29 มกราคม 2565

VDO. EP. 371: นิพพานเทียมแท้ (Full Version)



 บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

สนทนาประสาจิตจักรวาล 29/01/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

บัดนี้โลกสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
ได้เวลาที่จิตวิญญาณของพวกท่านทั้งหลาย
จะต้องเดินทาง "กลับบ้าน" กันแล้วล่ะ
เพราะครบกำหนดตาม "พันธสัญญา 6"
ที่จิตวิญญาณพวกท่านได้ให้สัจจะไว้กับพระบิดา
ก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ตั้งแต่ภพชาติแรกแล้ว

โดยสาระสำคัญหนึ่งในพันธสัญญาทั้ง 6 ข้อก็คือ
พวกท่านได้ให้สัญญากับพระองค์ว่าถ้าครบกำหนด
ในการเข้ามาทำหน้าที่ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
ก็คือครบ 1 ยุค หรือเท่ากับ 60,000 ปีโลกแล้ว
ท่านจะใช้ "จิตหยาบ" ส่ง "จิตวิญญาณ" กลับบ้าน
เพื่อคืนกลับไปกราบพระบาทพระบิดาที่ทรงรออยู่
โดยจิตวิญญาณจะกลับบ้านได้จักต้อง หลุดพ้น

คำว่า "หลุดพ้น" หมายถึงจิตวิญญาณของท่าน
จักต้องหลุดออกไปจากเอกภพอันไพศาลนี้
เอกภพที่มีโลกและกาแล็กซี่ 12,500 ล้านระบบ
ซึ่งเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระบิดา
ที่ท่านทั้งหลายต่าง "ขันอาสา" พระองค์เข้ามา
เพื่อทำหน้าที่ทดสอบทดลองแผนการต่างๆ
ที่ทรงออกแบบติดตั้งเอาไว้ให้ปฏิบัติว่า
พระองค์จะสามารถกระทำสิ่งใดได้บ้างนี้ให้ได้

แน่นอนว่า "จิตวิญญาณ" ของท่าน
ถ้าสามารถจะหลุดพ้นออกไปจากเอกภพนี้ได้
จักต้องมีพลังอำนาจในการดีดตนเองออกไป
ด้วยพลังอำนาจที่เหนือกว่าแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้ง
ทั้งของดาวเคราะห์โลกและเอกภพทั้งระบบได้

ถ้าจิตวิญญาณของท่านจะมีพลังอำนาจสูง
มากพอที่จะดีดตนเองหนีแรงดึงดูดทั้งหมดได้
จิตวิญญาณต้องมีน้ำหนักตัวไม่เกิน 30 มก.
เท่ากับตอนที่ข้ามมิติเข้ามาเกิดในภพชาติแรก
เพราะพระบิดาทรงกำหนดเอาไว้ให้อย่างนั้น

น้ำหนักตัวของจิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์
ที่เป็นกล่องพลังงานนี้จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นได้
ถ้าจิตหยาบก่อผลกรรมด้านบวกบ้างด้านลบบ้าง
ซึ่งผลกรรมจะอยู่ในรูปของ บุรพกรรมแม่เหล็ก
และมีน้ำหนักมวลอย่างน้อย 0.5 มิลลิกรัมด้วย

ถ้าทั้งภพชาติขยันสร้างแต่เวรแต่กรรม
กระทำผิดบาปด้วยจิตหยาบอยู่เป็นอาจิณ
รหัสกรรมทุกกรรมก็จะถูกเก็บไว้ที่เมอร์คขะบาห์
ซึ่งเป็นเปลือกนอกของจิตวิญญาณของท่าน
ถ้าสะสมไว้มากมันจะทำให้จิตวิญญาณไร้พลัง
เพราะเมอร์คขะบาห์มีที่ว่างให้สั่นสะเทือนน้อย
อีกทั้งถ้ามีผลกรรมมากน้ำหนักมวลก็ยิ่งเพิ่มมาก
จนส่งผลให้ดีดตัวเองหนีแรงดึงดูดออกไปไม่พ้น

ถ้าจิตวิญญาณหลุดพ้นออกไปจากเอกภพไม่ได้
แก่นแท้ของท่านก็จะกลับบ้านเกิดเมืองนอนไม่ได้
พวกท่านก็จะเป็นดั่งขยะอวกาศหรือขยะจักรวาล
รอที่จะถูกช่างเท็คนิกหรือทูตสวรรค์ของพระองค์
ทำการ "ระเบิดทิ้ง" หรือ จัดการ "เผาทำลายทิ้ง"
โดยจะถูกชำระพร้อมกับแผ่นดินโลกบางส่วนด้วย
เพื่อทำความสะอาดโลกและเอกภพของพระองค์
เอาไว้รองรับเด็กๆจากฟ้าสีครามแห่งพระนิเวศน์
ผู้จะเข้ามาทำหน้าที่เพื่อนร่วมงานกับโลกแทนท่าน
ในยุคพลังงานใหม่กันต่อไปนั่นเอง

เราจึงเตือนท่านอยู่เสมอว่า
ถ้าปรารถนาการหลุดพ้นอย่างแท้จริงแล้ว
ท่านต้องเลิกหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอด
เพื่อรับฟังพระโอวาทพระบิดาที่ทรงสื่อผ่านเรามา
จักได้รู้ว่า "หลงทางนิพพาน" คืออย่างไร
จักได้รู้ว่า "จิตหยาบนิพพาน จิตวิญญาณหลุดพ้น"
มันมีหมายความว่าอย่างไร จักต้องปฏิบัติอย่างไร

คนที่โง่ง่ายหรือฉลาดยากกับคนที่รักไม่เป็น
รวมทั้งผู้ที่ต่อต้านพระผู้เป็นเจ้าแห่งจักรวาล
จะถูกทำเครื่องหมาย "กากะบาท" ไว้ตรงหน้าผาก
ส่วนคนที่ไม่ตื่นตัวไม่ตื่นใจและไม่ตื่นรู้
ทำตนเป็นขยะรกโลกเพราะเป็นที่พึ่งของโลกไม่ได้
จะคัดทิ้งไว้ให้เจ้ากรรมนายเวรของตน "ชำระ" เอง

บัดนี้เวลาแห่งการเปลี่ยนยุคและการชำระโลก
เหลือน้อยลงเต็มทีแล้วล่ะท่านทั้งหลาย
ท่านกำลังทำศึกสงครามเชื้อโรคกับมอดมาร
อีกทั้งยังจะต้องทำสงครามกับภัยพิบัติด้วย
หากไม่รีบติดอาวุธทางปัญญาพัฒนาจิตวิญญาณ
ซึ่งมันต้องใช้เวลาสิ้นเปลืองยาวนานอยู่ไม่น้อย
ท่านคิดว่าจะรักษาตัวให้รอดได้แน่หรือ

มัวแต่สนุกสนานกับชีวิตที่ติดกิเลสและราคะ
ติดโลภ ติดรวย ติดสวย ติดทุกข์ ติดสุข
ติดอุตริอวิชชา ติดอบายมุข ติดอำนาจเหนือ
โดยไม่เคยคิดจะทำอะไรเพื่อจิตวิญญาณบ้างเลย
วันที่ภัยทั้งหลายมาถึงตัวก็คงจะเอาหัวไม่รอดแน่

ในยุคท่านโนอาห์
มีผู้คนไม่เชื่อข่าวสารของพระองค์จึงไม่ลงเรือ
ครั้งกระนั้นผู้ที่ถูกคัดทิ้งจึงมีจำนวนมากกว่าผู้รอด
ครั้งนี้ประวัติศาสตร์คงต้องซ้ำรอยเดิมอีก
ความดื้อรั้น อวดดี งมงาย โง่ง่ายไม่เอาไหน
มันล้วนนำพามนุษย์ตกสวรรค์กันมาทุกยุคสมัย
สิ้นยุคแล้วจะมีท่านผู้ใดเข็ดหลาบกันบ้างไหมนี่

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/01/2022

28 มกราคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 28/01/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าท่านต้องการจะตายไปจากภพชาตินี้
โดยไม่ต้องการย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์โลก
เพื่อจะทุกข์จะแก่จะเจ็บจะป่วยจะตายแล้วเกิดใหม่
หรือเมื่อตายแล้วไม่ต้องตกนรกไม่ต้องมีสังสารวัฏอีก
ซึ่งคนนำทางตาบอดเรียกว่าเข้าถึง พระนิพพาน นั้น
ท่านจะใช้วิธีคิดแบบจิตมนุษย์หรือคิดแบบไร้มิติไม่ได้

คำว่า อย่าคิดแบบจิตมนุษย์ หมายถึง
อย่าคิดโดยใช้ตรรกะเพื่อเข้าถึงสัจธรรมความจริง
ในเรื่องของนิพพานด้วยสมองซีกซ้ายเด็ดขาด
เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนจะเข้าถึงความจริงนี้ได้
เพราะเรื่องของ "นิพพาน" นั้นมันเป็น อนุตรธรรม
ซึ่งพระบิดาพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะทรงบอกท่านได้

ความคิดอย่างมีตรรกะของคนนำทางตาบอดก็คือ
ถ้าพวกตนต้องการหยุดการเวียนว่ายตายเกิด
ต้องการหยุดการมีสังสารวัฏหรือหยุดวัฏสงสาร
เพื่อจะหนีทุกข์พ้นทุกข์หรือดับกองทุกข์ทั้งหลายได้
พวกเขาต่างล้วนเชื่อกันว่ามีหนทางเดียวเท่านั้นก็คือ
จะต้องดับอัตตาตัวตนของจิตวิญญาณ
เพื่อทำลายอัตตาให้เป็น "อนัตตา" คือไม่มีตัวตนให้ได้
เพราะเชื่อว่า "จิตวิญญาณ" เป็น "ตัวตน" ที่ทำให้เกิด

ดังนั้น
พวกเขาจึงปลีกวิเวกเพื่อไปนั่งวิเคราะห์จิตตนเองว่า
อัตตาตัวตนของจิตวิญญาณนั้นมันคืออะไรกันแน่
ในที่สุดพวกเขาก็จับเอา "ขันธ์ 5" มาเป็นจำเลย

ขันธ์ 5 ก็คือรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ
พวกเขาจึงหลงผิดคิดว่าขันธ์ทั้งห้านี่แหละ
คือตัวตนที่แท้จริงในการเกิดเป็นมนุษย์ของตน
เพราะมองว่ามนุษย์ทุกคนล้วนมีขันธ์ 5 กันทั้งนั้น

พวกเขาจึงหาทางจะดับขันธ์ 5 ของตนกันให้จงได้
ทั้งๆที่แท้จริงแล้วนั้น "ขันธ์ 5" เป็นกลไกของจิต
ที่พระบิดาทรงออกแบบติดตั้งเอาไว้ให้มนุษย์ใช้
เพื่อเป็นเครื่องมือที่จะสั่นสะเทือนใน สองมิติ ได้
ถ้าไม่มีขันธ์ 5 มนุษย์ก็เป็นคนสองมิติไม่ได้
มนุษย์ก็ไม่สามารถใช้ความรักช่วยค้ำจุนโลกได้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ความหลงผิดเพราะคิดผิดจนเชื่อผิดอีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งคนนำทางตาบอดกระทำต่อจิตวิญญาณตนเอง
รวมทั้งลากพาคนอื่นๆให้ "หลงทาง ตามไปด้วย
เพราะพวกเขาไม่รู้ความจริงระดับ "อนุตรธรรม"
นั่นคือไม่รู้ว่าจิตที่พวกเขากำลังใช้ขณะเป็นมนุษย์
ซึ่งเป็นจิตที่พวกเขามุ่งทำลายอัตตาของขันธ์ 5 นั้น
เป็น จิตหยาบ มิใช่จิตวิญญาณผู้มาเกิดเป็นมนุษย์

เพราะพวกเขาไม่รู้ความจริงว่า
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือพระผู้สร้าง
ได้ทรงออกแบบและวางแผนเอาไว้ให้
จิตวิญญาณผู้มาเกิดเป็น "คนสองมิติ" หรือมนุษย์
จักต้องแบ่งภาคตนเองออกมาเป็นกลุ่มพลังงาน
ซึ่งพระบิดาทรงอนุญาตให้เราเรียกว่า "จิตหยาบ"
เพื่อให้จิตหยาบรับเอาคุณสมบัติของจิตวิญญาณ
พร้อมภาระหน้าที่ทั้งหมดรวมทั้ง "ขันธ์ 5" ไว้
จะได้ใช้ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณขณะเป็นมนุษย์

