27 กุมภาพันธ์ 2563

ภารกิจของท่านในการมาเกิดเป็นมนุษย์


สนทนาประสาจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
เป็นผู้ขันอาสาพระบิดาฯ
เดินทางข้ามมิติจากบ้านเข้ามาในอนันตจักรวาล
เข้ามาเกิดเป็นคนสองมิติอยู่ในระบบโลก
เพื่อทำตาม "พันธะสัญญา 6" ที่ให้ไว้ต่อพระองค์
โดยมีกำหนดเวลานาน 6 หมื่นปีโลก

เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว
ท่านต้องนำพาจิตวิญญาณกลับคืนบ้านเกิด
เข้ามาทางไหนต้องกลับออกไปทางนั้น
เข้ามาด้วยคุณสมบัติอะไร
ก็ต้องกลับออกไปด้วยคุณสมบัติเหล่านั้น

ดังนั้น
ท่านทั้งหลายจึงต้องเรียนรู้ว่า

1.พันธะสัญญา 6 ที่ให้ไว้ต่อพระบิดาฯ
ก่อนจะเข้ามาเกิดเป็น "คน" ในภพชาติแรกนั้น
มีสาระสำคัญว่าอย่างไรบ้าง

ความจริงในเรื่องดังกล่าวนี้เป็น อนุตรธรรม
เราในฐานะพระบุตรเอกแห่งองค์จิตจักรวาล
ผู้ย้อนกลับคืนมาอีกครั้งตามสัญญาเท่านั้น
ที่จะสื่อสารทางจิตในระบบจิตสู่จิตกับพระองค์
เพื่อบอกกล่าวความจริงนี้ต่อท่านทั้งหลายได้
ซึ่งพระศาสดาที่เกิดจากโลกจะบอกไม่ได้
เพราะพระองค์ไม่มีเครื่องมือสื่อสารชิ้นสำคัญนี้

2.ตัวของท่านเองโดย "จิตหยาบ" นั้น
ยังมีจิตวิญญาณผู้ขันอาสามาเกิดเป็น "คน"
ซึ่งแอบเร้นตนเองเป็นแก่นแท้อยู่ข้างในนั้น
ทั้งสองจิตจักต้องทำงานร่วมกันอย่างไรบ้าง
จึงจะทำหน้าที่ในสองมิติได้อย่างลงตัว


โดยท่านต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า...
จิตวิญญาณเป็นผู้มาเกิดเป็นคนสองมิติก็จริง
แต่เมื่อมาเกิดแล้ว "จิตหยาบ" ต้องเป็นผู้นำ
เพื่อทำหน้าที่แทน "จิตวิญญาณ" ในทุกเรื่อง
ท่านจะปล่อยให้จิตวิญญาณนำเองไม่ได้

ซึ่งท่านจะต้องกำกับจิตหยาบไว้ด้วย มหาสติ
อันเป็นลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์หนึ่งในสองดวง
ที่พระบิดาฯได้ประทานมาให้ท่านไว้นานแล้ว


3.ตัวของท่านเองโดย "จิตหยาบ" นั้น
จะต้องสั่นสะเทือนตนเองอย่างไร
จึงจะสามารถทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณได้
เสมือนดั่งจิตวิญญาณของท่านเป็นผู้ทำเอง

คำตอบก็คือ...
ท่านจะต้องสั่นสะเทือนจิตหยาบ
ด้วย ปณิธานแห่งนิพพาน เพื่อการหลุดพ้น
อันเป็นลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์อีกดวงหนึ่ง
ที่พระบิดาฯประทานมาให้ท่านนานแล้วเช่นกัน
จะได้ไม่ก่อกรรมใหม่และแก้ไขกรรมเก่าได้ด้วย

นั่นคือ
ต้องรักคนที่ไม่น่ารักให้ได
ให้อภัยคนที่ไม่น่าอภัยให้เป็น
ไม่ต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้านใครที่ร้ายกับท่าน
นอกจากจะป้องกันตนให้รอดปลอดภัยเท่านั้น
มันคือการ หมุนธรรมจักร กับคนรอบข้าง
ที่เป็นภารกิจสำคัญของจิตวิญญาณ
ที่จิตหยาบคือตัวท่านจะต้องทำนั่นเอง



หากท่านทำได้สำเร็จ
จิตหยาบก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณ
ท่านจะทำทุกสิ่งได้เหมือนทำด้วยจิตวิญญาณ
ผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่านได้อย่างกลมกลืน
ซึ่งเท่ากับว่าท่านคนตนเองให้เป็น มนุษย์
ประสบผลสำเร็จอย่างสมบูรณ์ได้แล้ว
ท่านมิได้เป็นแค่ "คน" คนหนึ่งอีกต่อไปแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ท่านเห็นหรือยังว่า
ภารกิจของท่านในการมาเกิดเป็นมนุษย์นั้น
แค่ถือศีลปฏิบัติธรรมพร่ำสวดภาวนา
ทำบุญสุนทานอธิษฐานขอพรอย่างที่ทำกันมา
มันไม่สามารถยกระดับจิตตปัญญา
พัฒนาจิตวิญญาณให้ก้าวหน้าถึงที่สุดได้เลย

นอกจากนั้น
ถ้าท่านไม่รู้ใน 3 ประการตัวอย่างที่กล่าวมา
คำว่า "หลุดพ้น" กับ "นิพพาน" น่ะลืมไปได้เลย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27/02/2020

