25 สิงหาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

25/08/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายให้รู้ว่า

การปฏิบัติธรรมที่แท้จริงนั้นคืออย่างไร
มรรคผลสูงสุดของการบรรลุธรรมคืออะไร
ทุกชาติทุกศาสนามีวิธีปฏิบัติธรรมต่างกันไหม
มรรคผลสูงสุดในทุกศาสนาเหมือนกันหรือต่างกัน
ทุกวันนี้ใครกำลังเดินหลงทางหรือถูกทางอย่างไร

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่าน
ไม่ว่าท่านจะมาเกิดเป็นคนชาติใดศาสนาใด
ในระบบโลกเสรีที่ท่านกำลังเหยียบยืนอยู่นี้
ล้วนเป็นจิตวิญญาณที่มาจากที่เดียวกัน
โดยมีพระบิดาผู้ให้กำเนิดพระองค์เดียวกัน

พระองค์ทรงมีพระนามว่า องค์จิตจักรวาล
พระผู้เป็นเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งที่พระองค์สร้าง

ถิ่นฐานบ้านเกิดของพวกท่านคือ แดนสุญตา
ซึ่งอยู่นอกระบบเอกภพหรือ "อนันตจักรวาล"
โดยจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านเป็น "ผู้ขันอาสา"
เดินทางข้ามมิติเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญของจิตวิญญาณ
ให้สำเร็จลุล่วงตามที่ขันอาสาพระองค์มา

ภารกิจสำคัญคือ
การใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
สั่นสะเทือนขันธ์ 5 ให้เกิดพฤติกรรมในสองมิติ
ทั้งมิติของเนื้อหนังและในมิติของจิตวิญญาณ
ด้วยความรักจากจิตใสและปัญญาเลิศของสมอง
เพื่อร่วมกันผลิตสร้างพลังงานความรักบริสุทธิ์
ช่วยค้ำจุนโลกเสรีนี้ให้มีความสงบสมดุล

ดังนั้น
ภารกิจหลักของพวกท่านทุกคนทุกชาติทุกศาสนา
จึงมีหน้าที่จะต้องทำเหมือนกันทุกคน
โดยหน้าที่หลักๆก็คือพวกท่านจะต้องรักกันให้ได้
แล้วใช้ความรักในมิติของเนื้อหนังสร้างสังคม
ให้เกิดความสันติสุขบนทุกพิกัดของแผ่นดินโลก
ขณะเดียวกันก็ใช้ความรักในมิติทางพลังงาน
ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกและทุกสรรพสิ่ง
เพื่อช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนต่อเนื่องอัตราเร็วคงที่

ด้วยเหตุนี้เอง
ท่านทั้งหลายจึงต้องร่วมมือร่วมใจกัน
ร้อยเรียงดวงใจให้เป็นหนึ่งเดียวกันด้วยความรัก
เพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญที่ขันอาสาพระองค์มา
ให้บรรลุผลสำเร็จในบทบาทของคนสองมิติให้ได้
ด้วยเครื่องมือที่ทั้งคนและสัตว์ต้องใช้คือ ขันธ์ห้า

ถ้าพวกท่านยังมีการแตกแยกกัน
แบ่งเชื้อชาติ แบ่งศาสนา แบ่งประเทศกัน
เพราะขาดจิตสามนึกแห่งการเป็นมนุษย์โลกเสรี
พวกท่านจะไม่มีวันใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกได้
จะเป็นได้ก็แค่เพียงราคาคุยเท่านั้นเอง
เพราะเพียงแค่ใช้ความรักค้ำจุนจิตตนให้สมดุล
เมื่อถูกยั่วยุจากคนรอบข้างหรือคนใกล้ตัว
พวกท่านก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าเสียแล้ว

วิธีการปฏิบัติธรรมด้วยการละทิ้งสังคม
ก็เป็นวิธีที่ผิดจากแผนการที่ทรงออกแบบไว้
โดยทรงกำหนดให้พวกท่านเป็นสัตว์สังคม
เพื่อร่วมกันสั่นสะเทือนขันธ์ 5 ด้วยรักและเมตตา
ให้เกิดพลังงานรวมจากจิตสำนึกด้านบวก
ในรูปของคลื่นพลังจิตที่เป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก
มอบให้แก่ดาวเคราะห์โลกร่วมกันดังกล่าวแล้ว

โดยท่านต้องรู้ว่าพลังงานจิตด้านบวกที่ว่านี้
มันจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าปลีกวิเวกทำอยู่คนเดียว

ด้วยเหตุนี้เอง
การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องของพวกท่านก็คือ

1.ต้องไม่หนีสังคมเพื่อปฏิบัติธรรมคนเดียว
2.การปฏิบัติธรรมในสังคมที่ถูกต้องแท้จริงก็คือ
จะต้องเรียนรู้ที่จะเข้าถึง ความรักบริสุทธิ์ ให้ได้
โดยต้องฝึกใช้ปัญญาเพื่อรักคนอื่นให้ได้
ไม่ว่าใครคนนั้นจะทำตัวน่ารักไม่น่ารักก็ตาม

นอกจากนั้น
ท่านยังต้องทำตัวให้น่ารัก
เพื่อช่วยให้คนรอบข้างเขารักท่านให้ได้ด้วย
ซึ่งเรียกว่าชักชวนกัน หมุนธรรมจักร นั่นแหละ

3.การปฏิบัติธรรมต้องไม่เน้นการทำเพื่อตนเอง
โดยหมายใจว่าจะไปสวรรค์มายาแค่คนเดียว
นั่นคือ พยายามที่จะดับขันธ์ 5 เครื่องมือสำคัญ
และเพียรพยายามที่จะดับอายตนะภายนอกทั้งห้า
โดยหมายว่าจะดับ อัตตา ตัวตนของตนให้สิ้น
จะได้ไม่มีตัวตนย้อนกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก

วิธีการปฏิบัติเพื่อการนี้
พวกท่านจะเรียกว่า "วิธีปฏิบัติธรรม" ไม่ได้
เพราะมิใช่แผนการที่พระบิดาทรงออกแบบไว้
และการพยายามดับอัตตาหรือดับทุกข์
เพื่อเข้าถึงพระนิพพานนั่นก็มิใช่การบรรลุธรรม
เพราะมันเป็นแค่เพียงความเชื่อมิใช่ความจริง
อีกทั้งยังเป็นการทำเพื่อตัวเองมิใช่ทำเพื่อโลก

4.การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องแท้จริงก็คือ
ท่านต้องเรียนรู้ที่จะรักกันให้ได้อย่างไร้เงื่อนไข
ด้วยจิตใจที่ใสสวยและด้วยปัญญาที่เป็นเลิศ
ซึ่งต้องผ่านการเรียนรู้และฝึกฝนกันในชีวิตจริง
มิใช่การถือสันโดดหรือการละทิ้งสังคม
โดยมุ่งอธิษฐานภาวนาอยู่กับโลกส่วนตัวเท่านั้น

5.การบรรลุธรรมที่แท้จริงและไม่เทียมเท็จ
คือ พวกท่านทุกคนสามารถใช้ความรักร่วมกัน
ในการสั่นสะเทือนขันธ์ 5 ให้เป็น ธรรมจักร
เพื่อมอบความรักช่วยโลกให้สมดุลตลอดไป

ถ้าท่านบรรลุธรรมประสบผลสำเร็จได้แล้ว
จิตวิญญาณของท่านจะไม่ตายหรือไม่มีภพชาติอีก
พวกท่านจะเป็นมนุษย์ผู้มีชีวิตเป็นอมตะ
เพราะจิตหยาบกับจิตวิญญาณของท่าน
สั่นสะเทือนร่วมกันจนเป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้ว

เมื่อโลกถึงกาลสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
จิตวิญญาณของท่านก็จะต้องกลับบ้าน
ตามที่ให้สัจจะกับพระบิดาไว้ในพันธะสัญญา 6
ภารกิจทางจิตวิญญาณของท่านก็จบลงตรงนั้น

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

จงเลิกแบ่งแยกศาสนา
จงเลิกพากันหลงทางนิพพาน
จงเลิกการรอคอยพระเจ้าให้ทรงช่วย
จงอย่าหาทำในสิ่งอุตริที่มิใช่หน้าที่

จงสร้างสติทางวิญญาณด้วยพระโอวาทบทนี้
เพื่อปลุกตนเองให้ลุกตื่นขึ้นมาทำหน้าที่
ด้วยการปฏิบัติธรรมคือเรียนรู้ที่จะรักกันให้ได้
เรียนรู้ที่จะให้อภัยกันให้เป็นโดยไม่ก้าวล่วงกัน

การเป็นผู้บรรลุธรรมที่ถูกต้องแท้จริงก็คือ
ทำตามแผนการที่พระบิดาทรงออกแบบไว้
โดยต้องเป็นมนุษย์ให้เป็น
ต้องหมุนธรรมจักรให้เป็น
ต้องดับขยะในขันธ์ 5 ให้เป็น
แล้วส่งจิตวิญญาณของท่านกลับบ้านแดนสุญตา
ให้ทันก่อนเวลามืดค่ำ 56 วัน 8 ราตรี
ก่อนที่ประตูมิติของอนันตจักรวาลจะถูกปิด

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25/08/2021



24 สิงหาคม 2564

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

24/08/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เมื่อท่านได้รู้ความจริงกันแล้วว่า
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของท่าน
ไม่ว่าจะเป็นทุกข์กาย ทุกข์ใจ และทุกข์ทางโลก
ล้วนมีเหตุมาจาก "อุปสรรค-ปัญหา" ทั้งสิ้น

คนที่ฉลาดทั้งหลายจึงย่อมรู้ดีว่า
ถ้าจะดับทุกข์ได้สำเร็จก็ต้องจัดการที่ปัญหา
หากสามารถแก้ปัญหานั้นๆให้สำเร็จลุล่วงได้
ความทุกข์นั้นก็จะสิ้นไปเมื่อไม่มีอะไรให้ทุกข์อีก
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าความทุกข์เกิดจากปัญหานั่นเอง

นอกจากนั้นท่านยังได้รู้กันมาแล้วด้วยว่า
ปัญหา คือตัวยาของพระบิดา
ที่ใช้รักษาการป่วยทางจิตปัญญาของมนุษย์
โดยเฉพาะคนที่ โง่ กับคนที่ งก ให้หายได้