โดยสิ่งใดที่จิตหยาบกระทำไม่ว่ามันจะผิดหรือถูก
จิตวิญญาณในฐานะของผู้มอบอำนาจให้ทำแทน
จักเป็นผู้รับผิดชอบในผลกรรมนั้นๆเสมือนทำเอง
เช่น ถ้าจิตหยาบทำผิดบาปจิตวิญญาณก็จะตกนรก
ถ้าจิตหยาบสร้างบุญกุศลจิตวิญญาณก็รับอานิสงส์
ถ้าจิตหยาบหลงมิติจิตวิญญาณจะหลงทางนิพพาน
โดยจิตวิญญาณของท่านจะไม่สามารถปฏิเสธได้

ดังนั้น
ความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ก็คือ
การเชื่อว่าดับขันธ์ 5 แล้วจิตวิญญาณจะเป็นอนัตตา
คือ "ไม่มีตัวตน" อะไรอีกแล้วเพราะเป็นอนัตตาแล้ว
โดยอ้างเอาจากการฝึกให้จิตว่างไปจากความทุกข์
โดยอ้างเอาจากการปลีกวิเวกจนไม่ก่อกรรมใหม่เพิ่ม
เป็นเครื่องชี้วัดตัดสินว่าถ้าพวกตนทิ้งกายสังขารไป
ก็จะเข้าถึงพระนิพพานได้อย่างจริงแท้แน่นอนแล้ว

ทั้งๆที่จิตหยาบซึ่งเป็นตัวแทนจิตวิญญาณ
ที่พวกเขากำลังพยายามจะดับสลายมันอยู่
กับขันธ์ 5 ที่พวกเขาพยายามจะดับมันทิ้งนั้น
พระบิดาได้ทรงออกแบบเอาไว้ให้แล้วว่า
ทั้งสองสิ่งนี้จะดับสลายไปเองเมื่อมนุษย์ตาย
โดยจิตวิญญาณจะรับเอาผลกรรมที่จิตหยาบก่อ
รวมทั้งคุณสมบัติของตนและขันธ์ 5 คืนกลับมา
ก่อนที่เครื่องยนต์แห่งกรรมจะเน่าสลาย

การหลงผิดกระทำผิดเช่นที่เรากล่าวมานี้
มันก็ไม่ต่างจากการ "เกาผิดที่คัน" นั่นแหละ
เพราะต้องการจะกระทำต่อจิตวิญญาณ
แต่ดันไปกระทำที่ "จิตหยาบ" แทน
จนต้องเสียเวลากันมาหลายๆภพชาติแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ถ้าพวกท่านต้องการดับการเวียนว่ายตายเกิด
ถ้าพวกท่านต้องการดับการมีสังสารวัฏ
ถ้าพวกท่านต้องการดับกองทุกข์ทั้งปวง
จงอย่าไปคิดให้มันยากเลยพี่ๆน้องๆแห่งเรา

เพียงแค่ท่านเรียนรู้จากพระโอวาทพระบิดา
ให้หาทาง "หมุนธรรมจักร" ด้วยรักและปัญญา
จากเงื่อนไขทั้งดีและร้ายของคนรอบข้างให้ได้
โดยต้องไม่แสร้งทำเป็นคนที่มีอายตนะพิการ
โดยไม่ต้องมีการละทิ้ง "สังคม" คนรอบข้าง
เพื่อก้าวตามมรรควิถีจิตจักรวาลของพระองค์
ขยะในชีวิตและในจิตวิญญาณของพวกท่าน
มันจะดับสิ้นจนเหลือแต่ความว่างเท่านั้นเอง

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28/01/2022

27 มกราคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 27/01/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านสามารถเข้าถึง สภาวะนิพพาน ได้แล้ว
ภารกิจทางจิตวิญญาณของท่านก็ยังไม่บรรลุนะ
เพราะ "นิพพาน" กับการ "หลุดพ้น" นั้นคนละเรื่อง
จงอย่าเอามาปนเปกันให้มันสับสนอีกต่อไป

คำว่า "สภาวะนิพพาน" ในที่นี้หมายถึง
การที่ "จิตหยาบ" สามารถบรรลุธรรมเบื้องต้น
จนเข้าถึง "โลกิยธรรมและโลกุตรธรรม" ได้สำเร็จ
ด้วยการใช้จิตหยาบหรือจิตมนุษย์นี่แหละ
สั่นสะเทือน "ขันธ์ 5" ให้เกิดเป็น กรรมจักร
ตามที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้ให้ตั้งแต่เกิดแล้ว

ต่อจากนั้นถ้าท่านสามารถแทรกแซงกรรมจักร
โดยเปลี่ยนให้เป็น ธรรมจักร ได้เป็นผลสำเร็จ
ตามแบบแผนที่พระบิดาทรงกำหนดเอาไว้ให้ได้
จิตหยาบของท่าน (จิตหยาบนะไม่ใช่จิตวิญญาณ)
ก็จะเข้าถึง สภาวะนิพพานก่อนตาย ในชาตินี้แล้ว

คำว่า "สภาวะนิพพานก่อนตาย" เราหมายถึง
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการที่ท่าน "หมุนธรรมจักร"
ด้วย ความรักเพื่อให้ ในทุกรูปแบบ
เพื่อตอบสนองเงื่อนไขของสิ่งเร้ารอบด้าน
ทั้งเงื่อนไขที่ท่านพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม
แทนที่จะหมุนกรรมจักรซึ่งถูกติดตั้งแบบผิดๆไว้

ดังนั้น
สภาวะนิพพานก่อนตายไปจากภพชาติปัจจุบัน
จึงหมายถึงพวกท่านสามารถเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้

1.ดับขยะในขันธ์ห้าของจิตหยาบได้อย่างสิ้นเชิง
ขยะในขันธ์ห้าที่ว่านี้ก็คือ กิเลส ตัณหา ราคะ
อารมณ์ขยะ อวิชชา สันดาน และ อุปาทาน เป็นต้น

การดับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างสิ้นเชิงนี้
แปลว่าท่านสามารถที่จะ "ดับการเกิดดับ" ของมันได้
ซึ่งหมายถึง "นิพพาน" ขยะเหล่านี้ได้สิ้นเชิงนั่นเอง

2.เมื่อท่าน "นิพพาน" ขยะในขันธ์ 5 ได้หมดแล้ว
มันยังจะส่งผลให้ท่าน "ดับผลกรรม" ได้หมดสิ้น
ทั้งกรรมเก่าจากกอดีตและกรรมใหม่ในภพชาตินี้

เพราะจิตที่ว่างไปจากขยะในขันธ์ห้าทั้งหมดแล้ว
เหลือแต่ความรักเพื่อให้ เช่น อดทน อดกลั้น อภัย
หรือจิตที่มีเมตตา กรุณา มุทิตา และ อุเบกขา
ซึ่งใช้สติปัญญาเป็นตัวช่วยสำคัญในการเข้าถึงนั้น
มันจะช่วยให้สอบผ่านบททดสอบ จิตสำนึกแห่งรัก
ที่คนรอบข้างสร้างปัญหาหรือยื่นเงื่อนไขลบมาให้ได้

อีกทั้งจิตที่มีแต่รักเพื่อให้โดยไร้ซึ่งกิเลสนั้น
ท่านจะไม่มีวันก่อกรรมใหม่หรือเกี่ยวกรรมกับใคร
ให้จิตวิญญาณของท่านต้องเดือดร้อนอีกด้วย

ดังนั้น
เมื่อจิตหยาบของท่านดับ "ผลกรรม" ได้หมดสิ้นแล้ว
ตลอดทั้งชีวิตนี้ยังไม่มีการก่อกรรมใหม่ขึ้นมาเพิ่มอีก
ท่านจึงดับการเกิดดับของ "ผลกรรม" ได้อย่างสิ้นเชิง
แสดงว่าท่านนั้น นิพพานกรรม จนหมดสิ้นแล้ว

3.เมื่อจิตหยาบ "นิพพานกรรม" ได้หมดสิ้นแล้ว
มันก็จะส่งผลต่อจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ให้สามารถ "ดับการมีกฎแห่งกรรม" ได้ด้วย
แปลว่าจิตหยาบอยู่เหนือ กฎแห่งกรรม ได้นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อจิตหยาบสามารถอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้
ก็จะยังผลให้ "จิตวิญญาณ" แก่นแท้ของท่าน
สามารถที่จะ นิพพานกฎแห่งกรรม ได้ด้วย
เพราะการเป็นทาสกฎแห่งกรรมของจิตหยาบนั้น
จะเป็นเหตุให้จิตวิญญาณของท่านต้องแบกภาระ
ด้วยการเดินทางลงสู่ภพภูมินรกสถานเดียว
เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยรักษาการป่วยด้วยหลงมิติ
ที่จิตหยาบขณะมีชีวิตเป็นมนุษย์เป็นผู้ก่อภาระนี้ให้

4.เมื่อท่านสามารถ "นิพพานกฏแห่งกรรม"
จนไม่มีนรกให้ต้องเสียเวลาลงไปรักษาเยียวยาแล้ว
ผู้ที่นิพพานขยะในขันธ์ห้าของจิตหยาบได้หมดสิ้น
โดยสามารถสอบผ่านได้ทุกบททดสอบจิตสามนึก
เพราะสามารถหมุนธรรมจักรแทนกรรมจักรได้แล้ว
ยังสามารถสอบผ่าน บทเรียนกรรม จากคนรอบข้าง
ทั้งที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกันมาและที่ไม่ใช่
ด้วยพลังอำนาจทางปัญญาของสมองสองซีก

ดังนั้น
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
จึงไม่ต้องไปเกิดในภพภูมิอื่นเพื่อเรียนพิเศษ
ไม่ว่าจะเป็นภพภูมิของสัตว์ นรกหรือสวรรค์มายา
เพื่อแก้ไขจิตสามนึกที่ไม่ถูกต้องเสียให้ถูกต้อง
เพื่อสร้างจิตสามนึกใหม่ให้มันถูกต้องยิ่งกว่าเดิม
อันจะเป็นการเวียนเกิดเวียนตายกันหลายภพภูมิ
ซึ่งเรียกว่า "การมีสังสารวัฏ" นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้เองถ้าจิตหยาบไม่สร้างปัญหานี้
ให้เป็นภาระแก่จิตวิญญาณของท่านอีกต่อไป
ก็เท่ากับว่าท่าน "ดับการมีสังสารวัฏ" ได้แล้ว
นั่นคือ นิพพานการมีสังสารวัฏ" ได้แล้วนั่นเอง

5.ถ้าท่านสามารถนิพพานทั้ง 4 ประการ
ตามที่เรากล่าวมาทั้งหมด 4 ข้อข้างต้นนั้นได้
ท่านก็จะสามารถช่วยให้จิตวิญญาณไม่ต้องตาย
เพราะว่าจิตวิญญาณไม่มีหน้าที่ต้องตายอีกแล้ว

ดังนั้น
ตัวท่านเองทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณ
จึงสามารถมีชีวิตเป็นมนุษย์ต่อไปได้คือเป็นอมตะ
มีอายุขัยยืนยาวเป็นร้อยปีพันปีหมื่นปีได้สบายๆ
โดยจะไม่มีการแก่ชรา จะไม่มีการเจ็บป่วย
ไม่ต่างจาก Aliens บนดาวดวงอื่นๆแต่อย่างใด
นี่จึงเป็นการ "ดับการเกิดดับของภพชาติ" โดยแท้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เราจึงขอย้ำต่อท่านทั้งหลายว่า
ทั้งหมดนี้เป็นความจริงด้าน อนุตรธรรม
ที่คนทั้งจักรวาลนี้ยังไม่มีผู้ใดรู้มาก่อน
นอกจากท่านที่ได้อ่านพระโอวาทกันอยู่นี้เท่านั้น

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
พวกท่านต้องนิพพานก่อนตายเท่านั้น
มิใช่ตายแล้วค่อยนิพพานอย่างที่เชื่อกันอยู่

การที่ท่านจะมุ่งนิพพานขณะเป็นมนุษย์นั้น
มันคือการนิพพานของจิตหยาบนะ
จิตวิญญาณของท่านเป็นแค่้ผู้รับผลมิใช่ผู้ปฏิบัติ
โดยการจะเข้าถึง "สภาวะนิพพาน" ได้
ท่านทั้งหลายจะนั่งหลับตาทำอยู่คนเดียว
ใช้แต่จิตกับปัญญาไม่ใช้อายตนะไม่ใช้อวัยวะ
รวมทั้งไม่ใช้คนรอบข้างในสังคมร่วมปฏิบัติด้วย
ท่านก็จะไม่สามารถนิพพานในสองมิติได้เลย
เพราะท่านไม่ใช้ขันธ์ 5 ที่พระบิดาทรงติดตั้งไว้
แผนการที่ทรงวางไว้ให้เป็นอันผิดแผนจึงล้มเหลว

จงอย่าแปลกใจอีกเลยท่าน
บวชนานแล้วใย "นิพพาน" ไม่ได้เป็นเพราะอะไร

การที่บวชมานานแล้วยังหลงทางนิพพานกันอยู่
เพราะพวกท่านไม่รู้ "อนุตรธรรม" ความจริงที่ว่า
สภาวะนิพพานอันเป็น คุณสมบัติ ของแก่นแท้
กับ "การหลุดพ้น" ซึ่งเป็น พฤติกรรม ของแก่นแท้
มันเป็นคนละเรื่องกันเลยพี่ๆน้องๆแห่งเราทั้งหลาย