26 กุมภาพันธ์ 2563

กลับมาทำหน้าที่อีกครั้งตามสัญญา



สนทนาประสาจิตจักรวาล


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่าน
เมื่อใดก็ตามที่มีการสั่นสะเทือนเกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์รู้สึกนึกคิดกระทำแบบใด
ไม่ว่าจะถูกต้องเหมาะสมดีงามหรือไม่
นอกจาก "กายหยาบ" ของท่าน
จะสั่นสะเทือนไปตามนั้นด้วยแล้ว
จิตวิญญาณ ตัวตนแก่นแท้ที่อยู่ข้างใน
ก็จะสั่นสะเทือนตามไปด้วยเสมอ

ถ้าจิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นความดีงาม
ก่อกรรมด้านบวกด้วยจิตอันเป็นกุศล
กายหยาบกับจิตวิญญาณของท่าน
ก็จะสั่นสะเทือนเป็นด้านบวกตามไปด้วย

จิตวิญญาณของท่านก็จะมีความสุข
เพราะท่านได้ช่วยให้จิตวิญญาณแก่นแท้
สั่นสะเทือนด้วยคุณสมบัติเดิมของตนเอง
จนสามารถทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณได้
อันหมายถึง การหมุนธรรมจักร นั่นเอง

แต่ถ้าจิตหยาบสั่นสะเทือนเป็นความไม่ดีงาม
เป็นการก่อกรรมด้านลบด้วยจิตอกุศล
ซึ่งเป็นการสั่นสะเทือนด้วยคลื่นจิตความถี่ต่ำ
จำพวกโลภ โกรธ งมงาย ลุ่มหลง ลังเลใจ
รวมทั้งอารมณ์ขยะรายวันต่างๆแล้ว
กายหยาบกับจิตวิญญาณของท่าน
ก็จะสั่นสะเทือนเป็นด้านลบตามไปด้วย

จิตวิญญาณของท่านก็จะมีความทุกข์
เพราะท่านเป็นเหตุให้จิตวิญญาณแก่นแท้
ถูกถ่วงรั้งให้สั่นสะเทือนตามไปทางด้านลบ
ซึ่งมิใช่คุณสมบัติที่แท้จริงของตนเองเลย

เหตุที่จิตวิญญาณของท่านต้องเกิด "ทุกข์"
เพราะสั่นสะเทือนด้านบวก
ตามคุณสมบัติเดิมแท้ของตนไม่ได้แล้ว
ยังถูกอำนาจของ "นาย" คือ จิตหยาบ 
ถ่วงรั้งมิให้จิตวิญญาณสั่นสะเทือนด้านบวก
อย่างอิสระเสรีอีกต่างหากด้วย

ไม่ต่างจากการที่ท่านกำลังเดินตรงทางอยู่ดีๆ
ก็มีมือใครบางคนมาฉุดกระชากลากแขนท่าน
เพื่อจะพาออกนอกลู่นอกทางอยู่ตลอดเวลา
ถ้าท่านเผลอพลาดขาดสติไม่ทันระวังตัว
ก็จะพลัดตกลงข้างทางตามแรงฉุดกระชากได้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ถ้าวันๆหนึ่ง
ท่านยังทำตนเป็น "คน" ที่ไม่สมดุล
โดยจิตหยาบของท่านยังติดพันอยู่กับกองกิเลส
จนเป็นที่มาของตัณหาราคะและอารมณ์ขยะแล้ว
จิตหยาบของท่านจะมิอาจสั่นสะเทือน
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณท่านได้
ทั้งยังจะเป็นเหตุให้จิตวิญญาณ หลงมิติ
เพราะถูกสอนให้สั่นสะเทือนเป็นด้านลบแทน

นานวันนานภพชาติเข้า
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ก็จะถูกรั้งให้สั่นสะเทือนไปตามจิตหยาบ

จนกลายเป็นจิตวิญญาณอาฆาตพยาบาท
จนกลายเป็นจิตวิญญาณโลภบ้าและหวงสมบัติ
จนกลายเป็นจิตวิญญาณงมงายใฝ่อุตริ
จนกลายเป็นจิตวิญญาณชั่วร้ายเกเร
จนกลายเป็นจิตวิญญาณที่ไม่รู้ว่า "รักคืออะไร"
จนกลายเป็นจิตวิญญาณที่จำตนเองไม่ได้
จนกลายเป็นจิตวิญญาณที่จำพระบิดาไม่ได้
จนกลายเป็นจิตวิญญาณที่จำหน้าที่ตนเองมิได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

อาการทั้งแปดนี้
คือการหลงมิติของจิตวิญญาณนั่นเอง

เมื่อตายไปจากการเป็นมนุษย์ในภพชาตินั้น
หากจะให้ท่านย้อนกลับมาเกิดใหม่อีกได้
จิตวิญญาณของท่านต้องถูกส่งไปลงนรก
เพื่อทำการบำบัดแก้ไขเยียวยา
โดยท่านพญายมบาลกับทีมงานของท่าน
จะรอคอยเพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยา
รักษาท่านที่เป็นคนไข้อยู่ที่นั่นจนกว่าจะหาย
จึงจะปลดปล่อยท่านให้กลับมาเกิดใหม่
เพื่อทำหน้าที่ทั้งสองมิติในการเป็นมนุษย์ต่อไป

