05 พฤศจิกายน 2561

เรามาในโลกนี้เพื่อพิพากษา คนที่มองไม่เห็นจะได้มองเห็น ส่วนคนที่มองเห็น จะกลายเป็นคนตาบอด




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พระเยซูเจ้าตรัสว่า

"เรามาในโลกนี้เพื่อพิพากษา
คนที่มองไม่เห็นจะได้มองเห็
ส่วนคนที่มองเห็น
จะกลายเป็นคนตาบอด"

เรากลับมาครั้งนี้
ก็เพื่อยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า
ที่ทรงตรัสไว้ข้างต้นนั้นเป็นความจริง

1.ประโยคที่ว่า "การมาในโลกนี้"
หมายถึง การที่พระจิตวิญญาณบริสุทธิ
ทรงเสด็จลงมาจากแดน #จิตจักรวาล
แล้วข้ามมิติเข้ามายังแดน #อนันตจักรวาล
สู่การจุติเป็น "บุตรมนุษย์" บนโลกเสรีนี้
ตามพระบัญชาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
เพื่อเข้ามาทำหน้าที่กล่าวพระโอวาท
ต่อพี่ๆน้องๆทั้งหลายบนโลกเสรีนี้
ในพระนามพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ด้วยบทบาทของ "พระบุตรเอก"

โดยพระโอวาทที่ทรงตรัสไว้ทั้งหลายนั้น
ล้วนสื่อถ่ายทอดสดเป็นคลื่นการคิด
มาจากดินแดนจิตจักรวาล
อันเป็นพระอาณาจักรแห่งพระเจ้า
ที่อยู่ภายนอกอนันตจักรวาล
ซึ่งสัจธรรมที่ทรงสื่อถ่ายทอดลงมาให้นั้น
เป็นสัจธรรมความจริงที่จริงแท้
ที่คนนำทางผู้เป็นคนของโลกทั้งหลาย
ไม่สามารถใช้จิตปัญญาของสมองสองซีก
ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
เข้าถึงความจริงเหล่านี้เองได้

เช่น ความรู้ที่เป็นสัจธรรมความจริง
ดังต่อไปนี้ คือ

 - จิตวิญญาณของตนเป็นใคร
 - มาจากไหน
 - มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม
 - มีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง
เป็นต้น

ซึ่งพระบิดาทรงจัดสัจธรรมเหล่านี้ไว้
ในหมวดของสัจธรรมชั้นสูงสุด
ที่เรียกว่า #อนุตรธรรม

พระบิดาจึงต้องแต่งตั้งให้ "พระบุตรเอก"
แบ่งภาคลงมาจุติเป็นพระศาสด
เพื่อเข้ามากล่าวพระโอวาท
ประกาศสัจธรรม
ในหมวดที่พระศาสดาของโลกเอง
มิอาจเข้าถึงด้วยการเรียนรู้กันเองได้

ดังเช่นสัจธรรมในระดับ #โลกิยธรรม
ที่สามารถใช้สมองซีกซ้าย
วิเคราะห์เอาเองได้
และสัจธรรมในระดับ #โลกุตรธรรม
ที่สามารถใช้สมองซีกขวา
สังเคราะห์เอาเองได้

เพราะสมองมนุษย์มีเพียงสองซีก
มนุษย์จึงไม่มีสมองส่วนใด
ที่สามารถเข้าถึง
ความจริงในระดับอนุตรธรรมได้อีก

ดังนั้น

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
หรือพระผู้เป็นเจ้า
จึงต้องส่งพระบุตรเอก
เข้ามาจุติในระบบโลก

เพื่อนำเอา "อนุตรธรรม" มาบอกกล่าว
ช่วยนำเอามาเติมเต็มสัจธรรม
ที่พระศาสดาผู้มาจากโลกเอง
มิอาจเข้าถึงได้ดังกล่าวแล้

ด้วยเหตุนี้เอง
พระบุตรเอกทั้งหลาย
เช่น พระเยซูเจ้า
กับพระศาสดาที่มาจากโลกทุกรูปธรรม
จึงต่างล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งสิ้น
มิใช่ศัตรูคู่แข่งขัน
มิได้แย่งกันเป็นพระศาสดา
มิได้แย่งกันล่าสาวก
อย่างการคิดแบบจิตมนุษย์แต่อย่างใด

2.ประโยคที่พระเยซูตรัสว่า
"พิพากษาคนที่มองไม่เห็น
จะได้มองเห็น" นั้นความหมายคือ

พระองค์เสด็จมาเพื่อที่จะช่วยเหลือ
พี่ๆน้องๆที่เป็นมนุษย์ที่ขาดพร่อง
ทั้งภูมิรู้ ภูมิธรรม และภูมิปัญญา
โดยไม่รู้ว่ายังมีสิ่งใดที่ตนไม่รู้ว่าไม่รู้
ทั้งๆที่ตนจะต้องรู้อยู่อีกบ้าง

ยังมีความรู้ใดที่มนุษย์รู้อยู่เชื่ออยู่
แต่เป็นภูมิรู้ ภูมิธรรม ที่ไม่ถูกต้อง
แต่เป็นความเชื่อไม่เชื่อที่งมงายอยู่
ให้ได้รู้กระจ่างสว่างในกมลกันถ้วนทั่ว

ดังนั้น
การเปลี่ยนคนที่ไม่รู้จริงไม่รู้แจ้ง
ให้บังเกิดการรู้จริงรู้แจ้งขึ้นมาได้
โดยเด็ดขาดกันอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้
จึงไม่ต่างจากการช่วยเหลือให้
"คนตาบอด" กลับมา "มองเห็น"
กลายเป็นคนตาดีได้นั่นเอง

3.ประโยคที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า
"ส่วนคนที่มองเห็น
จะกลายเป็นคนตาบอด" นั้น
ทรงหมายความว่า

เมื่อพระองค์ทรงช่วยให้คนที่ไม่รู้
ได้รู้กระจ่างสว่างกมล
ในความจริงที่จริงแท้ทั้งหมดทั้งสิ้น
ดั่งคนตาดีที่สามารถมองเห็นได้แล้ว

นั่นเท่ากับว่า
การเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรี
ของประดาจิตวิญญาณทั้งหลาย
เพื่อเข้ามาเรียนรู้บทเรียนโลกนั้น
ก็เป็นอันสิ้นสุดหลักสูตรการเรียนรู้
เพราะได้เรียนรู้ทุกสิ่งอย่าง
อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

กล่าวคือ
ได้เรียนรู้ทั้งโลกิยะธรรมและโลกุตรธรรม
ที่ประดาคนนำทางซึ่งเป็นคนของโลกเอง
ได้พยายามบอกกล่าวเล่าสอนสืบมา
รวมทั้งได้เรียนรู้อนุตรธรรมทั้งหมด
ที่พระศาสดาซึ่งเป็นพระบุตรเอก
ที่พระบิดาหรือพระเจ้าทรงแต่งตั้งเข้ามา
จึงยังผลให้มนุษย์เกิดอาการ #ตาสว่าง
จนสามารถมองเห็นอะไรๆได้อย่างชัดแจ้ง

ส่วนคำกล่าวที่ว่า
"คนที่มองเห็นจะกลายเป็นคนตาบอด"
พระองค์ทรงหมายความว่า

เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย
ได้เรียนรู้ทุกสิ่งจนหมดสิ้นแล้วว่า
อะไรเป็นอะไรอย่างไรแล้ว
มนุษย์ก็ไม่จำเป็นจะต้องเรียนรู้อะไรอีก
ไม่จำเป็นจะต้องอยากรู้อยากเห็นอีก
ซึ่งหมายถึง "คนตาบอด" โดยแท้

เมื่อทรงช่วยให้มองเห็นแล้ว
จะกลายเป็นคนตาบอดก็เพราะเหตุนี้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
น่าเสียดายยิ่งนักที่ยังมีมนุษย์หลายคน
มีมิจฉาทิฐิดื้อรั้นสูง

โดยยึดติดพระศาสดา
ที่เป็นของโลกเพียงพระองค์เดียว
เพราะเชื่อว่าครูคนเดียว
สอนให้นักเรียนฉลาด เก่ง และดีได้

ยึดติดพระคัมภีร์ธรรมเล่มเดียว
เพราะเชื่อว่าคัมภีร์เล่มเดียว
สามารถบรรจุสัจธรรมความรู้
ทั้งจักรวาลได้

ดังนั้น

มนุษย์ส่วนใหญ่
จึงกล่าวก้าวล่วงจ้วงจาบพระศาสดา
ที่ตนเองไม่ยอมรับนับถือ

มนุษย์ใจบาปบางพวก
จึงก่อกรรมทำร้ายศาสนาอื่นๆ
เพื่อให้ศาสนาที่ตนเลือกสูงเด่นขึ้น

มนุษย์ส่วนใหญ่
จึงไม่ใจกว้างรับฟังธรรมะจากศาสดาอื่น
ไม่ยอมศึกษาพระธรรมจากศาสนาอื่น

มนุษย์บางพวก
กลับสนใจแต่พิธีกรรมต่างๆ
ที่เป็นอวิชชา
เพราะเข้าถึงแก่นแท้สัจธรรมไม่ได้

มนุษย์ส่วนใหญ่จึงไม่เคยฉุกคิดว่า
ทำไมตนเองปฏิบัติบำเพ็ญมายาวนาน
แล้วทำไมยังหลุดพ้น
หรือนิพพานไม่ได้

ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อพวกเขารู้จักเราแต่ก็ไม่ยอมแลมา
เมื่อพวกเขาแลเห็นเราแต่เขาก็ไม่ใส่ใจ

เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเรา
แต่พวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะรับฟัง

กราบพระบาทพระบิดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-11-2018

06 กันยายน 2561

คำสอน 6/09/2018

 

สิ่งกวนใจ สอนให้คุณอดทน
การถูกทอดทิ้ง สอนให้คุณเข้มแข็ง
ความโกรธ สอนให้คุณให้อภัย
ความเกลียด สอนให้คุณ
รักอย่างไร้เงื่อนไข
ความกลัว สอนให้คุณกล้าหาญ

สิ่งที่ควบคุมไม่ได้
สอนให้คุณ...ปล่อยวาง

23 พฤษภาคม 2561

คำสอน 23/05/2018

 

แม้บางคนจะปฏิเสธท่าน
เพราะพระนามจิตจักรวาล

แต่ท่านที่ศรัทธาต่อพระองค์
มั่นคงในการก้าวตามเราไปให้ถึงที่สุด
จะไม่มีภัยพิบัติใดช่วงชิงท่านไป
จากพระหัตถ์ของพระบิดาได้

19 เมษายน 2561

สัตว์ประจำโลก

ตอบคำถาม: สาธิกา นวด

#Question:
เรียน ท่านอาจารย์ครับ..
ขอเรียนถามว่า.. 

1. สัตว์ประจำโลกทั้งหลาย
ที่ไม่มีหน้าที่ที่จะทำนิพพาน
จิตวิญญาณของสัตว์ประจำโลกนั้น 
จะต้องแบ่งภาคจิตวิญญาณ
ออกมาเป็นจิตหยาบ
ทำหน้าที่ควบคุมเครื่องยนตร์แห่งกรรม
เหมือนมนุษย์หรือไม่ ?

2. คุณสมบัติของจิตวิญญาณ
แก่นแท้ของสัตว์ประจำโลก 
กับจิตวิญญาณแก่นแท้ของมนุษย์นั้น 
เหมือนกัน หรือ มีคุณสมบัติเทียบเท่ากัน
กับจิตวิญญาณของมนุษย์หรือไม่ ?