จงจำเอาไว้เถิดว่า.....
จิตหยาบต้องนิพพาน
จิตวิญญาณจึงหลุดพ้นได้

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27/01/2022

24 มกราคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 24/01/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือองค์จิตจักรวาล
ทรงเป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นไว้ในเอกภพ
โดยได้ทรงออกแบบทุกสิ่งที่ทรงสร้างเอาไว้ดีแล้ว

คำว่า ทรงสร้างเอาไว้ดีแล้ว หมายความว่า
ทุกสรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้นอย่างมีวัตถุประสงค์
ทุกสรรพสิ่งจะเชื่อมโยงกันและกันอย่างเป็นระบบ
ทุกสรรพสิ่งจะมีกลไกกระบวนการเป็นของตนเอง
ทุกสรรพสิ่งจะมีหน้าที่และรับผิดชอบต่อหน้าที่
ทุกสรรพสิ่งจะอยู่ภายใต้กฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียว

ทุกสรรพสิ่งจะมีพลังอำนาจอยู่ในตนเอง
ทุกสรรพสิ่งจะไม่ล่วงล้ำก้ำเกินกันและกัน
ทุกสรรพสิ่งจะช่วยเหลือเกื้อกูลค้ำจุนซึ่งกันและกัน
ทุกสรรพสิ่งจะขาดซึ่งกันและกันไม่ได้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ทุกสรรพสิ่งที่เรากล่าวเอาไว้ข้างต้นนั้น
พระบิดาทรงหมายรวมถึงพวกท่านทั้งหลาย
ที่เป็น "คนสองมิติ" หรือมนุษย์โลกเองด้วย
โดยเราจะยกตัวอย่างให้รู้ไว้ในที่นี้สักอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างเช่น
พวกท่านทั้งหลายถูกสร้างขึ้นไว้บนโลก
เพื่อวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ

ทรงให้เข้ามาทำหน้าที่เป็น เพื่อนร่วมงานกับโลก
โดยใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ผลิตพลังงานความรักในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก
ผ่านกระบวนการใช้จิตหยาบสั่นสะเทือนขันธ์ 5
ด้วยความรักความเมตตาโดยให้ใช้สมองเป็นตัวช่วย
เพื่อที่จะรักคนทำตัวไม่น่ารักให้ได้ด้วยปัญญา
เพื่อที่จะให้อภัยคนที่ไม่น่าอภัยให้เป็นด้วยปัญญา

ความรักที่เกิดจากจิตตปัญญาของท่านนี่แหละ
มันจะสั่นสะเทือนขันธ์ 5 ในแบบของ ธรรมจักร
ด้วยการนึกบวกคิดบวกพูดบวกและกระทำด้านบวก
ตอบสนองเงื่อนไขสิ่งเร้าที่อายตนะภายนอกทั้งห้า
สื่อถ่ายทอดเข้าไปให้ "จิตหยาบ" ข้างในได้ "รับรู้"
ซึ่งผลลัพธ์ของการสั่นสะเทือนเป็น "ธรรมจักร"
ในมิติของจิตวิญญาณก็คือ วิญญาณ

คำว่า "วิญญาณ" ในขันธ์ที่ 5 ของขันธ์ 5 นี้
ก็คือ "พลังงาน" จากกระบวนการหมุนธรรมจักร
ที่จิตหยาบเหวี่ยงมันออกมาภายนอกกายสังขาร
ในรูปคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
อันเป็นคลื่นพลังงานจิตด้านบวกที่โลกต้องการ
เพื่อนำไปใช้จุดระเบิดแกนแม่เหล็กโลกให้บิดตัว
จนเกิดการหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่องได้ในที่สุด

ดังนั้น
ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
ปฏิบัติการอันยิ่งใหญ่นี้มันจะเกิดขึ้นมาได้
ก็ต่อเมื่อท่านทั้งหลายจักต้องรู้คุณค่าของตนเองว่า
ดาวเคราะห์โลกจะขาดพวกท่านไม่ได้
พวกท่านทุกคนก็จะขาดโลกไม่ได้เช่นกัน

ถ้าดาวเคราะห์โลกขาดพวกท่าน สัตว์ และพืช
ก็จะไม่มีพลังงานช่วยจุดระเบิดแกนแม่เหล็กโลก
เพื่อให้เกิดการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้
ถ้ามนุษย์ขาดโลกหรือโลกไม่หมุนรอบตัวเอง
มนุษย์ก็จะดำรงชีวิตอยู่บนโลกต่อไปไม่ได้
เพราะจะไม่มีออกซิเจนใช้ในการหายใจ
ที่สำคัญคือกลไกอวัยวะภายในสมองและทุกเซลล์
มันจะหยุดทำงานหรือทำงานตามหน้าที่ไม่ได้
มนุษย์โลกจะต้องตายเพราะระบบไฟฟ้าขัดข้อง

ด้วยเหตุนี้เอง
พระบิดาจึงทรงพระเมตตาต่อพวกท่านว่า
ถ้าจะทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกได้
พวกท่านจึงต้องเข้าถึงพลังอำนาจในตนเองคือ

อำนาจของกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
คือ ตา หู จมูก ลิ้น (ปาก) และกายสัมผัส
นั่นคือ การฉลาดที่จะใช้มันให้ได้
ฉลาดใช้มันให้เป็นและฉลาดใช้มันให้ถูกต้อง

คำว่า "ฉลาดใช้" แปลว่าท่านจัก ต้องใช้ มัน
เพราะมันเป็นหน้าต่าง 5 บานที่พระบิดาติดตั้งไว้ให้
เป็นช่องทางที่ "จิตหยาบภายใน" ใช้รับรู้เงื่อนไข
ซึ่งเป็น "สิ่งเร้า" จากภายนอกในทุกรูปแบบทุกขณะ
เพื่อกระตุ้นจิตหยาบให้สั่นสะเทือนขันธ์ 5 ให้ได้
ตามที่พระบิดาได้ทรงกำหนดออกแบบเอาไว้
ซึ่งเป็นกระบวนการ "อัตโนมัติ" มันเป็นของมันเอง

หน้าที่ของพวกท่าน คือ ไม่เกลียดกลัวความทุกข์
ไม่ปลีกตัวทิ้งสังคมคนรอบข้างไปจากชีวิตจริง
ด้วยเหตุโทษสังคมว่าเป็นเหตุแห่งปัญหาหรือทุกข์
ทั้งๆที่พวกเขามาช่วยสร้างเงื่อนไขให้ท่านใช้ขันธ์ 5
เพื่อเปิดปัญญาของสมองของท่านใช้จัดการปัญหา
ในอันที่จะยกระดับจิตปัญญาให้เข้าถึง "รักบริสุทธิ์"
เพราะจิตปัญญาเท่านั้นจึงจะจัดการกิเลสตัณหาได้

หน้าที่ของท่านที่สำคัญประการต่อมาก็คือ
ท่านต้องไม่แสร้งทำเป็นคนพิการด้านอายตนะ
โดยทำตนเป็นเหมือนคนหูหนวก ตาบอด เป็นใบ้
ละทิ้งสังคมอยู่แต่โลกส่วนตัวไม่คบกับใคร
เสมือนไม่รู้คุณค่าของ "หน้าต่าง 5 บาน" เลย
ทั้งๆที่ตนมีอยู่ครบสมบูรณ์แต่กลับไม่ใช้มัน

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่าพวกท่านนั้น
จะเรียนรู้โลก ตนเอง สังคมและสรรพสิ่งมิได้
ถ้าไม่มีตา หู ปาก จมูก ลิ้น กายสัมผัส และสมอง
เป็นเครื่องมือสำคัญและจำเป็นในการเรียนรู้

คนที่รอบรู้ คนที่เก่งและคนฉลาดทั้งหลาย
ล้วนเป็นคนที่มีอาการครบสามสิบสองทั้งนั้น
โดยพวกเขาล้วนฉลาดใช้มันอีกด้วย
พวกท่านจึงต้องไม่ทำตนเป็นคนพิการ
ทั้งด้านอายตนะ สมอง และอวัยวะเด็ดขาด
ไม่ว่าจะหาทำแบบชั่วคราวหรือทำเป็นอาชีพ
เพราะพวกท่านจะกลายเป็นคนที่ เสียชาติเกิด
เพราะความโง่ง่ายจากการเอาแต่หลับตา
ก้าวตามคนนำทางตาบอดอยู่นั่นแหละ

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24/01/2022

22 มกราคม 2565

VDO. EP. 370: พระเจ้าให้เล่าความ (Full Version)

 



บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

20 มกราคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 20/01/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
คำว่า นิพพานเทียมเท็จ นั้นเราหมายถึง

1.ความเชื่อที่ว่า
ใครก็ตามเมื่อตายไปจากภพชาตินี้แล้ว
จิตวิญญาณของผู้นั้นจะไม่ย้อนกลับมาเกิดอีก
รวมทั้งจะไม่ไปเกิดใหม่ในภพภูมิใดๆอีกด้วย
เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องตรงจริงแต่อย่างใด
เมื่อเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องตรงจริง
สภาวะนิพพานที่ว่านี้จึงเป็น "นิพพานเทียมเท็จ"

ที่เป็นนิพพานเทียมเท็จก็เพราะเหตุว่า
จิตวิญญาณนั้นๆเมื่อตายไปจากภพชาตินี้แล้ว
แม้จะไม่ย้อนคืนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ตาม
แต่จิตวิญญาณนั้นก็จะยังคงดำรงอยู่ในจักรวาลนี้
เพราะจะไม่สามารถ "ดับหาย" ไปไหนได้

ที่จิตวิญญาณนั้นๆดับหายไปไหนไม่ได้
เพราะจิตวิญญาณเป็น "กล่องพลังงาน"
ซึ่งมีรูปทรงเรขาคณิตเป็น 6 เหลี่ยมมุม
โดยมีน้ำหนักมวลทางพลังงานเฉพาะตัว
รวมกับน้ำหนักของผลกรรมทั้งด้านบวกด้านลบ
ซึ่งจิตวิญญาณถือติดตัวมาจากอดีตชาติด้วย
เพื่อทำการแก้ไขและชดใช้มันให้หมดสิ้น
แต่ผลกรรมเก่านี้ยังคงมิได้รับการแก้ไขชดใช้
จึงยังผลให้จิตวิญญาณนั้นมีน้ำหนักมวลมากอยู่
ทำให้โลกและจักรวาลดึงดูดเหนี่ยวรั้งเอาไว้
ซึ่งไม่ต่างจากมวลก้อนเมฆแม้จะเบาหวิวแค่ไหน
ก็ยังหลุดพ้นออกไปจากแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งมิได้

ดังนั้น
จิตวิญญาณของคนที่เชื่อในนิพพานเทียมเท็จ
จึงพากันหลงทางนิพพานตามๆกันไปเป็นแถว
โดย "หลุดลอย" ขึ้นไปติดค้างอยู่บนสวรรค์มายา
ซึ่งอาจเรียกว่า "สวรรค์เทียมเท็จ" ก็ได้

เมื่อจิตวิญญาณยังหายตัวไปจากจักรวาลไม่ได้
ตามความเชื่อของคนกลุ่มนี้ที่มีกันมาตั้งแต่ต้น
แสดงว่าจิตวิญญาณนั้นๆก็ยัง "นิพพาน" ไม่จริง

2.ความเชื่อที่ว่า
พวกเขาจะนิพพานได้ก็ต่อเมื่อต้อง "ดับอัตตา"
เพราะถ้าจิตวิญญาณยังมีอัตตาตัวตนอยู่
พวกเขาก็จะหยุดการเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้

โดยพวกเขาเชื่อว่า "ขันธ์ 5"
เป็นองค์ประกอบหลักแห่งอัตตาตัวตน
ถ้าสามารถดับขันธ์ 5 ได้สิ้นตนก็นิพพานได้แล้ว
ทั้งชีวิตในทุกภพชาติที่ผันผ่านมา
พวกที่เชื่อในเรื่องนี้จึงพยายามกระทำที่จิตตนเอง
ด้วยการละทิ้งสังคมเพื่อจัดการขันธ์ 5 ให้ได้

พวกเขากำหนดใช้ตัวชี้วัดกันเองง่ายๆว่า
ถ้าสามารถปฏิบัติจิตจนว่างไปจาก ความทุกข์ ได้
โดยเอาความสุขจากความสงบของจิตเป็นตัวชี้วัด
แสดงว่าพวกตนหรือเขาคนนั้นเข้าถึงนิพพานแล้ว
เพราะเชื่อว่าถ้าไม่ทุกข์แล้วแสดงว่าไม่มีตัวตนแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

