24 มกราคม 2562

สนทนากับพระเจ้า (26) 24/01/2019

 #สนทนากับพระเจ้า (26)


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ประดาธรรมาจารย์ซึ่งเป็นครู
หรือผู้นำทางจิตวิญญาณ
ของผู้ตามตาบอดทั้งหลายนั้น
จะถูกพิพากษาอย่างเข้มงวดกว่าคนอื่น

ที่ทรงเน้นเช่นนี้ก็เพราะเหตุว่า
คนนำทางอาจพาคนตาบอดหลงทางได้
ถ้าคนนำทางนั้นไม่รู้ทิศไม่รู้ทาง
หรือยังสับสนในทิศทางที่จะไปอยู่
หรือยังไม่รู้ว่าทิศทางที่กำลังจะนำไป
มันผิดทิศผิดทางมันมิใช่ทิศทางที่ถูกต้อง

พระบิดาทรงพิจารณาแล้วว่า
ธรรมาจารย์ผู้นำทางเหล่านี้
ก็ไม่ต่างจากคนนำทางตาบอด
กำลังจูงคนตาบอดเดินทางนั่นแหละ

#คนนำทางตาบอด คือ
คนนำทางที่ยังมองไม่เห็นทางที่จะไป
คนนำทางที่ยังไม่รู้ทิศทางที่ถูกต้อง
คนนำทางที่หลงผิดคิดว่าตนรู้ทาง
คนนำทางที่คิดว่าทางที่ตนรู้นั้นถูกทาง

ถ้าพระบิดาทรงยอมให้
คนนำทางตาบอดผู้หลงผิดเหล่านี้
เป็นผู้นำทางคนตาบอดแล้ว

บุตรมนุษย์ทุกคนบนโลกเสรีนี้
จะสามารถนำพาพระจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นดั่งลูกแกะของพระเจ้า
เดินทางกลับสู่ประตูคอกแกะ
อันเป็นประตูมิติเพื่อการ "หลุดพ้น"
ตรง #ด่านนภาลัย
เพื่อผ่านออกไปจากอนันตจักรวาล
กลับคืนบ้านไปกราบพระบาทพระบิดา
ให้สมดังปรารถนากันได้อย่างไร

ในโลกยุคพลังงานเก่าที่ผ่านมา
ผลิตผลของการพากันเดินผิดทาง
ของประดาธรรมาจารย์ผู้นำทางตาบอด
คือ "สวรรค์มายา" ที่พระบิดามิทรงปลื้ม
เพราะเป็นแดนมายาของผู้ "หลงทาง"
ที่พาตนเอง #หลุดลอย ไปห้อยอยู่บนนั้น
เนื่องจากหลงผิดคิดว่าตนไปถูกทาง
กว่าจะรู้ว่า "หลุดพ้น" มิได้
ก็พาตนเอง "หลุดลอย" ไปไกลแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
พระบิดาบนฟ้าสวรรค์กล่าวต่อเราว่า

สาเหตุที่พวกเขาพากัน "หลุดลอย"
ก็เพราะว่า "หลงทาง"
สาเหตุที่พวกเขาหลงทาง
ก็เพราะว่าพวกเขา "หลงทุกข์"
โดยพวกเขาเชื่อกันว่าการเกิดมามีชีวิต
เป็นมนุษย์อยู่ในสังคมกับคนหมู่มากนั้น
มันมากปัญหาล้วนพาให้ทุกข์ทั้งสิ้น

พี่ๆน้องๆเหล่านี้จึงพากันปลีกวิเวก
จึงพยายามจะนั่งดับทุกข์กันที่ "จิต"
เพราะเชื่อว่าจิตเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์
รู้ว่าจิตเป็นต้นเหตุแห่งการมีสังสารวัฏ
คือการเวียนว่ายตายเกิดของจิตวิญญาณ

ถ้าฝึกจิตให้ไม่อะไรกับอะไรเสียได้
ก็เชื่อว่าตนจะไม่ "ทุกข์" อีก
เมื่อจิตว่างไปจากทุกข์ก็ว่างไปจากกรรม
เหตุแห่งการเกิดมีภพชาติใหม่จึงไม่มี
เมื่อตนเองตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีกได้
ก็เชื่อว่าตนนั้นพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงแล้ว

แต่ความจริงที่จริงแท้กลับเป็นว่า
ทางสายที่เลือกเดินนี้
มิอาจทำให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริงได้
เพราะจิตวิญญาณแม้ไม่กลับมาเกิดใหม่
แต่ก็ยัง "หลุดลอย" อยู่ในอนันตจักรวาล
ยังเกิดมีอัตตามีตัวกูของกูอยู่ดังเดิม
เพียงแต่ย้ายที่เกิดจากโลกมนุษย์
หลุดลอยไปเกิดใหม่อยู่บนสวรรค์มายา

จิตที่ต้องการพ้นทุกข์ก็ยังคงทุกข์อยู่
เพราะไม่รู้ว่าตนจะไปต่อที่ไหน
ไม่รู้ว่าตนจะไปต่อจากตรงนั้นได้อย่างไร

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พระบิดาทรงมีพระเมตตา
ให้เรากล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เหตุที่ประดาธรรมาจารย์ท่าน "หลงทุกข์"
ก็เพราะว่าท่านลืม "พันธสัญญา 6"
ที่จิตวิญญาณได้ให้สัญญากับพระบิดาไว้
ก่อนที่จะเข้ามาจุติเป็นมนุษย์
ในภพชาติแรกบนโลกเสรีนี้นั่นเอง