คนโง่คือคนที่ใช้ปัญญารักคนไม่น่ารักไม่ได้
คนโง่คือคนที่ใช้ปัญญาให้อภัย
แก่คนที่ทำตนไม่น่าให้อภัยไม่เป็น

คนงกคือคนที่รักแต่ตนเองและพวกตัว
คนงกคือคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่
คนงกคือคนที่ไม่รู้จักการแลกเปลี่ยนแบ่งปัน
คนงกคือคนที่ไม่รู้จักการให้ไม่รู้จักการเสียสละ

โดยทั้งความโง่และความงกนี้
ต้องใช้จำนวนปีในการรักษาค่อนข้างยาวนาน
มิใช่นานแค่ไม่กี่ปีแต่ยาวนานเป็นภพชาติเลยด้วย

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

พระบิดาทรงวางแผนไว้ให้ท่านใช้ปัญหา
เป็นตัวกระตุ้นหรือปลุกเร้าจิตหยาบของท่าน
ให้สั่นสะเทือน "ขันธ์ 5" ในสองมิติ
เพื่อยกระดับจิตหยาบให้สูงขึ้นจากความงก
สู่ความมีสำนึกแห่งการเป็นผู้ให้
เพื่อยกระดับความโง่ที่มีสมองแต่ยังใช้ไม่เป็น
สู่ความฉลาดในการใช้ปัญญาแทนอารมณ์
ในอันที่จะรักใครก็ได้และรักอย่างไม่มีเงื่อนไข
ซึ่งเป็นบทบาทของ คนสองมิติ ที่แท้จริง

ดังนั้น
การเจอปัญหาแต่เข้าถึงปัญญากับความรักไม่ได้
เพราะมัวไปหลง "ทุกข์" จนหลงทางหลงธรรม
เป็นเวลายาวนานหลายภพชาติหลายพันปีมาแล้ว
เพราะเชื่อตามคนนำทางตาบอดจากรุ่นสู่รุ่น
ซึ่งเป็นการ "หลับตา" ก้าวตามจนแลไม่เห็นทาง
เพราะเดินอยู่ในท่ามกลางความมืดโดยแท้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

ทุกปัญหาในชีวิตและงานของท่านทั้งหลาย
ตั้งแต่ปัญหาภายในครอบครัว ที่ทำงานและสังคม
ล้วนถูกออกแบบไว้ด้วย ชะตาชีวิต ของท่าน
ที่ทุกคนในครอบครัวจักต้องเผชิญร่วมกัน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีที่พวกท่านพอใจ
หรือจะเป็นเรื่องร้ายๆที่พวกท่านไม่พอใจ
ล้วนเป็นบทละครหรือแผนการแสดงที่แยบยล
ที่จิตวิญญาณพวกท่านเองร่วมขีดเขียนบทกันมา
ตั้งแต่ภพชาติแรกที่ได้รับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์

นอกจากนั้น "ความทุกข์" ของพวกท่านแต่ละคน
ก็เป็นปัญหาในชีวิตอันเกิดจากการสอบตก
บททดสอบความงกและความโง่ของพวกท่าน
ในบทละครชีวิตที่ร่วมขีดเขียนกันมาเองนั่นแหละ

จากการสอบตกบททดสอบในชะตาชีวิตนี่เอง
พวกท่านจึงสร้างบทละครกันขึ้นมาใหม่
พระบิดาทรงเรียกว่า "บทเรียนกรรม"

โดยท่านที่เคยก่อกรรมทำผิดบาปร่วมกันมา
จักต้องมีภพชาติใหม่มาแก้ไขความผิดบาปนั้น
เพื่อสอบให้ผ่านบททดสอบและเรียนรู้กันใหม่
ที่จะรักให้ได้แม้ไม่น่ารักและจะให้อภัยให้เป็น
ไม่ว่าจะต้องใช้เวลายาวนานสักกี่ภพชาติก็ตาม
แต่ต้องไม่เกิน 6 หมื่นปีก่อนสิ้นยุคพลังงานเก่า
หรือก่อนประตูคอกแกะคือด่านนภาลัยจะปิดลง

จงยอมรับแสงสว่างจากเราเถิด
จงเลิกเกลียดทุกข์กลัวทุกข์ที่เป็นมายาเสียเถิด
เพราะท่านทั้งหลายมากมายด้วยสติปัญญา
ที่สามารถหยิบปัญญามานิพพานความทุกข์ได้

จงอย่ารังเกียจที่จะเกิดเป็นมนุษย์เลย
เพราะจิตวิญญาณของท่านเองขันอาสามาเป็น
เพื่อช่วยกันใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
ถ้าท่านตายกันหมดโลกด้วยหลงทางนิพพาน
แล้วโลกจะสมดุลได้อย่างไรจะมีใครค้ำจุนโลก
ทั้งยังผิดพันธะสัญญา 6 ต่อพระบิดาอีกด้วย

บัดนี้ก็ย่ำค่ำแล้ว
แกะทุกตัวต้องรีบกลับเข้าคอกให้ทัน
มิเช่นนั้นท่านจะเป็นพวก "แกะนอกคอก"
ที่จะโดนฟ้าผ่าสิ้นอนาคตไปกับการสิ้นยุค
เมื่อประตูคอกแกะประตูแห่งโอกาสถูกปิด

ดังนั้น
จงอย่าหลงทางนิพพานกันต่อไปอีกเลย
ไม่เป็นผลดีต่อจิตวิญญาณของท่านหรอก
พวกท่านหลงทางมายาวนานเกินไปแล้วล่ะ

จงจำไว้ว่า "นิพพาน" แปลว่า "กลับบ้าน"
โดยจิตวิญญาณต้องหลุดพ้นออกไปจากเอกภพ
กลับคืนสู่แดนสุญตาที่จิตวิญญาณจากมา
เพื่อไปกราบพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่าน
ที่ทรงรอคอยพวกท่านกันมายาวนานมากแล้ว

เอกภพหรืออนันตจักรวาลและโลกนี้
เป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระบิดา
ที่จิตวิญญาณพวกท่านขันอาสาเข้ามา
ทำหน้าที่มอบความรักความเมตตาให้โลก
เพื่อช่วยให้โลกหมุนรอบตัวเองอย่างสมดุล
จะได้ช่วยค้ำจุนสมดุลของเอกภพนั่นเอง

เอกภพนี้จึงมิใช่บ้านของพวกท่าน
แต่เป็นห้องเรียนเป็นห้องทำงานขนาดใหญ่
ซึ่งจิตวิญญาณของท่านก็คือนักเรียนต่างหาก

จงจำไว้ว่า "นิพพาน" นั้น
มิใช่การทำให้อัตตาของตน หายสาปสูญ ไป
ด้วยการพยายามดับอัตตาในขันธ์ห้า
โดยใช้การดับทุกข์การพ้นทุกข์เป็นตัวชี้วัดว่า
ตนเปลี่ยนจากอัตตากลายเป็นอนัตตาแล้ว
ตนเข้าถึงนิพพานด้วยการหายสาปสูญแล้ว
จึงไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดคือนิพพานแล้ว

เรากล่าวซ้ำย้ำเตือนไว้ตรงนี้
เผื่อว่าจะมีแกะตัวใหม่ผ่านมาได้ยินเพิ่ม
ตามหน้าที่ของ "คนเลี้ยงแกะ" ของพระบิดา
ที่จะต้องนำพาแกะทั้งฝูงกลับเข้าคอกให้หมด
แม้รู้ดีว่าแกะบางตัวจะจำเสียงคนเลี้ยงดูไม่ได้
เราก็จะตะโกนร้องเรียกอยู่เช่นนี้ต่อไป
ถ้ายังเห็นแกะหลายตัวพยายามปีนรั้วเข้าคอก

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เราจะร้องเรียกแกะเข้าคอกอยู่ต่อไป

ตราบใดที่เรายังแลเห็นแกะบางตัว

พยายามจะปืนริ้วกลับเข้าคอกกันอยู่


เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24/08/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล

24/08/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

อันความทุกข์ของท่านทั้งหลายนั้น
แบ่งได้เป็น 3 ทางด้วยกัน คือ

1.ทุกข์ทางกาย
เป็นความทุกข์ของฝ่ายเนื้อหนัง
เช่น ทุกข์อันเกิดจากความเจ็บปวดป่วยไข้
เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทนได้ยากหรือยากที่จะทน

วิธีที่จะดับทุกข์ที่ว่านี้ได้
ก็ต้องทานยาให้ถูกขนาน
หรือไปปรึกษาหาหมอผู้เชี่ยวชาญ
อาการเจ็บปวดป่วยไข้จึงจะหายได้

หมายความว่า
ยาที่ถูกขนานกับหมอผู้เชี่ยวชาญ
คือคำตอบที่จะช่วยให้ท่านพ้นทุกข์นั้นไปได้

ดังนั้น
ถ้ารู้วิธีจัดการปัญหาอันเป็นที่มาแห่งทุกข์นี้ได้
แล้วยังจะเกลียดกลัวความทุกข์กันไปทำไม

ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็เป็นทุกข์อีกอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นทุกข์ทางร่างกายฝ่ายเนื้อหนังเช่นเดียวกัน
เพียงแค่ท่านรู้ตัวว่าที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอยู่นั้น
มันเกิดจากสาเหตุใดท่านก็จัดการแก้ไขที่เหตุนั้น
เช่น หักโหมงานนั้นมากเกินกำลังก็ชะลอลงเสียบ้าง
หรือแบ่งเวลาให้ร่างกายได้ผ่อนพักเสียบ้าง
หรือหาคนอื่นมาช่วยแบ่งเบาภาระหนักของท่านบ้าง
ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอันเป็นทุกข์ทางกาย
มันก็จะดับสลายหายไปโดยพลัน

2.ทุกข์ทางจิตหยาบ
เป็นความทุกข์ของฝ่ายจิตหยาบ
ผู้ทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณในการเป็นมนุษย์
ซึ่งเป็นความทุกข์ที่จิตหยาบเป็นผู้ก่อขึ้นมาเอง

เช่น ความโกรธ เกลียด เคียดแค้น วิตกกังวล
ความเสียดาย ความเศร้าหมอง ความผิดหวัง
ความโหยหา ความอาลัยอาวรณ์ ความแหนหวง
ความขลาดกลัว ความลังเล ความหงุดหงิด
ความอิจฉาริษยา ความเบื่อหน่าย ความชิงชัง
ความรังเกียจ ความหมิ่นหยาม ความอาฆาตพยาบาท
ความงมงาย ลุ่มหลง ความมักใหญ่ใฝ่สูง
ฯลฯ