การปฏิบัติจิตจนกระทั่งกำหนดรู้ได้ว่า
ตนว่างไปจากทุกข์จากเดิมที่รู้ว่าตนทุกข์อยู่นั้น
มันเป็นการกำหนดรู้ด้วยจิตตัวเดียวกันใช่หรือไม่
มิเช่นนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่า "ตน" ไม่ทุกข์แล้ว
แสดงว่าอัตตาตัวตนที่ต้องการดับมันยังคงอยู่
เพราะจิตมันยังบอกท่านได้อยู่ว่าไม่ทุกข์แล้ว

ดังนั้น
ถ้านิพพานตามความเชื่อของพวกเขาเป็นเช่นนี้
แสดงว่าสภาวะนิพพานที่พวกเขามุ่งปฏิบัติกันมา
จึงเป็น "นิพพานเทียมเท็จ" ชัดเจนยิ่งขึ้นอีก

มนุษย์จะเอาความทุกข์ในชีวิตมาเป็นสาระมิได้
เนื่องจากความทุกข์ทั้งมวลเกิดจากตัวมนุษย์เอง
ที่สั่นสะเทือนขันธ์ห้าไม่ได้ใช้จิตปัญญาไม่เป็น
โดยความทุกข์มิได้เกิดจากขันธ์ห้าแต่อย่างใด
แท้แล้วความทุกข์เกิดจาก "ปัญหา" ต่างหาก
ถ้าจัดการปัญหาได้แก้ไขปัญหาที่เผชิญอยู่ได้
พวกท่านก็ดับทุกข์ได้พ้นจากทุกข์นั้นได้แล้ว

ท่านอย่าเอาขันธ์ห้ามาเป็นจำเลยเพื่อกำจัดมัน
เพียงแค่ฉลาดใช้ขันธ์ห้าด้วยความรักและปัญญา
จัดการกับทุกปัญหาในชีวิตอย่างมี มหาสติ
ตัวท่านก็จะเป็น "คนพ้นทุกข์" กันได้แล้ว
ที่สำคัญคือขันธ์ห้าดับเองได้เมื่อท่านตายแล้ว

3.ความเชื่อที่ว่า
นิพพานคือการตายแล้วจิตวิญญาณจะดับสูญ
โดยจิตวิญญาณจู่ๆก็หายไปเหมือนตาลยอดด้วน
ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าดับสูญไปได้อย่างไร
ทั้งๆที่จิตวิญญาณก็เป็นรูปธรรมทาง "พลังงาน"
อันเป็นมิติเริ่มต้นที่เป็นแก่นแท้ของสิ่งที่มีอัตตา
มันจะสูญหายไปไหนไม่ได้เลย

ความเชื่อเรื่องนิพพานเช่นที่ว่านี้
จึงเป็น "นิพพานเทียมเท็จ" อีกเช่นกัน

4.ความเชื่อที่ว่า
นิพพานคือการตายแล้วจิตวิญญาณจะเป็นอิสระ
โดยไม่มีตัวตนที่จะตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดแล้ว

ความเชื่อเรื่อง "นิพพาน" ในประเด็นนี้
ก็เป็น "นิพพานเทียมเท็จ" เช่นกัน

เพราะความจริงมีอยู่ว่า
ถ้าจิตวิญญาณของท่านผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ยุคนี้
มิได้เป็นผู้ที่ถูก "คัดทิ้ง" ในปฏิบัติการชำระโลก
เพื่อเปลี่ยนจากยุคพลังงานเก่าสู่ยุคพลังงานใหม่
ด้วยการถูก "ระเบิดทิ้ง" ให้แตกสลายไปแล้ว
จิตวิญญาณนั้นก็จะยังคงอยู่ในอนันตจักรวาลนี้

เพราะว่าอนันตจักรวาลหรือ "เอกภพ"
เป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระบิดา
ที่ทุกสรรพสิ่งภายในห้องทดลองขนาดใหญ่นี้
เป็นเอกภพได้ด้วย กฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน
นั่นคือทุกสรรพสิ่งภายในเอกภพนี้
จะดึงดูดเหนี่ยวรั้งซึ่งกันและกันไว้อย่างมั่นคง
ทุกสรรพสิ่งทั้งเล็กใหญ่ทั้งใกล้และไกลกัน
ต่างจะถูกดึงดูดและเป็นผู้ดึงดูดซึ่งกันและกัน
เพื่อดำรงความเป็นเอกภพหรือเป็นหนึ่งเดียวไว้

ดังนั้น
ทุกสิ่งที่ยังดำรงอยู่ภายในจักรวาลอันไพศาลนี้
รวมทั้งจิตวิญญาณของท่านที่เชื่อว่า
ดับอัตตาจนไม่เหลือตัวตนอะไรอีกแล้ว
ก็จักต้องอยู่ภายใต้สัจธรรมความจริงนี้
คือกฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่มีข้อยกเว้น

ดังนั้น
การนิพพานของท่านทั้งหลาย
ในแบบที่จิตวิญญาณหายตัวไปในอนันตจักรวาล
ที่ได้รับอิทธิพลตามกฎของการดึงดูดเหนี่ยวรั้งอยู่
แสดงว่าจิตวิญญาณของท่านยังไม่เป็นอิสระจริง

ถ้าหากจิตวิญญาณของท่านประสงค์นิพพานจริง
มีหนทางเดียวคือจักต้อง หลุดพ้น ออกไป
จากเอกภพหรืออนันตจักรวาลนี้ให้ได้เท่านั้น
โดยต้องไม่มีจิตวิญญาณรูปธรรมใด
แลเห็นจิตวิญญาณท่านยังอยู่ในอนันตจักรวาลอีก

ด้วยเหตุนี้เองความเชื่อเรื่องนิพพานที่ว่า
นิพพานคือการตายแล้วจิตวิญญาณจะเป็นอิสระ
จะไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของสิ่งใดๆแล้ว
จึงเป็น "นิพพานเทียมเท็จ" อีกเช่นกัน

5.ความเชื่อที่ว่าถ้าตายแล้วนิพพาน
จิตวิญญาณมนุษย์ทุกคน
จักต้องกลับไปกราบพระบาทพระบิดานั้น
เป็น "ความเท็จ" เป็นสิ่งไร้สาระ

เพราะคนพวกนี้เชื่อกันว่าเมื่อตนนิพพานแล้ว
ถ้าจิตวิญญาณยังมีรูปธรรมอื่นที่มีอำนาจเหนือ
จนจิตวิญญาณยังต้องนอบน้อมถ่อมใจให้แล้ว
มันล้วนเป็นเรื่องไม่จริงเป็นสิ่งที่เชื่อถือไม่ได้
เนื่องจากขัดกับนิยามความเชื่อเรื่องนิพพานของตน
พวกเขาจึงพากันปฏิเสธเรื่องพระเจ้าเป็นพัลวัน

เพราะคนพวกนี้ไม่เคยรับรู้ว่าพระนิเวศน์ของพระบิดา
ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณของตน
ที่ประดาผู้นิพพานได้แล้วทุกรูปธรรมจักต้องกลับคืน
มิใช่สถานที่หรือดินแดนที่อยู่ในเอกภพอันไพศาลนี้
แต่มันอยู่ภายนอกอนันตจักรวาลที่ท่านอยู่นี้ต่างหาก
ก็คือ แดนนิพพาน หรือ แดนสุญตา นั่นเอง

เราจึงได้กล่าวย้ำต่อท่านทั้งหลายตลอดมาว่า
ถ้าต้องการตายแล้วจิตวิญญาณไม่มาเกิดอีกนั้น
พวกท่านต้อง "หลุดพ้น" ออกไปจากอนันตจักรวาล
ผ่านทางด่านนภาลัยซึ่งเป็นทางออกไปข้างนอก
ถ้าออกไปได้สำเร็จท่านก็จะเป็นอิสระจากทุกสิ่ง
นอกจากพันธะระหว่างท่านผู้เป็นบุตรกับพระบิดา
ที่จักต้องมีสายใยแห่งรักถักทอกันไว้เพียงเท่านั้น

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
สภาวะนิพพานที่แท้จริงนั้น
จิตหยาบเป็นผู้นิพพาน
จิตวิญญาณต่างหากคือผู้หลุดพ้น

ดังนั้น
มรรคผลสูงสุดของมนุษย์ทุกชาติศาสนา
จักต้องด้นเดินไปบนเส้นทางสายเดียวกัน
จักต้องมีวิธีบรรลุธรรมที่เรียบง่ายไม่ต้องฝืน
ไม่ต้องสละสมบัติไม่ต้องปัดปฏิเสธการมีสังคม

จงอ่านทวนบทเรียนล้ำค่านี้หลายเที่ยว
เพื่อยังประโยชน์ต่อจิตวิญญาณของท่านบ้าง
เพราะจิตวิญญาณคือตัวตนที่แท้จริงของท่าน
กำลังรอคอยการช่วยเหลือของจิตหยาบ
ซึ่งเป็นดั่งเงาของตัวท่านเองอยู่นานแล้ว

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20/01/2022

19 มกราคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 19/01/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สาเหตุที่ปฏิบัติธรรมมานานแล้วนิพพานไม่ได้
เป็นเพราะมนุษย์ให้นิยามคำว่า "นิพพาน" ผิด
ที่นิยามผิดเพราะคิดเข้าใจผิดจึงเชื่อผิดมาตลอด

เหตุเพราะมนุษย์ "ไม่รู้ว่า" จิตวิญญาณของตน
เดินทางเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์โลกกันทำไม
เมื่อมาเกิดแล้วทั้งชีวิตล้วนเต็มไปด้วยกองทุกข์
เมื่อตายไปก็ยังมีนรกยังมีสังสารวัฏให้ทุกข์อีก

คนที่เป็นผู้นำทางความคิดความเชื่อเช่นว่านี้
จึงพยายามคิดหาทางตายโดยไม่ต้องมาเกิดอีก
เพื่อจะหนีไปให้พ้นจากกองทุกข์บนโลกทั้งปวง
ที่สำคัญคือเมื่อตายแล้วจิตวิญญาณต้องดับสูญ
ต้องล่องหนหายตัวไปเพื่อให้เป็นอิสระจากทุกสิ่ง
ซึ่งพวกเขาเรียกสภาวะนี้ว่า นิพพาน แล้ว

คนเหล่านี้เชื่อกันเอาเองว่า
ถ้าพวกเขาจะบรรลุธรรมสูงสุดจนถึงนิพพาน
ตามนัยความหมายที่พวกเขาเชื่อกันนี้ได้
สมองซีกซ้ายของพวกเขาจึงบอกพวกเขาว่า
จักต้องหาทาง ดับอัตตาตัวตน ของตนให้ได้
ถ้าไม่มีตัวตนเสียแล้วผู้ที่จะรับรู้ว่าทุกข์ย่อมไม่มี

จากนั้นพวกผู้นำทางความเชื่อเหล่านี้
จึงพยายามถามตนเองว่าแล้วอะไรคือ "อัตตา"
จะได้รีบหาทางดับอัตตาตัวตนนั้นเสียโดยพลัน
พวกเขาจึงเล็งเอาจิตวิญญาณแก่นแท้ของตน
ผู้ขันอาสาพระบิดาเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์เป็นเป้า
ในข้อหาว่าเป็นผู้ถือ ขันธ์_5 ติดตัวมาเกิดด้วย
จึงใช้สมองซีกซ้ายตู่เอาเองว่า ขันธ์ห้าเป็นอัตตา
พวกตนจะต้องดับขันธ์ห้านี่แหละให้สิ้นสูญ
ถ้าทำได้สำเร็จตนก็จักนิพพานได้ตามปรารถนา

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ขันธ์ห้าที่พวกเขามุ่งจะดับมันให้สิ้นประกอบด้วย
รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ
โดยพวกเขาหลงผิดคิดว่าขันธ์ห้าเป็นอัตตา
ที่นำพาจิตวิญญาณของตนให้มาเกิดแก่เจ็บตาย
ให้มาเวียนว่ายวกวนกันอยู่ในสังสารวัฏ

พวกเขาอธิบายขันธ์ห้าตามที่มโนกันเอาเองว่า
ขันธ์ทั้งห้านั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญของอัตตา
โดยพวกเขาตีความหมายขยายความเชื่อกันว่า

1.รูปขันธ์ก็คือ "รูปธรรมกับนามธรรม" ของตน
2.เวทนาขันธ์ก็คือ "ความรู้สึก" ของจิตวิญญาณ
3.สัญญาขันธ์คือ "ความจำได้หมายรู้" ของจิตวิญญาณ
4.สังขารขันธ์ก็คือ "ความปรุงแต่ง" ของจิตวิญญาณ
5.วิญญาณขันธ์ก็คือ "จิตวิญญาณ" ของตนเอง