พันธสัญญา 6 ประการที่ว่านี้
เป็นภาระหน้าที่หลักของจิตวิญญาณ
ที่จักต้องปฏิบัติให้ลุล่วง
เมื่อได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์
ถ้าท่านผู้ใดมิให้สัญญาต่อพระบิดา
ท่านผู้นั้นก็จะมิได้รับโอกาสให้มาเกิด
เพราะโลกเสรีมิใช่สถานที่ท่องเที่ยว
แต่เป็นห้องเรียนที่ผู้มาเกิดต้องเรียนรู้
และต้องทำตามพันธสัญญาให้ครบถ้วน

สิ่งแรกที่ผู้จะมาเกิดเป็นมนุษย์ต้องทำ
คือการวางแผนเขียนบทละครร่วมกัน
ที่เรียกว่า #ชะตาชีวิต

โดยบทละครที่จะแสดงร่วมกันก็คือ
"เงื่อนไข" ทั้งด้านดีและไม่ดี
อันหมายถึงพฤติกรรมที่ชอบและไม่ชอบ
ที่ทุกคนจะแสดงออกหรือกระทำต่อกัน
ในชีวิตประจำวันในครอบครัวและสังคม
เพื่อให้ท่านทั้งหลาย
สั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกต่อกัน
เป็นความรักเพื่อให้ให้จงได้
เช่น อดทน อดกลั้น ให้อภัย เมตตา
กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เป็นต้น
โดยไม่มีเงื่อนไขว่าถ้าใครทำดีจะดีตอบ
ถ้าใครทำชั่วให้โกรธแค้นก็จะทำชั่วตอบ

พระบิดาทรงกล่าวต่อเราอีกว่า

#บทละครชีวิต
ที่พวกท่านเขียนกันขึ้นมาเองนั้น
ก็เพื่อทดสอบจิตสามนึกตนเองว่า
จะรักกันได้ให้อภัยกันเป็นหรือไม่
จะเข้าถึงการใช้ปัญญาของสมองสองซีก
ให้สมกับการเกิดมาเป็น "มนุษย์" ได้ไหม

พระองค์มิได้ให้พวกท่าน
มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อการ #หลงทุกข์
จนพากัน "หลงทาง" เพราะอยากหนีทุกข์
จึงพากันละเลยเหลวไหล
ภารกิจทางจิตวิญญาณไปอย่างไร้สัจจะ
ตามที่ตนเคยให้ไว้ต่อองค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านเอง
เพราะเกลียดทุกข์กลัวทุกข์จนหมดสง่า
จึงพากันสอบตกบททดสอบของตนเอง

ดังนั้น
การหนีสังคมเข้าป่าหาที่วิเวก
จึงเป็นการละทิ้งพันธสัญญา 6
อันเป็นการผิดสัจจะต่อพระบิดา
ผู้ทรงอนุญาตให้แก่นแท้ของท่านมาเกิด
และยังละเลยหน้าที่ทางจิตวิญญาณ
ที่ตนเองจักต้องทำให้ลุล่วงอีกด้วย

เพราะคนนำทางเหล่านี้ไม่รู้ว่า

1. จิตวิญญาณตนเองเป็นใคร
มาจากไหน ใครอนุญาตให้มา

2. มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
ตนมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง

3. เส้นทางหลุดพ้นของจิตวิญญาณ
เมื่อเสร็จภารกิจโลกแล้วต้องไปทางใด

ธรรมาจารย์ผู้นำทางเหล่านี้ไม่รู้ว่า
ปัญหาชีวิต ปัญหางาน
ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม
ล้วนเป็นเงื่อนไขที่ถูกวางแผนมาแล้ว
ทั้งจากชะตาชีวิตในภพชาติแรก
และจาก "ชะตากรรม"
ที่สร้างทับซ้อน "ชะตาชีวิต" ขึ้นมาใหม่
เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์โลกนี้แล้ว

ไม่ว่าชะตาที่ต้องเผชิญเป็นแบบใด
ท่านมีหน้าที่ต้องรักให้ได้ ให้อภัยให้เป็น
จะตอบโต้ด้วยการทำชั่วตอบสนองมิได้
เพราะ "ความรัก" จากจิตมนุษย์
เป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่มันจะช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเอง
ด้วยอัตราเร็วคงที่และต่อเนื่องได้
ดาวเคราะห์โลกจึงจะสมดุล

นี่คือแผนการของพระผู้สร้าง
ที่พวกท่านขันอาสามาเกิดกันยกใหญ่
เพื่อทำหน้าที่ในพระนามของพระองค์
เพื่อเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า
ในอันที่จะทำให้อนันตจักรวาล
หรือที่มนุษย์เรียกว่า "เอกภพ"
ซึ่งเป็นห้องทดลองของพระองค์
คงความสมดุลอยู่ชั่วนิรันดร
ด้วยการใช้เมตตาธรรมคือพลังความรัก
ที่ท่านทั้งหลายมอบให้แก่กันและกัน
ช่วยค้ำจุนดาวโลกนี้ไว้ให้ได้เท่านั้น
เพราะดาวโลกเป็นผู้ค้ำจุนสมดุลเอกภพ

