29 พฤศจิกายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล



29/11/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
การบรรลุธรรมที่แท้จริง คือ

1.ฉลาดทางสังคม
สามารถดำเนินชีวิตร่วมกัน
หรือทำงานร่วมกันกับใครก็มีความสุข
เพราะฉลาดยอมรับและปรับตัว

2.ฉลาดทางปัญญา
ไม่แสดงออกหรือกระทำสิ่งใด
ให้เป็นเงื่อนไขด้านลบต่อผู้อื่น
เพราะนึกก่อนคิด คิดก่อนพูด
และคิดก่อนตัดสินใจกระทำเสมอ

ฉลาดใช้เหตุผล
และยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่น
ที่แตกต่างเสมอ

3.ฉลาดทางอารมณ์
ไม่ใช้อารมณ์ตอบสนอง
การกระทำไม่ถูกต้องของผู้อื่น

สามารถจัดการอารมณ์
ที่ไม่เหมาะสมของตนเองได้
จนสามารถแสดงออกทางอารมณ์
ได้อย่างเหมาะสมเสมอ

ท่านทั้งหลายต้องฝึกฝนตนเอง
ให้ฉลาดใน 3 ประการนี้
จนเกิดทักษะชีวิตให้ได้
นี่คือการบรรลุธรรมของมนุษย์
ในการใช้ขันธ์ 5 หมุนธรรมจักร
ในชีวิตประจำวันเพื่อโลก
อันเป็นภารกิจของจิตวิญญาณ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/11/2021



สนทนาประสาจิจักรวาล

29/12/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
การบรรลุธรรมที่แท้จริง คือ

1.ฉลาดทางสังคม
สามารถดำเนินชีวิตร่วมกัน
หรือทำงานร่วมกันกับใครก็มีความสุข
เพราะฉลาดยอมรับและปรับตัว

2.ฉลาดทางปัญญา
ไม่แสดงออกหรือกระทำสิ่งใด
ให้เป็นเงื่อนไขด้านลบต่อผู้อื่น
เพราะนึกก่อนคิด คิดก่อนพูด
และคิดก่อนตัดสินใจกระทำเสมอ

ฉลาดใช้เหตุผล
และยอมรับฟังเหตุผลของคนอื่น
ที่แตกต่างเสมอ

3.ฉลาดทางอารมณ์
ไม่ใช้อารมณ์ตอบสนอง
การกระทำไม่ถูกต้องของผู้อื่น

สามารถจัดการอารมณ์
ที่ไม่เหมาะสมของตนเองได้
จนสามารถแสดงออกทางอารมณ์
ได้อย่างเหมาะสมเสมอ

ท่านทั้งหลายต้องฝึกฝนตนเอง
ให้ฉลาดใน 3 ประการนี้
จนเกิดทักษะชีวิตให้ได้
นี่คือการบรรลุธรรมของมนุษย์
ในการใช้ขันธ์ 5 หมุนธรรมจักร
ในชีวิตประจำวันเพื่อโลก
อันเป็นภารกิจของจิตวิญญาณ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/11/2021




25 พฤศจิกายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 

25/11/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

สาเหตุที่คนนำทางตาบอดทั้งหลาย
สืบทอดคำสอนกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษว่า
จิตวิญญาณของทุกคนไม่ควรมาเกิดเป็นมนุษย์
บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้
เพราะพวกเขาเชื่อกันอย่างสนิทใจว่า

1.จิตวิญญาณมนุษย์ล่องลอยมาจากไหนไม่รู้
มากินง้วนดินที่มีอยู่มากมายบนโลกนี้เข้า
ทำให้เกิดกายหยาบห่อหุ้มจิตวิญญาณเอาไว้ข้างใน
ซึ่งเรียกรูปธรรมนี้ว่า "มนุษย์" นั่นเอง

2.เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์โลกแล้ว
ทุกคนก็ต้องเผชิญกับการเกิดแก่เจ็บตาย
ต้องเผชิญกับปัญหามากมายในการดำเนินชีวิต
ต้องผจญกับกฎแห่งกรรมโดยเลี่ยงไม่พ้น
ต้องมีสังสารวัฏด้วยการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้สิ้นสุด
ซึ่งทั้งชีวิตเต็มไปด้วย "กองทุกข์" ทั้งสิ้น

3.คนนำทางตาบอดเชื่อสนิทใจว่า
กองทุกข์ ทั้งปวงนั้นเป็นความทุกข์ของ จิตวิญญาณ
ผู้ถือกำเนิดตนเองขึ้นมาเป็นมนุษย์ดังกล่าวแล้ว

4.เมื่อพวกเขาเชื่อกันว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น
เต็มไปด้วยกองทุกข์เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย
จึงมองไม่เห็นคุณค่าของการเกิดเป็นมนุษย์
จึงมองไม่เห็น โอกาส อันยิ่งใหญ่ที่ตนได้เป็นมนุษย์

ดังนั้น
คนนำทางตาบอดจึงเพียรพยายามที่จะค้นหาว่า
พวกตนจะหยุดการมีสังสารวัฏได้อย่างไร
อันหมายถึงเมื่อตายแล้วจะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก
บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้นั่นเอง

5.ด้วยเหตุแห่งความเชื่อทั้งหลายเหล่านี้
ทำให้คนนำทางตาบอดตั้งแต่บรรพบุรุษมาแล้ว
เลือกที่จะเชื่อกันอีกว่า ชีวิตเกิดจากขันธ์ห้า
เพราะ "ขันธ์ 5" นี่แหละที่ทำให้เกิดอัตตาของตน
โดยอัตตาของตนเกิดจากขันธ์ห้ารวมกัน
คือ รูป สัญญา เวทนา สังขาร และวิญญาณนั่นเอง

6.เมื่อคนนำทางตาบอดเชื่อตามที่ว่านี้
พวกเขาจึงจับเอา "ขันธ์ 5" เป็นจำเลยทันที
เพราะคิดแบบจิตมนุษย์ตามที่สองตาเนื้อเห็นคือ