อาการทางจิตทั้งหมดโดยสังเขปเหล่านี้
เป็นตัวอย่างของความทุกข์ทางจิตหยาบทั้งสิ้น
ซึ่งความทุกข์ที่เกิดจากจิตหยาบเหล่านี้
ล้วนเป็นจิตหยาบของตนก่อมันขึ้นมาเองทั้งนั้น

ตัวอย่างเช่น
เมื่อถูกคนรอบข้างบางคนกดดันด้วยการ "ยั่วยุ"
ท่านก็จะเกิดอาการ "จิตตก-สติแตก" โดยพลัน
จิตหยาบก็จะเกิดอาการ "โกรธ" ไม่พอใจทันที
ความโกรธความไม่พอใจนี่แหละเป็นทุกข์ทางจิต
ถ้าโกรธจัดก็ทุกข์หนักไม่โกรธมากก็ทุกข์น้อย

วิธีที่จะดับทุกข์ในกรณีนี้ได้อย่างสิ้นเชิงนั้น
ท่านจักต้องจัดการดับมันที่จิตของท่านเอง
ไม่ต่างจาก คันตรงไหนก็เกามันที่ตรงนั้น เลย

เมื่อรับรู้ว่าท่านกำลังถูกยั่วยุให้จิตตกสติแตก
อันเป็นเส้นทางแห่งทุกข์ที่ท่านไม่พึงประสงค์อยู่
ท่านก็ต้องจัดการคุ้มครองป้องกันจิตไว้ให้มั่นคง
โดยไม่หลงรับเอาการยั่วยุของเขามาเป็นเงื่อนไข
ที่จะเป็นเหตุให้จิตหยาบสั่นไหวหรือสั่นคลอน

ถ้าท่าน รับรู้แล้วไม่รับเอา การยั่วยุนั้น
ความโกรธเคืองจากอาการจิตตกสติแตก
ซึ่งเป็นความทุกข์ตัวสำคัญมันก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น

แต่ในชีวิตจริงของพวกท่านนั้น
เมื่อถูกยั่วยุจากคนรอบข้างหรือคนใกล้ตัวเมื่อไหร่
พวกท่านมีแต่จะเพิ่มความทุกข์ทางจิตหยาบมากขึ้น
เพราะพวกท่านจัดการกับความทุกข์นั้นไม่เป็น

โดยแทนที่จะจัดการที่จิตหยาบตนเองให้มันสงบไว้
แต่พวกท่านนิยมใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่งบ้าง
ใช้วิธีขิงก็ราข่าก็แรง คือ "แรงมา-แรงไป"
เพื่อจะให้เขาหยุดยั่วยุตนจะได้ไม่จิตตกสติแตก
ตนจะได้ไม่เกิดความทุกข์คือความโกรธนั่นเอง
ทั้งๆที่ในยามมีสติก็รู้ว่า "จัดการที่ตนเอง" ง่ายกว่า
แต่พอถึงเวลาเผชิญเหตุการณ์จริงเข้าก็ล้มเหลว

ดังนั้น
ถ้าท่านรู้วิธีจัดการปัญหาอันเป็นที่มาแห่งทุกข์นี้ได้
แล้วท่านยังจะเกลียดกลัวความทุกข์กันไปทำไม

3.ความทุกข์ทางโลก
เป็นความทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว
เหตุการณ์ สถานการณ์ และคนรอบข้าง
ที่ท่านต้องรับผิดชอบต้องดำเนินการต้องบริหาร
ให้บรรลุผลสำเร็จตามแผนการที่วางไว้
ให้สามารถดำเนินการก้าวหน้าได้อย่างราบรื่น

แน่นอนว่าสิ่งที่นำมาซึ่งความทุกข์ก็คือ
อุปสรรคและปัญหาที่ต้องแก้ไขหรือตัดสินใจ
ให้ถูกต้องเหมาะสมและดีงามโดยไม่ผิดพลาด

ปัญหาหลักๆโดยรวมก็คือปัญหาที่เกี่ยวกับคน
และปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงานนั่นเอง
ซึ่งทุกปัญหาล้วนเป็นเหตุแห่งทุกข์ทางจิตทั้งสิ้น
แต่ปัญหาทางโลกทั้งหลายถ้าท่านรู้วิธีจัดการมัน
ไม่ว่าจะแสนยากแค่ไหนก็มีทางแก้ไขได้เสมอ
นอกจากท่านจะเป็นคนขลาดกลัวปัญหา
เป็นคนไม่กล้าริเริ่มลงมือทำเพราะกลัวล้มเหลว
หรือเป็นเพราะไม่กล้ารับผิดชอบถ้าทำแล้วมีปัญหา

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ไม่มีใครในระบบโลกนี้ที่เกิดมาแล้วไม่มีปัญหา
ไม่มีปัญหาใดในโลกนี้ที่เป็นปัญหาโลกแตก
เพราะเป็นปัญหาที่ไม่มีใครแก้ไขได้
เพราะทุกปัญหาในชีวิตและงานของพวกท่าน
ถูกออกแบบวางแผนไว้ช่วยให้ท่านฉลาดขึ้น
โดยให้ฉลาดคิดด้วยปัญญาของสมองสองซีก
เพื่อที่จะรักคนที่ไม่น่ารักให้ได้อย่างไม่มีเงื่อนไข

ถ้าท่านปลีกหนีสังคม หลบหนีปัญหา
เพราะเกลียดทุกข์กลัวทุกข์จากคนรอบข้าง
ท่านก็จะไม่รู้ว่าจะยกระดับจิตตปัญญาได้อย่างไร
เพราะไม่มีใครสร้างเงื่อนไขด้วยการยื่นปัญหาให้
จึงได้แต่เรียนเองรู้เองเออเองแบบผิดๆถูกๆ
เพราะไม่ยอมให้เพื่อนมนุษย์ในสังคมช่วยเป็นครู
ด้วยการหยิบยื่นปัญหาเป็นเงื่อนไขบวกลบมาให้

ตลอดสองพันกว่าปีที่ผ่านมา
พวกท่านหลับตาเดินตามคนนำทางตาบอด
ที่พาท่านเดินไปในท่ามกลางความมืดมิด
จนหลงทาง หลงทำ และหลงธรรมกันมานาน
พระบิดาทรงบัญชาให้เรานำเอาแสงสว่างมาให้
ก็จงรีบ "ลืมตา" กันเถิดเพื่อจะแลเห็นแสงสว่าง
ท่านใดมีหูก็น่าจะรับฟังกันไว้ด้วย
เพราะเวลาเหลือน้อยเต็มทีแล้ว

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

จงลืมตากันเถิด

จะได้แลเห็นแสงสว่าง

โครมีหูก็จงรับฟังไว้

เวลาเหลือน้อยแล้ว


เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
24/08/2021



23 สิงหาคม 2564

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

23/08/2021


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

อันชีวิตที่ติดทุกข์ติดสุขนั้น
เป็นชีวิตในบริบทของคนไร้สติขาดปัญญา
เป็นวิถีชีวิตของคนที่ใช้จิตหยาบดำเนินชีวิต
เป็นการใช้ความรู้สึกในกลุ่มเวทนาขันธ์
ขับเคลื่อนพฤติกรรมเพื่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
ด้วยการสั่นสะเทือน "ขันธ์ 5" เป็น กรรมจักร
จนตกเป็นทาสของ กฎแห่งกรรม อยู่ซ้ำซาก

เพราะท่านทั้งหลายไม่ล่วงรู้ความจริง
ซึ่งเป็นความจริงในระดับ อนุตรธรรม
ที่องค์สัพพัญญูผู้รู้แจ้งในสามโลกก็มิอาจรู้ได้ว่า
ความทุกข์ความสุขที่ตนเองเผชิญกับมันอยู่นั้น
มันเป็นแผนการที่ จิตวิญญาณ แก่นแท้ของตน
ออกแบบวางแผนไว้ให้เป็นบททดสอบ จิตหยาบ
ใช้ยกระดับแรงสั่นสะเทือนกระบวนการของขันธ์ห้า
ให้เข้าถึงจิตวิญญาณเพื่อการเป็นมนุษย์โดยเฉพาะ

แต่เพราะคนส่วนหนึ่งเลือกวิธีปฏิบัติธรรม
ด้วยการดำเนินชีวิตแบบละทิ้ง "สังคม"
ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่าตนเป็น สัตว์สังคม
จึงทำให้แผนการเรียนรู้ของจิตหยาบ
ที่จิตวิญญาณของตนวางแผนออกแบบให้มา
เกิดการบกพร่องผิดพลาดขึ้นอย่างไม่น่าให้อภัย

กล่าวคือ
แทนที่จะไปหลงยึดติดอยู่ที่ความทุกข์ความสุข
ควรที่จะเห็นทุกข์เห็นสุขแล้วแลเห็นสัจธรรมได้
แต่ในชีวิตจริงมันกลับไม่เป็นดั่งเช่นที่ว่านี้ได้เลย
สาเหตุเพราะว่า

1.ปฏิบัติธรรมคนเดียวด้วยการปลีกวิเวก
2.ปฏิบัติธรรมด้วยการทำอายตนะภายนอกให้พิการ
คงเหลือไว้แต่อายตนะภายในคือ จิต เท่านั้น

3.ปฏิบัติธรรมโดยเน้นปฏิบัติที่จิตอย่างเดียว
แล้วละทิ้งฝ่ายเนื้อหนังเอาไว้โดยมิได้ใส่ใจ
เหมือนเป็น คนมิติเดียว ทั้งๆที่ตนเป็น คนสองมิติ

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงออกแบบวางแผนให้ท่านทั้งหลาย
มีตนเองเป็นครูคนแรกและคนสุดท้ายเท่านั้น
โดยให้เพื่อนร่วมโลกร่วมสังคมทุกคนทุกรูปธรรม
ต่างเป็น ครูของกันและกัน ต้องพึ่งพากันและกัน
ด้วยการหยิบยื่นบททดสอบจิตสามนึกให้แก่กัน
ทั้งด้านดีและด้านร้ายทั้งยากและง่ายในทุกรูปแบบ
เพื่อให้ประสบการณ์ชีวิตเป็นบทเรียนแก่กันและกัน
และช่วยยกระดับจิตตปัญญาของกันและกันด้วย