พระบิดาทรงกล่าวต่อเราว่า

เพราะบุตรมนุษย์ของพระองค์
ยึดติดกับการมีพระศาสดาพระองค์เดียว
ยึดติดกับพระคัมภีร์เล่มเดียว
สัจธรรมที่ร่ำเรียนเพียรรู้จึงขาดแหว่ง
สัจธรรมความจริงที่ขาดแหว่งไป
ก็คือ #อนุตรธรรม ความจริงที่เหนือโลก
ที่พระบิดาทรงเมตตา
ให้เราเปิดเผยความจริง
ที่ท่านทั้งหลายยังไม่รู้ว่าไม่รู้
ให้ท่านได้รู้ข้างต้นนั้น

นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญ
ที่พระองค์ส่งเรามาเพื่อบอกความจริงนี้
มิเช่นนั้นเส้นทางการหลุดลอย
จะมีจิตวิญญาณที่หลงทางอย่างหนาแน่น
ขณะที่เส้นทางการหลุดพ้นจักเงียบเหงา
และดาวโลกเสรีนี้ก็จะเสียสมดุลทุกมิติ
เพราะขาดแคลนพลังงานความรัก
จากจิตมนุษย์ทั้งหลาย

เพราะคนส่วนหนึ่ง
พากันหลงทุกข์หลงทางกันอยู่
อีกส่วนหนึ่งตกเป็นทาสกิเลสตัณหากันอยู่
จนมนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยพิบัตินั่นล่ะ

เราจึงขอกล่าวความจริงว่า

ถ้าท่านผิดสัจจะต่อพระบิดา
ไม่ยอมทำหน้าที่ตามพันธสัญญา 6
แต่พยายามที่จะหนีทุกข์อยู่ร่ำไป
ทั้งชีวิตมุ่งทำทุกสิ่งเพื่อตนเองเท่านั้น

ถ้าท่านไม่ยอมรับฟังเรา
ผู้ที่พระบิดาทรงเมตตา
ให้กลับมาช่วยเหลือพวกท่าน


เรายืนยันได้เลยว่า
ท่านจะนำพาจิตวิญญาณหลุดพ้น
กลับคืนบ้านเกิดของจิตวิญญาณ
ที่อยู่ภายนอกอนันตจักรวาลไม่ได้แน่

พระบิดาทรงเมตตาชี้ให้ท่านเห็นว่า
องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ที่มาอย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น
พระองค์ทรงดับขันธปรินิพพาน
ก็ตอนที่พระองค์มีภพชาติเป็นมนุษย์

เมื่อทรงปรินิพพานแล้ว
พระจิตวิญญาณก็มิได้ทรงหลงทาง
หลุดลอยคว้างไปเกิดบนสวรรค์มายา
ไปเป็นเทพเทวดามหาพรหมอยู่บนนั้น
โดยละทิ้งภารกิจจิตจักรวาลที่ทรงถือมา
ติดค้างเอาไว้บนโลกที่อยู่เบื้องล่าง
เหมือนอย่างคนนำทางตาบอด
พยายามจะสั่งสอนกันจนทุกวันนี้

ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงปรินิพพาน
พระองค์ได้ทรงมีปฐมเทศนา
ต่อปัญจวัคคีย์ทั้งห้ารูปธรรมว่า
สัจธรรมความจริงอันยิ่งใหญ่
ที่พระองค์ทรงค้นพบได้ในที่สุดก็คือ

มนุษย์โลกทุกคนต้องเรียนรู้
ที่จะหมุนธรรมจักรในตนเองให้ได้
ด้วยการใช้อายตนะทั้งหกที่มีอยู่
สัมผัสรู้ดูเห็นทุกสิ่งรอบตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม
ให้มนุษย์สั่นสะเทือนจิตใจตนเอง
เป็นความรัก ความเมตตาให้จงได้
อย่าสั่นสะเทือนเป็นกิเลสตัณหาเด็ดขาด

โดยท่านจะสามารถรักและเมตตา
คนที่ไม่น่ารักและยอมรับสิ่งที่ไม่ชอบได้
ท่านก็จักต้องใช้ "จิตปัญญา" ของสมอง
ให้สมกับการเป็นพุทธะให้จงได้
ซึ่งพระองค์ทรงสอนวิธีคิด
พระองค์ทรงสอนวิธีปฏิบัติเอาไว้แล้ว
เพื่อให้เข้าถึงพลังอำนาจในตนเองให้ได้
ตามหลักการ "พึ่งตนเอง" โดยแท้

โดยแก่นแท้คำสอนของพระพุทธองค์
ซึ่งเป็น #คนนำทางตาดี ของใครที่ตาบอด
ก็คือสัจธรรมบทสำคัญที่ว่าด้วย
"#ธรรมจักรกัปวัฒนสูตร" นั่นเอง

สัจธรรมบทนี้ทรงสอนให้มนุษย์
ทำหน้าที่หมุนธรรมจักรในตนเอง
ด้วยความรักความเมตตา
และการอโหสิกรรมหรืออภัยกันให้ได้
ถ้าใครทำสำเร็จก็ได้เป็น "มนุษย์"
ถ้ายังทำไม่สำเร็จก็เป็นได้แค่ "คน"