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
นัยความหมายทั้ง 5 ขันธ์ที่เป็นความเชื่อเหล่านี้
มันเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องทั้งเพ
ดังเราจะชี้ให้ท่านรู้ความจริงด้านอนุตรธรรมว่า
มันผิดตรงไหนที่ถูกต้องแท้จริงคืออะไรดังต่อไปนี้

1.ขันธ์ 5 มิใช่ "อัตตาตัวตน" ของจิตวิญญาณ
ที่เป็นเหตุแห่งการมาเกิดเป็นมนุษย์แต่อย่างใด

แท้แล้วขันธ์ห้าเป็น เครื่องมือของจิตวิญญาณ
ที่พระบิดาทรงออกแบบติดตั้งเอาไว้ให้ใช้
เมื่อจิตวิญญาณรับโอกาสมาเกิดเป็น คนสองมิติ
ซึ่งท่านทั้งหลายเรียกขานกันว่า มนุษย์ นั่นเอง

2.พวกท่านจงจำเอาไว้ว่าท่านจะดับขันธ์ห้าไม่ได้
เพราะกระบวนการสั่นสะเทือนของขันธ์ห้านี่แหละ
มนุษย์อย่างพวกท่านจึงเป็น "คนสองมิติ" ได้
โดยจิตท่านต้องอาศัยกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
สัมผัสกับเงื่อนไขสิ่งเร้าทั้งรูปรสกลิ่นเสียงกายสัมผัส
เพื่อกระตุ้นให้จิตสั่นสะเทือนเป็น 5 ขั้นตอนตามลำดับ

เริ่มที่อายตนะ "สัมผัส" รูปนามจากสิ่งเร้าภายนอก
แล้วขันธ์ที่หนึ่งของจิตก็จะเกิดการ รับรู้ รูปนามนั้น
เมื่อรับรู้รูปนามนั้นแล้วขันธ์ที่สองสามสี่ก็จะทำงานต่อ
โดยขันธ์ที่สี่คือ "สังขารขันธ์" จะก่อให้เกิดมโนกรรม
จนนำไปสู่พฤติกรรมภายนอกที่เป็นกายกรรมวจีกรรม
ซึ่งเป็นพฤติกรรมในมิติโลกทางกายภาพ

3.ส่วนกระบวนการของ "วิญญาณขันธ์" ขั้นสุดท้าย
ก็คือ พลังงานกรรม หรือผลกรรมในมิติพลังงาน
ที่อยู่ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก
มิได้หมายถึง "จิตวิญญาณ" ผู้มาเกิดเป็นตัวท่าน

ถ้าจิตสั่นสะเทือนเป็นลบแล้ว หมุนกรรมจักร
วิญญาณขันธ์ก็จะผลิตสร้างพลังงานกรรม
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าด้านลบออกมา

ถ้าจิตสั่นสะเทือนเป็นบวกหรือ หมุนธรรมจักร
วิญญาณขันธ์ก็จะผลิตสร้างพลังงานกรรม
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าด้านบวกออกมา
ซึ่งพลังงานกรรมด้านบวกนี่แหละที่โลกต้องการ
อันเป็นภารกิจสำคัญของจิตวิญญาณของมนุษย์
ที่ขันอาสาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณเข้ามาทำกัน
เพื่อใช้พลังงานจิตด้านบวกช่วยค้ำจุนสมดุลโลก

4.ประการสำคัญที่เราจะกล่าวไว้ให้รู้ก็คือ
แม้จิตวิญญาณจะได้รับโอกาสให้เกิดเป็นมนุษย์
แต่พระบิดาก็ทรงออกแบบให้จิตวิญญาณ
แบ่งภาคตนเองออกมาเป็นกลุ่มของ "จิตหยาบ"
เพื่อทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณขณะเป็นมนุษย์
โดยจิตวิญญาณจะรับผิดชอบทุกสิ่งที่จิตหยาบทำ

ดังนั้น
การมุ่งที่จะดับขันธ์ห้าที่จิตหยาบใช้มันอยู่
ท่านจึงไม่มีทางที่จะบรรลุผลตามต้องการได้เลย
เพราะพวกท่านไม่รู้อนุตรธรรมความจริงนี้มาก่อน
ท่านจึงหลงผิดคิดว่าตนมีแค่จิตเดียวคือจิตวิญญาณ
จึงพยายามจะดับมันอย่างเคร่งเครียดตลอดมา

พระบิดาทรงออกแบบไว้เช่นนี้เพราะทรงรู้ดีว่า
จิตวิญญาณเองหรือจิตหยาบก็ตามอาจหลงมิติ
จนพยายามที่จะทำร้ายตนเองอย่างโง่ง่ายได้
จึงทรงปกป้องจิตวิญญาณไว้ที่ต่อมพิทูอิทารี
ถ้าจิตหยาบจะเข้าถึงจิตวิญญาณได้ก็ต่อเมื่อ
ต้องสั่นสะเทือนเป็นคลื่นความถี่ด้านบวกเท่านั้น
คือสั่นสะเทือนเป็นความรักเพื่อให้นั่นแหละ

หากทุกวันนี้
พระบิดามิทรงออกแบบปกป้องจิตวิญญาณไว้
มนุษย์แต่ละคนที่โง่ง่ายเพราะไม่รู้อนุตรธรรมนี้
คงจะพาจิตวิญญาณตนเสื่อมสลายกันมากแล้ว

ใครมีหูก็ควรรับฟังเราไว้
ใครมีปัญญาให้ใช้ก็รีบใช้กันเถิด
เราจะกล่าวซ้ำบ่อยๆไม่ได้เพราะเวลาไม่พอแล้ว

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19/01/2022

18 มกราคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 18/01/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สัจธรรมความจริงที่มนุษย์โลกต้องรู้
จะมีอยู่ด้วยกันรวม 3 ระดับ คือ
โลกิยธรรม โลกุตรธรรม และ อนุตรธรรม
ซึ่งเราได้ชี้ทางเข้าถึงสัจธรรมให้แล้ว 2 ระดับ
ด้วยการใช้สมองซีกซ้ายคือสติปัญญา
ทำการคิดวิเคราะห์ตามหลักของเหตุและผล
เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องและเป็นความจริง
นี่คือการบรรลุธรรมเบื้องต้นระดับ "โลกิยธรรม"
ส่วนการบรรลุธรรมระดับ "โลกุตรธรรม" นั้น

มนุษย์จักต้องนำเอา "วัตถุดิบ" ที่เป็นโลกิยธรรม
มา "สังเคราะห์" ด้วยพลังแห่งปัญญาญาณ
ซึ่งเปรียบได้ดั่งแสงสว่างจากพลังสมองซีกขวา
เพื่อให้ได้สารอาหารที่เรียกว่า "โลกุตรธรรม"
เมื่อนำมาปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันของท่าน
ก็จะช่วยให้จิตวิญญาณพ้นจากกองทุกข์ได้

เพราะว่างจาก "กฎแห่งกรรม" จึงไม่ต้องมีภพชาติ
เพราะว่างจากการมีสังสารวัฏจึงไม่ต้องตายอีก
แปลว่าท่านจะเป็นผู้มีอายุขัยยืนยาวเป็นอมตะได้
โดยไม่ต้องเสียเวลาไปกับช่องว่าง ระหว่างภพ
ก่อนจะได้รับโอกาสให้กลับมาเกิดใหม่บนโลกนี้อีก
เพื่อทำหน้าที่เป็น เพื่อนร่วมงานกับโลก ได้ต่อเนื่อง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

พวกท่านยังจะต้องรู้สัจธรรมอีกระดับหนึ่ง
ซึ่งเป็นความจริงที่สมองสองซีกเข้าถึงเองไม่ได้
เพราะทั้งซีกซ้ายและขวามีหน้าที่จำเพาะตนแล้ว
ปัญหาจึงอยู่ที่ว่ามนุษย์จะเข้าถึง "อนุตรธรรม"
อันเป็นสัจธรรมชั้นสูงที่ว่านี้กันได้อย่างไร
เพราะทุกคนจะต้องรู้ถ้าไม่รู้ก็หลุดพ้นนิพพานมิได้

พระบิดาจึงทรงมีพระบัญชาให้เรากลับมา "สานต่อ"
เพื่อเข้ามาทำหน้าที่กล่าว "อนุตรธรรม" ให้มนุษย์รู้
ซึ่งทรงให้เรากล่าวความจริงในพระนามของพระเจ้า
ด้วยการสื่อถ่ายทอดพระโอวาทลงมาจากพระองค์
ดังเช่นที่เราปฏิบัติสืบเนื่องมากว่าสามสิบปีเศษแล้ว

ดังนั้น
หากท่านทั้งหลายยังไม่ตื่นรู้ว่า เรากลับมาแล้ว
และยังไม่ฉลาดเรียนรู้เพราะยึดติดความเชื่อเดิม
จากการหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอดกันอยู่
จนพากันปฏิเสธพระบิดาและไม่ศรัทธาภารกิจเรา
ท่านก็จะมิอาจ "ล่วงรู้" หรือ "หยั่งรู้" หรือ "ตรัสรู้"
สัจธรรมความจริงที่เป็นอนุตรธรรมที่ต้องรู้ได้เลย
เนื่องจากพวกท่านมีขีดจำกัดในการใช้สมอง

สำหรับโลกยุคสุดท้ายปลายยุคนี้
มีเพียงเราเท่านั้นที่จะสามารถสื่อสารกับพระองค์ได้
เพื่อน้อมรับเอาอนุตรธรรมมาแบ่งปันต่อพวกท่าน
ถ้าหากว่าท่านผู้ใดยังลังเลสงสัยในตัวเรา
เหตุเพราะเข้าถึงปัญญาปาฏิหาริย์ของเรามิได้
ท่านผู้นั้นก็จะมิอาจรู้ความจริงได้ว่า

1.รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ
ที่รวมกันเรียกว่า ขันธ์ห้า นั้นมิใช่อัตตาตัวตน

2.คำว่า "วิญญาณ" ในขันธ์ที่ 5 นั้น
มิใช่ จิตวิญญาณ ผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์
แต่คำว่าวิญญาณนั้นหมายถึง พลังงานจิต
ที่ผลิตสร้างออกมาจากการสั่นสะเทือนของขันธ์ห้า

3.การบรรลุธรรมนั้นมิใช่แค่ตนเข้าถึงนิพพานได้
โดยตีความเอาว่า "นิพพาน" คือการดับสูญทุกสิ่ง
ดับหมดแม้กระทั่งจิตวิญญาณของตนเองด้วย
ทั้งๆที่จิตวิญญาณเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ซึ่งพลังงานนั้นจะไม่มีวันสูญหายไปไหนได้เลย

4.การมาเกิดเป็นมนุษย์ของจิตวิญญาณ
มีภารกิจที่จิตวิญญาณจะต้องปฏิบัติบนดาวโลก
มิใช่จิตวิญญาณท่านมาเที่ยวเล่นหรือเป็นผู้จรจัด
จิตวิญญาณท่านมาเกิดแล้วไม่มีหน้าที่ต้องตาย

เพราะไม่รู้หลายคนจึงพยายามหาทางตาย
โดยมีปณิธานว่าถ้าตายแล้วตนจะไม่กลับมาทุกข์อีก
เมื่อตายแล้วตนก็จะไม่ขอมีสังสารวัฏให้ทุกข์อีก

5.การปฏิบัติธรรมให้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดนั้น
มิใช่การปฏิบัติตนอยู่ตามลำพังคนเดียว
มิใช่การวิเคราะห์จิตเพ่งจิตดูจิตของตนคนเดียว
โดยไม่ใช้อายตนะภายนอกทั้งห้าทำหน้าที่เลย

มิใช่การท่องพระคัมภีร์แล้วมานั่งตีความแข่งกัน
ถ้าใครเป็นหนอนคัมภีร์ฝีปากกล้าปัญญาไว
ถ้าใครท่องจำพระคัมภีร์ได้มากกว่าใครอื่น
ก็หยิบมาชี้วัดว่าท่านผู้นั้นบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้ว
ทั้งๆที่ยังมีการตีความหมายผิดไปจากพระศาสดา
จนเป็นเหตุให้หลงทางนิพพานและขัดแย้งกัน

6.การตอบคำถามอะไรไม่ได้
แล้วอ้างว่ามันเป็น อจินไตย อย่าถามอย่าไปคิด
เดี๋ยวคิดมากไปก็จะกลายเป็นคนสติวิปลาส
ซึ่งเราก็เห็นว่าจริงนะเพราะมีบางรูป
แสดงธรรมต่อญาติโยมแล้วฟังดูก็วิปลาสอยู่

7.ถ้าหันกลับมาทางพระบิดา
ท่านจะไม่แปลความหมายคำว่านิพพานผิดอีก
เพราะคำว่า "นิพพาน" เป็นอนุตรธรรม
ที่หมายถึงการดับการเกิดดับของกิเลสในขันธ์ห้า
จนสามารถคนตนเองให้เป็นมนุษย์ได้สำเร็จ