เพราะบางคนเลือกที่จะอยู่คนเดียว
เลือกที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองอยู่เพียงลำพัง
เลือกที่จะไปสวรรค์อยู่คนเดียว
โดยใช้ "จิต" ที่รู้นึกรู้คิดในมุมของตนเอง
ทำหน้าที่เป็นครูของตนอยู่คนเดียว
จึงมองเห็นแต่ความทุกข์ความสุขที่ในใจของตน
จนไม่เห็นความจริงอันหลากหลายรอบด้านได้
เพราะอายตนะภายนอกถูกปิดหมดเหมือนไม่รู้ค่า

การปฏิบัติธรรมเยี่ยงนี้
เป็นการปฏิบัติธรรมเหมือนอยู่คนเดียวในโลกกว้าง
จะเรียนรู้อะไรก็ได้แต่นึกเองคิดเองเออเอง
จากโจทย์ที่ตนเองนึกเองกำหนดเองทั้งนั้น
การรู้จริงเห็นจริงเพื่อรู้แจ้งเห็นแจ้งจึงย่อหย่อน
จึงรู้เห็นได้ก็แต่ทุกข์กับสุขอันน่ารังเกียจ
แทนการเห็นทุกข์แล้วเห็นธรรมอันน่าเรียนรู้ไป

ถ้าท่านทั้งหลายยังยึดติดการดำเนินชีวิตแบบวิเวก
ก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงเกลียดกลัวความทุกข์
ทำไมจึงเป็นคนสองมิติไม่ได้
ทำไมปฏิบัติธรรมมานานแต่ยังนิพพานแท้ไม่ได้
ล้วนเป็นเพราะขาดปัญญากับความรอบรู้นั่นเอง

อันยาแก้ปวดลดไข้ทั้งหลายนั้นมีรสขม
นัยสำคัญของยามีให้พิจารณาอยู่ 3 มิติ คือ

1.มันคือยา
2.คุณสมบัติของยาคือลดไข้แก้ปวด
3.มายาของมันก็คือมีรสขม

เมื่อยามใดที่ท่านเจ็บปวดและมีไข้
ท่านจะทานยาตัวนั้นหรือไม่
ท่านจะไปยึดติดที่ "รสขม" ของยานั้น
แล้วปฏิเสธยานั้นหรือวางมันไว้ไม่ทานหรือเปล่า

ถ้าท่านอยากหายท่านก็จะยอมทานยาแต่โดยดี
โดยจะไม่เอาความขมของยานั้นมาเป็นเงื่อนไข
เพื่อรับเอาประโยชน์ของยานั้นเป็นสำคัญ

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้อนุตรธรรมไว้ด้วยว่า
ชีวิตประจำวันของพวกท่านน่ะ
พระบิดาได้ทรงออกแบบเอาไว้ให้ดังนี้ คือ

1.ปัญหาทั้งหลายทั้งในชีวิตและงานที่ท่านเผชิญ
ไม่ต่างจาก "ความเจ็บปวดป่วยไข้" นั่นแหละ
ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องเผชิญด้วยกันทั้งนั้น
ไม่มีใครหรอกที่เกิดมาแล้วไม่ป่วยไม่เจ็บไม่ไข้

2.เมื่อพวกท่านพบเจอปัญหาใดๆในชีวิตและงาน
นั่นแสดงว่าท่านนั้นกำลังเกิดอาการ "ป่วยไข้"
บางครั้งก็ป่วยทั้งกายและใจหรือไม่ก็ป่วยกาย
อาการป่วยไข้นี่แหละเปรียบได้กับ ความทุกข์
ซึ่งเป็นความทุกข์ที่เกิดจากจิตมันเจ็บป่วย
สาเหตุของจิตที่ป่วยก็คือ จิตเผชิญกับปัญหา

ดังนั้น
ปัญหาจึงไม่ต่างจาก "เชื้อโรค" ที่เป็นเหตุให้ป่วย
ท่านจักต้องหาหยูกยามาทานให้ตรงกับเชื้อโรค
ทานยาให้ถูกขนานเพื่อจัดการกับตัวเชื้อโรคนั้น

3.สำหรับอาการเจ็บป่วยมากหรือน้อยนั้น
ก็ไม่ต่างจาก "ความทุกข์" มากน้อยเมื่อเจอปัญหา
ถ้าจิตทุกข์มากแสดงว่าท่านกำลังเผชิญปัญหายาก
ถ้าจิตทุกข์น้อยแสดงว่าปัญหาที่เผชิญนั้นไม่ยากนัก

4.สำหรับ "ความทุกข์" ในการเผชิญปัญหา
มันก็ไม่ต่างจากความขมของยานั่นเอง

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
ถ้ายาทุกตัวมีอาการ "ขม" ไม่น่าทานฉันใด
ปัญหาย่อมนำพาความทุกข์มาให้ท่านได้ฉันนั้น

คราวนี้มาถึงคำถามที่ว่า
ปัญหา ที่เผชิญแล้วเกิดทุกข์ระทมขมขื่นล่ะ
เปรียบดั่ง "ยา" ที่จำเป็นต้องมีรสขม(ขื่น) ตรงไหน
คำตอบก็คือ "ทุกปัญหา" ในชีวิตและในการทำงาน
คือยาบำบัดรักษา ความโง่ ที่จะช่วยให้ฉลาดขึ้น
คือยาบำบัดรักษา ความงก ที่จะช่วยให้ใจกว้างขึ้น
โดยความโง่และความงกเป็นอาการป่วยทางจิต
ขั้นพื้นฐานของมนุษย์โลกทุกคนนั่นเอง

พระบิดาจึงทรงออกแบบให้
พวกท่านทุกคนต้องทานยาแรงบ้างอ่อนบ้าง
ด้วยการกำหนดให้เผชิญบททดสอบและบทเรียน
ในรูปของเรื่องราวเหตุการณ์และผู้คนรอบข้าง
ซึ่งเป็นปัญหาแบบต่างๆตลอดวันและตลอดชีวิต
เพื่อให้ปัญหาเป็นตัวช่วยกระตุ้นการใช้สติปัญญา
เพื่อให้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้เกิด "ความรัก"

เพราะมนุษย์ต้องสามารถใช้ปัญญาของสมองได้
ต้องสามารถใช้ความรักเพื่อให้จากจิตตนเองได้
ซึ่งเมื่อเกิดมาอายุยังน้อยๆกันอยู่นั้น
เด็กทุกคนยังรักคนอื่นไม่เป็นยังเห็นแก่ตัวกันอยู่
เด็กทุกคนยังคิดไม่เป็นยังเน้นพ่อแม่สั่งสอนอยู่
จึงไม่ต่างจากเด็กทั้งหลายยังป่วยยังต้องการยา
พระบิดาจึงกำหนดให้ท่านเจอปัญหากันมาตั้งแต่เด็ก

ที่เรากล่าวพระโอวาทพระบิดามาทั้งหมดนี้
คนที่เป็นฆราวาสผู้ไม่ขลาดหนีสังคม
จะเรียนรู้ได้ทันทีว่า
"ทุกปัญหาเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา"

จะเรียนรู้ได้ทันทีว่า
ทุกคนที่ทำตนเป็นปัญหาของท่านนั้น
"คือคนไม่น่ารักที่จะเป็นบ่อเกิดแห่งรัก"
ของท่านนั่นเอง

เราจึงขอยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า
การมีชีวิตที่เจอปัญหาแล้วเกิดอาการติดทุกข์
เป็นเพราะความโง่เขลาของท่านเอง
การมีชีวิตที่เจอปัญหาแล้วพากันหนีทุกข์
เป็นเพราะความเบาปัญญาของตนเองเช่นกัน

เป็นเพราะเลือกปฏิบัติธรรมด้วยวิธีผิดธรรมชาติ
โดยไม่ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันร่วมกับผู้อื่น
จึงมิอาจเห็นประโยชน์และใช้ประโยชน์
ในการเกิดมาเป็นสัตว์สังคมตามแบบแผนได้
จนเป็นแค่ "คนมิติเดียว" แทน "คนสองมิติ" ไป
โดยเน้นแค่เอา "จิตเป็นนาย" อยู่ด้านเดียว
ซึ่งผิดหลักธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง

คนนำทางตาบอดทั้งหลายจึงเป็นตัวอย่าง
ที่ไม่สมควรเอาเยี่ยงอย่างแต่อย่างใดเลย

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
23/08/2021




17 สิงหาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

17/08/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

จงอย่าเชื่อคนนำทางตาบอดที่สอนท่าน
ให้จับเอา ความทุกข์ เป็นตัวประกัน
แล้วจงใจชักชวนท่านให้เกลียดทุกข์กลัวทุกข์
ด้วยการหันไปสวามิภักดิ์กับ ความสุข แทน

ทั้งๆที่ความทุกข์ความสุขไม่มีตัวตนรูปลักษณ์
มันเป็นแค่เพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเวทนาขันธ์
จากการที่ตนเองนั้นสั่นสะเทือนขันธ์ 5 ผิดพลาด
เมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคหรือปัญหาใดๆในชีวิต
แล้วเกิดอาการจิตตกสติแตกเป็นความวิตกกังวล
เป็นความขลาดกลัว เบื่อหน่าย ท้อแท้ เป็นต้น

เพราะจิตหยาบของท่านไปหลงยึดติดมันเข้า
ความทุกข์ความสุขซึ่งปกตินั้นมันมิได้มีอยู่จริง
มันเป็นแค่อาการของจิตที่รับรู้อุปสรรคปัญหาแล้ว
รู้สึกว่าตนเองนั้นทนได้ยากหรือว่ายากที่จะทน
นี่คือที่มาของความทุกข์ที่เกิดขึ้นในจิตใจท่าน
แต่ถ้าตนเองพึงพอใจในสิ่งที่เผชิญนั้นก็ไม่ต้องทน
นี่คือที่มาของ "ความสุข" ที่เกิดขึ้นในใจท่าน

ด้วยเหตุนี้เอง
ความทุกข์ความสุขจึงเกิดมีอัตตาตัวตนขึ้นมา
เพราะจิตหยาบเกิดอาการหลงมิติไปเองแท้ๆ

