26 มิถุนายน 2558

จงคนตนเองให้เป็นมนุษย์



จงคนตนเองให้เป็นมนุษย์

หากเป็นมนุษย์ไม่สำเร็จ
ท่านก็จะเข้าถึงการปฏิบัติหน้าที่
ในพันธะสัญญา 6 ซึ่งท่านเคยให้เป็นสัจจะไว้
กับองค์พระบิดาแห่งจิตวิญญาณไม่ได้

หากท่านเข้าถึงพันธะสัญญา 6 ไม่ได้
ท่านก็จะกลับบ้านไม่ได้
เพราะไม่บรรลุเป้าประสงค์
ของการมาเกิดเป็นมนุษย์

เอเมน...สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26-06-2015

25 มิถุนายน 2558

วิถีแห่งจิตจักรวาล



นักเรียนแห่งเราทั้งหลาย.....

สอนให้คิด คือ ผู้เป็นครู
สอนให้รู้ คือ ผู้ถ่ายทอด
สอนให้รอด คือ ผู้นำทาง
สอนให้วาง คือ ผู้สมดุล

สอนให้เชื่อ คือ เจ้าลัทธิ
สอนให้อุตริ คือ จอมมาร
สอนท่านให้ละวางพระบิดา คือ ซาตาน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25-06-2015

24 มิถุนายน 2558

โครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก


เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าตราบใดที่ประเทศไทย
มีโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกที่แข็งแรง
หมายถึง สามารถยกตัวขึ้นสูงสุด
ในระดับความสูงอย่างน้อย 
60 ไมล์ จากพื้นโลกได้อย่างต่อเนื่องแล้ว

นั่นชี้ชัดว่า....
พวกท่านชาวจิตจักรวาลทายาท
ที่ปฏิบัติบำเพ็ญตามวิถีจิตจักรวาลกันมานั้น
เริ่มได้ผลดีเป็นที่ยิ่งขึ้นมาบ้างแล้ว

นักเรียนทราบหรือไม่ว่า
ถ้าพวกท่านสามารถใช้จิตใสใจสวย
ช่วยกันค้ำจุนระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก
เหนือฟ้าประเทศไทยกันไว้อย่างเข้มแข็ง
ดังเช่นที่เป็นอยู่ในสามวันที่ผ่านมานี้แล้ว
สิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้นกับพวกท่านมีดังนี้

1.คลื่นอากาศร้อนจัดผิดปกติ
แบบเดียวกันกับที่เกิดในอินเดีย
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
จนทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 2,005 คน
และที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในประเทศปากีสถาน
โดยเฉพาะที่เมืองการาจี
แค่ร้อนจัดเพียงไม่กีวันเท่านั้น
ก็มีผู้เสียชีวิตไปแล้วร่วม 600 คน
จะไม่มีวันเกิดขึ้นกับประเทศนี้แน่นอน

อย่างดีก็เพียงเขื่อนใหญ่ขาดน้ำ
ไม่พอใช้ทำการเกษตรและอุปโภคบริโภค
จนอาจถึงขั้นแบ่งสรรปันน้ำ
หรือขาดแคลนพืชผักธัญญาหารเท่านั้น
ซึ่งกรณีภัยพิบัติจากการขาดน้ำนี้
เป็นแผนปฏิบัติการคนละแผนกัน

2.ตาที่สามของท่านทั้งหลายจะไม่ชำรุด
เพราะโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกที่แข็งแรง
จะช่วยป้องกันกลั่นกรองพายุสุริยะ
หรือที่เรียกว่า "รังสีแห่งรัก" ที่เข้มข้นมาก
และไม่คงที่เอาไว้ให้ในสัดส่วนอันเหมาะสม
จนพวกท่านแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย

ขณะที่คนบนโลกนี้ในพิกัดอื่น
ซึ่งคนส่วนใหญ่รักไม่ได้ ให้ไม่เป็น
ได้แต่ลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในโลกียะ
เหวี่ยงแต่ประจุลบออกมาจนรกโลกนั้น
เขาจะเกิดอาการผิดปกติด้วยกันทั้งนั้น
ทั้งอาการที่พวกเขารับรู้ได้และรับรู้ไม่ได้

3.อาการเสียสมดุลทางกายสังขารและจิตวิญญาณ
อันเกิดจากสนามพลังงานแปรปรวนนี้
ก็จะไม่เกิดกับพวกท่านเลยถ้าท่าน
รักษามหาสติและถือปณิธานแห่งนิพพาน
ด้วยการครองลูกแก้วสองดวงนี้ไว้อย่างมั่นคงได้
เป็นต้นว่า.....

ระบบประสาทสมองของคนที่มีลบมากๆ
จะเกิดอาการเครียด 
ปวดมึนศีรษะอย่างไม่รู้สาเหตุ

บางคนจะเกิดอาการปวดหัวข้างซ้ายจัด
บางคนจะเกิดอาการหงุดหงิดง่ายผิดปกติ
บางคนจะเกิดอาการคลื่นไส้คล้ายจะอาเจียน
บางคนจะเบื่ออาหาร นอนไม่หลับ
บางคนจะเกิดอาการหลงลืมง่าย
บางคนจะตัดสินใจผิดพลาดบ่อย
บางคนจะเกิดอาการหวาดระแวงโดยไม่รู้สาเหตุ
บางคนจะเกิดอาการวิตกจริต

4.บางคนจะต้องเผชิญกับมารภายใน
แทบจะควบคุมไว้ไม่อยู่
จนเกิดปากเสียงขัดแย้งกันในครอบครัว
จนบางรายเกิดกรณีบานปลาย
เหมือนน้ำผึ้งหยดเดียว
ซึ่งพวกท่านจะไม่มีวันเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้เลย

5.บางคนอาจจะต้องผจญกับมารภูติ
โดยจะฉวยโอกาสตอนที่
ตาที่สามของท่่านเกิดอาการแง้มออกแล้วเข้าแทรกแซง
จนทำให้ท่านตัดสินใจผิด หลงผิด ทำผิด คิดชั่ว
ดั่งคนไม่รู้สติโดยที่ท่านเองจะไม่รู้ตัวเลย
ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ก็จะไม่เกิดกับท่านด้วยเช่นกัน

6.แผ่นดินบนพิกัดประเทศนี้
จะหยุดการสั่นไหวแรงๆเกินระดับสี่ที่น่ากลัวได้

รู้กันไว้เพียงเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
24-06-2015


ข่าวน่ายินดี


ข่าวสารความรู้ใหม่ชิ้นนี้
จัดได้ว่าล้ำค่ามากสำหรับพี่ๆน้องๆแห่งเรา
ชาวยุวจิตจักรวาลทายาททั้งหลาย

เมื่อการวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลก
ของระบบโครงข่ายที่ครอบคลุมเหนือประเทศนี้ไว้
ในขณะเกิดพายุสุริยะระดับความเข้มข้นสูงสุด
ที่เกิดจากจุดระเบิด 2371 (ดังศรชี้ในภาพ) 
แล้วทะยอยส่งตรงมายังโลกเป็นระลอกๆ
ซึ่งวัดค่าสูงสุดได้ถึง kp=8 หรือ G4
ที่นับว่ารุนแรงมากๆ

โดยที่เราได้เตือนพวกท่านให้ใช้มหาสติตั้งรับ
เพื่อป้องกันตาที่สามชำรุดอันเกิดจาก
ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กโลกจะแปรปรวน
เพราะถูกพายุสุริยะระดับความเข้มข้นสูงรบกวน
เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา...ยังจำได้มั้ย?

