30 มกราคม 2564

สนทนาประสาจิตจัรวาล

30/01/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ปลายยุคพลังงานเก่านี้
นอกจากท่านทั้งหลายจะต้องต่อสู้กับภัยพิบัติ
ในแผนปฏิบัติการชำระโลกของพระบิดา
กับภัยธรรมชาติที่ถูกมนุษย์ทำโลกเสียสมดุลแล้ว
มันยังจะมีภัยอีกอย่างหนึ่งซึ่งพวกท่านต้องรู้
นั่นคือ "ภัย" จากการต่อสู้เพื่อการรู้แจ้ง

ภัยจากการต่อสู้เพื่อการรู้แจ้งนี้
หมายถึงการที่พวกท่านทั้งหลาย
จักต้องต่อสู้กับความไม่รู้ไม่เข้าใจของตน
จักต้องต่อสู้กับความเบาปัญญาของตน
จักต้องต่อสู้กับ "กิเลสตัณหา" ของตน
ซึ่งจะมีผู้รุมกันยื่นบททดสอบเหล่านี้แก่ท่าน

พวกนี้จะทำตนเป็นอุปสรรคใหญ่
บนเส้นทางการหลุดพ้นของจิตวิญญาณมนุษย์
ที่จะชักพาวิญญูชนคนดีๆออกนอกเส้นทาง
ให้ห่างไกลออกไปจาก มรรควิถีจิตจักรวาล
เพื่อนำพาจิตวิญญาณ "กลับบ้าน" นั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ผู้ที่จะทำตนเป็นอุปสรรคสำคัญของท่าน
จะมีอยู่ด้วยกัน "3 ม." เท่านั้น คือ

1.พวก มาร ที่อยู่ใกล้ตัว
โดยแบ่งออกเป็น มารภายใน
อันหมายถึง จิตฝ่ายต่ำ ของท่านเองนี่แหละ

จิตฝ่ายต่ำที่ว่านี้ก็คือ อารมณ์ขยะรายวัน
ที่ท่านสั่นสะเทือนจนเป็นสันดานเคยตัว
เมื่อถูกสิ่งเร้าภายนอกเป็น "เงื่อนไข" ยั่วยุ

ถ้าจิตหยาบของท่าน
สั่นสะเทือนมันอยู่เป็นประจำ
โดยไม่ค้ำจุนจิตไว้ด้วย มหาสติ ให้มั่นคง
นอกจากมันจะทำให้ท่านก่อเวรเกี่ยวกรรม
กับคนรอบข้างได้อย่างง่ายดายแล้ว
มันยังจะทำร้ายจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ก็คือตัวของท่านเองเมื่อตายแล้วนั่นแหละ

จิตหยาบจะทำร้ายจิตวิญญาณให้หลงมิติ
จนไม่สามารถสั่นสะเทือนเป็นคุณสมบัติเดิมได้
เพราะจิตหยาบจะส่งคลื่นความถี่ด้านลบ
จากอารมณ์ขยะรายวันทั้งหลายที่เกิดขึ้น
ไปเหนี่ยวหน่วงถ่วงรั้งให้จิตวิญญาณที่อยู่ข้างใน
ไม่อาจสั่นสะเทือนเป็นความรักบริสุทธิ์ได้
เพราะจิตหยาบจะคอยบังคับข่มขืนเอาไว้นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้เอง
องค์จิตจักรวาลผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่าน
จึงทรงใช้เราให้มานำทางพวกท่านพ้นมือมาร
ด้วยการประทาน กฤติสติ ไว้เป็นอาวุธประจำตัว
เพื่อคอยบั่นกิเลสที่เป็นเหตุแห่งอารมณ์ขยะ
ซึ่งเป็นพวกมารภายในจิตใจท่านเองไงล่ะ

พวกที่สอง คือ มารภายนอก

"มารภายนอก" หมายถึง
เพื่อนมนุษย์ที่เกี่ยวกรรมกันมาจากอดีตชาติ
เพราะจิตวิญญาณของท่านในภพชาติที่แล้ว
ถูกจิตหยาบสร้างตราบาปเอาไว้ให้
ด้วยการทำร้ายเพื่อนมนุษย์แล้วฝากรอยแค้นไว้
จิตวิญญาณของเขาจึงตามมาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อหวังแก้แค้นเอาคืนให้หายเจ็บแค้น
ซึ่งจิตหยาบของท่านในภพชาตินี้มิได้รู้เรื่องด้วย
แต่ก็ต้องรับผิดชอบแทนจิตวิญญาณของท่าน

มารภายนอกที่เป็นพี่ๆน้องๆเพื่อนร่วมโลกนี้
ส่วนมากจะถูกชักนำให้มาสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน
เช่น เป็นสมาชิกบางคนในครอบครัว
เป็นเพื่อนร่วมทีมงานในที่ทำงาน
เป็นเพื่อนบ้านในชุมชนเดียวกันกับท่าน
เป็นแพทย์พยาบาลรักษาการป่วยไข้ของท่าน
เป็นสมาชิกในชมรมเดียวกันกับท่าน
ฯลฯ

ที่น่าสังเกตว่าเป็นมารภายนอกก็คือ
ท่านจะต้องพบหาสมาคมกับพวกเขาบ่อยๆ
แล้วพวกเขาก็จะคอยทำตนเป็นอุปสรรค
ขัดขวางประโยชน์สุขของท่านอยู่ซ้ำซาก
เจ้ากรรมนายเวรบางรายอาจทำให้ท่านบาดเจ็บ
อาจทำให้ท่านได้รับอุบัติเหตุรุนแรง
จนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตทั้งโดยตรงโดยอ้อม
หรือถ้าเป็นแพทย์ก็จะวินิจฉัยโรคผิดพลาด
ถ้าเป็นพยาบาลก็อาจจัดยาผิดจนท่านเดี้ยง

นอกจากนัันพวกที่เป็นมารภายนอก
ซึ่งน่ากลัวหยอกอยู่เสียเมื่อไหร่
ถ้าท่านขาดสติเมื่อใดเป็นต้องถูกทำร้ายทันที
พวกเขาก็คือ จิตวิญญาณอาฆาต
จะคอยติดตามท่านไปทุกหนแห่งดั่งเงาตามตัว

เมื่อใดก็ตามที่ท่านเกิดอาการ ขาดสติ
จิตวิญญาณพวกนี้ก็จะเข้าแทรกแซงจิตท่าน
แล้วบังคับจิตของท่านให้แสดงออกหรือกระทำ
ด้วยกายกรรมหรือวจีกรรมด้านชั่วร้าย
โดยจะเป็นใครก็ได้ที่อยู่ในสถานที่ตรงนั้น
เพื่อยั่วยุให้คนๆนั้นเกิดอาการโกรธหรือสติแตก
จนถึงขั้นทุบตีทำร้ายร่างกายของท่านแทนเขา
เพราะจิตวิญญาณพวกนี้ไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรม
จึงใช้วิธียืมมือคนอื่นมาทำร้ายท่านนั่นเอง

2.พวก มั่ว จะอยู่ตามโซเชี่ยล
คนพวกนี้จะเป็นพวกที่หน้าซื่อใจคด
จะมีบุคลิกแลดูดีเด่นเป็นพิเศษ
ช่างพูดช่างจำนรรจา
จะหยิบฉวยเอาสาระความรู้จากครูคนนั้นคนนี้
มาผสมผสานกันกับความเชื่อของตัวเอง
แล้วสร้างองค์ความรู้ของตนเองขึ้นมา
จุดขายก็คือ "ยั่วกิเลส" ของท่านนั่นแหละ
ตัวอย่างเช่น

ถ้าอยากรวย อยากเป็นเศรษฐี
ถ้าอยากมีอะไรๆเหนือมนุษย์คนอื่น
ถ้าอยากกำจัดกรรมเก่าของตนเองให้สิ้น
ถ้าอยากมีความสุขด้วยวิธีพิเศษ
ถ้าอยากใช้พลังทางจิตวิญญาณแทนจิตหยาบ
ฯลฯ

ทั้งหมดคร่าวๆที่เอามาเป็นตัวอย่างเหล่านี้
ท่านเห็นหรือไม่ว่ามันเป็นการหาประโยชน์
จากคนที่งมงายเพราะใช้ปัญญาไม่เป็น
จากคนที่ยังมีกิเลสความโลภครอบงำ

พวกมั่วนี้บางรายก็ทำตนเป็นคนน่าเชื่อถือ
ทำตนเป็นผู้มีความรอบรู้สูง
ทั้งๆที่จำเขามาเลียนแบบเขามาทุกท่าทาง
แล้วเอามาขยายความต่อด้วยความเชื่อส่วนตัว
แบบผิดๆถูกๆอย่างขาดสติและไร้จิตสามนึก
ซึ่งสอดคล้องกับคำว่า "มั่ว" นั่นแหละ
อาจบางทีจะเรียกพวกนี้ว่า "นักต้ม-ยำ" ก็ได้

คำว่า "ต้ม" แปลว่า "หลอกลวง" ให้คนหลงเชื่อ
คำว่า "ยำ" แปลว่า "ตำมั่ว" ให้รสแซ่บ
หมายถึงขายสาระที่ได้มาจากหลายครู
ซึ่งถูกนำเอามาผสมผสานกัน
โดยเลือกเอาที่เร้าใจคนจะถูกจะผิดไม่สนใจ
ขอให้ได้สาวกมากๆได้ยอดวิวเยอะๆก็พอ

คำกล่าวคำสอนของพวกมั่วนี้
บางเรื่องหาเหตุหาผลหาที่มาที่ไปไม่ได้ว่า
ถ้าทำตามพวกเขาแล้วมันจะสำเร็จได้เพราะอะไร
พวกท่านจึงอย่าหลงคล้อยตามง่ายๆ
ที่สำคัญคือพวกมั่วเองทำตามที่กล่าวต่อท่าน
จนเห็นผลสำเร็จชัดเจนมาแล้วบ้างหรือไม่

พวกมั่วนี้บางรายก็อวดทำตนเป็น "ผู้วิเศษ"
เพื่อเลี่ยงการให้คำอธิบายเป็นเหตุเป็นผล
เพราะสิ่งที่พวกเขานำมาสอนท่านนั้น
มันผิดกฎสากลจักรวาลและมันเป็นไปไม่ได้
ซึ่งพวกผู้วิเศษนี้รู้อยู่แล้วตั้งแต่แรก
พวกเขาจึงขายความลึกลับขายมหัศจรรย์
เพื่อตอบสนองความคาดหวังของท่านเป็นหลัก
ถ้าความคาดหวังของท่านเกิดจากกิเลส
ท่านก็จะตกเป็นทาสของพวกนี้ทันที

3.พวก มอด ผู้ลี้ลับ
พวกนี้จะเป็นมนุษย์เช่นท่าน
ซึ่งประกาศตนชัดเจนว่าฉันเป็นพวกมอด
ฉันเข้ามาในระบบโลกเพื่อช่วยมนุษย์
ฉันมีอำนาจเหนือมนุษย์โลก
ทั้งพลังจิต พลังปัญญา และเท็คโนโลยี
ฉันเป็นมิตรกับมนุษย์โลก
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่พวกท่านจะได้ยินได้ฟัง
จากปากมนุษย์บางคน
ที่ผันตัวเป็นสาวกของพวกมอดไปแล้ว

จงจำไว้ว่า
ไม่ว่าโลกจะเกิดอะไรขึ้น
มนุษย์โลกก็สามารถรับมือเองได้
ไม่ต้องพึ่งเผ่าต่างถิ่นให้ช่วยหรอก
สำคัญคือเมื่อพระบิดาทรงชำระโลก
ด้วยมหันตภัยพิบัติขั้นสุดท้ายน่ะ
มอดทุกตัวที่อยู่ในระบบโลก
ก็อาจไม่ว่างที่จะช่วยมนุษย์โลกกันแล้ว
เนื่องจากจะต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30/01/2021

29 มกราคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

29/01/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ภพภูมิสวรรค์มายา ที่ท่านคุ้นชินกันมานาน
มันมิใช่ดินแดนแห่งผู้ นิพพาน ที่แท้จริง

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
"นิพพาน" ตาม มรรควิถีจิตจักรวาล
เส้นทางการนำพา จิตวิญญาณ ผู้เป็นแก่นแท้
ที่ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์ในระบบโลกเสรีนี้
มันหมายถึงการ "หลุดพ้น" เพื่อกลับบ้าน
โดยไม่ต้องตายแล้วเกิดใหม่อีก
ซึ่งพวกท่านเรียกว่าหยุด วัฏสงสาร ได้นั่นเอง