ขันธ์ 5 เป็นที่มาแห่งอัตตาตัวตนของตน
ขันธ์ 5 เป็นที่มาแห่งทุกข์ทั้งปวง
ขันธ์ 5 เป็นเหตุให้ตนมีชีวิตขึ้นมาบนโลกเสรีนี้

ดังนั้น
คนนำทางตาบอดจึงเชื่อว่า
ถ้าดับขันธ์ 5 ได้ตนก็ย่อมจะดับสิ้นในสามสิ่ง
คือ ดับทุกข์ ดับอัตตา และดับเหตุแห่งการเกิด
อันหมายถึงดับการเกิดดับได้อย่างสิ้นเชิง
จิตวิญญาณพวกตนก็จะไม่กลับมาเกิดบนโลกอีก

วิธีปฏิบัติธรรมในการดำเนินชีวิตของพวกเขา
จึงมุ่งที่จะปลีกตนเองออกจากสังคมอยู่ตามลำพัง
ด้วยการทำทุกสิ่งอย่างเพื่อตอบสนองตนเอง
นั่นคือสภาวะที่พวกเขาเรียกว่า นิพพาน
โดยการดับทุกข์ตามความเชื่อให้ได้อย่างสิ้นเชิง
โดยทำให้จิตวิญญาณหายไปไม่กลับมาเกิดอีก
เพราะเชื่อว่าตนไม่มีอัตตาแล้วเป็นอนัตตาได้แล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ความเชื่อที่สอนสืบทอดกันมาดังกล่าวนี้
เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเพราะคิดแบบจิตมนุษย์
เนื่องจาก "ความจริง" ในการมาเกิดเป็นมนุษย์
ของจิตวิญญาณของพวกท่านทั้งหลายนั้น
เป็นความจริงระดับ อนุตรธรรม ชั้นสูงสุด
ที่สมองสองซีกของมนุษย์ไม่สามารถคิดเองได้

มีเพียงพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระเจ้า
ที่จะทรงบอกความจริงที่ถูกต้องถ่องแท้ต่อมนุษย์ได้
โดยจะทรงสื่อผ่านพระศาสดาที่มาจากพระองค์
หรือจะทรงสื่อผ่าน อนุตรธรรมาจารย์ ตามน้ำพระทัย
มากล่าวต่อมนุษย์โลกทั้งหลายให้ได้รู้กันเท่านั้น

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะความเชื่อที่ไม่ถูกต้องแท้จริงเหล่านี้
จึงยังผลให้พวกท่านพาจิตวิญญาณของตน
เกิดการ หลงทางนิพพาน กันมาหลายพันปีแล้ว

บัดนี้ โลกกับมนุษย์สิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
พวกท่านจักต้องนำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน
ดินแดนที่จิตวิญญาณจากมาหลายหมื่นปีแล้ว
โดยต้องหลุดพ้นออกไปจาก อนันตจักรวาล
ให้ทันก่อน "วันเปลี่ยนยุค" ช่วง 56 วันหรือ 8 ราตรี
ที่โลกจะมืดสนิทพร้อมกันและสั่นไหวด้วยภัยพิบัติ

ถ้าท่านต้องการปลอดภัยจากภัยพิบัติ
ต้องการนิพพานจากโลกเสรีแล้วหลุดพ้นกลับบ้าน
ถ้าต้องการรู้ความจริงว่าจิตวิญญาณของท่านเป็นใคร
จิตวิญญาณมาจากไหน มาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างไร
มาเกิดแล้วพวกท่านมีหน้าที่จะต้องทำสิ่งใดบ้าง

ที่สำคัญก็คือถ้าปรารถนาที่จะรู้ว่า
คนนำทางตาบอดคิดผิดเชื่อผิดตรงไหน
คนนำทางตาบอดปฏิบัติธรรมผิด
ใช้ชีวิตไม่ถูกต้องกันมาอย่างไร
จนเป็นสาเหตุให้ "หลงทางนิพพาน" จนถึงป่านนี้
มรรควิถีจิตจักรวาล เท่านั้นในยุคนี้
จึงจะมีคำตอบที่อยากรู้ให้แก่ท่านทั้งหลายได้

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25/11/2021



10 พฤศจิกายน 2564

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

10/11/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
องค์จิตจักรวาล ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในอนันตจักรวาลอันไพศาลนี้
ที่ท่านทั้งหลายรวมเรียกกันว่า ธรรมชาติ นั้น

พระองค์ได้ทรงออกแบบให้ทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติ
แฝงเร้น สัจธรรม หรือ "ข้อธรรมะ" เอาไว้มากมาย
เพื่อให้ท่านทั้งหลายผู้มีภูมิปัญญาระดับหนึ่งแล้ว
สามารถ แลเห็นธรรมในธรรม ที่ทรงแฝงเร้นนั้นได้
ด้วยความฉลาดทางสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
และสามารถสังเคราะห์สัจธรรมที่ได้ไปใช้ปฏิบัติจริง
ในชีวิตประจำวันอย่างคนชอบธรรม

ดังนั้น
ผู้ปฏิบัติธรรมจึงหมายถึงผู้เข้าถึงสัจธรรมความจริง
ที่เรียนรู้ได้จากการเข้าถึงความจริงนั้นในธรรมชาติ
ซึ่งองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงออกแบบสร้างแฝงเอาไว้อย่างแยบยลนั่นเอง

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์บุตรรักแห่งพระองค์ทุกคนนั้น
ต้องมีหน้าที่ยกระดับสติปัญญาพัฒนาจิตสามนึก
ฝึกทักษะการใช้อายตนะและปัญญาของสมอง
ฝึกทักษะการใช้ขันธ์ 5 หมุนธรรมจักรตอบสนอง
เมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งแวดล้อมที่เป็นสิ่งเร้าทั้งหลายได้

ตาจะต้องฉลาดมองดู
หูต้องฉลาดที่จะรับฟัง
จมูกจะต้องไวและฉลาดดม
ลิ้นจะต้องฉลาดรับรู้รสชาติ
เมื่อสัมผัสกายจะต้องฉลาดรู้หนาวร้อน