แต่ปรากฏว่าคนที่เหลวไหลไม่เชื่อฟังเรา
เพราะขาดมหาสติไร้ปณิธานแห่งนิพพาน
ได้ตกเป็นเหยื่อมารทั้งสามจำพวกกันหลายราย
โชคดีที่บางคนกลับตัวกลับใจทัน
โชคร้ายสำหรับหลายคนที่ยังสับสนลังเล

ขณะที่คนอับโชคบางคน
ได้ปลดปล่อยตนเองได้ละทิ้งดวงอาทิตย์
ผละไปอยู่กับดวงราหูเป็นที่เรียบร้อย

โครงข่ายสนามแม่เหล็กโลกที่แข็งแรงสุดๆ
เหนือพิกัดประเทศไทยดังกล่าวนี้
เป็นตัวชี้วัดสำหรับท่านทั้งหลายได้ว่า

1.ชาวยุวจิตฯศิษย์เราแม้จะมีเหลืออยู่แค่หยิบมือ
ต่างประสบความสำเร็จในการยกระดับจิตปัญญา
สู่การเป็นผู้มี "จิตใส ใจสวย" ในระดับที่น่าพอใจ

พวกท่านจึงต้องช่วยกันรักษาระดับโครงข่าย
สนามแม่เหล็กโลกที่แข็งแกร่งแข็งแรงนี้ไว้
ให้มันยังยืน ให้มันสม่ำเสมอ ให้มันคงที่
อย่าให้มันขึ้นๆลงๆในแบบเสียสมดุลเหมือนอดีตอีก

พวกท่านต้องช่วยกันครองมหาสติ
และยึดปณิธานแห่งนิพพานในชีวิตประจำวัน
เอาไว้ให้มั่นคงจนเป็นนิสัยของท่านให้จงได้
เพื่อหมุนธรรมจักรร่วมกันในบทบาทของคน
จิตใส ใจสวย รวยรัก และปัญญา

ขณะที่คนในสังคมส่วนใหญ่
พวกเขาอาจมีจิตสำนึกย่ำแย่ลงตามกระแสโลก
จนแลดูน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง

2.บ่งชี้ว่าปฏิบัติการทางเท็คนิก
ของพี่ๆช่างเท็คนิก
ในมิติคู่ขนานกันกับมิติโลกทางกายภาพ
สำหรับพิกัดประเทศไทยนี้...
กำลังเริ่มจะได้ผลเป็นรูปธรรมบ้างแล้ว

3.บ่งชี้ว่าเสาอากาศเชื่อมโยงกับองค์จิตจักรวาล
ที่เราเพียรเร่งติดตั้งทั้งวันคืน
ผ่านบานประตูมิติ @ ภูกระต่าย ที่หลายๆท่าน
ได้ร่วมสนับสนุนปัจจัยทางโลกกันมาต่อเนื่อง
กำลังค่อยๆส่งผลเป็นรูปธรรมขึ้นมาแล้วเช่นกัน

เราจึงขอบอกข่าวดีนี้มายัง
นักเรียนที่รักทั้งหลายและผู้สนับสนุนปัจจัยทุกท่าน
ให้ได้ร่วมกันแสดงความปีติ
เอาไว้ท้ายสไลด์ชิ้นนี้ต่อไป

แต่ขอเตือนว่า...
จงทำดีตามวิถีจิตจักรวาลกันต่อไป
อย่าได้หลงตัวเอง อย่าได้เหลิงแล้วลบหลู่ผู้อื่น
พวกเรารักเพื่อให้ Love to Love to Give!

โมทนากับลูกๆที่รักดีในวิถีจิตจักรวาลทุกๆคนนะ

เอเมน สาธุ
24-06-2015


เพราะทรงไม่มีทั้งจุดเริ่มต้น และไม่มีจุดสิ้นสุด


นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพราะพระองค์ทรงเป็นทั้งจุดเริ่มต้น
และจุดสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่ง

พระองค์จึงทรงมีเพียงจุดเดียว คือ 
ไม่มีทั้งจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุด
พระองค์จึงทรงเป็นพระผู้ทรงสถิตย์
อยู่อย่างนั้น....ตราบกาลนิรันดร์

กราบพระบาทองค์จิตจักรวาล

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
24-06-2015




23 มิถุนายน 2558

ATTN: Ahchawharahyh


ATTN: Ahchawharahyh
Quest: 
๑.จะมีสิ่งใดที่พระองค์ทรงลืมให้หายไปด้วยหรือ?
๒.และถ้าหากมีทำไมจึงจะต้องถูกพระองค์ลืม?
๓.ไม่ทราบว่าเป็นความเข้าใจผิดและหรือถูกมากน้อยเพียงไร?

Answer:
1.ไม่มีสิ่งใดที่พระบิดาจะทรงลืม เพื่อให้หายไป

2.เพราะพระองค์ทรงมีพระคุณสมบัติเพียงความรักอย่างเดียว
ความชิงชังรังเกียจแบบจิตมนุษย์นั้นไม่มี

3.พระบิดาไม่เคยทรงสร้างสิ่งใดแล้วทำลายสิ่งนั้น
แม้แต่สิ่งเดียว นมนานผ่านมาแล้ว

สังเกตจากไส้ติ่งของพวกท่านสิ
นั่นเป็นเศษสิ่งเหลือใช้
ในการสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
แต่พระองค์ก็มิเคยทิ้งขว้างมันไป
ทรงเอาไปแปะติดเป็นติ่งไว้กับลำไส้ใหญ่

4.ที่เรากล่าวว่า หากพระองค์ทรงลืมใครหรือสิ่งใด
ไม่ว่าจะขนาดมวลใหญ่หรือเล็กก็ตาม
สรรพสิ่งนั้นก็จะหาย วับ! ไปทันที
ก็เพื่อจะถามไถ่พวกท่านทั้งหลายว่า...

*ถ้าท่านรักพ่อแม่...
พวกท่านเคยลืมพ่อแม่ของท่านมั้ย?

*ถ้าท่านรักคู่ชีวิต...
พวกท่านเคยลืมคู่ชีวิตของท่านมั้ย?

*ถ้าท่านรักลูกหลาน...
พวกท่านเคยลืมลูกหลานของท่านมั้ย?

*ถ้าท่านรักของสิ่งใด...
พวกท่านเคยลืมของรักชิ้นนั้นของท่านมั้ย?

คำตอบในคำถามทั้งสี่ข้อก็คือ "ไม่ลืม"

5.เมื่อท่านยังไม่ลืมผู้ใด หรือสิ่งใด
นั่นแสดงว่าผู้นั้นหรือสิ่งนั้น
ยังคงมีอยู่จริงสำหรับท่าน...ใช่มั้ย?