ดังนั้น
หน้าที่ของจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่าน
อย่ามัวแต่ท่องธรรมจำศีลอยู่อย่างเดิม
แม้ท่านจะท่องได้จำได้อย่างแม่นยำ
แต่ถ้าไม่สามารถจะทำตามที่ท่องจำทั้งหมด
ด้วย จิตสามนึกที่แท้จริง ของท่านเองได้
การกระทำดีใดๆของท่านดังกล่าวนั้น
มันจะเป็นเพียงช่วยท่านมิให้ก่อกรรมใหม่
จนไปเกี่ยวกรรมกับคนรอบข้างได้อีกเท่านั้น

การใช้ชีวิตเป็นคนดีมีธรรมะของท่าน
ตามแบบที่ท่านทำกันอยู่นั้น
จิตหยาบของท่านมันจะไม่มีพลังอำนาจ
พอที่จะสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของท่านได้
เพราะการท่องจำแล้วทำตาม
มันมิใช่การกระทำผ่าน จิตสามนึก ของตน
แต่เป็นการกระทำตามที่ตนท่องจำมา
เป็นการกระทำที่ถูกจูงใจหรือบังคับให้ทำตาม

ด้วยเหตุนี้เอง
หากปรารถนาการหลุดพ้นแท้จริงในชาตินี้
ท่านจักต้องรู้ความลับเบื้องหลังมิติโลกเหล่านี้
ท่านจะยึดติดพระศาสดาองค์เดียวไม่ได้
ท่านจะติดยึดพระคัมภีร์เล่มเดียวก็ไม่ได้

ท่านจะหลงเชื่อตาม "คนนำทางตาบอด"
โดยก้าวตามอย่างว่าง่ายไม่คิดตามให้ถ่องแท้
เพราะหลงผิดคิดว่าพวกเขาเป็นศาสดาเสียเอง
ทั้งๆที่พวกเขาแค่เรียนมากกว่ารู้มากกว่าท่าน
แต่ไหนรู้ถูกไหนรู้ผิดถ้าไม่คิดตามท่านก็ไม่รู้

เพราะการทำเช่นนั้น
มันจะเป็นการ "ปิดมิติ" ทำลายโอกาส
การเรียนรู้ อนุตรธรรม ที่เราในนามบุตรเอก
กลับมากล่าวเติมเต็มให้แก่ท่านผู้ติดค้าง
ได้แลเห็นเส้นทางแห่งการหลุดพ้น
อย่างใสสว่างชัดเจนขึ้นให้ต้องสูญเสียไป
เพราะท่านทั้งหลายพากันปฏิเสธเราอย่างงมงาย
โดยมิทันได้ใช้สติปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ท่านผ่านการเวียนตายเวียนเกิดกันมา
คนละตั้งมากมายหลายภพชาติแล้ว
ในแต่ละวันเวลาของชีวิตประจำวันของท่านนั้น
ท่านไม่รู้สึกเบื่อหน่ายหรือเซ็งๆกับตนเอง
โดยไม่ทราบสาเหตุบ้างหรือ

ท่านเคยรู้สึกเบื่อความวุ่นวายในชีวิตบ้างมั้ย
ท่านชอบนั่งเหม่อมองท้องฟ้าเวลาค่ำคื่นมั้ย
ท่านชอบไปนั่งคนเดียวอยู่ในโบสถ์บ้างมั้ย
ท่านคิดถึงพระเจ้าแล้วน้ำตาไหลซึมบ้างมั้ย
ท่านชอบนั่งกรรมฐานหน้าพระพุทธรูปใหญ่มั้ย
ท่านอยากจะหลับแต่หลับไม่ลงบ้างมั้ย
ท่านเคยฝันร้ายโดยฝันเห็นแต่ภัยพิบัติบ้างมั้ย

อาการเหล่านี้
เป็นอาการที่จิตวิญญาณเขาต้องการบอกว่า
เขาคิดถึงบ้าน คือ ต้องการหลุดพ้นตั้งนานแล้ว

ถ้าท่านยังปฏิบัติตนแบบเดิมๆ
ถ้าท่านยังปฏิบัติธรรมแบบเดิมๆ
ถ้าท่านยังมีนิสัยในการดำเนินชีวิตแบบดิมๆ
แม้จะผ่านมานับพันนับหมื่นภพชาติแล้ว
ชะตาชีวิตและชะตากรรมของท่าน
มันก็จะเหมือนเดิมโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ท่านก็จะยัง "หลุดพ้น" ไม่ได้เหมือนเดิม
จะยังมีสังสารวัฏเวียนว่ายตายเกิดเหมือนเดิม

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เรายอมปล่อยให้ท่านติดเกาะอยู่กับโลกนี้มิได้
ขณะที่องค์จิตจักรวาลพระบิดาฯของท่าน
ก็ทรงรอคอยพวกท่าน "กลับบ้าน" อย่างห่วงใย
เพราะทรงยอมให้ลูกๆมาทำหน้าที่แทนบนโลก
แต่ลูกๆก็หลงทางกลับบ้าน ลืมบ้าน ลืมพระองค์
จึงทรงห่วงใยว่าจะมีใครกลับบ้านได้บ้างหนอ
จนน้ำพระเนตรหลังไหลดั่งสายโลหิตมานานแล้ว
เราจึงยอมเห็นพระองค์ทรงโทมนัสอีกมิได้

นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราต้องกลับมา
กลับมาทำหน้าที่อีกครั้งตามสัญญา
แม้ว่าภารกิจครั้งนี้จะยากแสนยากกว่าอดีตก็ตาม
เพราะพระบิดาทรงพิพากษาโลกแล้ว
โลกกับมนุษย์ต้องเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
จิตวิญญาณพวกท่านจักต้องกลับบ้านให้ทัน
ก่อนวันสิ้นยุคในคาบสุดท้ายให้จงได้
เพื่อเปิดโอกาสให้จิตวิญญาณผู้มาใหม่จากฟ้า
เข้ามาทำหน้าที่แทนท่านนั่นเอง

