เป็นแค่การอ้างตัวหรือแค่ปวารณาตน

 

หากใครต้องการ

เขียนประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่นี้ร่วมกันกับเรา

ต้องการร่วมทางไปกับเราเพื่อกลับบ้าน

กลับไปกราบพระเจ้าของพวกท่าน

ผู้ทรงอนุญาตให้ท่านมาเกิดเป็นมนุษย์

และทรงรอคอยพวกท่านอยู่นานแล้ว

จงหันหน้ามาทางเราเถิดทุกท่านจะปลอดภัย

 

จงเลิกก้าวตามคนนำทางตาบอด

แล้วลืมตามองโลก มองฟ้า มองจักรวาล

ในขณะที่โลกกำลังจะมีฟ้าใหม่

ในขณะที่มีหลายสิ่งกำลังถูกเปลี่ยนแปลง

จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย

จักต้องได้รับการดูแลแก้ไขเยียวยา

ให้ฟื้นคืนสู่สมดุลในตนเองให้เร็วที่สุด

เท่าที่เวลาแห่งโลกเสรีนี้มีเหลืออยู่

 

"อัตตา หิ อัตตโน นาโถ"

ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเป็นคำตอบสุดท้าย

ซึ่งพระบิดาแห่งจิตวิญญาณกับ "เรา"

 

เต็มที่กับฝูงแกะทุกตัวของพระองค์แล้ว

เต็มที่กับแกะตัวที่หลงฝูงของพระองค์แล้ว

เต็มที่กับเจ้าสาวที่ถือตะเกียงไร้น้ำมันแล้ว

เต็มที่กับเจ้าสาวที่ถือตะเกียงยืนหลับแล้ว

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

27-07-2019

26 กรกฎาคม 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 26/07/2019

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะบอกความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน

ในการมาเกิดเป็นมนุษย์บนดาวโลกเสรีนี้นั้น

ต่างได้รับการแบ่งภาคทางพลังงานออกมา

จากตัวตนภาคแรกที่สูงส่งของตนเอง

ซึ่งเป็นรูปธรรมทางพลังงาน 11 เหลี่ยมมุม

โดยพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ให้กำเนิดขึ้นมา

และทรงเรียกพระนามว่า #พระบุตร

พระบุตรที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมานี้

 

มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน

ต่างล้วนดำรงอยู่บนสนามพลังงานจิตจักรวาล

ซึ่งเสมือนดำรงอยู่บนพระอุระของพระองค์

โดย "พระบุตร" ที่เป็น "จิตจักรวาลดวงเล็ก"

ล้วนมีคุณสมบัติเป็น #สุญญตา ด้วยกันทั้งสิ้น

 

ดังนั้น

สนามพลังงานจิตจักรวาลจึงเป็นเสมือนไข่ขาว

ที่มีพระบิดาหรือพระเจ้าเป็นนิวเคลียสคือไข่แดง

และพระบุตรก็คือประดาลูกๆของพระองค์

ที่ดำรงตนเองอยู่ในอาณาบริเวณไข่ขาวนั่นแหละ

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เพราะอาณาบริเวณที่เป็นเสมือนไข่ขาว

ซึ่งมีประดาพระบุตรที่เป็นจิตจักรวาลดวงเล็ก

ต่างล้วนมีคุณสมบัติสำคัญ คือ เป็นสุญญตา

ดำรงตนเองกันอยู่มากมายนับไม่ถ้วน

พระบิดาจึงทรงเรียกตรงนี้ว่า #แดนสุญญตา

 

แดนสุญญตา จึงหมายถึง

"ดินแดนของผู้อิ่มเอิบอยู่กับความว่าง"