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
รูปธรรมจิตวิญญาณของท่านจะหลุดพ้นได้
จักต้อง ดับการเกิดดับ ทุกสิ่งอย่างสิ้นเชิงก่อน
หมายความว่าต้อง "นิพพาน" ทุกสิ่งแล้วเท่านั้น
จึงจะสามารถ "หลุดพ้น" ได้อย่างสิ้นเชิง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

คำว่า บ้าน ในที่นี้เราหมายถึง
บ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณของท่าน
ที่ องค์จิตจักรวาล คือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้สร้างจิตวิญญาณของพวกท่านขึ้นมา
ทรงเรียกว่า "ดินแดนแห่งจิตจักรวาล"
อันหมายถึงพระอาณาจักรของพระเจ้านั่นเอง
โดยแรกเริ่มเดิมทีพวกท่านล้วนสถิตกันอยู่ที่นั่น
อยู่กันอย่างนิ่งสงบด้วยความอิ่มเอิบในความว่าง
บ่อยครั้งเราเรียกพระอาณาจักรนี้ว่า แดนสุญตา

แดนสุญตาที่เป็นพระอาณาจักรแห่งพระเจ้า
เป็นสนามพลังงานที่กว้างใหญ่ไพศาลมาก
กว้างใหญ่จนเสมือนหนึ่งว่าไร้ขอบเขตสิ้นสุด
ซึ่งภายในสนามพลังงานอันไพศาลที่ว่านี้
จะมีพระผู้เป็นเจ้าหรือองค์จิตจักรวาล
ทรงเป็นดั่งจุดศูนย์กลางของสนามพลังงานนี้
โดยมี "ตัวตนภาคแรกที่สูงส่ง"
ของจิตวิญญาณผู้ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์
ล้วนสถิตดำรงอยู่อย่างมากมายนับไม่ถ้วน
พระบิดาทรงเรียกพวกเขาว่า พระบุตร
อันหมายถึง จิตจักรวาลดวงเล็ก นั่นเอง

นอกจากนั้น
องค์จิตจักรวาลหรือพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
ยังได้ทรงกำหนดสร้างห้องทดลองขึ้นไว้
ภายในสนามพลังงานของพระองค์ด้วย
เพื่อจะทรงเรียนรู้ด้วยตนเองว่า
พระองค์จะสามารถทำอะไรได้บ้าง

"ห้องทดลอง" ที่ว่านี้
คือ เอกภพ หรือ อนันตจักรวาล นั่นเอง

เพราะจิตวิญญาณของพวกท่าน
คือผู้ขันอาสาเข้ามาจุติในห้องทดลองนี้
พวกท่านคือตัวแทนของพระองค์
ที่มาจากบ้านเกิดนอกอนันตจักรวาล
ผู้เดินทางเข้ามาปฏิบัติภารกิจแทนพระองค์
ภายในห้องทดลองขนาดใหญ่ที่ว่านี้

โดยทรงประทานอำนาจของพระองค์ให้แก่ท่าน
ด้วยการให้เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
เพื่อใช้พลังงานความรักบริสุทธิ์ที่แบกขนเข้ามา
เป็นดั่งเชื้อเพลิงสำหรับการสร้างจิตสำนึก
ในการค้ำจุนดาวเคราะห์โลกและเอกภพให้สมดุล

ดังนั้น
ท่านทั้งหลายจึงต้องจำไว้ว่า

1.พวกท่านเป็นจิตวิญญาณผู้สูงส่ง
ผู้ข้ามมิติเข้ามาในอนันตจักรวาลหรือเอกภพนี้
มิใช่รูปธรรมพเนจรที่มาจากไหนไม่รู้
แล้วเกิดการพลัดหลงเข้ามา
ก่อกำเนิดเกิดกายเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้

2.พวกท่านเป็นจิตวิญญาณผู้สูงส่ง
ซึ่งขันอาสาพระผู้เป็นเจ้าหรือองค์จิตจักรวาล
ผู้ทรงเป็นจุดศูนย์กลางของสนามพลังงานสากล
เข้ามาปฏิบัติภารกิจสำคัญแทนพระผู้เป็นเจ้า
ภายในอนันตจักรวาลหรือห้องทดลองของพระองค์
โดยพิกัดที่ตั้งในการปฏิบัติภารกิจคือ "โลกเสรี" นี้

ภารกิจสำคัญคือ
มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อใช้พลังงานความรัก
ที่เป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
จากการสั่นสะเทือนทางจิตสามนึกด้านบวก
เมื่อจิตหยาบซึ่งเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ
สามารถสอบผ่าน บททดสอบจิตสำนึก ได้

ดังนั้น
ที่พวกท่านพยายามปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์
แล้วพยายามจะหยุดการมีสังสารวัฏให้ได้
เพราะเกิดการหลงทุกข์ ติดทุกข์ ติดสุข
เนื่องจากหลงมายาของบทละครในชะตาชีวิต
ที่จิตวิญญาณของพวกท่านขีดเขียนกันมาเอง
ตั้งแต่ภพชาติแรกที่เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์

ท่านหลงทุกข์เพราะเผชิญปัญหาหลากหลาย
ที่จิตวิญญาณของท่านเขียนบททดสอบนั้นไว้
เพื่อให้จิตหยาบคือตัวท่านนี่แหละได้เผชิญ
โดยต้องรักคนที่ไม่น่ารักให้ได้
ต้องอภัยคนที่ทำตัวไม่น่าอภัยให้ได้
เพราะมันเป็นกลอุบายที่จิตหยาบจะช่วยให้
จิตวิญญาณข้างในปล่อยพลังงานรักออกมาได้

3.พวกท่านเป็นจิตวิญญาณผู้สูงส่ง
ที่มีพระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือองค์จิตจักรวาล
เป็นพระบิดาผู้ให้กำเนิดพวกท่านขึ้นมา
ทั้งทรงรักพวกท่านและเฝ้ามองพวกท่านเสมอมา

ดังนั้น
พวกท่านทุกคนจึงมิใช่ บุตรกำพร้า
ที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ผู้ให้กำเนิดแต่อย่างใด
ท่านจึงต้องไม่ทำตนเป็นบุตรอกตัญญู
ที่ลืมผู้บังเกิดเกล้าของท่านเองที่รักท่านมาก
ลืมบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองในแดนสุญตา
จนทำตนเป็นดั่งคนร่อนเร่พเนจรไปวันๆ

4.พวกท่านเป็นจิตวิญญาณผู้สูงส่ง
ที่ขันอาสาพระบิดาฯว่าจะมาเกิดเป็น มนุษย์
เพื่อช่วยกันใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกให้สมดุล

ดังนั้น
จิตวิญญาณของพวกท่านทั้งหลาย
จึง มีหน้าที่ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์โลก เท่านั้น
จะตกชั้นไปเกิดเป็นสัตว์ประจำโลกไม่ได้
จะหนีไปเกิดเป็นรูปธรรมอื่นบนดาวดวงอื่นไม่ได้
จะหลงมิติไปเกิดเป็นทวยเทพเทวดาก็ไม่ได้
ท่านทั้งหลายจึง อย่าหาทำ โดยเด็ดขาด

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ความจริงที่เรากล่าวมาทั้ง 4 ประการนี้
เป็นสัจธรรมความจริงระดับ อนุตรธรรม
ซึ่งพระศาสดาที่เกิดจากโลกกล่าวให้ท่านรู้ไม่ได้
นอกจาก พระบุตรเอก ผู้มาจากพระเจ้าเท่านั้น
เพราะเรามากล่าวพระโอวาทในพระนามพระองค์
เพื่อเติมเต็มอนุตรธรรมที่ขาดพร่องให้แก่ท่าน
ถ้าไม่รู้อนุตรธรรมที่เรานำมากล่าวไว้นี้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของใครก็จะ "หลุดพ้น" มิได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การที่ท่านพยายามจะนำพาจิตวิญญาณ
หนีทุกข์ออกไปจากการเกิดเป็นมนุษย์โลก
เพราะพวกท่านไม่รู้ความจริงทั้งสี่ประการเหล่านี้
จึงพากันละทิ้งหน้าที่ทางจิตวิญญาณตลอดมา

วิธีหยุดการเวียนว่ายตายเกิดในระบบโลก
ที่ท่านพยายามปลีกวิเวกอยู่ลำพังคนเดียว
เพื่อปิดโอกาสการก่อเวรเกี่ยวกรรมกับผู้อื่น
กับวิธีปฏิบัติธรรมโดยเน้นเพียงอายตนะเดียว
คือการ "ฝึกจิต" ให้อยู่ในโอวาทของตนเอง
โดยปิดอายตนะอื่นๆเอาไว้ทั้งหมด
เพื่อป้องกันจิตไม่ให้ตกเป็นทาสสิ่งเร้าภายนอก
จะทำให้สามารถควบคุมจิตมิให้ก่อกรรมได้ง่าย

เป้าหมายของท่านที่ปฏิบัติตนเช่นว่านี้
ก็เพื่อจะหนีทุกข์ออกไปจากวัฏสงสารนั่นเอง
แต่ผลปรากฏว่ามันคือการสร้างปัญหาใหม่
ให้จิตวิญญาณของท่านเองโดยไม่รู้ตัว
นั่นคือการหลงมิติและหลงทางนิพพานโดยแท้

ผลจากการเคร่งครัดปฏิบัติทำเพราะหลงผิด
มันยังผลให้จิตวิญญาณของท่าน
สามารถหยุดการก่อกรรมใหม่อย่างได้ผล
แต่เพราะละทิ้งสังคมโดยชอบอยู่คนเดียว
จึงปิดโอกาสการชำระกรรมเก่า
ที่จิตวิญญาณถือติดตัวมาแต่อดีตชาติไปเลย

จึงยังผลให้จิตวิญญาณของพวกท่าน
ยังมีผลกรรมเก่าที่ค้างชำระค้างแก้ไขติดตัวอยู่
ทำให้น้ำหนักของจิตวิญญาณแม้จะเบากว่าปกติ
แต่ก็ยังมีน้ำหนักตัวมากเกินกว่าภพชาติแรก
ที่ข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์โลกเสรีนี้อยู่ดี

เมื่อเบากว่าจิตวิญญาณมนุษย์ผู้ยังมีบาปอยู่
จิตวิญญาณจึงต้องหลุดลอยไปค้างอยู่ในอวกาศ
เพราะโลกดึงดูดเหนี่ยวรั้งลงมาไม่ได้
พวกท่านทั้งหลายจึงหลุดลอยไปค้างอยู่บนนั้น
จนต้องพากันสมมติว่ามันคือแดนสวรรค์
ใครมีน้ำหนักน้อยก็ลอยไปติดค้างอยู่ชั้นสูงกว่า
ใครมีน้ำหนักมากกว่าก็พากันลอยค้างอยู่ต่ำๆ
ทำให้สวรรค์มายาที่ว่านี้มีหลายชั้นอย่างที่ท่านรู้

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ความผิดพลาดมหันต์มันเกิดขึ้นเพราะว่า
ไม่รู้ความจริงระดับอนุตรธรรมสี่ประการข้างต้น
จึงทำให้หลายคนเชื่อว่าแดนสวรรค์มายา
เป็นแดนของผู้นิพพานไปเลย
โดยนิยามคำว่านิพพานกันเอาเองว่า
สามารถหยุดการมีสังสารวัฏในระบบโลกได้
ซึ่งเป็นการหลงทางนิพพานดังกล่าวแล้ว

ทั้งๆที่หากท่านจะหยุดการมีสังสารวัฏแท้จริง
ท่านจะต้องนิพพานทุกสิ่งตั้งแต่ยังไม่ตาย
มิใช่ตายหายไปจากโลกมนุษย์ได้แล้ว
ก็เหมาเอาเองว่าพวกท่านนิพพานแล้ว

เพียงแค่ท่านนำพาจิตวิญญาณของท่าน
หนีแรงดึงดูดของโลกและอนันตจักรวาล
ออกไปจากห้องทดลองของพระบิดาได้
ด้วยการเป็นมนุษย์ให้เป็น
ด้วยการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณให้สำเร็จ
ด้วยการจำพระบิดาทางจิตวิญญาณได้
ด้วยการตั้งเป้าหมายว่าจะกลับบ้าน
เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดแล้ว
หากพวกท่านทำสำเร็จ

นอกจากนั้นท่านยังจะเป็นมนุษย์ที่สง่างาม
เพราะไม่ขี้ขลาดจนต้องหนีทุกข์
เพราะไม่งมงายอยู่กับความไม่รู้
เพราะทำหน้าที่คนสองมิติได้อย่างไร้ตำหนิ

จงรีบกลับตัวกลับใจเสียเถิด
ถ้าปรารถนาการหลุดพ้นกลับบ้าน
ท่านต้องปฏิบัติในบทบาทของการเป็นมนุษย์
ด้วยการปฏิบัติตนตามธรรมชาติ
ผ่านจิตสามนึกของท่านเท่านั้น