ขอบพระคุณครับ

#Answer:
1.เพราะสัตว์ประจำโลก
มิได้มีหน้าที่ทำสามเหลี่ยมกับพระบิดา
พวกเขาจึงแค่มีเพียงลำตัวขนานพื้น
โดยศีรษะจะยื่นไปข้างหน้าเท่านั้น

ผิดกับมนุษย์โลกในสภาวะปกติ
มีหน้าที่ต้องทำสามเหลี่ยมกับพระบิดา
พระองค์จึงทรงกำหนดสร้างให้
มีลำตัวตั้งฉากกับพื้นเสมอ
ยกเว้นตอนนอนหลับพักผ่อนเท่านั้น
ลำตัวจึงจะขนานกับพื้น

การที่พระองค์ทรงกำหนดให้
"สัตว์ประจำโลก" มีลำตัวขนานพื้น
ก็เพราะว่าพวกเขาไม่ต้องนิพพาน
หมายถึงเมื่อสัตว์นั้นๆตาย
จิตวิญญาณพวกเขาก็ไม่ต้องกลับบ้าน
ไม่ต้องกลับคืนไปหาพระบิดา
เพราะว่าต้องย้อนมาเกิดเป็นสัตว์นั้นอีก
พวกเขาจึงมีแต่สัญชาตญาณ
ที่ควบคุมกำกับการโดยจิตวิญญาณ
เพื่อการดำเนินชีวิตเท่านั้น

ขณะที่มนุษย์เมื่อตายแล้ว
มีหน้าที่นำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน
ต้องกลับไปกราบพระบาทพระบิดา
ศีรษะที่มีจิตวิญญาณสถิตย์ประทับอยู่
จึงต้องตั้งฉากยกสูงขึ้นสู่ฟ้า
เพื่อเชื่อมโยงกับพระบิดา
ทำสามเหลี่ยมทางจิตวิญญาณกับพระองค์

แต่เนื่องจากว่าตั้งแต่เด็ก
จนกว่ามนุษย์คนนั้นจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่
จิตวิญญาณที่มาเกิดใหม่ในแต่ละคน
จักต้องผ่านการเรียนรู้ที่จะใช้จิตปัญญา
ในบริบทของมนุษย์กันค่อนข้างยาวนาน

ซึ่งบทเรียนและบททดสอบที่ต้องเผชิญ
ในชีวิตประจำวันของแต่ละคนนั้น
มันมีทั้งบทดีและบทร้ายมากมาย
ถ้าให้จิตวิญญาณผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์เอง
โอกาสเสี่ยงที่จะทำให้จิตวิญญาณป่วย
ด้วยอาการหลงมิติคือสั่นสะเทือนผิดความถี่
ไปเป็นคลื่นหยาบๆแทนคลื่นบวกสูงสุด
จักมีความเป็นไปได้สูงยิ่ง

ด้วยเหตุที่พระบิดาทรงรักและห่วงใย
จิตวิญญาณมนุษย์บุตรของพระองค์ว่า
จะไม่สามารถคืนกลับบ้านคือนิพพานได้
ถ้าจิตวิญญาณป่วยด้วยอาการหลงมิตินี่แหละ
จึงทรงอนุญาตให้จิตวิญญาณแก่นแท้
แบ่งภาคตนเองออกมาเป็นจิตมนุษย์
ที่พวกท่านเรียกว่า "จิตหยาบ" 
เพื่อให้ทำหน้าที่แทนในการเผชิญหน้า
กับบทดสอบและบทเรียนโลกทั้งหลาย
เพื่อปกป้องพระจิตวิญญาณไว้ก่อน

เพราะเหตุนี้เอง
มนุษย์ทุกคนจึงต้องมีทั้งจิตหยาบ
และจิตวิญญาณผู้เป็นตัวตนแก่นแท้
ทำหน้าที่ร่วมกันในบทบาท #คนสองมิติ
ขณะที่สัตว์ประจำโลกไม่จำเป็นต้องมี

Answer:
2.คุณสมบัติของจิตวิญญาณมนุษย์
กับคุณสมบัติของจิตวิญญาณสัตว์นั้น
เหมือนกันและต่างกันหลายประการ 
ที่้เหมือนๆกันก็คือ

เป็นกล่องพลังงาน
ที่มีรูปธรรมเป็น 6 เหลี่ยมมุมเช่นกัน

เป็นกล่องพลังงาน
ที่ต้องเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองตลอดเวลา
เพื่อรักษาสมดุลของตนเองเอาไว้

เป็นกล่องพลังงาน
ที่ภายในมีคลื่นความถี่หลายๆย่านความถี่
สั่นสะเทือนลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่
อย่างลงตัวกันตลอด
เพื่อสร้างพลังอำนาจในตนเองไว้เสมอ

ส่วนคุณสมบัติด้านที่ต่างกันก็คือ
จิตวิญญาณมนุษย์สามารถผลิตสร้าง
พลังแห่งความรักที่เป็นคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก
ได้ในปริมาณมากไม่มีอั้น
เพราะมีจิตหยาบเป็นอิสระในการขับเคลื่อน

พลังงานบวกคือความรักจากจิตหยาบ
ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้จิตวิญญาณ
ผลิตสร้างพลังงานไฟฟ้าด้านบวกนั้น
จะแปรตามแรงสั่นสะเทือนด้านบวก
ของจิตหยาบเมื่อเผชิญกับ
บททดสอบจิตสำนึกนั้นๆเป็นสำคัญ
มันจึงมีค่าไม่คงที่

ซึ่งสัตว์ประจำโลกทั้งหลาย
เขาจะรักกันได้ด้วยสัญชาตญาณ
ซึ่งเป็นคุณสมบัติทางจิตวิญญาณได้อยู่แล้ว
พลังงานด้านบวกที่เขามอบให้โลก
จึงเป็นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวก
ที่มีค่าคงที่เท่ากันตลอดเวลา

ดังนั้น
เราจึงขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

สัตว์ประจำโลกมาเกิดบนโลกก่อนมนุษย์
พวกเขาเป็นจิตวิญญาณพี่ๆน้องๆของท่าน
ซึ่งมีพระบิดาผู้ให้กำเนิดพระองค์เดียวกัน

เข้ามาเกิดบนโลกเสรีนี้จากที่เดียวกัน
เข้ามาทำหน้าที่รักกันและรักโลก
เพื่อช่วยกันใช้จิตวิญญาณของพวกเขา
ผลิตสร้างพลังงานความรักให้โลก
เช่นเดียวกันกับมนุษย์อย่างพวกท่าน

เหตุที่พระบิดา
ยังต้องส่งพวกท่านมาเกิดเป็นมนุษย์
ก็เพราะน้ำหนักมวลบนโลกมากขึ้น
ลำพังสัตว์ด้วยกันมีความรักให้โลกไม่พอ
ทำให้โลกเหวี่ยงหมุนได้ไม่สมดุล
จึงต้องส่งจิตวิญญาณพวกท่านมาเกิด
เพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดนั่นแหละ

พวกท่านที่มาเกิดเป็นมนุษย์
เมื่อคิดถึงพระบิดาก็สามารถกลับบ้านได้
แต่สัตว์ทั้งหลายไม่มีโอกาสกลับ
แม้จะคิดถึงพระบิดาแห่งตนมากเพียงใด
เพราะขันอาสาว่าจะมาเป็นสัตว์ประจำโลก

ดังนั้น
จงอย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตพวกเขาเลย
อย่าเบียดเบียนรังแกข่มเหงพวกเขาเลย
พวกเขาด้อยโอกาสและฉลาดน้อยกว่า
พวกเขาจึงเป็นสัตว์ที่ท่านสมควรมีเมตตา
มากกว่าจะเข่นฆ่าไล่ล่ามาแกงกิน

ที่สำคัญคือพวกเขาเป็นพี่ๆน้องๆของท่าน
มีพ่อผู้ให้กำเนิดพระองค์เดียวกัน
พวกท่านยังจะทำร้ายกันเองกันอีกทำไม
อย่าใจดำอำมหิตคิดร้ายต่อกันอีกเลย

พระบิดาทรงเสียพระทัยมาก
ที่ทรงเห็นลูกๆอย่างพวกท่าน
เพียงมีกายสังขารแตกต่างกันเท่านั้น
ก็ห้ำหั่นบั่นคอเอาเลือดเนื้อมากินกันได้แล้ว
โดยอ้างว่าพวกเขาเกิดมา
เพื่อจะเป็นอาหารของพวกท่าน

เราถามจริงๆเถอะ
สัตว์ตัวไหนที่มันบอกท่านเช่นนั้น
ท่านเคยได้ยินสัตว์ตัวไหนอนุญาต
เห็นดีเห็นงามให้ท่านฆ่าแกงพวกเขาบ้าง

ช้างม้าวัวควายตัวใหญ่กว่าท่าน
ทำงานหนักได้มากกว่าท่านที่เป็นมนุษย์
เขากินแต่ยอดไม้ใบหญ้าและธัญพืช
เขาก็แข็งแรงสดชื่นอายุยืนยาวได้
โดยไม่ต้องไล่ล่าฆ่าสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร
ใยพวกท่านกินเนื้อสัตว์กินโปรตีนมากมาย
จึงเจ็บป่วยด้วยร่างกายไม่แข็งแรงบ่อยๆ
แถมยังอายุสั้นอีกต่างหากด้วย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-04-2018

ส่วนโค้งลึกลับ







#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
#ส่วนโค้งบนฝั่งฟ้าเป็นมายาบอกอะไร

เนื่องจากในช่วงรอบเดือนที่ผ่านมา
ได้เกิดมีมายาบนท้องฟ้าอยู่อย่างหนึ่ง
เป็น #ส่วนโค้งลึกลับ (Mysterious Arc)
ปรากฏบนท้องฟ้าเวลากลางวัน
ในพิกัดพื้นที่หลายๆประเทศมาแล้ว
รวมทั้งในประเทศไทยเองด้วย

น่าเสียดายนัก
ที่คนส่วนใหญ่มิอาจแลเห็น Sign จากผู้สื่อ
เพราะยังมีค่านิยมในแบบสังคมก้มหน้า
และยังไม่รู้ด้วยว่าบนฝั่งฟ้าเหนือศีรษะนั้น
เป็นจอภาพมายาขนาดใหญ่ที่พระบิดาให้ใช้
เพื่อการสื่อสารกับท่านทั้งหลายด้วย

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เนื่องจากดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้
มีฝูงมอดปลวกมากมายหลายฝูง
แฝงตัวเข้ามาแอบทำรังกัดกินโลกกันอยู่

ทั้งพวกที่เข้ามาร่วมอยู่อาศัยเฉยๆ
ทั้งพวกที่เข้ามาแบบมิตรแท้
ทั้งพวกที่เข้ามาแบบศัตรูถาวร

ทั้งสามพวกที่กล่าวนี้ล้วนเป็นผู้บุกรุก
ในข้อหาทำผิดกฎกติกาของจักรวาล
ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

ทั้งสามพวกล้วนเป็นผู้มีส่วน
ในการสร้างความเสียสมดุลของระบบโลก
ที่มนุษย์เองเป็นต้นเหตุให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก
เช่น มาแย่งอากาศออกซิเจนหายใจ
มาแย่งน้ำธรรมชาติเอาไปกักเก็บไว้ใต้ดิน
เพื่อใช้อุปโภคบริโภคในกลุ่มของพวกตน
จนยังผลให้มนุษย์บนแผ่นดินโลกบางพื้นที่
ต้องร้อนแห้งแล้งและทุกข์ยากเพราะขาดน้ำ

