30 สิงหาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 30/08/2023






#คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
ทุกสิ่งอย่างในมิติแห่งเนื้อหนัง
ที่นักวิชาการของโลกเรียกว่า #มิติทางกายภาพ
ซึ่งเป็นรูปรสกลิ่นเสียงเย็นร้อนอ่อนแข็งทั้งหลาย
ที่กลไกอายตนะภายนอกสัมผัสรู้ดูเห็นกันได้นั้น
ล้วนมีสาเหตุแห่งการเกิดขึ้นด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ไม่มีสิ่งใดปรากฏการณ์ใดในเอกภพอันไพศาลนี้
จะอุบัติขึ้นด้วยตนเองได้โดยไม่มีเหตุแห่งการเกิด
 
ตัวอย่างเช่น
กลางคืนที่มีแต่ความมืดเพราะไร้สุริยันจันทรา
กลางคืนที่เห็นบางอย่างได้รำไรเพราะมีดาวบนฟ้า
น้ำฝนที่หล่นลงมาจากฟ้าก็มีสาเหตุที่มาแห่งฝนตก
กลางวันที่ร้อนแรงและมีแสงสว่างเพราะดวงอาทิตย์
กลางวันที่อบอ้าวและฟ้าหลัวเพราะมีเมฆฝนบดบัง
ลาวาร้อนแรงแดงฉานไหลเพราะแรงดันในแกนโลก
น้ำตกจากผาลงมาเบื้องล่างเพราะแรงความโน้มถ่วง
ใบไม้ที่มีสีเขียวขจีเพราะภายในใบนั้นมีคลอโรฟิล
เลือดมนุษย์และสัตว์มีสีแดงเพราะมีสารฮีโมโกลบิน
ป่าไม้ไพรพฤกษ์เกิดไฟป่าได้เพราะเหตุจากฟ้าผ่า
กอไผ่เกิดไฟไหม้ได้เพราะลมทำให้ลำต้นเสียดสีกัน
ฯลฯ
 
ตัวอย่างทั้งหมดที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น
ล้วนเป็นเรื่องราวของปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์
ที่มันเกิดขึ้นในมิติโลกทางกายภาพซึ่งคุณสังเกตได้
ที่สังเกตได้ก็เพราะว่ามันมีทั้งที่มาและมีที่เป็นไป
คำว่า “มีที่มา” ก็คือมีสาเหตุแห่งการเกิดขึ้นของสิ่งนั้น
ส่วนคำว่า “มีที่เป็นไป” ก็คือมีผลที่เกิดขึ้นจากเหตุนั้น
โดยความจริงเหล่านี้นี้เป็นสัจธรรมระดับ #โลกิยธรรม
 
ดังนั้น
ทุกสรรพสิ่งทุกเหตุการณ์หรือทุกเรื่องราวที่ปรากฏ
มันจึงล้วนเกิดจากเหตุหรือมีสาเหตุที่ทำให้มันเกิด
สมดังคำกล่าวที่ว่า
 
1.#เพราะสิ่งนั้นมีสิ่งนี้จึงมี
2.#ถ้าไม่มีสิ่งนั้นก็จะไม่มีสิ่งนี้เกิดขึ้นมาได้
3.#ทุกสิ่งอย่างล้วนเกิดจากเหตุ
4.#ถ้าเหตุดับทุกสิ่งก็จะดับตามไปด้วย
 
ทั้งสี่อย่างนี้เป็นความจริงในมิติแห่ง “แก่นแท้”
ซึ่งเป็นสัจธรรมความจริงทางด้าน #โลกุตตรธรรม
ที่ได้จากการนำเอาความจริงที่เป็น “โลกิยธรรม”
มาสังเคราะห์ด้วยปัญญาญาณของสมองซีกขวา
ซึ่งจะเข้าใจความจริงนี้ได้ต้องใช้จินตนาการเท่านั้น
คำว่า “จินตนาการ” ก็คือ การคิดให้เห็นเป็นภาพ
มิใช่คิดเป็นคำพูดหรือคิดเป็นตัวอักษรหรือบทความ
ตามแบบที่สมองซีกซ้ายของคุณต่างถนัดคิดกันอยู่
 