ถ้าท่านหมุนธรรมจักรสำเร็จ
ด้วยการรักคนไม่น่ารักได้
ให้อภัยคนไม่น่าให้อภัยเป็น
ไม่ทำชั่วตามคนชั่วที่ทำร้ายท่าน
และไม่ล่วงประเวณี(ก้าวล่วงผู้บริสุทธิ์)
มันจะช่วยให้จิตผลิตพลังงานความรัก
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กมอบให้โลก
เพื่อช่วยให้โลกหมุนรอบตัวเองต่อเนื่อง
เมื่อหมุนรอบตัวเองได้โลกก็จะสมดุุล

เราขอถามท่านทั้งหลายว่า
คนนำทางคนไหนเล่า
ที่สอนพวกท่านไว้ด้วยพระอมตะวาจาว่า
#เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
หากมิใช่องค์พระ "ตถาคต"
ผู้มาอย่างไรก็ไปอย่างนั้นดอกหรือ
มิใช่พระผู้ที่ท่านรับเป็นพระศาสดาหรือ

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเอาไว้แล้วนั้น
กับที่เราพระบุตรเอกเป็นผู้กล่าว
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาลนั้น
มันผิดแผกแตกต่างกันที่ตรงไหน

มันเป็นคำสื่อสอนที่เข้าใจง่ายเกินไป
จึงปฏิเสธเราเพราะรู้สึกไม่น่าเชื่อถือ
ทั้งๆที่ท่านยังมิได้ใช้สติปัญญา
คิดพิจารณาอย่างตั้งใจเลยเช่นนั้นหรือ

เรายืนยันว่า
ปฏิบัติการชำระโลกของพระบิดา
ด้วยมหันตภัยพิบัติรุนแรง
กำลังจะเกิดขึ้นบนโลกนี้
แดนสวรรค์มายาและโลกมนุษย์
จักต้องถูกชำระในทุกมิติ
เพื่อนำมนุษย์และโลก
เปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่ในเร็ววัน

ผู้ที่ยังหลงตามคนนำทางตาบอดอยู่
ผู้ที่ยังไม่ยอมรับฟังเรา
ผู้ที่จำพระบิดาแห่งจิตวิญญาณไม่ได้
ใครที่ก้าวล่วงเราและภารกิจพระบิดา

จักเป็นพวงองุ่นที่ถูกโยนลงในบ่อย่ำองุ่น
จักมีแผลพุพองทั่วตัวจนต้องกัดลิ้นตนเอง
จักตกลงไปในบ่อไฟร้อนที่มีกลิ่นกำมะถัน
อย่างใดอย่างหนึ่งในทั้งหมดนี้
ล้วนเป็นการพิพากษาตนเองแท้ๆ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

24-01-2019

22 มกราคม 2562

สนทนากับพระเจ้า (25) 22/01/2019

 #สนทนากับพระเจ้า (25)

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ถ้าท่านรักศัตรูของท่านได้

ถ้าท่านสามารถทำดีตอบสนอง

ต่อผู้ที่ทำไม่ถูกต้อง

หรือทำไม่ดีต่อท่านได้

 

ถ้าท่านทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่านได้

ถ้าท่านคิดบวกต่อผู้ที่สาปแช่งท่านได้

ถ้าท่านอธิษฐานภาวนา

ให้แก่ผู้ที่ทำผิดคิดร้ายท่าน

ให้เขาสามารถสำนึกผิดบาปได้ในเร็ววัน

 

โดยที่ท่านสามารถ

จะทำทั้งหมดนี้ได้เช่นเดียวกับที่

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน

ทรงมีพระเมตตากรุณาต่อคนอกตัญญู

และต่อคนชั่วร้ายทุกคนบนโลกนี้ได้

 

ท่านทั้งหลายก็จะเป็นที่พอพระทัย

ของพระองค์ซึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้า

เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง

 

ดังนั้น

ถ้าผู้ใดตบแก้มของท่านข้างหนึ่ง

ก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย

 

ที่กล่าวนี้เราหมายถึง

เราแนะนำท่านให้อภัยโทษ

ในความผิดบาปที่เขาทำร้ายท่าน

เพื่อที่จะรักษาสัมพันธ์อันดีต่อกันไว้

เพราะมันจะช่วยให้ท่านก็มีเขา

และเขาก็ยังคงจะมีท่านอยู่ต่อไป

 

แม้ว่าโอกาสเสี่ยงที่เขาจะทำร้ายท่านอีก

หากคบกันต่อมันอาจยังเป็นไปได้สูงอยู่

เพราะนิสัยสันดานชั่วนั้นอาจยังไม่เปลี่ยน

แม้เขาจะได้รับอภัยโทษจากท่านแล้ว

ซึ่งไม่ต่างจากการยื่นแก้มอีกข้างหนึ่ง

ที่ยังเหลืออยู่ให้เขา "ตบ" ด้วย

แทนที่จะโกรธแค้นแล้ว "เอาคืน"

ดั่งหนามยอกเอาหนามบ่ง

 

เพราะหากเป็นเช่นนั้น

มันจะทำให้ทั้งท่านและเขา "ชั่วพอกัน"

ยิ่งถ้าหากคนทั้งโลกเป็นแบบนี้กันหมด

โลกเสรีนี้ก็จะมีแต่คนไม่ดีเป็นจำนวนมาก

จะหาคนดีๆพบสักคนนั้นแสนยากยิ่ง

 