นอกจากนั้น
ฝูงมอดบางกลุ่มก็ใช้ความเหนือกว่า
ในความก้าวหน้าด้านเท็คโนโลยี
ใช้ความเหนือกว่าในด้านพลังจิตและปัญญา
เข้าครอบงำชนชั้นผู้นำ
โดยใช้วิธีแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน
จึงยังผลให้ผู้นำที่โลภและขาดคุณธรรม
ตกเป็นทาสของมอดพวกนี้ไปในที่สุด

ส่วนฝูงมอดอีกบางกลุ่ม
ก็เลือกใช้มายาคล้ายๆกัน
ด้วยการแสดงให้เห็นว่า
พวกตนเป็นฝ่ายมิตรมิใช่ฝ่ายมาร
จึงเพียรพยายามทำทุกอย่างทุกวิถีทาง
เพื่อให้พวกตนดูดีมีค่าน่าคบ
ด้วยการหลอกบ้าง ลวงบ้าง ไรบ้าง

ถ้าเจ้าถิ่นเจ้าของแผ่นดินรู้ไม่ทันพวกมอด
ก็จะตกเป็นเครื่องมือหรือตกเป็นทาสไป
ซึ่งที่ผ่านมาที่ฟ้าแลเห็นนั้น
เจ้าของถิ่นแผ่นดินโลกเองนี่แหละ
เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียท่าพวกมอดมาตลอด

นอกจากกลุ่มพี่พลียะเดี้ยนส์แล้ว
ก็ไม่มีมอดฝูงไหนพวกใดหรอก
ที่พระบิดาจะทรงอนุญาตให้เข้ามาในระบบนี้
เพื่อทำหน้าที่ในพระนามแห่งพระองค์
ด้วยความชอบธรรมแท้จริง
ทั้งหมดคือมอดผู้บุกรุกทั้งนั้น

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะขอยกตัวอย่างให้ท่านรู้สักกรณีหนึ่งนะ

เช่น มีพวกมอดผู้ฉลาดกลุ่มหนึ่ง
ขณะนี้กำลังพยายามสร้างลัทธิของตนขึ้นมา
ด้วยการขายความรู้ความลับของจักรวาล
เพื่อสนองความอยากรู้ของมนุษย์โลกเสรี
ที่มิอาจเข้าถึงความจริงของจักรวาลได้
อันเป็นวิธีการสร้างสาวกให้พวกตน
โดยแลกกับข้อมูลความรู้จริงมั่งเท็จมั่ง
ที่มนุษย์โลกอยากรู้อยากเห็นนั่นล่ะ

มีความรู้อยู่เรื่องหนึ่งที่พวกนี้นำเสนอ
คือ เรื่องโลกเสรีนี้ "แบน" ไม่ได้กลมอย่างที่เชื่อ
ทั้งๆที่ NASA เองก็ยืนยันว่าโลกกลม
ทั้งๆที่โลกมีข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์
เพราะดวงจันทร์โคจรรอบโลกและโลกกลม

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
ถ้าพวกท่านไม่รู้จักใช้ปัญญา
ท่านก็จะโง่กว่าคนอื่น
ท่านก็จะถูกหลอกให้เชื่อ
ท่านก็จะตกเป็นเหยื่อคนชั่วที่ฉลาดกว่า

เราจึงชวนท่านไปติดอาวุธทางปัญญา
ด้วยกระบวนการไซโคโชว์ที่ภูกระต่าย
อยู่เป็นประจำทุกเดือนๆละ 2 วัน 1 คืน
เพื่อยกระดับจิตและปัญญา
เพื่อพัฒนาจิตสามนึกกันนั่นเอง

พวกท่านจะดูแลโลกตนเอง
ให้ปลอดภัยมิได้หรอก
ตราบใดที่ท่านยังขาดปัญญา
จนไม่สามารถปกป้องตนเองได้อยู่เลย

ดังนั้น
เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้รู้ความจริงว่า
ความรู้ที่ถูกต้องก็คือ #โลกกลม 
โลกมิได้แบนอย่างที่มอดกล่าวอ้างแต่อย่างใด
พี่พลียะเดี้ยนส์จึงใช้วิธีส่งรหัสผ่านม่านฟ้า
เพื่อยืนยันมาให้พวกท่านรับรู้และเรียนรู้ไว้
ด้วยภาพ #ส่วนโค้งลึกลับ (Mysterious Arc)
ที่ปรากฏให้เห็นหลายๆแห่งมาแล้วทั่วโลก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17-04-2018

12 เมษายน 2561

จิตวิญญาณถูกจองจำ



#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ทำไมคนที่ตายเพราะอุบัติเหตุ
ทำไมคนที่ฆ่าตัวตายหรือถูกฆ่า

จิตวิญญาณของพวกเขาเหล่านี้
จึงต้องทุกข์ทรมานดั่งถูกจองจำ
สิ้นชีวิตตรงไหนก็ถูกจองจำอยู่ที่นั่น
สาเหตุสำคัญที่มันต้องเป็นเช่นนั้นก็คือ

1.จิตวิญญาณขาดแสงสว่าง
พวกเขาจึงตกอยู่ในท่ามกลางความมืด
จิตวิญญาณจึงมองไม่เห็นอะไรเลย
เสียชีวิตอยู่ตรงไหนจึงต้องอยู่ตรงนั้น
เพราะไม่รู้จะไปทิศทางไหนได้

สาเหตุที่จิตวิญญาณไร้แสงสว่าง
เพราะบริเวณรอบนอกของกล่องพลังงาน
มีอนุภาค #บุรพกรรมแม่เหล็ก
ซึ่งเปรียบเสมือนละอองฝุ่นธุลี
มาสะสมอยู่มากมายเต็มไปหมด
จนแสงสว่างจากข้างใน
ไม่สามารถส่องลอดออกมาได้

อนุภาคบุรพกรรมแม่เหล็กดั่งฝุ่นธุลีนี้
เป็นจำนวนมวลของผลกรรมทั้งหมด
อันเกิดจากการกระทำผิดบาปสะสม
ต่อจิตวิญญาณแก่นแท้ของตนเอง
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาจนกระทั่งวันตาย

บุรพกรรมแม่เหล็กจักเกิดขึ้นทันที
เมื่อจิตของท่านสั่นสะเทือนเป็นลบ
เพราะรักไม่ได้ ให้ไม่เป็น เห็นแก่ตัว
เพราะอิจฉาริษยาคนอื่นที่เขาดีกว่า
เพราะการมองโลกในแง่ร้าย
เพราะการคิดลบต่อบุคคลอื่นๆ
เพราะการก้าวล่วงผู้อื่นด้วยจิตที่เขาไม่รู้
เพราะทำผิดบาปที่ผู้อื่นรู้แต่เขาอภัยให้
ฯลฯ

พฤติกรรมทางจิตหรือมโนกรรมด้านลบนี้
ส่วนมากจะเกิดขึ้นจะแสดงออกเป็นประจำ
จนกลายเป็นคุณสมบัติของท่านไป
ซึ่งอนุภาคบุรพกรรมแม่เหล็กด้านลบนี้
พวกท่านเรียกมันว่า #สันดาน นั่นเอง

2.เพราะเมอร์คขะบาห์ไร้พลัง
จึงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเคลื่อนที่ไปไหนได้
ตายตรงไหนก็ต้องอยู่มันตรงนั้น
จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องไป
หากตายก่อนสิ้นอายุขัยจริงก็รอนอนหน่อย

หรือต้องรอจนกว่า
จะมีผู้นำพาหรือนำทาง
มาจูงไปพักแรมระหว่างชาติภพชั่วคราว

หรือต้องรอจนกว่า
พระยายมจะส่งผู้นำพามารับตัวไป
ตามกำหนดวันเวลาสิ้นอายุขัยจริงนั่นแหละ

การที่จิตวิญญาณนั้นไร้พลัง
เพราะเมอร์คขะบาห์ไม่มีเรี่ยวแรง
มีหลายสาเหตุด้วยกัน
ตัวอย่างเช่น

ตอนเป็นมนุษย์
สภาวะจิตติดอยู่กับกิเลสตัณหาราคะ
แรงสั่นสะเทือนทางจิตด้านบวก
ไม่เคยถูกกระตุ้นให้สั่นสะเทือนเลย
เพราะไม่รู้จักสร้างบุญสร้างกุศลจนปิติ
เพราะไม่เคยรักผู้อื่นโดยรักเพื่อให้
เพราะจิตใจสั่นสะเทือนเป็นอารมณ์ขยะบ่อย

นอกจากนั้น
ชอบกระทำอุตริต่อจิตวิญญาณตนเอง
ด้วยการหลอกใช้พลังทางวิญญาณที่ตนมี
เพื่อแสดงอุตริเหนือมนุษย์คนอื่นๆ
เช่น เป็นจอมขมังเวทย์ 
เป็นเจ้าลัทธิแห่งมายาอวิชชา
เป็นผู้หาประโยชน์จากจิตวิญญาณตนเอง
แทนการสั่นสะเทือนที่จิตสามนึก

บทบาทการดำเนินชีวิตแบบที่ว่านี้
มีแต่จะทำให้พลังจิตวิญญาณเสื่อมถอย
พลังงานส่วนเมอร์คขะบาห์
ซึ่งเป็นพาหนะของจิตวิญญาณของคนตาย
จึงอ่อนแอไร้พลังงานดั่งคนป่วย
คิดจะไปไหนมาไหนก็อืดอาดอุ้ยอ้าย
คล้ายดั่งคนอ้วนพีที่ไม่มีแรงขานั่นล่ะ

สาเหตุสำคัญ 2 ประการนี้เอง
จึงทำให้เกิดศาลเพียงตาศาลาพักร่ม
สำหรับจิตวิญญาณที่ตายลักษณะดังกล่าวนี้
โดยเครือญาติผู้ตายช่วยจัดหาให้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ตั้งแต่อายุ 3 ขวบขึ้นไป
พวกท่านทุกคนก็สามารถสร้างกรรมชั่วได้
จึงต้องอบรมสั่งสอนบุตรหลานของท่าน
ให้มีสำนึกดีให้มีจิตใสใจสวยไว้
สอนให้เด็กใช้ปัญญาแทนการใช้อารมณ์
ด้วยการเน้นที่เหตุผลและวิธีคิด

คำว่า #จำไว้นะทีหลังอย่าทำ 
ประโยคนี้อย่าใช้พร่ำเพรื่อเด็ดขาด
เพราะมันเป็นการสอนให้เด็กโง่
เป็นการสอนให้เชื่อตามทำตามที่สั่งเท่านั้น
ถ้าสอนแบบนี้เด็กๆจะโตขึ้นมาโดยไม่รู้จักคิด
พวกเขาจะคิดไม่เป็นทั้งๆที่มีสมองดีอยู่

ถ้าพวกท่านฉลาดใช้ปัญญาและอารมณ์ได้
จิตของท่านจะไม่สามารถทำผิดบาป
ต่อจิตวิญญาณของท่านเองได้เลย

ความฉลาดทางจิตปัญญา
วัดกันที่ตัวท่านนั้นสามารถ
รักได้ให้อภัยเป็น
ได้ดีและมากน้อยแค่ไหน

ถ้าท่านสามารถลดละเลิก
การสร้างสมบุรพกรรมแม่เหล็ก
ไม่ให้เป็นปัญหาของจิตวิญญาณท่าน
ตั้งแต่สามขวบจนสิ้นอายุขัยได้
ก็นับว่าประเสริฐแท้...เลยเชียว

เอมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
12-04-2018

11 เมษายน 2561

คำสอน 11/04/2018


 จงอย่าเป็นคนขี้ใจน้อย
จงอย่าปล่อยให้ใจของท่านเร็ว
จงอย่าปล่อยปากให้พูดพล่อย
จงอย่าปล่อยหูให้คอยฟังไม่เลือก
จงอย่าปล่อยตาให้แส่เสือกเรื่องผู้อื่น

เพราะท่านทั้งหลายอยู่เบื้องพระพักตร์พระบิดา
พระองค์จะทรงทราบว่าท่านหมุนธรรมจักรได้แล้ว

20 มีนาคม 2561

บทบาทนักสู้เพื่อการให้รู้แจ้ง


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าฆราวาสในบทบาทนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง
จะก้าวหน้าไปสู่ความสำเร็จได้

1 ใน 3 สิ่ง 
ที่ท่านจะต้องมีเป็นคุณสมบัติไว้
นั่นคือ #ความกล้าหาญ 

ความกล้าหาญในที่นี้นักสู้ทุกคนต้องมีไว้
เพื่อต่อสู้กับตนเองมิใช่ต่อสู้กับผู้อื่น
เป็นการต่อสู้เพื่อเอาชนะมันให้ได้
โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ "#การรู้แจ้ง"

ท่านนักสู้ทั้งหลายลองนึกดูก็ได้ว่า
กว่าท่านจะบรรลุการรู้แจ้งได้ในแต่ละเรื่องนั้น
ท่านจะต้องผ่าน #การเรียนรู้ อะไรไปมากเท่าใด
ท่านจะต้องใช้ "#เวลา" เพื่อเรียนรู้ไปมากแค่ไหน

บนเส้นทางการเรียนรู้ของท่านนั้น
ท่านต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นเงื่อนไข
ทั้งยากและง่ายมากมายแค่ไหน
ท่านต้องเผชิญกับอุปสรรคปัญหา
ทั้งภายนอกภายในที่ลึกซึ้งซับซ้อนปานใด

โดยอุปสรรคปัญหาต่างๆบนเส้นทางการเรียนรู้
ที่ท่านต้องเผชิญจนกว่าจะเข้าถึงการรู้แจ้งได้นั้น
มันต้องอาศัย "ความกล้าหาญ" เป็นพลัง
ขับเคลื่อน "ความรักและปัญญา" สถานเดียว

ดังนั้น
ท่านทั้งหลายจึงต้องทำความเข้าใจ
ในเรื่องของความกล้าหาญเอาไว้ด้วย
เพื่อเรียนรู้ให้ได้รู้กันด้วยว่า

1.ความกล้าหาญ คือ อะไร
2.นักสู้เพื่อการรู้แจ้งต้องใช้ความกล้าหาญ
เพื่อเป้าประสงค์อันใดบ้าง

3.ท่านต้องใช้ความกล้าหาญนั้น
แค่ไหนอย่างไรบ้าง

ทั้งนี้เพื่อจะช่วยให้ท่าน
ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ให้รู้แจ้ง
ในทุกสิ่งที่ต้องการโดยแท้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
สิ่งที่เรียกว่า "ความกล้าหาญ" นี้
เป็นขุมพลังแห่งความกล้า
ซึ่งเร้นอยู่ภายในจิตใจท่าน
อันประกอบด้วยความกล้าทั้ง 8 คือ

1.กล้าคิด
2.กล้าริเริ่ม
3.กล้าแสดงออก
4.กล้าลงมือทำ
5.กล้ารับผิดชอบ
6.กล้าเผชิญหน้า
7.กล้าที่จะยอมรับ
8.กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

ที่เราบอกท่านว่า
นักสู้เพื่อการรู้แจ้งในทุกสิ่งที่ต้องการเรียนรู้
จักต้องมีคุณสมบัติแห่งความกล้าทั้ง 8 นี้
เพราะมันสามารถใช้ฝ่าฟันอุปสรรคปัญหา
ทั้งภายนอกและภายในจิตใจท่านได้ดียิ่ง

ถ้าท่านไม่กล้าคิด
การเรียนรู้ก็จุดประกายให้เกิดขึ้นไม่ได้
แต่ถ้าท่านคิดแล้วไม่กล้าริเริ่มเรียนรู้ต่อ
เพราะมัวแต่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะ
เพราะกลัวว่าเรียนรู้ไปก็ไม่เกิดประโยชน์
กระบวนการเรียนรู้ย่อมเกิดเป็นรูปธรรมไม่ได้

ด้วยเหตุนี้เอง
ความกล้าในทุกขั้นตอนเหล่านี้
นักสู้เพื่อการรู้แจ้งจะขาดมันไปไม่ได้เลย
เพราะนอกจากจะรู้แจ้งไม่ได้แล้ว
ยังนำสิ่งที่ท่านเรียนรู้มาทำให้ #เห็นแจ้ง
ทำให้เห็นจริงอย่างเป็นรูปธรรมไม่ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดี
ปัญหาที่ท่านนักสู้เพื่อการเรียนรู้ให้รู้แจ้ง
จักต้องรับผิดชอบต่อตนเองเป็นลำดับถัดมา
ก็คือ ท่านต้องตอบคำถามตนเองให้ได้ว่า

1.ท่านจะเป็นคน "กล้าคิด" ได้อย่างไร
อะไรเป็นสาเหตุให้ท่านไม่กล้าที่จะคิด

2.ท่านจะเป็นคน "กล้าริเริ่ม" ได้อย่างไร
อะไรเป็นสาเหตุให้ท่านไม่กล้าที่จะริเริ่ม

3.ท่านจะเป็นคน "กล้าแสดงออก" ได้อย่างไร
อะไรเป็นสาเหตุให้ท่านไม่กล้าแสดงออก

4.ท่านจะเป็นคน "กล้าลงมือทำ" ได้อย่างไร
อะไรเป็นสาเหตุให้ท่านไม่กล้าที่จะลงมือทำ

5.ท่านจะ "กล้ารับผิดชอบ" ได้อย่างไร
อะไรเป็นสาเหตุให้ท่านไม่กล้ารับผิดชอบ

6.ท่านจะเป็นคน "กล้าเผชิญหน้า" ได้อย่างไร
อะไรเป็นสาเหตุให้ท่านไม่กล้าเผชิญหน้า

7.ท่านจะเป็นคน "กล้ายอมรับ" ได้อย่างไร
อะไรเป็นสาเหตุให้ท่านไม่กล้าที่จะยอมรับ

8.ท่านจะ "กล้าเปลี่ยนแปลง" ได้อย่างไร
อะไรเป็นสาเหตุให้ท่านไม่กล้าเปลี่ยนแปลง

เมื่อท่านทั้งหลาย
คิดค้นหาคำตอบทั้งหมดที่กล่าวไว้นี้ได้แล้ว
ขอให้ท่านจงนำสิ่งที่อยู่ในความคิดและจิตใจ
ในทุกขั้นตอนการเรียนรู้ของผู้กล้าหาญ
ออกมาแสดงให้โลกประจักษ์
อย่างเป็นรูปธรรมเถิด

มันคือการนำความรู้แจ้งสู่การเห็นแจ้ง
เพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นต่อไป

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-03-2018

ถ้าท่านต้องการหลุดพ้นในภพชาตินี้


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ไม่ว่าท่านจะเป็นศาสนิกชนใด
ถ้าปรารถนาการหลุดพ้นออกไปจาก
การเวียนว่ายตายเกิดให้ได้ในชาตินี้
ทุกเวลานาทีท่านจักต้องเข้าถึงคุณสมบัติ
ทั้ง  6 ประการ ต่อไปนี้ให้ได้

1.หยุดก่อกรรมใหม่และแก้ไขกรรมเก่าให้สิ้น
2.ครองมหาสติและมีปณิธานแห่งนิพพาน
3.ปฏิบัติการตามพันธะสัญญา 6 ให้ได้
4.ไม่งมงายฝักใฝ่ในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์
5.มีความสุขสำราญอยู่กับการเป็นผู้ให้
6.ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตให้ติดกรรม

พฤติกรรมที่ท่านต้องทำ
เพื่อให้บรรลุผลใน 6 ประการนี้ก็คือ

1.ปกป้องจิตตนเองไว้อย่าให้เสียสมดุล
เพราะถูกยั่วยุหรือยั่วเย้าง่ายๆ

2.อย่าไปทำให้ใครเสียสมดุลหรือจิตตก
เพราะท่านเป็นเหตุ ทั้งรู้ตัวไม่รู้ตัว

3.ถ้าใครมาก่อกรรมทำร้ายท่าน
ก็จงอย่าโง่ใช้อารมณ์ขยะไปจัดการเขา
เพราะมันจะทำให้ท่านสอบตกบททดสอบ
ที่เขามาเล่นละครหยิบยื่นให้ท่าน

วิธีที่ท่านจะสอบผ่านมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น
คือ ต้องรักเขาให้ได้ ให้อภัยเขาให้เป็น
ด้วยการใช้สติปัญญาควบคุมจิตใจไว้
ถ้าทำสำเร็จได้ในแต่ละครั้ง
โดยไม่มีการต่อสู้ ตอบโต้ หรือต่อต้านเขา
แสดงว่าท่านน่ะ...#แก้ไขกรรมเก่า
ที่เกี่ยวกรรมกันมากับเขาคนนั้น
ลุล่วงไปอีก 1 กรรม (กำ) แล้วล่ะท่าน

4.ท่านจักต้องรู้ว่า
ในสามประการที่เรากล่าวมานั้น
มันจะเป็นจริงไม่ได้หรอกนะ

ถ้าท่านไม่รู้ว่า #มหาสติ คืออะไร
จะเข้าถึงมหาสติของพระบิดาได้อย่างไร

ถ้าท่านไม่รู้ว่า #ปณิธานแห่งนิพพาน คืออะไร
จะเข้าถึงปณิธานอันสูงสุดนี้ได้อย่างไร

ถ้าท่านไม่รู้ว่า #พันธะสัญญา6 คืออะไร
ทำไมจึงต้องปฏิบัติตามพันธะสัญญานี้

ถ้าท่านไม่รู้ว่า #การงมงาย 
มุ่งฝักใฝ่ในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์คืออย่างไร
ทำไมจึงหลุดพ้นไม่ได้ถ้างมงายกับพวกนี้

ถ้าท่านไม่รู้ว่า #ความสุขจากการให้ คืออะไร
จะเข้าถึงการเป็นผู้ให้ได้อย่างไร

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เรานำเรื่องการหลุดพ้นมากล่าวไว้ในที่นี้
ก็เพื่อจะยืนยันต่อพี่น้องบางคนที่จากไป
แล้วกล่าวร้ายลับหลังเราว่า
มรรควิถีจิตจักรวาลนั้น
ไปไม่สุดหลุดพ้นไม่ได้ทั้งๆที่
ตนเองเข้าไม่ถึงมรรควิถีจิตจักรวาลแท้ๆ

พวกนี้จึงออกไปแสวงหาในแหล่งอื่น
โดยเฉพาะพวกที่ชอบ "ไม่อะไรกับอะไร"
แต่ยังมีอัตตาหลงตัวเองอยู่สูงปรี๊ด

เราต้องการบอกบุญไปยังคนพวกนี้
ว่าที่จากไปดื้อๆนั้นเราไม่ใส่ใจหรอก
เพราะจิตจักรวาลมิใช่ลัทธิ
จึงไม่เน้นการสะสมสาวกหวงสาวก
แต่เราจะบอกบุญเพื่อให้ได้สติรู้ว่า
เส้นทางอื่นที่ตนเองชอบกันนักหนานั้น
มีเครื่องมือชิ้นใดที่สามารถจะการันตีว่า
ช่วยให้ท่านหลุดพ้นในชาตินี้ได้จริง