ผู้ที่มีจิตวิญญาณยุคเก่า
จะต้องมีสองพวก คือ ถูกคัดไว้กับถูกคัดทิ้ง
โดยมีภัยพิบัติที่รุนแรงเป็นเครื่องมือคัดทิ้ง
ทั้งบ่อย่ำองุ่นและบึงไฟ
โดยมีพลังแห่งเทพอัคคี
ที่จะเป็นเครื่องมือในการคัดไว้ให้รอด

ดังนั้น
ในชีวิตประจำวันของท่านทั้งหลาย
จงระลึกเสมอว่าท่านยังมีจิตวิญญาณอยู่ข้างใน
ท่านจะทำอะไรตามอำเภอใจอีกไม่ได้แล้ว
เพราะจิตวิญญาณของท่านอาจถูกคัดทิ้ง
ด้วยการถูกระเบิดให้แตกสลายไปในอวกาศ
เพราะหลงมิติหลุดลอยค้างอยู่บนสวรรค์มายา
จนหาประโยชน์อะไรแก่โลกของตนไม่ได้

จิตวิญญาณของท่านอาจถูกคัดทิ้ง
เพราะหลงมิติอย่างรุนแรง
จนก้าวล่วงพระบิดาฯและอคติต่อต้านเรา

จิตวิญญาณของท่านอาจถูกคัดทิ้ง
ด้วยการส่งลงไปยังแกนโลกที่ร้อนระอุ
เพื่อช่วยถ่วงโลกให้สมดุลตลอดกาลนิรันดร์
โดยไม่มีอันได้ผุดได้เกิดอีกแล้ว เป็นต้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26/02/2020

25 กุมภาพันธ์ 2563

บารมีเสื่อมคลายเนื่องจาก...

“ 
จงอย่านำเอาความบาปชั่วของคนรอบข้าง
ที่เขากระทำต่อท่าน 
มาประหารความสงบสุขแห่งตน
จนมิอาจหลุดพ้นได้ในชาตินี้
เพราะบารมีเสื่อมคลาย

เมื่อท่านโกรธใคร : ควรจัดการเขาหรือจัดการจิตตัวเองก่อน ?

ที่ท่านโกรธใคร

เมื่อเขาก้าวร้าว ก้าวก่าย  หรือก้าวล่วง 

เพราะท่านอยาก...จัดการเขา
ก่อนจัดการจิตตัวเองให้สงบระงับ  

นับเป็นการ " ผิดคิว" แท้ๆ

พระบิดาให้พระบุตรเอกกลับมา

 พระบิดาให้เรากลับมา
ฉุดช่วยทุกคน  ทุกชาติ  ทุกศาสนา 
ที่คนนำทางตาบอดพาหลงทางมานับพันปีแล้ว
ให้หลุดพ้นกันได้ในชาตินี้  
ไม่ต้องมีชาติหน้า  

หมุน "ธรรมจักร" หรือ "กรรมจักร"

“  
ถ้าท่านยังยอมรับ
คนที่มีความคิดเห็นและนิสัยสันดาน
ที่แตกต่างจากท่านไม่ได้ 
ท่านก็จะยังคงหมุนกรรมจักรอยู่ต่อไปอีก
จนยากที่จะหลุดพ้นได้

12 กุมภาพันธ์ 2563

กระบวนการ " ไซโคโชว์ " ของปริญญา เป็นทางเลือกสุดท้ายของมนุษย์ ที่ช่วยเหลือคนในชาติได้


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

ท่านอย่าเชื่อตาม "คนนำทางตาบอด"
ที่กล่าวสอนท่านให้หยุดการเวียนว่ายตายเกิด
หยุดการมีสังสารวัฏในภพภูมิมนุษย์
เพราะเห็นว่าเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

แต่...ชี้นำให้ท่านไปเกิดอยู่บนสวรรค์มายา
เพราะเข้าใจว่าหลุดลอยไปอยู่บนนั้น
มันคือการ นิพพาน ทางจิตวิญญาณแล้ว
ซึ่ง "ความเชื่อ" ดังกล่าวนี้ไม่เป็น "ความจริง"
เพราะยิ่งจิตวิญญาณลอยไปติดค้างอยู่บนนั้น
มันจะยิ่งทำให้ท่านเกิดทุกข์มากขึ้นไปอีก

เนื่องจากท่าน....
  • ไม่รู้ว่าตรงนั้น คือ ที่ไหน
  • ไม่รู้ว่าอยู่ตรงนั้นแล้วจะไปต่อกันอย่างไร
  • ไม่รู้ว่าอยู่ตรงนั้นแล้วท่านต้องทำอะไรบ้าง
เพียงไม่รู้แค่สามอย่างนี้ก็เกิดทุกข์มากแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจึงขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

ในภพชาติแรกนั้น
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
ขันอาสาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ถือพันธะสัญญา 6 มาเกิดเป็น คนสองมิติ
เพื่อทำการคนตนเองให้เป็น "มนุษย์"
หรือ หมุนธรรมจักร เพื่อแทรกแซงขันธ์ 5
ด้วยการใช้ "ความรักเพื่อให้" ค้ำจุนสมดุลโลก
ร่วมกันกับพี่ๆน้องๆและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย

ในภพชาติแรก
จิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
จึงจับกลุ่มกันมาเกิดเป็น "ครอบครัว"
เพื่อใช้ชีวิตอยู่ใน "สังคม" เดียวกัน
โดยวางแผนและกำหนดบทละครหรือชะตาชีวิต
ถือติดตัวมาเกิดเพื่อจะแสดงร่วมกันด้วย
ซึ่ง "บทละคร" ที่ร่วมกันขีดเขียนมาแสดงนั้น
คือ "เงื่อนไข" ที่จะช่วยให้การหมุนธรรมจักร
เป็นไปได้จริงและประสบผลสำเร็จตามต้องการ

เงื่อนไขที่เรากล่าวมานี้
หมายถึง "เหตุการณ์" หรือ "สถานการณ์"
หรือ "เรื่องราว" ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
ที่คนใกล้ตัวท่านสร้างขึ้นแล้วหยิบยื่นให้ท่าน
กับที่ตัวท่านสร้างขึ้นแล้วหยิบยื่นให้คนรอบข้าง
ซึ่งต่างต้องเผชิญกันทั้งแบบชั่วคราวหรือถาวร
โดย "เงื่อนไข" ที่พวกท่านต้องร่วมกันแสดงนี้
จะมีทั้ง "เงื่อนไข" ด้านบวกที่เป็นเรื่องดีๆ
ซึ่งตัวท่านเองและคนอื่นๆพอใจชอบใจและถูกใจ
กับ "เงื่อนไข" ด้านลบที่เป็นเรื่องไม่ดี
ซึ่งตัวท่านเองและคนอื่นๆไม่พอใจไม่ชอบใจ
เงื่อนไขเหล่านี้
พวกท่านแต่ละคนจะสามารถสัมผัสรับรู้ได้
ผ่านกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้า
คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกายสัมผัสภายนอก
ผ่านสู่การรับรู้ของจิตเพื่อการเรียนรู้
แล้ว "ฉลาด" สั่นสะเทือนตอบสนองสิ่งเร้านั้นๆ
ไม่ว่ามันจะเป็นเงื่อนไขด้านลบหรือบวก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ท่านจะพอใจหรือไม่พอใจ
ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องเบาๆสบายๆแบบชิวๆ
หรือว่ามันจะเป็นเรื่องร้ายแรงสุดๆในชีวิตท่าน

หน้าที่ของจิตหยาบของท่าน
จักต้องสั่นสะเทือนตอบสนองด้านบวกเท่านั้น
คือ ต้องรักให้ได้ ให้อภัยเป็น ไม่เห็นแก่ตัว
โดยต้องไม่ทำชั่วตอบโต้หรือต่อต้านกลับคืน
โดยต้องไม่ทำร้ายจิตใจเขาด้วย "ปาก"
ไม่ทำร้ายชีวิตเขาด้วย "ปืน" หรือศาสตราวุธ

ซึ่งท่านจะทำตามที่เราเฉลยให้ทราบได้
ก็ต่อเมื่อท่านต้องเป็นผู้ครอง มหาสติ
กับมี ปณิธานแห่งนิพพาน เท่านั้น

เพราะการจะเข้าถึงความรักและปัญญา
เพื่อการอดทน อดกลั้น และให้อภัย
ต่อบุคคลรอบข้างที่สร้างเงื่อนไขลบมาให้นั้น
ถ้าท่านเกิดอาการ สติแตก เสียก่อนแล้ว
แผนการของจิตวิญญาณที่พวกท่านเขียนมา
ก็จะเกิดการล้มเหลวพังไม่เป็นท่าทันที

พวกท่านจะพากันล้มเหลว
ในภารกิจของจิตวิญญาณที่ขันอาสาพระองค์มา
เพียงแค่พวกท่าน "สติแตก" ควบคุมจิตใจไม่ได้
เมื่อคนรอบข้างทำชั่วต่อท่านแล้วท่านก็ชั่วตอบ
เพราะท่านเป็นประเภท "ถึงชั่วก็ไม่ชัง" ไม่ได้
เพราะขาดทักษะการควบคุมจิตตนเอง
และยังบกพร่องด้านจิตสามนึก
เนื่องจากตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้รับการฝึกฝน
โครงสร้างทางจิตใจจึงไม่แข็งแกร่งพอ

เพียงแค่นี้ยังเสียหายไม่พอ
พวกท่านจะต่อสู้ ตอบโต้ ต่อต้านกันอย่างรุนแรง
จนยังผลให้จิตหยาบต้องหมุนกรรมจักรร่วมกัน
ด้วยการโกรธเกลียดเคียดแค้นอาฆาตพยาบาท
ไปตามเงื่อนไขด้านลบหนักเบาที่ถูกกระทำด้วย

พวกท่านก็จะก่อกรรมขึ้นมาใหม่
ทั้งวิบากกรรมที่ไม่ดีที่ท่านจักต้องรับผิดชอบ
และ "ชะตากรรม" ที่พวกท่านต้องเรียนรู้ร่วมกัน
เพราะมีการ "เกี่ยวกรรม" ทำผิดบาปต่อกันไว้