6.แต่ถ้าตัวท่านนั้นเกิดลืมผู้ใดหรือสิ่งใด
นั่นย่อมแสดงว่าผู้นั้นหรือสิ่งนั้น
ได้สลายตัวตนหายไป
จากความทรงจำของท่านแล้ว

ดังนั้น....
ผู้นั้นหรือสิ่งนั้นจึงเสมือนหนึ่งว่าสลายตัวหายไป
จากการมีอยู่จริงในชีวิตจริงสำหรับท่านแล้ว

นักเรียนที่รักทั้งหลาย....
เราจึงใคร่กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การลืมผู้ใดหรือสิ่งใดไปจากความทรงจำ
การลืมผู้ใดหรือสิ่งใดไปจากการคิดคำนึง
ก็เท่ากับว่าสิ่งที่ถูกลืมหรือคนที่ถูกลืมนั้น
ได้จางหายสลายไป...จากการมีอยู่จริง
ของคนนั้นสิ่งนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

7.ทั้งหมดที่เรากล่าวไว้ในข้อ 6.นั้น
เป็นการกำหนดสร้าง "มายา" 
ซึ่งเป็นสัจธรรมระดับโลกียะขึ้นไว้
โดยให้มันต้องเป็นของมันเช่นนั้นเอง
และแน่นอนว่าพระบิดาหรือพระผู้สร้าง
ได้ทรงกำหนดให้มันเป็นไปตามคุณสมบัติ
ของพระองค์เองโดยแท้....

กล่าวคือ...
พระองค์ทรงรักทุกสรรพสิ่ง
ที่พระองค์ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้
หากตราบใดยังทรงรักสรรพสิ่งนั้นๆอยู่
สรรพสิ่งนั้นก็ยังคงมีอยู่จริงเพราะจำได้
หากพระองค์สิ้นรักในสรรพสิ่งใดๆ
พระองค์จะทรงลืมมันไป
แล้วสรรพสิ่งนั้นก็จักหายวับไป
ในมิติทางพลังงาน...

8.นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนั้น
มันเป็นความจริงที่จริงแท้

แต่ในความเป็นจริงแล้ว....
พระองค์จะไม่มีวันลืมสรรพสิ่งใดๆเลย
เพราะทุกสรรพสิ่งที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้
บนกาแล็กซี่ทางช้างเผือกนี้
ทรงใช้เพียงแค่ 1 อนุภาคแห่งสุญตา
ภายในนิวเคลียสของพระองค์เอง
เพื่อการจดจำไว้เท่านั้น

การลืมแล้วสรรพสิ่งนั้นจักหายวับไป
แม้จะเป็นความจริงที่จริงแท้
แต่พระองค์ก็จะมิทรงลืมสรรพสิ่งใด
เพราะทรงรักทุกสรรพสิ่งตลอดกาลนิรันดร์

ไม่ว่าบุตรที่ดีหรือบุตรที่เลว
พระองค์ก็ทรงรักเท่ากันมิมีเสื่อมคลาย
เว้นกรณีชำระโลกครั้งที่สี่นี้...
บุตรบางรูปธรรมที่เลวยิ่งกว่าขยะที่รกโลก
จักต้องทรงยอมให้แตกสลายหายตัวไป
เพราะถ้ายังยอมให้มีอยู่ต่อไปก็ไร้ค่า
หาประโยชน์อันใดมิได้แล้ว

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
23-06-2015


มารมี 3 จำพวก


นักเรียนที่รักทั้งหลาย

ขณะที่สถานการณ์การเคี่ยวกรรมของท่าน
ชักจะเข้มข้น ออกรส ออกชาติ มากขึ้นนี้
เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าท่านมองว่า "มาร" 
เป็นคู่ต่อสู้หรือศัตรูที่ท่านต้องผจญแล้ว
การไม่ใส่ใจเรียนรู้ว่ามารเป็นใคร
มีฤทธิ์อำนาจขนาดไหน
ไม่ทำความเข้าใจคู่ต่อสู้ของตนเลย
นั่นเท่ากับว่าประมาทเป็นที่ยิ่ง

สำหรับพวกท่านแต่ละคน
มารที่จักต้องผจญมีด้วยกัน 3 จำพวก ดังนี้

1.มารภายใน
..................
นี่เป็นจิตวิญญาณตัวตนแก่นแท้ของท่านเอง
ที่ถือรหัสด้านลบติดตัวมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์
ในภพชาตินี้ด้วย....
ซึ่งเป็นการถือรหัสด้านลบติดตัวมา
เพื่ออาศัยจิตหยาบของตนในภพชาตินี้
ช่วยชำระสะสางให้กลับคืนสู่สมดุล
มิเช่นนั้นแล้วจะหลุดพ้นไม่ได้

รหัสด้านลบที่ถือติดตัวมาของแก่นแท้
จะถูกขับเคลื่อนออกมาภายนอก
เพื่อแสดงบทบาทแทนจิตหยาบในทันที
เมื่อไหร่ก็ตามที่จิตหยาบไร้สติ เสียสติ
เพราะถูกยั่วยุ ยั่วเย้า ให้อารมณ์เสีย จิตตก

รหัสด้านลบเหล่านี้
จิตวิญญาณท่านเอง
จะรอโอกาสกระทำในสิ่งที่เหลวไหลเลวร้าย
ในยามที่ท่านเกิดอาการจิตตก

โดยมักจะทำร้ายบุคคลเป้าหมาย
ซึ่งเขามีจิตวิญญาณ
เป็นคู่เวรคู่กรรมกันมากับท่าน
หรือเป็นจิตวิญญาณที่ผูกใจเจ็บแค้น
อาฆาตพยาบาทต่อกันมาจากปางก่อน เป็นต้น

บ่อยครั้งที่ท่านจะแสดงพฤติกรรมขยะ
ต่อคนที่ท่านรักซึ่งอยู่ใกล้ชิดตัวท่าน
ต่อคนที่ท่านรักศรัทธาให้ความเคารพ
โดยที่ท่านมักจะเสียใจภายหลังเสมอ
เพราะหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ว่า
ทำไมตนจึงกระทำเหลวไหลเช่นนั้นได้

2.มารภูติ
.............
มารจำพวกนี้ 
เป็นรูปธรรมที่อยู่ในมิติทางพลังงาน
แต่มิใช่แก่นแท้ภายในตัวท่านเองหรอกนะ

มารจำพวกนี้
เป็นรูปธรรมของเจ้ากรรมนายเวรของท่าน
ที่จะคอยติดตามเล่นงานท่านทันที
เมื่อมีโอกาสให้แก้แค้นเอาคืน

ปกติแล้วพวกเขาจะค่อยๆเข้าแทรกแซง
สู่ภายในเพื่อทำให้กายสังขารของท่าน
เจ็บป่วย ไม่แข็งแรง ทรุดโทรม
เป็นโรคประหลาด เป็นโรคร้ายๆ

บางครั้งก็จะคอยปัดแข้งปัดขา
สร้างสถานการณ์ประมาทจนเกิดอุบัติเหตุ
ยังผลให้ท่านเดือดร้อนกายใจหรือเสียชีวิต
บางครั้งก็จะทำตนเป็นอุปสรรค
ขัดขวางความสุข ความสำเร็จของท่าน
ปิดกั้นคนดีๆไม่ให้เข้าใกล้
ปิดกั้นโอกาสดีๆไม่ให้ท่านได้รับ เป็นต้น

ที่ร้ายกว่านี้
มารภูติอาจยืมมือคนอื่นทำร้ายท่าน
โดยจูงให้ท่านไปทำผิดคิดชั่วต่อใครก็ตาม
เพื่อหวังให้คนที่ท่านกระทำไม่ดีต่อเขานั้น
โกรธแค้นอาฆาตเอาคืนท่านอย่างรุนแรง
ไม่ก็หลอกให้ท่านทำสิ่งที่น่าอับอาย
เมื่อไหร่ก็ตามที่ท่านไร้มหาสติ