เราย้ำเสมอว่า
การถือศีลกินเจปฏิบัติธรรมนั่งกรรมฐาน
สวดมนต์ให้ทานอธิษฐานภาวนา
และมายาแห่งอาภรณ์แปลกแยกที่สวมไว้
สิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่
มิอาจนำพาแก่นแท้ของท่านหลุดพ้นได้
ถ้าพฤติกรรมดีๆทั้งหลายเหล่านี้
ผู้กระทำมิได้ดื่มด่ำด้วยจิตสามนึก

เช่น ไม่เข้าใจว่าทำแบบนั้นทำไม
ทำแบบนั้นแล้วเกิดประโยชน์อันใดบ้าง
ทำแบบนั้นแล้วมีผลต่อจิตวิญญาณยังไง
คำตอบเหล่านี้มีผลต่อจิตสามนึกโดยตรง

แต่ถ้าทำไปปฏิบัติไปตามแบบคนอื่นเขาทำ
ทำโดยไม่รู้ไม่เข้าใจว่า "อะไรเป็นอะไร"
ต่อให้ทำดีทำได้และได้ทำ
มันก็ไม่มีผลอันใดในทางจิตวิญญาณเลย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-03-2018

แผนกำจัดมอดไม้



ขณะนี้บนดาวโลกดวงนี้
มีจำนวนหลุมยุบหรือช่องเปิดของแผ่นดินโลก
ที่เราเคยเรียกว่า "รูรั่ว" เกิดขึ้นมากมาย

นักวิทยาศาสตร์โลกตั้งสมมติฐานกันต่างๆนานา
ถ้าเกิดบริเวณถนนหรืออาคารบ้านเรือน
ก็บอกว่าหลุมยุบนั้นเกิดจากโพรงใต้ดิน
เนื่องจากน้ำใต้ดินหายไปและทรายไหลออก
บริเวณนั้นจึงยุบตัวลง

แต่บางพื้นที่ก็เกิดหลุมยุบกระจายทั่ว
ไม่ใช่เกิดแค่หลุมเดียว
บางหลุมเกิดบนที่ราบในป่าเขา
แต่ละหลุมลึกจนวัดไม่ได้ว่าลึกเท่าไหร่
บางหลุมลึกจนหยั่งไม่ได้
บางหลุมขนาดใหญ่ ลึก และมีน้ำเต็ม

สำหรับหลุมที่เรานำมาแสดงนี้
เป็นหลุมล่าสุดหนึ่งในจำนวนนับสิบหลุม
ที่ปรากฏเกิดขึ้นอยู่ในเขตประเทศ #ไซบีเรีย

โดยหลุมล่าสุดที่ไซบีเรียนี้
ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงเล่าว่า
ตอนแรกได้ยินเสียงคล้ายระเบิดเกิดขึ้น
และมองเห็นแสงสว่างวาบบนท้องฟ้า
สักครู่หนึ่งแสงดังกล่าวก็หายไป
พอฟ้าสางชาวบ้านก็ไปพบหลุมดังกล่าวนี้

เราจึงขอกล่าวความจริงแค่เพียงเล็กน้อย
ต่อท่านทั้งหลายไว้ในที่นี้ว่า

ถ้าท่านพบว่า
บริเวณพื้นบ้านของท่านที่ทำด้วยไม้
มีตัวมอดดอดเข้ามาเจาะไชทำรังอยู่
แล้วกัดกินเนื้อไม้อยู่ข้างในไปเรื่อยๆ
กว่าท่านจะรู้ตัวมอดก็กินพื้นบ้านจนผุไปมากแล้ว

ถ้าท่านเป็นเจ้าของบ้านท่านจะทำอย่างไร
ปล่อยให้มอดเจาะไชต่อไป
จนกว่าบ้านพังเสียหายแล้วค่อยว่ากัน
หรือว่าจะรีบเร่งหาวิธี "กำจัดมอด" โดยเร็วกันแน่

เราเชื่อว่า....
ท่านต้องรักบ้านของท่าน
เพราะเป็นบ้านที่พระบิดาทรงประทานให้แก่ท่าน
ท่านจะต้องหาวิธีกำจัดมอดไม้อย่างแน่นอน

วิธีการกำจัดมอดเบื้องต้น
โดยไม่ต้องการจะฆ่าให้ตายก็คือ

1.ทำให้พื้นบ้านที่มอดเจาะรูแอบอยู่ข้างใน
มีการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงด้วยการเคาะถี่ๆ
เคาะบ่อยๆ และ เคาะแรงๆ
เคาะใกล้ๆบริเวณพิกัดที่พวกมอดซ่อนตัวอยู่

ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวที่นั่นที่นี่
ไหวบ่อยๆไหวถี่ๆไหวค่อยๆไหวแรงๆ
จึงฟังดูมีเหตุผลขึ้นมั้ยชาวจิตจักรวาลทั้งหลาย

2.เอาน้ำมาเทราดลงไปในรู
ที่รู้ว่าตัวมอดซ่อนอยู่

ราดแรงๆ ราดเร็วๆ ให้น้ำท่วมรูแบบกระทันหัน
เพื่อให้ตัวมอดในนั้นเกิดอาการสำลักน้ำ
เพราะตัวมอดพวกนี้หายใจด้วยปอดกันทั้งนั้น

ปรากฏการณ์น้ำท่วมฉับพลัน
ในบางประเทศจึงเกิดขึ้นบ่อยในทุกฤดูกาล
และยังเกิดขึ้นในประเทศเขตทะเลทรายอีกด้วย

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

ระหว่างที่เกิดข่าวน้ำท่วมฉับพลันบ่อยๆ
แผ่นดินไหวรุนแรงบ่อยๆบนโลกใบนี้
ท่านจะแลเห็นมอดพากันบินหนีออกมาจากรู
ท่านจะแลเห็นรูเกิดขึ้นใหม่ๆบนโลกเยอะขึ้น
ซึ่งมอดจะปรากฏตัวเป็นข่าวให้ท่านเห็นบ่อยมาก
เพราะมอดตกใจน้ำท่วมรูและตกใจแผ่นดินไหว

คนกำจัดมอดทำแค่เคาะแค่เตือนด้วยเมตตา
ยังไม่ต้องการเอาชีวิตหรือทำลายล้างฝูงมอด
ทำเพียงเพื่อส่งสัญญาณให้มอดอพยพออกไป
มิให้เจาะรูพื้นโลกเสียจนพรุนไปมากกว่านี้อีก

ถ้ายังไม่เชื่อฟังอีก
การเตือนที่รุนแรงกว่านี้
จะถูกนำออกมาใช้ปฏิบัติการในขั้นต่อไป

ที่เราเล่ามานี้
เป็นเพียงแค่สาระจากภาพยนตร์เรื่อง 
"แผนกำจัดมอดไม้" บนแผ่นดินโลกเท่านั้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
19-03-2018

วิธีใช้มหาสติ



#วิธีใช้มหาสติ

1.จงมองปัจจุบัน
   โดยมองให้เห็นความจริงว่าอะไรเป็นอะไร

2.จงมองย้อนหาอดีต
   เพื่อวิเคราะห์ด้วยปัญญา ค้นหาที่มาที่ไป
   เพราะอดีตเป็นต้นเหตุของปัจจุบัน

3.จงมองไปในกาลข้างหน้า
   คิดวิเคราะห์ว่าถ้าปัจจุบันเป็นอย่างที่เห็น
   จะเป็นเหตุให้เกิดผลใดในอนาคตได้บ้าง

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
20-03-2018

18 มีนาคม 2561

คำเตือน



#ช่วยกันแชร์

นี่เป็นคำเตือนให้สำนึกบาป
ต่อผู้บังอาจนำพระนาม #จิตจักรวาล 
ไปทำมาหากินด้านอุตริอวิชชา
ที่พระบิดามิได้ทรงสนับสนุนส่งเสริม
เพราะมันเป็นวิชามารใช้ล่อหลอกให้
ผู้คนงมงายจนหลงทางไปนิพพาน

ทำให้พึ่งพาจิตสามนึกตนเองไม่ได้
ต้องพึ่งเทพ พึ่งผี พึ่งก้อนหิน พึ่งโชคลาภ
แทนที่จะสอนให้พึ่ง "ควาย 7 ตัว"
ตามมรรควิถีจิตจักรวาล 

เส้นทางอุตริเป็นเส้นทางไปนรก 
ผู้เลือกดำเนินจักเป็นปลาที่ถูกคัดทิ้ง

ผู้ก้าวล่วงพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
จิตวิญญาณผู้นั้นจะถูกจองจำไว้ในแกนโลก
ตราบชั่วกัลปาวสาน
เราจึงขอเตือนพวกท่านไว้ ในที่นี้

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-03-2018

องค์ความรู้ที่สำคัญมาก



พี่น้องที่รักทั้งหลาย
ทั้งหมดนี้เป็นองค์ความรู้ที่สำคัญมาก
เพราะเป็น....

#ความรู้ที่ท่านไม่รู้ว่าไม่รู้
#ความรู้ที่ท่านไม่รู้ว่าทำไมต้องรู้

เรามีหน้าที่เปิดเผยความจริงในฐานะ
ผู้สื่อถ่ายทอดจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ท่านมีหน้าที่พิจารณารับพระโอวาท
เพื่อเรียนรู้ในฐานะของบุตรมนุษย์ผู้รับสื่อ

เราต่างล้วนต้องทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด
โดยไม่จำเป็นต้องล่วงเกินก้าวก่ายกันก็ได้

แน่นอนว่าถ้าคำกล่าวใดของเราเป็นเท็จ
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณจะทรงลงทัณฑ์เราเอง

ถ้าท่านเชื่อเราหรือปฏิเสธเรา
โดยมิได้เรียนรู้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อน
ท่านก็ทำผิดบาปต่อจิตวิญญาณของท่านเอง
ในข้อหา "งมงาย" 

แต่ถ้าท่านวางเฉยในข่าวสารความรู้ใหม่นี้
ท่านก็ทำผิดบาปต่อองค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณผู้ทรงเมตตาท่าน
ประทานข่าวสารความรู้ใหม่เหล่านี้มาให้

ขอบพระทัยพระบิดาฯที่ทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-03-2018

จิต 3 นึก



#สนทนาประสาจิตจักรวาล

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พฤติกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันของท่าน
ล้วนมีบ่อเกิดหลักที่สำคัญคือ #จิตสามนึก 

จิตสามนึก อันเป็นแหล่งพฤติกรรมนี้
ประกอบด้วยอาการของจิตรวม "3 นึก" คือ

1.นึกออก 
หมายถึง นึกได้แล้วว่า
ตนยังคิดพูดทำสิ่งใดบ้างที่ค้างคาอยู่
ยังมีสิ่งใดบ้างที่ตนยังต้องทำต่อให้ลุล่วง
เมื่อนึกได้แล้วหรือจำได้แล้ว
ท่านก็จะแสดงพฤติกรรมนั้นๆออกมาทันที
เช่น การคิดต่อ พูดต่อ และทำต่อ เป็นต้น

2.นึกเอา
หมายถึง นึกได้แล้วว่า
ตนควรจะต้องคิดพูดทำสิ่งใดบ้าง
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในขณะนั้น