จงอย่าหาทำอื่นใดเพื่อหมายว่าจะนิพพาน
ด้วยวิธีการอุตริอวิชชามายาสาไถย
ที่เชื่อว่าจะช่วยให้ตนอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้
ที่เชื่อว่าจะถอดรหัสยกเลิกกรรมที่ติดตัวอยู่ได้

ด้วยวิธีพึ่งพาผู้วิเศษ
ด้วยวิธีพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนไม่รู้จัก
ด้วยหวังว่าจะช่วยตนให้หลุดพ้นนิพพานได้
หรือวิธีการอื่นใดก็ตามที่งมงาย
เพราะมันคือการหลงทางจนห่างออกไป
จากเป้าหมายที่ถูกต้องไกลออกไปเรื่อยๆ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/01/20

26 มกราคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

26/01/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ในทุกยุคที่มีพระศาสดาผู้มาจากโลกเอง
ปรากฏพระองค์ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่
เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของมนุษย์โลกเสรี
จนแม้ในยุคที่ พระบุตรเอก ผู้มาจากพระบิดา
ซึ่งเสด็จลงมาจุติยังโลกเสรี
ในยุคที่โลกมนุษย์วิกฤติด้านจิตสามนึก
เพื่อเข้ามากล่าวพระโอวาทในพระนามพระบิดา
ให้ท่านทั้งหลายเกิดสติทางวิญญาณนั้น

ทุกยุคทุกพระองค์
จะมีจิตวิญญาณของมารหรือซาตาน
ติดตามพระองค์เข้ามาเกิดในระบบโลก
เพื่อปฏิบัติภารกิจมารด้วยเช่นกัน
เป้าหมายหลักก็คือการล่อลวงฝูงแกะพระบิดา
พาให้หลงทางกลับเข้าสู่ประตูคอก
หรือหลอกให้แกะพระบิดา "ปีนรั้ว" เข้าคอก
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้

ความหมายที่เรากล่าวไว้ข้างต้นก็คือ
มันจะมีฝ่ายมารหรือซาตานจำนวนมาก
เข้ามาเกิดเพื่อชักจูงให้พี่ๆน้องๆทั้งหลาย
หลงทางนิพพานจนปิดโอกาสแห่งการหลุดพ้น
ทำให้ไม่สามารถกลับบ้านในแดนจิตจักรวาล
ซึ่งอยู่ภายนอกอนันตจักรวาลได้ทัน
ปฏิบัติการชำระโลกคาบสุดท้าย
เพื่อเปลี่ยนมนุษย์กับโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้แล้ว

เราจึงขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
จงระวังพวกผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ
ที่จะเข้ามาหาท่านจะเข้ามาจูงใจพวกท่าน
ดุจดั่งหมาป่าที่อำพรางตัวไว้
ด้วยเครื่องนุ่งห่มเหมือนแกะอย่างพวกท่าน

พวกมารเหล่านี้จิตวิญญาณพวกเขา
ก็ล้วนเป็นบุตรพระบิดาเช่นเดียวกับท่าน
แต่เป็นบุตรที่ดื้อรั้นดันทุรังและไม่เชื่อฟังพระบิดา
เป็นพวกที่ปฏิบัติตนสวนทางกันกับพระโอวาท
อันหมายถึงทำตนเป็นพวก แกะนอกคอก
จนจิตวิญญาณป่วยหนักมิอาจแก้ไขเยียวยาได้
ซึ่งพวกเขารู้ดีแล้วว่าต้องเป็นขยะที่ถูกคัดทิ้ง
จนสิ้นโอกาสที่จะหลุดพ้นนิพพานได้แล้ว

พวกมารทั้งหลายรู้ดีว่า
พระศาสดาโลกและพระบุตรเอกจากพระเจ้า
ปรากฏพระองค์บนโลกเสรีนี้เมื่อไหร่
แสดงว่าถึงเวลาที่พระบิดาจะทรงเรียกลูกแกะ
ให้กลับเข้าคอกแกะกันแล้ว
พวกเขาจึงรีบเข้ามาทำหน้าที่เป็นอุปสรรค
ขัดขวางเส้นทางนิพพานเพื่อการหลุดพ้น

ทำตนเป็นมารพระศาสนา
ทำตนเป็นอุปสรรคของพระศาสดาและบุตรเอก

ถ้าพี่ๆน้องๆไม่เป็นคนช่างสังเกต
หรือบกพร่องในการใช้จิตปัญญาด้วยแล้ว
ก็สามารถหลงทางนิพพาน
จนตกเป็นทาสมารเหล่านี้ได้ง่ายๆ

ยุคนี้เป็นปลายยุคพลังงานเก่า
พระบิดาทรงบัญชาให้เรากลับมาอีกครั้ง
เพื่อนำพาจิตวิญญาณพวกท่าน
ทุกชนชาติ ทุกศาสนาและไม่มีศาสนา
กลับบ้านเกิดของจิตวิญญาณที่ท่านจากมา
ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะช่วยเหลือได้

โดยเฉพาะการนำเอา อนุตรธรรม ชั้นสูง
ที่พระศาสดาจากโลกมิได้กล่าวให้ท่านได้รู้
นำมาบอกกล่าวต่อท่านทั้งหลายให้ได้รู้
เพราะถ้าไม่รู้ท่านจะมิอาจหลุดพ้นนิพพานได้

พวกมารทั้งหลายรู้ดีว่า
ท่านทั้งหลายผู้ปรารถนาการหลุดพ้น
มีจุดอ่อนหลายประการจึงมิอาจหลุดพ้นได้
ตัวอย่างเช่น

1.จิตยังตกเป็นทาสกิเลสตัณหาอยู่
พวกมารจึงนำเอาสิ่งยั่วยุกิเลสมานำเสนอ
โดยเคลือบธรรมะเอาไว้ภายนอก
เพราะมารพวกนี้เกิดตายมาหลายภพชาติแล้ว
จึงรู้ธรรมะพระบิดาจนสามารถสอนธรรมะได้

พวกเขาจะสอนธรรมะพวกท่าน
ด้วยการยั่วกิเลสกันดื้อๆ
เช่น ธรรมะพารวยๆๆๆๆๆเป็นเศรษฐี
ถ้าท่านกำลังอยากรวยอยู่พอดี
ก็เข้าทางมารทันที
ส่วนมากจะสอนให้ท่านหลอกตัวเองว่า
ท่านจะรวย ท่านต้องรวย รวยแน่ๆ
โดยไม่ได้สอนว่าทำรวยต้องทำอย่างไร

2.ถ้าจิตพวกท่านฝักใฝ่สิ่งลี้ลับเป็นทุนอยู่
พวกมารก็จะใช้อวิชชาประเภทมายาสาไถย
มาหลอกล่อจูงใจพวกท่านว่า
ถ้าปฏิบัติตามจะมีฤทธิ์เดชเหนือมนุษย์
จนสามารถสั่งจิตวิญญาณตนเองได้
จนสามารถตัดกรรมของตนเองได้ด้วยฤทธิ์
โดยความรู้ที่พวกมารเสี้ยมสอนท่านนั้น
จะเป็นสิ่งที่ท่านมิอาจเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร

3.ถ้าจิตท่านเป็นผู้ฝักใฝ่ธรรมะด้วยใจบริสุทธิ์
มารของท่านทั้งหลายก็คือพวกคนนำทางตาบอด
บุคคลิกภาพจะแลดูดีน่าเลื่อมใสศรัทธา

พวกนี้จะใช้ตนเองเป็นแบบอย่างให้ท่านย่างตาม
ถามอะไรตอบได้หมดรู้ไปหมดถูกผิดไม่รู้
ซึ่งจะอ้างว่าพาท่านนิพพานได้ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่า
เส้นทางที่จะนำพาพวกท่านไปนั้นเป็นทางตัน
โดยไม่รู้ด้วยว่าเส้นทางนิพพานแท้ไปทางใด
ได้แต่สอนให้ท่านหลับตาก้าวตามอย่างเดียว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจึงยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า
ยุคนี้เป็นยุคที่ว่างไปจากพระศาสดา
พระบิดาทรงเมตตาพวกท่านจึงส่งเรามา
ถ้าพวกท่านไม่รับฟังเรา
จิตวิญญาณจะหลงทางนิพพานอยู่อย่างเดิม
เพราะท่านทั้งหลายจะรับอนุตรธรรมที่จำเป็น
จากที่ไหนและจากใครบนโลกนี้ไม่ได้

พระบิดาทรงเป็นเสมือนต้นองุ่นต้นหนึ่ง
เพราะเราเป็นพระบุตรเอกที่พระองค์ส่งเรามา
เราจึงเสมือนเป็น "เถาองุ่น" ของพระองค์
ที่เลื้อยลงมาผ่านอนันตจักรวาลสู่โลกเสรี
เรามีหน้าที่ให้กำเนิดพวงผลองุ่นอันหวานฉ่ำ

แน่นอนว่าผลองุ่นทุกผลทุกพวง
จึงล้วนเป็นผลของต้นองุ่น
ที่เราลำเลียงมาจากพระองค์สู่โลกเสรี
ที่พวกท่านทั้งหลายเก็บกินได้อย่างปลอดภัย
กินแล้วจิตวิญญาณพวกท่านจะไม่ต้องตาย
จึงหยุดการมีสังสารวัฏได้โดยไม่ต้องหนี

ขณะที่มารของพวกท่าน
จะมีสิ่งจูงใจพวกท่านที่จิตติดกิเลส
ท่านทั้งหลายจึงต้องสังเกตคำสอนพวกเขา
ด้วยการฟังความให้รู้ความฟังความให้เข้าใจ
อย่าเชื่อตามง่ายๆถ้ายังไม่เข้าใจในคำสอนนั้น
อย่าเชื่อตามเพียงเพราะชอบใจ
อย่าเชื่อตามเพราะใครต่อใครเขาก็เชื่อ
เพราะนี่มิใช่วิถีของคนฉลาดที่มีอำนาจในตนเอง

การฟังคำสอนของพวกเขา
แล้วเอามาพิจารณาก่อนจะตกเป็นทาสการจูงใจ
มันจะช่วยให้ท่านล่วงรู้ได้เองว่า
มันเป็นผลของวัชพืชที่ท่านกินไม่ได้

วัชพืชอาจเกิดได้ในไร่องุ่น
แต่วัชพืชออกผลเป็นองุ่นไม่ได้

ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้
ต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้

ท่านคอยติดตามดูต่อไปเถิด
เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลองุ่นแล้ว
วัชพืชทุกต้นที่มีหนามคมและมีพิษ
จะถูกเจ้าของไร่องุ่นฟันทิ้งแล้วโยนเข้ากองไฟ

ดังนั้น
ถ้าท่านปรารถนานิพพานเพื่อการหลุดพ้นจริง
จงก้าวตามเรามาอย่าเหยียบเรือสองแคม
ถ้าท่านยังเอาตัวเองไม่รอด
แม้จะรักเพื่อนมนุษย์อยากช่วยฉุดรั้งคนอื่นๆ
ก็จงรับอนุตรธรรมตามมรรควิถีจิตจักรวาล
แล้วทำเพื่อจิตวิญญาณตนเองก่อนจะดีกว่า
กาลเวลาโลกเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว

เรากลับมาเพื่อฉุดช่วยมนุษย์ทุกคนแล้ว
จงอย่า "หาทำ" ในสิ่งที่นำท่านกลับบ้านไม่ได้
จงอย่าริอ่านจะเป็นผู้นำทางของใครๆ
ถ้ามันมิใช่หน้าที่ของท่าน
เชื่อเราเถิดว่าจิตวิญญาณของท่านน่ะ
อยากกลับบ้าน...มาตั้งนานหลายภพชาติแล้ว

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26/01/2021

25 มกราคม 2564

เรามาจากพระองค์

เรามาจากพระองค์

เราเป็นเถาองุ่น

ผลองุ่นจากเถาของเรา

เป็นดั่งพระโอวาทจากพระองค์ 

วัชพืชจึงออกผลเป็นองุ่นไม่ได้

เพราะมิได้มาจากพระองค์ 

วัชพืชจะออกผลเป็นองุ่นหวานไม่ได้

จงระวังคนนำทางตาบอด
กับผู้เผยแพร่ธรรมเท็จ
จะมาชวนเชื่อท่าน
ท่านจะรู้จักพวกเขาได้จากคำกล่าว
เพราะวัชพืชจะออกผลเป็นองุ่นหวานไม่ได้



20 มกราคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

20/01/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เนื่องจากแผนการสร้าง ชะตาชีวิต ร่วมกัน
ของจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้
ซึ่งตกลงกันว่าจะมาเกิดเป็นครอบครัวเดียวกัน
ตั้งแต่ภพชาติแรกเมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น