3.มารมนุษย์
..................
พวกนี้ คือ คนรอบตัวท่านที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน
มองด้วยสองตาฟังด้วยสองหูก็รู้เห็นตัวตน
ว่าพวกเขาเป็นใครบบ้าง จึงไม่น่ากลัว
หากท่านมีมหาสติอยู่กับตัว

จงครองมหาสติและดำเนินชีวิต
ด้วยความไม่ประมาทเถิด
มารจะอาศัยทีเผลอนะท่านนะ
เราเตือนท่านแล้วนะ..จะบอกให้

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
23-06-2015


องค์จิตจักรวาล


เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

* องค์จิตจักรวาล 
ทรงเป็นจุดศูนย์กลางแห่งมหาจักรวาล
พระองค์จึงทรงเป็นพระผู้ค้ำจุนมหาจักรวาลไว้
พระองค์จึงทรงเป็น"พระผู้เป็นจ้าว"แห่งจักรวาล

* องค์จิตจักรวาล
ทรงเป็นทั้งจุดเริ่มต้นแห่งการอุบัติขึ้น
และทรงเป็นจุดสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่ง
พระองค์จึงทรงเป็น"พระผู้สร้าง"ทุกสรรพสิ่ง

* องค์จิตจักรวาล
ทรงเป็นพระบิดาผู้ทรงให้กำเนิดจิตวิญญาณ
ทั้งในมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย
พระองค์จึงทรงเป็น "พระบิดา" 
แห่งจิตวิญญาณทั้งหลายทั้งปวง

* องค์จิตจักรวาล....ทรงใช้ความรัก
ยึดโยงเหนี่ยวรั้งทุกสรรพสิ่ง
ซึ่งพระองค์ทรงสร้างขึ้นไว้อย่างเป็นระบบ
เพียงแค่พระองค์ทรงลืมสิ่งใด
สรรพสิ่งนั้นก็จักหายไปในทันที

พระองค์จึงทรงเป็น "พระเจ้า"
ผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระเมตตา
อันเป็นต้นแบบของสรรพสิ่งทั้งปวง
ในมหาจักรวาล

กราบพระบาทพระบิดา
เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
23-06-2015


เพราะลืมมิติแก่นแท้


* นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

1.หากท่านลืมหรือจดจำไม่ได้ว่า
ตัวตนแก่นแท้ของท่านเป็นใคร

ตัวตนแก่นแท้ของท่านมาจากไหน 
ใครอนุญาตให้มา

ตัวตนแก่นแท้ของท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
มีหน้าที่จะต้องทำอะไรบ้าง

นี่ย่อมแสดงว่า...
ท่านน่ะ "ลืมตัวเอง" ไปแล้ว
หรือขาดสติทางวิญญาณไปแล้วนั่นเอง

2.หากท่าน"ลืมตน" 
แสดงว่าท่านเป็นคนหลงตัวเอง

คนหลงตัวเองจนลืมตน
มักเกิดจาก.....

หลงในอำนาจ หลงในยศศักดิ์
หลงในทรัพย์สมบัติความร่ำรวยแห่งตน
หลงในรูปลักษณ์มายาแห่งตน
หลงในเกียรติชื่อเสียงแห่งตน
หลงในภูมิรู้ ภูมิธรรม ภูมิปัญญาแห่งตน
หลงในคำสรรเสริญเยินยอจากคนรอบข้าง

คนที่หลงตัวเองจนลืมตนจึงมักมีมิจฉาทิฐิ
จนมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงเกิน
จึงเลือกเชื่อเลือกฟัง
แค่คนบางคนที่ตนชอบพอ
นอกนั้นแสร้งทำเป็นว่าฟัง
แสร้งทำเป็นขอคำปรึกษาหารือ
แต่สุดท้ายก็ไม่เชื่อใคร
นอกจากเชื่อแค่คนที่ตัวชอบเท่านั้น

3.หากท่าน "ลืมตื่น"
แสดงว่าท่าน...
ยังคงหลงไหลอยู่กับความงมงาย

แสดงว่าท่าน...
ยังคงหลับไหลอยู่กับความไม่รู้

แสดงว่าท่าน...
ยังคงลื่นไหลอยู่กับโลกียะ

นักเรียนที่รักทั้งหลาย
การลืมตัว ลืมตน และลืมตื่น
ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของความหลง
ในอัตตาแห่งตนทั้งสิ้น

พอขาดสติแล้วไปหลงมันเข้า 
การยึดติดมันจึงเกิดขึ้น
เมื่อจิตยึดติด 
อัตตาของสิ่งนั้นมันก็เลยเกิดมีขึ้นมาด้วย

ดังนั้น...
การยึดติดในอัตตาของมนุษย์แต่ละคน
จึงมักมีที่มาเป็นแบบนี้นี่เอง

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
23-06-2015



เงามายา..ส่องสะท้อนแห่งการไร้น้ำใจ


"เงามายา..ส่องสะท้อนแห่งการไร้น้ำใจ"

เหตุเพราะ...
การไม่รู้จักรัก ไม่รู้จักให้

ยิ่งยากจนยิ่งโลภ 
ยิ่งไร้สติทางวิญญาณ

ยิ่งร่ำรวยยิ่งโลภมาก 
ยิ่งเห็นแก่ตัวและพวกตัว

กาลบัดนี้จึงต้องจัดสรรบทเรียนใหม่
เป็นคลื่นอากาศร้อน...คร่อมฤดูกาล
ปฏิบัติการทางเท็คนิกอันชวนคิดคำนึง
ถึงพี่น้องชาวเอเซียไว้เป็นแบบอย่าง
บ้าง...แล้ววันนี้......

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
23-06-2015

21 มิถุนายน 2558

ข้ออ้าง ข้อแก้ต่าง คำแก้ตัว


นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เหตุผลที่ผู้คนส่วนใหญ่มักนำมาใช้
สนับสนุนความเชื่อของตัวเองต่อผู้อื่นนั้น
จะอยู่ในสามลักษณะต่อไปนี้ คือ

1.ข้ออ้าง
2.ข้อแก้ต่าง
3.คำแก้ตัว

ทั้งสามอย่างนี้
จะเป็นเหตุผลที่เป็นด้านของตนเองด้านเดียว

โดยมี "ความเชื่อ" 
เป็นตัวปิดกั้นสติปัญญาไว้

โดยมี "ความงมงาย"
เป็นตัวตีกรอบวิสัยทัศน์ไว้

โดยมี "กิเลสตัณหา" 
เป็นตัวปิดกั้นการคิดสร้างสรรค์แท้จริงไว้

หากเป็นเหตุผลที่แท้จริงแล้ว
จักต้องเป็นที่รับได้ของทุกฝ่าย

โดยต้องอยู่บนหลักการของและเหตุผล
โดยต้องอยู่บนหลักแห่งสัจธรรมความเป็นจริง
โดยต้องได้มาจากความฉลาดทางปัญญาที่ในตน

มิใช่จากความเชื่อ 
มิใช่จากความชอบ 
มิใช่จากความงมงาย

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
21-06-2015


ATTN: Jittarnan



ATTN: Jittarnan Duangchaicharatchaii 
Quest:
กราบเรียนถามด้วยจิตเมตตาหวังดีของเรา...
ถ้าเราพบเจอผู้ที่มีพฤติกรรม
ดั่งที่ท่านอาจารย์กล่าว 

เราต้องปฎิบัติตนเช่นไร
ในการที่จะฉุดช่วย
ให้เค้าพ้นจากชะตากรรมนั้น...
โดยไม่ไปก่อกรรมเกี่ยวเวรกับเค้าเพิ่มเจ้าคะ...