นึกได้แล้วว่ายังมีสิ่งใดที่ตนสมควรทำ
แต่ยังไม่ได้กระทำบ้าง

นึกได้แล้วว่ามีสิ่งใดไม่ควรทำ
แต่ตนนั้นได้เผลอกระทำไปแล้วบ้าง
จักได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นๆ
ไปทำพฤติกรรมอย่างอื่นที่สมควรกว่าเสีย

3.นึกเอง
หมายถึง การทึกทักเอาเองสรุปเองว่า
คนนั้นต้องเป็นอย่างนั้น คนนี้ต้องเป็นอย่างนี้
โดยยังมิได้พิจารณาความจริงเท็จให้ถ่องแท้
ยังมิได้ศึกษาเรื่องราวให้ลึกซึ้งชัดเจนก่อน
แต่กลับปักใจเชื่อตามการนึกเองของตนนั้น
ทำยังกับว่าสิ่งที่ตนนึกเองนั้นถูกต้องเป็นจริง

หากจะกล่าวเป็นภาษาชาวบ้าน
การ "นึกเอง" ในลักษณะที่ว่านี้
#มันคือการคิดแทนผู้อื่นนั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
การก้าวล่วงผู้อื่นด้วยกายกรรม วจีกรรม
และ มโนกรรม ในชีวิตประจำวัน
จนเกิดการผิดบาปรายวันทั้งที่รู้ตัวไม่รู้ตัวนั้น
ล้วนมาจากความบกพร่องทาง #จิตสามนึก
ที่เรากล่าวมาข้างต้นนี่แหละ

เพราะจิตสามนึกบกพร่องนี่แหละ
มนุษย์จึงแสดงพฤติกรรมขยะต่อกัน
ทำให้ทีมแตก สังคมขาดสันติสุข 
ประเทศชาติหายนะเพราะทุกคนไม่รักกัน

เหตุจากจิตสามนึกบกพร่อง
จึงทำให้คนเก่งในสังคมไร้ค่า
เพราะเก่งจริงแต่เป็นคนไม่ดีเนื่องจากนึกลบ
เพราะโครงสร้างทางจิตสามนึกอ่อนแอ
ไม่เคยได้รับการอบรมและขัดเกลาเลย
ได้แต่พัฒนาความเก่งให้คนเก่งขึ้นถ่ายเดียว
ยิ่งเก่งมากยิ่งหลงตัวเองมากจนเข้ากับใครไม่ได้
เพราะจิตสามนึกบกพร่องตกต่ำโดยแท้

บ้านเมืองของเรา
มีข่าวคราวในวงราชการงานเมืองว่า
ทุจริตคอรัปชั่นฉ้อฉลประเทศชาติมากมาย
ทั้งที่จับได้และยังจับไม่ได้
เป็นเพราะผู้คนเหล่านี้มีความโลภเห็นแก่ตัว

ขาดจิตสามนึกด้านบวก
จึงไม่รักประเทศชาติและแผ่นดิน
จึงไม่รักพี่น้องประชาชนสนใจแต่ตนเอง
รักแต่ประโยชน์โภชน์ผลส่วนตัวกับพวกพ้อง
จึงทั้งกินทั้งกอบทั้งโกย
สมบัติชาติและทรัพยากรของแผ่นดิน
อย่างไม่ยำเกรงกฎหมายไม่ละอายบาป
เพราะจิตสามนึกบกพร่องทั้งสิ้น

เราไม่สงสัยหรอกว่า
ทำไมกระบวนการฝึกอบรม PsychoShow
เพื่อชำระจิตสามนึกของนักเรียนนักศึกษา
เพื่อปรับโครงสร้างทางจิตวิทยาของครูอาจารย์
และข้าราชการงานเมืองของแผ่นดิน
จึงไม่ได้รับความสนใจใยดี
จากผู้ที่รับผิดชอบแผนพัฒนาคุณภาพ
ในองค์กรเหล่านั้นเท่าที่ควร

เพราะผู้รับผิดชอบมุ่งเน้นแต่จัดอบรม
เพื่อสร้างคนเก่งให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ
โดยทิ้งจิตสำนึกที่บกพร่องเอาไว้ไม่ทำอะไร
เพราะเชื่อว่า "สันดานคนแก้ไม่ได้"
เพราะไม่เชื่อว่า "สันดานคนแก้ไขได้"

เพราะเชื่อว่าการมีบุคลากรประพฤติไม่ดี
เป็น #ความซวย ของทุกคนในหน่วยงาน
และองค์กรเล็กใหญ่ล้วนมีคนไม่ดีกันทั้งนั้น
จึงเห็นเป็นเรื่องปกติ

คนก้าวร้าวเจ้าอารมณ์ คนเห็นแก่ตัว
คนเอาเปรียบทุจริตฉ้อฉล คนหลอกลวง
คนชอบนินทาว่าร้าย คนโกหกใส่ร้ายป้ายสี
คนไม่ซื่อสัตย์ไม่จริงใจ คนอกตัญญู
คนขี้อิจฉา คนขี้ระแวง คนขี้ใจน้อย
คนเกียจคร้าน ฯลฯ

พฤติกรรมเหล่านี้มาจากจิตสามนึกบกพร่อง
ที่ถูกเลยตามเลยกันมาตลอด
นับวันผู้คนจะเหลวไหลมากขึ้นเรื่อยๆ
จนสังคมนี้อ่อนแอไม่มั่นคงตกต่ำลงไปเรื่อยๆ
เมื่อไหร่ที่สังคมเปลี่ยนค่านิยมมาส่งเสริมคนดี
แทนที่จะเอาแต่ส่งเสริมคนเก่งจนล้น
เมื่อนั้นอนาคตของชาติจึงจะชัดเจนขึ้น

อมิตตาพุทธ....

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-03-2018

เรียนรู้ให้เป็น



#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ความรู้ในโลกนี้มีตั้งมากมาย
เมื่อท่านสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งใดก็ตาม
ท่านจะทำตัวแบบ "ไม่อะไรกับอะไร" ไม่ได้
เพราะท่านมีหน้าที่ต้องเรียนรู้ให้เข้าใจ
เพราะท่านมีหน้าที่ต้องเรียนรู้ให้เข้าถึง
ในทุกๆสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตท่าน

การเรียนรู้จะช่วยให้ท่านเป็นคนเก่งขึ้น
การเรียนรู้จะช่วยให้ท่านฉลาดขึ้น
การเรียนรู้จะช่วยให้ท่านเป็นคนดีมากขึ้น
การเรียนรู้จะช่วยให้ท่านรอบรู้มากขึ้น

แน่นอนว่า
ท่านต้องเรียนรู้ให้เป็น

ท่านต้องฉลาดที่จะเรียนรู้
โดยอาศัยกลไกอายตนะทั้งหก
ทำงานร่วมกันกับจิต
และความฉลาดของสมองสองซีกที่ท่านมีอยู่
อย่างมีประสิทธิผลเท่านั้น

มีนักปฏิบัติธรรมหลายราย
พยายามปิดกั้นการเรียนรู้ของตนเองไว้
ด้วยการพยายาม "ไม่อะไรกับอะไร"
เพราะเหตุว่า "กลัวจิตตก" หากรู้อะไรอะไรเข้า

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

การที่ท่านเรียนรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
แล้วเกิดอาการจิตตก
ท่านจึงปฏิเสธการเรียนรู้ด้วยการวางเฉยนั้น
มันทำให้ท่านเสียหายถึง 3 สิ่งด้วยกัน

1.สิ่งแรกก็คือ ท่านหมดโอกาสที่จะได้รู้
ความรู้ใหม่นั้นเพราะการไม่อะไรกับอะไร

2.สิ่งที่สองก็คือ ท่านหมดโอกาส
ที่จะพัฒนาจิตใจของท่านให้สูงขึ้น
เพราะการไม่อะไรกับอะไรนั้น
มันจะยังผลให้จิตหมดโอกาสได้รับบททดสอบ

การชำระจิตใจให้ใสสวยในชีวิตประจำวัน
จึงเกิดการล้มเหลวและเสียชาติเกิด
เพราะเสียเวลาที่ได้รับโอกาสให้มาเกิด
เพื่อปรับปรุงแก้ไขพัฒนาจิตใจไปเปล่าๆ

3.สิ่งที่สามก็คือ ท่านหมดโอกาส
ที่จะพัฒนาสติปัญญาของสมองของท่าน
เพราะการปฏิเสธไม่อะไรกับอะไร
มันทำให้ท่านไม่รู้ไม่เข้าใจปัญหา
เมื่อไม่รู้ปัญหาการใช้สติปัญญาขบคิดจึงไม่มี
เพราะท่านได้แต่กลัวจิตตกเกินเหตุ

ดังนั้น
ถ้าท่านต้องการพัฒนาจิตตปัญญาให้สูงขึ้น
ท่านจึงจะทำตัวแบบ "ไม่อะไรกับอะไร" ไม่ได้

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ถ้าเผชิญปัญหามากท่านก็จะได้ใช้ปัญญามาก
ความฉลาดปราดเปรื่องก็จะเพิ่มพูนมากขึ้น
ถ้าเผชิญปัญหาจนเสียสมดุลบ่อยๆหรือจิตตก
ความฉลาดทางจิตก็จะยกระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ

การไม่ยอมเรียนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
โดยไม่ยอมอะไรกับอะไร
จนดูเหมือนว่าจิตท่านสงบสมดุลนั้น
มันมิได้หมายความว่าจิตท่าน
ว่างไปจากอารมณ์หยาบๆรายวัน
โดยปราศจากกิเลสตัณหาหมดสิ้นแล้วนะ
แท้แล้วมันแค่เพียงสงบอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง

อารมณ์ขยะในจิตใจท่านน่ะ
ไม่ต่างจากบ้านข้างเคียงของท่านนั่นแหละ
การที่คนข้างบ้านเขาอยู่เงียบๆ
ก็มิได้หมายความว่าบ้านเขาไม่มีคนอยู่
จิตใจท่านก็เช่นกัน
การที่มันสงบว่างไปจากอารมณ์ขยะน่ะ
เป็นเพราะขณะนั้นไม่มีการยั่วยุมันต่างหาก

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18-03-2018

ป้องกันจิตไว้มิให้โกรธ



ป้องกันจิตไว้มิให้โกรธ
ง่ายกว่าปล่อยให้โกรธแล้วค่อยบำบัดจิต
เพราะการดับความโกรธของจิต
ต้องดับด้วยสติปัญญาเท่านั้น

เมื่อจิตที่ยังติดโกรธอยู่
ยกระดับเข้าถึงการคิดด้วยปัญญาไม่ได้
สภาวะจิตในขณะนั้นก็คือ "โง่"
ที่ว่าโง่ก็เพราะใช้สติปัญญาไม่ได้นั่นเอง

ความโกรธ



#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
อารมณ์หยาบๆรายวันที่มันเกิดบ่อยเกิดง่าย
เกิดแล้วสร้างบาปสร้างกรรมสร้างความทุกข์
ให้แก่ตนเองและคนรอบข้างแทบทั้งวัน
ซึ่งสมควรต้องละวางก่อนอารมณ์อื่นก็คือ
#ความโกรธ นั่นเอง

ความโกรธมีสาเหตุจาก
ความไม่พึงพอใจความไม่ชอบใจขั้นรุนแรง
จนสามารถกระทำตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ง
ต่อผู้ยั่วยุนั้นอยางรุนแรงได้เช่นเดียวกัน
เพราะขาดสติไปชั่วครู่นั่นเอง