เมื่อพวกคุณมีสมองสองซีกให้ใช้คิดรู้กันอยู่
ถ้าเป็นคนชอบธรรมกันจริงๆแล้วพวกคุณก็ต้องรู้ว่า
สมองสองซีกของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงติดตั้งไว้ให้นั้น
ตัวคุณสามารถ “กดปุ่ม” ใช้งานเพื่อการคิดกันก็ได้
อย่าหยิบใช้กันแค่เพียงอัตโนมัติหรือใช้โดยบังเอิญ
เหมือนในอดีตที่แล้วมากันเท่านั้น
 
คุณจะเข้าถึงประสิทธิภาพสูงสุดของสมองซีกซ้ายได้
ด้วยวิธีกดปุ่มใช้งานจากการกำหนดนึกให้สมองคิด
โดยจิตหยาบต้องสั่งให้สมองซีกซายคิดไปทีละเรื่อง
หลักสำคัญก็คือคิดอย่างมีเหตุผลและใช้เหตุผลเป็น
จึงจะเข้าถึง “สติปัญญาสูงสุด” ของสมองซีกซ้ายได้
         
วิธีการใช้สมองซีกขวาคิดด้วยปัญญาญาณก็เช่นกัน
ต้องกำหนดจิตคิดไปทีละเรื่องโดยจิตว่างจากสิ่งอื่น
วัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในการคิดก็คือ “โลกิยธรรม”
ที่คิดวิเคราะห์มาได้จากสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
ซึ่งคุณต้องไม่ตีกรอบจำกัดในการคิดสังเคราะห์มัน
คำว่า “ไม่ตีกรอบการคิด” คือ การไม่ยึดติดในเหตุผล
ไม่ยึดติดในรูปแบบไม่ยึดติดในทฤษฎีหรือข้อกำหนด
เพราะการคิดโดยติดยึดกับสิ่งเหล่านี้ก็คือคิดในกรอบ
ซึ่งวัตถุดิบที่คุณกำลังจะหยิบมาสังเคราะห์กันต่ออยู่นั้น
มันได้ผ่านขั้นตอนการคิดในกรอบเหล่านี้มาแล้วนั่นเอง
จะกลับไปใช้วิธีคิดซ้ำแบบเดิมด้วยสมองซีกเดิมทำไม
 
ด้วยเหตุนี้เอง
ถ้าคุณจะเปลี่ยนการคิดโดยมาใช้สมองซีกขวาเสียบ้าง
คุณจึงต้องรู้วิธีกดปุ่มใช้งานเพื่อการคิดสังเคราะห์ด้วย
ต้องรู้ด้วยว่าสมองซีกขวาของคุณต้องใช้วัตถุดิบอะไร
ต้องรู้ด้วยว่าสมองซีกขวามันทำงานของมันอย่างไร
จึงจะสามารถเข้าถึงประสิทธิผลสูงสุดของสมองซีกขวา
ในแบบกดปุ่มใช้งานแทนการใช้งานแบบบังเอิญกันได้
 
การคิดด้วยสมองซีกขวาคือการใช้ปัญญาญาณนี้
นักวิชาการโลกจะเรียกว่าเป็น #การคิดสร้างสรรค์
คำว่า “คิดสร้างสรรค์” หมายถึงนำ “โลกิยธรรม” ที่ได้
มาสังเคราะห์เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชึวิต
ไม่ต่างจากพืชนำเอาแร่ธาตุในดินมาสังเคราะห์แสง
เพื่อปรุงเป็นอาหารในการหล่อเลี้ยงชีวิตของตนสืบไป
เนื่องจากแร่ธาตุที่รากดูดซับเข้าไปเป็นวัตถุดิบเท่านั้น
ยังนำเอาไปใช้เป็นอาหารเลี้ยงตนเองทันทีไม่ได้
 