Answer:
1.ในการคิดแบบจิตมนุษย์
การเห็นใครตกทุกข์ได้ยาก
แล้ว "อยากช่วยเหลือ" นั้นนับเป็นสิ่งดี 

2.แต่ถ้าการช่วยเหลือของเธอนั้น
ไปทำตนเป็นอุปสรรคขัดขวางมารภูติ
ไปทำตนเป็นอุปสรรคของมารมนุษย์ของเขา
เธอจะรับมือไหวหรือ...มันจะคุ้มเมตตากระนั้นหรือ
หากต้องไปเกี่ยวกรรมกับมารเข้าให้น่ะ

ถามตัวเองสิ ขนาดเธอเองไม่มีฤทธิ์ดั่งมาร
เธอเป็นได้แค่ "มัน" ของคนอื่นๆ
เมื่อใดที่ใครมาขวางทางชีวิตเธอเข้า
เธอยอมง่ายๆได้หรือ...หือม์?

3.การช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก
เป็นสิ่งดีที่เธอต้องรักที่จะช่วย
คนอดหยาก ยากจน คนคิดสั้น
คนตีบตันทางปัญญา
คนไร้โอกาส ด้อยโอกาส เป็นอาทิ

เธอเห็นมั้ย....
บุคคลจำพวกนี้เธอช่วยแล้วปลอดภัยได้บุญ
เพราะพวกเขาไม่มีเจ้ากรรมนายเวร
ที่สวมบทมารภูติในมิติทางจิตวิญญาณ
หรือมารในคราบมนุษย์คนใดคนหนึ่งปรากฏอยู่
เธอน่าจะปลอดภัยกว่า...ว่ามั้ย?

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
21-06-2015


ผีเสื้อหรู


ผีเสื้อหรู
ดูดี สีเสื้อสวย

โชคอำนวย
ดำเหลือง ขลิบเฟื่องฟ้า

หรือด้อยเด่น
เห็นงาม ตามมรรคา

หรือเพราะว่า
ปรับตน ให้พ้นภัย

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
21-06-2015

ถ้า...มนุษย์


เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

พระบิดาทรงมีพระเมตตาส่งเรามา
ปฏิบัติพันธกิจตามพันธสัญญาพิเศษ
ในพระนามแห่งพระองค์ยังโลกเสรีนี้
ก็เพื่อช่วยชี้แนะบุตรมนุษย์ทั้งหลาย
นำพาตนเองให้รอดพ้นไปจากเงื้อมมือของหมู่มาร
เพื่อการกลับคืนสู่บ้านเกิดทางจิตวิญญาณ
ในภพชาตินี้กันอย่างสง่างามให้จงได้เท่านั้น

พระองค์มิได้ทรงอนุญาตให้เรา
เข้ามาทำหน้าที่ฉุดช่วย
คนที่ป่วยทางจิตวิญญาณเพราะมีมารภูติ
เข้าแทรกซ้อนตาที่สามแต่อย่างใด

เหตุเพราะเรามิใช่ "หมอวิเศษ"
แต่เราเป็นเพียงแค่ "คนพิเศษ" 
ของพวกท่านเท่านั้น

ตัวท่านที่ร้องขอเราให้ช่วยเหลือใคร
ที่ตกเป็นทาสของมารภูติหรือมารมนุษย์ไปแล้ว
จะใช้เพียงความเมตตาจึงขันอาสาเข้าช่วยนั้นมิได้
เพราะนอกจากจะมีเมตตาแล้ว
ท่านจำต้องมี "หน้าที่" อีกอย่างหนึ่งด้วย

ดังนั้น....เมื่อมีเมตตาแต่ไม่มีหน้าที่
ท่านคงต้องละวางตรงนี้ไว้
เหมือนกับท่านละวางผู้คนอีกมากมาย
ที่กำลังทุกข์ยากอยู่บนโลกนี้
เพราะท่านไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยว นั่นแหละ

ชะตากรรมของคนเหล่านี้
เป็นตัวเขาเองเท่านั้นที่จะต้องแก้ไขใช่ใครอื่น

โดยเบื้องแรก...
ตัวเขาจักต้องค้นหา "มหาสติ" ให้พบเสียก่อน
หาให้พบเพื่อที่จะเข้าถึงการมีสำนึกที่ถูกต้อง
ในสิ่งที่เขารู้เห็นเป็นอยู่ซึ่งมันจะนำไปสู่
การเป็นตัวของตัวเขาเองให้จงได้

เพราะถ้าใครเข้าถึงการเป็นตัวของตัวเองไม่ได้
มนุษย์นั้นก็มิอาจเข้าถึง "พลังอำนาจใด"
ที่มีอยู่ในตนเองได้เลย....

คนที่หลงงมงายกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่
โดยไม่รู้ว่านั่นคือมารหรือคืออะไร

กับคนที่หลงตัวเองจนสุดกู่
โดยไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร
โดยไม่รู้ว่าไหนโง่ไหนฉลาด
โดยไม่รู้สำนึกในบาปบุญคุณโทษ
โดยไม่รู้สำนึกในผิดชอบดีชั่ว

คนแบบนี้ยังมีอีกเยอะไป

เราขอบอกต่อท่านทั้งหลายว่า
แก่นแท้ในพระโอวาทและพระวจนะทั้งปวง
ทั้งที่อยู่ในพระคัมภีร์จิตจักรวาลและนอกพระคัมภีร์
ล้วนประทานแด่พวกท่านไว้เพื่อการพิชิตมาร

มิใช่เพื่อการแก้ไขในยามผิดพลาดไปแล้ว
โดยตกเป็นทาสของมารภูติ
หรือว่าเป็นทาสของมารมนุษย์กันไปแล้ว
แต่อย่างใดทั้งสิ้น....

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
21-06-2015






แก้ววิเศษสองดวง


แก้วสองดวงนี้จงถือเอาไว้ให้มั่น
จักป้องกันมารผจญได้
ทั้งมารภายในตนเองและมารมนุษย์

กราบขอบพระทัยองค์จิตจักรวาล
เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
21-06-2015


20 มิถุนายน 2558

สติแตกง่าย...