ท่านรู้หรือไม่ว่า

พฤติกรรมที่เรากล่าวนี้

มนุษย์ส่วนใหญ่ที่จิตใจยังหยาบอยู่

อาจจะพากันเพ่งมองท่านว่าปัญญาอ่อน

อาจจะพากันหัวเราะเยาะท่านว่าบรมโง่

แต่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน

ผู้ทรงสถิตย์อยู่บนฟ้าสวรรค์

จะทรงพอพระทัยท่านเป็นอันมาก

บำเหน็จรางวัลความดีงามของท่าน

ก็จะใหญ่ยิ่งควรค่าแก่การเป็น "ผู้รอด"

 

เพราะเหตุผลที่ว่า

เพียงท่านรู้จักให้อภัยในความชั่วร้ายนั้น

โดยไม่ต่อสู้ ไม่ตอบโต้ และไม่ต่อต้าน

ความเป็นหนึ่งเดียวกันบนโลกเสรีนี้

ตามกฎหลักแห่งจักรวาลของพระบิดา

ก็จะถูกพวกท่านช่วยกันธำรงรักษา

เอาไว้ได้อย่างมั่นยืนแล้ว

 

เมื่อท่านเป็นบุตรมนุษย์ที่ดี

เป็นบุตรที่มีใจโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนมนุษย์

และเป็นบุตรที่มีความกตัญญูต่อพระองค์

บำเหน็จจากพระหัตถ์ที่จะทรงประทาน

ผ่านเรามาให้แก่ท่านทั้งหลาย

มันจะไม่ใหญ่ยิ่งได้อย่างไรกัน

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ถ้ามีผู้ใดเอา "เสื้อคลุม" ของท่านไป

ท่านจงมอบ "เสื้อยาว" ให้เขาไปด้วย

เพื่อช่วยให้เสื้อคลุมที่เขาเอาจากท่านไป

เป็นประโยชน์ต่อเขาได้จริงๆ

 

ท่านจงให้ทาน

แก่ทุกๆคนที่กล้ายื่นหน้ามาขอท่าน

จะให้มากหรือน้อยอยู่ที่ท่านพิจารณา

ว่าการให้ของท่านนั้นเกินกำลังหรือไม่

ต้องให้อะไร ให้เท่าไหร่ และให้อย่างไร

 

และจงอย่าทวงขอของท่านคืน

จากคนที่แย่งยื้อฉ้อฉลจากท่านไป

 

ถ้าท่านอยากให้คนอื่น

เขาปฏิบัติต่อท่านอย่างไร

ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด

เพราะท่านจะบังคับคนอื่นให้ทำต่อท่าน

ตามแบบที่ท่านต้องการไม่ได้เลย

นอกจากท่านจะทำดีต่อผู้อื่นก่อน

แล้วพวกเขาก็จะทำตามท่านเอง

 

หากท่านทำเช่นว่านี้ได้

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณจะทรงรักท่าน

เพราะพระองค์ทรงหวังดีกับบุตรทุกคน

แม้บุตรคนนั้นจะเป็นคนไม่ดีก็ตาม

 

ถ้าในความเป็นมนุษย์

ท่านสามารถจะรักได้เฉพาะผู้ที่รักท่าน

แล้วท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระบิดา

ผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณท่านได้อย่างไร

ในเมื่อคนบาปชั่วก็ยังรักคนที่รักเขาได้

ทั้งตัวท่านกับคนบาปชั่ว

จึงมิได้แตกต่างกันเป็นพิเศษที่ตรงไหน

 

ถ้าท่านสามารถทำดีได้

เฉพาะแต่คนที่เขาทำดีต่อท่านเท่านั้น

ท่านก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า

ผู้ทรงสถิตย์อยู่บนฟ้าสวรรค์มิได้

เพราะคนบาปชั่วเขาก็ทำได้เหมือนท่าน

 

ถ้าท่านให้ใครยืมเงินแล้วหวังได้คืน

ท่านก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า

ผู้ทรงสถิตย์อยู่บนฟ้าสวรรค์มิได้

เมื่อคนบาปชั่วก็ให้คนบาปด้วยกันยืม

โดยหวังจะได้เงินคืนเช่นกัน

 

ถ้าเช่นนั้นคนที่คิดว่าดีแล้วเช่นท่าน

แตกต่างกันกับคนบาปชั่วที่ตรงไหน

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

พระบิดาทรงปรารถนาให้ท่าน

 

รักศัตรูผู้กระทำไม่ดีต่อท่าน

ด้วยการทำดีต่อเขากลับคืน

และให้ยืมโดยไม่หวังอะไรตอบแทน

บำเหน็จรางวัลอันใหญ่ยิ่งจากพระบิดา

จะทรงประทานลงมาจากฟ้าสู่ชีวิตท่าน

 

ท่านจะเป็นบุตรมนุษย์ของพระองค์

ที่จะทรงรักและพอพระทัยเป็นที่ยิ่ง

เพราะพระองค์ทรงมีพระกรุณา

ต่อคนบาป คนชั่วร้าย และคนอกตัญญู

 