แต่ละรูปธรรมเป็นผู้เลือกทั้งบทบาท
และเป็นผู้จัดวางเงื่อนไขด้วยตนเอง
ให้รูปธรรมอื่นๆที่ร่วมครอบครัวเดียวกัน
ช่วยแสดงบทบาทและสร้างเงื่อนไขนั้นๆให้
เพื่อให้จิตหยาบของแต่ละรูปธรรม
สั่นสะเทือนจิตสามนึกด้านบวกได้ง่ายๆ
แต่ก็มีบางรายที่ออกแบบบททดสอบตนเอง
เอาไว้ค่อนข้างยากสำหรับจิตหยาบเช่นกัน

การวางแผนสร้างบททดสอบจิตสามนึก
ด้วยเงื่อนไขทั้งด้านบวกและด้านลบ
ของจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้ของทุกคนนี้
มันจะมีทั้งเงื่อนไขยากๆและง่ายๆคละกันไป
ทั้งนี้ก็เพื่อเหตุผลสองประการก็คือ

ประการแรก
เพื่อยกระดับจิตหยาบให้สั่นสะเทือนด้านบวก
อันเป็นคุณสมบัติเดียวกันกับแก่นแท้ของตน
จนสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกันให้จงได้

หากจิตหยาบของท่านสอบผ่านทุกบททดสอบ
จิตหยาบนั้นก็จะเข้าถึงอำนาจภายในได้แล้ว
นั่นเท่ากับว่าจิตวิญญาณของท่านผู้นั้น
เสมือนเป็นผู้ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ทั้งกายวาจาใจด้วยตนเองได้แล้วนับแต่บัดนั้น

ประการที่สอง
ถ้าจิตหยาบของท่าน
สามารถสั่นสะเทือนทางด้านบวกสูงสุด
จนเป็นคุณสมบัติเดียวกันกับจิตวิญญาณได้

จิตวิญญาณของท่านก็จะทำการผลิตสร้าง
พลังงานความรักในรูปของคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก
ที่มีอำนาจทางไฟฟ้าเป็นด้านบวกออกมาทันที
เพื่อมอบให้แก่คนรอบข้างและทุกสรรพสิ่ง
รวมทั้งดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้ด้วย
ซึ่งเป็นภารกิจหลักที่จิตวิญญาณแก่นแท้ต้องทำ
โดยจิตหยาบต้องให้ความร่วมมือเท่านั้น
จึงจะสำเร็จผลเช่นว่านี้ได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เพราะจิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่าน
ที่ขันอาสามาเกิดร่วมกันเป็นครอบครัวนั้น
ต่างล้วนต้องการให้ "จิตหยาบ" ของตน
สอบผ่านบททดสอบจิตสามนึกได้ไม่ยาก
เพื่อให้ตนเองออกมาขับเคลื่อนกายสังขาร
ปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณบนโลกนี้ได้
ด้วยตนเองตามที่ขันอาสาพระบิดากันมา

ดังนั้น
จิตวิญญาณแต่ละรูปธรรม
จึงไม่เลือกวางแผนบทละครหรือชะตาชีวิต
และบททดสอบอะไรๆที่มันยุ่งยากสลับซ้อน
ที่มันจะเสี่ยงต่อความล้มเหลวหรือสอบตก
ของจิตหยาบของตนเมื่อได้เผชิญโดยไม่จำเป็น

บทละครด้านดีกับเงื่อนไขที่เป็นบวก
ที่ตนวางแผนให้สมาชิกในครอบครัวช่วยแสดง
จึงมักจะเป็นเงื่อนไขที่สอบผ่านกันได้ไม่ยาก
แต่จิตก็จะผลิตสร้างพลังงานด้านบวกให้โลก
ในปริมาณค่อนข้างน้อยเกินไป

จิตวิญญาณแก่นแท้ในบางรูปธรรม
จึงได้สอดแทรกบทละครกับบททดสอบยากๆ
ให้ผู้อื่นแสดงออกหรือกระทำต่อตนเองไว้บ้าง
เพราะคาดหวังว่าถ้าจิตหยาบของตนผ่านได้
ตนก็จะสามารถผลิตพลังงานความรักด้านบวก
มอบให้กับทุกคนและมอบให้โลกได้มากกว่า
ซึ่งเป็นความต้องการของแก่นแท้นั้นเอง
มิได้มีผู้ใดบังคับบัญชาบงการหรือกำกับบท
นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า ดาวเคราะห์โลกเสรี

หมายความว่า
โลกนี้จะเป็น ดาวแห่งทางเลือกเสรี
ที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
เป็นผู้เลือกบทบาทกับบททดสอบ
จิตหยาบหรือจิตสามนึกของตนเอง
โดยให้สมาชิกคนอื่นๆในครอบครัว
ช่วยแสดงออกหรือหยิบยื่นให้ตนด้วย

โดยทั่วไปแล้ว
แก่นแท้ของพวกท่านจะสร้างครอบครัวกัน
ด้วยพลังอำนาจแห่งความรักบริสุทธิ์
ซึ่งสองคนผัวเมียจะเป็นผู้เริ่มต้นก่อน
จากนั้นก็จะมีบุตรหลานเป็นผู้มาใหม่
ต่างล้วนดึงดูดเหนี่ยวรั้งกันมาด้วยรักทั้งสิ้น

บทบาทที่แสดงเพื่อกันและกันในครอบครัว
จึงเป็นไปตามแผนการของชะตาชีวิต
ที่บรรจงขีดเขียนเองและสัญญาว่าจะทำต่อกัน
บนพื้นฐานของความรักเพื่อให้ทั้งสิ้น
จึงอาจเรียกว่าเป็น พันธะสัญญากรรม ก็ได้

ตัวอย่างของเงื่อนไขด้านบวก
ซึ่งเป็นบททดสอบจิตสามนึกแบบง่ายๆ
ที่พวกท่านนิยมแสดงออกหรือกระทำต่อกัน
ที่กำหนดไว้ในภพชาติแรกมีดังต่อไปนี้ คือ

1.ความเอื้ออาทรต่อกัน
2.การใส่ใจดูแลกัน
3.ความห่วงใยในกันและกัน
4.การเสียสละแบ่งปันกัน
5.การให้เกียรติกันและกัน
6.การคิดดีพูดดีทำดีต่อกัน

ตัวอย่างของเงื่อนไขด้านลบ
ที่แก่นแท้ของท่านบางรูปธรรม
อาจสอดแทรกเอาไว้บ้างในชะตาชีวิตนั้น
เพื่อหวังว่าจะช่วยกระตุ้นจิตหยาบของตัวเอง
ให้สั่นสะเทือนทางด้านบวกแรงๆได้
เมื่อลูกผัวตัวเมียของตนจะยื่นมาให้
เป็นต้นว่า

1.พูดไม่เข้าหู หรือ ปากเสีย
2.เข้าใจผิด คิดผิด เห็นผิด
3.ฟังไม่ได้ศัพท์แต่จับไปกระเดียด
4.เห็นแก่ตัว ไม่ยอมแบ่งปัน
5.นึกลบ คิดลบ มองในแง่ลบ
6.หูเบา ถูกคนข้างบ้านยุแหย่
7.เจ้าชู้ ขี้เหล้าเมายา
8.ชอบเล่นการพนัน
9.เกียจคร้าน ไม่เอาการเอางาน
10.ไม่สนใจครอบครัวเท่าที่ควร
11.ขี้ลืมในเรื่องสำคัญๆของกันและกัน
12.ทำผิดคำมั่นสัญญาต่อกัน
13.แส่เสือกในเรื่องส่วนตัวกันมากเกินไป
14.ใช้อำนาจเหนือนำซึ่งกันและกัน
15.ดื้อรั้นดันทุรังไม่รับฟังเหตุผล
16.ขี้งอนเอาแต่ใจตัวเอง
17.อวดดื้อถือดีมีมิจฉาทิฐิดื้อรั้น
18.ขี้ใจน้อย ขี้โมโห เจ้าอารมณ์
19.จู้จี้ขี้บ่น
20.โกรธง่ายหายช้า

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เงื่อนไขบททดสอบ "จิตสามนึกของจิตหยาบ"
ทั้ง 20 ประการที่เรายกมาอ้างไว้ข้างต้นนั้น
เดิมจิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านแลเห็นว่า
มันเป็นบทละครที่แสดงกันได้ไม่ยากอะไร
ทั้งตัวตนของผู้แสดงและผู้เผชิญเงื่อนไขนั้นๆ
แม้ว่ามันจะเป็น "เงื่อนไข" ด้านลบก็ตาม

ที่ว่าแสดงไม่ยากและตอบสนองด้านบวกไม่ยาก
เป็นเพราะว่าไม่มีข้อไหนใน 20 ข้อนั้นเลย
เป็นการ ทำร้ายร่างกาย ซึ่งกันและกัน
ให้บาดเจ็บทุกข์ทรมานให้พิการหรือถึงตาย
และเชื่อมั่นว่าสมาชิกทุกคนในครอบครัว
จะอดทน อดกลั้น ให้อภัยต่อกันได้ไม่ยากนัก
เพราะทุกคนในครอบครัวเริ่มมาจากความรัก
ใช้ชีวิตรวมกันเป็นครอบครัวก็ด้วยความรัก

แต่จิตวิญญาณแก่นแท้พวกท่านต้องผิดหวัง
ต้องเสียชาติเกิดกันมาแล้วหลายภพชาติ
เพราะจิตหยาบพวกท่านทำชะตาชีวิตพังสิ้น
เนื่องจากรักกันไม่ได้ ให้อภัยกันไม่เป็น
ไม่มีสัจจะในรักที่ให้ไว้ต่อกันตั้งแต่สร้างครอบครัว
แต่มันเป็นความรักที่เกิดจากกิเลสตัณหา
เป็นความรักที่เกิดจากความเห็นแก่ตัว
มากกว่าความรักเพื่อให้กันและกันด้วยใจบริสุทธิ์

เมื่อเผชิญเงื่อนไขจากบททดสอบด้านลบ
ที่สมาชิกในครอบครัวของท่านหยิบยื่นมาให้
ซึ่งจิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านนั่นแหละ
เป็นผู้วางแผนและออกแบบมันมาเองแท้ๆ
จิตหยาบของพวกท่านก็พาลสอบตกกันง่ายๆ
จนทำครอบครัวร้าวฉานบ้านแตกแหลกลาญ
แถมก่อพลังงานลบที่โลกไม่ต้องการขึ้นมาแทน
หนำซ้ำยังก่อ "ชะตากรรม" ทับซ้อนขึ้นมาอีก
เพราะตกเป็นทาสของกฎแห่งกรรม
จนแยกไม่ออกว่าไหนชะตาชีวิตของแก่นแท้
ไหนเป็นชะตากรรมของจิตหยาบเอง
ซึ่งจิตวิญญาณของตนต้องรับมันไว้ทั้งหมด

ถ้าครอบครัวใดสมาชิกในครอบครัวสอบตก
เพียงแค่รักกันไม่ได้ ให้อภัยกันไม่เป็น
แต่ยังก้มหน้าใช้ชีวิตร่วมกันแบบสุกๆดิบๆได้
เมื่อถึงคราวจบสิ้นอายุขัยของกายสังขาร
จิตวิญญาณของสมาชิกทุกคนในครอบครัว
จักต้องตายเพื่อการเกิดใหม่มีภพชาติใหม่

โดยตัวแสดงทุกตัวจะกลับมาเริ่มต้นกันใหม่
ในบทบาทเดิม เงื่อนไขเดิมและวิธีการเดิมๆ
เพื่อหวังให้จิตหยาบของตนในภพชาติใหม่
ทำภารกิจของจิตวิญญาณในสองมิติให้ได้

ใครเคยสวมบทบาทสามี ภรรยา หรือบุตร
ก็จะเกิดใหม่เพื่อแสดงบทบาทนั้นๆต่อไป
เงื่อนไขบวกลบที่ใครแสดงออกต่อใครอย่างไร
ก็จะแสดงออกต่อกันแบบนั้นอย่างเดิม
โดยจิตหยาบของทุกคนต้องเรียนรู้
เพื่อที่จะตอบสนองต่อกันให้ถูกต้อง
ด้วยการยึดมั่นในรักเพื่อให้ให้จงได้

พระบิดาทรงทราบว่า
สาเหตุที่พวกท่านในครอบครัว
สอบไม่ผ่านบททดสอบจิตสามนึกง่ายๆ
ที่ตนเองล้วนเป็นผู้วางแผนออกแบบไว้เอง
ก็เพราะสาเหตุหลักที่คล้ายๆกันคือ