ทั้งหมดนี้เป็น สภาวะธรรม ของกลไกอายตนะ
ที่พระบิดาทรงมอบให้จิตวิญญาณใช้เรียนรู้โลก
โดยมอบอำนาจให้ "จิตหยาบ" เรียนรู้แทนตนเอง
ตั้งแต่เกิดเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นๆ
เพื่อให้เรียนรู้ว่า "อะไรเป็นอะไร ทำไม อย่างไร"

นอกจากนั้น
พวกท่านยังต้องเรียนรู้ที่จะใช้จิตหยาบ
ทำงานร่วมกันกับสมองทั้งสองซีก
เมื่อผ่านขั้นตอนการรับรู้เพื่อเรียนรู้ได้ด้วย

ท่านจึงต้องฉลาดใช้กลไกอายตนะ
เพื่อการสัมผัสรู้ดูเห็นทุกสรรพสิ่งรายรอบตนเอง
มิใช่การพยายามทำให้มันมืดบอดหรือไม่ฝึกใช้มัน

ท่านจึงต้องฉลาดใช้จิตหยาบของท่าน
เมื่อรับรู้ข้อมูลจากกลไกอายตนะทั้งห้าแล้ว
ต้อง "รับรู้เพื่อเรียนรู้" แทนการ "รับเอา" เท่านั้น
เพราะการรับรู้แล้วรับเอาเวทนาขันธ์ก็จะก่อกิเลส
เมื่อจิตเกิดกิเลสสิ่งเร้านั้นก็จะเกิดมี "อัตตา" ขึ้น
แม้ว่าสิ่งเร้านั้นมันเป็นเพียงแค่นามธรรมก็ตาม

เมื่อสิ่งเร้านั้นเกิดมีอัตตาขึ้นมา
เพราะกิเลสในเวทนาขันธ์เป็นต้นเหตุ
จิตหยาบในกลุ่มสังขารขันธ์ก็จะทำงานต่อ
โดยมันจะปรุงแต่งกิเลสให้เกิดเป็นตัณหาทันที
เพราะจิตหยาบของท่านมันเกิดการ "ยึดติด"
ในอัตตาตัวตนของสิ่งเร้านั้นเข้าให้แล้ว

ท่านจึงต้องมี ธรรมชาติสมาธิ
ที่พระบิดาทรงเรียกว่า มหาสติ ในชีวิตประจำวัน
ซึ่งเป็นสมาธิที่ไม่ต้องปลีกวิเวกไม่ต้องปิดอายตนะ
สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ตามปกติ
มีกลไกอายตนะที่เปิดกว้างตลอดเวลา
มีจิตปัญญาที่พร้อมเรียนรู้โลกตามความจริง
ไม่ต้องพยายามจะดับขันธ์ 5 ไม่ต้องหนีสังคม
เพื่อวิ่งหนีสิ่งเร้าที่จะมากระทบจิตหยาบ
ทำให้จิตตกจนเกิดความทุกข์ลำเค็ญขึ้นมาได้

ถ้ามนุษย์ทั้งหลายรู้จักเปิดอายตนะมองโลก
และมีพลังอำนาจทางปัญญามากพอ
ก็จะสามารถเข้าถึงสัจธรรมในธรรมชาติได้เอง
โดยไม่ต้องหลับหูหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอด
จนพากันหลงทางกลับบ้านมายาวนานถึงป่านนี้

เพราะพวกท่านล้วนเชื่อในสิ่งที่ "ชอบ"
มิได้เชื่อในสิ่งที่ตนพิสูจน์แล้วว่า "ใช่"

เพราะท่าน "เชื่อ" ตามคนจำนวนมากที่เขาเชื่อ
ที่ท่านเชื่อเพราะเห็นว่าคนเขาเชื่อกันมายาวนาน
ทั้งๆที่คนจำนวนมากกับระยะเวลาอันยาวนานนั้น
มันมิใช่ตัวชี้วัดความจริงของสิ่งที่จะเชื่อนั้นเลย

คงต้องถามตนเองกันหน่อยแล้วล่ะว่า
ทุกท่านมีสมองมีสติปัญญากันอยู่แต่ทำไมไม่ใช้

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10/11/2021






09 พฤศจิกายน 2564

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

09/11/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าท่านต้องการจะทราบว่า
สิ่งที่ตนกำลังนึกคิดว่าจะประพฤติปฏิบัติ
หรือสิ่งที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ในขณะนั้น
เป็นการ ปฏิบัติธรรม อย่างคนชอบธรรมหรือไม่
เป็นการใช้ขันธ์ 5 หมุนธรรมจักรหรือเปล่า
ท่านจักต้องตั้งคำถามถามตนเองเสมอว่า

1.การปฏิบัตินั้นมัน "ก้าวล่วง" ผู้อื่นหรือไม่
ถ้าเป็นการก้าวล่วงใครท่านจักต้องละเว้นทันที
สาเหตุที่ท่านต้องละเว้นการกระทำที่ว่านั้นทันที
เพราะการกระทำของท่านจะเป็นเงื่อนไขด้านลบ
ที่ทำให้คนอื่น หมุนกรรมจักร ตามท่านไปด้วย

เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างล้มเหลวในการเป็นมนุษย์
เพราะไม่อาจ หมุนธรรมจักร ร่วมกันได้แล้ว
การหมุนกรรมจักรร่วมกันนั้นมันจะยังผลให้
จิตวิญญาณของท่านกับคนอื่นๆจะ "เกี่ยวกรรม" กัน
ในแบบของ "คู่กรรม-คู่เวร" หรือ "เจ้ากรรมนายเวร"
ซึ่งจะถือกรรมที่เกี่ยวกันนี้มาเป็นกำเนิดในชาติหน้า

2.คำถามต่อมาคือท่านต้องถามตนเองว่า
กรรมที่ก่ออยู่หรือว่ากำลังจะก่อกรรมนั้นน่ะ
มันเป็นการกระทำที่จะ "ก้าวล่วง" ตนเองหรือเปล่า