แทนที่จะเพ่งมองไปที่อุปสรรคปัญหา
เพื่อสั่นสะเทือนจิตปัญญาหาทางแก้ไขให้ลุล่วง
คนนำทางตาบอดกลับพาท่านหลงทุกข์หลงธรรม
ด้วยการสอนให้เกลียดกลัวความทุกข์
สอนให้หนีทุกข์ สอนให้ดับทุกข์ สอนให้พ้นทุกข์
โดยใช้วิธีจัดการกับความทุกข์ด้วยวิธีข่มจิต
แทนที่จะจัดการเหตุแห่งทุกข์คืออุปสรรคปัญหา
ถ้าแก้ไขให้มันลุล่วงผ่านพ้นไปได้ก็พ้นทุกข์แล้ว
เพียงแค่ท่านฉลาดที่จะหยิบปัญญามาแก้ปัญหา
ท่านก็สามารถนิพพานความทุกข์นั้นๆได้แล้ว

นอกจากคนนำทางตาบอดจะพาท่านหลงผิด
โดยชวนให้จับเอาทุกข์สุขมาเป็นตัวประกันแล้ว
พวกเขาก็ยังบอกความจริงต่อท่านไม่ได้ด้วยว่า
จิตวิญญาณของท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
มีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดในการเกิดเป็นมนุษย์บ้าง
จิตวิญญาณท่านมาจากไหนใครอนุญาตให้มา

เมื่อคนนำทางตาบอดไม่รู้คำตอบเหล่านี้
เพราะเป็นสัจธรรมชั้นสูงระดับ อนุตรธรรม
หรือที่พวกท่านเรียกว่า "ความจริงนอกกะลา"
พวกเขาจึงยิ่งมั่นใจว่าจิตวิญญาณเป็นผู้พเนจร
จิตวิญญาณเป็นผู้ไม่มีหัวนอนปลายเท้า
จิตวิญญาณไม่มีบิดามารดาผู้ให้กำเนิด
จิตวิญญาณไม่มีบ้านเกิดเมืองนอนแต่อย่างใด

ดังนั้น
จากการหลงทุกข์ หลงธรรม ดังกล่าว
มันจึงเป็นที่มาของแนวทางแนวทำที่ผิดๆ
โดยเริ่มตั้งแต่

1.พาท่านทิ้งสังคมไปปลีกวิเวก
เพราะเพ่งโทษว่าคนในสังคมเป็นเหตุแห่งทุกข์
ทั้งๆที่ปากยังพูดเสมอว่าตนเป็นสัตว์สังคม

2.พาท่านปิดกั้นการใช้อายตนะภายนอกทั้งหมด
คือ ตา หู จมูก ลิ้นและกายสัมผัสโดยแสร้งพิการ
คงเปิดไว้แต่จิตที่เป็นอายตนะภายในอย่างเดียว
เพื่อปิดช่องทางการรับรู้เงื่อนไขภายนอกไว้
เพราะมองว่ากลไกอายตนะภายนอกคือ จำเลย
ที่นำพาความทุกข์มาสู่จิตภายในของตน

จากนั้นก็สาละวนกับการดับทุกข์ที่ในจิต
ด้วยการคอยเฝ้าตามดูจิตตนเองไว้อย่างใกล้ชิด
เพื่อจะกดมันไว้มิให้จิตมันก่อทุกข์ขึ้นมาเองได้
ซึ่งเป็นที่มาของการนั่งปฏิบัติธรรมอยู่คนเดียว
เพื่อจัดการดับทุกข์ที่ตนไม่พึงประสงค์ให้สิ้น

3.พาท่านทั้งหลายปฏิเสธการใช้ขันธ์ 5
ด้วยการปิดกลไกอายตนะทั้งหมดที่จิตต้องใช้
แล้วชักพาให้ละทิ้งสังคมเพื่อไปสวรรค์คนเดียว
จนพวกท่านเป็น คนสองมิติ ที่สมบูรณ์ไม่ได้
เพราะมุ่งปฏิบัติทางจิตแต่ไม่คิดทำทางกายภาพ
จนเป็นเหตุให้จิตวิญญาณต้องตายเพื่อเกิดใหม่

ทั้งๆที่หน้าที่ของมนุษย์แท้จริงนั้น
ต้องร่วมกันสั่นสะเทือน ขันธ์ 5 ในชีวิตประจำวัน
ด้วยการรักทุกคนให้ได้อภัยทุกคนให้เป็น
เพื่อการ "หมุนธรรมจักร" ร่วมกันตลอดทุกวันเวลา
ในอันที่จะสร้างความมั่นคงและสันติสุขร่วมกัน
ขณะเดียวกันจิตก็จะผลิตพลังงานความรักออกมา
เป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็กช่วยค้ำจุนสมดุลโลกด้วย

4.พาจิตวิญญาณพวกท่าน "หลงทาง" ไปใหญ่โต
เพราะหลงผิดคิดว่าตัว "จิต" ที่ตนใช้ในชีวิตอยู่นั้น
มันคือ จิตวิญญาณ ตัวตนที่มาเกิดเป็นมนุษย์

ดังนั้น
ความทุกข์ที่ตนรังเกียจเกลียดกลัวกันนักหนา
จึงถูกมองว่าเป็นความทุกข์ของจิตวิญญาณ
ทั้งๆที่จิตวิญญาณมิได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย
เพราะจิตวิญญาณถูกพระบิดาทรงออกแบบไว้
ให้ทำหน้าที่เป็นดั่งพระประธานในอุโบสถวัด
แม้เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แต่พูดไม่ได้ทำไม่ได้
ต้องให้เจ้าอาวาสคือ จิตหยาบ ทำหน้าที่แทน

ด้วยเหตุนี้เอง
คนนำทางตาบอดจึงพยายามจะดับทุกข์
ด้วยการดับ "จิตวิญญาณ" ให้สิ้นสูญ
โดยมุ่งดับสังสารวัฏไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
ซึ่งพวกเขามองว่าจะต้องดับที่ขันธ์ 5 ให้ได้
เพราะเป็นทั้งอัตตาตัวตนเป็นทั้งที่มาแห่งทุกข์
จนดูเหมือนว่าจะจับขันธ์ 5 เป็นจำเลยเสียอีกด้วย

หลักคิดและความเชื่อพวกเขาก็คือ
ถ้าจัดการกับจิตด้วยวิธีเท็คนิกมิใช่วิถีธรรมชาติ
จนตนเองรู้สึกได้ว่า "ไม่ทุกข์" อันใดแล้ว
ก็จะสรุปเอาดื้อๆว่าตนนั้นว่างไปจาก "อัตตา"
กลายเป็น "อนัตตา" ไปเรียบร้อยแล้ว

เพราะตัวตนเดิมที่เคยรู้ว่าตนมีทุกข์อยู่นั้นดับแล้ว
เมื่อทุกข์ดับจิตวิญญาณที่เคยมีอัตตาย่อมดับด้วย

ซึ่งวิธีคิดวิธีเชื่อของคนนำทางตาบอดดั่งว่ามานี้
พระศาสดาเองก็มิได้ทรงยืนยันว่ามันถูกต้อง
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณก็ตรัสว่ามันคือ อุปาทาน

5.เพราะความเชื่อในอุปาทานทั้งหมดที่เรากล่าวมา
พวกเขาจึงสอนพวกท่านให้ "นิพพาน" ความทุกข์
ตามปฏิบัติการทางเท็คนิกของพวกเขาแทน
โดยนิยามว่านิพพานคือการไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์
และการนิพพานสูงสุด คือ จิตวิญญาณเป็นอรหันต์
ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นการบรรลุธรรมสูงสุดแล้ว

นี่ก็เป็นการพาท่านหลงทางอีกเช่นกัน
เพราะสิ่งที่พวกเขาเข้าถึงคำว่านิพพานได้นั้น
มันมิได้เป็นการนิพพานของจิตวิญญาณที่แท้จริง
เพราะการนิพพานทางจิตวิญญาณที่แท้จริง
คือการหลุดพ้นออกไปจากอนันตจักรวาล
ซึ่งเป็นห้องทดลองของพระบิดาหรือพระเจ้า
เพื่อกลับคืนบ้านเกิดซึ่งเป็นพระนิเวศของพระเจ้า
ที่จิตวิญญาณของพวกท่านจากกันมานานแล้ว

แต่พฤติกรรมของคนนำทางตาบอดนั้น
พวกเขาเพียงช่วยให้จิตหยาบตัวแทนจิตวิญญาณ
นิพพานกิเลสตัณหาราคะอารมณ์ขยะได้สิ้นสูญ
เพื่อยกระดับจิตหยาบให้เป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแท้
ด้วยการสั่นสะเทือนเป็นความรักเพื่อให้ได้เสียที
เพราะว่างจากกิเลสตัณหาซึ่งเป็นอุปสรรคได้แล้ว

เมื่อจิตหยาบเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณได้
เท่ากับว่าจิตหยาบได้ช่วยให้จิตวิญญาณของตน
สามารถออกมาทำหน้าที่ใช้ความรักผ่านขันธ์ 5
หมุนธรรมจักรร่วมกันกับจิตหยาบคือตัวท่าน
เพื่อผลิตสร้างพลังงานจิตด้านบวกค้ำจุนโลกได้

แต่น่าเสียดายจริงๆ
ที่พวกเขาเข้าใจผิดและกลัวความทุกข์มาก
ทั้งๆที่จิตหยาบพร้อมจะทำหน้าที่สำคัญ
ร่วมกับจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนได้แล้ว
จิตวิญญาณกลับต้อง "หลุดลอย" หงอยเหงา
เพราะปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์เป็นเรื่องแรก
เพราะ "หลงทางนิพพาน" เป็นเรื่องถัดมา

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

โลกกับมนุษย์น่ะสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
ท่านจะมัวแต่หลงทางนิพพานด้วยการหลุดลอย
เหมือนเป็นขยะชิ้นหนึ่งในอนันตจักรวาลนี้ไม่ได้

คำว่า "ขยะจักรวาล" คือสิ่งที่พระเจ้ามิได้สร้างไว้
ในวันพิพากษาโลกคาบสุดท้าย 56 วัน 8 ราตรี
ขยะทุกชิ้นจะถูกกำจัดออกไปจากอนันตจักรวาล