เกิดการสติแตกหรือขาดสติ
เพราะเกิดอาการแตกตื่นตกใจ
เมื่อถูกยื่นเงื่อนไขหนึ่งใน 20 นี้มาให้
เนื่องจากนึกไม่ถึงหรือคาดไม่ถึงว่า
เขาหรือหล่อนจะเป็นคนเช่นนั้นไปได้

จากเดิมเขาเป็นสามีที่ดีที่น่ารักมาก
จู่ๆก็พบว่าเขาทำตนเป็นสามีที่ไม่น่ารักให้เห็น
เช่น เกียจคร้าน ไม่เอาการเอางาน
คบเพื่อนไม่ดี หลงใหลในอบายมุข
หรือเขากลายเป็นคนขี้เมา เจ้าชู้
แอบมีน้อย หรือ แอบซุกน้อยเอาไว้มาก เป็นต้น

เพราะ "เงื่อนไขด้านลบ" เหล่านี้เอง
ยังผลให้ภรรยาไม่พึงพอใจเป็นอย่างมาก
จึงเริ่มต้นจากการมีปากเสียงกันทะเลาะกัน
จนทั้งสองฝ่ายเกิดอาการสติแตกลุแก่โทสะ
จึงใช้อารมณ์หยาบๆนำหน้าความรักและปัญญา
เข้าทำการต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้านกันรุนแรง

กรณีกรรมแบบที่ว่านี้
มันจะนำไปสู่การโกรธ เกลียด เคียดแค้นกัน
มีการอาฆาตพยาบาทกันเกิดขึ้น
ถ้าจิตวิญญาณตายไปแล้วชาติหน้ามาเกิดใหม่
ใครจะกลับมาเป็นสามีหรือภรรยาแบบเดิม
มันก็อาจมีความไม่แน่นอนแล้ว

ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเจ็บแค้น
แล้วเกี่ยวกรรมกับอีกฝ่ายหนึ่งเอาไว้
ด้วยความอาฆาตมาดร้ายว่า
"อย่าให้ฉันเป็นผัวเอ็งบ้างก็แล้วกัน
ฉันจะแก้แค้นเอาคืนเธอบ้าง"

ถ้ากรรมสัมพันธ์มันเป็นมาอย่างนี้
เมื่อจูงมือพากันมาเกิดใหม่ในภพชาติใหม่
การสลับบทบาทที่แสดงจากชะตาชีวิตเดิม
มันจึงจะเกิดขึ้นตามกรรมที่กำหนดไว้
มันคือบทละครใหม่ที่เรียกว่า "ชะตากรรม"

ดังนั้น
การตายของจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
คือการ "เซ็ทซีโร่" เพื่อการเกิดใหม่
เพื่อมาร่วมกันสอบให้ผ่านบททดสอบกันใหม่
ในความเป็นสมาชิกครอบครัวแบบเดิม

ส่วนการสลับบทบาทหน้าที่กันนั้น
มันเป็น"ชะตากรรม" ที่จิตหยาบก่อขึ้นเอง
จนทำให้จิตวิญญาณแต่ละคนเดือดร้อนหนัก

ถ้ามีการเกิดใหม่หลายภพชาติ
ต่างคนต่างสอบตกบททดสอบตนเองซ้ำซาก
จิตวิญญาณแต่ละรูปธรรมก็จะเวียนว่ายตายเกิด
ลงนรกบ้าง เป็นสัมภเวสีบ้าง เป็นสัตว์บ้าง
กลับมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแก้แค้นไม่รู้จบบ้าง
ก็เพราะจิตหยาบ "ขาดสติ" ในชีวิตทั้งนั้น

เราจึงบอกท่านไว้เสมอว่า
จงครองมหาสติและมีปณิธานแห่งการหลุดพ้น
สองสิ่งนี้ท่านทั้งหลายต้องยึดถือไว้ให้มั่น
เพราะมันจะช่วยท่านสอบผ่านบททดสอบได้
จะช่วยท่านไม่ก่อกรรมใหม่แก้ไขกรรมเก่าได้
เป็นคนพ้นกรรมที่อยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้

ซึ่งท่านจะประสบผลสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ
ท่านเข้าถึงความรักเพื่อให้และใช้ปัญญาเท่านั้น
อย่าใช้อารมณ์ขยะในการดำเนินชีวิตร่วมกัน

บัดนี้โลกสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
พวกท่านเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในระบบโลก
ครบกำหนดหกหมื่นปีตามสัญญาแล้ว
จิตหยาบของท่านจะต้องนำพาแก่นแท้
คือจิตวิญญาณผู้อาสามาเกิดเป็นตัวท่าน
หลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาลนี้ให้ได้
ก่อนพระองค์จะเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่

เมื่อทราบความจริงนี้แล้ว
อย่ามัววิตกกังวลหรือใส่ใจอยู่อีกเลยว่า
ความผิดพลาดในชีวิตครอบครัวที่ผ่านมา
จะบ้านแตก ครัวแตก สติแตก หัวแตกปากแตก
เพราะเอ็ง เพราะข้า หรือว่าเพราะใคร
มันไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว
นอกจากคำเดียวคือ ต้องมี สำนึก ในผิดบาป
เพื่ออโหสิกรรมต่อกันให้สิ้นเท่านั้น

จงอย่าไปสนใจชาติหน้า
เพื่อหวังว่าจะมาแก้ไขหรือหวังว่าจะไปแก้แค้น
ขอให้ทุกสิ่งอย่างมันจบสิ้นลงในชาตินี้
ถ้ามีความปรารถนาจะหลุดพ้นกันอย่างแท้จริง

กราบพระบาทพระบิดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20/01/2021

19 มกราคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

19/01/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ในความเป็นมนุษย์ของท่านนั้น
พระบิดาทรงกำหนดให้เครื่องยนต์แห่งกรรม
มีดวงตาให้ท่านใช้อยู่ถึงสองข้าง
ซึ่งท่านจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้
ก็ต่อเมื่อตาของท่านต้องเป็นปกติ
และจะมองเห็นได้เมื่อมีความสว่างเท่านั้น

ดังนั้น
การที่ตาของท่านมองเห็นได้เมื่อมีแสงสว่าง
ถ้าไม่มีแสงสว่างตาของท่านก็มองไม่เห็นนั้น
ดวงตาสองข้างของท่านจึงเป็นดั่งดวงประทีป
ซึ่งเป็นกลไกชิ้นสำคัญยิ่งที่ท่านขาดมันไม่ได้
โดยท่านจะปล่อยให้มันมืดดับไม่ได้เลย
เพราะท่านจะมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
ถ้าดวงประทีปสว่างไสวท่านก็จะเห็นได้ทุกสิ่ง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

หากเปรียบจิตหยาบของท่านคือตัวท่าน
แสงสว่างที่จิตท่านต้องการในการมองเห็น
ก็คือ "แสงสว่างทางปัญญา" เพื่อการคิดรู้
โดยแสงสว่างทางปัญญานี้จะได้จากสมอง
ที่สั่นสะเทือนร่วมกันกับจิตของท่านนั่นเอง

คนที่ไม่รู้จักคิดคือคนโง่
คนโง่ก็คือคนที่มีความมืดบอดทางปัญญา
ที่ว่าโง่เพราะมีปัญญาของสมองอยู่แต่ไม่ใช้
ซึ่งต่างจากคนที่คิดอะไรไม่ค่อยออก
คิดอะไรไม่ค่อยจะได้ หรือ คิดได้ช้ากว่าคนอื่น
คนพวกนี้ดีกว่าหน่อยเพราะเป็นผู้ด้อยปัญญา
คือรู้จักคิดรู้จักใช้แล้วแต่ยังขาดความสามารถ

ผู้ที่มีความสามารถในการใช้ปัญญาของสมอง
คือผู้ที่มีแสงสว่างอยู่ในตัวเอง
ทำให้การก้าวย่างในชีวิตประจำวัน
ไม่เป็นไปอย่างสะเปะสะปะไม่ตกหลุมตกร่อง
ไม่ออกนอกลู่นอกทางจนตกเหวเสียหาย
เพราะสามารถมองเห็นเส้นทางที่ย่างเดิน
จนก้าวถึงที่หมายปลายทางได้ในไม่ช้า

เราหมายความว่า
ท่านทั้งหลายต้องฉลาดในการดำเนินชีวิต
โดยใช้สติปัญญาเป็นเครื่องมือนำทาง
แทนการใช้อารมณ์นำพฤติกรรมนั่นเอง
เพราะการใช้อารมณ์ในการดำเนินชีวิตนั้น
ไม่ต่างจากท่านกำลังเดินอยู่ในความมืด
นอกจากจะมองไม่เห็นทางที่ย่างเดิน
มองไม่เห็นเป้าหมายปลายทางที่จะไปแล้ว
ท่านก็จะมองไม่เห็นอุปสรรคขวากหนาม
ที่ควรจะข้ามผ่านข้ามพ้นอีกต่างหากด้วย

ในการเป็นมนุษย์ของท่าน
จิตวิญญาณแก่นแท้ตัวจริงของท่านเอง
จึงปรารถนาจะให้จิตหยาบของตน
บากบั่นหมั่นเพียรขยันเรียนรู้โลกในทุกสิ่ง
ที่มันผันผ่านเข้ามาเป็นประสบการณ์ชีวิต
เพื่อสั่งสมภูมิธรรม ภูมิรู้ และ ภูมิปัญญา
เอาไว้เป็นเสบียงของจิตวิญญาณของท่าน
ที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นนิพพานในอนาคต

ท่านจึงต้องรู้ว่า
จะใช้สมองทั้งสองซีกในการ "ส่องโลก"
เพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งในชีวิตประจำวันอย่างไร
ซึ่งมันหมายถึงการเรียนรู้ที่จะจุดตะเกียง
สร้างแสงสว่างให้ตนเองโดยแท้

คนฉลาดจะไม่ใช้ปัญญาไปตามยถากรรม
หมายถึงนึกคิดอะไรๆไปแบบอัตโนมัติ
แต่จะเป็นผู้กำหนดนึกกำหนดคิด
ในสิ่งที่ตนเองอยากรู้อยากเรียนรู้เท่านั้น
โดยรู้ว่าถ้าตนต้องการคำตอบในเรื่องใด
ตนจะต้องใช้ความคิดแบบไหนอย่างไร

การปฏิบัติตนเช่นว่านี้
มันจะช่วยให้ท่านฉลาดใช้ปัญญามากขึ้น
โลกของท่านจะค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆ
ชีวิตของท่านก็จะรุ่งโรจน์โชติช่วงมากขึ้น
ท่านต้องจำไว้เสมอว่ายิ่งสว่างมากเท่าใด
ท่านจักมองเห็นอะไรๆยิ่งชัดขึ้นเท่านั้น
แปลว่าความฉลาดมากๆของท่าน
มันจะช่วยให้ท่านประสบความสำเร็จในชีวิต
ทั้งทางโลกและทางจิตวิญญาณโดยแท้

แต่ท่านจักต้องระลึกไว้อย่างหนึ่งว่า
สมองของท่านมีอยู่สองซีก
ไม่ต่างจากดวงตาของท่านที่มีสองดวง
เวลาท่านมองสิ่งใดท่านต้องมองสิ่งนั้นๆ
ด้วยดวงตาทั้งสองข้างพร้อมกันเสมอ
จะใช้ตาข้างหนึ่งไปมองหาอย่างหนึ่ง
ขณะอีกข้างหนึ่งไปมองหาอย่างอื่นไม่ได้

สมองสองซีกก็เช่นกัน
เมื่อท่านใช้มันขบคิดเรื่องใดก็ตาม
ท่านจักต้องใช้สมองคิดมันทีละเรื่อง
เพื่อให้บรรลุประสิทธิผลการคิดสูงสุด

แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ได้เวลาแล้ว
ที่ท่านจะต้องทำเพื่อจิตวิญญาณของตน
เพราะท่านได้ทำเพื่อจิตหยาบมานานโขแล้ว
เนื่องจากพระบิดาได้ทรงพิพากษาโลก
เพื่อจะเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
ด้วยภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย

โดยท่านต้องช่วยนำพาจิตวิญญาณของท่าน
หลุดพ้นนิพพานออกไปจากอนันตจักรวาล
ก่อนวันเวลาสุดท้ายของการเปลี่ยนยุคให้ทัน

ถ้าตาข้างหนึ่งยังแสวงหาทรัพย์สมบัติ
ขณะตาอีกข้างหนึ่งจะแสวงหาพระบิดา
เราขอบอกท่านเลยว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้
ยิ่งตาทั้งสองข้างของท่านยังบ้าสมบัติอยู่
ท่านก็จะยิ่งนำจิตวิญญาณไปถึงพระองค์มิได้
ขอท่านทั้งหลายจงโปรดใคร่ครวญ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19/01/2021

