31 กรกฎาคม 2560

จิตใต้สำนึก 12

อภิปรัชญา: Pure-meta physics

#มหัศจรรย์แห่งจิตใต้สำนึก


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า


#จิตใต้สำนึก กับ #จิตสามนึก นี้

เป็นเหมือนตะเกียบที่ใช้คีบอาหาร

ท่านต้องใช้งานมันร่วมกันทั้งสองข้าง

จะใช้ตะเกียบข้างใดข้างหนึ่ง

แค่เพียงข้างเดียวมิได้


นี่ย่อมหมายความว่า

ตะเกียบทั้งสองข้าง

ต่างจะต้องทำงานร่วมกันนั่นเอง


มนุษย์เป็นคนสองมิติ

คือมิติทางกายภาพที่เป็นกายหยาบ

โดยมีจิตหยาบเป็นผู้ขับเคลื่อน

การสั่นสะเทือนของ #จิตสามนึก

เพื่อให้เกิดการแสดงออกหรือการกระทำ

ด้วยเครื่องยนต์แห่งกรรม

เพื่อผลลัพธ์ใดๆที่ต้องการ

นี่จึงเป็นเหมือนตะเกียบข้างหนึ่ง


กับอีกมิติหนึ่งก็คือ

มิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้

โดยมีจิตวิญญาณเป็นผู้ขับเคลื่อน

การสั่นสะเทือนของ #จิตใต้สำนึก

เพื่อให้เกิดการแสดงออกหรือการกระทำ

ด้วยอำนาจของพลังงานทางจิตวิญญาณ

เพื่อผลลัพธ์ที่จิตสามนึกต้องการนั้น

นี่ก็เป็นดั่งตะเกียบอีกข้างหนึ่งนั่นเอง


ดังนั้น

ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จ

ในการดำเนินชีวิตหรือการทำงาน

ท่านจึงต้องใช้จิตทั้งสองมิติ

คือจิตหยาบกับจิตวิญญาณ

ทำงานร่วมกันอย่างลงตัวให้จงได้

ซึ่งหมายถึงจิตทั้งสองมิติ

จักต้องสั่นสะเทือนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน


ด้วยเหตุนี้เอง

ความจริงในเบื้องแรกที่เราจะบอกท่าน

หากต้องการประสบผลสำเร็จใดๆในชีวิต

ท่านจักต้องปฏิบัติตนให้เข้าถึงความจริง

ทุกประการดังต่อไปนี้


1.ท่านเองโดยจิตหยาบ

จักต้องยอมรับความจริงเสียก่อนว่า

ตนเองนั้นยังมีจิตวิญญาณเร้นอยู่ข้างใน


2.สังขารร่างกายของท่าน

จักต้องแข็งแรง ไม่อ่อนแอ ไม่ขี้โรค

ไม่เป็นอุปสรรคในการใช้กำลัง

ซึ่งท่านจักต้องใส่ใจดูแลสุขภาพให้ดี


โดยบริโภคอาหารจำพวกพืชผักผลไม้

และเมล็ดธัญพืชจำพวกถั่วทุกชนิด

ท่านก็จะได้รับสารอาหาร แร่ธาตุ

และวิตามินต่างๆได้อย่างครบถ้วน

โดยไม่จำเป็นต้องทานเลือดเนื้อของสัตว์

ซึ่งเป็นพวกเดียวกันเองแต่อย่างใด


นอกจากนั้น

ท่านก็จักต้องพักผ่อนอย่างพอเพียง

และหมั่นออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ


นี่คือการทำตะเกียบข้างหนึ่งให้แข็งแกร่ง

พร้อมใช้งานแล้ว


3.จิตวิญญาณของท่าน

จักต้องมีพลังอำนาจสูงพอตัว

จนสามารถสั่นสะเทือนได้อย่างเต็มพลัง

ในทุกๆครั้งที่จิตหยาบต้องการ


พลังทางจิตวิญญาณของท่าน

จะได้จากการสั่นสะเทือนของจิตใต้สำนึก

ถ้าจิตใต้สำนึกสั่นสะเทือนสูงสุดมากเท่าใด

พลังอำนาจทางวิญญาณก็จะสูงมากเท่านั้น


จิตใต้สำนึกจะสั่นสะเทือนสูงสุด

เพื่อสนองความต้องการของจิตสามนึก

ได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไรนั้น

ขึ้นกับเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการ คือ


#ประการที่หนึ่ง

ท่านใช้ "แรงจูงใจ" หรือ "แรงบันดาลใจ"

ในการสั่นสะเทือนจิตสามนึก


ถ้าท่านใช้ #แรงบันดาลใจ

จิตใต้สำนึกก็จะมีพลังสูงกว่าหลายเท่า


#ประการที่สอง

จิตสามนึกสั่นสะเทือนเป็นความต้องการ

ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเป็นจริงไม่ได้

ที่เรียกว่า "เพ้อฝัน" หรือละเมอเพ้อพก

จิตใต้สำนึกจะสั่นสะเทือนตามไม่ได้


#ประการที่สาม

จิตใต้สำนึกมีพลังอำนาจต่ำกว่าปกติมาก

เพราะตัวท่านสั่งสมพลังงานกรรม

จากการกระทำผิดบาปเอาไว้มากนั่นเอง


ที่ผ่านมาเราจึงแนะนำให้ท่านทั้งหลาย

ครองลูกแก้วสองดวงไว้ให้มั่นคง

เพราะมันจะช่วยท่านไม่ก่อกรรมใหม่

แถมยังสามารถแก้ไขกรรมเก่าได้ด้วย


นี่ก็คือการทำตะเกียบอีกข้างให้แข็งแรง

พร้อมที่จะใช้งานร่วมกับอีกข้างหนึ่งแล้ว


4.ท่านต้องหมั่นฝึกฝนตนเอง

ให้มีความสามารถใช้อวัยวะและอายตนะ

ให้แคล่วคล่องปราดเปรียวหรือชำนาญไว้

เพราะความสำเร็จใดๆในภารกิจทางโลก

จักต้องอาศัยอวัยวะกับอายตนะ

เป็นเครื่องมือสร้างความสำเร็จทั้งสิ้น


ในด้านจิตวิญญาณก็เช่นกัน

ท่านสามารถฝึกใช้พลังจิตให้ชำนาญได้

ขณะดำเนินชีวิตประจำวัน

เป็นต้นว่า....


อย่าเป็นคนโลเล

อย่าเป็นคนเหลาะแหละลื่นไหล

อย่าเป็นคนพูดอะไรไม่ตรงตามที่คิด

อย่าเป็นคนทำอะไรไม่ตรงตามที่คิด

อย่าเป็นคนพูดโดยไม่คิดก่อนพูด

อย่าเป็นคนทำโดยไม่คิดก่อนทำ

อย่าเป็นคนจับจดไม่จริงจังไม่ตั้งใจ

อย่าเป็นคนวิตกจริต

อย่าเป็นคนขี้เกียจคิด


ทั้ง "9 อย่า" ที่กล่าวมานี้

ถ้าท่านว่างไปจากสิ่งนี้ได้ในชีวิตประจำวัน

จิตวิญญาณของท่านจะสั่นสะเทือนเต็มพลัง

ยังผลให้จิตใต้สำนึกพลอยมีพลังสูงขึ้นด้วย


5.ท่านต้องมีความสามารถ

ในการกำหนดจิตเพื่อการนึกและคิดให้เป็น

โดยฉลาดกำหนดนึกด้วยจิต

เพื่อการคิดอย่างชาญฉลาดด้วยสมอง

เพื่อสั่นสะเทือนจิตสามนึกให้ถูกต้องชัดเจน

จะได้สื่อกับจิตใต้สำนึกอย่างมีประสิทธิผล


ดังนั้น

ภาษาจิต (NLP) ที่สื่อสารกันในสองมิติ

จึงต้องชัดเจน เป็นรูปธรรมและเป็นจริงได้

มิใช่การหลอกลวงอย่างที่บางคนพยายาม

เพราะการหลอกตัวเองก็ผิดบาป

เป็นสิ่งต้องห้ามด้วยเหมือนกันแหละท่าน


เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

31-07-2017


หมายเหตุ:

ต้องการเรียนรู้ต่อเนื่อง

โปรดแสดงตนเพื่อยกมือขึ้นอีกครั้ง

27 กรกฎาคม 2560

จิตใต้สำนึก 11

อภิปรัชญา: Pure-meta physics

#มหัศจรรย์แห่งจิตใต้สำนึก


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย


เพราะว่าท่านเป็น #คนสองมิติ

#พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ ของท่าน

จึงทรงกำหนดให้ท่านทั้งหลาย

เป็น "คนสองภาค" ในตนเอง


#ภาคแรกคือกายหยาบ

อันประกอบด้วย #จิตหยาบ

ที่มี #จิตสามนึก กับ #เครื่องยนต์แห่งกรรม

รูปธรรมมนุษย์เป็นเครื่องมือ


#ภาคสองคือจิตวิญญาณ

อันประกอบด้วย #จิตวิญญาณ

ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านเอง

ซึ่งเร้นตนเองอยู่ข้างในกายหยาบ

ที่มี #จิตใต้สำนึก เป็นเครื่องมือ


เมื่อใดก็ตามที่จิตหยาบในภาคแรก

มีการสั่นสะเทือนทางจิตสามนึก

เป็นอารมณ์รู้สึกหรือการนึกคิดเกิดขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือว่าด้านลบ


ไม่ว่าท่านจะขับเคลื่อนมันออกมา

เป็นการแสดงออกหรือการกระทำใดๆ

ด้วยเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์

หรือไม่ก็ตาม


ณ บัดเดียวกันนั้น

ภาคสอง คือ ด้านของจิตวิญญาณ

โดย #จิตใต้สำนึก ของท่านเอง

ก็จะสั่นสะเทือนตาม #จิตสามนึก ทันที

เพื่อแสดงออกหรือกระทำสิ่งนั้น

ในมิติของจิตวิญญาณด้านของแก่นแท้

ตามที่จิตหยาบโดยจิตสามนึกต้องการ


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

กระบวนการที่ว่านี้เป็นระบบอัตโนมัติ

ท่านไม่จำเป็นจะต้องเข้าไปแทรกแซงเลย

เพราะจิตหยาบกับจิตวิญญาณของท่าน

จะสื่อสาร (Communication) กันเอง

ด้วยภาษาของจิต (Mind Language)

ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็ก


ท่านจึงไม่จำเป็นต้องสร้างภาษาจิตประสาท

ที่เรียกว่า NLP ขึ้นมาใช้

ให้มันดูลึกลับซับซ้อนโดยใช่เรื่องเลย

เพียงแค่ท่านต้องระลึกไว้เสมอว่า

#จิตใต้สามนึกจะทำตามจิตสามนึกเสมอ


หมายความว่า

จิตใต้สามนึกจะคอยใช้พลังทางจิตวิญญาณ

ที่สองตาเปล่าของท่านมองไม่เห็น

สั่นสะเทือนให้เกิดการกระทำในมิติแก่นแท้

เพื่อให้บังเกิดผลสำเร็จในมิติของกายหยาบ

#ตามที่จิตหยาบสั่นสะเทือนจิตสามนึกเสมอ


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอเน้นย้ำนะว่า

#จิตใต้สำนึกจะสั่นสะเทือนตามจิตสามนึก

#จิตใต้สำนึกจะสั่นสะเทือนตามจิตสามนึก

#จิตใต้สำนึกจะสั่นสะเทือนตามจิตสามนึก


ดังนั้น

ไม่ว่าจิตสามนึกจะสั่นสะเทือนเรื่องนั้นๆ

ด้วยจิตรู้สามนึกซึ่งเป็นเรื่องดีๆที่ต้องการ

หรือจะสั่นสะเทือนเรื่องนั้นๆ

ด้วยจิตไร้สำนึกซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีที่ไม่ต้องการ

"จิตใต้สำนึก" ก็จะสั่นสะเทือนไปตามนั้น

โดยไม่รู้หรอกว่าสิ่งไหนต้องการไม่ต้องการ

แต่จะสั่นสะเทือนเพื่อนำสิ่งนั้นเข้ามาหา 

น้อมนำพาสิ่งนั้นเข้ามาให้ท่านจนทุกสิ่ง


ด้วยเหตุนี้เอง

ระหว่างการคิดสร้างภาษาจิตประสาท NLP

เอามาฝึกคิดฝึกใช้ในชีวิตประจำวันให้มันยุ่ง

กับมุ่งฝึกมหาสติกับปณิธานแห่งนิพพานไว้

ซึ่งเป็นการใช้ภาษาจิตประสาทวิถีธรรมชาติ

อย่างไหนจะควรค่าแก่การใส่ใจมากกว่ากัน


แต่สิ่งที่ท่านต้องระวังก็คือ

ท่านต้องไม่นึกลบคิดลบต่อตนเอง

เพราะจิตใต้สำนึกจะนำพาสิ่งลบๆนั้นมาให้

ประเภท "ฉันทำไม่ได้แน่" "แย่แล้วกู"

"ซวย...จิ๊บ...หายเลย"

"ฉันกลัวผีอ่ะ!" "ยากอ่ะ" "ฉันเกลียดคนขี้เมา"

"ฉันไม่ชอบคนเจ้าชู้" "รำคาญคนขี้บ่น"