เช่น เกาะแก่งน้อยใหญ่ในมหาสมุทรและทะเล
อาคารสูงๆ วัตถุเท็คโนโลยีขยะที่มนุษย์สร้างขึ้น
บุตรมนุษย์ของพระองค์ที่ทำตัวหนักแผ่นดินโลก
รวมทั้งจิตวิญญาณผู้หลุดลอยอยู่บนสวรรค์มายา
ที่เราอุตส่าห์บอกกล่าวเฝ้าเตือนว่าหลงทางอยู่
แต่ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หรือมีการก้าวล่วงเราเสียอีก

ผู้ใดปฏิเสธองค์ความรู้จากพระโอวาท
โดยให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องโลกทางกายภาพ
พระองค์จะทรงมอบหมายให้ฑูตสวรรค์ผู้มีหน้าที่
ทำการชำระออกไปจากระบบตามคำพิพากษา
ผู้ใดรับพระโอวาทพระองค์ที่ทรงสื่อผ่านเรามา
ผู้นั้นก็จะถูกพิพากษาให้คัดไว้

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17/08/2021

11 สิงหาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

11/08/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้ของท่าน
ผู้ขันอาสาพระผู้เป็นเจ้าหรือองค์จิตจักรวาล
เข้ามาจุติในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
เพื่อรับบทบาทหน้าที่เป็น คนสองมิติ
ตามแผนการที่พระองค์ทรงออกแบบเอาไว้ให้
ในการผลิตสร้างพลังงานความรักความเมตตา
ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
จากจิตหยาบที่สั่นสะเทือนขันธ์ 5 เป็นธรรมจักร
ในนามของจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนเองได้

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
จิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของท่านทุกวันนี้
มิใช่จิตวิญญาณผู้ขันอาสาพระบิดามาเกิด
แต่เป็นกลุ่มพลังงานรวมทั้งสิ้น 189 กลุ่ม
ที่จิตวิญญาณตัวตนแท้จริงของท่านเอง
เป็นผู้แบ่งภาคออกมาเพื่อให้ทำหน้าที่แทน

การใดกรรมใดที่จิตหยาบคือตัวท่าน
กระทำหรือก่อขึ้นขณะมีภพชาติเป็นมนุษย์
รวมทั้งผลกรรมหรือผลลัพธ์จากการกระทำนั้น
จิตวิญญาณแก่นแท้จะต้องรับผิดชอบทั้งหมด
ในฐานะของผู้มอบอำนาจให้จิตหยาบทำแทน
โดยมิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้

การตกเป็นทาสของกฎแห่งกรรม
ตามที่จิตหยาบเป็นผู้ก่อไว้ในอดีตชาติ
ที่ส่งผลให้จิตหยาบกลุ่มใหม่ในภพชาติปัจจุบัน
ต้องมาช่วยจิตวิญญาณรับผิดชอบแก้ไขและเรียนรู้
จนแม้สิ่งที่จิตหยาบจะกระทำผิดบาปอีกในภพชาตินี้
มันก็จะส่งผลให้จิตวิญญาณต้องรับผิดชอบต่อไปอีก
จนเกิดเป็นสังสารวัฎหมุนวนไปไม่รู้สิ้นสุดนั้น
ล้วนเกิดจากความล้มเหลวในการเป็นมนุษย์
โดยจิตหยาบนี่แหละพาล้มเหลวมาทุกภพชาติ

เหตุเพราะพวกท่านไม่รู้ว่า
ท่านคือจิตหยาบผู้ทำหน้าที่
ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
แทนจิตวิญญาณผู้เป็นแก่นแท้คือตัวจริงของท่าน
โดยต้องเรียนรู้ที่จะสั่นสะเทือนขันธ์ 5
ด้วยพลังความรักความเมตตาในทุกเงื่อนไข
ที่คนใกล้ตัวและคนรอบข้างหยิบยื่นมาให้ท่าน
ไม่ว่าเงื่อนไขนั้นมันจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายก็ตาม
ซึ่งท่านจะสั่นสะเทือนขับเคลื่อนด้วยกิเลสตัณหา
หรือใช้อารมณ์ขยะรายวันสั่นสะเทือนมันไม่ได้

ที่ท่านต้องสั่นสะเทือนจิตหยาบเป็นความรัก
ก็เพราะว่าจิตหยาบของท่านจะสามารถเข้าถึง
จิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนที่แท้จริงของท่านเองได้
ก็ด้วยแรงสั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุดนี้เท่านั้น
นั่นคือต้องอดทน อดกลั้น ให้อภัย
กับการกระทำไม่ถูกต้องของคนรอบข้างให้จงได้
โดยไม่ต่อสู้ ไม่ตอบโต้ ไม่ต่อต้าน ไม่อาฆาต
จิตวิญญาณของท่านจึงจะออกมาทำหน้าที่จริง
ร่วมกับจิตหยาบในบทบาทคนสองมิติได้
ท่านก็จะเป็นคนที่สมดุลเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์
ตามเป้าหมายสูงสุดที่ขันอาสามาเกิดเป็นมนุษย์
จนเข้าถึงการเป็นผู้ประเสริฐอย่างแท้จริงแล้ว

แต่ถ้าในชีวิตปัจจุบันหรือในชาตินี้
ท่านยังใช้จิตหยาบถือเอาตนเองเป็นใหญ่
จะนึกจะคิดจะพูดจะทำสิ่งใดกับใครก็ตาม
โดยไม่รู้ว่าตนนั้นยังมีจิตวิญญาณผู้เป็นใหญ่
ประทับนั่งเป็นประธานเร้นอยู่เงียบๆที่ข้างใน
เมื่อสิ้นอายุขัยก็จะเสียชาติเกิดไปอีกหนึ่งภพชาติ

ทั้งๆที่ตลอดชีวิตในทุกภพชาติของการเกิด
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านเองนั้น
ไม่เคยอยู่นิ่งเฉยโดยไม่ได้ทำอะไรเลย
แต่พยายามแสดงตนเพื่อช่วยเหลือท่านเสมอ
เพราะมิอาจออกมาแสดงร่วมกับท่านตรงๆได้
จิตวิญญาณจึงต้องแสดงออกด้วยสัญชาตญาณ
เช่น การให้สัมปชัญญะปัญญาแก่ท่าน
ให้รู้ว่าควรไม่ควรดีไม่ดีบุญหรือบาป เป็นต้น

นอกจากนั้น
จิตหยาบจะสามารถสั่นสะเทือนขันธ์ 5
ให้บังเกิดผลในมิติทางพลังงานด้านจิตวิญญาณ
เพื่อบรรลุการเป็นคนสองมิติอย่างสมบูรณ์ได้นั้น
จิตวิญญาณเองก็จะคอยใช้ จิตใต้สำนึก
สั่นสะเทือนตาม จิตสามนึก ของท่านเสมอ
โดยจิตหยาบสั่นสะเทือนจิตสามนึกขึ้นเมื่อใด
จิตใต้สำนึกก็จะสั่นสะเทือนตามเมื่อนั้น
ไม่ว่าจิตสามนึกจะสั่นสะเทือนด้านดีหรือด้านชั่ว
เพราะจิตใต้สำนึกคิดรู้เองไม่ได้ว่าไหนดีไหนชั่ว
มีหน้าที่หลักคือต้องสั่นสะเทือนตามอย่างเดียว

ดังนั้น
ถ้าท่านฉลาดจะเป็นมนุษย์
จักต้องรักให้ได้ ให้อภัยให้เป็น ไม่เห็นแก่ตัว
ไม่เกลียดกลัวความทุกข์แต่สนุกกับการเป็นมนุษย์
เพราะมันจะเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่ท่านจะปลดปล่อย
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านให้เป็นอิสระ
เพื่อออกมาทำหน้าที่ร่วมกันกับจิตหยาบ
ในภารกิจทางจิตวิญญาณให้สำเร็จลุล่วงได้

นอกจากนั้น
จงพยายามนึกคิดด้านบวกเข้าไว้
จงพยายามตั้งความปรารถนาด้านบวกเข้าไว้
อย่าให้จิตนึกคิดด้านลบหรือใฝ่ต่ำเด็ดขาด
เพราะจิตวิญญาณของท่านจะหลงผิด
ไปน้อมนำเอาสิ่งเลวร้ายนั้นเข้ามาในชีวิต
เพราะความผิดพลาดของจิตหยาบเอง

ตัวอย่างเช่น

ถ้าท่านเกลียดกลัวความทุกข์
จิตวิญญาณก็จะนำความทุกข์มาให้
ถ้าท่านเปลี่ยนเป็นอยากมีความสุขในชีวิต
จิตวิญญาณก็จะช่วยนำพาความสุขมาให้
เท่าที่บุญกรรมท่านทำสั่งสมมา

ถ้าท่านกลัวความยากจน
จิตวิญญาณก็จะนำความยากจนมาให้
แต่ถ้าท่านมั่นใจว่าท่านต้องร่ำรวยแน่ๆ
จิตวิญญาณก็จะนำเอาความร่ำรวยมาให้
เท่าที่บุญกรรมท่านทำสั่งสมมา

ถ้าท่านกลัวตาย
จิตวิญญาณก็จะนำเอาการเสี่ยงตายมาให้
ถ้าท่านกลัวผี
จิตวิญญาณของท่านก็จะทำให้ท่านเห็นผี
ฯลฯ

เมื่อท่านได้รับโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว
อย่ากักขังจิตวิญญาณตัวเองไว้ข้างในอีกเลย
ฝึกฝนเรียนรู้ที่จะใช้ขันธ์ 5 หมุนธรรมจักรให้ได้
อย่าเชื่อตามคนนำทางตาบอดที่พาดับขันธ์ 5
จนหลงทางนิพพานให้เสียเวลากันต่อไปอีกเลย
บัดนี้โลกสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้วล่ะท่าน
จิตวิญญาณของท่านต้องการหลุดพ้นกลับบ้าน
กลับไปกราบพระบิดามานานนับหมื่นปีแล้ว
จงปลดปล่อยจิตวิญญาณตนเองให้เป็นอิสระเถิด

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
11/08/2021

09 สิงหาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

09/08/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

องค์จิตจักรวาล ซึ่งเป็นพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้สร้างห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระองค์
ที่มนุษย์เรียกว่า เอกภพ หรือ อนันตจักรวาล นั้น
ทรงกำหนดให้ดาวเคราะห์โลกทำหน้าที่สำคัญคือ
คอย "ค้ำจุน" ความสมดุลของเอกภพทั้งระบบไว้