18 มกราคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

18/01/2021



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ระหว่างการรอโอกาสที่จะมีภพชาติใหม่นั้น
จิตวิญญาณของท่านก็คือ กล่องพลังงาน
ซึ่งเป็น "ตัวตนที่แท้จริง" ผู้ขันอาสาพระบิดา
เข้ามาจุติเป็นมนุษย์บนดาวเคราะห์โลกเสรีนี้

แต่ในทุกภพชาติของการกลับมาเกิดใหม่
"จิตวิญญาณ" ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของท่านนั้น
จะแบ่งภาคตนเองออกมาเป็น "กลุ่มพลังงาน"
ซึ่งเรียกว่า #จิตหยาบ หรือ "จิตมนุษย์"
เพื่อทำหน้าที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่เรียกว่า กายสังขาร หรือกายหยาบแทนตนเอง
โดยตัวตนที่แท้จริงแต่เดิมจะซ่อนเร้นอยู่ข้างใน

ดังนั้น
ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ความจริงนี้ไว้ด้วยว่า
จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่าน
ที่เป็นตัวแทนของ "จิตวิญญาณ" นั้น
ไม่ต่างจาก "เงา" ของแก่นแท้ของท่านเอง

สิ่งที่จิตวิญญาณหรือตัวท่านเองต้องการก็คือ
ต้องการให้ "จิตหยาบ" ซึ่งเป็นกลุ่มพลังงาน
ที่ตนเองแบ่งภาคออกมาให้ช่วยทำหน้าที่แทน
เรียนรู้ที่จะยกระดับการสั่นสะเทือนของจิต
ให้สูงขึ้นทางด้านบวกในระดับสูงสุดให้จงได้
อันหมายถึง ความรักเพื่อให้ ในทุกรูปแบบ

การยกระดับแรงสั่นสะเทือนสูงสุดด้านบวก
เป็นกุศโลบายเดียวที่จะทำให้จิตหยาบของตน
ที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
มีสถานภาพเหมือน "จิตวิญญาณ" ที่เร้นอยู่ข้างใน
เป็นผู้ออกมาทำหน้าที่ขับเคลื่อนด้วยตนเอง
เพราะจิตวิญญาณของท่านจะสั่นสะเทือนด้านบวก
เป็นคุณสมบัติเฉพาะตนเท่านั้นไม่มีสั่นเป็นอื่น

ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อจิตหยาบเข้าถึงจิตวิญญาณของตนได้แล้ว
ภารกิจการงานใดก็ตามที่จิตหยาบทำในสองมิติ
คือ มิติของกายสังขารกับมิติของจิตหยาบนั้น
จึงเสมือนจิตวิญญาณกระทำด้วยตนเองโดยแท้

ถ้า "จิตหยาบ" คือตัวท่านขณะเป็นมนุษย์อยู่นี้
จะเข้าถึงการเป็น ตัวแทนของตัวจริง ได้
ก็เพียงแค่สั่นสะเทือนทางจิตด้านบวกเท่านั้น
โดยต้องยกระดับจิตให้อยู่เหนือโลภโกรธหลง
อย่างสิ้นเชิงให้จงได้

วิธีที่จิตหยาบคือตัวท่านจะทำสำเร็จได้
จำต้องอาศัยเงื่อนไขจากบทละครชีวิต
ที่คนรอบข้างหยิบยื่นเป็น "บททดสอบ" มาให้
ทั้งเงื่อนไขในบททดสอบที่ดีและร้าย
โดยตัวท่านจะต้องสอบผ่านมันไปให้ได้
ในแบบที่ว่า ถึงร้ายก็รัก ไม่ร้ายก็รัก
ยอมรักอย่างไม่มีเงื่อนไข และ รักได้ทุกคน
ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใครก็ตาม

นอกจากนั้น "จิตหยาบ" คือ ตัวแทนของแก่นแท้
ยังต้องเรียนรู้ที่จะยกระดับความฉลาดทางปัญญา
ในการสั่นสะเทือนสมองทั้งสองซีกให้เต็มพลัง
เพื่อเข้าถึงสติปัญญาและปัญญาญาณให้จงได้

เพราะขณะที่จิตวิญญาณมาเกิดเป็นมนุษย์
ต้องขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ต้องทำหน้าที่ทั้งสองมิติให้ถูกต้องสมบูรณ์
ต้องสอบผ่านบททดสอบทุกบทจากคนรอบข้าง
เพื่อยกระดับตนเองให้เป็นดั่งจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงที่เร้นอยู่ข้างในให้ได้นั้น

นอกจากจะต้องมี ความรัก เพื่อให้แล้ว
จิตวิญญาณของท่านยังต้องการให้ใช้ ปัญญา
ในการเรียนรู้ คิดรู้ ตัดสินใจและการแก้ไขปัญหา
เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เป็นเงื่อนไขด้วย

จิตหยาบซึ่งเป็นดั่งเงาของจิตวิญญาณ
จึงต้องยกระดับทั้งจิตและปัญญาของสมอง
ขณะดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ไปจนตลอดอายุขัย
โดยจะทำตัวเหลวไหลจะทำตนไม่เอาไหน
หรือทำตนเป็นคนเกียจคร้านไม่เอาถ่านไม่ได้

ทุกวันเวลานาทีที่ได้โอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์
จิตวิญญาณตัวจริงของท่านที่เร้นอยู่ข้างใน
เสมือนถูกกักขังเอาไว้มิให้แสดงบทบาทอะไร
จึงทำได้แค่เพียง 2 สิ่งเท่านั้นก็คือ

1. การอดทนรอคอยเวลา
ที่จิตหยาบจะสามารถเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียว
ระหว่าง "ตัวแทน" กับ "แก่นแท้" ของตนได้

เพราะถ้าจิตหยาบสามารถเข้าถึงได้เมื่อใด
มันคือความสำเร็จของจิตวิญญาณ
ที่ขันอาสาพระบิดาว่าจะมาเกิดเป็น มนุษย์
อันหมายถึงมาเกิดเป็น "คนสองมิติ" ได้เมื่อนั้น

2. การคอยลุ้นให้ผ่านทุกบททดสอบ
ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่าจิตวิญญาณแก่นแท้
ซึ่งเป็นตัวจริงของท่านที่เร้นอยู่ข้างในนั้น
จะรู้ล่วงหน้าเสมอว่าจิตหยาบของตนนั้น
กำลังจะต้องเผชิญกับบททดสอบอะไรบ้าง

แต่เขาทำได้อย่างเดียวเท่านั้นก็คือ
คอยลุ้นให้ "จิตหยาบ" ตัวแทนของตนเอง
สามารถใช้ปัญญาตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง
สามารถใช้ความรักตอบสนองบททดสอบนั้นๆ
เพื่อให้ผ่านบททดสอบนั้นๆไปให้ได้

ขณะเดียวกันถ้าจิตวิญญาณแก่นแท้ข้างใน
พบว่าจิตหยาบของตนคิดตัดสินใจผิดพลาด
ก็จะเกิดอาการหวาดเสียว เศร้าหมอง ทุกข์ระทม
จนเกิดความลุ้นระทึกอยู่ข้างในเสมอ
เนื่องจากไม่สามารถออกมาช่วยเหลืออะไรได้

ยกเว้นในสถานการณ์ที่จิตหยาบของตน
เกิดอาการลังเลสับสนไม่รู้ว่าตนจะตัดสินอย่างไร
จิตวิญญาณแก่นแท้ก็จะฉวยโอกาสแค่แว๊บๆ
ขณะที่จิตหยาบกำลัง "ลังเล" จน "โลเล"
ทำการส่ง สัญชาตญาณ ชี้นำออกมาจากข้างใน
ถ้าจิตหยาบหลงตัวเองจนลืมจิตวิญญาณของตน
หรือจิตหยาบเป็นผู้มีมิจฉาทิฐิสูงจนเกินขนาด
ก็จะไม่สามารถรับฟังสัญชาตญาณที่ส่งออกมาได้
การสอบตกบททดสอบนั้นๆจึงเลี่ยงไม่พ้น

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

จงอย่าสงสัยสับสนเลย
ถ้าตอนที่ท่านเกิดเป็นมนุษย์อยู่นี้
เราบอกว่าตัวตนแก่นแท้ตัวจริงของท่านนั้น
ก็คือกล่องพลังงานจิตวิญญาณที่เร้นอยู่ข้างใน

โดยแก่นแท้คือตัวจริงของท่านนั้น
ได้แบ่งภาคออกมาเป็น "กลุ่มพลังงาน"
จำนวนรวมทั้งสิ้น 189 กลุ่มเพื่อแยกกันทำหน้าที่
ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
โดยทั้งหมดรวมๆกันเรียกว่า จิตหยาบ
และจิตหยาบที่ว่านี้ก็คือ ตัวตนของท่านเช่นกัน
แต่เป็นตัวตนที่แท้จริงขณะแสดงบทบาทมนุษย์
ส่วนตัวตนแท้จริงที่ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
จะหยุดแสดงบทบาทของตนเอาไว้ชั่วคราว

เมื่อถึงวันเวลาที่จิตวิญญาณนั้นต้องตาย
ก่อนทิ้งกายสังขารไว้เพียงไม่กี่นาที
จิตวิญญาณจะทำการก้อปปี้คุณสมบัติทั้งหมด
จากจิตหยาบผู้เป็นดั่งเงาของตนมาเป็นของตัว
ไม่ว่าจะเป็นจริตสันดานและผลกรรมที่ก่อไว้
ตัวตนที่แท้จริงจะรับไว้ทั้งหมดไม่มีขาดพร่อง
เสมือนหนึ่งตนเองเป็นผู้ก่อเองสร้างเองทั้งสิ้น

เพราะความจริงมีอยู่ว่า
สิ่งใดที่ตัวแทนผู้รับมอบอำนาจ
ได้กระทำลงไปไม่ว่าจะถูกจะผิดจะดีจะชั่ว
ผู้มอบอำนาจต้องรับผิดชอบโดยไม่มีเงื่อนไข

ด้วยเหตุนี้เอง
การที่จิตวิญญาณเมื่อตายแล้วต้องเกิดใหม่
โดยมีเงื่อนไขจากการมีกรรมเป็นกำเนิดนั้น
กรรมที่ว่านี้จิตหยาบของตนในอดีตชาติ
เป็นผู้ก่อมันขึ้นมาให้เป็นภาระของแก่นแท้
จนจิตวิญญาณต้องไปลงนรกบ้าง
จนต้องหลงทางไปค้างบนสวรรค์มายาบ้าง
จนต้องไปเกิดเป็นสัตว์ประจำโลกบ้าง
จนต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกบ้าง เป็นต้น

เราจึงขอเปิดเผยความลับเหล่านี้ให้ท่านรู้
จักได้รู้จักตนเองใน 2 ภาคให้กระจ่าง
เพราะเป็นความจริงระดับ อนุตรธรรม
ที่พระองค์ทรงเมตตาต่อพวกท่านทั้งหลาย
ให้เรานำมากล่าวไว้เป็นบทเรียนของวันนี้

ถ้าท่านไม่รู้ว่าจิตหยาบของตนเป็นใคร
เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณอย่างไร
เราก็จะกล่าวทิ้งท้ายไว้ให้ว่า
กรรมทั้งหมดที่จิตหยาบคือตัวท่านก่อไว้
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านเมื่อตายไป
ก็คือ "ตัวท่านเอง" นี่แหละ
ที่จะทำการถ่ายโอนคุณสมบัติทั้งหมดไป
เพื่อรับมันเอาไว้ทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นแหละ

ดังนั้น
จิตหยาบคือตัวท่านเอง
จึงต้องฉลาดในการดำเนินชีวิต
โดยต้องไม่กระทำสิ่งใดให้จิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของตนเองเดือดร้อน
คนโง่และคนสติไม่ดีเท่านั้น
เมื่อรู้ว่าตนเป็นคนที่มี สองภาค ในตนเองแล้ว
ก็ยังคนตนเองให้เป็นมนุษย์
เพื่อการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณไม่ได้

กราบพระบาทพระบิดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18/01/2021

16 มกราคม 2564

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

16/01/2021


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เพราะบทบาทหน้าที่ของท่านทั้ง 3 นี้
ไม่เหมือนกันซึ่งท่านทั้งหลายต้องรู้ไว้
กล่าวคือ

1.ครูผู้สอนศีลธรรม
2.ศาสดาซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
3.อนุตรธรรมาจารย์ซึ่งเป็นพระบุตรเอก