"ฉันไม่ชอบคนขี้หึง" "รังเกียจคนขี้งก" ฯลฯ


เพราะการนึกลบคิดลบแบบนี้

ท่านต้องใช้จิตสามนึกสั่นสะเทือนมันทั้งสิ้น

ดังนั้นจิตใต้สำนึกจะเข้าใจว่า 


"ท่านต้องการ" ที่จะทำงานนั้นไม่ได้

เพราะท่านไปคิดว่าท่านทำไม่ได้

งานนั้นจึงเต็มไปด้วยอุปสรรคปัญหา

เพื่อจะให้ท่านทำไม่ได้หรือทำไม่สำเร็จ

ตามที่ท่านสั่นสะเทือนจิตสามนึกไว้


เข้าใจว่า "ท่านต้องการ" จะเจอความซวย

อันหมายถึงต้องเผชิญกับความโชคร้าย

ชีวิตท่านจึงมีแต่เรื่องร้ายๆเข้ามาในชีวิต

เพราะท่านสั่นสะเทือนจิตสามนึกว่า

"ซวยจิ๊บหาย" อยู่ซ้ำซาก


ผู้หญิงบางคนก็จะเจอแต่ผู้ชายขี้เมา

เจอแต่ผู้ชายเจ้าชู้ผ่านเข้ามาในชีวิต

จนในที่สุดเธอต้องได้สามีขี้เหล้ากับเจ้าชู้

ทั้งๆที่ตนเองสั่นสะเทือนจิตสามนึกว่า

เกลียด ปฏิเสธ หรือไม่ต้องการแท้ๆ


ที่เรากล่าวมาเป็นตัวอย่างทั้งหมดนี้

ก็เพื่อจะทำให้ชีวิตท่านมันง่ายขึ้น

โดยไม่ต้องไปเปลืองเงินซื้อ NLP

โดยไม่ต้องเข้าแทรกแซงกระบวนการของจิต

ให้มันวิปริตผิดธรรมชาติเลยก็ได้

ด้วยการระวังจิตอย่านึกคิดด้านลบ


ไม่ต้องการพบเจอสิ่งใดในชีวิต

ก็ให้ท่านวางเฉยต่อสิ่งนั้นเสียทันที

หากต้องการพบเจอสิ่งดีใดๆในชีวิต

ก็ให้ท่านสั่นสะเทือนจิตสามนึกถี่ๆบ่อยๆ

ที่ท่านเรียกกันว่า #ภาวนา

ควบคู่ไปกับการกระทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้มา

ด้วยจิตตปัญญาของท่านในชีวิตจริงด้วย


บางครั้ง

เพียงแค่ท่านคิดให้เป็นภาพ

ในสิ่งที่ต้องการ

ด้วยจินตนาการของจิตท่านเท่านั้นแหละ

จิตใต้สำนึกก็จะรับรู้แล้วสั่นสะเทือนต่อได้เลย

เพื่อนำเอาสิ่งที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมาให้


บางครั้ง

เพียงแค่ท่านคิดถึงกลิ่น 

รส เสียง รูปลักษณ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง

ด้วยจินตนาการของจิตท่านเท่านั้นเอง

จิตใต้สำนึกก็จะรับรู้แล้วสั่นสะเทือนต่อได้เลย

เพื่อนำเอาสิ่งที่มีคุณสมบัติดังกล่าวนั้นมาให้


เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

27-07-2017

23 กรกฎาคม 2560

พระบิดาทรงโปรดเวไนย 12


#พระบิดาทรงโปรดเวไนย

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ตราบใดที่มนุษย์ยังพึ่งพา
วัตถุมงคลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
มนุษย์จะไม่คิดพึ่งพาตนเองเลย

เมื่อมนุษย์ยังพึ่งพาตนเองกันไม่ได้
แล้วดาวเคราะห์โลกดวงนี้
จะพึ่งพาใครได้เล่า

วัตถุเท็คโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้น
แล้วหลงยึดติดคิดว่าเป็นที่พึ่งของตนได้
มันจึงต้องถูกทำลายลงไปให้ได้ประจักษ์
เพื่อให้ท่านหันกลับมา
ปลุกสร้างความศักดิ์สิทธิ์ในตนเอง
ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้
กราบไหว้ตนเองได้
แทนวัตถุมงคลทั้งหลายเหล่านั้น
แลเป็นที่พึ่งของดาวโลกได้เสียที
ก่อนที่จะถึงกาลสิ้นยุค 56 วัน 8 ราตรี

ดังนั้น
ปฏิบัติการสร้างสติให้พวกท่าน
มีงานหลักอย่างหนึ่งคือ
ชำระขยะวัตถุทั้งหลายที่ท่านสร้างทิ้งไป
ไม่ว่าจะตั้งอยู่ ณ แหล่งใดบนโลกเสรีนี้
จักพังทลาย จักจมหาย
จักแตกสลาย หรือจักเผาไหม้เป็นฝุ่นธุลี
เรื่องราวแบบนี้ยังจะเกิดขึ้นต่อไป
ยังจะถูกเก็บชำระต่อไป ทั่วแผ่นดินโลก

เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดบนโลกนี้
คือดวงจิตวิญญาณของท่านเอง
หากตนเองยังเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์
ที่มีอยู่ในตนเองกันไม่ได้
ยังหากันยังไม่พบเจอแล้ว
ท่านก็จักยังพึ่งตนเองไม่ได้
ดาวโลกดวงนี้ก็มิอาจพึ่งมนุษย์ได้เช่นกัน

เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด
ในสากลจักรวาล
คือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ผู้ทรงเป็นพระจิตแห่งจักรวาล
เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นเอง
ที่ท่านทั้งหลายสมควรจะน้อมกราบไหว้
สมควรที่จะทำสามเหลี่ยมกับพระองค์

มิใช่ยึดติดมายารูปลักษณ์
ของวัตถุเท็คโนโลยีขยะอันเป็นสิ่งสมมติ
ที่มนุษย์ออกแบบสร้างขึ้นมาเอง
มิใช่การยึดติดประเพณีพิธีกรรม
จนลืมชำระจิตใจให้ใสสวย
คิดปรารถนาแต่จะมีชาติหน้าที่ดีๆ
แต่ไม่มีปณิธานแห่งนิพพานให้ชัดเจน

การร้องขอสิ่งดีๆถ้าต้องมีชาติหน้า
ท่านต้องร้องขอจากตนเองใช่ใครอื่น
ถ้าท่านปรารถนาจะพบเจอสิ่งดีใดๆ
ท่านต้องหมั่นก่อกรรมทำดีเสียในชาตินี้
ถ้าไม่ต้องการพบเจอสิ่งไม่ดีใดๆ
ท่านก็ต้องงดทำไม่ดีแบบนั้นเสียในชาตินี้

นี่คือ #การร้องขอต่อตนเอง
เพราะจิตวิญญาณของท่าน
เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในตนเอง
ในภพชาติหน้าท่านจะได้รับ
ทุกสิ่งที่ทำไว้ในภพชาตินี้อย่างครบถ้วน
ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของจิตวิญญาณเอง

ไม่ว่าท่านจะทำอะไรแบบไหนอย่างไร
เอาไว้กับตนเองหรือใครอื่นในภพชาตินี้
นั่นเท่ากับว่าตัวท่านเองนั้น
กำลังเขียนบทละครของท่านขึ้นไว้
เพื่อจะใช้แสดงในภพชาติหน้าถ้ามีด้วย

เมื่อความจริงมันเป็นดั่งนี้แล้ว
ท่านก็จักต้องรู้ว่า
ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใดจะช่วยท่านได้
แม้ประดาเทพพรหมทั้งหลายในสากล
เขาเองก็ยังต้องฉุดช่วยตนเองอยู่เลย
นี่ก็กำลังจะปิดยุคพลังงานเก่าแล้ว
ทุกรูปธรรมจำต้องเร่งช่วยเหลือตนเอง
เพื่อให้หลุดพ้นออกไปจากระบบโดยไว
ก่อนประตูมิติแห่งโอกาสจะถูกปิดสนิท
ไม่มีใครช่วยใครได้เพราะทุกคนไม่ว่าง

ถ้าใครยังหลงยึดติดวัตถุเท็คโนโลยี
ยังข้ามผ่านมายาให้เข้าถึงแก่นแท้ไม่ได้
ยังเน้นพึ่งพาวัตถุมงคลสถูปสถาน
ยังพึ่งพาบริการทานบุญผ่านบุคคลอื่นอยู่
โดยไม่คิดจะพึ่งพาจิตตปัญญาตนเอง
ด้วยการหมั่นยกระดับพัฒนาไปทุกๆวัน
แล้วหมั่นใช้มันให้เต็มพลัง

รักได้ ให้อภัยเป็น
คิดก่อนคิด คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ
ตาม #ปริญญาโมเดล ที่เราเคยสื่อมาสอน
แทนการงมงายอยู่กับความเชื่อไม่เชื่อ

ปลาที่จะถูกคัดทิ้งแน่นอน
ในการชำระโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
คือปลาที่บกพร่องเหลวไหล
ซึ่งไม่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆนี่เอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เรากราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดา
แทนพวกท่านทั้งหลายไว้ ณ ที่นี้
ที่พระองค์ยังทรงพระเมตตา
ให้โอกาสปลาทุกตัวจนวินาทีสุดท้าย
ในขณะที่ปริมาณมวลน้ำทั้งบนบกในทะเล
ยกระดับเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆมิหยุดยั้ง
อาจทำให้ปลาที่หายใจด้วยปอดบางตัว
ยังไม่คุ้นชินที่จะว่ายวนอยู่ในน้ำ
อาจเกิดการสำลักน้ำก่อนถึงกำหนดก็ได้

ดังนั้น
การล่มสลายพังทลายของบางสิ่ง
ที่ค่อยๆทะยอยเกิดขึ้นให้เห็นกันต่อหน้า
ซึ่งหลายคนอาจเห็นว่าไม่เหมาะสม
จึงเป็นความเหมาะสมแล้วที่ไม่เหมาะสม

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-07-2017

องค์จิตจักรวาลโปรดเวไนย 11

#องค์จิตจักรวาลโปรดเวไนย

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

พระบิดาทรงติดตั้งจิตสามนึกของโลก
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตสามนึกมนุษย์
ตั้งแต่เมื่อแรกสร้างจักรวาล
โลก มนุษย์ และทุกสรรพสิ่งแล้ว

คำว่า #จิตสามนึกเป็นหนึ่งเดียวกัน
ระหว่างโลกกับมวลมนุษย์นั้น
หมายถึงมนุษย์กับโลก
จะสั่นสะเทือนจิตสามนึกร่วมกันตลอด
โดยมีมนุษย์ทุกคนบนโลกเป็นผู้เริ่มต้น
ส่วนดาวโลกก็จะเป็นผู้สั่นสะเทือนตาม

ทั้งนี้ไม่ต่างจากการสั่นสะเทือนร่วมกัน
ระหว่างจิตสามนึกกับจิตใต้สำนึกนั่นล่ะ
ถ้าจิตสามนึกสั่นสะเทือนด้านบวก
จิตใต้สำนึกก็จะสั่นสะเทือนเป็นบวกตาม
ถ้าจิตสามนึกสั่นสะเทือนด้านลบ
จิตใต้สำนึกก็จะสั่นสะเทือนเป็นลบตาม

ดังนั้น ในยุคปัจจุบัน
ซึ่งเป็นปลายยุคพลังงานเก่านี้
เป็นยุคที่จิตสามนึกโดยรวมของมนุษย์
สั่นสะเทือนค่อนไปในทางต่ำมาก
ต่ำจนเข้าหาความเป็นสัตว์ประจำโลก
เข้าไปทุกทีๆแล้วนี้

จึงยังผลให้จิตสำนึกของดาวโลก
พลอยตกต่ำย่ำแย่ตามไปด้วย

เมื่อใดที่จิตสามนึกมนุษย์ค่อนไปทางต่ำ
การกระทำใดๆของมนุษย์ที่กระทำต่อกัน
มันก็จะเป็นพฤติกรรมก้าวล่วงกันทั้งสิ้น
พฤติกรรมก้าวล่วงคือเบียดเบียนทำร้าย
ทำให้ผู้อื่นเสียหาย เสียประโยชน์
เสียหน้า เสียใจ หรือ เสียชีวิตนั่นเอง

ดาวโลกเสรีนี้ก็เช่นกัน
เมื่อจิตสามนึกมนุษย์ตกต่ำ
จิตสำนึกของดาวโลกก็จะตกต่ำลงด้วย
ซึ่งตัวบ่งชี้ว่าขณะนี้จิตสำนึกโลกตกต่ำ
คือการเกิดภัยพิบัติรุนแรงขึ้นถี่ขึ้นทุกที
จนทั่วทุกภูมิภาคของแผ่นดินโลก

ดังคำกล่าวของเราที่ว่า
ถ้ายุคใดที่จิตสามนึกมนุษย์ตกต่ำ
มนุษย์ต้องทำสงครามกับภัยพิบัติเสมอ

ท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า
ทุกวันนี้...นับวันสังคมชาวโลก
จะทำผิดคิดร้ายต่อกันมากขึ้น
จะทำทุศีลแบบไม่กลัวบาปง่ายขึ้น
ขณะที่โลกก็เกิดภัยพิบัติแบบต่างๆ
ที่รุนแรงขึ้น ถี่ขึ้น ขยายพื้นที่มากขึ้น
จนคร่าชีวิตมนุษย์ไปแล้วตั้งมากมาย
ทำลายทรัพย์สินมนุษย์แล้วนับไม่ถ้วน

มนุษย์กับโลกจึงขาดกันไม่ได้
มนุษย์พึ่งพาโลกให้เป็นที่เหยียบยืน
ถ้าไม่มีแผ่นดินโลกมนุษย์จะไร้ที่ยืน
จะไม่มีที่วางศีรษะของตนเลย

โลกก็พึ่งพามนุษย์ให้ช่วยเหวี่ยงหมุน
ถ้าโลกไม่หมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ดาวโลกดวงนี้ก็จะเสียสมดุลทันที

มนุษย์ใช้พลังความรักที่มีต่อกัน
เป็นดั่งเชื้อเพลิงในการจุดระเบิด
แกนแม่เหล็กโลกในใจกลางโลก
ที่ทำด้วยออกซิเจนเหลวบริสุทธิ์ 100%
ซึ่งเป็นก้อนกลมที่มีขนาดใหญ่มาก
มีลักษณะเหนียวหนืดคล้ายตังเม

ความรักจากจิตมนุษย์ที่มีต่อกันนั้น
จะถูกเหวี่ยงออกมาภายนอก
ในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ประมาณ 1 % เท่านั้นที่จะแทรกตัวลงไป
ทำปฏิกริยานิวเคลียร์ (Nuclear Fission)
กับอะตอมของธาตุออกซิเจนที่แกนโลก
ในแบบปฏิกริยาลูกโซ่ (Chain Reaction)

โดยปรากฏการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่แกนโลก
เฉพาะด้านที่เป็นกลางวัน
ซึ่งเป็นยามตื่นของมนุษย์โลกเท่านั้น
จึงยังผลให้แกนโลกระเบิดด้านเดียว
เพราะความเหนียวหนืดของแกนโลก
จึงทำให้แกนแม่เหล็กโลกบิดตัวได้

เมื่อด้านที่เคยมืดเปลี่ยนเป็นกลางวัน
ด้านที่เป็นกลางวันจะเปลี่ยนเป็นกลางคืน
ทุกชีวิตจะพากันหลับไหลนิ่งสงบ
ส่วนมนุษย์อีกซีกหนึ่งของโลกก็จะตื่น
เพื่อทำหน้าที่ให้ความรักของตนต่อกัน
แล้วแบ่งปัน 1% ให้แกนโลกแทน
แกนโลกอีกด้านหนึ่งก็จะระเบิดแทน
การบิดตัวของแกนโลกด้านนี้
จะสอดรับกับการบิดตัวของอีกด้านหนึ่ง
โดยเป็นเช่นนี้เรื่อยไปไม่รู้สิ้นสุด
โลกจึงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้จนบัดนี้

มนุษย์ทุกวันนี้
รักกันไม่ได้ ให้กันไม่เป็น
ไม่รู้จักว่าความรักบริสุทธิ์นั้นคือการให้
โดยไม่คาดหวังสิ่งใดตอบแทน
ไม่รู้จักว่าความรัก
คือการอดทน อดกลั้น ให้อภัย
คือความมีจิตใจเมตตากรุณาต่อผู้อื่น