คำว่า "ก้าวล่วงตนเอง" หมายถึง
เป็นการกระทำที่จะมีผลต่ออวัยวะสังขารร่างกาย
เป็นการกระทำที่จะมีผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย
เป็นการกระทำที่จะมีผลร้ายต่อจิตวิญญาณตนเอง
อย่างใดอย่างหนึ่งแบบใดแบบหนึ่งนั่นเอง

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่า
กฎแห่งการสมดุลกันของสรรพสิ่งใน ธรรมชาติ นั้น
ทุกสรรพสิ่งต้องมีหน้าที่รักษาสมดุลในระบบตนเอง
ด้วยการคอยค้ำจุนความสมดุลของจิตใจตนไว้
ไม่ว่าจะมีเงื่อนไขภายนอกภายในเข้ามากระทบจิต

ด้วยการคอยดูแลใส่ใจสุขภาพของสังขารร่างกาย
ไม่ให้บาดเจ็บพิการหรือมิให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย
จากความประมาทขาดสติหรือไม่รักตนเองก็ตาม

ดังนั้น
การใส่ใจดูแลสภาวะจิตตนเอง
ไม่ให้ลื่นไหลไปกับสิ่งเร้าสิ่งยั่วยุทั้งปวง
จนเกิดอาการจิตตกหรือเสียสมดุลในจิตใจ
รวมทั้งไม่ทำร้ายตนเองโดยประมาทหรือขาดสติ
จึงเป็นการปฏิบัติธรรมโดยหน้าที่ของท่านนั่นเอง

3.เมื่อใดก็ตามที่ท่านถูกกระทำโดยมิชอบ
ท่านจักต้องจดจำเอาไว้เสมอว่าเขาคนนั้น
กำลังทดสอบจิตใจและจิตสามนึกของท่าน
ว่าจะสามารถ อดทน อดกลั้น ให้อภัยได้หรือไม่
จะ "หมุนธรรมจักร" แทน "กรรมจักร" ได้หรือเปล่า
เขาคนนั้นจึงมิใช่ ศัตรู แต่เป็น ครู ของท่าน

หากท่านมองว่าเขาเป็นศัตรูด้วยความชัง
จิตหยาบของท่านก็จะสั่นสะเทือนขันธ์ 5
ไปตามกระบวนการของ "กรรมจักร"
จนผลิตพลังงานความรักค้ำจุนสมดุลโลกไม่ได้
นี่จึงมิใช่การปฏิบัติธรรมแต่อย่างใด

หากท่านมองว่าเขาเป็นครู
จิตหยาบของท่านก็จะสั่นสะเทือนขันธ์ 5
ไปตามกระบวนการของ "ธรรมจักร" ด้วยความรัก
เพื่อผลิตพลังงานความรักช่วยค้ำจุนสมดุลโลกได้
นี่จึงเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างเต็มรูปแบบแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เพียงตัวอย่าง 3 ประการเหล่านี้ที่เรากล่าวมา
ท่านทั้งหลายคงพอจะเข้าใจได้ด้วยตนเองว่า
การเป็นผู้ปฏิบัติธรรมก็คือการมุ่งหมุนธรรมจักร
ด้วยความรักบริสุทธิ์และปัญญาในชีวิตประจำวัน
ด้วยความไม่ประมาทไม่ขาดสติแม้เสี้ยววินาที
ที่สำคัญคือการปฏิบัติธรรมนั้นต้องกระทำที่ตนเอง
มิใช่ไปจัดการที่คนรอบข้างคนอื่นๆที่ยื่นเงื่อนไขมา

การฆ่าตัวตายทำร้ายตัวเองและผู้อื่นน่ะ
เห็นจะมีแต่ในสังคมมนุษย์เท่านั้น
ขณะที่ในธรรมชาติทั้งพืชและสัตว์
ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้ในการดำรงอยู่
ทั้งๆที่พืชและสัตว์นั้นไม่มีความฉลาดทางปัญญา
ของสมองสองซีกในแบบที่มนุษย์มีแต่อย่างใด
คำว่ามนุษย์เป็น สัตว์ประเสริฐ จึงยากที่จะกล่าว

มนุษย์จะนำพาจิตวิญญาณหลุดพ้นกลับบ้านมิได้
ถ้ายังหลงทางนิพพานโดยริอ่านจะดับขันธ์ 5
โดยหมายว่าจะนิพพานแบบตาลยอดด้วนกันอยู่
จงรีบกลับใจหันมาหาแสงสว่างของพระบิดา
เร่งเรียนรู้ที่จะใช้ขันธ์ 5 พาจิตวิญญาณตนหลุดพ้น
กลับคืนสู่บ้านเกิดเมืองนอนในแดนสุญตากันดีกว่า
เวลาของจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายหมดลงแล้ว
หมดลงไปกับการสิ้นยุคของโลกยุคพลังงานเก่า
รีบฝึกทักษะการหมุนธรรมจักรด้วยขันธ์ 5
เพื่อช่วยจิตวิญญาณของท่านให้รอดเถิดประเสริฐแท้

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9/11/2021



08 พฤศจิกายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล



08/11/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
ในการเป็นสัตว์สังคมนั้น
หน้าที่ของท่านก็คือต้อง ยอมรับ ความแตกต่าง
ระหว่างคนรอบข้างทุกคนกับตัวท่านเองให้ได้

เพราะว่าท่านยอมรับความแตกต่างกันไม่ได้
ตลอดชีวิตของตัวท่านจึงเกิดทุกข์ขึ้นในจิตใจ
ถ้าเขามีอะไรดีกว่าหรือเหนือกว่าท่าน
หากท่านไปคิดอิจฉาตาร้อนเขาท่านก็ทุกข์
ถ้าเขามีจริตสันดานที่ไม่ดีจึงทำชั่วกับตัวท่าน
หากท่านไปโกรธขึ้งคุนเคืองใจเขาท่านก็ทุกข์
ทั้งสองตัวอย่างมันคือการปฏิเสธความแตกต่าง
ระหว่างท่านกับคนอื่นๆทั้งด้านดีและไม่ดีนั่นเอง

