02 กันยายน 2558

จริตเป็นพฤติกรรมของจิต





เราได้กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายมาแล้วว่า
ดวงจิตธรรมญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ซึ่งรู้จักพระนามกันทั่วไปว่า "พระจิต" นั้น
ได้แบ่งภาคตนเองออกมา
เป็น "จิตมนุษย์" หรือจิตหยาบ

เพื่อมอบอำนาจให้จิตหยาบ
ทำหน้าที่แทนตนเอง
ในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรม
รูปธรรมมนุษย์
ด้วยการกระทำผ่านจิตสำนึกหรือ "จิตตปัญญา"
โดยอาศัยพระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า
เป็นพลังอำนาจในการขับเคลื่อน
อันประกอบด้วย

1.พระวิญญาณแห่งการรู้สึก
2.พระวิญญาณแห่งอารมณ์
3.พระวิญญาณแห่งการนึก
4.พระวิญญาณแห่งการคิด
5.พระวิญญาณแห่งการจดจำ
เรื่องราวและอารมณ์

6.พระวิญญาณแห่งการแสดงออก
หรือกระทำทางกายภาพ

7.พระวิญญาณแห่งสัญชาตญาณ
ในการดำรงชีวิต
ซึ่งพระจิตเป็นผู้รับหน้าที่
ในการกำกับควบคุมเอง

ดังนั้น...ในชีวิตประจำวัน
ท่านทั้งหลายจึงต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า
จะสั่นสะเทือน จิตตปัญญา ของตนกันอย่างไร
จึงจะสามารถเข้าถึงแรงสั่นสะเทือนของ
พระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า
ดังกล่าวนี้ได้

เพื่อที่จะใช้พลังอำนาจแห่งพระเจ้า
หมุนธรรมจักรในชีวิตประจำวัน

ด้วยการสั่นสะเทือนอายตนะภายนอกทั้งห้า
เมื่อได้สัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งเร้าภายนอก
แล้วถ่ายทอดคลื่นการรับรู้ไปสู่จิตภายใน
และจิตภายในก็จะสั่นสะเทือน
เป็นคลื่นความถี่ด้านบวกทั้งเจ็ดที่เรียกกันว่า

"พระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า"

ซึ่งท่านทั้งหลายจะใช้พระวิญญาณ (คลื่นพลังจิต) นี้
ขับเคลื่อนออกมาเป็นพฤติกรรมภายนอกในบั้นปลาย

สมดังคำกล่าวที่ว่า
"จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" 
อย่างแท้จริง

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายอีกว่า
เมื่อใดที่จิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นด้านลบ
เมื่อนั้นจิตหยาบของท่าน
ก็จะไม่อาจเข้าถึงพระวิญญาณแห่งพระเจ้าได้
จิตก็จะผลิตสร้าง มวลพลังงานด้านลบ ขึ้นมาแทน
แล้วก็จะแสดงพฤติกรรมภายนอก
เป็นการแสดงออกหรือกระทำด้านลบออกมาด้วย
นี่จึงเป็นการ "หมุนกรรมจักร" โดยแท้

สำหรับจิตหยาบที่สั่นสะเทือนแล้ว
แต่ไม่สามารถยกระดับจนเข้าถึง
พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้าได้นั้น
เราจะเรียกอาการต่างๆของจิตหยาบนั้นว่า "จริต"
ซึ่งจริตก็คือพฤติกรรมของจิตนั่นเอง

ดังนั้น...
อารมณ์รู้สึกนึกคิดด้านลบทั้งหลาย
ที่มนุษย์แต่ละคนสั่นสะเทือนมันในชีวิตประจำวัน
ก็ล้วนจัดว่าเป็น "จริต" ของคนๆนั้นทั้งสิ้น

จริตในแบบที่มนุษย์แต่ละคน
สั่นสะเทือนมันทางด้านลบอยู่เป็นประจำ
เมื่อถูกกระตุ้นหรือปลุกเร้าจากสิ่งเร้า
จนกลายเป็นคุณสมบัติของคนๆนั้นไปแล้ว
เราจะเรียกจริตดังกล่าวนั้นว่า "พฤตินิสัย"

พฤตินิสัยซึ่งเป็นจริตด้านลบ
ที่มนุษย์โลกเสรีส่วนมากจะมีปัญหาอยู่กับมัน
จนไม่อาจหมุนธรรมจักรในชีวิตประจำวัน
เพื่อยกระดับจิตหยาบขึ้นเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับจิตวิญญาณของตนเองได้

จึงทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6 กันไม่สำเร็จ
ทั้งยังก่อเวรเกี่ยวกรรมสร้างสังสารวัฏขึ้นมาอีก

ที่บวชมานานก็ยังนิพพานไม่ได้
ที่ผ่านการเกิดมาแล้วหลายภพชาติ
ก็ยังคงหลุดพ้นกันไม่ได้
 
พฤติกรรมที่นำหน้าด้วยคำว่า "ขี้" นี่แหละ
คือพฤตินิสัยขยะที่ก่อปัญหาให้ชาวโลกมาช้านาน
ตัวอย่างเช่น....

ขี้บ่น ขี้โวยวาย
ขี้โมโห ขี้ใจน้อย ขี้กังวล
ขี้งก ขี้หวง ขี้หึง ขี้งอน
ขี้สงสัย ขี้ระแวง ขี้อิจฉา
ขี้เกียจ ขี้โกง ขี้ลืม

พฤติกรรมทางกาย และวาจา
ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยจริตเหล่านี้
จะเป็นพฤติกรรมด้านลบล้วนๆ

ถ้าแต่ละวันท่านประพฤติกันเยี่ยงนี้แล้ว
เท่ากับว่าท่านล้มเหลวในการเป็นมนุษย์
เพราะเข้าถึงอำนาจด้านบวกสูงสุดในตนเองไม่ได้

อีกทั้งท่านก็ล้มเหลวทางจิตวิญญาณด้วย
เพราะปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณไม่ได้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
2-09-2015

01 กันยายน 2558

พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า


พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
คือ อะไร?