มนุษย์จึงผลิตพลังงานให้โลกไม่ได้
ทำให้ดาวโลกเกิดการเสียสมดุลขึ้น
เพราะแกนโลกมีการระเบิดน้อย
แรงสั่นสะเทือนด้านบวกจึงมีน้อย
หมายถึงจิตสำนึกโลกตกต่ำนั่นเอง
ภัยพิบัติจึงเกิดขึ้นมากมายดังที่เป็นอยู่

ขณะที่โลกถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่า
ได้เวลาที่จิตวิญญาณพวกท่าน
อาสาเข้ามาทำหน้าที่ผลิตรักให้โลก
ครบ 60,000 ปีโลกแล้วด้วย

จึงเป็นคาบเวลาสุดท้ายที่จะเปลี่ยนยุค
ซึ่งพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งในจักรวาล
จักต้องจัดระบบองค์กรโลกนี้ใหม่
สร้างสมดุลใหม่ในสองมิติ
เพื่อยกระดับปรับสมดุลโลกให้สูงขึ้น
ให้เหมาะที่จะเป็นโลกยุคพลังงานใหม่
ที่จะมีพลังอำนาจมากกว่าเดิม 2 เท่า

ดังนั้น
ภัยพิบัติอันเกิดจากมนุษย์โลกทำเอง
กับภัยพิบัติอันเกิดจากการชำระโลก
เพื่อยกระดับปรับสมดุลดังกล่าวนี้
มันจึงมาสอดคล้องต้องกันพอดี

เราจึงเตือนท่านทั้งหลายมาตลอดว่า
ความรักแท้ของพวกท่านเท่านั้น
ที่จะช่วยให้ภัยพิบัติลดทอนลงได้
ทั้งความรุนแรงและความถี่ของการเกิด
ขณะเดียวกันเรายังเตือนท่านด้วยว่า
ขยะพลังงานจิตที่เป็นกิเลสตัณหา
เช่น ความโกรธ ความโลภ ความงมงาย
ซึ่งเป็นอารมณ์ขยะรายวันทั้งหลาย
มันจะเป็นตัวเร่งให้เกิดภัยพิบัติแรงขึ้น

เราจึงเตือนท่านทั้งหลายด้วยว่า
ถ้าท่านทั้งหลายยังจำผู้ที่เคยกล่าวไว้ว่า
เมื่อพระบิดาพิพากษาโลกจะกลับมา
จะมาพาเจ้าสาวที่ถือตะเกียงรอ
เข้าสู่ประตูเรือนหอ คือ ด่านนภาลัย
ก็จงรับรู้ด้วยว่าเรามาแล้ว

เราเคยกล่าวว่า
เราจะกลับมาตะโกนร้องเรียกหา
ประดาแกะของเราที่เราเคยดูแล
ซึ่งขณะนี้กำลังหลงทางอยู่
ถ้าตัวไหนจำเสียงเจ้าของแกะได้
ก็ให้รีบกลับมาเข้าคอกเสียโดยไว

จงรับรู้ไว้เถิดว่า
นี่เป็นเสียงเพรียกจากเราเองใช่ใครอื่น

เรายังเคยกล่าวว่าเราจะกลับมา
ในวันที่พระบิดาทรงพิพากษาโลก
พร้อมทีมเท็คนิกจากพระบิดา
เพื่อมาช่วยกัน "คัดปลา" ขึ้นจากน้ำ
คัดปลาตัวที่ไม่เคยเป็นแกะของเรา
แต่เป็นปลาที่จะถูกคัดไว้ในความรอด
คัดนำขึ้นเรือเพื่อให้ชีวิตใหม่ต่อไป

ทั้งหมดที่เรากล่าวมาเป็นความจริง
ทุกสิ่งที่กล่าวไว้ในอดีตล้วนเป็นสัจจะ
เราจึงกลับมาทำหน้าที่ตามสัจจะที่ให้ไว้
ถ้าท่านทั้งหลายพร้อมรักษาสัจจะ
ก็จงหันหน้าเข้ามาหาเรา
แต่มิใช่หันมาเพื่อประโยชน์แห่งเรา
จงหันมาเพื่อเอาประโยชน์จากเราเถิด
ก่อนประตูแห่งโอกาสบานนี้จะถูกปิด

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23-07-2017

22 กรกฎาคม 2560

จิตใต้สำนึก 10


#อภิปรัชญา Meta-physics *************** พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย ระหว่าง การคิด วางแผน แล้วทำอย่างมีตรรกะในมิติโลก เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จใดๆที่ต้องการ กับการใช้พลังจิตใต้สำนึก เหนี่ยวรั้งความสำเร็จที่ต้องการมาให้ ในมิติทางจิตวิญญาณนั้น เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า เหตุแห่งการบรรลุเป้าหมาย ต้องมาจากจิตหยาบใช้จิตสามนึก สั่นสะเทือนตนเองให้เกิดการคิด การกระทำ และการวางแผน อย่างถูกต้อง เหมาะสม แยบยล เป็นเบื้องต้น การนั่งเฉยๆแล้วสั่งจิตใต้สำนึก เพื่อร้องขอให้ช่วยน้อมนำ ความสำเร็จที่ต้องการนั้นมาให้ มันไม่มีทางสำเร็จได้หรอก ถ้าท่านไม่ลงมือทำอย่างถูกต้อง อย่างสอดคล้องกับเป้าหมาย ความจริงที่จริงแท้มีอยู่ว่า มนุษย์ทุกคนต้องทำทุกสิ่งอย่าง ผ่าน #จิตสามนึกตนเอง เท่านั้น #จิตใต้สำนึก เขาจะสั่นสะเทือนตามเอง ไม่ต้องสั่งไม่ต้องไปยุ่งกับเขาเลย เพียงท่านสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์รู้สึก กับการนึกคิดผิดถูกดีชั่วมั่วๆกันไป จิตใต้สำนึกเขาก็สั่นสะเทือนตาม เหมือน #รับคำสั่ง ของพวกท่านอยู่แล้ว จะต้องมี NLP กันอีกทำไมให้ผิดบาป NLP เป็นเพียงภาษาที่มนุษย์คิดขึ้น แล้วเรียกว่า "ภาษาจิตประสาท" เพื่อหมายใจว่าจะสื่อสารทางตรง กับ #จิตวิญญาณ ของตัวเอง โดยไม่ต้องใช้ "ภาษาจิตสามนึก" ผ่านการสั่นสะเทือนของจิตหยาบ ซึ่งเป็นการพยายามไม่ใช้จิตสามนึก ทั้งๆที่ตนเองก็เป็นคนสองมิติ ที่ต้องใช้จิตสามนึกร่วมกับจิตใต้สำนึก ในการดำเนินชีวิตประจำวัน จนตลอดชีวิตนี้กันอยู่แล้ว ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า การกระทำมักง่ายแบบแทรกแซง ขั้นตอนการทำงานของจิตสามนึก ร่วมกับจิตใต้สำนึกดังกล่าวนี้ เพื่อใช้พลังอำนาจพิเศษอันลี้ลับ น้อมนำความสำเร็จใดๆมาให้ท่าน โดยไม่สั่นสะเทือนจิตสามนึก เพื่อใช้อำนาจในมิติโลกทางกายภาพ ผ่านหนึ่งสมองกับสองมือสองเท้า เป็นแกนหลักในการกระทำอย่างทุ่มเท มันก็ไม่ต่างจากการที่ท่าน ไปต่อสายไฟตรงกับแบตเตอรี่รถยนต์ เพื่อนำเอาพลังงานไฟฟ้าออกมาใช้ โดยไม่ยอมติดเครื่องยนต์นั่นแหละ ท่านอาจใช้ไฟจากแบ็ตฯได้จริงๆ แต่ใช้ไปเรื่อยๆไฟก็จะอ่อนลงหรี่ลง จนในที่สุดไฟก็จะหมดแบ็ตฯ รถยนต์ก็จะสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติด รถคันนั้นก็เคลื่อนไหวไปไหนๆไม่ได้ เท่ากับว่ารถของท่าน "จอดตายสนิท" มีสภาพดั่งเศษขยะวัตถุเท็คโนโลยี เพราะการติดเครื่องยนต์ของรถ ไม่ต่างจากการสั่นสะเทือนจิตสามนึกเลย ถ้าท่านทำทุกสิ่งในชีวิตประจำวัน ผ่านการกระทำด้วยจิตสามนึก จิตใต้สำนึกเขาก็จะสั่นสะเทือนตาม แปลว่าถ้ารถยนต์ติดเครื่องยนต์ไว้ แล้วใช้พลังงานไฟจากแบ็ตฯนั้น การรีชาร์จคือเติมเต็มส่วนที่ใช้ไป มันก็จะเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง พลังงานไฟในแบ็ตฯก็จะเต็มตลอด ไม่มีอะไรเสียหายไม่ต้องวุ่นวายเลย ดังนั้น ท่านจักต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า ทำไมเราจึงไม่เห็นด้วยกับ NLP ที่อ้างว่าเป็นภาษาแห่งจิตประสาท เหตุผลข้อหนึ่งในหลายๆข้อก็คือ เพื่อนมนุษย์ผู้เป็นต้นคิดสร้างศาสตร์นี้ ยังอยู่ในช่วงทดลองวิจัยวิชาของเขาอยู่ โดยอาศัยคนไม่รู้เป็นดั่งหนูทดลองยา เพื่อค้นหาความจริงว่าแนวคิดของเขา ใช้การได้ดี ไม่มีปัญหาอันใดหรือไม่ ถ้าพบว่ามีปัญหาพวกเขาเองก็จะเลิกใช้ แต่พวกเขาอาจจะไม่เลิกขาย ให้คนอยากลองได้นำมาใช้หรอกนะ เพราะผลประโยชน์ตัวเดียวแท้ๆ ไม่ต่างจากทฤษฎีการจูงใจของฝรั่ง ทุกวันนี้เขาทราบดีแล้วว่า วิธีการจูงใจด้วยอำนาจเหนือ โดยเอารางวัลมาล่อทั้งด้านบวกและลบ มันทำให้ผู้คนไม่รู้ว่าจิตสามนึกคืออะไร มันทำให้ผู้คนยิ่งกิเลสหนาตัณหาเยอะ มันทำให้ผู้คนเห็นแก่ตัวมากกว่าส่วนรวม มันทำให้ผู้คนรักตัวเองและพวกตัวเท่านั้น รักคนอื่นไม่ได้ให้อภัยไม่เป็น ไม่รักส่วนรวม ไม่รักสังคม ไม่รักโลก มันทำให้มนุษย์เป็นเหมือนหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง จะให้คิดทำอะไรต้อง "กดปุ่ม" ป้อนคำสั่งให้ทำอย่างเดียวทำเองไม่เป็น ตอนนี้...ฝรั่งประเทศต้นคิด เขาเลิกใช้กลวิธีจูงใจกันหมดแล้ว มีแต่ประเทศที่ยังล้าหลังกว่าตะวันตก มีแต่ผู้คนในประเทศที่มักง่าย ไม่ยอมใช้สติปัญญาเท่านั้นแหละ ที่อะไรๆก็เอาแต่จูงใจตะบี้ตะบัน ที่ยังใช้ทฤษฎีการจูงใจกันอยู่ จนทำให้โครงสร้างทางจิตใจของผู้คน อ่อนแอปวกเปียกไม่เอาไหน จนจิตสามนึกต่ำลงใกล้สัตว์ประจำโลก ที่ตนเองเอามาเลี้ยงดูเข้าไปทุกทีๆ การจะสร้างหลักสูตรสอนเด็กเพื่อปลูกฝัง ให้รู้จักการใช้จิตสามนึกในตนเองก็ไม่ได้ เพราะผู้ใหญ่เองแท้ๆก็ยังไม่รู้เลยว่า จิตสามนึกกับจิตใต้สำนึกมันคืออะไร จิตสามนึกกับจิตใต้สำนึกต่างกันอย่างไร มันทำงานร่วมกันอย่างไร ทุกวันนี้จึงเรียก #จิตสามนึก ว่า #จิตใต้สำนึก กันอยู่ตลอดมา นอกจากนั้น แทนที่จะช่วยกันคิดค้นหาหรือใส่ใจว่า ภาษาจิตสามนึกที่ควรทำผ่านจิตหยาบ อันเป็นภาษาจิตประสาทเหมือนกัน ที่มันจะสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของตน ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตหยาบได้น่ะ ควรจะเป็นเช่นไร แบบไหน กลับไม่ยอมใส่ใจที่จะทำ กลับไม่ยอมใส่ใจที่จะรับฟังเรา พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย การที่ใครบางคน ไม่คิดจะลงมือทำด้วยจิตสามนึก แต่จะหลอกใช้จิตใต้สำนึกให้ทำแทน โดยสะเดาะกุญแจเข้าไป เพื่อหาทางใช้พลังอำนาจของแก่นแท้ ด้วยกระบวนการผิดธรรมชาตินั้น ก็มิใช่เรื่องง่ายดายนักหรอกนะ จะได้ผลจริงก็แค่บางเรื่องเท่านั้น แต่มันไม่คุ้มค่ากันกับการทำร้าย จิตวิญญาณตนเองให้เสื่อมพลังหรอก บางคนเมื่อไปเรียนวิธีสั่งจิตใต้สำนึกแล้ว กลับมาทำธุรกิจการงานของตนแต่เดิม แล้วเกิดประสบความสำเร็จขึ้นมาทันตา จึงเข้าใจว่าผลมาจากการสั่งจิตใต้สำนึก จนพากันหลงไหลในมายาศาสตร์ กับเจ้าลัทธิกันเป็นการใหญ่ นี่แน่ะ...เราจะบอกความจริงให้ 1.อบรมมาแล้วมิได้สำเร็จทุกคนดอกนะ 2.คนที่กลับมาแล้วสำเร็จทันตา ร่ำรวยขึ้นมาทันใจน่ะ มันมาจากการที่โครงสร้างทางจิตใจ หายไปจาก #การอ่อนแอ บ้างแล้ว 3.ความอ่อนแอของท่านเองต่างหาก ที่ทำให้คนเก่ง คนฉลาด และคนพร้อม อันเป็นคุณสมบัติดีๆที่ท่านมีอยู่ มันถูกนำออกมาใช้สร้างความสำเร็จ สร้างความร่ำรวยให้ท่านไม่ได้เต็มพลัง เพราะท่านเป็นคนกลัวๆกล้าๆ เพราะท่านขาดความมั่นใจในสิ่งที่ทำ เพราะท่านขาดความเชื่อมั่นในตนเอง เพราะท่านขาดความกล้าตัดสินใจ ความกลัว ความไม่เชื่อมั่น ความไม่มั่นใจ ทั้งสามสิ่งนี้ไงท่าน คือ #ความอ่อนแอไม่เอาไหน ท่านจึงต้องไปเสียเงินแพงๆ เพื่อไปเอาความอ่อนแอทั้งสามนี้ ออกไปจากจิตใจท่าน ทั้งๆที่ตัวท่านอ่อนแอ ก็เพราะท่านใส่ระหัสปิดล็อคตนเองไว้ เวลาจะถอดออกก็เอาออกเองได้ ไม่เห็นจะต้องให้ใครช่วยเอาออกให้ ไม่จำเป็นจะต้องจ่าย ค่าซื้อความฉลาดเลยสักบาทด้วยซ้ำ ท่านสังเกตสิ ตลอดหลักสูตรอบรมจำพวกนี้ ฝรั่งจะชี้นำให้ท่านคิดบวกต่อตนเอง ฝรั่งจะสอนให้ท่านมองคนที่แย่กว่า ฝรั่งจะสอนให้ท่านรู้สึกว่าทำสำเร็จแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่รู้วิธีที่จะทำให้สำเร็จ และในโลกของความจริง ท่านก็ยังพิชิตความสำเร็จนั้นไม่ได้ด้วย การที่ฝรั่งเขาสอนสั่งให้ท่านทำแบบนี้ ก็เพียงแค่ผลลัพธ์เดียวเท่านั้น คือ #ปลุกเร้าความเชื่อมั่นในตนเอง ให้คนฉลาด คนเก่ง และคนมีไฟเช่นท่าน เกิดการลุกโชติช่วงชัชวาลขึ้นมา นี่แหละ... เบื้องหลังความสำเร็จหลังผ่านการอบรม ด้วยเงินทองมากมายซึ่งน่าเสียดายยิ่ง เพราะแท้จริงนั้นท่านสำเร็จได้อย่างทันตา ก็ด้วยการสามารถทำลาย ความอ่อนแอในจิตใจตนเองลงได้แท้ๆ หาใช่ปาฏิหาริย์แห่งจิตใต้สำนึกไม่ ท่านทั้งหลายยังต้องรู้อีกว่า เหตุในการบรรลุเป้าหมายของมนุษย์ เช่น ความสำเร็จ ความร่ำรวยมั่งคั่งนั้น มันต้องได้มาจากทั้งสองจิตร่วมกันสั่น เพราะมนุษย์เป็นคนสองมิติ โดยใช้จิตสามนึกเป็นแกนนำ จะมีจิตใต้สำนึกคอยเป็นผู้รับใช้ท่านเอง ให้ท่านระวังจิตตปัญญาไว้ อย่าให้นึกชั่ว คิดชั่ว นึกผิดคิดบาป จิตใต้สำนึกจะทำผิดบาปตามไปด้วย ความซวยจะเป็นของจิตวิญญาณ ผู้เป็นตัวตนแท้จริงของท่านเอง ซึ่งเป็นผู้ข้ามมิติมาเกิดเป็นมนุษย์นี่แหละ จงอย่าอวดเก่งหลงตนเองว่าเจ๋ง หลงว่าทำรวยทำสำเร็จได้เอง ด้วยความสามารถทางปัญญา จงอย่าอวดว่าตนเฮง หลงว่าทำรวยทำสำเร็จได้เอง ด้วยอำนาจวาสนาอีกบุญญาจากอดีตชาติ ท่านต้องอาศัยปัจจัยทุกด้าน ทั้งทางโลกและทางจิตวิญญาณ ทั้งการกระทำที่ฉลาดและกล้าหาญ ทั้งบุญกุศลที่เคยก่อไว้หนุนนำ จะบอกว่าไหนสำคัญกว่าไม่ได้หรอกนะ เพราะมันสำคัญเท่ากันทั้งหมดเลย จะขาดอันใดสักอย่างนั้นไม่ได้แน่นอน เอเมน สาธุ ป.วิสุทธิปัญญา 22-07-2017