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า

มีพระบุตรหรือจิตจักรวาลดวงเล็กจำนวนหนึ่ง

มิใช่จำนวนทั้งหมดที่ทรงให้กำเนิดไว้

ได้ขันอาสาพระผู้เป็นเจ้าหรือพระบิดาว่า

จะเข้ามาจุติเป็น "คนสองมิติ" บนโลกเสรีนี้

เพื่อทำหน้าที่สำคัญ 6 ประการ

ซึ่งเราเรียกว่า #พันธะสัญญา6 นั่นเอง

สาระสำคัญของพันธะสัญญา 6 นี้

ที่ผู้มาเกิดทุกๆรูปธรรม

จักต้องรักษาสัญญากันก็คือ

1. เป็นสัญญาที่ผู้เข้ามาเกิดเป็นคนสองมิติ

ได้ให้สัจจะไว้กับองค์จิตจักรวาลหรือพระเจ้า

ว่าจะเข้ามาทำหน้าที่ทั้ง 6 ให้ลุล่วง

โดยจะไม่บิดพลิ้ว จะไม่ละเลยเหลวไหล

ดังนั้น

บุตรคนใดจะทำตัวเหลวไหลละเลย

หรือ ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับพระองค์

ถือเป็น "ผิดสัจจะ" ต่อพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้

 

2. เมื่อมาเกิดเป็นคนสองมิติแล้ว

อันประกอบด้วยมิติของกายหยาบ

กับมิติของจิตที่เป็นพลังงาน

คือจิตหยาบหรือจิตมนุษย์กับจิตวิญญาณ

ท่านผู้ได้รับโอกาสให้มาเกิดทุกรูปธรรม

จักต้อง "คนตนเอง" ให้เป็น "มนุษย์" ให้ได้

 

แน่นอนว่า

ภารกิจของการคนตนเองให้เป็นมนุษย์

ซึ่งเป็นภารกิจหลักที่สำคัญนี้

ท่านทั้งหลายจักต้องถือเป็นหัวใจสำคัญ

เป็นลำดับแรกของการปฏิบัติบำเพ็ญธรรม

อย่าไปหลงเดินตามคนนำทางตาบอดว่า

อริยสัจสี่กับมรรคมีองค์แปดกันอยู่อีก

 

เพราะการคนตนเองให้เป็นมนุษย์

ก็คือ #การหมุนธรรมจักร ในตนเองให้สำเร็จ

มิใช่การหนีทุกข์หัวซุกหัวซุนแต่อย่างใด

เนื่องจากมันเป็นคนละเรื่องกัน

ถ้าท่านมัวแต่ปฏิเสธความทุกข์

วุ่นวายอยู่กับทุกข์กับสุขไปวันๆ

ท่านจะไม่ว่างหมุนธรรมจักรกันหรอก

และคงไม่รู้ด้วยว่าต้องหมุนธรรมจักรยังไง

 

หมุนเพื่ออะไรอีกต่างหากด้วย

หรือแม้จะได้ฟังคำกล่าวของเรา

พวกคนนำทางตาบอดก็จะพากันปฏิเสธ

เพราะยังหลงผิดติดทุกข์ติดสุขกันอยู่

 

3. เป็นพันธะสัญญาที่ใครไม่ปฏิบัติ

ไม่ว่าจะเป็นเพราะ "ลืม" หน้าที่

ไม่ว่าจะเป็นเพราะ "จำไม่ได้"

ไม่ว่าจะเป็นเพราะ "จงใจ" จะไม่ทำ

ไม่ว่าจะเป็นเพราะ "ไม่เชื่อเรา"

จิตวิญญาณของท่านผู้นั้น

 

ก็จะเดินทางกลับบ้าน

เพื่อออกไปจากอนันตจักรวาลนี้ไม่ได้

เพราะภารกิจทางจิตวิญญาณยังล้มเหลว

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

จิตวิญญาณของผู้อาสามาเกิดเป็นคนที่ว่านี้

เป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มี 6 เหลี่ยมมุม

ซึ่งแบ่งภาคพลังงานออกมาจาก "พระบุตร"

ที่มีรูปทรงทางพลังงานเป็น 11 เหลี่ยมมุม

ซึ่งยังดำรงตนเองอยู่ในแดนสุญญตานั่นเอง

 

เมื่อจิตวิญญาณของพระบุตร

ที่พระบิดาคือองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่

ทรงอนุญาตให้แบ่งภาคตนเองออกมา

 