นอกจากนั้นพอเกิดทุกข์ท่านก็ไปโทษขันธ์ 5
ไปจับเอาขันธ์ 5 มาเป็นจำเลยเพราะคิดเองว่า
ขันธ์ห้า มันคือต้นเหตุหรือเป็นที่มาแห่งทุกข์
เพราะขันธ์ 5 เป็นที่มาของอัตตาตัวตนของตน
เพราะขันธ์ 5 เป็นที่มาแห่งการเกิดเป็นมนุษย์
เพราะหลงเชื่อตาม คนนำทางตาบอด ตลอดมา

ต่างจึงพยายามที่จะดับขันธ์ 5 กันทั้งชีวิต
ด้วยหลงไปว่าถ้าดับขันธ์ 5 ได้คือการบรรลุธรรม
ตนจะไม่ทุกข์อีกจะไม่เกิดอีกจะไม่มีสังสารวัฏอีก

ทั้งๆที่ความจริงซึ่งเป็นอนุตรธรรมสูงสุดนั้น
ขันธ์ 5 นั้นพวกท่านไม่ต้องขยันไปดับมันหรอก
เมื่อจิตวิญญาณตายไปจากภพชาตินี้เมื่อไหร่
ขันธ์ 5 อันเป็นคุณสมบัติของ จิตหยาบ
ที่ใช้ในการหมุน ธรรมจักร ให้ความรักแก่โลกนั้น
มันจะดับสลายหายไปเองพร้อมการดับกายสังขาร
ซึ่งหมายถึงมันจะสลายหายไปด้วยกันนั่นแหละ

อีกทั้งขันธ์ 5 เป็นเครื่องมือสำคัญของจิตวิญญาณ
ที่มอบให้ "จิตหยาบ" ของท่านใช้ในการทำหน้าที่
ในบทบาทของ คนสองมิติ ขณะมีชีวิตเป็นมนุษย์
พวกท่านจะบรรลุธรรมไม่ได้ถ้าไม่มีขันธ์ 5 ให้ใช้

เพราะการบรรลุธรรมของมนุษย์
หมายถึง 3 ประการดังต่อไปนี้

1.ยกระดับจิตหยาบให้เป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแท้ได้

2.ใช้จิตหยาบช่วยให้จิตวิญญาณ "หลุดพ้น"
จากสถานที่กักกันหรือเซฟเฮ้าส์ที่ปลอดภัย
เพื่อทำหน้าที่เป็นคนสองมิติด้วยตนเองได้แล้ว

3.การสั่นสะเทือนขันธ์ 5 เพื่อหมุน "ธรรมจักร"
แทนการหมุนกรรมจักรซึ่งหมุนกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว
โดยใช้ความรักบริสุทธิ์และปัญญาร่วมกับคนอื่นๆ
เพื่อผลิตสร้างความรักช่วย "ค้ำจุน" โลกให้สมดุลได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

การไม่เห็นประโยชน์ของขันธ์ห้า
ไม่ต่างจากการไม่เห็นคุณค่าของสองมือของท่าน
แล้วพยายามจะตัดมันทิ้งไปเพราะเกะกะ
เพราะมองว่ามือสองข้างมันนำบาปทุกข์มาให้
โดยแทนที่จะเรียนรู้ในการใช้สองมือนั้นทำความดี
กลับไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตนเองโทษแต่มือว่าเลว
นี่จึงเรียกว่าเป็นการคิดแบบจิตมนุษย์

เพราะเชื่อตามๆกันมาแบบนี้แหละ
พวกท่านจึงใช้เวลาทางจิตวิญญาณสิ้นเปลืองมาก
จนป่านนี้โลกสิ้นยุคพลังงานเก่าไปแล้ว
จิตวิญญาณของท่านต้องกลับบ้านคือหลุดพ้นแล้ว
แต่จิตหยาบผู้เป็นตัวแทนจิตวิญญาณของท่าน
ยังงมงายอยู่กับการอยากไปเกิดบนสวรรค์มายา
ยังพากันทำทุกสิ่งเพื่อกายหยาบจิตหยาบกันอยู่
ยังไม่อาจปลดปล่อยจิตวิญญาณเป็นอิสระได้เลย

เพราะพวกท่าน คิดแบบจิตจักรวาล ไม่เป็น
เพราะพวกท่านได้แต่ คิดแบบจิตมนุษย์ ตลอดมา
เพราะใช้เวลาของจิตวิญญาณในมิติแก่นแท้ไม่ได้
เพราะไม่ยอมกินขนมปังของพระบิดาฯ
จิตวิญญาณของท่านจึงต้องตายต้องมีสังสารวัฏ

ความรู้ความจริงเหล่านี้เป็น "อนุตรธรรม"
เป็นความรู้ใหม่ที่พวกท่านรู้เองไม่ได้
ซึ่งเรามีหน้าที่กลับมาบอกกล่าวให้พวกท่านรู้
เราคนเดียวในยุคนี้ที่เป็นผู้รู้ที่เป็นครูของท่านได้

ทุกเรื่องราวในชีวิตท่านมันเป็นบททดสอบ
ที่พวกท่านมีหน้าที่จะต้องสอบให้ผ่าน
ทุกบททดสอบที่คนรอบข้างหยิบยื่นให้
ท่านจงอย่ามัวใส่ใจว่า...ใครถูกใครผิด

เพราะมันคือ บทเรียนชีวิต ให้ตนเองเรียนรู้
โดยให้เรียนรู้แค่ว่าใครคนไหนนิสัยเป็นอย่างไร
การคิดว่ากูผิดหวังมึง กูงงว่ามึงทำไมเป็นแบบนี้
เป็นการคิดแบบจิตมนุษย์มิใช่คิดแบบจิตจักรวาล

เพราะการคิดหาคำตอบแบบนี้
มันเป็นแค่การเอาแพ้เอาชนะ ใครจะเหนือกว่าใคร
ท่านเปลี่ยนแปลงนิสัยแก้ไขสันดานของเขาได้หรือ