21 กรกฎาคม 2560

จิตใต้สำนึก 9



#อภิปรัชญา
Meta-physics
***************
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

พลังอำนาจของ #จิตใต้สำนึก นั้น
เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลาย
ต่างได้สัมผัสและเผชิญกันมาตั้งแต่เด็ก
โดยที่ท่านทั้งหลายอาจไม่รู้ว่า
เหตุการณ์ สถานการณ์ทั้งหลายในชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านร้าย
ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือล้มเหลว
เป็นผลมาจากพลังแห่งจิตใต้สำนึกด้วย
มิใช่เป็นผลจากการกระทำในมิติโลก
แต่เพียงด้านเดียวหรอกนะท่าน

การที่ท่านมีเพื่อนที่ดีๆอยู่รอบข้าง
ก็จงอย่าคิดว่าเป็นความบังเอิญของชีวิต
แท้จริงแล้วท่านเองต่างหากที่เป็นคนดี
ซึ่งมีความปรารถนาจะคบคนดีๆเป็นเพื่อน

#จิตใต้สำนึกจึงใช้พลังทางวิญญาณ
ไปควานหาคนดีๆในแบบที่ท่านถือปฏิบัติ
เราขอย้ำอีกครั้งว่า....
จิตใต้สำนึกจะแสวงหา
#คนดีๆในแบบที่ท่านถือปฏิบัติ เท่านั้น

กล่าวคือ
ถ้าท่านหมั่นประพฤติดี
จิตใต้สำนึกก็จะไปเหนี่ยวรั้งคนดีมาให้
ถ้าท่านหมั่นประพฤติไม่ดี
จิตใต้สำนึกก็จะไปแสวงหาคนไม่ดีมาให้

เพราะจิตใต้สำนึกคิดรู้เองไม่ได้ว่า
ความประพฤติของท่านนั้นมันดีหรือชั่ว
ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเรื่องนั้นท่านต้องการหรือไม่

#จิตใต้สำนึกมีหน้าที่เดียวเท่านั้น
#คือปฏิบัติตามหรือคล้อยตามจิตหยาบ
#เพื่อน้อมนำสิ่งที่จิตหยาบสั่นสะเทือนมาให้
#เพื่อให้เกิดผลลัพธ์แบบเดียวกัน
#ในมิติจิตวิญญาณด้านของแก่นแท้

#จิตใต้สำนึก
จะดึงดูดเหนี่ยวรั้งคนๆนั้นมาให้ท่าน
ให้เข้ามาเป็น #เพื่อนคนใหม่
ให้เข้ามาเป็น #บริวารคนใหม่
ให้เข้ามาเป็น #หุ้นส่วนคนใหม่
ให้เข้ามาเป็น #ลูกค้ารายใหม่ๆ
เหล่านี้...เป็นต้น

ดังนั้น
ท่านจึงต้องรู้ว่าเมื่อใดก็ตาม
ที่จิตหยาบสั่นสะเทือนทางจิตสามนึก
เกิดเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดใดๆขึ้นมา
ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ต้องการ
จิตใต้สำนึกจะแปลว่า #ต้องการ เสมอ
เขาก็จะไปน้อมนำสิ่งนั้นมาสู่ชีวิตท่าน
ท่านจะได้รับได้เผชิญสิ่งนั้นไม่ช้าก็เร็ว

ท่านทั้งหลายจึงต้องสำรวมระวังจิตไว้
อย่าได้จิตตกง่ายๆเมื่อถูกยั่วยุ
อย่าสั่นไหวจิตใจไปในทางลบเด็ดขาด
ความเคยตัวเคยชินด้านลบของท่าน
เท่ากับเป็นการร้องขอต่อจิตใต้สำนึก
ให้น้อมนำสิ่งไม่ดีทั้งหลายมาให้ท่าน
ทั้งๆที่ท่านมิได้ต้องการเลยสักนิด

ถ้าเกลียดไหนก็จะได้นั่น
เกลียดมากก็เร่งวันเร่งคืนจะได้พบเจอ

ถ้ากลัวอะไรก็จะได้เจอสิ่งนั้น
กลัวผีจะได้เจอผี ไม่กลัวผีไม่เจอผี

ดังนั้น
ถ้าท่านคิดถึงพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ด้วยการหมั่นทำสามเหลี่ยมกับพระองค์
ผ่านมาทางเราทุกเพรางาย (ตลอดวันคืน)
จิตวิญญาณโดยจิตใต้สำนึกของท่าน
ก็จะสามารถขึ้นไปกราบพระบาทได้
อันเป็นที่หมายสุดท้ายคือ #แดนนิพพาน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-07-2017

20 กรกฎาคม 2560

2 ดวงแก้ว

2 ดวงแก้ว

อาวุธประจำกายของนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

กับการป้องตนให้ผ่านพ้นมหันตภัยพิบัติ

****************************************

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

อันดวงแก้วทั้งสองนี้สำคัญทั้งคู่

เพราะจะทำตกหล่นดวงใดดวงหนึ่งไม่ได้

จะต้องถือครองไว้ทั้งสองดวงให้มั่นคง


แต่บทนี้เราจะขอกล่าวถึง

เพียงแค่ดวงเดียวก่อน คือ #ดวงมหาสติ

อันประกอบด้วย "สติ" 3 ประการ คือ


1.เป็นผู้รู้สติ

************

^เพื่อการ "ตื่นรู้" อยู่ในปัจจุบันขณะว่า

ตนกำลังสัมผัสรู้ ดู เห็น หรือนึกคิด อะไรอยู่^


จะได้พิจารณาว่าสมควรเรียนรู้มันหรือไม่

สมควรใส่ใจมันหรือเปล่า


^เพื่อการ "จดจำ" ประสบการณ์ในอดีต

ที่เพิ่งผ่านพ้นมาว่าตนได้เผชิญสิ่งใดมา

หรือว่ากระทำอะไรลงไปแล้วบ้าง

จึงบังเกิดผลเชื่อมโยงมาถึงปัจจุบันขณะ^


จะได้พิจารณาหาข้อผิดพลาดบกพร่องของตน

แล้วรีบปรับปรุงแก้ไขให้ทันท่วงที

หรือเพื่อทำความเข้าใจปัญหาในปัจจุบันว่า

มันมีผลสืบเนื่องมาจากอะไร


^เพื่อการ "นึกคิดให้ได้" ว่า

ถ้าตัดสินใจกระทำสิ่งใดในปัจจุบันขณะแล้ว

มันจะเกิดผลลัพธ์ต่อตนเอง

ในวันเวลาต่อไปข้างหน้า (อนาคต) อย่างไร^


จะได้แสดงออกหรือกระทำตอบสนอง

ต่อเงื่อนไขหรือปัญหาใดๆที่กำลังเผชิญอยู่

ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมดีงาม

โดยไม่ก่อเวรเกี่ยวกรรมกับใครๆทั้งสิ้น


2.เป็นผู้มีสติ

*************

^เพื่อการฉลาดรับรู้สู่การฉลาดรับเอา^


หมายความว่า

ทันทีที่สัมผัสรู้ดูเห็นหรือนึกคิดอะไรอยู่นั้น

ท่านจักต้องสามารถบอกตนเองได้ว่า


สิ่งใดควรรับรู้ไว้เพื่อเรียนรู้

สิ่งใดควรรับเอาไว้เพื่อเป็นความรู้ใหม่

ก็ให้เลือกรับรู้และรับเอาไว้ต่อไป


^เพื่อการฉลาดรับรู้สู่การฉลาดไม่รับเอา^


หมายความว่า

เมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นนึกคิดสิ่งใดแล้ว

ก็ให้ครองสติอยู่กับปัจจุบันว่าอะไรเป็นอะไร

อย่าให้จิตใจตกเป็นทาสอารมณ์รู้สึกของตน


ต้องแยกแยะให้ออกว่าไหนสาระไหนไร้สาระ

ไม่รับเอา "อารมณ์" ที่เป็นขยะ

ปล่อยวางสิ่งไร้สาระและอารมณ์ขยะทิ้งไป

เสมือนไก่คุ้ยเขี่ยเศษหินดินทรายทิ้งไป

แล้วเลือกเอาแต่เมล็ดข้าวที่เป็นอาหารไว้เท่านั้น


^เพื่อการฉลาดไม่รับรู้ ฉลาดไม่รับเอา^


หมายความว่า

เมื่อสัมผัสรู้ดูเห็นนึกคิดสิ่งใดแล้ว

ก็ปล่อยให้มันผ่านไป

ไม่ต้องไปใส่ใจในรายละเอียด

เพราะว่าสิ่งนั้นเรื่องนั้น

ท่านเคยเรียนรู้และมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว


เช่น ถ้าท่านใช้ชีวิตอยู่กับคนขี้บ่นขี้โวยวาย

โดยอยู่ร่วมกันมานานนับปีแล้ว

ท่านก็ย่อมรู้แก่ใจว่าคนๆนี้มีนิสัยแบบนี้

เมื่อใดที่ได้ยินคนๆนี้บ่นหรือโวยวาย

ก็ให้ท่านวางเฉยเสียทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ

โดยไม่หยิบมาเป็นเงื่อนไขให้จิตตก


3.เป็นผู้ใช้สติ

**************

หมายความว่า

ก่อนที่ท่านจะพูดหรือกระทำการใดๆ


^ท่านต้องคิดก่อนคิด^

กล่าวคือจะต้องคิดพิจารณาว่า

สิ่งที่ท่านกำลังนึกอยู่นั้น

มันถูกต้องเหมาะสมดีงาม

อันควรจะคิดต่อหรือไม่


^ท่านต้องคิดก่อนพูด^

นั่นคือ เมื่อคิดว่าจะพูดอะไรออกไป

ท่านต้องคิดก่อนว่าสมควรจะพูดหรือไม่


^ท่านต้องคิดก่อนทำ^

นั่นคือ เมื่อคิดว่าจะทำอะไรอย่างไร

ท่านต้องคิดก่อนว่าสมควรทำหรือไม่


ทั้งนี้การคิดก่อนคิด 

คิดก่อนพูด

และคิดก่อนทำนั้น

จักต้องยึดกฎแห่ง 6 ถูก ของ #ปริญญาโมเดล

ซึ่งจะประกอบด้วย 

ถูกคน ถูกที่ ถูกวิธี 

ถูกเวลา ถูกต้อง และถูกใจ


ถ้าถูกครบทั้ง 6 ถูก

ก็สามารถพูดหรือกระทำตามนั้นได้เลย

แต่ถ้าผิดข้อใดข้อหนึ่งใน 6 ข้อนี้

ต้อง "หยุด" อย่าคิดต่อ 

อย่าพูด และอย่าทำไปตามนั้นเด็ดขาด


*พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ลูกแก้วดวง "มหาสติ" ที่ว่านี้


จักช่วยให้ท่านไม่ผลิตสร้างประจุลบ

ให้เป็นขยะที่รกโลก


จักช่วยให้ท่านไม่เป็นเงื่อนไขให้ผู้อื่น

ผลิตสร้างประจุลบให้เป็นขยะที่รกโลก


จักช่วยให้ท่านไม่ก่อกรรมใหม่ๆ

จนเกี่ยวกรรมกับใครต่อใครเขาไปทั่ว

ในชีวิตประจำวัน


จักช่วยให้ท่านเข้าถึง

คุณสมบัติของ "คนพ้นกรรม" ได้ในทันที


นี่ไงล่ะท่าน....