เมื่อโลกถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
จิตวิญญาณจะละทิ้งกายสังขารรูปธรรมมนุษย์
เดินทางออกไปจาก อนันตจักรวาล หรือเอกภพ
ซึ่งเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระบิดา
เพื่อกลับคืนบ้านเกิดเมืองนอนที่ตนจากมานานแล้ว
ถ้าสามารถกลับออกไปได้ก็เรียกว่า หลุดพ้น

8.การเชื่อว่าถ้าตายแล้วจิตวิญญาณต้องดับสูญ
คือการนิพพานตามความเชื่อของตนนั้นไม่ถูกต้อง

การเชื่อว่าถ้าตายแล้ว
จิตวิญญาณของตนยังต้องไปกราบพระบิดา
ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่าอีก
แสดงว่านิพพานนั้นเป็นเรื่องโกหกเป็นเรื่องไม่จริง
นี่ก็เป็นความเชื่อที่เกิดจากความไม่รู้อีกเช่นกัน
ที่ไม่รู้ก็คือ "อนุตรธรรม" นั่นแหละท่าน

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา


เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18/01/2022

17 มกราคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 17/01/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
สัจธรรมความจริงของโลกที่พวกท่าน
สามารถเข้าใจและเข้าถึงได้ด้วยสมองสองซีก
คงมีแต่ "โลกิยธรรม" และ "โลกุตรธรรม" เท่านั้น
ความจริงระดับ อนุตรธรรม มนุษย์เข้าถึงเองมิได้

โลกิยธรรม หมายถึงสัจธรรมความจริง
ที่มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะเข้าถึงมันได้
ด้วยกลไกอายตนะสัมผัสภายนอกทั้งห้าคือ
ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัสทำการ "รับรู้"
แล้วใช้จิตร่วมกับสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
เพื่อ "เรียนรู้" สิ่งนั้นๆด้วย วิธีวิเคราะห์วิจารณา
ให้ได้รู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไร

แน่นอนว่า
ท่านจักต้องมีความฉลาดในการใช้กลไกอายตนะ
เพื่อสัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งและเรื่องราวต่างๆ
ที่น่าสนใจใฝ่รู้และเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต
อีกทั้งท่านยังต้องมีความฉลาดในการใช้จิตหยาบ
"นึก" ตั้งคำถามเพื่อให้ได้คำตอบที่ตนต้องการด้วย
ถ้าจิตนึกถามตนเองไม่ได้ถามไม่เป็นหรือถามไม่ตรง
สมองซีกซ้ายก็จะสร้างกระบวนการคิดให้ท่านไม่ได้
เพราะสมองไม่รู้ว่าจิตหยาบต้องการให้คิดเรื่องอะไร

นอกจากนั้นท่านต้องรู้จักจัดเรียงลำดับการคิดว่า
ไหนควรคิดก่อนหลังอย่างมีลำดับและเป็นระบบด้วย
เพราะสมองสามารถที่จะ คิดได้ทีละเรื่อง เท่านั้น
จิตจะกำหนดให้สมองคิดพร้อมกันหลายเรื่องไม่ได้
ถ้าท่านฝืนทำสมองของท่านก็จะเครียดและคิดไม่ออก
เนื่องจาก พระบิดา ทรงออกแบบไว้ให้เช่นว่านี้

เมื่อท่านสามารถใช้จิตหยาบ นึก คำถาม
เพื่อสั่งให้สมองซีกซ้ายสร้างกระบวนการคิดได้แล้ว
ตัวท่านก็ต้องรู้จักใช้หลักการและเหตุผลเป็นด้วย
เพราะสมองซีกซ้ายมีสติปัญญาให้ท่านใช้เพื่อคิด
ในลักษณะของการ วิเคราะห์แยกแยะ ข้อมูลนั้นๆ
ด้วยหลัก อิทัปปัจยตา โดยยึดเหตุและผลเป็นสำคัญ

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ท่านทั้งหลายจงจำเอาไว้เสมอว่า
ประสิทธิผลของการคิดด้วยจิตกับสมองซีกซ้าย
เพื่อเรียนรู้ความจริงต่างๆด้าน "โลกิยธรรม" ที่ว่านี้
มันจะอ่อนด้อยจนขาดประสิทธิภาพเสมอ
ถ้าท่านปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้องดังต่อไปนี้ คือ

1.ตั้งคำถามตนเองไม่เป็นจนไม่รู้ว่าตนคิดอะไร
2.คิดพร้อมกันมากกว่าหนึ่งเรื่องสมองจะเออเร่อ
3.ไม่เรียงลำดับขั้นตอนในสิ่งที่คิดจนเป็นภาระสมอง
4.คิดโดยมีข้อมูลไม่ครบจนทำให้ตัดสินใจผิดพลาด
5.ขาดการคิดรอบครอบและคิดไม่รอบด้าน
6.คิดขณะจิตไม่สงบสมดุลจนทำให้ท่านไร้เหตุผล
7.คิดในสิ่งไม่ควรคิดจึงคิดทุกเรื่องจนเสียเวลาเปล่า

สำหรับการใช้ ปัญญาญาณ ของสมองซีกขวานั้น
เป้าประสงค์สำคัญก็คือ การสังเคราะห์สัจธรรม
ที่ได้จากผลการคิดวิเคราะห์ค้นหาสัจธรรมความจริง
ด้วย "สติปัญญา" ของสมองซีกซ้ายมาแล้วนั่นเอง
สาเหตุที่ต้องนำความจริงนั้นมา "สังเคราะห์" กันต่อ
ก็เป็นเพราะว่าความจริงด้านโลกิยธรรมที่ได้นั้น
ยังไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการเป็นมนุษย์ได้

การสังเคราะห์โลกิยธรรมเพื่อนำมาใช้ในชีวิตท่าน
ไม่ต่างจากการที่ "พืช" ใช้รากดูดซับสารอาหาร
ที่พระบิดาทรงกำหนดสร้างเอาไว้ให้จากพื้นดิน
เข้าสู่รากแล้วส่งต่อผ่านทางลำต้นไปสู่ใบสีเขียว
เพื่อนำเอาสารอาหารซึ่งเป็นแร่ธาตุต่างๆเหล่านั้น
ทำการ สังเคราะห์แสง ด้วยแดดเพื่อปรุงเป็นอาหาร
ก่อนที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตต่อไป

ในทำนองเดียวกันนั่นแหละท่าน
สัจธรรมระดับโลกิยธรรมก็เป็นแค่ "วัตถุดิบ"
ที่ท่านทั้งหลายจักต้องนำมา "สังเคราะห์"
ด้วยแสงแห่งปัญญาของสมองซีกขวาอีกขั้นหนึ่ง
จึงจะนำมาใช้เป็น "อาหารของจิตวิญญาณ" ได้
อาหารของจิตวิญญาณที่สังเคราะห์ได้แล้วนี่แหละ
ที่เราหมายถึงสัจธรรมระดับ โลกุตรธรรม นั่นเอง

ตัวอย่างเช่น
ถ้าท่านค้นพบความจริงระดับโลกิยธรรมได้ว่า
น้ำจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ
หากนำความจริงนี้มาสังเคราะห์ด้วยสมองซีกขวา
ท่านต้องได้คำตอบตรงกันที่เป็น "โลกุตรธรรม" ว่า
คนมีมากต้องช่วยเหลือคนมีน้อย
คนที่เป็นผู้ใหญ่ต้องมีเมตตาต่อคนที่เป็นผู้น้อย
ยิ่งมีบุญบารมีสูงมากจักต้องถ่อมตนมาก
น้ำที่ไหลเปรียบได้ดั่งน้ำใจของท่านเอง


จงรีบเร่งติดอาวุธทางปัญญาให้ตนเอง
แล้วรีบเติมน้ำมันให้ตะเกียงของท่านเถิด
พระบิดาทรงติดตั้งสมองให้ท่านไว้สองซีกแล้ว
จงหมั่นพัฒนาทักษะการใช้สมองโดยด่วน
ก่อนที่มันจะเสื่อมไป 10% ในทุกๆ 9 ปี

ยุคนี้เป็นยุคล่าสาวกของมอดมารและเจ้าลัทธิ
ใครที่ยังทำตนเป็นคน "โง่ง่าย" หรือ "ฉลาดยาก"
ใครที่ยังใช้จิตปัญญาเอาชนะกิเลสมารภายในไม่ได้
เช่น ยังอยากเป็นเศรษฐีทั้งๆที่เป็นคนบุญน้อย
หรือยังอยากมีอำนาจเหนือมนุษย์คนอื่นๆ เป็นต้น
ผู้ใดที่ยังคงมีความต้องการลักษณะดังกล่าวนี้
ท่านผู้นั้นก็จะเข้าทางมารกับมอดได้ง่ายมาก

หากพวกท่านเลือกข้างพระบิดา
ก็จงลืมตาก้าวตามเรามาอย่าได้ห่าง
เพราะเราเป็นผู้นำแสงสว่างมาให้พวกท่าน
เพื่อใช้ส่องทางกลับไปกราบพระบาทพระบิดา
จงอย่าหลับตาก้าวเดินในความมืดกันอยู่อีกเลย

กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17/01/2022

15 มกราคม 2565

VDO. EP. 369: อย่าเสียชาติเกิด (Full Version)



 บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

สนทนาประสาจิตจักรวาล 15/01/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบฆราวาส
สิ่งที่ท่านจะต้องปฏิบัติให้สำเร็จก็คือ

1.เรียนรู้ที่จะรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักให้จงได้
โดยต้องรักอย่างไม่มีเงื่อนไขหรือไม่มีข้อแม้
และต้องรักอย่างไม่คิดหวังสิ่งใดตอบแทนด้วย

2.ต้องให้อภัยต่อคนทุกคนได้ด้วยหัวใจที่สุขสงบ
ในสิ่งที่พวกเขากระทำไม่ถูกต้องต่อตัวท่านก่อน
โดยท่านจะไม่ผูกจิตเจ็บแค้นอาฆาตหรือเอาคืน
โดยท่านจะต้องประคองจิตไว้มิให้ "จิตตก"
หรือไม่เสียสมดุลทางอารณ์รู้สึกนึกคิดใดๆทั้งสิ้น
เมื่อต้องเผชิญกับการถูกยั่วยุเย้ายวนในทุกกรณี
เพราะท่านยอมรับความจริงได้ว่ามนุษย์ล้วนต่างกัน
ทั้งอุปนิสัยใจคอความคิดและความต้องการในชีวิต

3.เป็นผู้มีทักษะในการใช้ ธรรมชาติสมาธิ
ที่กลมกลืนไปกับการดำเนินชีวิตและการทำงาน
จนยังผลให้ทั้งตนเองและคนรอบข้างมีความสุข
ไม่มีการก่อเวรเกี่ยวกรรมใดๆต่อกัน

เหตุเพราะท่านสามารถ "ค้ำจุน" สภาวะจิต
ให้สุขสงบได้เป็นอย่างดีด้วยการมีมหาสติ
คือ รู้สติ มีสติและใช้สติได้ตลอดเวลาในยามตื่น

เพราะ "ธรรมชาติสมาธิ" หมายถึง มหาสติ
ที่ท่านทั้งหลายสามารถปฏิบัติได้ขณะอยู่ในสังคม
ไม่ต้องปลีกวิเวกไม่ต้องถือสันโดดไม่ต้องทิ้งบ้าน
อีกทั้งไม่ต้องแกล้งทำเป็นอายตนะพิการอีกด้วย

4.เป็นผู้มีทักษะในการใช้ปัญญาของสมองสองซีก
ด้วยการสร้างกระบวนการคิดระหว่างจิตกับสมอง
เพื่อการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์องค์ธรรมความรู้
ซึ่งเป็นพลังอำนาจในตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ถ้าท่านสามารถเข้าถึงคุณสมบัติทั้ง 4 ประการนี้ได้
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ของท่าน
ก็จะสร้างสนามพลังงานด้านบวกออกมาภายนอก
เพื่อปกคลุมหุ้มห่อตัวท่านเองเอาไว้ใช้
สร้างความสัมพันธ์กันกับสนามพลังงานของคนอื่นๆ

หากคนรอบข้างของท่านอย่างน้อย 3 คนขึ้นไป
ซึ่งมีสนามพลังงานด้านบวกห่อหุ้มอุ้มโอบอยู่
อย่างเช่นภายในครอบครัวเดียวกันคือพ่อแม่ลูก
มันก็จะปฏิสัมพันธ์กันทางพลังงาน
จนเกิดเป็น "สนามพลังงานรวมด้านบวก"
ที่จะเป็นพลังกระตุ้นให้เกิด สนามแม่เหล็กโลก ได้
ซึ่งสนามแม่เหล็กโลกก็คือ สนามพลังงานของโลก
ที่มนุษย์ สัตว์ประจำโลกและพืชร่วมกันผลิตสร้างขึ้น
ด้วยกลไกภายในตามที่พระบิดาทรงออกแบบไว้