ดังนั้น
พวกท่านจึงมี "เวรกรรม" ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
เพื่อการ "แก้ไข" สิ่งที่เคยทำผิดบาปให้ถูกต้อง
เพื่อการทำผลกรรมด้านลบให้เป็นโมฆะกรรม
พวกท่านจึงต้องการ "โอกาส" จากพระบิดา
ให้มีเวลามากพอที่จะ "แก้ไข" ตนเองให้ถูกต้อง
ให้มีเวลามากพอที่จะกำจัดผลกรรมทางพลังงาน
ที่ตัวท่านเองได้ก่อขึ้นไว้ในมิติของจิตวิญญาณ
ในรูปของอีเล็คตรอนอิสระที่เป็น "ขยะ" จักรวาล
พวกท่านต้องรับผิดชอบในสิ่งเหล่านี้

เมื่อความจริงมันเป็นเช่นนี้แล้ว
การรังเกียจที่จะเป็นมนุษย์โลก
จนพยายามสร้างทางเบี่ยงไปเกิดเป็นเทพเทวา
เพราะมองเห็นปัญหาชีวิตเป็นบ่อเกิดแห่ง "ทุกข์"
มองเห็นการมีสังสารวัฏเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
แทนที่จะมองเห็นปัญหาเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา
แทนที่จะมองเห็นวิกฤตเป็นโอกาส
จึงพยายามจะพาจิตวิญญาณตนเองหนีทุกข์
ด้วยการแยกตนเองออกจากสังคมไปถือสันโดด
พาตนเองออกจากสังคมไปปลีกวิเวก
เพื่อหมายจะไปสวรรค์ "มายา" เพียงลำพัง

นอกจากจิตวิญญาณต้องหลุดลอยค้างฟ้า
หาหนทาง "นิพพานแท้" เพื่อหลุดพ้นไม่ได้แล้ว
ยังเป็นการละทิ้งภารกิจของจิตวิญญาณ
ยังเป็นการผิดสัจจะต่อพระบิดาผู้ให้มาเกิด
ยังพาตนเองไปเป็น "ขยะพลังงาน" ในจักรวาล
ที่จิตวิญญาณซึ่งหลงมิติจำนวนมากมายเหล่านี้
จะถูกฑูตสวรรค์ชำระให้ระเบิดแตกสลาย
เพื่อคืนสมดุลให้แก่อนันตจักรวาล
เมื่อวันชำระโลกคาบสุดท้ายมาถึง

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ภพชาติปัจจุบันของท่านนี้มิใช่ภพชาติแรก
เพราะจิตวิญญาณของพวกท่านนั้น
ได้ผ่านการเกิดภพชาติแรกกันมาแล้วทั้งสิ้น

การที่ท่านยังพาจิตวิญญาณมาเกิดกันอยู่
จนนับภพชาติกันไม่ถ้วนในภพภูมิมนุษย์นี้
ไม่ว่าจะได้รับ "โอกาส" มากี่ภพชาติแล้วก็ตาม
ก็นับเป็นความโชคดีของพวกท่านแท้ๆ
มิได้เป็นความโชคร้ายตามที่คนนำทางตาบอด
พยายามจะพร่ำบอกท่านตลอดมาแต่อย่างใด

เพราะพระบิดาทรงอนุญาตให้
ท่านทั้งหลายมาเกิดเป็นมนุษย์
มิได้ให้มาเกิดเป็นเทพเทวา
มิได้ให้มาเกิดเป็นสัตว์ประจำโลก
มิได้ให้มาเกิดเป็นอะไรอื่นนอกจากเป็นมนุษย์
พวกท่านจึงต้องเป็น "มนุษย์นิยม"
มิใช่ใฝ่ที่จะเป็น "เทวนิยม" หรือ "สัตวนิยม"
แล้วหลงผิดคิดว่าวิถี "จิตจักรวาล" เป็นเทวนิยม

ทั้งๆที่...
องค์จิตจักรวาล 
เป็นพระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของมนุษย์โลกทุกคน
เป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่งในอนันตจักรวาลนี้
เป็นผู้ทรงอนุญาตและให้โอกาสพวกท่านมาเกิด
พระองค์เป็นทั้งจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของทุกสิ่ง

พระองค์มิใช่ผู้หลุดลอย
ไปติดค้างอยู่บนสวรรค์มายา
แล้วสมมติตนเองว่าเป็นเทพเทวา

ทั้งๆที่ยังหาหนทางหลุดพ้นไม่พบเจอ
แต่ก็พากันฝักใฝ่ที่จะก้าวไปเส้นทางตันนั้น
ด้วยมองว่า "สวรรค์มายา" ที่พระบิดามิได้สร้าง
เป็นเส้นทางเป็นสถานที่วิเศษกว่าภพภูมิมนุษย์
จิตวิญญาณผู้หลงทางเหล่านี้ต่างหาก
คือ พวกเทวนิยมจนสุดโต่ง

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

จ่าปืนโหดจากกรณี "โคราชโมเดล"
เขาเป็น "ครู" ตัวอย่างของท่านทั้งหลาย
มิได้เป็นแค่ฆาตกรหรืออาชญากรใจร้ายเท่านั้น

จ่าทหารปืนโหดท่านนี้เป็นตัวอย่างหนึ่ง
ของความล้มเหลวทางจิตวิญญาณ
ที่สอบตกบททดสอบในบทละครที่เขียนมา
เพื่อร่วมแสดงกับคนรอบข้าง
เพราะจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของจ่า
เมื่อได้เผชิญกับเงื่อนไขด้านลบที่รุนแรง
ตามบทละครที่ร่วมกันขีดเขียนกันมาเอง
ในภพภูมิมนุษย์ในภพชาติที่ผ่านมา
ปรากฏว่า "จ่า" นำพาจิตวิญญาณของตน
สอบตกบททดสอบ "สติ" และจิตสามนึกมาแล้ว