สติแตกง่าย.... 
หมายถึง ควบคุมตนเองไม่ได้
นึกอยากจะพูดก็พูด อยากจะทำก็ทำ
จึงเป็นเงื่อนไขด้านลบของคนอื่นอยู่เนืองๆ
เพราะพูดไม่เข้าหู ทำไม่เข้าตา
ไม่รู้จักกาละเทศะ
ไม่รู้หน้าที่ของตนเอง
ชอบทำตนก้าวล่วงผู้อื่น
อวดรู้ อวดดี ยกตนข่มท่านอยู่เนืองๆ
วันๆมักจะก่อเจ้ากรรมนายเวรขึ้นมาใหม่มากมาย

น้อตหลุด....
หมายถึง เป็นคนที่อดทน อดกลั้น
กับการกระทำไม่ถูกต้องของคนอื่นไม่ได้
จะเสียสมดุลทางจิตใจอย่างรุนแรงทันที
เมื่อมีใครก้าวล่วง
เมื่อมีใครยั่วโทสะ

คนที่สติแตกง่าย 
เพราะจิตใจบอบบาง
เนื่องจากขาดมหาสติ

คนที่น้อตหลุดง่าย 
เพราะน้อตหลวม
หมายถึง อ่อนไหวง่ายเมื่อถูกยั่วยุ

บุคคลทั้งสองจำพวกนี้จงระวัง
ท่านจะถูกทดสอบจิตสำนึกครั้งใหญ่
ด้วยการได้เผชิญกับชะตากรรมอันหนักหนา
แล้วมารในคราบมนุษย์ก็จะฉวยโอกาส
ทำทีเข้ามาแทรกสอดเหมือนหวังดี

เพื่อช่วยปลอบใจ
โดยซับน้ำตาให้ด้วยน้ำลายบ้างล่ะ

เพื่อช่วยเป็นที่ปรึกษาให้
ด้วยธรรมะสไตล์มารบ้างล่ะ

เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาชีวิตให้
ด้วยวิธีการตัดสินใจที่ผิดพลาดบ้างล่ะ

ต่อให้ท่านฉลาดล้ำลึกเพียงใด
ถ้าหากจิตมารเข้าแทรกซ้อน
ในขณะที่....
มารมนุษย์ก็จะเพียรฉุดท่านให้หลงตนเอง
แล้วมั่นใจได้หรือว่าท่านจะรอดพ้น
จากการตกเป็นเหยื่อมารไปได้ง่ายๆ
เราเตือนท่านนะ....

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
20-06-2015




19 มิถุนายน 2558

ระวังน้อตหลุด


นี่แน่ะ...ท่านทั้งหลาย
ต่อนี้ไปสนามแม่เหล็กโลก
จะแปรปรวนมากยิ่งขึ้น
ตาที่สามบางคนอาจชำรุด

*นักเรียนที่รักแห่งเราทั้งหลาย
หมู่มาร คือ มนุษย์ก็ได้
จิตวิญญาณแห่งภูติก็ได้
ล้วนเป็นผู้ที่จะทำตนให้เป็นอุปสรรค
ต่อการหลุดพ้นของท่านได้ในทุกๆวิถีทาง
วิธีการของมารที่มักจะใช้กระทำ
ต่อพวกท่านวิธีแรกก็คือ...

*ลวงให้ท่านหลงตัวเองว่าเป็นคนเก่ง
หรือหลอกให้ท่านหลงผิดคิดว่าตนเป็นผู้วิเศษ
ด้วยการเข้าแทรกแซงตรงตาที่สามทันที
ในจังหวะที่ท่านขาดสติ (ไม่ใช่ขาดมหาสติ)
ในช่วงที่สนามแม่เหล็กโลกวิปริตแปรปรวน

โดยหลอกว่าท่านน่ะ "มีตัวรู้" มีญาณทิพย์
ทั้งๆที่ท่านเองไม่ได้ฝักใฝ่ฝึกฝนอะไรมาเลย
จู่ๆมันก็เกิดขึ้นมาเองอย่างเป็นที่อัศจรรย์
โดยมิพักต้องนึกต้องคิดสักนิดเดียว

เจ้ากรรมนายเวรจำพวกนี้
จะเป็นพวกที่ไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรม
จึงทำร้ายท่านด้วยตนเองทางกายภาพไม่ได้
พวกเขาจึงต้องใช้วิธีแบบนี้ คือ 

หลอกให้ท่านหลงตัวเองว่า
มีฤทธิ์หรือมีอิทธิปัญญา
ด้วยการใส่ตัวรู้มาให้
ในขณะท่านกำลังเผลอๆเหม่อๆเบลอๆ
ประหนึ่งว่ามันผุดโผล่ขึ้นมาเองนั่นล่ะนะ

นักเรียนลองถามตนเองดูบ้างสิว่า
มีด้วยหรือที่นาของท่านจะได้ข้าว
ถ้าไม่ปลูกข้าว

มีด้วยหรือที่ท่านจะรู้อะไรโดยไม่ต้องเรียนรู้
มีด้วยหรือที่ท่านจะเชี่ยวชาญได้โดยไม่ต้องฝึกฝน
เพราะแม้แต่พรสวรรค์ที่ท่านชำนาญอยู่
ก็ได้จากการฝึกฝนกันมาในภพขาติอดีตกันทั้งนั้น

ดังนั้น...
การที่จู่ๆตัวรู้มันเกิดขึ้นมาเอง
ในยามที่ตาที่สามของมนุษย์เริ่มชำรุดกัน
เพราะสนามแม่เหล็กโลกเกิดอาการวิกฤต
อันมีเหตุจากพายุแม่เหล็ก
ที่ถูกส่งเข้ามาในระบบอย่างเข้มข้นมากนั้น

ต่อนี้ไปนักเรียนจึงต้องไม่เผลอสติ
จนเกิดอาการ "หลงตัวเอง" ขึ้นมาเด็ดขาด
เพราะท่านจะตกเป็นทาสมารไปทันที
โดยมารจะเข้าแทรกแซงตาที่สามของท่าน
แล้วจูงให้ท่านแสดงบทบาทพฤติกรรม
ไปตามบงการของจิตมาร

เป็นต้นว่า....
หลอกให้ท่านกล่าวธรรมะ
แต่เป็นธรรมะแปลกๆ ด้วยคำพูดที่แปลกๆ
เมื่อกล่าวออกมาแล้วคนทั่วไปมักฟังกันไม่รู้เรื่อง
ใครได้ฟังแล้วก็จะรู้สึกว่ายากเกินกว่าจะเข้าใจ
จึงมักจะมีผู้กล่าวตรงกันว่า...
"มันพูด มันเขียนอะไรของมันก็ไม่รู้"

เอเมน สาธุ

กราบพระบาทพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-06-2558


17 มิถุนายน 2558

สนทนาประสานักเรียน ATTN: เมธี บุญสิน


ATTN: เมธี บุญสิน
Quest:
ตอนที่อาจารย์สื่อพระโอวาท
นอกจากคนที่มีกายเนื้อแล้ว ยังมีพวกไม่มีร่างกาย 
หรือกายละเอียด รับฟังด้วย 

พวกเขาเหล่านั้นเมื่อได้ฟังแล้ว
เข้าใจ เอาไปปฏิบัติ 
จนสามารถสั่นสะเทือนจิตได้
เหมือนกับจิตวิญญาณแก่นแท้แล้ว 
บุรพกรรมแม่เหล็กจะสลายทันทีใหมครับ 
หรือต้องรอกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง

Answer:
1.เมื่อประดารูปธรรมที่มีเพียงกายละเอียด
คือ จิตวิญญาณ ได้รับฟังพระโอวาทจากพระบิดา
ที่ทรงสื่อผ่านเรามานั้น 

พวกเขาจะสามารถสั่นสะเทือนจิตวิญญาณตนเอง
ด้วยการมีสำนึกในบาปบุญคุณโทษ
รู้ผิดถูกดีชั่วได้ดีกว่า ง่ายกว่ามนุษย์เสียอีก
เพราะพวกเขาไม่มีเครื่องยนต์แห่งกรรม
เป็นอุปสรรคใดๆนั่นเอง