หากท่านสามารถปฏิบัติตามนี้ได้เป็นนิจ

มันคือการชำระจิตของท่านให้ใสสว่าง

โดยไม่ต้องนั่งหลับตา

แล้วทำตัวเป็นแบบไม่อะไรกับอะไร

โดยไม่ได้อะไรๆขึ้นมา

โดยไม่ก้าวหน้าทั้งทางจิตและทางปัญญา

อย่างที่หลายท่านคุ้นเคยและติดพันกันอยู่อีก


มหาสติตามมรรควิถีจิตจักรวาลที่เรากล่าวมานี้

เป็นปฏิบัติการที่เรียกว่า "ธรรมชาติสมาธิ" 

ซึ่งต่างจากวิถีของนักรบแห่งแสงสว่าง

เรากล่าวความจริงเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว

จงเร่งศึกษาทำความเข้าใจ

แล้วเร่งนำไปปฏิบัติกันในชีวิตประจำวันเถิด


เส้นทางนี้แหละ

ที่พวกท่านต้องก้าวเดินอย่างองอาจ

อย่าเหลาะแหละโลเลอยู่อีกเลย


เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

18-07-2017

มรรควิถีแห่งจิตจักรวาล


พี่น้องที่รัก <3 แห่งเราทั้งหลาย

อันมรรควิถีแห่งจิตจักรวาล
ที่จะนำพาท่านมุ่งสู่แดนพระนิพพานนั้น

#เราเน้นที่การชำระจิตให้ใสเป็นเบื้องต้น
#เน้นที่การสร้างใจให้สวยเป็นเบื้องกลาง
#เน้นที่การมีจิตว่างจากสุญญตาเป็นเบื้องปลาย

โดยทุกลมหายใจเข้าออกในยามจิตตื่น
ท่านสามารถสั่นสะเทือนจิตตปัญญา
เพื่อสามสิ่งที่กล่าวนี้ได้
ด้วยการครองดวงแก้ว 2 ดวงไว้ให้มั่น
คือ "มหาสติ" กับ "ปณิธานแห่งนิพพาน"
เพื่อการเริ่มที่จิตสัมฤทธิ์ที่กาย
ในบทบาทของมนุษย์แห่งโลกเสรี
โดยมิพักต้องมีลีลาอุตริพิสดารใดๆทั้งสิ้น

*แม้ร่างกายภายนอกของท่าน
จะแต่งองค์ทรงเครื่องรูปแบบไหน
ให้แลดูงามสง่าน่าเลื่อมใสในความขลัง
แต่ถ้าท่านยังไม่สามารถเข้าถึง
การแต่งจิตใจข้างในตนเองได้แล้ว
ตัวท่านก็คงไม่ต่างจากผลมะเดื่อที่แลดูดี
แต่มีแมลงหวี่เข้าไปอยู่ข้างใน
รอวันจะเน่าสลายไปในที่สุดนั่นแหละ

*แม้ว่าตัวท่านจะขนย้ายตนเอง
ออกจากบ้านที่ในเมือง
เพื่อปลีกหนีความวุ่นวาย
หลบมุมไปอยู่ในพงไพรพนา
ซึ่งแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติแห่งขุนเขา
กับราวป่าอันรื่นรมย์สงบเย็น
เพื่อบอกตนเองว่าไป "ปฏิบัติธรรม"

แต่ถ้าท่านยังมิอาจเข้าถึง
การชำระจิตใจให้ใสสวยได้
แม้ไปอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมสวยๆชั่วคราว
มันก็เป็นประโยชน์ต่อการชำระจิตท่านไม่ได้

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การบวชที่แท้จริงนั้นต้องบวชที่จิตมิใช่ที่กาย

ดังนั้น
การปฏิบัติธรรมแท้จริงจึงปฏิบัติที่บ้านก็ได้
ถ้าหมายถึงการมุ่งชำระจิตใจให้ใสสวย
โดยอาศัยบุตรบริวารในครอบครัว
ช่วยเป็นครูผู้ออกแบบ
บททดสอบสภาวะจิตรายวันให้แก่ท่าน

ทดสอบการละวางโทสะ
ทดสอบการละวางโลภะ
ทดสอบการละวางโมหะ

ทดสอบความอดทน อดกลั้น ให้อภัย
ทดสอบความฉลาดทางปัญญา
ทดสอบความเป็นอุเบกขา

ในบริบทของ "ตนเป็นที่พึ่งตนเอง"
ไม่พึ่งป่า ไม่พึ่งขุนเขาแวดล้อม
ไม่พึ่งพิธีกรรม ไม่พึ่งความงมงาย
ไม่พึ่งเจ้าลัทธิทั้งหลาย
โดยให้เน้นที่การพึ่งจิตตปัญญาของตนเอง

ไม่หนีครอบครัว ไม่หนีสังคม
ไม่หนีปัญหา ไม่หนีความรับผิดชอบ
ไม่หนีความทุกข์ยากแร้นแค้น
แม้จะเป็นการชั่วคราวก็ตาม

ด้วยการเสมือนโทษสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ว่า
เป็นตัวการให้จิตใจท่านไม่ใสสวย
หากปลีกตัวออกไปเสียได้จิตใจจะเป็นสุข
ซึ่งท่านเองก็พบความจริงแล้วว่า
มันมิใช่อย่างที่ท่านคิด

อยู่ที่ไหนก็ทุกข์ใจได้เสมอ
ถ้าจิตใจท่านมันไม่สงบ

เชื่อเถอะ....เปลี่ยนวิธีคิด
วิถีชีวิตท่านจะเปลี่ยน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-07-2017

พระบิดาทรงโปรดเวไนย (ภาค10)



#อภิปรัชญา
พระบิดาทรงโปรดเวไนย
*************************
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พระบิดาทรงกำหนดสร้าง
เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ซึ่งเป็นกายหยาบ หรือ "กาย-ยา" ขึ้นมา
เพื่อให้จิตวิญญาณของท่านเข้ามาใช้
ในการทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6
บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้

โดยหน้าที่ในพันธะสัญญาทั้ง 6 ข้อ
ถ้าจะบรรลุผลสำเร็จได้นั้น
พวกท่านทุกคนจักต้องเข้าถึง
อำนาจสูงสุดในตนเอง
เท่าที่สามารถจะเข้าถึงได้ 3 อย่าง คือ

1.#ความฉลาดทางอารมณ์
2.#ความฉลาดทางปัญญา
3.#ความฉลาดทางสังคม

#องค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ทรงมีแนวทางปฏิบัติสำหรับมนุษย์แต่ละคน
เพื่อยกระดับพลังอำนาจสูงสุดทั้งสามด้าน
รวม 2 ประการร่วมกัน คือ

1) เรียนรู้จากประสบการณ์จริงของตนเอง
ที่ฝรั่งเรียกว่า Learning by Doing.

2) เรียนรู้จากประสบการณ์ผ่านผู้อื่น
แบบ "ลิงเห็น ลิงทำ" ที่ฝรั่งเรียกว่า 
Monkey See Monkey Do.

ดังนั้น
ในชีวิตจริงของท่านทุกๆคน
จึงต้องเผชิญความจริงอยู่ 2 ประการคือ

#ประการแรก
มนุษย์ทุกคนต้องมีผู้อื่นเป็นครู
เพื่อการสอนให้รู้และเลียนแบบตามอย่าง
โดยมีตนเอง #เป็นครูคนแรก
ที่จะสอนตนเองว่าควรจะเรียนรู้อะไร
ไม่ควรไปเสียเวลาเรียนรู้อะไรในขณะนั้น

และมีตนเอง #เป็นครูคนสุดท้าย
ที่จะสรุปความรู้นั้นเพื่อเก็บไว้เป็นบทเรียน
หรือเพื่อสร้างความก้าวหน้าให้ตนเองต่อไป

#ประการที่สอง
ทุกคนจึงต้องถูกทดสอบด้วยบททดสอบ
เพื่อเรียนรู้บทเรียนโลกแบบต่างๆ
ในอันที่จะยกระดับความฉลาดทั้งสามด้าน
อันเป็นพลังอำนาจสูงสุดในการเป็นมนุษย์
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในพันธะสัญญา 6
และเป้าหมายในชีวิตของท่านควบคู่กันไป

ท่านจะสังเกตได้ว่าตั้งแต่เด็กจนโต
ท่านต้องมีพ่อแม่ครูอาจารย์อบรมสอนสั่ง
เพื่อให้ท่านเป็นคนฉลาดเฉลียว 
เป็นคนเก่งและเป็นคนดีศรีสังคม

ในขณะที่ตัวท่านก็ยังต้องพัฒนาตนเอง
ด้วยการเผชิญกับปัญหาทางอารมณ์
ที่บุคคลแวดล้อมรอบข้างตัวท่าน
ไม่ว่าคนที่ท่านรักหรือคนที่รักท่าน
ไม่ว่าคนที่ท่านรู้จักหรือว่าคนแปลกหน้า

พวกเขาจะพากันยื่นเงื่อนไขทั้งบวกและลบ
เพื่อใช้ทดสอบอารมณ์ของท่าน
ในยามที่ท่านพลั้งเผลออยู่เนืองๆ
ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยยกระดับความอดทน 
อดกลั้นและการให้อภัยผู้อื่นแก่ท่านนั่นเอง
จนกว่าท่านจะวางเฉยได้เมื่อถูกยั่วยุ
ซึ่งเป็นสภาวะจิตขั้นสูงสุด คือ #อุเบกขา

นอกจากนั้นพระบิดายังทรงมีพระเมตตา
ยอมให้โลกนี้มีคนที่ต่ำต้อยด้อยกว่าท่าน
ยอมให้โลกนี้มีคนที่ชะตากรรมย่ำแย่กว่าท่าน
ยอมให้โลกนี้มีคนที่ทุกข์ยากลำบากกว่าท่าน
เข้ามาอยู่ในท่ามกลางสังคมแวดล้อมตัวท่าน
เพื่อช่วยเป็นเงื่อนไขด้านบวกให้ท่าน
ได้สั่นสะเทือนจิตใจเป็นเมตตา กรุณา 
มุทิตา และ อุเบกขา ตามลำดับ

ดังนั้น
เมื่อท่านเห็นคนที่แย่กว่าท่าน
เขาคนนั้นก็เป็นดั่งครูผู้มาช่วย
ยกระดับสภาวะจิตด้านบวกให้ท่าน

ท่านจงอย่าได้ตั้งแง่รังเกียจเหยียดหยาม
หรือว่าทำเป็นมองข้ามอย่างไม่แยแสเลย
เพราะนั่นเท่ากับว่าตัวท่านนั้น
ได้ทำลายโอกาสดีๆของตัวเองไปเสียแล้ว

ขณะเดียวกัน
เมื่อท่านเห็นคนอื่นที่เขามีดีกว่าท่าน
เขาคนนั้นก็เป็นดั่งครูผู้มาช่วย
ยกระดับสภาวะจิตด้านบวกให้ท่านเช่นกัน

จงอย่าอิจฉาตาร้อนเขาถ้าเขามีสิ่งที่ดีกว่า
แต่ท่านจงร่วมแสดงความยินดีไปกับเขา
ในสิ่งที่ดีกว่าที่เขามีแต่ตัวท่านเองไม่มี

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือ แผนการ
ยกระดับความฉลาดทางอารมณ์ให้ท่าน
พระองค์ยอมให้ท่านผลัดกันทดสอบอารมณ์
ด้วยการสร้างปัญหายั่วยวนกวนอารมณ์
ให้แก่กันและกันทันทีที่มีโอกาส

#แผนพัฒนาความฉลาดทางปัญญา
สำหรับมนุษย์โลกเสรีนี้ก็เช่นกัน

นอกจากจะมีสถานศึกษาในระบบ
ให้ท่านทั้งหลายได้เข้าเรียนกันแล้ว
โลกซึ่งเป็นสถานศึกษาขนาดใหญ่
ก็ยังมีกลไกปฏิบัติการช่วยเหลือท่าน
ให้ได้เผชิญปัญหาน้อยใหญ่
ภายในชีวิตประจำวัน
เพื่อให้ท่านฉลาดคิดตัดสินใจ

นอกจากนั้น
พระองค์ยังทรงยอมให้ท่าน
ผลัดกันทดสอบพลังอำนาจทางปัญญา
ด้วยการผลัดกันสร้างปัญหาให้แก่กัน
เพื่อให้ท่านใช้ปัญหานั้นๆ
ยกระดับความสามารถทางปัญญา
ให้สูงขึ้นๆไปเรื่อยๆ

ดังนั้น...ท่านทั้งหลาย
จึงไม่ควรเกลียดกลัวปัญหา
จึงไม่ควรโกรธแค้นผู้สร้างปัญหา
จึงไม่ควรต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้าน
คนที่หยิบยื่นปัญหามาให้ท่าน
เพราะผู้คนเหล่านั้นเป็นครู
ที่พระบิดาทรงโปรดส่งมาช่วยท่าน
ให้เกิดการยกระดับทางปัญญา
จนกว่าจะถึงที่สุดนั่นเอง

ปัญหาเล็กๆน้อยๆจะช่วยเหลือท่าน
ให้ฉลาดทางปัญญาและอารมณ์ได้น้อย

ปัญหายากและใหญ่จะช่วยเหลือท่าน
ให้ฉลาดทางปัญญาและอารมณ์ได้มาก

หากชีวิตท่านไม่มีปัญหาใดๆเลย
ความฉลาดทางปัญญาและอารมณ์
ก็จักไม่ได้รับการพัฒนาสภาวะ
ซึ่งนับว่าเกิดมาแล้วโชคร้ายแท้

หากท่านโกรธเกลียดเคียดแค้นอาฆาต
คนที่เข้ามาสร้างปัญหาชีวิตให้แก่ท่าน
โดยรักไม่ได้ให้อภัยทานก็ไม่เป็น
ทั้งๆที่รู้ความจริงอย่างนี้แล้ว
ก็นับว่าเสียชาติเกิดโดยแท้

#แผนพัฒนาความฉลาดทางสังคม
สำหรับมนุษย์โลกเสรีนี้ก็เช่นกัน
พระบิดาทรงยอมให้มนุษย์แต่ละคน
มีความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย
เพื่อให้พวกท่านเรียนรู้ที่จะ "ยอม"
ในสิ่งสำคัญต่อการอยู่ร่วมกัน 
รวมทั้งสิ้น 3 อย่าง คือ

1.ยอมรับ (To Live)
2.ยอมรัก (To Love)
3.ยอมร่วม (To Learn)

ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้
เป็นสัจธรรมซึ่งรวมธรรมะสามระดับ
คือ โลกิยธรรม โลกุตรธรรม
และอนุตรธรรมเข้าไว้ด้วยกัน
สำหรับท่านที่ปรารถนาจะกลับบ้าน
คือ หลุดพ้น หรือนิพพานในชาตินี้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-7-2017