สัจธรรมที่แท้จริงก็คือทำอย่างไรที่ตัวเองจะไม่ทุกข์
ถ้ามีเพื่อนรอบข้างบางคนเป็นแบบอย่างที่พวกเขาเป็น
เป็นแบบอย่างด้านความต่างที่ท่านไม่พึงประสงค์

ท่านจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่ตนเอง
ด้วยการยอมรับความจริงในด้านไม่ดีของเขาให้ได้
นี่คือ ธรรมจักร ที่พวกท่านไม่เคยหมุน
เพราะพวกท่านหมุนมันไม่เป็นหมุนมันไม่ชำนาญ
เพราะพวกท่านรังเกียจขันธ์ห้ามาทุกภพชาติ
ขอความมีสติทางวิญญาณจงเกิดแก่ท่านด้วยเถิด

กราบพระบาท องค์จิตจักรวาล ทรงเมตตาท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8/11/2021




03 พฤศจิกายน 2564

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

03/11/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
ตั้งแต่ "จิตวิญญาณ" ตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์ในทุกภพชาตินั้น

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ของท่านทั้งหลาย
ได้ทรงออกแบบให้จิตวิญญาณของพวกท่าน
แบ่งภาคตนเองออกมาเป็น กลุ่มพลังงาน
เพื่อให้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ขณะได้รับโอกาสให้เป็นมนุษย์รวม 189 กลุ่ม
ซึ่งขันธ์ 5 ก็เป็น 5 กลุ่มในจำนวน 189 กลุ่มนี้ด้วย
กลุ่มพลังงานทั้ง 189 กลุ่มนี้เราเรียกว่า จิตหยาบ

สาเหตุที่พระบิดาทรงออกแบบให้
จิตวิญญาณคือตัวตนที่แท้จริงของท่านทั้งหลาย
ต้องแบ่งภาคตนเองออกมาเป็น "จิตหยาบ"
ขณะดำเนินชีวิตในภพชาติของการเป็นมนุษย์
เพื่อให้ทำหน้าที่แทนตนเองก็เพราะว่า
ทรงป้องกันมิให้จิตวิญญาณผู้มาจากแดนสุญตา
เกิดอาการป่วยด้วย หลงมิติ จนกลับบ้านไม่ได้

เนื่องจากในระบบโลกเสรีนี้
มีสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างไว้หลากหลาย
ซึ่งเต็มไปด้วยอัตตาตัวตนรูปลักษณ์มายา
ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง กายสัมผัส และจิตสัมผัส
ที่จิตวิญญาณจากแดนสุญตาไม่คุ้นเคยมาก่อน
โอกาสที่จิตวิญญาณจะหลงมิตินั้นมีสูงมาก
ซึ่งจะยังผลให้พวกท่านมิอาจหลุดพ้นกลับบ้าน
เมื่อจบสิ้นภารกิจทางจิตวิญญาณแล้วได้
ซึ่งทรงมีประสบการณ์จากสัตว์โลกมาแล้วว่า
จิตวิญญาณพวกเขาไม่อาจหลุดพ้นได้
ต้องกลายเป็น สัตว์ประจำโลก กันมาจนทุกวันนี้

จากประสบการณ์ดังกล่าว
พระองค์จึงทรงออกแบบให้ "จิตหยาบ"
ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ด้วยพลังอำนาจของจิตวิญญาณแทน
ซึ่งต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า "จิตหยาบ"
ที่เป็นกลุ่มพลังงานรวมทั้งสิ้น 189 กลุ่ม
เพื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมทั้งสองมิติ

ขณะเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นๆ
ถ้าจิตหยาบเกิดอาการเสื่อมสมรรถภาพ
หรือเกิดการเสียสมดุลเพราะจิตหยาบหลงมิติ
เช่น จิตติดโลภ โกรธ หลง งมงาย ราคะจริต
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านก็จะปลอดภัย
เพราะจะเสื่อมสภาพแค่เพียงจิตหยาบเท่านั้น
ส่วนจิตวิญญาณจะเป็นแค่หลงมิติเท่านั้น
เมื่อจบสิ้นอายุขัยจิตหยาบก็จะสลายตัวไป
พร้อมกับเครื่องยนต์แห่งกรรมหรือกายหยาบ

ส่วนจิตวิญญาณเองก็จะถูกส่งไปบำบัดในนรก
จนคืนความสมดุลได้แล้วก็ค่อยกลับมาเกิดใหม่
เพื่อแบ่งภาคตนเองออกมาเป็น "จิตหยาบ"
ให้ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณในภพชาติใหม่อีก
โดยจะถือ กรรมเก่า ติดตัวมาเป็นกำเนิดด้วย
เพื่อให้จิตหยาบในภพชาติใหม่
ช่วยเรียนรู้ ช่วยแก้ไข หรือช่วยชำระกรรมนั้นให้
จนกว่าจิตหยาบในภพชาตินั้นๆจะดับการเกิดดับ
ที่เรียกว่า นิพพาน สิ่งที่เป็นขยะในจิตหยาบ
และดับการเกิดดับสังสารวัฏของจิตวิญญาณ
อันเป็นทุกข์กองใหญ่ได้จนหมดสิ้น

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เมื่อจิตวิญญาณโดยจิตหยาบของท่าน
สามารถนิพพานหรือดับการเกิดดับทุกสิ่งอย่าง
ซึ่งเป็น "ขยะ" ที่อยู่ในขันธ์ 5 จนหมดสิ้นแล้ว
จิตหยาบทั้ง 189 กลุ่มก็จะไม่มีขยะคอยถ่วงรั้งอีก
ก็จะยกระดับแรงสั่นสะเทือนทางด้านบวกสูงสุด
จนเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณของตนได้

เมื่อนั้น
การรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว
ระหว่างจิตหยาบกับจิตวิญญาณของท่านเอง
จึงจะประสบผลสำเร็จตามต้องการได้