ด้วยเหตุนี้เอง
มนุษย์ทุกคนจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับโลกได้ก็ต่อเมื่อ
ท่านต้องปฏิบัติตามทั้ง 4 ประการข้างต้นให้ได้เท่านั้น
เพราะทั้งพืชและสัตว์ประจำโลกต่างทำหน้าที่กันอยู่
อย่างเต็มกำลังสามารถของพวกเขากันอยู่แล้ว

ถ้าโลกมีสนามพลังงานด้านบวกที่สมดุลได้อย่างคงที่
โลกและทุกสิ่งในระบบโลกก็จะเชื่อมต่อกับจักรวาลได้
โลก สุริยจักรวาล กาแล็คซี่และเอกภพจักเป็นหนึ่งเดียว
โดยมีสนามพลังงานยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้งกันไว้อย่างมั่นคง

ท่านทั้งหลายรู้เห็นอนุตรธรรมความจริงกันหรือยังว่า
ทำไมพวกท่านจึงใช้วิธีปฏิบัติธรรมแบบเก่าไม่ได้
เพราะการทำแบบเก่านั้นมุ่งทำเพื่อตนเองคนเดียว
มิได้ทำเพื่อเพื่อนมนุษย์ มิได้ทำเพื่อโลกและจักรวาล
ที่สำคัญคือ "จิตหยาบ" มิได้ทำเพื่อจิตวิญญาณเลย

กฎของจักรวาลคือ กฎแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน
ถ้าวิธีการปฏิบัติธรรมยังทำเพื่อตนเองคนเดียวแล้ว
ผลของการปฏิบัติมันจะครอบคลุมถึงองค์รวมได้อย่างไร

นอกจากนั้น
ถ้าท่านยังข้ามพ้นความโกรธในชีวิตประจำวันไม่ได้
ถ้าท่านยังข้ามพ้นความโลภในชีวิตประจำวันไม่ได้
ถ้ายังข้ามพ้นลุ่มหลงงมง่ายในชีวิตประจำวันกันไม่ได้
ถ้าท่านยังเข้าถึงพลังอำนาจทางปัญญากันไม่ได้
ถ้าท่านยังเข้าถึงความรักเพื่อให้กันไม่ได้
ถ้าท่านยังแค่ท่องธรรมในคัมภีร์และจำศีล
ถ้าท่านยังแค่ทำบุญสุนทานสวดมนต์ภาวนา

จากสิ่งที่เราเผยมาให้รู้นี้ท่านย่อมจะเรียนรู้ได้ว่า
สิ่งที่จิตหยาบของท่านจักต้องปฏิบัติธรรมนั้น
มันมิใช่ปฏิบัติการเพื่อสนองความต้องการของตน
ด้วยความคิดคับแคบอย่างที่เชื่อกันมาจากอดีตเลย
เพราะมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างพวกท่านทั้งหลายนั้น
พระบิดาทรงออกแบบให้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ในตนเอง
ที่จะค้ำจุนความสมดุลเป็นหนึ่งเดียวของจักรวาลได้

จงเปิดอายตนะที่ไม่พิการของท่านให้กว้างขึ้น
จงเงยหน้าขึ้นจากการมุ่งมองอยู่แค่ตัวเอง
จงมองโลกให้สุดตาเพื่อจะได้แลให้เห็นฟ้าไกล
จงเหลียวไปมองให้รอบตัวทั่วทุกทิศานุทิศ
จงเปิดใจให้กว้างยอมให้คนอื่นๆเข้าไปนั่งข้างใน
แล้วท่านจะพบว่าตนนั้น "หลงทาง" มาไกลแล้ว

องค์จิตจักรวาลพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงรอคอยการกลับใจของพวกท่านอยู่นานแล้ว
จงรีบก้าวตาม "เรา" ผู้กลับมาตามสัญญาเถิด
ก่อนที่ลูกแกะจะตกเป็นเหยื่อโอชะของมารมอด
ก่อนที่ประตูนิพพานเพื่อการหลุดพ้นจะถูกปิด
วันเวลานั้นเหลือน้อยเต็มทีแล้ว

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15/01/2022

11 มกราคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 11/01/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ภารกิจหลักของท่านในการมาเกิดเป็นมนุษย์
ก็คือท่านต้องร่วมมือกันกับคนรอบข้างทุกคน
ช่วยกันทำหน้าที่เป็น "เพื่อนร่วมงาน" กับโลก
ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวหรือคนในสังคมก็ตาม

คำว่า เพื่อนร่วมงาน กับโลกในที่นี้หมายถึง
พวกท่านทุกคนจักต้องใช้เครื่องยนต์แห่งกรรม
สั่นสะเทือนจิตหยาบผ่านกระบวนการของ "ขันธ์ 5"
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ
ซึ่งเป็นกระบวนการของจิตหยาบในระบบอัตโนมัติ
ที่องค์พระบิดาแห่งจิตวิญญาณทรงติดตั้งเอาไว้ให้
แต่ท่านต้องสั่นสะเทือนมันทางด้านบวกเท่านั้น

พระองค์ทรงออกแบบให้พวกท่าน
ใช้หน้าต่างห้าบานคือ ตา หู จมูก ลิ้นและกายสัมผัส
สัมผัสสิ่งเร้าจากสิ่งแวดล้อมและคนรอบข้างทุกคน
แล้วใช้สิ่งเร้าต่างๆนั้นเป็น เงื่อนไข ของจิตหยาบ
เพื่อกระตุ้นให้เกิดกระบวนการของขันธ์ห้าดังกล่าว
ในรูปแบบของ ธรรมจักร ให้จงได้

การ "หมุนธรรมจักร" ในที่นี้เราหมายถึง
จิตหยาบ ของท่านสามารถสั่นสะเทือนขันธ์ห้าได้
ด้วย ความรักบริสุทธิ์ หรือ "รักเพื่อให้" นั่นเอง
ทั้งนี้ไม่ว่าเงื่อนไขนั้นๆท่านจะพึงพอใจหรือไม่ก็ตาม

โดยท่านจะต้องไม่ตอบสนองเงื่อนไขหรือสิ่งเร้านั้น
ด้วยอารมณ์ขยะรายวันที่เป็นกิเลสตัณหา
เพราะท่านจัดการอารมณ์ขยะของตนได้ด้วย ปัญญา
ในทุกเรื่องราวทุกสถานการณ์และกับทุกคน

ท่านจึงสามารถรักคนที่ทำตัวไม่น่ารักได้
ท่านจึงสามารถให้อภัยต่อคนที่ทำตัวไม่น่าอภัยได้
ท่านจึงสามารถให้สิ่งดีๆกับทุกคนได้อย่างไร้เงื่อนไข
หรือให้โดยไม่คาดหวังว่าจะต้องได้รับสิ่งใดตอบแทน

ถ้าในชีวิตประจำวันของท่าน
หันกลับมาเรียนรู้ที่จะมีทักษะในการรักคนอื่นให้ได้
ในลักษณะของการแลกเปลี่ยน แบ่งปัน และเสียสละ
โดยไม่เอาเปรียบเบียดเบียนกัน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่โลภ
ชีวิตแต่ละวันของท่านทั้งหลายก็จะเป็นไปตามธรรม
คือการเป็นสัตว์สังคมตามที่พระบิดาทรงออกแบบไว้
ซึ่งจิตหยาบสามารถใช้ขันธ์ห้าหมุนธรรมจักรได้ด้วย

อีกทั้งคำว่า ทุกข์ กองเล็กกองใหญ่มันจะหายสิ้น
โดยพวกท่านไม่ต้องหนีทุกข์กลัวทุกข์จนซมซาน
เพื่อจะนิพพานด้วยการหาทางตายแล้วหายสาปสูญ
เพราะเชื่อผิดๆว่าตนสามารถดับการเกิดดับของจิตได้
ด้วยวิธีดับขันธ์ห้าซึ่งสวนทางกับ อนุตรธรรม โดยตรง
ทั้งๆที่ควรจะทำให้ตนอายุยืนนับหมื่นปีโดยไม่ต้องตาย
ซึ่งเป็นปฏิบัติการง่ายๆแต่กลับไปคิดไปทำให้มันยาก

ดังนั้น
ท่านจึงไม่สมควรหลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอด
ที่พาพวกท่าน "หลงทางนิพพาน" กันมาตลอด
โดยแปลความหมายคำสอนพระศาสดาผิดพลาด
เพราะขาดทักษะการใช้พลังอำนาจด้านจิตตปัญญา
เนื่องจากพวกท่านถูกฝึกให้ "เชื่อตาม" เพื่อทำตาม
มากกว่าจะฝึกทักษะการใช้สมองสองซีกเพื่อคิดรู้

ท่านจงสังเกตกันเอาเองเถิดว่า
บนเส้นทางการปฏิบัติธรรมของคนนำทางตาบอด
ที่พาท่านทั้งหลายทำตามแบบงงๆกันอยู่นั้น
จะอยู่ในรูปแบบของการละทิ้งสังคมเสียเป็นสำคัญ
โดยปฏิเสธคนรอบข้างผู้ช่วยสร้างเงื่อนไขบวกลบ
เพื่อกระตุกกระตุ้นท่านใช้ขันธ์ห้าหมุนธรรมจักรได้

เวลาพวกเขาสอนธรรมะแก่ท่าน
แทบจะทั้งหมดล้วนเป็นหลักการหลักคิดหลักธรรม
โดยชาวบ้านอย่างท่านจะได้ฟังองค์ความรู้มากมาย
แต่สุดท้ายก็นำมาใช้ในชีวิตจริงในสังคมกันไม่ได้
เพราะว่าในคำสอนนั้นเต็มไปด้วย การวิเคราะห์จิต
ซึ่งเป็นพฤติกรรมภายในของจิตมากกว่าอย่างอื่น
เนื่องจากผู้สอนชำนาญการนั่งวิเคราะห์จิตตนเอง
จากปฏิบัติการด้านเท็คนิกสมาธิทั้งชีวิต

การปฏิบัติธรรมของพวกเขาจึงมุ่งที่การปฏิบัติจิต
เพราะพวกเขา ติดทุกข์ อันเกิดที่ในจิต
โดยพวกเขาลืมคิดไปว่าความทุกข์ทั้งปวงของตนนั้น
เกิดจาก ปัญหา ที่มาจากพฤติกรรมของคนรอบข้าง
ที่ทำให้ท่านต้องทน ต้องแก้ไข ต้องหาทางออก
ซึ่งเกิดจากปัญหาในการอยู่ร่วมกันเป็นสังคมนั่นเอง

การเรียนรู้ที่จะรักคนรอบข้าง
การเรียนรู้ที่จะละวางการเห็นแก่ตัว
การเรียนรู้ที่จะละชั่วแล้วหมั่นทำความดี
การเรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่าง
การเรียนรู้ที่จะไม่สร้างปัญหาให้ผู้อื่น
การเรียนรู้ที่จะเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก
การเรียนรู้ที่จะมีสำนึกแห่งการเป็นผู้ให้

มันจะมีคุณค่ามากกว่า
การแข่งขันกันตีความองค์ธรรมในคัมภีร์
การสั่งสมความรอบรู้ในเรื่องของจิตที่ยากเข้าใจ
การมุ่งทำทุกสิ่งเพื่อให้ตนเองพ้นทุกข์
จนลืมโลกลืมคนรอบข้างลืมภารกิจของจิตวิญญาณ
จนลืมแม้พระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตน
จนลืมแม้กระทั่งจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนเอง
ที่รอคอยความช่วยเหลือจากจิตหยาบอยู่ข้างใน

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11/01/2022

10 มกราคม 2565

สนทนาประสาจิตจักรวาล 10/01/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าหากมนุษย์โลกทุกคนไม่รู้ความจริงว่า
จิตวิญญาณของตนเป็นใคร มาจากไหน
มาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกกันทำไม
พวกท่านก็มิต่างจาก "คนหลงทาง" นั่นแหละ

จะเกิดอาการงุนงง สับสน สงสัย
จะนึกอะไรหลายๆอย่างก็นึกไม่ออก
จะบอกจะอธิบายสัจธรรมความจริงอะไรก็ไม่ได้
จะหันหน้าไปไถ่ถามใครก็ไม่ได้คำตอบ
เนื่องจากแต่ละคนก็เหมือนคนหลงทางอยู่เช่นกัน

ท่านทั้งหลายต้องรู้ว่าทันทีที่จิตวิญญาณของท่าน
ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์ในแต่ละภพชาติ
พวกท่านจะถูกอำนาจแม่เหล็กโลกปิดกั้นเอาไว้
มิให้สามารถระลึกรู้ถึงอดีตชาติของตนเองได้
เพื่อให้การทดสอบและการเรียนรู้ของจิตวิญญาณ
ในแผนการทดลองต่างๆของพระบิดาสมจริงได้