บททดสอบของจ่าที่ขีดเขียนมา
เป็นเงื่อนไขด้านลบที่ค่อนข้างรุนแรงต่อจิตมาก
ตอนที่จิตวิญญาณร่วมกันเลือกบทนี้
เพราะเชื่อมั่นว่าตนจะต้อง "สอบผ่าน" มันไปได้
เนื่องจากได้กำหนดบทบาทตนเองเล่นเป็นนักรบ
ซึ่งมีทั้งความกล้าหาญ มีทั้งความฉลาด
และมีทั้งคุณธรรมความดีงามเป็นต้นทุน

นอกจากนั้นจิตวิญญาณของจ่ายังมั่นใจว่า
ถ้าตนเองสามารถเอาชนะ "ความชั่ว"
ที่คนใกล้ตัวพากันหยิบยื่นมาให้
ด้วยการ "เอาชนะใจฝ่ายต่ำ" ของตนเอง
จนสามารถสั่นสะเทือนจิตใจทางด้านบวกได้
พลังงานความรักที่ตนจะหมุนธรรมจักร
เพื่อช่วยค้ำจุนโลกที่ผลิตสร้างออกมา
มันจะมีปริมาณสูงกว่าปกติหลายเท่า
จ่าจึงเขียนบทละครและบททดสอบตนเอง
ที่เป็นด้านลบรุนแรงด้วยเงื่อนไขที่ซับซ้อน

ในอดีตชาติที่ผ่านๆมา
จ่าจึงสอบตกบททดสอบตนเอง
และล้มเหลวในการเรียนรู้ที่จะคนตนเอง
เพื่อเป็นมนุษย์ตลอดมา
ขณะที่จิตวิญญาณของจ่าที่ป่วยด้วยหลงมิติ
กว่าจะออกจากโรงพยาบาลกลับมา
เพื่อ "รับโอกาส" ที่พระบิดาทรงประทานให้
ได้เผชิญกับเงื่อนไขแบบเดิมๆในชาตินี้
เพื่อเรียนรู้ที่จะสอบให้ผ่านมันไปให้ได้
ก็ต้องเปลืองเวลาโลกไปเนิ่นนานไม่น้อยเลย

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะ "จ่า" ไม่รู้ อนุตรธรรม ความจริง
ที่เรากล่าวมาในบทสนทนาตอนนี้มาก่อน
เพราะคนนำทางตาบอดที่จ่าก้าวตามนั้น
พวกเขาทั้งหลายไม่มีใครรู้สัจธรรมนี้
เมื่อจ่าไม่รู้ว่าความจริงที่จริงแท้คืออะไร
ความจริงที่จริงแท้ในด้านบทละครที่ไม่จริง
ที่จิตวิญญาณของจ่าขีดเขียนมาคืออะไร
ขณะที่จ่าก็ไม่รู้ว่าจะสอบผ่านมันไปได้อย่างไร
จิตหยาบของจ่าจึงพาจิตวิญญาณหลงมิติ
ไปอีกคำรพหนึ่งแล้วในภพชาตินี้

  • เพราะไม่รู้ความลับเบื้องหลังมิติโลก
  • เพราะยึดติดพระศาสดาองค์เดียว
  • เพราะเชื่อคนนำทางตาบอด
ให้ปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้ากับพระบุตรเอก
ซึ่ง "รัก" บุตรมนุษย์ทุกคนอย่างจริงใจ
จนยากจะหาใครเสมอเหมือนพระองค์ได้

เพราะจ่าเป็นคนเก่ง ฉลาด กล้าหาญ
เป็นคนดีของชาติและเป็นทหารพระเจ้าอยู่หัว
แต่น่าเสียดายที่จ่าสอบตกบททดสอบตนเอง
เพียงแค่เพราะจ่า "สติแตก" ทนไม่ไหว
เมื่อถูกยั่วยุด้วยเงื่อนไขสถานการณ์ที่รุนแรง

บทละครกับบททดสอบ
ซึ่งเป็นทั้งชะตาชีวิตและชะตากรรม
ที่จ่าต้องเผชิญก็คือ...
1.ถูกเบี้ยวเงินที่ตนต้องได้ถึงหลักแสน
2.ถูกโกงค่านายหน้าถึงหลายหมื่น
3.เมื่อไปทวงกลับถูกสั่งขังคุก-ตัดเบี้ยเลี้ยง
4.ที่กู้เงินมาซื้อบ้านก็เพื่อต้องการให้แม่อยู่
5.ตนเองมีฐานะไม่ร่ำรวยแต่ถูกเอาเปรียบ
6.หาทางออกจาก "ปัญหา" ไม่ได้

การกดดันตนเองเมื่อเผชิญเงื่อนไขร้ายๆนี้
จึงยังผลให้คนดีๆอย่างจ่าเกิดอาการสติแตก
เพราะทนต่อการบีบคั้นทางจิตไม่ไหว
จนไม่สามารถใช้ความเก่ง ความฉลาด
ความเป็นคนดี และความกล้าหาญ
เพื่อสอบผ่านบททดสอบร้ายๆไปให้ได้

คนรอบข้างและผู้เกี่ยวข้อง
ที่ช่วยสร้างเงื่อนไขลบให้กับจ่า
จึงกลายเป็นเหยื่อที่ต้องถูกกำจัดทิ้ง
เพราะเมื่อขาดสติหรือสติแตก
การใช้อารมณ์ด้านลบ
จึงถูกหยิบมาใช้แทนสติปัญญา