2.แต่เธอจักต้องรู้ว่า
การมีสำนึกด้วยการเกิดสติทางวิญญาณ
กับการชำระบุรพกรรมแม่เหล็กของจิตวิญญาณนั้น
มันเป็นคนละกรณีกันอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว

3.กรณีการฟังพระโอวาท
แล้วเกิดสติทางวิญญาณ หมายถึง
การมีสำนึกที่ถูกต้องถ่องแท้
ของจิตวิญญาณนั้นๆในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ที่ตนเคยมีสำนึกอย่างไม่ถูกต้องมาก่อนนั่นเอง

นับเป็นการยกระดับแรงสั่นสะเทือน
ทางจิตวิญญาณของเขาให้สูงขึ้นทางด้านบวก
ภายในรูปธรรมทางพลังงานของเขาเท่านั้นเอง
หาได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด

4.ส่วนกรณีถ้าเขาต้องการชำระบุรพกรรมแม่เหล็ก
ซึ่งเป็นผลกรรมเก่าๆให้เป็นกลาง
ด้วยวิธีสำนึกให้ถูกต้องดังเช่นกรณีที่ว่านี้นั้น
พวกเขาจะไม่สามารถกระทำใดๆได้เลย

นอกจากจะต้องเข้ามาเกิดเป็นคนสองมิติ
ด้วยการคืนกลับสู่การเกิดเป็นมนุษย์กันใหม่
แล้วข้ามผ่านหรือฟันฝ่าบททดสอบนั้นๆไปให้ได้
เพื่อจะได้ผลิตสร้างประจุบวกขึ้นมาใหม่
ต่อกรณีกรรมเดียวกันนั้น
แล้วนำไปใช้จับคู่กันกับประจุลบที่สั่งสมไว้
ทำให้บุรพกรรมแม่เหล็กที่เป็นผลกรรมด้านลบ
เกิดความเป็นกลางทางไฟฟ้าไปในที่สุด

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
17-06-2015

สนทนาประสานักเรียน ATTN: Kruple Ben


ATTN: Kruple Ben
Quest: 
ช่วยชี้แนะหน่อยอ่ะค่ะ 
เรื่องวิธีการคิด ในการที่จะให้รู้เท่าทัน
อารมณ์รู้สึกนึกคิดและความต้องการผู้อื่น 
ขอบเขตแค่ไหนที่จะให้มันไม่เผลอ
กลายเป็น คิดเอง เออเอง 
ด้วยการปรุงแต่งของจิตเราโดยไม่รู้ตัวอ่ะค่ะ

Answer:

1.เธอถามหา "วิธีคิด" ที่จะให้รู้เท่าทัน
อารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการของผู้อื่นว่า
มันมีขอบเขตแค่ไหน ที่จะไม่กลายเป็น 
คิดเอง เออเอง งั้นเหรอ?

โอววว......นี่แน่ะ
เราจะกล่าวความจริงให้เธอรู้ว่า
คำตอบก็คือ....

เราไม่มี "ขอบเขตการคิด"
ที่จะสอนสั่งใครให้ไปทำเช่นนั้นหรอกนะ

เหตุที่เราบอกว่าไม่มีขอบเขตในการคิดนั้น
ก็เพราะว่าในวิถีจิตจักรวาลแห่งพระบิดา
นอกจากเรายังไม่เคยสื่อสอนใครเช่นนั้นแล้ว
เราก็ยังไม่เคยทำตนเป็นแบบอย่างของใครว่า
ให้เรียนรู้อารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการของคนอื่น
ด้วยวิธีการคิดเอาเอง มโนเอาเอง 
ตามแบบอย่างที่เธอถามมานั่นหรอก

2.เพราะไม่ตัวเธอเองก็คงเพื่อนเธอบางคน
ได้ให้ประสบการณ์แก่เธอมาแล้วกระมังว่า
การจะรู้เท่าทันอารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการของคนอื่น
ด้วยวิธีคิดเอาเอง ทึกทักเอาเองนั้น
มันจะไปจบลงที่การปรุงแต่งจิตของเธอเอง
โดยไม่รู้ตัวอย่างที่เธอว่า
ทั้งๆที่ความจริงแล้วเขามิได้เป็นดังเช่นที่เธอคิดนั่น

3.เราจะบอกให้นะว่า
การปรุงแต่งจิตของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
แล้วเที่ยวทึกทักคนอื่นน่ะ
มันคือ คนที่ไร้สติดีๆนี่เองแหละ

แน่นอนว่า...
คนที่เขามีปัญญาญาณได้
ใช้ปัญญาญาณเป็นน่ะ
เขาจะไม่ทำเช่นนั้นหรอก

เพราะเขารู้ดีว่าการค้นหาคำตอบ
ที่เกี่ยวข้องกับจิตของคนอื่น
ด้วยวิธี "คิดแทน" คนอื่นนั้น
มันไม่มีทางเข้าถึงคำตอบที่ถูกต้องได้เลย
เพราะมันไม่ต่างจาก "การเดา" เอาเองแต่อย่างใด

เพียงแค่มาคิดหาวิธีคิดนี่ก็ "ขาดสติ" ไปมากแล้ว

4.ถ้าเป็นตัวเรา....
ในนามของบุตรเอกแห่งพระบิดาแล้ว
เราจะไม่ใช้วิธีนั่งคิดนอนคิดครุ่นคิด
เพื่อจะพยายามทำความเข้าใจสภาวะจิตของคนอื่น
ซึ่งเป็นพฤติกรรมภายในที่ตาเปล่ามองไม่เห็น
ให้สิ้นเปลืองเวลาโดยไร้ประโยชน์แน่นอน

เพราะเรามีพลังอำนาจแห่งจิตปัญญาของตนเอง
เพราะเรามีพระปรีชาญาณจากพระเชษฐาแห่งเรา
เพราะเรายังมีพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์
ผู้ทรงมีพระเมตตาต่อเราเป็นที่ยิ่ง

ด้วยคุณสมบัติและความพร้อมเท่านี้
มันจึงไม่ยากเลยสำหรับเราหรอก
ที่จะ "อ่านใจ" บุคคลเป้าหมายบางราย
ให้ได้รู้ในเรื่องที่คนเป็น "ครู" เช่นเราจักต้องรู้
โดยไม่ต้องคิดรู้ และโดยไม่ต้องนึกเอาเดาเอง

5.ดังนั้น...
เมื่อเราให้คำตอบแก่เธอและเพื่อนของเธอ
ที่ชวนกันฝากคำถามมาว่า ขอบเขตของการคิด
เพื่อให้รู้เท่าทันสภาวะจิตของคนอื่นนั้น "ไม่มี"

เราจึงขอบอกพวกเธอว่า
สำหรับพวกเธอนั้น
หากต้องรู้อารมณ์รู้สึกนึกคิดต้องการของใคร
เหลือเพียง 4 ช่องทาง คือ

ทางแรก:
ให้ใช้กลไกอายตนะภายนอกทั้ง 5 ของเธอ
สังเกตความเป็นพิรุธจากอาการที่เขาแสดงออกสิ
จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
อ่านจิตไม่เป็นเห็นจิตไม่ได้...อย่าไปเดาเขา
ก็สังเกตมายาคือพฤติกรรมของเขาสิเธอ
มันสามารถจะบอกอะไรๆเธอได้ตั้งเยอะเลยล่ะ