17 กรกฎาคม 2560

จิตใต้สำนึก 8



ตอบคำถาม: Nui Diamond
************
กราบพระบาทพระบิดา 
กราบท่านอาจารย์ 

ลูกได้ดูทีวีรายการหนึ่ง
ที่สัมภาษณ์ชายคนหนึ่งที่มีประวัติ
การใช้ชีวิตที่เหลวแหลก 
กินเหล้า เล่นการพนันจนมีหนี้สิน 
ทั้งๆที่ตัวเองก็ได้รับความทุกข์ใจในสมัยเด็ก 
เนื่องจากพ่อทุบตีแม่ของเขาบ่อยๆ 
แต่เขากลับทำตามอย่างที่พ่อทำ 
คือเขาทำร้ายทุบตีภรรยาทุกคนที่อยู่ด้วย 
ครอบครัวแตกแยก 

จนกระทั่งเขาได้ไปอบรมที่ใช้วิธีสะกดจิต 
ณ ขณะที่จิตอยู่ในภวังค์ 
เขาได้คำตอบว่าทำไมพ่อจึงทุบตีแม่ 
และทำไมแม่จึงทิ้งเขาไป 

หลังจากอบรม เขาเปลี่ยนความประพฤติ 
ขยันทำมาหากิน เลิกเหล้าและการพนัน 
ไม่ทำร้ายภรรยา ปัจจุบันเขามีชีวิตที่มีความสุข 
จึงนำการสะกดจิตมาสอนคน
โดยไม่คิดค่าตอบแทน 
เพื่อให้คนอื่นมีชีวิตที่ดีขึ้น 
รวมทั้งสอนเด็กๆตามโรงเรียนด้วย 

ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า
Question 1
*************
#การสะกดจิต
เป็นการสั่งจิตใต้สำนึกใช่หรือไม่คะ

Answer
*********
การสะกดจิตมี 2 แบบ คือ
การสะกดจิตตนเอง กับคนอื่นเป็นผู้กระทำ

#การสะกดจิต
เป็นการใช้พลังอำนาจจิตที่เหนือกว่า
เข้าควบคุมจิตหยาบให้ตกอยู่ในภวังค์
หรือให้อยู่ในสภาวะขาดสติชั่วคราว
เพื่อใช้พลังจิตที่เหนือกว่านั้น
ติดต่อสื่อสารกับ "เมอร์คขะบาห์"
ที่ท่านทั้งหลายเรียกว่า 
#จิตใต้สำนึก นั่นเอง

เพราะถ้าจิตหยาบยังรู้สติอยู่
นักสะกดจิตก็จะไม่สามารถ
ติดต่อกับจิตวิญญาณผ่านจิตใต้สำนึกได้
การสะกดจิตจึงเป็นการทำให้จิตหยาบ
เกิดอาการ "ไร้สติ" เหมือนเลื่อนลอย
หรืออยู่ในสภาวะจิตที่อ่อนแอชั่วคราว

เมื่อสามารถข้ามผ่านจิตหยาบ
หรือ "จิตสามนึก" เข้าไปได้แล้ว
นักสะกดจิตก็จะสื่อสารกับจิตวิญญาณ
ของผู้ที่ถูกสะกดจิตนั้นได้
โดยผู้ทำหน้าที่ตอบคำถามที่อยากรู้
ก็คือ "พลียะเดี้ยนส์" ของผู้ถูกสะกด
มิใช่จิตวิญญาณที่เป็นแก่นแท้หรอก
เขาจะเล่าให้ฟังด้วยการตอบคำถามนั้นๆ
เท่าที่สามารถจะเปิดกรรมตนเอง
ให้พวกนักสะกดจิตรู้จะได้บอกต่อ
คนที่ถูกสะกดว่าอะไรเป็นอะไร

ถามว่า
ทำไม "พลียะเดี้ยนส์" จึงยอมเปิดเผย
บุรพกรรมของตนให้ได้รู้
ก็เพราะเหตุว่าพลียะเดี้ยนส์
ซึ่งเป็นเสมือนพระพี่เลี้ยงของแก่นแท้นั้น
ปรารถนาจะกลับบ้านหรือนิพพานมาก
ถ้าแก้กรรมไม่หมดบททดสอบไม่ผ่าน
วัฏฏสังสารก็มิอาจสิ้นสุด
จิตวิญญาณของตนก็จักหลุดพ้นไม่ได้

ดังนั้น
การสะกดจิตจึงมิใช่การสั่งจิตใต้สำนึก
แต่เป็นการสร้างสัมพันธ์กับจิตใต้สำนึก
โดยมีพลียะเดี้ยนส์ของคนๆนั้นเป็นสื่อ

เพราะพลียะเดี้ยนส์
เป็นตัวแทนของแก่นแท้ของมนุษย์
ส่วนจิตใต้สำนึกก็เป็นที่เก็บรหัสกรรม
ของจิตวิญญาณของมนุษย์นั่นแหละ

Question 2.
*************
หากการสั่งจิตใต้สำนึกอย่างกรณีชายผู้นี้
เพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดีเป็นดีนั้น
สมควรทำหรือไม่คะ 
มีข้อดี ข้อเสียอย่างไรคะ

Answer:
*********
1.เราตอบแล้วว่าการสะกดจิต
มิใช่การสั่งจิตใต้สำนึก

2.การที่พลียะเดี้ยนส์ของผู้ถูกสะกดจิต
บอกความลับเบื้องหลังมิติโลก
ซึ่งเป็นบุรพกรรมทำบาปของจิตวิญญาณ
ให้นักสะกดจิตและเจ้าตัวผู้ถูกสะกดรู้แล้ว
ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงนิสัยแก้ไขสันดาน
ที่เคยกระทำผิดบาปไว้เมื่อในอดีตชาติ
มันมิได้เกิดจากการเข้าไปสั่งจิตใต้สำนึก
ของคนๆนั้นโดยอำนาจของนักสะกดจิต
เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรอก
มันเป็นไปไม่ได้พันเปอร์เซ็นต์

แท้แล้วการสะกดจิตก็ทำเพื่อสื่อกับแก่นแท้
ให้ได้รู้แน่ๆว่าคนๆนั้น "ติดกรรม" อะไรอยู่
เมื่อเจ้าตัวผู้นั้นโดยจิตหยาบรู้ความจริงเข้า
ก็จะรีบเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเองทันที

เพราะจิตหยาบเป็นตัวแทนของแก่นแท้
ความผิดบาปของจิตวิญญาณในอดีตชาติ
#จิตหยาบ จึงต้องรับผิดชอบแทนทุกเรื่อง
ด้วยการคิดใหม่ทำใหม่ตัดสินใจให้ถูกต้อง
บาปกรรมนั้นๆจากอดีตจึงจะเป็นโมฆะได้

พระบิดาทรงอนุญาตให้มนุษย์บางคน
ได้พบเจอนักสะกดจิตเพื่อกรณีเช่นนี้ได้
เมื่อทรงเห็นว่าถึงเวลาที่เขาพึงได้รับโอกาส
เพราะเขาได้รับบทเรียนโลกกรณีกรรมนั้น
มานานเนิ่นพอสมควรแก่กาลแลกรรมแล้ว

3.นักสะกดจิตผู้สามารถหามิได้ง่ายๆหรอก
เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ
ท่านไม่ต้องรอโอกาส
ท่านไม่ต้องรอนักสะกดจิตหรอก

ถ้าปรารถนาจะใช้จิตมนุษย์ของตนเอง
ช่วยเหลือจิตวิญญาณของท่านให้สิ้นกรรม
ก็ให้ท่านปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันให้ได้
ตามที่เราจะกล่าวไว้ดังต่อไปนี้

1) รักคนที่ทำตนไม่น่ารักให้ได้
2) ให้อภัยกับทุกคนโดยไม่มีเงื่อนไข
3) คิดก่อนที่จะพูดจะทำทุกสิ่งกับทุกคน
ว่ามันถูกครบ 6 ถูกตาม #ปริญญาโมเดล มั้ย
คือ ถูกคน ถูกที่ ถูกวิธี ถูกเวลา ถูกต้อง
และ ถูกใจทั้งเขาและเรามั้ย?

ถ้าผิดข้อใดข้อหนึ่งในหกข้อนี้
ก็อย่าพูดอย่าทำเด็ดขาด
ท่านจะสอบตกบททดสอบจิตสามนึกทันที

การสอบตกนี่แหละ...คือ "ติดกรรม"
ถ้าติดกรรมจิตวิญญาณท่านก็ยังติดภารกิจ
ถ้ายังติดภารกิจตายไปก็ต้องกลับมาใหม่
เพื่อใช้โอกาสจัดการภารกิจนั้นให้เสร็จสิ้น
มิเช่นนั้นแล้วอายุยืนนานก็นิพพานไม่ได้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17-07-2017

16 กรกฎาคม 2560

#พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ #ทรงโปรดเวไนย (ภาค 9)



#พระบิดาทรงโปรดเวไนย
***************************
พี่น้องที่รัก <3 แห่งเราทั้งหลาย
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาล
เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การที่ท่านปรารถนาจะเป็นคนดี
ด้วยการพยายามประพฤติดีนั้นชอบแล้ว
แต่การประพฤติดีของท่าน
#มันต้องดีแบบไม่โง่ไม่งมงายด้วย

เพราะการทำความดีงาม
โดยไม่รู้ว่าที่มันดีนั้นดีอย่างไร
ได้แต่ทำไปตามที่เขาสอนสั่งกันมาว่าดี
มิได้ทำความดีด้วยความมีสำนึก
ในผิดบาปดีชั่วด้วยสติปัญญาของตัวเอง
ก็ยังจะเป็นคนดีที่แท้จริง
บนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้งไม่ได้
ก็ยังจะบรรลุมรรคผลสูงสุดไม่ได้

แม้จะเคร่งครัดถือศีลจนวันตาย
จิตวิญญาณของท่านก็ยังกลับบ้านไม่ได้
เพราะยังไม่ผ่านการเรียนรู้บทเรียนโลก
ด้วยการสั่นสะเทือนทางจิตตปัญญา
ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานของจิตสามนึก
ร่วมกับสมองสองซีกให้เป็นนั่นแหละ

<3 ตัวอย่างเช่น
เมื่อเจ้าลัทธิสั่งการเอาไว้ว่า....
#ห้ามกินไข่ไก่นะเพราะว่ามันบาป

ท่านสาวกก็เลยไม่กินตามที่เขาสั่งห้าม
โดยไม่เคยคิดต่อเพื่อถามเหตุผล
จากคนที่ออกคำสั่งตั้งกฎกติกาเลยว่า
ทำไมเขาจึงห้ามสาวกกินไข่
มันผิดบาปจนไม่ควรกินเพราะอะไร
แถมยังเชื่อตามอย่างเคร่งเครียด
พอเห็นใครเขากินไข่ไก่
ก็ตั้งแง่รังเกียจคนอื่นเขาอีกต่างหากด้วย

พอถูกคนนอกลัทธิถามกลับว่า
ทำไมลัทธิเธอเจ้าลัทธิห้ามกินไข่ไก่
สาวกเองก็ตอบคำถามนี้ไม่ได้
ได้แต่อ้างว่า #รับธรรมะจากเบื้องบน มา

เราถามจริงๆเถอะเธอ
เธอน่ะรับธรรมะจากเบื้องบน
หรือรับปากกับเจ้าลัทธิของเธอกันแน่
เพราะถ้า #รับธรรมะ ต้องรับจากเบื้องบน
แล้วเธอเชื่อได้ไงว่าเบื้องบนสั่งมาจริง
แต่ถ้า #รับปาก ก็แค่รับกับเจ้าลัทธิ
ผู้เดินดินกินข้าวแกง ณ เบื้องล่างนี่เอง
เธอจะเชื่อตามเจ้าลัทธิแล้วยึดติด
จนลืมหยิบปัญญามาพิจารณาไม่ได้

มันกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าก็ตรงที่
พอถูกถามว่า "กินไข่" ไม่ได้เพราะอะไร
สาวกหลายท่านก็เอาความคิดส่วนตัว
มาโฆษณาชวนเชื่อให้คนทำดี
ด้วยการงดเว้นการกินไข่เสียทันที
คำตอบชวนเชื่อมีว่าดั่งนี้

1.ห้ามกินไข่ไก่
เพราะว่าไก่มันไข่ออกมาไง
เมื่อไข่ออกมาจากไก่ที่มีชีวิต
ไข่ย่อมมีชีวิตด้วยจึงห้ามกินไข่
เพราะเป็นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

นี่มันเป็นตรรกะของเธอ
ที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย

เราไม่ทราบว่าคนที่เชื่อแบบนี้น่ะ
จะรู้บ้างมั้ยว่าไข่ในท้องตลาด
มันเป็นไข่ลมที่ตัวเมียมิได้ยุ่งกับตัวผู้
มันเป็นไข่สดจากฟาร์ม
เอามาฟักเป็นลูกไก่ไม่ได้
เก็บไว้นานก็เน่าเสีย

ดังนั้น
การกินไข่ไก่จึงมิได้ตัดรอนชีวิตไก่
จึงมิได้ผิดในพันธะสัญญา 6 ข้อ
ที่ให้ไว้กับพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ตั้งแต่ชาติแรกที่เธอ
ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว

2.ห้ามกินไข่ไก่
เพราะว่าไข่ไก่มันมีกลิ่นคาว

นี่ก็เป็นตรรกะที่ไม่ฉลาดอีกแหละ
เพราะเธอไปหลงติดกับคำว่า #คาว
โดยมองว่าของที่คาวๆเป็นสิ่งมีชีวิต
ซึ่งเป็นความหลงผิดอย่างยิ่ง

เธอต้องเปิดโลกทัศน์เสียหน่อยว่า
สรรพสิ่งใดก็ตามที่มีองค์ประกอบ
เป็นสารจำพวกโปรตีนอยู่มาก
มันจะมีคุณสมบัติเหมือนกันคือ #คาว
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสัตว์หรือพืชก็ตาม

ดังนั้น
ต่อไปจงอย่าเอาเรื่องห้ามกินไข่
เพราะมันมีกลิ่นคาวมาอ้างอีกนะ

สาหร่ายเกาหลีหรือญี่ปุ่นหลายชนิด
เช่น สาหร่ายวากาเมะในน้ำซุปเต้าหู้
มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากจากทะเล
ก็มีกลิ่นค้าว...คาว แต่อะร้อย..อร่อย
คนกินเจหรือมังสะวิรัติก็กินได้ใช่ไหม

นี่มันเป็นตรรกะของเธอ
ที่ไม่ฉลาดอีกนะแหละ

3.ห้ามกินไข่ไก่
เพราะสงสารไก่เป็นที่ยิ่ง
เธอตอบว่าเหตุผลที่เมตตาสงสารไก่
เนื่องจากคิด (เอาเอง) ว่า
เวลามันออกไข่แล้วมันเจ็บตูด
เขาก็เลยห้ามกินไข่ไก่...อิอิ
นี่...จะคิดมากไปหรือเปล่าเธอ