หลักการค้ำจุนก็คือ "ดาวเคราะห์โลก" ทั้งระบบ
จักต้องรักษาความสมดุลของระบบตนเองให้มั่นยืน
โดยจะเสียสมดุลไปแม้แค่เพียงนิดเดียวก็ไม่ได้
เพราะจะส่งผลต่อเอกภพที่เป็นระบบใหญ่ทันที

เราจะขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายให้รู้ว่า
ตามกาลเวลาโลกขณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น
อนันตจักรวาลหรือเอกภพซึ่งดาวโลกค้ำจุนอยู่
ได้เริ่มแสดงอาการเสียสมดุลปรากฏชัดขึ้นมาแล้ว
ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่าผู้ค้ำจุนคือดาวเคราะห์โลกดวงนี้
กำลังเกิดอาการ เสียสมดุล ขึ้นมาแล้วนั่นเอง

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
เอกภพที่ว่านี้เป็นสนามพลังงานขนาดใหญ่มหึมา
มีลักษณะคล้ายซาละเปาก้อนโตสองลูกประกบกัน
โดยมีกาแล็กซี่ทั้งหมด 12500 ล้านระบบอยู่ข้างใน
รวมกาแล็กซี่ที่เป็นเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวระนาบ
ซึ่งมีขนาดใหญ่สุดที่มนุษย์เรียกว่า Milky Way ด้วย

บนกาแล็กซี่ "ธารน้ำนม" สีขาวนี่เอง
พระบิดาทรงสร้างดาวเคราะห์โลกกับระบบสุริยะไว้
เพื่อให้คอยค้ำจุนความสมดุลของเอกภพดังกล่าว
โดยคำว่า "สมดุล" นั้นในที่นี้เราหมายความว่า
เส้นผ่านศูนย์กลางเอกภพคือกาแล็กซี่ Milky Way
หรือที่เรียกกันผิดๆมายาวนานว่า ทางช้างเผือก
ซึ่งอยู่ในแนวระนาบนั้นต้องทำมุมตั้งฉากกับแนวดิ่ง
ที่เป็นแกนหมุนของเส้นผ่านศูนย์กลางของเอกภพ
โดยมันจะต้องตั้งฉากกันเยี่ยงนี้ไว้ตลอดกาลนิรันดร์

แต่บัดนี้...จักรวาลพบว่า
เส้นผ่านศูนย์กลางของอนันตจักรวาลหรือ "เอกภพ"
อันหมายถึงกาแล็กซี่ธารสายน้ำนม (Milky Way) นั้น
ขณะเหวี่ยงหมุนไปรอบแกนกลางเพื่อค้ำจุนเอกภพ
เกิดอาการเอียงซ้ายต่ำกว่าแนวระนาบไป 0.1 องศา
แปลว่าทั้ง 12500 ล้านกาแล็กซี่ที่บรรจุอยู่ข้างใน
ก็ต้องพลอยเสียสมดุลไปทางซ้ายด้วยเช่นเดียวกัน

ลักษณะทางกายภาพของเอกภพในทุกวันนี้
จึงไม่ต่างจากเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ลำหนึ่ง
ซึ่งกำลังบรรทุกผู้โดยสารอยู่ 12500 คน
ขณะที่เรือใหญ่ลำนี้กำลังแล่นไปในทะเลกว้าง
จู่ๆเรือก็เกิดอาการเอียงไปทางด้านซ้ายหนึ่งองศา
ท่านทั้งหลายลองหลับตานึกภาพเองก็ได้ว่า
ผู้โดยสารบนเรือทุกคนจะเกิดอาการอย่างไรกันบ้าง
สภาพเรือลำนี้ขณะแล่นไปในทะเลจะเป็นเช่นไร
ถ้าเรือใหญ่ลำนี้มีเหตุให้มันต้องเอียงไปมากกว่าเดิม
หรือมีเหตุให้มันเอียงไปทางกราบซ้ายมากขึ้นเรื่อยๆ
เรือลำใหญ่กับผู้โดยสารทั้ง 12500 คนที่อยู่บนเรือ
จะประสบชะตากรรมอย่างไร

ถ้าท่านเป็นเจ้าของเรือใหญ่ลำนี้
อันหมายถึงพระบิดาผู้ทรงเป็นเจ้าของเอกภพ
ซึ่งเป็น "ห้องทดลอง" ของพระองค์
ท่านจะปล่อยให้เรือลำนี้ล่มจมทะเลไปพร้อมทุกสิ่ง
โดยได้แต่ยืนมองนั่งมองเฉยๆไม่ทำอะไรเลยกันมั้ย

สิ่งที่ท่านตอบคำถามเราในนามของเจ้าของเรือ
มันคือ "คำตอบ" ที่ตรงกับพระทัยของพระบิดา
ที่ทรงมีต่อเอกภพทั้งระบบรวมทั้งต่อพวกท่านด้วย
พระองค์จะไม่ทรงยอมให้ทุกอย่างล่มสลายแน่นอน

ท่านทั้งหลายจะรู้กันจะสังเกตกันบ้างหรือไม่ว่า
การที่มนุษย์โลกเสรีส่วนมากในยุคนี้
ไม่สามารถ "กดปุ่ม" ใช้งานสมองซีกขวา
อันเป็นสติปัญญาของจิตวิญญาณกันได้ง่ายๆ
เพราะอนันตจักรวาลหรือเอกภพกำลังเสียสมดุล
จากการเอียงไปทางซ้าย 0.1 องศานี่แหละ

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
มนุษย์เป็นสัตว์ชั้นสูงที่มีลำตัวตั้งฉากกับพื้น
เพื่อให้ศีรษะอันเป็นที่ตั้งของสมองนั้น
เป็นดั่งพระบัลลังก์หรือแท่นประทับของพระเจ้า
ถ้าเอกภพเสียสมดุลไปดังเช่นที่เป็นอยู่นี้
จะยังผลให้มนุษย์ทำมุมสามเหลี่ยมกับพระเจ้า
ที่ทรงประทับอยู่นอกเอกภพเบื้องบนผิดพลาด
อันเกิดจากการเสียสมดุลของระบบใหญ่ด้วย

ท่านทั้งหลายยังจะต้องรู้อีกด้วยว่า
ถ้าเอกภพเกิดการเสียสมดุลแล้วเอียงไปทางซ้าย
นอกจากมนุษย์จะใช้ปัญญาญาณของสมองซีกขวา
ได้ลำบากยากเข็ญมากขึ้นหรืออาจใช้การไม่ได้แล้ว
มนุษย์ก็จะถนัดใช้แต่สมองซีกซ้ายที่เป็นอัตโนมัติ
จนถูกกิเลสตัณหาครอบงำให้หมุนกันแต่กรรมจักร
มนุษย์จะใช้ขันธ์ 5 เพื่อหมุนธรรมจักรแทนไม่ได้เลย

ดังนั้น
เราจึงจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
นอกจากจิตสามนึกของมนุษย์ทุกคน
พระบิดาทรงออกแบบให้ใช้ขันธ์ 5 สั่นสะเทือนมัน
เพื่อให้เกิดพลังงานความรักความเมตตา
ช่วยค้ำจุนความสมดุลของโลกทั้งระบบแล้ว

ถ้ากล่าวในอีกมุมหนึ่ง
ก็สามารถที่จะกล่าวเป็นความสัจจริงได้ว่า
จิตสามนึกของมนุษย์โลกโดยรวม
กับจิตสำนึกของดาวเคราะห์โลกดวงเดียวนี้
ทรงกำหนดให้สั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกันนั่นเอง

ไม่ต่างจากการที่มนุษย์ทุกคนล้วนมีจิตหยาบ
คอยทำหน้าที่สั่นสะเทือนขันธ์ 5 ในสองมิติ
เพื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ให้มันสั่นจนเป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตวิญญาณให้ได้
ถ้าหากว่าจิตหยาบของท่านสั่นสะเทือนไม่สำเร็จ
ท่านจะเป็นคนที่ไม่สมดุล เช่น ไม่ฉลาดและอายุสั้น

มนุษย์โลกทุกคนกับดาวเคราะห์โลกก็เช่นกัน
พระบิดาทรงกำหนดให้สั่นสะเทือนร่วมกันตลอด
ถ้ายุคใดที่จิตสามนึกของมนุษย์ตกต่ำลงมาก
โดยมีคนดีประพฤติดีลดน้อยลงหรือศีลธรรมเสื่อม
ยุคนั้นมนุษย์จะต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่รุนแรงเสมอ
เพราะโลกจะแสดงบทบาทเยี่ยงคนบาป
ด้วยการใช้ภัยพิบัตินี่แหละทำร้ายมนุษย์อย่างไม่ยั้ง

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

พระบิดาหรือพระผู้สร้างจะทรงยอมให้
เอกภพซึ่งเป็นห้องทดลองของพระองค์
เกิดความพินาศเพราะบุตรมนุษย์เป็นเหตุไม่ได้
พระองค์จึงทรงมีพระบัญชาให้เรารีบกลับมา
เพื่อบอกกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า

พระองค์ได้ทรงวางแผนจัดการแก้ไขปัญหา
เพื่อสร้างสมดุลให้เอกภพไว้แล้วโดยมีสองขั้นตอน

ขั้นตอนแรก คือ
1.ให้เรามาสื่อสอนพวกท่านเรื่องการใช้ขันธ์ 5
เพื่อให้หมุนธรรมจักรในนามของจิตวิญญาณให้ได้

2.ให้เรามาเตือนพวกท่านว่า
อย่าหลงทางนิพพานโดยก้าวตามคนนำทางตาบอด
ทรงให้ชี้แนะว่า "หลง" อย่างไร นิพพานเทียมคืออะไร

3.ให้เรามากล่าว "อนุตรธรรม"
ที่พระศาสดาผู้เกิดจากโลกมิได้สอนไว้
แต่เป็นสัจธรรมที่มนุษย์ทุกคนต้องรู้ไม่รู้ไม่ได้

4.ให้เรามากล่าวถึงแผนการของพระองค์
ที่เป็นแผนการขั้นตอนที่สองดังต่อไปนี้

ขั้นตอนที่สอง คือ
1.พระองค์จะทรงชำระขยะออกไปจากระบบโลก
ขยะทั้งหมดที่เป็นเหตุให้โลกเสียสมดุลให้หมดสิ้น