ถ้าวางเรื่องใครทำให้โกรธ
กับสาเหตุแห่งความโกรธเอาไว้ชั่วคราว
เพื่อมาพิจารณาหาหนทางดับทุกข์
อันเกิดจากความโกรธด้วยวิธีง่ายๆแล้ว
เรามีคำแนะนำต่อท่านทั้งหลายว่า

ให้นำเอาเรื่องนี้มา
แบ่งแยกออกเป็น 3 ด้าน คือ

1.ด้านคนที่ทำให้ท่านโกรธ
2.ด้านสาเหตุที่ทำให้ท่านโกรธ
3.ด้านความโกรธที่เกิดขึ้นในใจท่าน

เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นว่า
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความโกรธของท่านนั้น
สามารถแบ่งได้เป็น 2 จำพวก

#จำพวกแรก คือ ด้านที่ 1 กับด้านที่ 2
เป็นตัวปัญหาภายนอก
ที่นำมาซึ่งความโกรธในจิตใจของท่าน

#จำพวกที่สอง คือ ด้านที่ 3
เป็นตัวปัญหาภายใน
ที่นำมาซึ่งความโกรธภายในจิตใจของท่าน

ดังนั้น
ปัญหาที่ท่านกำลังเผชิญจนเกิดความโกรธ
จะมีด้วยกัน 2 ปัญหาเท่านั้นเอง คือ

1.ปัญหาภายนอกจากคนที่ทำให้โกรธ
กับสาเหตุที่เขาทำให้ท่านโกรธ

2.ปัญหาภายในจากเหตุที่ทำให้
จิตใจท่านเสียสมดุลไปจนเกิดความโกรธ
เช่น ปัญหาด้านความรู้สึก
ปัญหาทางอารมณ์
ปัญหาด้านทัศนคติ
ที่มีต่อบุคคลนั้นๆนั่นเอง

ดังนั้น
เมื่อใดที่ท่านมีความโกรธเกิดขึ้น
สิ่งแรกที่ท่านต้องทำก็คือ
แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในจิตใจท่านก่อน
เก็บคนที่เป็นตัวปัญหาเอาไว้ชั่วคราว

ด้วยวิธีหาทางดับโกรธในจิตใจท่านให้ได้ก่อน
เมื่อสภาวะจิตนิ่งสงบว่างไปจากความโกรธได้
ค่อยหยิบยกเอาตัวปัญหาและสาระเรื่องราว
ขึ้นมาพิจารณากันต่อไป

หากท่านไม่มีหลักการแก้ไขปัญหาทางอารมณ์
ตามที่เรากล่าวมานี้ปัญหาของท่านอาจบานปลาย
จักกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมาได้ง่ายๆ

ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อเกิดปัญหาทางอารมณ์
ก็ให้เน้นที่ดับอารมณ์โกรธของตนเองก่อน
เมื่อจิตสงบแล้วค่อยหยิบปัญหาที่เขายื่นมาให้
พิจารณาหาทางแก้ไขด้วยใจสงบต่อไป

ถ้าสภาวะจิตไม่สงบ วู่วาม
มันจะทำให้ท่านโง่เพราะใช้ปัญญาไม่ได้
เมื่อใช้ปัญญาไม่ได้ก็แก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้
คนโง่จึงมักใช้อารมณ์แก้ปัญหา
ซึ่งในประวัติศาสตร์โลกนั้น
ยังไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ
ในการแก้ปัญหาด้วยอารมณ์โกรธเลยสักคน

ท่านจงอย่าพยายามที่จะเป็นคนแรก
ในการแก้ปัญหาขณะยังโกรธอยู่เลย
มันเป็นไปไม่ได้หรอก
เป็นไปไม่ได้จริงๆนะท่าน

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
17-03-2018

นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง


#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ถ้าท่านเป็นฆราวาส
ผู้ปรารถนาการหลุดพ้นในชาตินี้นั้น
ภารกิจหลักของท่านที่ต้องทำ
เพื่อการฉุดช่วยตนเอง
ก่อนจะไปช่วยเวไนยไกลตัวก็คือ

ท่านต้องสร้างคุณสมบัติหลักเบื้องต้น
ของการเป็น #นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง ให้ได้ก่อน
ซึ่งประกอบด้วย "ควาย 3 ตัว" คือ

1.ความรัก
2.ความฉลาดทางปัญญา
3.ความกล้าหาญ

ควายทั้งสามตัวนี้
เป็นสิ่งที่ท่านจักต้องสร้างเสริมเติมเต็ม
ให้เกิดศักยภาพในตนเองให้จงได้
เมื่อเกิดศักยภาพแล้ว
ภารกิจถัดมาคือต้องฝึกทักษะในการใช้มัน
ให้เกิดประโยชน์สุขในชีวิตประจำวัน

ดังนั้น
ท่านจึงมีหน้าที่ต้อง #ฉุดช่วยตนเอง
ก่อนที่จะริอ่านไปฉุดช่วยคนอื่นคนไกล
ขณะที่ตนเองยังไม่พร้อมจะช่วยใครได้
โดยท่านจะต้องตอบตนเองให้ได้ก่อนว่า

1.ความรัก ความฉลาดทางปัญญา
และความกล้าหาญทั้งสามประการนี้นั้น
#ท่านต้องรู้ว่ามันคืออะไร

โดยท่านจะต้องรู้ว่า
#ความรักที่นักบำเพ็ญต้องใช้คืออะไร
#ความฉลาดทางปัญญาคืออะไร
#ความกล้าหาญที่ว่านี้คืออะไร

2.ความรัก ความฉลาดทางปัญญา
และความกล้าหาญทั้งสามประการนี้นั้น
#ท่านต้องรู้ว่าจะเข้าถึงมันได้อย่างไร

ตัวอย่างเช่น
#ท่านจะรักเป็นได้อย่างไร
#ท่านจะฉลาดใช้สมองได้อย่างไร
#ท่านจะเข้าถึงความกล้าหาญได้อย่างไร

3.ความรัก ความฉลาดทางปัญญา
และความกล้าหาญทั้งสามประการนี้นั้น
เมื่อเรียนรู้ได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร
#ท่านต้องรู้ว่าจะนำมันมาใช้จริงได้อย่างไร

ตัวอย่างเช่น
#ท่านจะรักคนไม่น่ารักได้อย่างไร
#ท่านจะใช้ปัญญานำอารมณ์ได้อย่างไร
#ท่านจะใช้ความกล้าหาญด้านใด

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ไม่ว่าท่านจะขันอาสาเป็นครูสอนธรรมะผู้อื่น
ไม่ว่าท่านจะเป็นวิญญูชนผู้ต้องการหลุดพ้น
สิ่งที่เรากล่าวมาตั้งแต่ต้นในบทนี้
เป็นควาย 3 ตัวที่ท่านต้องมีคุณสมบัติครบ
เป็นควาย 3 ตัวที่ท่านต้องมีศักยภาพสูงสุด
และเป็นควาย 3 ตัวที่ท่านต้องนำมาใช้เป็น

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านว่า

คุณธรรมสูงต่ำของผู้ปฏิบัติบำเพ็ญที่แท้จริง
มันมิได้อยู่ที่ศาสนาใดยิ่งใหญ่กว่ากัน
มันมิได้อยู่ที่ความโด่งดังของลัทธิ
มันมิได้อยู่ที่จำนวนสาวกที่มากกว่าใคร

แท้แล้วมันอยู่ที่ว่า

1.ท่านมีควาย 3 ตัวนี้ครบถ้วนมั้ย
2.ท่านใช้ควาย 3 ตัวนี้เป็นหรือเปล่า

มิใช่แค่กล่าวอ้างอวดเพียงปากพูด
แต่ปฏิบัติบำเพ็ญจริงในชีวิตไม่ได้

เพราะว่าคุณธรรมสูงหรือต่ำของมนุษย์นั้น
มันอยู่ที่ความสามารถในการใช้อายตนะ
มันอยู่ที่ความเชี่ยวชาญในการใช้อวัยวะ
มันอยู่ที่สมรรถนะในการใช้จิตกับสมอง
เพื่อแสดงออกหรือกระทำต่อตนเองและผู้อื่น
มิใช่แค่ราคาคุยโฆษณาหรอกท่าน

เราจึงขอบอกท่านทั้งหลายว่า
หากปรารถนาจะฉุดช่วยคนอื่นจริงๆ
ท่านก็ต้องฉุดช่วยตนเองก่อน
ด้วยการสร้างคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น
ทำให้ตนเองมีความพร้อมเสียก่อน
ท่านจึงจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้

เพราะถ้าท่านยังใช้ปากก้าวล่วงผู้อื่นอยู่
ยังใช้จิตของท่านอิจฉาริษยาผู้อื่นอยู่
ยังใช้ธรรมะสนองกิเลสตัณหาตนเองอยู่
ยังหลงตัวเองและหมิ่นหยามผู้อื่นอยู่
ยังแบ่งแยกชนชั้นกันเองอยู่
ยังชักชวนให้คนเชื่อแทนชวนให้คิดกันอยู่
ยังขายนรกสวรรค์
แทนการสร้างสำนึกผิดบาปอยู่

ยังใช้ความกลัวหลอกล่อให้คนคล้อยตามอยู่
ยังใช้ความอุตริอวิชชาชวนคนให้งมงายอยู่

พฤติกรรมทั้งหมดนี้
เป็นตัวชี้วัดว่าท่านผู้นั้น
ขาดคุณสมบัติ "ควาย 3 ตัว" 
อย่างสิ้นเชิงแล้ว

จะเป็นผู้ใฝ่นิพพานก็ไม่ได้
จะเป็นครูสอนผู้อื่นก็ไม่ได้
จะฉุดช่วยตนเองก็ไม่ได้
จะฉุดช่วยใครอื่นก็ไม่ได้

ท่านเชื่อเราเถอะว่า
ที่เรากล่าวมาทั้งหมดนั้น
เรากล่าวด้วยความรักและปรารถนาดี

เมื่อรับรู้แล้วไม่เรียนรู้ก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้ารับรู้แล้วเรียนรู้ในสิ่งที่เรากล่าว
เราก็ขออนุโมทนา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
16-03-2018

17 มีนาคม 2561

คิดทำเพื่อตนเองหรือคิดทำเพื่อผู้อื่น ?