หากท่านใด

ละเว้นการเพ่งโทษคนเหล่านี้ได้

เราแลเห็นอย่างสว่างกระจ่างตาว่า

พระผู้เป็นเจ้าจะทรงอำนวยพระพร

ให้แก่บุตรมนุษย์ท่านนั้นทั้งวันคืน

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

22-01-2019





19 มกราคม 2562

สนทนากับพระเจ้า (24) 19/01/2019

 #สนทนากับพระเจ้า (24)

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน

ที่ขันอาสาพระบิดามาเกิดเป็นคนสองมิติ

เพื่อ "คน" สองมิติให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

สู่การเป็น "มนุษย์" ผู้มีจิตใสใจสูงนั้น

 

กว่าจะทำสำเร็จก็ต้องใช้เวลาเรียนรู้

ต้องใช้เวลาฝึกฝนกันหลายภพชาติ

กว่าจะประสบผลสำเร็จก็นับว่ายากแล้ว

แต่การนำพาจิตวิญญาณของตน

เดินทางกลับบ้านสู่แดนสุญตาที่จากมา

กลับยากยิ่งกว่าหลายเท่า

 

มันมีเงื่อนไขหลายอย่าง

ที่ทำให้หนทางกลับบ้านของจิตวิญญาณ

ที่จะหลุดพ้นออกไปจาก #อนันตจักรวาล

ต้องกลายเป็นเรื่องยากสุดๆ

จนมนุษย์หลายคนกลายเป็นลิงถือลูกท้อ

 

เงื่อนไขสำคัญ

ที่ทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่

นิพพานไม่สุดหลุดพ้นไม่ได้จนป่านนี้

มีดังนี้

 

1. จิตหยาบหรือจิตมนุษย์

ลืมไปว่าตนยังมีจิตวิญญาณอยู่ข้างใน

 

ขณะดำเนินชีวิตประจำวัน

ตนจึงทำทุกสิ่งอย่างเพื่อสนองตนเอง

มิได้ใส่ใจที่จะทำเพื่อจิตวิญญาณของตน

 

2. จิตหยาบหรือจิตมนุษย์

ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนเป็นใคร

มาจากไหน มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม

ใครใช้ให้มาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกนี้

มาเกิดแล้วมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง

 

เมื่อไม่รู้กำพืดที่มาของตนเอง

จึงได้แต่ดำเนินชีวิตไปวันๆ

ตามอำนาจของกิเลสตัณหาราคะ

ตามจริตสันดานของตน

ยังผลให้ล้มเหลวในการเป็นมนุษย์

จึงกลายเป็นขยะที่รกโลกไปในที่สุด

เพราะไม่อาจเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก

ทำตามภารกิจหลักทางจิตวิญญาณได้

 

3. ในขณะเดียวกัน

คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้

ที่เวียนว่ายตายเกิดกันมานาน

มากมายหลายภพชาติแล้ว

ก็เกิดความเบื่อหน่ายท้อแท้ในชีวิต

 

เพราะรับไม่ได้

กับบทละครชีวิตบทยากๆของตน

ที่ขีดเขียนมาแสดงเองตั้งแต่ภพชาติแรก

 

เพราะรับไม่ไหว

กับชะตากรรมยากๆของตนที่ต้องเผชิญ

จากการกระทำผิดบาปของตนเอง

 

จึงมองว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์

เป็นการตกอยู่ในวงล้อมของความทุกข์

ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย

ทุกที่ ทุกขณะ

มันเต็มไปด้วยความทุกข์ทั้งนั้น

 

คนส่วนใหญ่

จึงเกลียดกลัวความทุกข์

พยายามที่จะหาทางหนีทุกข์

พยายามที่จะหาทางพ้นทุกข์

พยายามที่จะออกไปจากความทุกข์

 

จนสุดท้ายก็คิดเอาเองว่า

ถ้าจะพ้นทุกข์ได้ตายแล้วต้องไม่เกิดอีก

จึงหาทางกันสุดฤทธิ์คิดกันทุกวิธีว่า

ต้องทำอย่างไรจึงตายแล้วไม่มาเกิดอีก

ทุกวันทุกเวลาและทุกภพชาติ

จนในที่สุดจิตวิญญาณก็ "หลุดลอย"

ตายแล้วไม่ต้องกลับมาเกิดอีกสมใจนึก

 

แต่จิตวิญญาณผู้หลุดลอยทั้งหลาย

กลับพบว่าความทุกข์ที่ตนไม่ปรารถนา

มันยังบังเกิดคุกรุ่นคาอยู่ที่ในจิตดังเดิม

มันมิได้ดับสลายหายไปไหนเลย

แม้หลุดลอยขึ้นไปเป็นเทพเทวดาแล้ว

 

โดยเฉพาะ "ทุกข์" ตรงที่ไม่รู้ว่า

จะนำพาตนเองไปต่อได้อย่างไร

จะลอยสูงขึ้นไปให้สุดทางต้องทำไง

ที่ว่าลอยไปสุดทางนั้นมันสุดแค่ไหน

จะนำพาตนเองกลับลงมาเกิดอีก

ก็ไม่รู้ว่าจะหลุดหล่นลงมาได้อย่างไร

ตนจะต้องทำยังไงกับตนเองดี

ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นทุกข์กองใหญ่

ที่ผู้หลุดลอยทั้งหลายล้วนจมอยู่ในนั้น

 

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

 