2.พระองค์จะทรงชำระมนุษย์ที่ทำตนเป็นขยะ
ทำตัวเป็นภาระ "หนักโลก" หรือ หนักแผ่นดิน
เพราะไม่ยอมใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
ไม่ยอมเชื่อฟังและไม่ปฏิบัติตามพระบุตรเอก
ที่กล่าวพระโอวาทให้รู้ในพระนามแห่งพระเจ้า
ตามแผนการขั้นตอนแรกดังกล่าวมาแล้ว

3.พระองค์จะทรงปิดยุคพลังงานเก่า
ด้วยการยกระดับจิตสามนึกด้านบวกสูงสุด
ให้แก่บุตรมนุษย์ที่ทรงคัดไว้ให้เป็น "ผู้รอด"
ด้วยบทเรียนแห่งการกลัวตายสุดขีด
อันเป็นบทเรียนบทสุดท้ายปลายยุคพลังงานเก่า
เพื่อให้เรียนรู้ว่า ความรักที่แท้จริง คืออย่างไร

บทเรียนบทสุดท้าย
จะเกิดขึ้นตลอดช่วงวันเวลา 8 ราตรี หรือ 56 วัน
ซึ่งโลกทั้งดวงจะมืดมิดพร้อมกันอย่างยาวนาน
แต่จะอื้ออึงอลวนไปด้วย "มหันตภัยพิบัติ"
ที่รุนแรงหนักหนากว่าการชำระโลกครั้งที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นสาเหตุให้แผ่นดินแอตแลนติสทั้งหมด
ต้องสูญหายไปจากแผนที่โลกมาตราบจนทุกวันนี้

นี่เราเตือนท่านทั้งหลายแล้วนะ...

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9/08/2021

03 สิงหาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

03/08/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ขณะนี้ "โลก" สิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว
คำว่า โลก นั้นในที่นี้เราหมายถึง
มนุษย์ทุกคนทุกชนชาติสัตว์ประจำโลก
รวมทั้งต้นไม้น้อยใหญ่ที่มีอยู่บนโลกนี้ด้วย

ส่วนคำว่า "สิ้นยุคพลังงานเก่า" หมายถึง
การครบกำหนดวาระในการทำหน้าที่
มอบความรักในรูปพลังไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ให้แก่ดาวเคราะห์โลกได้ใช้เป็นพลังงาน
จุดระเบิดอะตอมของธาตุออกซิเจนบริสุทธิ์
ที่พระผู้สร้างทรงติดตั้งเอาไว้ในแกนโลก
ซึ่งมีลักษณะสีเขียวเหนียวหนืดคล้ายตังเม
ให้เกิดการบิดตัวอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
จนทำให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้ต่อเนื่อง
เพื่อช่วยให้ระบบโลกมีความสมดุลอย่างยั่งยืน

กรณีที่เรากล่าวมาทั้งหมดนี้
ก็เป็นหนึ่งในความจริงระดับ #อนุตรธรรม
ซึ่งมนุษย์ทุกคนแม้องค์สัพพัญญูก็คิดรู้เองไม่ได้
เพราะสมองของมนุษย์มีเพียงสองซีกซ้ายขวา
ที่องค์พระบิดาแห่งจิตวิญญาณทรงติดตั้งไว้ให้ใช้
โดยสมองซีกซ้ายใช้คิดวิเคราะห์ โลกิยธรรม ได้
ส่วนสมองซีกขวาก็ใช้สังเคราะห์ "โลกิยธรรม"
เพื่อเข้าถึงองค์ธรรมที่สูงกว่าคือ โลกุตรธรรม ได้

เพราะเหตุที่สมองมีสองซีกนี่เอง
มนุษย์ทุกคนไม่มีข้อยกเว้นว่าเป็นใคร
จึงไม่สามารถเข้าถึง อนุตรธรรม ขั้นสูงนี้ได้
พระผู้เป็นเจ้าจึงต้องส่ง พระบุตรเอก
เข้ามาจุติเป็นมนุษย์อยู่ในระบบโลก
โดยทรงมอบเครื่องมือในการเข้าถึงอนุตรธรรม
ให้พระบุตรเอกถือติดตัวมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วย

เพื่อให้พระบุตรเอกใช้เครื่องมือพิเศษที่ว่านี้
ติดต่อสื่อสารกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
ที่ทรงประทับอยู่ในแดนสุญตานอกเอกภพ
อันเป็นพระนิเวศน์ของพระองค์
เพื่อนำเอาสัจธรรมความจริงที่เป็นอนุตรธรรม
มากล่าวเป็นพระโอวาทต่อมนุษย์แทนพระองค์
รวมทั้ง "ความจริง" ที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่นี้ด้วย

ความจริงที่เราจะกล่าวต่อไปนี้ก็คือ
กรณีที่จิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์ทั้งหลาย
ผู้ขันอาสาพระบิดาเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อใช้เมตตาธรรม "ค้ำจุนสมดุล" ของโลกนั้น
ขณะนี้ครบ 60,000 ปีโลกตามกำหนดหนึ่งยุคแล้ว
พวกท่านได้ให้สัจจะสัญญาต่อพระบิดาไว้ว่า
จะใช้จิตหยาบหรือจิตมนุษย์นำพาจิตวิญญาณ
สู่การหลุดพ้นออกไปจาก อนันตจักรวาล
เพื่อกลับคืนบ้านเกิดของจิตวิญญาณที่จากมา

เราขอย้ำว่า
จิตหยาบต้องส่งจิตวิญญาณ
ให้หลุดพ้นกลับบ้านยังแดนสุญตา
ไปกราบพระบิดาหรือองค์จิตจักรวาลให้ทัน
ก่อนการชำระโลกคาบสุดท้ายเพื่อเปลี่ยนยุค
ในช่วง 56 วัน หรือ 8 ราตรีในอนาคตอันใกล้

สำหรับคำว่า "ยุคพลังงานเก่า" จึงหมายถึง
จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านรุ่นนี้นี่แหละ
ที่เดินทางเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์กันในหกหมื่นปี
มาช่วยกันผลิตสร้างพลังงานความรักความเมตตา
โดยใช้ "จิตหยาบ" กับอายตนะทั้ง 6 และสมอง
ร่วมกันสั่นสะเทือน "ขันธ์ 5" หมุนธรรมจักรให้ได้
ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงล้มเหลวอยู่จนกระทังบัดนี้

เมื่อสิ้นยุคพลังงานเก่าคือหมดเวลาแล้ว
จิตวิญญาณแก่นแท้ของพวกท่านจักต้องวางมือ
แล้วเดินทางกลับออกไปจากระบบโลกกันให้หมด
ยกเว้นผู้มีหน้าที่ส่งไม้ต่อให้กับจิตวิญญาณรุ่นใหม่
ยังจะได้รับโอกาสให้รอดข้ามสู่ยุคหน้าต่อไปได้
ยุคหน้าคือ "ยุคพลังงานใหม่" โดยจิตวิญญาณใหม่
ซึ่งจะเดินทางเข้ามาทำหน้าที่แทนนั่นเอง

ดังนั้น
ถ้าท่านทั้งหลายรู้ความจริงนี้แล้ว
ท่านต้องรีบฝึกฝนตนเอง "หมุนธรรมจักร"
ด้วยความรักและปัญญา
ในกระบวนการของ "ขันธ์ 5" ที่สัตว์ยังทำได้
และพี่พลียะเดี้ยนส์บรรพบุรุษของมนุษย์
ก็เคยทำสำเร็จจนหลุดพ้นกลับดาวลูกไก่ได้ด้วย

นับพันปีที่ผ่านมา
พวกท่านเสียเวลาไปกับการหลับตา
ก้าวเดินตามคนนำทางตาบอดกันมาตลอด
เพราะเข้าใจผิดเรื่องขันธ์ 5 ว่า
เป็นที่มาแห่งอัตตาตัวตนของตน
จนนำมาสู่ผลอันไม่พึงประสงค์ก็คือ "ทุกข์"

เพราะยังหลงทุกข์หลงอัตตาจึงเข้าใจผิดว่า
จิตวิญญาณของตนไม่น่ามาเกิดเป็นมนุษย์
จึงพยายามหาหนทางหยุดการมีภพชาติ
โดยประกาศปฏิเสธการมีสังสารวัฏ
ทั้งๆที่สังสารวัฏเป็นโอกาสของจิตวิญญาณ
ได้เซ็ทซีโร่หยุดความล้มเหลวเพื่อเริ่มต้นใหม่
ก่อนจิตวิญญาณจะป่วยหนักจนลงนรกก็ไม่หาย

เพราะยังหลงผิดคิดว่า
การดับทุกข์ได้เป็นการดับอัตตาของตนได้
อันหมายถึงจิตวิญญาณของตนดับสูญแล้ว
ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องของจิตหยาบเท่านั้นเอง
ที่ดับทุกข์อันเกิดจากกิเลสตัณหาราคะได้
แต่ก็ยังเข้าถึงธรรมจักรในตนเองไม่ได้เลย

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ธรรมจักรจึงมิใช่ผืนธงสัญลักษณ์ของศาสนา
แต่ธรรมจักรเป็นกระบวนการของขันธ์ 5
ที่จิตหยาบจักต้องสั่นสะเทือนมันทางด้านบวก
ด้วยการรักได้ ให้อภัยเป็น ไม่เห็นแก่ตัว
ในการแสดงออกหรือกระทำต่อเพื่อนร่วมโลก
ไม่ว่าพวกเขาจะกระทำดีหรือชั่วต่อท่านก็ตาม

จงรีบล้าง Mind Set ที่ไม่ถูกต้องตรงจริง
ซึ่งฝังอยู่ในสัญญาขันธ์ของท่านมานานปี
ออกไปจากขันธ์ใบนี้ให้สิ้นโดยไวเถิด
แล้วก้าวตามมรรควิถีจิตจักรวาลด้วยการลืมตา
โดยไม่หลับหูหลับตาก้าวเดินกันอีกต่อไป
เรานำแสงสว่างมามอบให้ท่านแล้ว
ถ้าท่านยังหลับตาอยู่จะแลเห็นแสงสว่าง
ที่เรานำมาฝากพวกท่านได้อย่างไร

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดา

ถ้าท่านยังหลับตาเดินอยู่

จะแลเห็นแสงสว่าง

ที่เรานำมาส่องทางให้ท่าน

ก้าวเดินตามได้อย่างไร


เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
3/08/2021