จากจิตจักรวาลดวงเล็กแล้ว

ก็จะพากันข้ามมิติผ่านเข้ามาทางด่านนภาลัย

ที่เราเรียกว่า #ประตูคอกแกะ นั่นแหละ

เพราะจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านแต่ละคน

ล้วนมาจากพระบิดาหรือพระเจ้าทั้งสิ้น

ดังนั้น

เราจึงเปรียบท่านทั้งหลายว่าเป็น "ฝูงแกะ"

ที่มีพระองค์เป็น "เจ้าของแกะ"

แดนสุญญตาภายนอกอนันตจักรวาล

เราจึงเปรียบเสมือนว่าเป็น "คอกแกะ"

ส่วนตัวเราเองก็เสมือนเป็นคนเฝ้าประตูคอก

ที่ต้องคอยเปิดปิดเพื่อให้แกะผ่านเข้าออก

เราจึงบอกความจริงต่อท่านเสมอมาว่า

เราน่ะจำแกะพระบิดาได้ทุกตัว

แม้แต่ตัวที่พยายามจะดันทุรัง

ปีนป่ายรั้วเพื่อจะกลับเข้าคอกด้วยซ้ำ

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ประตูมิติที่ว่านี้ก็คือช่องทางผ่านเข้าหรือออก

ของประดารูปธรรมทางพลังงานทั้งหลาย

เช่น ฑูตสวรรค์ และจิตวิญญาณผู้ขันอาสา

ที่จะผ่านเข้าออก #อนันตจักรวาล

หรือ "เอกภพ" ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นไว้

เพื่อเข้ามาปฏิบัติภารกิจต่างๆของพระบิดา

หรือเข้ามาทำหน้าที่สำคัญๆตามพระบัญชา

 

ตัวอย่างเช่น...

จิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย

ผู้ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นมนุษย์

เมื่อทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6 ข้อแล้ว

ก็จะต้องนำพาจิตวิญญาณตนเองกลับบ้าน

คือกลับคืนสู่แดนสุญญตาที่จากมา

ผ่านทางประตูมิติที่เรียกว่า "ด่านนภาลัย" นี้

ซึ่งด่านนภาลัยที่เป็นประตูมิตินี้

จิตวิญญาณของท่านก็เคยผ่านเข้ามา

ตั้งแต่ชาติแรกที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว

ที่เรากล่าวมาพอสังเขปจนถึงบรรทัดนี้

ผู้คนที่ก้าวตามคนนำทางตาบอด

ที่เอาแต่กินขนมปังของพวกเขาที่ยื่นให้

จนไม่ยอมหันมากินยี่ห้ออื่นบ้าง

จะไม่รู้ว่า "ขนมปัง" ที่กินแล้วไม่มีวันตาย

อันเป็นขนมปังศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า

ยังมีอยู่อีกตั้งมากมายในกำมือเรา

การที่ท่านพยายามจะตายไปจากโลกมนุษย์

 

ด้วยการไม่กลับมาเกิดใหม่อีก

โดยไม่สนใจว่าตายแล้วจิตวิญญาณจะไปไหน

มันก็ไม่ต่างจากการเดินเรือโดยไม่มีหางเสือ

หรือเดินเรือโดยไม่รู้ว่าจะไปแวะท่าเรือที่ไหน

จิตวิญญาณผู้เป็นนักเดินทางไปกับเรือลำนั้น

จึงต้องลอยเคว้งคว้างอยู่กลางมหาสมุทร

 

เพราะตนรู้อยู่อย่างเดียวว่า

จะต้องออกเรือไปจากท่าเรือบนโลกนี้

จะต้องรีบออกเรือเพื่อไปให้พ้นๆเร็วๆ

เพราะอยู่ต่อก็รังแต่จะทุกข์หนักทุกข์นาน

การเร่งรีบนำเรือออกจากท่า

 

โดยไม่รู้ว่าจะไปไหน

ออกเรือไปจากท่าทั้งๆที่ยังไม่พร้อม

นี่จึงเป็นที่มาของปัญหาโลกแตก

ซึ่งประดาคนนำทางตาบอดต่างเผชิญอยู่

นั่นคือ #บวชนานแล้วยังนิพพานไม่ได้

แล้วยังจะหลับตาก้าวเดินตามกันอยู่อีกหรือ

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

26-07-2019