จิตวิญญาณก็จะได้รับพลังอำนาจทั้งหมด
ที่มอบให้จิตหยาบนำไปใช้ทำหน้าที่แทนคืนมา
แล้วจิตวิญญาณก็คือตัวท่านเองนี่แหละ
ก็จะสามารถแสดงบทบาทของการเป็น "มนุษย์"
ตามที่อาสาพระบิดาว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้

การทำหน้าที่มอบความรักความเมตตา
ช่วยค้ำจุนโลกให้สมดุลโดยจิตวิญญาณของท่าน
มันจึงจะเริ่มต้นกันที่ตรงนี้ได้ตามต้องการ
เพราะท่านรวมจิตหยาบเข้ากับจิตวิญญาณได้แล้ว
ท่านจึงสามารถทำทุกสิ่งในสองมิติด้วยจิตวิญญาณ
มิต้องทำด้วย "จิตหยาบ" ซึ่งเป็นตัวแทนอีกแล้ว

ดังนั้น
คำว่า "จิตหยาบนิพพาน"
เราจึงมิได้หมายถึงจิตหยาบดับสลายไร้ตัวตน
โดยเปลี่ยนจาก อัตตา ไปเป็น อนัตตา
ด้วยวิธีการดับขันธ์ 5 ที่คนนำทางตาบอดสอนไว้
แต่เป็นการดับของขยะทั้งหมดที่อยู่ในขันธ์ 5
โดยดับแล้วจะไม่เกิดขึ้นมาถ่วงรั้งจิตหยาบ
จนเข้าถึงจิตวิญญาณของตนเองไม่ได้
ทำให้เสียชาติเกิดกันมานับภพชาติไม่ถ้วนแล้ว

จงละวางความเชื่อผิดๆที่มิใช่ ความจริง ทิ้งไป
ที่เรากล่าวนี้เป็นสัจธรรมระดับอนุตรธรรม
ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถรู้เองได้ด้วยสมองสองซีก
นอกจาก องค์จิตจักรวาล พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
จะทรงเมตตาสื่อผ่านเรามาเผยให้ท่านรู้เท่านั้น

เมื่อได้รู้ความจริงที่เรากล่าวมาทั้งหมดแล้ว
ขอท่านทั้งหลายจงเร่งนำมาปฏิบัติในชีวิตจริงทันที
อย่าได้ชักช้าเสียเวลาจนเสียชาติเกิดต่อไปอีกเลย
เพราะพระบิดาทรงปิดยุคพลังงานเก่าแล้ว
ปฏิบัติการชำระโลกก็เริ่มดำเนินการแล้วด้วยเช่นกัน

เมื่อจิตหยาบนิพพาน
จิตวิญญาณจะหลุดพ้นออกมาจากจุดกักตัว
เพื่อทำหน้าที่ของตนในบทบาทมนุษย์ได้
ซึ่งเป็นการปลดปล่อยจิตวิญญาณให้เป็นอิสระ
ตัวท่านจะเป็นมนุษย์ "อมตะ" โดยไม่ต้องตายอีก
เพราะท่านใช้เวลาทางจิตวิญญาณดำเนินชีวิต
ซึ่งเวลาในมิติจิตวิญญาณจะมีค่าคงที่เท่ากับหนึ่ง
ท่านมิได้ใช้เวลาทางกายภาพโดยจิตหยาบ
ซึ่งเป็นสมการเส้นตรงที่เวลาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ท่านจะเป็นคนที่มีอายุขัยยืนยาว
เพราะท่านไม่มีหน้าที่ต้องตายอีกต่อไป
ท่านจะเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกได้
โดยไม่ต้องมีการตายแล้วเกิดใหม่เป็นอุปสรรคอีก

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3/11/2021


02 พฤศจิกายน 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

02/11/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
มนุษย์โลกทุกคนสัตว์ทุกตัวพืชทุกต้น
ทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในสากลจักรวาลนี้นั้น
ล้วนมีหน้าที่ต้อง "ประพฤติธรรม" ด้วยกันทั้งสิ้น

สาเหตุที่ทุกสรรพสิ่งต้องประพฤติธรรมก็เพราะว่า
ต่างมีผู้ให้กำเนิดหรือพระผู้สร้างพระองค์เดียวกัน
ต่างดำรงอยู่ในอนันตจักรวาลหรือเอกภพเดียวกัน
ต่างต้องใช้กฎเกณฑ์เดียวกันเพื่อการเป็นหนึ่งเดียว

ดังนั้น
ธรรมชาติ จึงเป็นสัจธรรมอันเป็นสากล
ที่องค์จิตจักรวาลหรือพระผู้สร้างทรงออกแบบไว้
ให้ทุกสรรพสิ่งต้องมีคุณสมบัติเฉพาะตนเช่นนั้น
ให้ทุกสรรพสิ่งต้องเป็นแบบอย่างที่ตนเป็นนั้น
ให้ทุกสรรพสิ่งต้องดำเนินไปในแบบของตนนั้น
โดยทุกสิ่งต้องรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันไว้
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะมีความเหมือนกันหรือต่างกันก็ตาม

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาประเสริฐ
จากจิตกับสมองก้อนโตซึ่งมีถึงสองซีก
ให้ใช้ในการเรียนรู้สรรพสิ่งรายรอบตัวได้
โดยอาศัยอายตนะภายนอกทั้งห้ากับจิตภายใน
เป็นกลไกประสาทสัมผัสเพื่อเริ่มต้นการเรียนรู้

ท่านทั้งหลายที่เป็นมนุษย์
จึงเป็นสรรพสิ่งหนึ่งที่พระบิดาทรงออกแบบไว้
ให้มีความพิเศษกว่าสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ให้เข้าถึงธรรมชาติหรือ สภาวะธรรม นั้นๆได้
ด้วยการใช้ทุกสรรพสิ่งเป็น ครู เพื่อการเรียนรู้
ให้เข้าถึง ความจริง ด้วยจิตปัญญาที่ตนมีอยู่