แท้จริงแล้วไก่เป็นสาวทุกตัว
เขามีหน้าที่ต้องเบ่งเพื่อออกไข่
เมื่อเขาถึงวัยเจริญพันธุ์ทั้งนั้น
ส่วนจะมีไก่หนุ่มตัวไหนที่ใจดี
มาปล่อยน้ำเชื้อผสมให้หรือไม่
ไก่สาวเขาก็จะออกไข่แทบทุกวัน

มนุษย์ผู้หญิงก็เหมือนกัน
พอถึงวัยเจริญพันธุ์มดลูกก็ตกไข่
จะมีผู้ชายสักคนเป็นของตนเองรึไม่
หน้าที่มดลูกของเธอก็ต้องตกไข่อยู่ดี
ถ้ายังไม่มีใครมาร่วมกระบวนการ
สร้างชีวิตใหม่กับเธอเมื่อตกไข่แล้ว
ไข่ก็จะตกออกมาเป็นประจำทุกเดือน

สัตว์ทุกตัวรวมทั้งคนด้วย
ถ้าเกิดการเจ็บปวดขึ้นมา
ก็จะส่งเสียงร้องครวญคราง
บางครั้งก็มีอาการทุรนทุรายแถมด้วย
เธอเคยไปนั่งดูตอนไก่ไข่มั้ยล่ะ
มีใครเคยพบเห็นไก่ร้องครวญคราง
ทุรนทุรายอย่างทรมานตอนไข่ตกมั้ย

นี่มันเป็นตรรกะที่ไม่ฉลาดอีกแล้วล่ะ

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

การที่พระอาจารย์เจ้าสำนักของท่าน
สั่งสอนไว้เมื่อราวๆสี่ร้อยกว่าปีว่า
อย่ากินไข่นะจะผิดบาป
เพราะไก่โบราณเขาเลี้ยงกันตามบ้าน
โดยปล่อยให้มันอยู่อย่างอิสระ
การกินไข่ของพวกเขาจึงไม่สมควร
เพราะไข่บางฟองอาจได้รับน้ำเชื้อตัวผู้
ที่พร้อมต่อการฟักออกมาเป็นตัวแล้ว

สมัยนั้นมีฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่เสียที่ไหนล่ะ
เขาจึงห้ามเอาไว้เพราะเสี่ยงต่อผิดบาป
ถ้ารับธรรมะจากเบื้องบนได้จริง
ใยไม่ถามเบื้องบนเองล่ะว่า
ยุคสมัยนี้กินไข่ได้หรือไม่

ในต่างยุคต่างสมัย
อะไรๆก็เปลี่ยนแปลงได้

เพราะการยึดติดปิดกั้น
ไม่เปิดกว้าง ไม่ยอมใช้ปัญญานี่แหละ
ทั้งคนทั้งสำนักจึงเสื่อม
เพราะได้แต่เกลียดกลัวการเปลี่ยนแปลง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16-07-2017

"ปรารถนาจะให้มีตอนต่อไป
ของเรื่องนี้กันมั้ย"

14 กรกฎาคม 2560

จิตใต้สำนึก 7



#อภิปรัชญา
Meta-physics
***************
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

พลังอำนาจของ #จิตใต้สำนึก นั้น
หากท่านใช้เป็นก็จะเกิดประโยชน์
แต่ถ้าใช้ไม่เป็นก็จะเกิดโทษมหันต์

เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองมีบุตรหลานวัยเด็ก
ก็จะมีประสบการณ์เหมือนกันเรื่องหนึ่ง
นั่นคือ เด็กวัยซนมักจะวิ่งเล่นหกล้ม
จนเกิดบาดแผลเลือดซิบตรงนั้นตรงนี้
บางทีก็เป็นรอยบวมช้ำเป็นจ้ำๆ
โดยสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะทำกัน
คือ กลั้นลมหายใจแล้วเป่าลมลงไป
ตรงแผลฟกช้ำดำเขียวหรือผิวถลอก
พร้อมออกเสียงดังๆว่า 

"โอม...เพี้ยง ! หายยย"

เจ้าเด็กน้อยคนนั้นก็จะหยุดร้องไห้
แล้ววิ่งไปเล่นกับเพื่อนๆต่อ
เพราะลืมแผลบาดเจ็บฟกช้ำไปแล้ว
เด็กสนุกต่อได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ที่ลมปากของผู้ใหญ่ศักดิ์สิทธิ์
ก็เพราะพลังแห่งจิตใต้สำนึก
ที่พ่อแม่ผู้ปกครองบรรจงใช้นั่นเอง
โดยมีเงื่อนไขที่เกื้อกูลให้บังเกิดผล
จนเด็กน้อยหายเจ็บได้ในพริบตา
ทั้งบาดแผลที่ช้ำบวมเมื่อข้ามวัน
ก็แทบจะถามหาร่องรอยนั้นไม่เจอ

พ่อแม่ผู้ปกครอง
สามารถนำพลังจิตใต้สำนึกออกมาใช้
เพื่อช่วยบรรเทาเจ็บปวดของลูกได้
ด้วยสัญชาตญาณทางจิตวิญญาณ
ดังต่อไปนี้

1.ใช้พลังจิตใต้สำนึกไป
เพื่อช่วยเหลือลูกหลานที่บาดเจ็บ
ให้หายเจ็บหายปวดโดยพลัน
ซึ่งเป็นการ #ทำเพื่อให้

2.ขณะที่ใช้พลังจิตใต้สำนึก
พ่อแม่ผู้ปกครองก็สั่นสะเทือนจิตใจ
เป็นความรัก ความเมตตาต่อเด็กน้อย
ซึ่งเป็นการ #ทำด้วยรัก

3.ขณะใช้พลังของจิตใต้สำนึก
โดยแม้ไม่รู้ตัวว่ากำลังใช้มันอยู่ก็ตาม
แต่พ่อแม่ผู้ปกครองก็ทำอย่างสุดใจ
เพราะต้องการให้เด็กน้อยหายเจ็บปวด
ซึ่งเป็นการ #ทำอย่างเชื่อมั่น 
ว่าเด็กน้อยของตนนั้นต้องหายปวดแน่

4.ขณะใช้พลังของจิตใต้สำนึกอยู่
พ่อแม่ผู้ปกครองก็เป่าลมออกมาสุดพลัง
โดยเป่าลมออกมาอย่างไม่ลังเล
ซึ่งเป็นการ #ทำเพราะศรัทธา 
ด้วยจำได้ว่าครั้งที่ตนเองยังเป็นเด็กน้อย
พ่อแม่ผู้ปกครองก็เคยช่วยเป่าเพี้ยงๆๆ
ให้ตนหายจากเจ็บปวดมาแล้วเหมือนกัน

5.นอกจากนั้นผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้น
ยังเกิดจากเงื่อนไขสำคัญ 2 ประการ คือ

อย่างแรก
**********
พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถขับเคลื่อน
พลังแห่งจิตใต้สำนึกออกมาอย่างเต็มที่ได้
ด้วยวิธีสูดลมเข้าปอดเพื่อกลั้นลมหายใจ
สำรวมจิตให้นิ่งขณะกล่าวคำว่า #โอม
เมื่อสุดที่จะกลั้นลมเอาไว้ได้แล้ว
ก็เป่าลมก้อนนั้นออกมาพร้อมคำว่า #เพี้ยง
แล้วปิดท้ายด้วยคำว่า จง #หาย ในบัดดล

อย่างสอง
**********
เด็กน้อยผู้บาดเจ็บ
มีความ #มั่นใจ พันเปอร์เซ็นต์
โดยไม่ลังเลเลยว่า
การกระทำเช่นนี้นั้น
พ่อแม่หรือผู้ปกครอง
สามารถช่วยให้ตนเอง
หายเจ็บหายปวดได้แน่ๆ

ทั้งหมดที่เรายกตัวอย่างมา
ล้วนเป็นวิธีการใช้ #จิตใต้สำนึกที่ถูกต้อง
ด้วย #จิตสามนึกที่สมบูรณ์และมีมหาสติ
โดยไม่ต้องหลอกตนเอง
ซึ่งใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14-07-2017

หมายเหตุ
**********
ต้องการเรียนรู้ต่อเนื่อง
โปรดยกมือขึ้นอีกครั้งนะ

13 กรกฎาคม 2560

จิตใต้สำนึก 6



#อภิปรัชญา
Meta-physics
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ภาษา NLP ทำไมฝรั่งคิดแล้วไม่นิยมใช้ 
แต่คนไทยไม่ได้เป็นต้นคิดแต่ก้อปปี้เขามาใช้
เพราะแรงโฆษณาให้เห็นแปลกและลี้ลับดี
ที่เป็นกลยุทธการขายบวกแรงจูงใจให้ฟรี
แต่ที่สุดแล้วเขาก็ขายมิได้ให้ฟรีอย่างที่คุย

ประเทศนี้สินค้าทุกตัวจะดังจะขายดีเสมอ
ถ้ามีโฆษณาชวนให้หลงเชื่อ
โดยนำเอา #จุดอ่อนของผู้ซื้อ 
มาสร้างเป็น #จุดแข็ง ของผู้ขาย
การตลาดง่ายๆแต่คนทั้งหลายมิรู้ทัน

จุดอ่อนของผู้ซื้อมีหลายจุดมาก
ซึ่งเป็น #จุดแข็ง ของผู้ขายมาทุกสมัย
ตีหัวเข้าบ้านจนรวยพอเขารู้ทันก็หันหาย
แล้วไปหาผลิตภัณฑ์ใหม่มาขายอีก
เป็นอย่างนี้ตลอดมา
โดยไม่มีใครพบความจริงว่า
ที่จ่ายตังค์ไปซื้อหานั้นมันได้ผลจริงไหม

จุดอ่อนของชาวบ้าน
ที่เป็นจุดขายที่แข็งแรงของผู้ขาย
มีดังนี้
1.กลุ่มเป้าหมายที่จะขาย
มีความรู้ในสิ่งนั้น เรื่องนั้น น้อยกว่า
ทั้งๆที่หาความรู้นั้นด้วยตนเองก็ได้
ถ้าคิดที่จะใฝ่รู้เป็นและฉลาดเรียนรู้

จึงถูกหลอกขาย
ด้วยเงินตราราคาแพงๆเสมอ
เงินที่จ่ายไปจึงเสียไปเพื่อจ่ายค่าความรู้
กับจ่ายค่า "อะรูมิไร้" ของตัวเองให้เขาไป

2.กลุ่มเป้าหมายที่จะขาย
มีความโง่งมงายกันอยู่มาก
เพราะถูกจูงใจให้อยาก-ไม่อยากได้ง่ายๆ
เนื่องจากขาดความสามารถในการใช้ปัญญา
จึงเชื่อแต่ตากับหูของตัวเอง
จนยอมรับได้แม้จะเป็นเรื่องลึกลับ
ไม่รู้ที่มาที่ไปว่าอะไรยังไง

ผู้ขายจึงมักใช้วิธีการเล่นกลลวงตา
มักใช้ภาษาอะไรก็ไม่รู้
ที่หูฟังไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ
แต่สร้างมายาให้เห็นภาพเสมอจริงได้
ด้วยกลยุทธมายากลเพื่อผลจูงใจ
พอเห็นแล้วเชื่อจึงตกเป็นเหยื่อทันที
ทั้งๆที่อธิบายไม่ได้และไม่เข้าใจ

3.กลุ่มเป้าหมายที่จะขาย
มีความอยากรู้อยากเห็นอยากลอง
จึงนำเอาผลิตภัณฑ์แปลกๆที่ดีไซน์ขึ้น
มานำแสดงให้เห็นแปลกเห็นดีเห็นงาม
เพื่อประโยชน์ด้านการขาย
โดยไม่รับผิดชอบว่าผู้ซื้อบริการ
จะเกิดโทษหลังการใช้ผลิตภัณฑ์นั้นอย่างไร

ตีหัวเข้าบ้าน 
ทำให้เห่อแล้วขายดี
แล้วก็ตีจากไป
ในประวัติศาสตร์เป็นแบบนี้มาตลอด

4.กลุ่มเป้าหมายที่จะขาย
มีจุดอ่อนแอ คือ ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
เขาก็นำเข้าคอร์สแล้วบอกให้เชื่อมั่นในตนเอง
จูงใจร้อยแปดให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง
โดยเอา #จิตใต้สำนึก มาเป็นตัวประกัน

ฝรั่งทำให้เข้าใจว่าความเชื่อมั่นในตนเอง
จะเพิ่มมากขึ้นได้จากพลังของจิตใต้สำนึก
เพราะฝรั่งสืบรู้มาว่าพวกท่านยังถามหา
อัตตาตัวตนกันอยู่ยังยึดติดตัวตนกันอยู่
จึงหยิบเอาจิตใต้สำนึก 
(Subconscious Mind)
มาเป็นผลิตภัณฑ์ให้ท่านยึด
เพื่อประโยชน์ในการขายความเชื่อมั่น
ให้ท่านซื้อกลับบ้านไป

เห็นหรือไม่ว่าท่านที่คลั่งใคล้ใน NLP
จะใส่ใจแต่ 2 สิ่ง เท่านั้นเอง คือ
ตัว "จิตใต้สำนึก" กับ "ผลลัพธ์" ที่ต้องการ
โดยพวกท่านยอมเป็นสาวกลัทธิฝรั่ง
ทั้งๆที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจด้วยซ้ำไปว่า
จิตใต้สำนึกมันทำงานอย่างไร 
ที่ได้ผลเป็นเพราะสั่งจิตใต้สำนึกได้จริงหรือ

แล้วผลเสียหายต่อจิตวิญญาณของท่าน
ถึงขนาดบ้านแตก ทีมแตก ล้มละลาย
และนิพพานทางจิตวิญญาณไม่ได้
ก็เป็นอีกหลายเรื่องที่ฝรั่งเองยังไม่รู้ไม่แน่ชัด
ซึ่งเรารักพวกท่านจึงคอยหน่วงรั้งท่านไว้
คอยติงเตือนท่านไว้ว่าอย่า...นะ

จงอย่าได้คิดว่าเราอิจฉาริษยา
แต่เราทำตามหน้าที่
เพื่อจะพาท่านกลับบ้านแดนสุญญตาให้ได้

ฝรั่งเองต้นคิด 3 คนนั้น
ก็ยังไม่กล้าลองใช้ในชีวิตจริงสักที
มีแต่มาบอกให้พวกเราลองใช้ให้พวกเขาดู
แล้วคิดค่าบอก...แสนแพงระยิบ