ทางที่สอง:
ถ้าเธอใกล้ชิดเขาคนนั้น เช่น เป็นเพื่อนซี้
หรือสนิทสนมขนาดเป็นหนี้บุญคุณกันมา
แสดงว่าน่าจะเป็นคนรู้ใจ รู้ชอบเห็นชั่วกันมาพอตัว
ก็ให้ลองทบทวนประวัติส่วนตัวของเขาคนนั้นสิว่า
เขามีอุปนิสัยใจคอเป็นแบบไหน

ทางที่สาม:
เป็นหนทางค้นหาคำตอบที่ง่ายที่สุด
ก็คือ "ถามตรงๆ" สิเธอ...
ว่าแต่ว่าบุคคลเป้าหมายคนที่เธอถามเขาน่ะ
ปากแข็งหรือเปล่า พูดโกหกหรือเปล่า
ปากกับใจน่ะตรงกันหรือเปล่าเท่านั้นแหละ

ทางที่สี่:
ก็ให้เธอใช้มันทั้งสามหนทางที่กล่าวไว้สิเธอ
น่าจะพอรู้จิตรู้ใจคนๆนั้นได้บ่้าง
ยังไงๆก็ดีกว่าเดาเอาเองแน่นอน

หวังว่าคำกล่าวทั้งหมดของเรา
คงจะเป็นประโยชน์
แก่นักเรียนท่านอื่นๆได้บ้างล่ะนะ

เอเมน...สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
17-06-2015


โอม....มหาสติ


โอม....มหาสติ...มหาสติ...มหาสติ

ป.วิสุทธิปัญญา
16-06-2015


16 มิถุนายน 2558

การยึดติด


นักเรียนที่รักทั้งหลาย
ท่านทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด
มนุษย์แห่งโลกเสรีส่วนใหญ่
จึงไม่สามารถข้ามผ่านการมีกิเลสตัณหาไปได้
อีกทั้งยังไม่สามารถที่จะระงับยับยั้ง
มิให้มันก่อกำเนิดขึ้นมาในสภาวะจิตได้อีกด้วย
แม้จะฝึกครองสติกันอย่างหนักมาแล้วก็ตาม

สองคำตอบ....สั้นๆง่ายๆก็คือ
เป็นเพราะพวกท่านไปหลงเงามายาของสรรพสิ่ง
กับการหลงยึดติด "อัตตา" ตัวตนของสรรพสิ่งเข้าให้

เมื่อท่านหลงในเงามายาของสรรพสิ่งใด
ก็จะก่อให้เกิดกิเลสตัณหาขึ้นมาในสภาวะจิตทันที
เมื่อท่านไปยึดติดอัตตาตัวตนรูปลักษณ์ใดเข้า
ตัวกิเลสตัณหาก็จะเกิดขึ้นมาในสภาวะจิตได้เช่นกัน

การหลงเงามายาของสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น
มักเกิดจากการที่ท่านเข้าใจผิดคิดว่า
อัตตาตัวตนรูปลักษณ์ของสรรพสิ่ง
ที่ท่านสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นมันได้
ด้วยกลไกอายตนะทั้งหก
ในมิติโลกทางกายภาพอยู่นั้น
ล้วนเป็นตัวตนรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันนั่นเอง

ทั้งๆที่แท้แล้วสรรพสิ่งทั้งหลายนั้น
มันเป็นแค่เพียงเปลือกนอกของตัวตนที่แท้จริง
ซึ่งเป็นแก่นแท้ที่เร้นตนเองอยู่ข้างในต่างหาก
ตัวตนที่สัมผัสรู้ดูเห็นกันอยู่นั้นน่ะ
มันคือ "ตัวปลอม" มิใช่ตัวตนที่แท้จริงใดๆ

ตัวอย่างเช่น....
เมื่อท่านพบเห็นเพื่อนมนุษย์รูปสวยรูปหล่อ
ท่านก็มักจะไปหลงใหลในรูปลักษณ์นั้น
จนเกิดความชอบไม่ชอบเข้าให้
จนเกิดความอยากได้ใคร่มี
หรือเกิดความรู้สึกว่าตนไม่อยากคบหาขึ้นมา เป็นต้น

ทั้งๆที่ความสวยหรือหล่อ
ของเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์นั้นๆ
เป็นแค่เพียงมายาซึ่งเป็นคุณสมบัติหนึ่งของแก่นแท้
ที่ถูกถ่ายทอดออกมาโดยจิตวิญญาณ
ของคนๆนั้นเป็นสำคัญ

โดยจิตวิญญาณที่เป็นตัวตนแก่นแท้ในแต่ละคน
จะเป็นรูปธรรมในมิติทางพลังงาน
ที่ต้องอาศัยเปลือกนอกซึ่งเป็นมายาทางกายภาพ
ทำการห่อหุ้มตนเองไว้
ในขณะดำรงความเป็นสรรพสิ่งหนึ่งอยู่นั่นเอง

สรรพสิ่งอื่นๆในระบบโลกก็ล้วนมีเปลือกนอก
ที่มีแก่นแท้เป็นพลังงานด้วยกันทั้งนั้น
ไม่ว่าพวกท่านจะจัดให้สรรพสิ่งนั้น
มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม

ในเมื่อตัวตนรูปลักษณ์ภายนอก
เป็นแค่เพียงเปลือกนอก
หรือเป็น "เงา" ของแก่นแท้ที่เร้นอยู่ข้างในแล้ว
สรรพสิ่งต่างๆที่ท่านสัมผัสรู้ดูเห็นมัน
จึงเป็นได้แค่เพียง "มายา" เท่านั้นเอง

ไม่ต่างจากคำว่า "จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว"
ซึ่งหมายถึงจิตจะเป็นผู้สั่งการให้
อวัยวะร่างกายภายนอก
สั่นสะเทือนไปตามความต้องการของจิต
พฤติกรรมหรืออาการใดๆที่เกิดขึ้น
มันจึงเป็นเงาของจิตหรือแก่นแท้นั่นแหละ

หากท่านได้รู้ดั่งนี้แล้วว่า
อะไรๆที่ท่านสามารถสัมผัสรู้ดูเห็นมันได้
ในมิติโลกทางกายภาพ
ด้วยกลไกอายตนะภายนอกทั้งห้ากับจิตอีกหนึ่งนั้น
มันล้วนเป็นเงามายาของแก่นแท้
มิใช่ตัวตนที่แท้จริงที่ท่านจะไปยึดติดอะไรได้

ได้เห็นสักแต่ว่าเห็น
ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน
ได้ลิ้มรสสักแต่ว่ารู้รส
ได้กลิ่นสักแต่ว่ารู้กลิ่น

ได้จับสัมผัสก็สักแต่ว่า
รู้ร้อนรู้หนาว รู้นิ่มรู้แข็ง 

แม้จะเข้าถึงได้เพียงเท่านี้
ท่านก็จะไม่ตกเป็นทาสอารมณ์ขยะรายวัน
เพราะไปหลงยึดติดอัตตาตัวตนรูปลักษณ์
ที่เป็นมายาของสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเข้าให้

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา
16-06-2015