การสังเคราะห์แสงของพืชจึงเป็นการปรุงอาหาร
การสังเคราะห์ความจริงด้าน “โลกิยธรรม” ของมนุษย์
จึงเป็นการสังเคราะห์วัตถุดิบด้วยปัญญาของวิญญาณ
เพื่อนำไปใช้เป็นอาหารในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ร่วมกับครอบครัวและผู้คนในสังคมอย่างเป็นปีติสุข
 
สำหรับมนุษย์โลกจากอดีตกาลที่ผ่านมา
มักถูกสอนให้เชื่อตามถูกจูงใจให้เชื่อตามกันตลอดมา
กระบวนการคิดของสมองสองซีกของคุณจึงถูกปิดมิติ
ลักษณะการปิดมิติก็คือ #การกดปุ่มคิดเองไม่เป็น
จนมีนิสัยชอบไหว้วานให้คนอื่นๆคิดแทนตนเอง
เช่น กรณีเมื่อมีปัญหาขึ้นมาก็มักจะหันไปถามคนอื่น
จึงกลายเป็นมนุษย์เจ้าปัญหาที่น่าเบื่อน่ารำคาญไป
ซึ่งนับวันตนเองจะมีแต่ความโง่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะคนรอบข้างที่ถูกป้อนคำถามก็จะฉลาดขึ้นเรื่อยๆ
เพราะพวกเขาไม่เบื่อตอบแต่ขยันคิดขยันลับปัญญา
 
นอกจากนั้น
การถูกจูงใจให้เชื่อตามทำตามหรือให้ชอบตาม
เป็นวิธีการ “ขายความคิดความรู้” ของมอดมาร
โดยใช้อามิสรางวัลทั้งด้านบวกหรือด้านลบมาจูงใจ
การจูงใจที่มักจะใช้กันคือด้านบวกโดยจูงใจให้ชอบ
เมื่อคุณชอบสิ่งที่เขาเอามาจูงใจนั้นคุณก็จะเชื่อตาม
ขณะที่ยังมีการจูงใจทางด้านลบโดยจูงใจให้ไม่ชอบ
เมื่อไม่ชอบสิ่งที่เขาเอามาจูงใจนั้นคุณก็จะไม่เชื่อตาม
โดยสิ่งที่เขาเอามาจูงใจมนุษย์ก็คือ “รางวัลจูงใจ”
ซึ่งเป็นรางวัลที่อยากได้กับรางวัลที่คุณไม่อยากได้
พวกเขาเรียกว่า #ทฤษฎีหัวแครอท&ทฤษฎีไม้เรียว
อันเป็นทฤษฎีการจูงใจซึ่งกำเนิดมาจากโลกตะวันตก
ถิ่นที่มอดจากต่างแดนแฝงตัวเป็นๆเข้ามาตั้งแต่แรก
 
พวกคุณจึงต้องรู้ว่า
พระเจ้าทรงสร้างและติดตั้งจิตสามนึกเอาไว้ให้แล้ว
จิตสามนึกหมายถึงสามตัวนึกคือนึกออกนึกเอานึกเอง
ทั้งสามตัวนึกก็คือต้นกำเนิดพฤติกรรมของมนุษย์
ถ้าจิตหยาบของคุณ “นึกไม่เป็น” คุณก็จะ “คิดไม่เป็น”
 
คำว่า “นึกไม่เป็น” หมายถึงตั้งคำถามตัวเองไม่เป็น
คุณจะกลายเป็นคนจำพวก “ไปไหนมาสามวาสองศอก”
ซึ่งเป็นพวกที่พูดคุยกับใครก็ไม่รู้เรื่องคิดรู้เองก็ไม่ได้
คุณจะกลายเป็นคน “นึกไปตามกิเลส” ให้กิเลสพาไป
ทำให้คุณมองโลกด้วยกิเลสจนแลไม่เห็นความจริงได้
โดยมนุษย์ส่วนใหญ่ที่ตกเป็นทาสการจูงใจของมอด
จะเป็นคนโง่ง่ายงมงายกับความรู้แบบผิดๆจนดักดาน
คนพวกนี้จะปฏิเสธขนมปังของพระเจ้าไปเอายาพิษแทน
ยังผลให้เข้าถึงพลังอำนาจสูงสุดในตนเองกันไม่ได้
 