แถมยังไม่มีใครพิสูจน์เลยว่า
คนที่มาสอนมาชวนท่านให้ใช้ศาสตร์นี้
ประสบความร่ำรวยจากธุรกิจการค้าอื่นใด
ได้อย่างแท้จริงเพราะใช้ NLP นี้บ้าง
เห็นมีแต่ร่ำรวยจากการขายหลักสูตรนี้
อย่างสนุกสนานบันเทิงเท่านั้นเอง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-07-2017

หมายเหตุ:
**********
ใครต้องการเรียนรู้ต่อเนื่อง
โปรดชูมือสองข้างเถิด

12 กรกฎาคม 2560

จิตใต้สำนึก 5



#อภิปรัชญา
Meta-physics

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงกำหนดให้มนุษ์แห่งโลกเสรีทุกคน
รวมทั้งสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหลายให้มีสองมิติ

หมายความว่า
ขณะดำรงชีวิตอยู่บนโลกเสรีนี้
สิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งมนุษย์เองด้วย
จะมีทั้งกายหยาบและจิตที่เป็นพลังงาน
ทำงานร่วมกันสั่นสะเทือนร่วมกันตลอด

เมื่อใดที่ท่านสั่นสะเทือนจิตสามนึก
เพื่อแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมใดๆ
ให้เกิดเป็นกายกรรมหรือวจีกรรมขึ้นมา
นั่นเท่ากับว่าในขณะเดียวกันนั้น
จิตของท่านก็กำลังสั่นสะเทือนให้เกิดกรรม
จนเป็น "ผลกรรม" ในมิติทางพลังงาน
ด้านของจิตวิญญาณด้วยแล้วเช่นกัน

นี่แหละคือที่มาของความจริง
ที่เราได้กล่าวไว้ต่อท่านทั้งหลายว่า

#จิตสามนึกเป็นเสมือนผู้สั่งการจิตใต้สำนึก
โดยไม่ว่าจิตสามนึกจะนึกคิดทำสิ่งใด
จิตใต้สำนึกก็จะกระทำไปตามนั้น
เพื่อสนองความต้องการให้จิตสามนึกเสมอ
#จะกระทำตามโดยไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือชั่ว
#จะนำมาให้โดยไม่รู้ว่าท่านจะเอาหรือไม่เอา

ดังนั้น
ท่านทั้งหลายจะเห็นได้เองว่า
ถ้าท่านปรารถนาสิ่งใดที่ดีๆในชีวิต
ท่านก็ต้องค้นคิดแสวงหาวิธีทำ
เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ท่านปรารถนานั้น
โดยท่านจะมัวนั่งงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ
ได้แต่เฝ้าฝันว่า "ฉันจะรวยๆๆๆๆๆๆๆ"
ได้แต่นั่งภาวนาว่า "ฉันจะสำเร็จๆๆๆ...."
เพื่อรอให้จิตใต้สำนึกดลดานมาให้เองนั้น
มันเป็นไปไม่ได้หรอกท่าน

ลองตรองดูสิว่า
ในยามหิว โหย กระหายหรือหาวนอนนั้น
หากท่านไม่รีบหาอะไรทานมันจะหายหิวมั้ย
หากท่านไม่รีบดื่มน้ำมันจะดับกระหายได้มั้ย
หากท่านไม่รีบหลับมันจะดับความง่วงได้มั้ย

มันไม่ต่างจากการที่ท่านนั่งฝันเอา
หรือสั่งจิตใต้สำนึกเอาเองว่า
"ฉันจะอิ่มท้อง...ฉันจะสดชื่น...ฉันจะหายง่วง"
ซึ่งจิตใต้สำนึกของท่านไม่มีวันช่วยได้เลย
นอกจากท่านจะหลอกตัวเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
แม้มนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดพิเศษ
ซึ่งเป็นคนสองมิติที่สุดยอดแห่งอัจฉริยะ
แต่มนุษย์ก็มิใช่ผู้วิเศษหรือมีอภิสิทธิ์ใดๆ
ที่จะสามารถทำสิ่งใดตามใจตนได้ทุกสิ่ง
โดยเฉพาะที่มันผิดกฎธรรมชาติสากล

นั่นคือ
หากปรารถนาสิ่งใดก็ต้องลงมือทำเอา
มิใช่นั่งร้องขอรอรั้งให้ใครอื่นใดมาช่วยเหลือ
ตนเองจักต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้น

ท่านทั้งหลายจึงต้องระลึกไว้เสมอว่า
จิตสามนึกกับจิตใต้สำนึกแยกจากกันไม่ได้
โดยจิตสามนึกจะเป็นผู้ชักนำ
จิตใต้สามนึกจะเป็นผู้ก้าวตามเสมอ

จิตใต้สามนึกจะทำหน้าที่รับใช้จิตสามนึก
เพื่อให้เกิดผลการกระทำของจิตสามนึก
ในมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้
ควบคู่ไปกับการกระทำของจิตสามนึกเอง
ในมิติโลกทางกายภาพที่สองตามองไม่เห็น

ด้วยเหตุนี้เอง
ความสำเร็จใดๆที่เกิดขึ้นในชีวิตท่าน
ทั้งความร่ำรวย ความมีเกียรติและชื่อเสียง
ความมีสุขภาพที่ดีหรืออื่นๆ
จิตใต้สำนึกของท่านเบื้องหลังมิติโลกนี่แหละ
เป็นผู้มีส่วนช่วยน้อมนำมาให้ท่าน
โดยที่ท่านไม่เคยรู้ความจริงนี้มาก่อนเลย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11-07-2017

หมายเหตุ:

ถ้าต้องการเรียนรู้ความจริงกันต่อ
ก็โปรดช่วยยกมือหน่อย

07 กรกฎาคม 2560

จิตใต้สำนึก 4


meta physics: จิตใต้สำนึก
#อภิปรัชญา
*************
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

นอกจากเมอร์คขะบาห์
ซึ่งเป็นส่วนนอกสุดของกล่องพลังงาน
ที่รวมเรียกว่าจิตวิญญาณดังกล่าว

จะมีหน้าที่แรก คือ 
เป็นยานพาหนะของจิตวิญญาณ
นึกจะไปไหนเมอร์คขะบาห์ก็จะ
ดีดตนเองพาไปยังที่หมายนั่นทันที
โดยเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร่งแล้ว

2.หน้าที่ประการที่สองก็คือ
#เมอร์คขะบาห์จะเปลี่ยนแปลงรูปธรรม
#ที่เป็นกล่องพลังงานรูปทรงกลม
#ให้เป็นตัวตนรูปลักษณ์แบบใดก็ได้

เพื่อให้สามารถเคลื่อนที่ผ่านทุกสิ่ง
ได้อย่างไร้อุปสรรค

เป็นต้นว่าถ้าจะเคลื่อนที่ผ่านรูกุญแจ
เมอร์คขะบาห์จะเปลี่ยนรูปธรรมของตน
ให้มีตัวตนรูปลักษณ์เป็นแบบรูกุญแจ

ถ้าจะเคลื่อนที่ผ่านประตูหรือหน้าต่าง
ที่กำลังปิดใส่กลอนแน่นหนาอยู่
เมอร์คขะบาห์ก็จะเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์
จากแบบเดิมไปเป็นแผ่นแบนๆบางๆ
เพื่อลอดผ่านขอบประตูหน้าต่างเข้าไปได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อดวงจิตวิญญาณรูปธรรมใดก็ตาม
ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นคนสองมิติ
โดยเป็นตัวตนแก่นแท้ที่เร้นอยู่
ภายในเครื่องยนต์แห่งกรรม
รูปธรรมมนุษย์ของท่านเองแล้ว
ส่วนที่เป็นจิตวิญญาณและพลียะเดี้ยนส์
พร้อมทั้งเมอร์คขะบาห์เองด้วย
จะมีที่ตั้งอยู่ตรงต่อมพิทูอิทารี
ภายในกระโลหกศีรษะของท่านนั่นเอง

โดยพลังงานส่วนที่เป็นเมอร์คขะบาห์
จะรับหน้าที่เป็น #จิตใต้สำนึก 
ซึ่งจะคอยสั่นสะเทือนตาม #จิตสำนึก 

เพื่อก่อให้เกิดการกระทำหรือ "กรรม"
ในมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณ
ในทุกครั้งทุกเรื่องราวทุกการตัดสินใจ
ด้วยจิตสามนึกของจิตหยาบ
ตามที่เราได้กล่าวให้ท่านได้รู้ไปแล้วว่า
เวรกรรมในมิติของจิตวิญญาณนั้น
ก็มีจิตใต้สำนึกของท่านนี่แหละ
ที่จะเป็นผู้ควบคุมกระบวนการใช่ใครอื่น

นอกจากนั้นแล้ว
เมอร์คขะบาห์ที่เปลี่ยนบทบาทตนเอง
มาเป็นจิตใต้สำนึกเมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์
ยังมีหน้าที่พิเศษและสำคัญยิ่ง
ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าไม่รู้อีกด้วย
นั่นคือการเงี่ยหูคอยที่จะช่วยเหลือท่าน
ให้ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่ต้องการ
เมื่อท่านสั่นสะเทือนผ่านจิตสามนึก

หมายความว่า
ถ้าจิตสามนึกต้องการความสำเร็จเรื่องใด
จิตใต้สำนึกก็จะใช้พลังอำนาจลี้ลับในตน
ทำการดึงดูดเหนี่ยวรั้งสรรพสิ่งนั้นมาให้
ในมิติที่สองตาเปล่าของท่านมิอาจรู้เห็น
โดยที่ท่านไม่จำเป็นจะต้องร้องขอเลย
เพราะพระบิดาทรงติดตั้งระบบเอาไว้
ให้จิตใต้สำนึกเป็นเครื่องมือของจิตสำนึก
ตามที่เรากล่าวเปิดเผยต่อท่านเช่นว่านี้

แต่เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ไว้ว่า
จิตใต้สำนึกมีหน้าที่ #ทำตามจิตสำนึก
พระบิดาจึงกำหนดให้จิตใต้สำนึก
มีคุณสมบัติพิเศษที่ท่านต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้
ดังต่อไปนี้

1.จิตใต้สำนึก #จะนึกเองไม่เป็น
จึงแสดงพฤติกรรมเองไม่ได้
ต้องอาศัยสั่นสะเทือนตามจิตสามนึก

2.จิตใต้สำนึก #จะรู้เห็นเองไม่ได้
เพราะจิตวิญญาณผู้ใช้จิตใต้สามนึก
มิได้ถูกติดตั้งให้เชื่อมโยงไว้
กับกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
เหมือนเช่นจิตหยาบที่ใช้จิตสามนึก
จึงสามารถสัมผัสรู้เห็นได้
จากการสั่นสะเทือนของจิตสามนึกเท่านั้น

3.จิตใต้สำนึก #จะสงสัยก็ไม่เป็น
เพราะจิตใต้สำนึกมิอาจนึกเองได้

ดังนั้น การที่จะฉุกคิดสงสัยว่า
สิ่งที่จิตสามนึกสั่นสะเทือนขึ้นมาให้รับรู้
มันเป็นจิตไร้สำนึกที่ผิดบาปที่ชั่วช้า
หรือว่าเป็นจิตรู้สำนึกที่ถูกต้องดีงาม
จึงมิอาจกระทำได้

จิตใต้สำนึกจึงมีหน้าที่ทำตามอย่างเดียว
ไม่ว่าสิ่งที่กำลังกระทำหรือก่อกรรมนั้น
มันจะเป็นเรื่องดีหรือเป็นเรื่องที่เลวร้าย
จิตใต้สำนึกจะสนใจอย่างเดียว
คือ มุ่งตอบสนองความต้องการท่าน
ด้วยการกระทำทุกวิถีทาง
ในมิติทางพลังงานเบื้องหลังมิติโลก
เพื่อน้อมนำสิ่งนั้นเรื่องนั้นมาสู่ชีวิตท่าน

ดังนั้น
ถ้าท่านต้องการสิ่งดีๆในชีวิต
ก็จงอย่าสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านลบ
โดยเฉพาะการสั่นสะเทือนจนติดนิสัย
จิตใต้สำนึกก็จะนำสิ่งเลวร้ายนั้นมาให้
ทั้งๆที่ท่านเองไม่ต้องการเลยสักนิด
เพราะจิตใต้สำนึกแยกไม่ออก
บอกไม่ได้ว่าไหนคือสิ่งที่ท่านไม่ต้องการ

#ซวยแล้วสิกูซวยแน่ๆ
จิตใต้สำนึกจะรีบทำทุกอย่าง
เพื่อสร้างความซวยให้ท่าน

#เสือกเกิดมาจน
จิตใต้สำนึกก็จะคอยขัดขวาง
การทำรวยของท่านเพื่อให้ท่านจนไว้
ตามที่ท่านพร่ำบ่นเพราะคิดว่าท่านชอบ

#ฉันทำไม่ได้แน่
จิตใต้สำนึกก็จะไม่เสริมแรงพลัง
ให้กับจิตปัญญาของท่าน
ทำให้ท่านหย่อนสมรรถนะทางร่างกาย
ทำให้ย่อหย่อนทางจิตปัญญา
ไม่อาจค้นพบความสำเร็จที่ต้องการได้
หรือจะทำอะไรสำเร็จยาก
จากการวางเฉยของจิตใต้สำนึก

#ฉันกลัวถูกหลอก
จิตใต้สำนึกก็จะเหนี่ยวรั้งแต่คนหลอกลวง
เข้ามาสู่ชีวิตท่านเพื่อให้ท่านได้เผชิญ
ยิ่งกลัวถูกหลอกมากเท่าใด
ท่านก็จะเจอแต่คนหลอกลวงมากเท่านั้น

#ฉันเกลียดคนขี้เหล้าและคนเจ้าชู้
ส่วนใหญ่จะเป็นความคิดคำนึงของสาวๆ
ผู้ที่กำลังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์นั่นแหละ

ถ้าท่านยิ่งสั่นสะเทือนความเกลียดกลัว
จิตใต้สำนึกจะยิ่งส่งพลังออกไป
เพื่อเสาะแสวงหาแล้วเหนี่ยวรั้ง
ชายพันธุ์ขี้เหล้ากับเจ้าชู้มาสู่ชีวิตท่าน
อย่างมากมายหลายหน้าหลายตา
จนมองหาผู้ชายตัวจริงที่หญิงต้องการ
ไม่มีให้เลือกเลยสักคนจนตลอดชีวิต

ท่านคงต้องตัดสินใจเลือกในสองอย่าง
คือ "เอาก็เอาวะ ดีกว่าขึ้นคาน"
หรือไม่ก็ "เป็นโสดดีกว่า ถ้าหาดีไม่ได้"

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
นี่คือการ #หลอกใช้จิตใต้สำนึก ตนเอง
ด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจในกลไกนี้โดยแท้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
6-07-2017

หมายเหตุ:
***********
หากต้องการเรียนรู้เรื่องนี้ต่อไปอีก
โปรดยกมือแสดงความปรารถนาไว้อีกครั้ง