คุณสมบัติและความเป็นไปที่เป็นจริง
ของประดาสรรพสิ่งต่างๆรายรอบตัวพวกท่าน
ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน
จากพระผู้สร้างพระองค์เดียวกันดังกล่าวแล้วนี้
จึงรวมเรียกกันสั้นๆว่า "ธรรมชาติ"
ซึ่งมนุษย์จะเข้าถึงได้ด้วยจิตปัญญาเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เอง
ท่านทั้งหลายจึงต้องฝึกทักษะการใช้อายตนะ
โดยต้องใช้มันให้ได้ ใช้ให้เป็น ใช้ให้ถูกต้อง

ต้องฝึกทักษะการใช้จิตหยาบสั่นสะเทือนขันธ์ 5
เพื่อเรียนรู้ด้วยปัญญาฉลาดของสมองซีกซ้ายว่า
สิ่งที่ตนสัมผัสรู้ดูเห็นอยู่นั้นมันคืออะไรอย่างไร
แล้วเรียนรู้ที่จะตอบสนองอะไรๆนั้นด้วยความรัก
อันเป็นการปฏิบัติให้สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า

ถ้ามองเป็นก็เห็นธรรม
ถ้าฟังเป็นก็เห็นธรรม
ถ้าคิดเป็นก็เห็นธรรม
ถ้าวิเคราะห์เป็นก็เห็นธรรม


ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่าถ้าไม่ฉลาดใช้อายตนะ
หรือแสร้งทำให้อายตนะที่มันยังดีๆอยู่พิการเสีย
ท่านก็จะเห็นธรรมชาติที่พระบิดาสร้างไว้มิได้
ท่านก็จะได้ยินธรรมชาติที่พระบิดาสร้างไว้มิได้

ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ว่าถ้าใช้จิตหยาบไม่เป็น
เพื่อการกำหนดนึกให้สมองสองซีกมันคิด
ในลักษณะของคนที่คิดตั้งคำถามตนเองไม่เป็น
และเป็นคนที่จิตใจไม่ใสสวยจนไร้พลังอำนาจ
ท่านก็จะคิดวิเคราะห์เพื่อเข้าถึงสัจธรรมไม่ได้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เพราะพวกท่านหลงเพลิดเพลินหลับตาเดินตาม
ประดาคนนำทางตาบอดกันมาตลอดนับพันปี
ที่พวกเขาได้แต่ชวนท่านให้เชื่อตามอย่างว่าง่าย
โดยอาศัยบารมีพระศาสดามาจูงใจให้ท่านเชื่อ
แทนการใช้เหตุผลจากสติปัญญาที่ท่านมีอยู่
ท่านจึงเข้าถึงสัจธรรมในธรรมชาติเองกันไม่ได้
ท่านจึงต้องเป็นคนตาบอดเดินตามผู้นำตาบอด
จนพากันหลงทางนิพพานมานานถึงป่านนี้

ถ้าพวกท่านยังขาดสติกันอยู่ยัง "งมงาย" กันอยู่
ทั้งๆที่พระองค์ทรงมีพระเมตตาส่งเรากลับมา
เพื่อสะกิดพวกท่านร้องปลุกพวกท่านให้ลืมตา
แต่กลับเพ่งโทษเราว่าทำลาย สมาธิ ของท่าน
แผนการของพระเจ้าให้เรามาฉุดช่วยย่อมล้มเหลว

เพราะเส้นทางที่พวกท่านกำลังย่างเดินกันอยู่
มันเป็นเส้นทางที่ไม่ถูกต้องไม่ตรงทิศ
จะเดินไปอีกนานแค่ไหนก็มิอาจบรรลุธรรม
เพื่อให้จิตหยาบนิพพานจิตวิญญาณหลุดพ้นได้
นอกจากพวกท่านต้องรีบลืมตามองโลก
เพื่อเรียนรู้ที่จะค้นพบสัจธรรมจากธรรมชาติ
ด้วยจิตปัญญาของตัวเองให้จงได้ก่อนเท่านั้น

แต่ถ้าท่านยังพึ่งปัญญากับอายตนะตนเองไม่ได้
เพราะขาดทักษะจากการฝึกใช้ในชีวิตจริง
ก็จงหันหน้ามาฟังเราสื่อพระโอวาทให้ท่านฟัง
เมื่อฟังแล้วก็ให้คิดตามที่เรากล่าวให้เข้าใจ
ท่านก็จะสามารถเข้าถึงสัจธรรมนั้นได้ง่ายๆ
ด้วยสติปัญญาของท่านเองแล้ว

ทำไมต้นไม้ดอกไม้ทุกชนิดและตัวท่านเอง
จึงชูยอดชูดอกชูช่อชูคอขึ้นสู่เบื้องฟ้า
ขณะที่พวกท่านยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้

น้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ
ก้อนเมฆเบาๆไม่หลุดลอยหายไปจากฟ้า
นกแร้งพากันบินร่อนเวียนวนอยู่สูงลิบ
ขณะที่บนพื้นดินเบื้องล่างมีสัตว์ล้มตายอยู่

ช้างม้าวัวควายสัตว์ใหญ่ทั้งหลาย
พวกเขาไม่กินเลือดเนื้อพวกเดียวกันเอง
กินแต่พืชหญ้ากับผลหมากรากไม้เป็นอาหาร
แต่กลับเติบโตตัวใหญ่แข็งแรงไม่อ่อนแอ

ตัวอย่างธรรมชาติจากสิ่งแวดล้อมเหล่านี้
เป็นสัจธรรมที่พระบิดาทรงออกแบบเอาไว้ให้
ฝูงแกะอย่างพวกท่านที่ปรารถนาการหลุดพ้น
เข้าถึงมันให้ได้เพื่อนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริง
ให้สมกับที่ท่านเป็นสรรพสิ่งหนึ่งในเอกภพนี้
ที่ต้องมีคุณสมบัติสอดคล้องกันกับสรรพสิ่งอื่น
ต้องดำรงอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกันกับสิ่งอื่น
เพราะพวกท่านมีพระผู้สร้างพระองค์เดียวกัน
มีภารกิจทางจิตวิญญาณอย่างเดียวกัน

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
2/11/2021