จะใช้สติปัญญาของสมองซีกซ้ายก็ไม่เป็น
เพราะถูกปิดกั้นการคิดด้วยค่านิยมทางสังคม
ที่มักสอนให้เชื่อตามทำตามพูดตามคนอื่นจนเคยตัว
เพราะถูกสอนให้เสพติดกิเลสจนเข้ากระดูกดำ
กิเลสจึงครอบงำจิตหยาบเอาไว้เสียจนมืดมิด
ทำให้จิตหยาบไม่อาจเข้าถึงสติปัญญาของสมองได้
เพราะกิเลสคอยบงการให้นึกตามคิดตามมันนั่นเอง
ซึ่งเป็นแผนการโสโครกของมอดมารผู้หวังร้ายทั้งสิ้น
 
นอกจากความจริงของทุกสิ่งในมิติโลกทางกายภาพ
จะมีสาเหตุมีที่มาของการเกิดดังกล่าวมาทั้งหมดแล้ว
หากเราจะชวนคุณให้หันมามองเรื่องนี้ในอีกมุมหนึ่ง
ก็สามารถจะกล่าวได้ว่าทุกสิ่งในเอกภพอันไพศาลนี้
ล้วนมี “ผู้ให้กำเนิด” ด้วยกันทั้งสิ้นก็ย่อมได้
 
ตัวอย่างเช่น
ดอกไม้ผลไม้หน่อไม้ก็เป็นผลของต้นไม้ต้นนั้น
ต้นมะพร้าวเมื่อออกผลก็จะเป็นผลของมะพร้าวต้นนั้น
มะพร้าวต้นนั้นจะมีดอกออกผลเป็นของต้นอื่นไม่ได้
หมูหมากาไก่ตัวไหนที่เป็นผู้ออกไข่ออกลูก
หมูหมากาไก่ตัวนั้นก็จะเป็นเจ้าของไข่เจ้าของลูก
หมูหมากาไก่ตัวนั้นจะออกไข่ออกลูกแทนตัวอื่นไม่ได้
พวกคุณที่เป็นมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน
พ่อแม่ของใครก็เป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของคนนั้น
พ่อแม่ของใครก็คือผู้เป็นเหตุแห่งการเกิดของคนนั้น
คำว่า “ผู้เป็นเหตุแห่งการเกิด” หมายถึง #ผู้ให้กำเนิด
อันหมายถึงบิดามารดาผู้ที่เป็นเหตุให้คุณเกิดนั่นแหละ
 
คุณอย่าลืมว่าพวกคุณเป็น #คนสองมิติ
มิติแรกเป็นมิติแก่นแท้ก็คือจิตวิญญาณผู้อาสามาเกิด
มิติที่สองเป็นมิติของกายหยาบก็คือมิติทางกายภาพ
อันประกอบด้วยจิตหยาบกับกายสังขารฝ่ายเนื้อหนัง
เมื่อคุณยอมรับว่าตัวคุณเองมีพ่อกับแม่เป็นผู้ให้กำเนิด
คุณก็ต้องยอมรับต่อไปว่าจิตวิญญาณแก่นแท้ของคุณ
ต้องมีตัวตนหรือมีรูปธรรมของ “ผู้ให้กำเนิด” เช่นกัน
จิตวิญญาณจะถือกำเนิดเองไม่ได้แน่
 
ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากองค์จิตจักรวาล
เพื่อวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า
 
เอเมน สาธุ
ปัญญาวิสุทธิ์
30/08/2566