พระจิต ก็คือ รูปธรรมทางพลังงาน
ที่มีความสมดุลอยู่ในตนเอง
โดยมีรูปทรงเรขาคณิตเป็น 6 เหลี่ยมมุม

 

อันเกิดจากสามเหลี่ยมด้านเท่าสองรูปขนาดเท่ากัน
วางซ้อนทับกันอยู่ภายในวงกลมวงเดียวกัน
โดยมุมทั้งสามไม่ซ้อนทับกันเลย
ซึ่งจะมีการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้มุมทั้งหกซ้อนทับกันจนเป็นหนึ่งเดียว

ดวงจิตธรรมญาณที่เร้นอยู่ในรูปธรรมมนุษย์
จะมีพิกัดที่ตั้งอยู่ตรง ต่อมพิทูอิทารี หรือต่อมใต้สมอง
แต่จะเคลื่อนที่ไปทั่วทุกเซลอวัยวะร่างกาย
อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

พระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณที่ว่านี้
คือผู้อาสาพระบิดาลงมาเกิดเป็นมนุษย์
ด้วยการเข้ามาปฏิสนธิกับกายหยาบ
ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยโลหิตในครรภ์ของมารดา
เพื่อการเจริญเติบโตสู่การเป็นมนุษย์ต่อไป

ในขณะที่กำลังเจริญวัยเป็นทารกอยู่นั้น
พระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณนั้นๆ
ก็จะแบ่งภาคพลังงานของตัวเอง
ออกมาเป็น "จิตหยาบ"
เพื่อมอบหมายให้จิตหยาบ
แสดงบทบาทของการเป็น คนสองมิติ แทนตนเอง
ขณะดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้นๆ

เมื่อพระจิตหรือดวงจิตธรรมญาณ
เป็นผู้ที่มาจากพระเจ้าหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ดังนั้นจิตหยาบหรือจิตมนุษย์
ซึ่งถูกแบ่งภาคออกมาจากจิตวิญญาณ
ก็ย่อมมาจากพระเจ้า
หรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณเช่นกัน


ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงสามารถที่จะกล่าวไว้โดยสรุปว่า
ทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณ
ต่างจึงเสมือนหนึ่งเป็นพระเจ้า
ที่สถิตย์อยู่ภายในรูปธรรมมนุษย์โดยแท้


ในขณะที่เป็นมนุษย์นั้น
จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ซึ่งเป็นเสมอดั่งพระเจ้า
จะสามารถสั่นสะเทือนตนเองได้ถึง 7 ความถี่
เราจึงเรียกคลื่นพลังงานทั้ง 7 ย่านความถี่นี้ว่า
"พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า"

พระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
จะประกอบด้วยอาการของจิต 7 อย่างดังนี้ คือ

1.พระวิญญาณแห่งการรู้สึก
(คลื่นการรู้สึก)
2.พระวิญญาณแห่งอารมณ์ต่างๆ
(คลื่นอารมณ์)
3.พระวิญญาณแห่งการนึก
(คลื่นการนึก)
4.พระวิญญาณแห่งการคิด
(คลื่นการคิด)
5.พระวิญญาณแห่งการจดจำเรื่องราวและอารมณ์
(คลื่นการบันทึกและการจดจำไว้)
6.พระวิญญาณแห่งการแสดงออก
หรือการกระทำทางอวัยวะร่างกาย

(คลื่นแห่งการกระทำ)
7.พระวิญญาณแห่งสัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต
(คลื่นแห่งสัญชาตญาณ)

เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พวกท่านที่เป็นมนุษย์ทุกคน
ต่างล้วนมีพระวิญญาณทั้ง 7 แห่งพระเจ้า
ที่สั่นสะเทือนอยู่ข้างในจนตลอดชีวิตด้วยกันทั้งสิ้น
โดยท่านจะต้องเข้าให้ถึงที่สุดของความถี่ด้านบวก
ในทุกครั้งที่ั่สั่นสะเทือนจิตหยาบเสมอ

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งการรู้สึก
ก็คือ ความเวทนาสงสาร
ก็คือ ความเมตตา
ก็คือ ความกรุณา
ก็คือ ความมีมุทิตา
ก็คือ ความมีอุเบกขา

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งอารมณ์
ก็คือ ความรักในแบบต่างๆ เช่น
การอดทน
การอดกลั้น
การให้อภัย

*ที่สุดของพระวิญญาณแห่งการคิด
ก็คือ สามารถกดปุ่มใช้ปัญญาญาณ
อันเกิดจากการสั่นสะเทือนสมองซีกขวา
นำสมองซีกซ้ายของท่านได้

ที่เรากล่าวมาเป็นอาทิเหล่านี้
มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่จะต้องเข้าถึงกันให้ได้
เพื่อยกระดับจิตหยาบให้สั่นสะเทือนด้านบวก
จนเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณของท่านเอง
ด้วยการเข้าถึงพระวิญญาณทั้งเจ็ดแห่งพระเจ้า
ดังได้เปิดเผยมาให้รู้ตั้งแต่ต้นให้จงได้
เพื่อมิให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

31-08-2015