ถ้าสังคมมนุษย์
ยังไม่หันมาใส่ใจโครงสร้างทางจิตใจ
ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักให้โครงสร้างอื่นยึดเกาะ
ด้วยการฝึกอบรมให้มีทักษะในการครองสติ
เมื่อเผชิญต่อปัญหายั่วยุจากคนรอบข้างแล้ว

การฆ่าตัวตาย การฆ่าคนอื่นตาย
การทำร้ายคนรอบข้าง
มันจะปรากฏถี่ขึ้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นนักบวชนักธรรม
ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดีหรือคนพาลสันดานชั่ว
ถ้าสติไม่แกร่งพอจิตใจอ่อนไหวง่ายเกินไป
โอกาสที่จะเป็นฆาตกร อาชญากร ล้วนมีด้วยกันทั้งนั้น

เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมาแล้ว
รัฐผู้รับผิดชอบประเทศชาติ
จะออกมากล่าวเอาใจสังคมว่า
"...เราจะดูแลความปลอดภัย   ในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่...."

ประชาชนเจ็ดสิบกว่าล้านคน  
ท่านจะกางปีกป้องภ้ยให้พวกเขาอย่างไร ?

เพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่รัฐที่จะดูแลประชาชน
เพิ่มเครื่องมือวัสดุอุปกรณ์ที่จะใช้
เพิ่มงบประมาณของชาติที่ต้องใช้
แต่ไม่เพิ่มจิตสามนึกของเจ้าหน้าที่
เหมือนในทุกหน่วยงานราชการที่ผ่านมา
ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรการลงทุนสูงมาก

ทำไมไม่คิดสร้างสติและจิตสามนึก  
ให้กับช้าราชการทุกภาคส่วนและประชาชน

เพื่อป้องกันหรือลดปัญหาอาชญากรรม
จากการเสียสติหรือสติแตก
จากการขาดจิตสามนึกแห่งการเป็นมนุษย์
จากการขาดจิตสำนึกรักชาติรักสถาบัน
จากการขาดจิตสำนึกแห่งการพึ่งพาอาศัยกัน
จากการขาดจิตสำนึกยอมรับความแตกต่าง
ฯลฯ

ทำไมไม่ทำ  
ทั้งๆที่งบประมาณการฝึกอบรม 
เพื่อพัฒนาคนในหน่วยงานราชการ
ในแต่ละปีนั้นมีมากมายจนใช้กันไม่หมด

ที่ใช้จ่ายลงทุนพัฒนาคนไปแล้วทุกปีๆ
มันสร้างคุณภาพและศักยภาพคนในองค์กร
ได้คุ้มค่ากันกับการใช้เงินงบประมาณ
จากเงินภาษีของ ปชช. จริงหรือเปล่า
ท่านนายกรัฐมนตรีและผู้เกี่ยวข้อง
เคยติดตามประเมินผลและค้นหาวิธีการ
ยกระดับจิตปัญญาพัฒนาจิตสามนึก
ของประดาข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชา
ด้วยกลยุทธที่ถูกต้องได้ผลเป็นรูปธรรม
แทนวิธีการแบบเดิมๆกันบ้างหรือไม่

อย่ามัวแต่เล่นการเมืองกันเอง
เพื่อสร้างพรรคสร้างพวกสร้างประโยชน์
โปรดหันกลับมา "เล่นกับประชาชน" ของท่าน
เพื่อการ "สร้างชาติ" ก่อนสิ้นชาติกันดีมั้ย
เพราะคนที่จะ "สติแตก" ขั้นรุนแรงรายต่อๆไป
ที่พร้อมจะเป็นภัยต่อสังคมและประเทศชาติ
รวมทั้งผู้จะเป็นภัยต่อตัวท่านนายกฯเอง
มิใช่จำเพาะแต่ ผอ.โรงเรียน (คนดี) นักปล้นฆ่า
กับจ่าทหาร (คนดีของชาติ) ฆาตกรปืนโหด
ที่เป็นตัวชี้วัดความอ่อนแอด้านจิตใจ
ของพี่น้องประชาชนคนในชาติได้ดีว่า
มันตกต่ำมากแค่ไหนแล้ว
ท่านนายกฯจะรู้มั้ยว่า...

กระบวนการ " ไซโคโชว์ " ของปริญญา
 เป็นทางเลือกสุดท้ายของมนุษย์
 ...ที่ช่วยเหลือคนในชาติได้...
 
 ช่วยตอบโจทย์ท่านที่ต้องการสร้างจิตสำนึก
ให้แก่บริวารผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน 
ที่ท่านกล่าวออกอากาศอยู่เป็นประจำ

เราขออภัยที่กล่าวต่อท่านในที่สาธารณะ
เพื่อให้พี่ๆน้องๆในสังคมนี้ได้รู้ว่า...
เราในฐานะคนไทยคนหนึ่งกำลังคิดอะไรอยู่ 
ตากับหูและจิตสามนึกของท่านและคณะ 
ยังเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิม 
สำหรับประเทศชาติและประชาชนอยู่รึเปล่า

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12/02/2020





วิธีฝึกอบรมเพื่อฝึกทักษะการครองสติ
และสร้างจิตสามนึก ด้วยกระบวนการไซโคโชว์
โดย อ.ปริญญา ตันสกุล

ณ ห้องประชุมสุริยันจันทรา
สถาบันฝึกอบรมฯ HBMI
ในโครงการจิตจักรวาลสถานธรรม ภูกระต่าย
อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ Tel.081-9349789