ผู้คนประเภทนี้เป็นพวกที่

ทำบุญเบื้องล่างเอาไปสร้างเบื้องบน

ทำบุญหลายหนได้กุศลหลายครั้ง

เพราะเข้าใจผิดคิดว่าการหลุดลอย

โดยไม่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

คือหนทางที่จะพ้นทุกข์ได้อย่างแท้จริง

 

ประดาคนนำทางตาบอดทั้งหลาย

ผู้ไม่เข้าใจในสาระธรรมคำสอน

ของพระพุทธองค์ซึ่งเป็นพระตถาคต

คือ "ผู้มาอย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น"

เป็นผู้ชักชวนชี้นำคนส่วนใหญ่

ให้หลงทางไปนิพพานกันมาตลอด

 

ทั้งๆที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพาน

จากภพชาติที่ทรงจุติเป็นมนุษย์แท้ๆ

มิได้หลุดลอยไปเป็นเทพพรหมก่อน

จึงค่อยหลุดพ้นออกไป

จากอนันตจักรวาลอันกว้างใหญ่

ตามอย่างคนนำทางตาบอดสอนไว้

 

การมาอย่างไรก็กลับไปอย่างนั้น

ทรงหมายถึง

 

เพราะพระจิตวิญญาณของพระองค์

ทรงเดินทางมาจากจิตจักรวาล

ข้ามมิติเข้ามาเกิดในอนันตจักรวาล

เมื่อภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว

ก็ต้องกลับออกไปจากอนันตจักรวาล

คืนสู่ดินแดนจิตจักรวาล

ที่พระจิตวิญญาณพระองค์จากมา

นี่เป็นนัยแห่งอนุตรธรรมความจริงชั้นสูง

ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้แสดงไว้

ถ้าไม่ใช้ปัญญาญาณ

ก็ยากที่จะเข้าถึงได้

 

การพยายามแต่จะหนีทุกข์

อย่างล้มลุกคลุกคลานของคนส่วนใหญ่

จน "หลุดลอย" หลงทางไปนิพพาน

แล้วละทิ้งหน้าที่ทางจิตวิญญาณไป

จึงเป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งที่ยังผลให้

จิตวิญญาณมิอาจหลุดพ้นกลับบ้านเดิม

นอกเอกภพหรือนอกอนันตจักรวาลได้

 

4. เพราะท่านทั้งหลาย

ขาดองค์ความรู้ระดับ #อนุตรธรรม

ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนเข้าถึงเองได้

ต่อให้เป็นสัพพัญญูได้แล้วก็ตาม

 

ความจริงระดับอนุตรธรรม

เป็นความจริงที่อยู่นอกอนันตจักรวาล

ที่มีเพียงพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ทรงเป็นผู้รอบรู้อยู่เพียงพระองค์เดียว

พระองค์จึงต้องส่งพระบุตรเอก

ลงมาจุติเป็นพระศาสดาของโลก

เพื่อมากล่าวพระโอวาทแทนพระองค์

เพื่อมาประกาศความจริงทั้งหลาย

ที่มนุษย์ทุกคนไม่รู้ว่าไม่รู้แต่จะต้องรู้

เพราะถ้าไม่รู้ก็จะมิอาจหลุดพ้น

กลับออกไปจากอนันตจักรวาล

เพื่อคืนกลับบ้านของจิตวิญญาณได้

 

คนที่ยังนำพาจิตวิญญาณหลุดพ้นมิได้

จึงเป็นพวกที่ยึดติดพระศาสดาองค์เดียว

แล้วปฏิเสธพระบุตรเอก

ซึ่งเป็นพระศาสดาที่พระบิดาทรงแต่งตั้ง

ให้ลงมาช่วยเหลือเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาด

ขณะที่บางพวกก็ยึดติดแต่พระบุตรเอก

พระศาสดาที่พระบิดาทรงแต่งตั้ง

แล้วปฏิเสธพระศาสดาของโลกองค์อื่นๆ

 

ดังนั้น

การยึดพระศาสดาพระองค์เดียว

การยึดพระคัมภีร์เล่มเดียว

ก็เป็นอีกหนึ่งเงื่อนไข

ที่ทำให้จิตวิญญาณมากมายตกค้างอยู่

 

5. นี่ก็น่าจะเป็นอีกเงื่อนไขสำคัญเช่นกัน

ที่ทำให้จิตวิญญาณมากมายติดค้างอยู่

มิอาจหลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาล

เพราะดำรงตนให้เป็นคนพ้นกรรมไม่ได้

 

ในชีวิตประจำวัน

ยังมีการก่อกรรมใหม่ทับซ้อนกรรมเก่า

และยังมิอาจทำกรรมเก่าให้เป็นโมฆะ

ให้หมดสิ้นพันธะสัญญากรรมกับผู้อื่นได้

จิตวิญญาณก็จะมิอาจหลุดพ้นได้เช่นกัน

 

ท่านทั้งหลายไม่รู้ว่า

อายตนะทั้งหกและอวัยวะภายนอกทุกชิ้น

หากท่านขาดมหาสติ

และไม่มีปณิธานแห่งการหลุดพ้นแท้จริง

มันจะเป็นเครื่องมือก่อกรรมทำเข็ญ

ก่อเวรเกี่ยวกรรมกับคนรอบข้างได้เสมอ

 

ทำโดยไม่ยั้งคิด

พูดโดยไม่ยั้งคิด

ฟังแล้วเชื่อไม่เชื่อโดยไม่ยั้งคิด

โอกาสที่จะกระทำผิดบาปนั้นสูงยิ่ง

 