นอกจากนั้น
พระบิดาทรงติดตั้งสมองสองซีกสองระดับปัญญา
ไว้ให้พวกท่านคิดค้นหาคำตอบที่ต้องการได้เอง
ในสัจธรรมระดับโลกิยธรรมกับโลกุตรธรรม
ซึ่งพวกท่านสัมผัสรู้ดูเห็นด้วยอายตนะกันอยู่แล้ว
แต่ถ้าใครด้อยความสามารถในการใช้ปัญญา
พระบิดาก็ทรงอนุญาตให้พระศาสดาที่เกิดจากโลก
ทรงช่วยเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณให้

ส่วนองค์ความรู้ที่มนุษย์คิดเองไม่ได้รู้เองไม่ได้
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางจิตวิญญาณของตนเอง
ซึ่งเป็นอนุตรธรรมดังที่เรากล่าวเอาไว้ข้างต้นนั้น
พระองค์ก็จะมีพระบัญชาให้ พระบุตรเอก
เสด็จลงมาจุติเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพวกท่าน
เพื่อมาเปิดเผยความจริงที่มนุษย์รู้กันเองไม่ได้ให้ได้รู้

ดังนั้น
ถ้าท่านไม่รับฟังคำกล่าวของพระบุตรเอก
ซึ่งเป็นพระศาสดาที่มาจากพระเจ้าหรือพระบิดา
พวกท่านก็จะไม่รู้ว่าจิตวิญญาณของท่านนั้น
เป็นผู้ที่ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นมนุษย์
มิใช่เป็นผู้พเนจรพลัดหลงเข้ามาในระบบโลก
แล้วกิน "ง้วนดิน" จนเกิดกายหยาบขึ้นมาเองได้

ถ้าไม่รับฟังพระบุตรเอกพวกท่านก็จะไม่รู้ว่า
จิตวิญญาณของท่านมีหน้าที่สำคัญในการมาเกิด
นั่นคือมาช่วยกันเป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวโลก
ด้วยการใช้ความรักความเมตตาค้ำจุนโลกให้สมดุล
โดยไม่รู้ว่าความรักของพวกท่านช่วยให้โลกหมุนได้

ถ้าไม่รับฟังไม่รับรู้เรื่องราวข่าวสารจากพระบุตรเอก
ท่านทั้งหลายก็จะมองไม่เห็นคุณค่าแห่งการมาเกิด
เพราะจะมองเห็นแต่ "กองทุกข์" กองใหญ่แทน
ทั้งชีวิตก็จะไม่เพียรหาทางตายเพื่อจะไม่มาเกิดอีก
แค่เพราะต้องการจะหนีทุกข์ให้พ้นไปจากกองทุกข์
จนพากันหลงทางนิพพานกันมาถึงป่านฉะนี้

ที่พระบิดาทรงเมตตาพวกท่าน
ด้วยการประทานพระบุตรเอกลงมาช่วยนั้น
ก็เพราะพวกท่านมีสมองแค่สองซีก
จึงมีขีดจำกัดในการคิดรู้เรียนรู้อนุตรธรรม
ซึ่งเป็นความจริงของท่านที่มีอยู่นอกระบบเอกภพ
ที่ท่านทั้งหลายจำเป็นจักต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้

โดยพระบุตรเอกจะมีช่องทางสื่อสารกับพระบิดา
เป็นเครื่องมือพิเศษติดตัวมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วย
ซึ่งเป็นดั่งสมองส่วนที่สามที่มนุษย์โลกทั่วไปไม่มี
ทั้งนี้เพื่อนำมาใช้ในการติดต่อสื่อสารกับพระบิดา
เพื่อถ่ายทอดอนุตรธรรมทั้งหมดมาสู่ท่านทั้งหลาย

ด้วยเหตุนี้เองมนุษย์โลกทั้งหลาย
ที่ปฏิเสธพระบุตรเอกปฏิเสธพระบิดาหรือพระเจ้า
ก็จะไม่รู้ความจริงที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณของตน
จนหาทางทำให้ตนเองตายโดยไม่กลับมาเกิดอีก
ทั้งๆที่จักต้องหาทางทำให้ตนเองมีชีวิตเป็นอมตะ
ให้มีอายุขัยนับพันนับหมื่นปีดั่งผู้ที่อยู่บนดาวอื่น
เพื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมอันศักดิ์สิทธิ์
ในการผลิตสร้างพลังจิตด้านบวกค้ำจุนสมดุลโลก
ได้อย่างยาวนานโดยไม่มีอายุขัยไม่มีสังสารวัฏ

เพราะว่าไม่รู้ความจริงด้านอนุตรธรรม
เพราะว่าไม่รับฟังความจริงจากปากพระบุตรเอก
เพราะว่าปฏิเสธผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของตน
เพราะไม่รู้ว่าพระบุตรเอกคือพระผู้มาช่วยให้รอด
เพราะว่าเป็นผู้หลับตาก้าวตามคนนำทางตาบอด

จึงยังผลให้ยิ่งหนียิ่งหลงทางอย่างวกวน
จนพากันหลุดลงและหลุดลอยโดยไม่หลุดพ้น
จนยังผลให้โลกและจักรวาลเสียสมดุลมากยิ่งขึ้น
จนมนุษย์จะต้องทำสงครามกับภัยพิบัติในอีกไม่ช้า

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10/01/2022

สนทนาประสาจิตจักรวาล 10/01/2022

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
เป้าหมายการบรรลุธรรมกับวิธีปฏิบัติธรรม
ของนักบวชกับชาวบ้านนั้นแตกต่างกัน
 
เป้าหมายการบรรลุธรรมของนักบวชทั้งหลายนั้น
อยู่ที่การตายแล้ว #นิพพาน ได้ ไม่กลับมาเกิดอีก
เพราะมองว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นทุกข์
มองว่าการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏล้วนเป็นทุกข์
เมื่อมาเกิดแล้วมีแต่กองทุกข์ก็ไม่รู้ว่าจะมาเกิดทำไม
 
ดังนั้น
วิธีการปฏิบัติธรรมของพวกเขาส่วนใหญ่
จึงเพียรที่จะ "ดับ" ตัวตนที่เป็นเหตุแห่งการเกิด
ซึ่งพวกเขาพากันคิดเองเออกันเองว่า
ตัวตนต้นเหตุแท้จริงที่นำพาจิตวิญญาณมาเกิด
ก็คือสิ่งที่พวกเขาต่างเรียกว่า #ขันธ์ห้า นั่นเอง
 
โดยพวกเขาเชื่อเองสรุปกันเอาเองว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ
เป็นองค์รวมของ "อัตตาตัวตน" ของมนุษย์
ถ้าตนสามารถที่จะ #ดับขันธ์ห้า เหล่านี้ได้
อัตตาตัวตนของตนก็จะดับไปกลายเป็น #อนัตตา
ซึ่งแปลความหมายกันเอาเองว่า "ไม่มีตัวตน" แล้ว
 
พวกเขาจึงเชื่อกันต่อไปอีกว่า
ถ้าพวกเขาไม่มีอัตตาคือเป็นอนัตตาแล้ว
เมื่อตายไปจากการเป็นมนุษย์ในภพชาตินี้เมื่อใด
พวกเขาจะเป็นผู้บรรลุธรรมตามต้องการได้
นั่นคือการไม่มีตัวตนที่จะย้อนกลับมาเกิดบนโลกอีก
แปลความว่าตายเมื่อไหร่ก็นิพพานได้เมื่อนั้น
 
หลักการปฏิบัติธรรมของพวกเขาเพื่อการนี้
จึงมุ่งไปที่การปฏิบัติธรรมเพื่อตอบสนองตนเอง
โดยมุ่งกระทำที่ #จิต ของตนอยู่ด้านเดียวเท่านั้น
เพราะพวกเขามองว่าขันธ์ห้านั้นรวมศูนย์อยู่ที่จิต
หากดับขันธ์ห้าได้จะยังผลให้อัตตาและทุกข์
พากันดับสิ้นดับสูญไปได้ด้วยในเวลาเดียวกัน
 
พวกเขาจึงพากันละทิ้งสังคม
เพื่อมุ่งปฏิบัติธรรมตามความเชื่อของตน
โดยปิดกลไกอายตนะภายนอกทั้งหมดไว้
เหลือแต่จิตภายในแต่เพียงอย่างเดียว
ที่สำคัญก็คือพวกเขาเข้าใจผิดอย่างมหันต์ว่า
จิตตัวที่เขาพยายามจะดับขันธ์ห้าให้ดับสูญนั้น
เป็น #จิตวิญญาณ ผู้เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์
 
ทั้งๆที่แท้จริงแล้วพวกเขาไม่รู้ว่า
จิตตัวที่พวกเขาใช้ในการดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์
คือ #จิตหยาบ ซึ่งเป็นกลุ่มพลังงานรวม 189 กลุ่ม
ซึ่งจิตวิญญาณผู้มาเกิดเป็นมนุษย์แต่ละคนนั้น
เป็นผู้แบ่งภาคทางพลังงานของตนออกมา
ให้ทำหน้าที่แทนตนทุกภพชาติเมื่อเกิดเป็นมนุษย์
มีภพชาติใหม่ทีก็แบ่งภาคเป็นจิตหยาบทีนั่นล่ะ
 
โดยจิตหยาบต้องเรียนรู้ที่จะเป็นคนสองมิติให้เป็น
ด้วยการยกระดับแรงสั่นสะเทือนด้านบวกให้สูงสุด
ซึ่งต้องใช้จิตหยาบสั่นสะเทือนขันธ์ห้าหมุนธรรมจักร
เพื่อที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับแก่นแท้ดังเดิมให้จงได้
จิตวิญญาณจะได้ทำหน้าที่เป็นมนุษย์ด้วยตนเอง
โดยไม่ต้องใช้จิตหยาบทำหน้าที่แทนตนอีกตลอดไป
 
เป็นเพราะไม่รู้ความจริงซึ่งเป็นความลับที่เรากล่าวนี้
พวกเขาจึงพยายามจะทำลายเครื่องมือของจิตหยาบ
ที่ต้องใช้ขันธ์ห้าหมุนธรรมจักรด้วยความรักบริสุทธฺิ์
เพื่อมอบวิญญาณคือ "พลังงานด้านบวก" หรือพลังจิต
ช่วยค้ำจุนความสมดุลของโลกให้โลกหมุนรอบตัวเอง
แทนที่จะเรียนรู้ว่าจะใช้ขันธ์ห้าหมุนธรรมจักรได้อย่างไร
 
พวกเขาจึงพยายามที่จะปฏิบัติธรรมตามลำพัง
สลัดทุกสิ่งทิ้งเหมือนต้องการจะไปสวรรค์คนเดียว
เพื่อนมนุษย์ในสังคมก็หมดความหมาย
กลไกอายตนะที่ใช้การได้ก็เหมือนไร้ค่า
โดยพวกเขาไม่รู้ว่าการหมุนธรรมจักรให้สำเร็จนั้น
จักต้องอาศัยกลไกอายตนะที่ไม่พิการ
ต้องอาศัยคนรอบข้างในสังคมเป็นผู้สร้างเงื่อนไข
 
ต้องใช้ความฉลาดทางปัญญาของสมอง
ต้องมีความสามารถที่จะรักผู้อื่นได้อย่างไม่มีเงื่อนไข
ซึ่งต้องอาศัยคนรอบข้างช่วยสร้างบททดสอบให้
จนเกิดทักษะความชำนาญได้อย่างแท้จริง
โดยการนั่งปฏิบัติจิตสอนสั่งจิตอยู่ตามลำพังนั้น
พวกเขาจะใช้กระบวนการของขันธ์ห้า
ทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณที่พระบิดาออกแบบไว้มิได้
 
นอกจากนั้น
เพราะพวกเขาไม่รู้และไม่สนใจว่า
จิตวิญญาณของตนเป็นใคร มาจากไหน
มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทำหน้าที่อะไรบ้าง
การบรรลุธรรมที่แท้จริงคืออะไร
วิธีปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องนั้นคืออย่างไร
เหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายชาวยุวจิตจักรวาลรู้
 
พวกเขาจึงมุ่งหาทางตายโดยไม่กลับมาเกิดอีก
ทั้งๆที่รู้ว่าตายแล้วจะลอยไปติดอยู่บนสวรรค์มายา
หาใช่นิพพานด้วยการดับสูญอย่างที่เชื่อแต่อย่างใด
อันเป็นการหลงทางนิพพานนั่นเอง
 
ขอความมีสติทางวิญญาณ
จงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลายที่ยังหลงทาง
ทั้งนักบวชและชาวบ้านเถิด
เวลาของมนุษย์เพื่อจัดการสิ่งผิดให้ถูกทาง
มันเหลือน้อยลงทุกวันๆๆๆๆ....แล้ว
 
กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
10/01/2022