โลกในกาลอดีตที่ผ่านมา
พวกท่านมากมายมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง
ต่อบทบาทหน้าที่ของผู้ประเสริฐทั้งสามนี้
บางคนจึงสร้างความสับสนให้แก่ตนเอง
และบางคนยังเป็นผู้สร้างความงมงาย
ให้แก่เพื่อนมนุษย์ร่วมโลกอีกมากมายด้วย
ซึ่งเป็นสาเหตุแห่งการหลุดพ้นนิพพานไม่ได้
ในทุกภพชาติแห่งการเกิดใหม่ตลอดมา

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
บทบาทหน้าที่ของท่านทั้งสามนี้เป็นอย่างไร
คุณสมบัติทางจิตวิญญาณของแต่ละท่าน
มีองค์ประกอบสำคัญอย่างไรกันบ้าง
แต่ละท่านมีความแตกต่างกันตรงไหนอย่างไร
เราจะเฉลยความจริงให้ท่านฉลาดรอบรู้ยิ่งขึ้นดังนี้

1. ครูผู้สอนศีลธรรม
หมายถึง คนที่ศึกษาเรียนรู้ข้อธรรมะต่างๆ
จากครูบาอาจารย์ที่เป็นผู้รู้เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
จนมีความรอบรู้ในองค์ธรรมะนั้นๆ
แล้วนำมาแบ่งปันต่อเพื่อนมนุษย์ผู้รู้น้อยกว่า
โดยตนไปฟังไปจำครูบาอาจารย์ผู้รู้ท่านสอนมา
เมื่อรู้แล้วก็นำมาสอนต่อบอกต่อคนอื่นต่อไปอีก

ครูผู้สอนธรรมะพวกนี้
จะแสดงออกทางสังคมอยู่ 3 แบบ คือ

แบบแรก
เป็นจำพวก ศิษย์มีครู ซึ่งน่าศรัทธาเชื่อถือยิ่ง
เพราะคนพวกนี้กล้าเปิดเผยนามครูบาอาจารย์
ให้คนทั้งสังคมได้รู้ว่า "ครู" ของตนเป็นใคร
เพื่อเป็นเครื่องการันตีว่าธรรมะของตนไม่มีโมเม
ไม่ใช่ธรรมะมั่วๆหยิบโน่นผสมนี่จนไม่น่าเชื่อถือ
สามารถคิดตามเชื่อตามเห็นตามและทำตามได้

คนพวกนี้จะไม่มีอีโก้ คือ ไม่หลงตัวเอง
แม้ว่าตนจะเรียนมากรู้มากจนพอตัวแล้ว
ก็จะไม่ทำวางโตโอ้อวดอุตริเป็นเจ้าลัทธิ
เมื่อรู้ธรรมะมากแล้วก็ยังจะให้เกียรติยกย่อง
ครูบาอาจารย์ของตนอยู่เหนือหัวเสมอ

แบบที่สอง
เป็นจำพวก ศิษย์มีตำรา ยึดคัมภีร์เป็นคู่มือ
เป็นคนที่ศึกษาเรียนรู้ธรรมะจากพระคัมภีร์
อ่านมากท่องมากก็จดจำได้มาก
เวลานำไปสอนคนอื่นก็จะใช้ความเข้าใจ
อันเกิดจากความคิดความเชื่อส่วนตัวเป็นหลัก

คนพวกนี้จะสอนพวกท่านโดยไม่ต้องคิด
เพราะจะท่องจำไปตามคัมภีร์ที่ตนยึดถือ
ซึ่งบางบทบางตอนในคัมภีร์อาจมีผิดเพี้ยน
เพราะพระศาสดามิได้บันทึกไว้ด้วยตนเอง
คนรุ่นหลังสร้างคัมภีร์นั้นขึ้นมาจากความจำ
แล้วนำมาบันทึกไว้จากความเข้าใจส่วนตัว

ครูจำพวกนี้จะเป็นพวกมีมิจฉาทิฐิสูง
ในการยึดติดพระคัมภีร์ที่ตนคิดว่าศักดิ์สิทธิ์
เพราะเห็นว่ามีคนเชื่อมานานนับพันๆปีแล้ว
ไม่กล้าคิดตีความตามพระคัมภีร์
ไม่กล้าแม้จะคิดต่างเพราะกลัวว่าจะผิดบาป
โดยไม่เคยถามตัวเองว่า "ใครห้าม" มิให้คิด
ทั้งๆที่การรู้จักคิดจะช่วยให้ฉลาดรอบรู้มากขึ้น
การไม่คิดได้แต่แต่เชื่อตามสถานเดียว
จะมีแต่ความโง่งมงายมากขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น

ครูผู้สอนธรรมะพวกนี้
เวลาสอนธรรมะยากๆหรือเมื่อมีคนเห็นแย้ง
ก็ชอบที่จะหยิบยกเอาคัมภีร์ขึ้นมาอ้าง
โดยใช้พลังบารมีของผู้สอนธรรมะในคัมภีร์นั้น
เป็นเครื่องยืนยันการันตีความถูกต้อง

แบบที่สาม
เป็นจำพวก ครูพักลักจำ ทำตนเป็นศิษย์ไม่มีครู
เพราะ "ไม่อยาก" จะเป็นศิษย์ใครแต่อยากเป็นครู
จึงทำตนเป็นพวกศิษย์ไม่มีครู

วันๆจึงเที่ยวสอดส่องหาความรู้
ด้วยวิธีการ ลักจำ ความรู้ของผู้อื่นเท่านั้น
โดยทำตนเป็นคน "ตาไว" เพียงใบไม้ไหวก็เห็น
ใครเป็นผู้รอบรู้อยู่หนไหนไกลใกล้ก็จะไปให้ถึง

โดยทำตนเป็นคน "หูไว" จำพวกสี่เท้าหูกาง
เสียงค่อยเสียงดังก็จะเงี่ยหูฟังเพื่อรับเอาไว้
ถ้าความรู้นั้นจะช่วยให้ตนเด่นดังเหนือคนอื่นได้
คนหูไวเป็นต้องไม่พลาดอย่างเด็ดขาด

โดยทำตนเป็นคน "หัวดี" สอนง่ายและจำเก่ง
เป็นคนฉลาดเรียนรู้ไวเข้าใจเร็วกว่าคนอื่นๆ
จึงมีคุณสมบัติเหนือกว่าคนส่วนใหญ่
ในการถ่ายทอดความรู้จากความจำที่เพิ่งก้อปปี้มา
และมีความสามารถในการพูดจาที่พอมีประมาณ
คนพวกนี้จึงฟังปุ้ปจำปั้ปแล้วพูดต่อได้เป๊ะ
เหมือนทุกสิ่งออกมาจากปัญญาของตัวเองเลย

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

หากท่านหลงไปเป็นศิษย์สาวกของครูไม่มีครูพวกนี้
โอกาสเรียนรู้ผิดเพราะความรู้ที่เขาสอนไม่ถูกต้อง
เพราะคนที่ลักจำมาสอนอาจจำมาไม่หมด
หรือจำมาผิดๆซึ่งมีความเป็นไปได้สูงยิ่ง

นอกจากนั้น
ครูพักลักจำที่นำเอาของคนอื่นมาสอนต่อ
โดยอ้างอิงว่ารู้เองเป็นเจ้าของความรู้นั้นเอง
หรือนำไปกล่าวต่อโดยไม่อ้างอิงครูหรือตำรา
เมื่อตายไปแล้วจิตวิญญาณจะต้องโทษในนรก

เมื่อกลับมาเกิดใหม่ในภพชาติใหม่
จะต้องเกิดเป็นสุนัข "จรจัด"
เที่ยวพเนจรหากินไปเรื่อยๆเพราะไม่มีเจ้าของ
โดยใช้ตาหูและปากที่ช่างเห่าเป็นเครื่องหากิน
เพื่อสร้างสำนึกใหม่ที่ถูกต้องนั่นเอง

ยิ่งถ้าทำตนเป็นครูแล้วอวดรู้สอนผิด
จนทำให้คนอื่นหลงผิดหลงทางหลงธรรม
ตายไปแล้วจิตวิญญาณจะลงนรกขุมที่ 13
นรกขุมนี้ลงไปแล้วกลับขึ้นมายากมาก
เพราะจิตวิญญาณติดนิสัยการหลงตัวเอง
ไปจากจิตหยาบตอนที่เป็นมนุษย์
การมีสำนึกผิดบาปในนรกจึงค่อนข้างยาก
เมื่อสำนึกยากหรือไม่สำนึกจึงต้องตกนรกนาน

2. ศาสดาซึ่งเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ
หมายถึง ผู้ที่ผ่านการศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง
จนมีความรอบรู้ทั้งสามมิติในระดับ สัพพัญญู
นั่นคือ ความจริงในมิติโลกทางด้านกายภาพ
ความจริงในมิติจิตวิญญาณทางด้านพลังงาน
และความจริงในมิติของ "อนันตจักรวาล"

เมื่อมีความรอบรู้จนเป็นเอกแห่งยุคนั้น
ชนิดที่ไม่มีมนุษย์คนไหนจะเทียบเทียมได้แล้ว
ท่านผู้ประเสริฐนั้นจึงได้แบ่งปันสิ่งที่ตนรอบรู้
ให้เพื่อนมนุษย์ทั้งหลายที่มีเป้าหมายเดียวกัน
ได้รับรู้เพื่อเรียนรู้แล้วนำไปสู่การปฏิบัติในชีวิต
เพื่อยังประโยชน์สุขทั้งด้านกายสังขาร
และด้านจิตวิญญาณแก่นแท้ของแต่ละคนต่อไป
เพื่อก้าวตามพระศาสดาของตนสู่มรรคผลนั่นเอง

แม้พระศาสดาทั้งหลายเป็นผู้ที่เกิดจากโลก
แต่พระบิดาก็จะทรงเมตตาอนุญาตให้
เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของเวไนยในยุคนั้นได้
แต่เวไนยสัตว์ทั้งหลายก็จักต้องยอมรับเองด้วย
ที่สำคัญคือพระศาสดาจักต้องใช้ความรู้ส่วนตัว
จากความสามารถทางจิตปัญญาของตนเอง
และจากประสบการณ์เรียนรู้ด้วยตนเองเท่านั้น
มิใช่ลักจำคำสอนพระศาสดาอื่นเอามากล่าวต่อ

ผู้ที่แสดงบทบาทลักษณะจำจากพระศาสดา
หรือจำมาจากพระคัมภีร์แล้วนำมากล่าวต่อนี้
เราจะเรียกว่า คนนำทาง นั่นเอง
คนนำทางในความหมายของเราจึงมิใช่ศาสดา

ปกติแล้วพระศาสดาทุกพระองค์
จะทรงเชี่ยวชาญด้านสัจธรรม
ระดับโลกียธรรมและโลกุตรธรรม
อันเป็นการรอบรู้ความจริงทั้งอนันตจักรวาล
ด้วยการใช้พระปรีชาญาณจากสมองสองซีก
ร่วมกับสภาวะจิตอันประเสริฐกว่ามนุษย์ทั่วไป
เป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้และสั่งสอน

3. อนุตรธรรมาจารย์
หมายถึง มนุษย์คนเดียวที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมา
ให้ทำหน้าที่เป็น #พระบุตรเอก บนโลกเสรีนี้
เพื่อกล่าวพระโอวาทต่อมนุษย์แทนพระองค์
ในช่วงเวลาสำคัญที่โลกกับมนุษย์
กำลังเกิดอาการวิฤติจนอาจถึงกาลวิบัติได้
หรือเข้ามาเกิดในช่วงเวลาที่โลกกับมนุษย์
กำลังจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่ เป็นต้น

พระบุตรเอก บุตรโทนคนเดียวของพระองค์
นอกจากจะเป็นผู้มากล่าวพระโอวาทพิเศษแล้ว
ยังมีหน้าที่ฉุดช่วยจิตวิญญาณของพวกท่าน
ให้พบหนทางหลุดพ้นนิพพานที่ถูกต้องแท้จริง
หลังจากพากันหลงทางขึ้นไปสร้างสวรรค์มายา
เพราะก้าวตามคนนำทางตาบอดมานับพันๆปีแล้ว

อีกทั้งในยุคสมัยนี้เป็นปลายยุคพลังงานเก่า
พระบุตรเอกจึงต้องเข้ามากล่าวความจริงให้รู้ว่า
ได้เวลาที่ลูกแกะทุกตัวของพระองค์
ต้องรีบกลับเข้าสู่ประตูคอกที่เคยออกมากันแล้ว
เพราะครบกำหนดเวลา 6 หมื่นปีตามสัญญา
ที่พระบิดาผู้เป็นเจ้าของฝูงแกะทรงอนุญาตไว้