เราจึงเคยกล่าวต่อท่านทั้งหลาย

เพื่อให้สติทางวิญญาณเอาไว้ว่า

 

"ถ้ามือข้างหนึ่งของท่าน

เป็นเหตุให้ท่านทำผิดบาปต่อผู้อื่น

ก็จงตัดมันทิ้งเสียเถิด

มันจะได้ไม่ทำผิดบาปต่อใครได้อีก"

 

เพราะจิตวิญญาณท่าน

จะกลับไปกราบพระบาทพระบิดา

ด้วยมือที่มีเพียงข้างเดียว

ก็ยังดีกว่ามีมือสองข้าง

แต่ต้องตกนรกลงสู่ไฟที่ไม่รู้ดับ

 

"ถ้าเท้าข้างหนึ่งของท่าน

เป็นเหตุให้ท่านทำผิดบาปต่อผู้อื่น

ก็จงตัดมันทิ้งเสียเถิด

มันจะได้ไม่ทำผิดบาปต่อใครได้อีก"

 

เพราะจิตวิญญาณท่าน

จะกลับไปกราบพระบาทพระบิดา

ด้วยเท้าที่มีเพียงข้างเดียว

ก็ยังดีกว่ามีเท้าสองข้าง

แต่ต้องถูกโยนลงนรก

 

"ถ้าตาข้างหนึ่งของท่าน

เป็นเหตุให้ท่านทำผิดบาปต่อผู้อื่น

ก็จงควักมันทิ้งเสียเถิด

มันจะได้ไม่ทำผิดบาปต่อใครได้อีก"

 

เพราะจิตวิญญาณท่าน

จะกลับไปกราบพระบาทพระบิดา

ด้วยตาที่มีเพียงข้างเดียว

ก็ยังดีกว่ามีตาอยู่สองข้าง

แต่ต้องถูกโยนลงนรก

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

 

ในแดนนรกที่ผู้ทำผิดบาปต้องลงไปนั้น

ที่นั่น "หนอนไม่รู้ตาย ไฟไม่รู้ดับ"

 

คำว่า "หนอนไม่รู้ตาย" เราหมายถึง

ผู้ที่กระทำผิดบาปต่อผู้อื่นนั้น

เมื่อตายแล้วร่างกายอวัยวะจะเน่าเปื่อย

จิตวิญญาณก็จะพกพากายหยาบ

ที่เน่าเปื่อยนั้นติดตัวไปลงนรกด้วย

หนอนจะชอนไชกัดแทะยั้วเยี้ยไปหมด

ใครก่อกรรมทำบาปชั่วเอาไว้มาก

เนื้อตัวก็จะเน่าและมีหนอนขึ้นมาก

 

พระยายมบาลที่ในนรก

ท่านก็จะใช้เกลือหมักดองแผลเน่า

เพื่อทำการบำบัดรักษาให้แผลสด

จนหายเน่าไม่มีหนอนชอนไชอีก

แต่ท่านต้องแลกกับความเจ็บแสบ

เพื่อสร้างสำนึกผิดบาปทางวิญญาณ

แผลเน่ามีหนอนทั่วตัวจึงจะหายเน่าได้

 

คำว่า "ไฟไม่รู้ดับ" เราหมายถึง

จิตวิญญาณที่หลงมิติ

เพราะมีกิเลสตัณหาราคะอุปาทาน

ติดตัวเป็นคุณสมบัติไปลงนรกด้วย

จะถูกโยนลงไปในกองไฟที่ไม่รู้ดับ

เพื่อให้ช่วยชำระจิตวิญญาณบาปนั้น

 

เนื่องจากตอนที่เป็นมนุษย์

จิตหยาบก่อกรรมทำบาปเอาไว้มาก

เพราะจิตตกเป็นทาสกิเลสตัณหา

ขลาดเขลาเบาปัญญาและงมงาย

โดยเจ้าตัวไม่มีสำนึก

ที่จะชำระจิตตนเองให้ใสพิสุทธิ์

ให้มีจิตสำนึกแห่งการเป็นมนุษย์เลย

เมื่อตายแล้วจึงถูกโยนลงนรก

 

ท่านพระยายมบาล

ก็จะใช้ไฟร้อนในนรกที่ไม่รู้ดับ

ทำการชำระจิตวิญญาณนั้น

จนกว่าสนิมขยะที่เกาะติดจิตวิญญาณ

จะวอดสลายไปกับไฟร้อนจนหมดสิ้น

 

ดังนั้น

ขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่

จงมีเกลือไว้ในตัวท่านเถิด

ร่างกายของท่านจะได้ไม่เน่า

ให้มีหนอนขึ้น

 

ความเหล่านี้เราหมายถึง

ท่านจงดำเนินชีวิตอยู่อย่างสันติสุข

กับคนรอบข้างทุกๆคน

โดยรักกันให้ได้ ให้อภัยกันให้เป็น

ไม่ก้าวล่วงซึ่งกันและกัน

ด้วยอวัยวะและอายตนะที่ท่านมีอยู่

จิตวิญญาณท่านจักได้ไม่ต้องการเกลือ

จิตวิญญาณท่านจักได้ไม่ต้องการไฟ

จะได้ไม่ต้องถูกโยนลงไปในนรก

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

19-01-2019