การกลับเข้าประตูคอกแกะหมายถึง
การที่จิตวิญญาณของท่านจะต้องหลุดพ้น
ออกไปจากอนันตจักรวาลผ่านด่านนภาลัย
เพื่อกลับคืนสู่ดินแดนจิตจักรวาลบ้านเกิด
ไปกราบพระบาทพระบิดาที่ทรงยอมให้มาเกิด
เมื่อหกหมื่นปีโดยประมาณที่ผ่านมาจนบัดนี้

ภารกิจสุดท้ายของพระบุตรเอกก็คือ
การแจ้งข่าวสารปฏิบัติการชำระโลกทั้งระบบ
ข่าวสารปฏิบัติการชำระโลกทุกมิติ
ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายด้วย

ผู้ที่ถูกคัดไว้คือผู้ที่จะได้รับประทานความรอด
ผู้ที่ถูกคัดทิ้งจะเป็นดั่งขยะที่ต้องถูกเผาทำลาย
เพราะโลกเสรีนี้ไม่มีพื้นที่พอต่อการกลบฝังแล้ว
ทั้งขยะคน ขยะวัตถุเท็คโนโลยี และขยะพลังงาน
ที่เกิดจากการล้มเหลวด้านจิตสามนึกของมนุษย์
มันมีมากมายก่ายกองจนท่วมโลกไปทั่วแล้ว

ขณะที่พระองค์ทรงส่งพระบุตรเอกเข้ามา
ทำหน้าที่ฉุดช่วยพวกท่านทั้งหลายให้หลุดพ้น
พวกมารและเหล่าซาตานทั้งหลาย
ก็จะพากันมาเกิดในระบบโลกด้วยเช่นกัน
โดยจะเข้ามาปิดกั้นโอกาสการเข้าถึงพระบิดา
ของประดาผู้ปรารถนาการหลุดพ้นที่เป็นคนดี
แต่มีสภาวะจิตปัญญาที่อ่อนแอในทุกทาง

อาจเข้ามายุแยงให้ไขว้เขว
อาจเข้ามาจูงใจให้หลงผิด
อาจเข้ามาสอนธรรมะฉบับงมงายมิใช่หลุดพ้น
ผู้อ่อนด้อยทางปัญญาและงมงาย
จึงอาจหลงทางมารเพราะไม่รู้เท่าทันกันง่ายๆ
ท่านจะต้องไม่ลืมที่เรากล่าวเตือนเสมอว่า
ไม่ว่ามารหรือซาตานก็มีปัญญาสอนธรรมะได้

ด้วยเหตุนี้เอง
ถ้าจะเลือกใครเป็นครูจึงต้องเลือกด้วยปัญญา
อย่าเลือกครูด้วยความรู้สึกที่เป็นกิเลส
ประตูนิพพานหรือประตูคอกแกะ
จึงจะเปิดอ้าให้จิตวิญญาณท่านผ่านออกไปได้

กราบพระบาทพระบิดาฯ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16/01/2021

15 มกราคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

15/01/2021


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ดาวเคราะห์โลกเสรี ดวงนี้
จะเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ด้วยอัตราความเร็วคงที่มาจนถึงทุกวันนี้ไม่ได้

1.ถ้าไม่มีมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายดำรงอยู่
ในจำนวนที่เหมาะสมตามที่พระองค์กำหนดไว้
เพื่อให้น้ำหนักมวลรวมบนพื้นผิวโลก
สมดุลกันกับน้ำหนักมวลภายในแกนโลก
เพื่อมิให้โลกแกว่งส่ายขณะหมุนรอบตัวเอง

2.ถ้ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลกนี้
ไม่ยอมสั่นสะเทือนแก่นแท้ในตนเองด้านบวก
เพื่อผลิตสร้างพลังงานแห่งรักออกมาในรูปของ
คลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่เป็นพลังงานร่วมจาก จิตสามนึกด้านบวก
อันเป็นพลังงานความรักในแบบที่โลกต้องการ

3.ถ้าพี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
นอกจากจะรักกันไม่ได้ให้อภัยกันไม่เป็น
เมื่อพบเจอบททดสอบร้ายๆจากคนรอบข้างแล้ว
ยังสั่นสะเทือนจิตสามนึกเป็น จิตไร้สามนึก
ทำการผลิตสร้างพลังงานร้ายที่โลกไม่ต้องการ
เช่น อารมณ์ขยะรายวันจำพวกโทสะโลภะโมหะ
ผลิตออกมาเป็นขยะพลังงานจนรกโลกไปหมด

ผลลัพธ์ด้านร้ายในข้อนี้ก็คือ
นอกจากโลกจะไม่ได้รับประโยชน์แล้ว
พลังงานขยะจากอารมณ์ขยะของจิตไร้สามนึกนี้
มันยังจะก่อให้เกิด มหันตภัยพิบัติ บนโลกนี้ด้วย
ซึ่งมันมิได้เป็นผลดีต่อมวลมนุษย์โลกเลย

เช่น จะเกิดแผ่นดินไหว แผ่นดินยุบแยก
ภูเขาถล่ม แผ่นดินสไลด์
อุทกภัย วาตภัย คลื่นอากาศหนาว-ร้อน
ดินฟ้าอากาศวิปริตแปรปรวน
พายุลูกเห็บ พายุหิมะ คลื่นสึนามิ เป็นต้น

4.การตัดโค่นต้นไม้ทำลายป่า
การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตสัตว์ประจำโลกทั้งหลาย
การทำศึกสงครามฆ่ากันตายเองก็เช่นกัน

มันคือการ "ลดจำนวน" เครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่พระบิดาทรงกำหนดติดตั้งไว้ให้ในระบบโลก
เพื่อให้ช่วยกันผลิตความรักมอบให้โลกนั้น
ทำให้โลกมี "กลไก" ในการผลิตลดน้อยลงด้วย

เมื่อมาเกิดแล้วให้ความรักกับโลกก็ไม่ได้
แถมยังฆ่ากันตายเองเพื่อนำมากินเป็นอาหาร
และยังมีการล่าสังหารเพื่อล้างแค้นเพื่อกีฬา
แล้วจะมิให้โลกนี้มีปัญหาไม่เสียสมดุลได้อย่างไร

ทั้งหมดที่เรากล่าวมาตั้งแต่ต้นนี้
เป็นความเลวร้ายจากการที่ท่านทั้งหลาย
มอบความรักในแบบที่โลกต้องการให้กันไม่ได้
โดยภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจนพวกท่านกับโลกเอง
ต้องเผชิญกับความวิบัติแบบแผ่นดินสะเทือน
ความวิบัติแบบมีการตายหมู่ที่นั่นที่นี่อยู่เนืองๆ
จากภัยพิบัติแบบต่างๆที่ท่านเองก็มองออกบอกได้

แต่ยังมีปัญหาใหญ่ในมิติทางจิตวิญญาณ
ที่พวกท่านทั้งหลายยังไม่รู้ว่าท่านไม่รู้
ซึ่งเป็นปัญหาที่ยังมิได้รับการแก้ไขเยียวยา
เพราะว่าไม่มีใครสามารถให้สติทางวิญญาณ
แก่พวกท่านได้จนตลอดนับพันๆปีที่ผ่านมา
เพราะว่ามันเป็นความจริงระดับ อนุตรธรรม

นั่นคือ
จิตหยาบของพวกท่านแต่ละคน
ไม่เคยรู้มาก่อนว่า
ถ้าท่านสั่นสะเทือนสูงสุดทางด้านบวกไม่ได้
ไม่ว่าใครจะยื่นเงื่อนไขบททดสอบจิตสามนึก
เป็นด้านบวกที่ชอบหรือด้านลบที่ไม่ชอบมาให้
จิตหยาบก็จะยกระดับแรงสั่นสะเทือนของตน
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณไม่ได้

นอกจากนั้นพวกท่านยังไม่รู้อีกด้วยว่า
จิตหยาบต้องช่วยให้จิตวิญญาณของท่าน
ออกมาทำหน้าที่สั่นสะเทือนร่วมกัน
ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
ให้เป็นการกระทำที่ถูกต้องทั้ง 2 มิติให้จงได้
มิใช่จิตหยาบลุแก่อำนาจจากความหลง
ยึดเอาเครื่องยนต์แห่งกรรมนี้ไว้เป็นสมบัติตน
ด้วยการคิดพูดหรือทำอะไรๆเพื่อจิตหยาบเอง
แล้วกักขังทอดทิ้งจิตวิญญาณเอาไว้ข้างใน
ไม่ใส่ใจความต้องการของจิตวิญญาณบ้างเลย

ท่านจึงต้องรู้ว่าถ้าในภพชาตินี้
ท่านยังจำไม่ได้ว่าตนมีจิตวิญญาณอยู่ข้างใน
ยังทำอะไรๆตามใจตัวเองอยู่ร่ำไปแล้ว
ท่านคือผู้ที่ทำให้จิตวิญญาณเสียชาติเกิด
เพราะ "ล้มเหลว" ในการมาเกิดเป็นมนุษย์
เนื่องจากจิตหยาบเป็นอุปสรรคเสียเอง
ในที่สุดตัวท่านคือจิตวิญญาณนั่นแหละ
จะไม่สามารถหลุดพ้นนิพพานกลับบ้านได้
ต้องตายแล้วย้อนกลับมาเกิดในภพชาติใหม่
เพื่อหวังพึ่ง "จิตหยาบ" กลุ่มใหม่ในภพชาติใหม่
เป็นตัวแทนของตนที่จะช่วยให้ตนสำเร็จผลได้
แม้ว่ามันอาจเป็นความหวังลมๆแล้งๆอยู่ก็ตาม

เพราะว่าจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
ไม่รู้ความจริงที่เป็น "อนุตรธรรม" นี้
เนื่องจากศาสดาที่เกิดจากโลกทั้งหลาย
ไม่เคยกล่าวความจริงเรื่องนี้ให้ได้รู้มาก่อน
อีกทั้งพวกท่านทั้งหลายมีนิสัย "ยึดติด" ว่า

สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด
สิ่งที่เป็นเลิศที่สุด
สิ่งที่ประเสริฐที่สุด
สิ่งที่ชอบที่สุด
จะต้องมีเพียงสิ่งเดียว
จะต้องมีเพียงชิ้นเดียว หรือคนเดียวเท่านั้น

ทั้งๆที่ตนเองลืมตัวไปว่า
ตนนั้นมีหน้าที่รักบิดามารดาของตนทั้งคู่
จะรักคนใดคนหนึ่งเพียงแค่คนเดียว
แล้วปฏิเสธอีกคนหนึ่งไปไม่ได้
เพราะทั้งคู่เป็นผู้ให้ชีวิตแก่บุตรร่วมกัน
แล้วช่วยกันเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูกมาด้วยกัน
จะเลือกรักแค่คนที่ตนถูกใจกว่าย่อมไม่ได้

เรื่องของศาสดาก็เช่นกัน
พระองค์ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันสำคัญเช่นกัน
แม้บางพระองค์จะเป็นศาสดาที่มาจากพระเจ้า
ขณะที่พระองค์อื่นๆเป็นศาสดาที่เกิดจากโลก
พวกท่านจะเลือกรักศรัทธาพระองค์เดียว
แล้วปฏิเสธพระองค์อื่นๆไปดั่งไร้ค่าไม่ได้

เช่น พระศาสดาที่เกิดจากโลก
จะทรงกล่าวสอนโลกียธรรมและโลกุตรธรรม
ให้ท่านทั้งหลายเรียนรู้และก้าวตามได้
ขณะที่พระบุตรเอกซึ่งเป็นศาสดามาจากพระเจ้า
ก็ถ่ายทอด "อนุตรธรรม" จากพระเจ้า
เข้ามาบอกกล่าวให้มนุษย์โลกทั้งหลาย
ผู้ไม่รู้ให้ได้รู้เพื่อเติมภูมิธรรมให้เต็มล้น
อันเป็นปัจจัยสำคัญต่อการหลุดพ้นได้หรือไม่ได้
ของจิตวิญญาณท่านทั้งหลายในชาตินี้ด้วย

ดังนั้น
ถ้าชาตินี้ท่านยังใช้ชีวิตแบบเรื่อยเปื่อย
ยังทำอะไรตามความต้องการของจิตหยาบอยู่
โดยไม่รู้หน้าที่ว่าตนต้องทำอะไรบ้าง
ขณะที่เวลาสุดท้ายแห่งการชำระโลก
เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
กำลังใกล้มาถึงแล้ว

โอกาสเพื่อการอยู่รอด
กับโอกาสเพื่อการหลุดพ้นของจิตวิญญาณ
มันยิ่งริบหรื่ลงทุกวันๆ
สำหรับการทำตนงมงายไม่เอาไหน
ของใครต่อใครอีกเป็นจำนวนมากล้น
บนดาวโลกเสรีดวงนี้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
15/01/2021