ถ้าวันๆยังคิดทำทุกสิ่งเพื่อตนเองอยู่
ความโลภจากการเห็นแก่ตัว
ก็จะถูกแสดงออกเสมอ
...เว้นจาก...
คิดทำเพื่อคนอื่นบ้าง
©ความใจกว้างจักปรากฏแทน©

15 มีนาคม 2561

คนตนเองให้เป็นมนุษย์




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การยกระดับจิตหยาบให้สูงขึ้นนั้น
หมายถึงท่านจักต้องละวางกิเลสตัณหาราคะ
ให้มันว่างไปจากชีวิตประจำวันของท่าน
โดยทำให้มันว่างให้ได้อย่างสิ้นเชื้อ

ถึงแม้ว่ามันจะยังคงมีอยู่ในจิตของท่าน
แต่ท่านก็ต้องทำให้มันเหมือนไม่มีอยู่ให้จงได้

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
ถ้าท่านยังไม่สามารถยกระดับจิตของท่าน
ให้สูงขึ้นเสมอกับจิตวิญญาณของท่านได้
ตั้งแต่อายุขัยยังน้อยๆแล้ว
การที่ท่านจะ #คนตนเองให้เป็นมนุษย์
เพื่อทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6
จนเข้าถึงสภาวะการหลุดพ้นในชาตินี้ได้
จักเป็นความจริงได้ยากยิ่ง

ที่หลุดพ้นได้ยากก็เพราะเหตุว่า
จิตหยาบของท่านที่ติดกับดักกิเลสตัณหานั้น
จะนำพาจิตวิญญาณก่อเวรเกี่ยวกรรมรายวัน
จนต้องใช้โอกาสขอมีภพชาติใหม่ไปเรื่อยๆ
เพื่อแก้ไขผลกรรมที่กระทำผิดบาปไว้ในอดีต
ซึ่งชาวโลกเสรีจำนวนมากกำลังเผชิญกันอยู่

ดังนั้น
เราจึงขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ถ้าท่านปรารถนาจะหลุดพ้นในชาตินี้
ท่านจักต้องดับโทสะ โลภะ โมหะ ให้สิ้น
ด้วยการไม่โกรธ รู้จักพอ และฉลาดคิด
เพื่อการดำเนินชีวิตในสังคมอย่างสันติสุขให้จงได้
แล้วฝึกที่จะรักตนเองและผู้อื่น
ด้วยการไม่ทำอะไรให้ตนเองเดือดร้อน
ด้วยการไม่ก้าวล่วงผู้อื่นให้เขาเสียสมดุล
ด้วยการรู้จักรักรู้จักให้ในทุกโอกาสที่มีโอกาส

ท่านจักต้องระลึกไว้เสมอว่า
ขณะนี้โลกสิ้นยุคพลังงานเก่าแล้ว

ท่านทั้งหลายจักต้องนำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน
กลับคืนสู่แดนสุญตานอกระบบเอกภพที่จากมา
ซึ่งองค์จิตจักรวาลหรือพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงรอคอยพวกท่านมานานนับหมื่นปีแล้ว
เพราะพวกท่านล้วนเป็น #ตัวแทนแห่งพระบิดา
ที่ขันอาสาพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์โลก
เพื่อใช้เครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
ทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6 
ที่จิตวิญญาณของท่านได้ให้ไว้ต่อพระองค์

โดยสัญญาว่าจะมาทำหน้าที่
โดยสัญญาว่าจะนำพาตนเองกลับบ้าน
ภายในวันก่อนสิ้นยุคพลังงานเก่า
หรือภายในไม่เกิน 6 หมื่นปีนั่นเอง
ซึ่งบัดนี้กาลเวลาโลกล่วงเลยมานาน
กว่า 800 ปีเศษแล้ว

พี่ๆน้องๆของท่านอีกชุดหนึ่ง
ซึ่งไม่เคยเกิดเป็นมนุษย์มาก่อน
กำลังรอที่จะเดินทางข้ามมิติเข้ามา
เพื่อปฏิบัติภารกิจพระบิดาแทนพวกท่านอยู่
หากพวกท่านไม่ยอมออกไปจากระบบโลก
หากพวกท่านไม่ยอมหลุดพ้นไปจากเอกภพ
พวกเขาก็จะมิอาจเข้ามารับหน้าทีแทนได้

ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงกลับมาเพื่อชี้ทางหลุดพ้นแก่ท่าน
ไม่ว่าท่านจะเป็นศาสนิกชนกลุ่มไหน
ไม่ว่าท่านจะเป็นสาวกของผู้ใด
หากท่านเป็นผู้ใฝ่การหลุดพ้นในชาตินี้
เราคือผู้กลับมาช่วยเหลือพวกท่าน
เราคือผู้ที่ท่านรอคอย

วิธีพิจารณาว่าเราคือ "ท่านผู้นั้น" หรือไม่
เราคือ "บุตรเอกพระบิดา" หรือเปล่านั้น
มันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ความจริงได้ง่ายมาก
จงอย่าทำเรื่องง่ายๆให้มันยากนักเลย
เพียงแค่ท่านรับฟังพระโอวาทพระบิดา
พร้อมรับรู้ข่าวสารการชำระโลก
ที่ทรงพระเมตตาสื่อผ่านมาทางเราทุกๆวันสิ
เมื่อรับรู้รับฟังพระโอวาทและข่าวสารแล้ว
ขอท่านจงใช้วิธีพิสูจน์ตามลำดับขั้นดังนี้

1.เมื่อรับรู้พระโอวาทคำสอนอะไร
ท่านจงอย่า "ปฏิเสธ" ทันทีที่รับฟังรับรู้
แต่ท่านจง "เรียนรู้" ด้วยการคิดตามให้เข้าใจ
ว่าเรากล่าวพระโอวาทว่าอย่างไร
ซึ่งพระโอวาทส่วนใหญ่จะชี้ทางหลุดพ้น
ให้ท่านทั้งหลายก้าวเดินทั้งสิ้น

2.การเรียนรู้ที่ฉลาดก็คือ
ท่านจักต้องไม่เรียนรู้ด้วยการฟังไปจับผิดไป
โดยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจับผิด
ซึ่งท่านจะไม่สามารถรับรู้ความรู้ใหม่ที่ดีๆ
จะไม่สามารถรับรู้ข่าวสารการชำระโลก
อันหมายถึง "ชีวิต" และความรอดของท่าน
ที่พระบิดาทรงเมตตาต่อท่านทั้งหลายได้
เพราะท่านจะไม่สนใจนอกจากจับผิดนั่นแหละ

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
การจับผิดของมนุษย์ที่แท้จริงที่ต้องรู้นั้น
มันมีทางเลือกอยู่สองทางด้วยกัน

"ทางเลือกแรก"..... ในการจับผิด
ที่เราจะกล่าวต่อท่านทั้งหลายนี้
จะเป็นทางเลือกของ #ฝ่ายโง่ 
เพราะหากใครเลือกใช้วิธีจับผิดวิธีนี้
เขาก็จะไม่สามารถยกระดับสติปัญญา
และไม่สามารถเพิ่มพูนความรอบรู้ได้
นั่นคือ #การจับผิดผิด

วิธีจับผิดก็คือขณะรับรู้ข่าวสารความรู้ใหม่
ก็จะคอยหยิบเอาความรู้เก่าที่ตนมีอยู่
จะหยิบเอาความเชื่อส่วนตนถ้ามีอยู่
มาตัดสินข่าวสารความรู้ใหม่ของเรา
เพื่อหาข้ออ้างที่จะปฏิเสธสถานเดียว

ตัวอย่างเช่น ถ้าเรากล่าวว่า
#มนุษย์โลกจะต้องทำสงครามกับภัยพิบัติ
#ที่น่ากลัวที่สุดและรุนแรงที่สุด
#เท่าที่เคยเกิดขึ้นบนโลกมาแล้วในอดีต
#เพราะจิตสามนึกมนุษย์ตกต่ำเสื่อมโทรม

หลายท่านก็จะปฏิเสธข่าวสารความรู้นี้ทันที
โดยอ้างว่า "ในอดีต" ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
จึง "ไม่เชื่อ" ข่าวสารของเรา
เพราะพระศาสดาของตนก็ไม่เคยสอน
จึงไม่เชื่อว่าจิตสามนึกจะเป็นสาเหตุ
ตามที่เรากล่าวไว้

แถมยังก้าวล่วงเราด้วยการกล่าวร้ายอีกด้วย
ทั้งๆที่การไม่เชื่อว่าจะเกิดเพราะอดีตไม่เคยเกิด
มันเป็นเพียงแค่การใช้สถิติแต่อดีต
มารองรับความไม่เชื่อของตัวเองเท่านั้น
โดยยังมิได้ใช้สติปัญญาจากสมองในศีรษะเลย
จึงไม่แน่ใจว่าอวดโง่หรืออวดฉลาดกันแน่

"ทางเลือกที่สอง"
ถ้าใครเลือกวิธีที่สองนี้ก็จะเป็น #ฝ่ายฉลาด
สมควรได้รับรางวัลในการเป็นนักปราชญ์
ในอีกไม่ช้านานในกาลข้างหน้าแน่นอน
เพราะทางเลือกที่สองนี้ คือ #การจับผิดแผก

การจับผิดแผกจะต่างจากการจับผิดผิด
ตรงที่ผิดแผกคือความแปลกแยกแตกต่าง
จากที่ตนเองรู้อยู่ เชื่ออยู่ มีประสบการณ์อยู่
ส่วนการจับผิดผิดคือการหาข้อผิดหาข้อตำหนิ
โดยไม่ใส่ใจในสิ่งที่ "ผิดแผก" เลย

3.เมื่อรับรู้ข่าวสารความรู้ใหม่จากพระบิดา
จนเรียนรู้อย่างถ่องแท้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว
ขั้นตอนสำคัญคือการพิสูจน์ความจริงที่รู้นั้น

ถ้าเป็นข้อธรรมะเพื่อการหลุดพ้น
ท่านก็ต้องนำเอาไปปฏิบัติในชีวิตจริง
เพื่อพิสูจน์ความจริงที่เราสื่อมาให้ว่า
มหัศจรรย์แห่งชีวิตมันเกิดขึ้นในชีวิตท่านมั้ย
มหัศจรรย์แห่งจิตและปัญญา
มันพัฒนาขึ้นอย่างชัดเจนหรือเปล่า
เมื่อท่านนำเอาพระโอวาทไปปฏิบัติในชีวิต

ส่วนเรื่องภัยพิบัติที่เรากล่าวถึง
ท่านก็สามารถพิสูจน์ความจริงได้เช่นกันว่า
มันมีแนวโน้มอย่างที่เรากล่าวไว้หรือเปล่า
เช่น แผ่นดินไหวทุกวัน รุนแรงขึ้นทุกวัน
และเกิดขึ้นพร้อมๆกันทั่วโลก

พายุหมุนเกิดขึ้นทั่วโลก
สร้างความรุนแรงและหายนะเพิ่มขึ้นทุกวัน
ภูเขาไฟปะทุถี่ขึ้นทั้งใหม่และเก่า

นกหลงฟ้าปลาหลงน้ำมีปรากฏถี่ขึ้น
ปลาเลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ในทะเล
พากันหลงทิศว่ายมาเกยหาดตายบ่อยขึ้น

โลกเกิดภาวะเรือนกระจกแก้ไม่ได้มีแต่หนักขึ้น
เพราะปริมาณก๊าซออกซิเจนในระบบโลกลดลง
แต่ก๊าซคาร์บอนฯและก๊าซมวลหนักเพิ่มขึ้น
ซึ่งมีมนุษย์โลกนี่แหละเป็นเหตุ
ถ้ายังรักกันไม่ได้ให้อภัยกันไม่เป็นอยู่อีก
ภัยพิบัติมันจะเกิดรุนแรงกว่าที่เป็นอยู่จริงมั้ย
ก็ขอให้ท่านใช้เวลารอพิสูจน์ความจริงก่อน
อย่าใจร้อนด่วนปฏิเสธเลย

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
14-03-2018

ขณะที่ท่านกำลังเลี้ยงฉลองวันเกิด

ท่านรู้หรือไม่ว่า
 
ขณะท่านเลี้ยงฉลองวันเกิด
ท่านก็กำลังฉลองวันตายพร้อมกันไปด้วย
เพราะวันตายถูกกำหนดมาแล้ว
เช่นกัน

14 มีนาคม 2561

เข้าถึงนิพพานแน่ ถ้า....

รักเพื่อให้ 
จิตว่างไปจากกิเลสตัณหา
ใช้สติปัญญาดำเนินชีวิต

ชีวิตไม่ติดกรรม 
นำพระบิดาเทอดไว้เหนือเศียรเกล้า
เข้าถึงนิพพานแน่

09 มีนาคม 2561

พลียะเดี้ยนส์


นี่เป็นคลิปโชว์เพื่อการสอนให้รู้ว่า
กล่องพลังงานชีวิตผู้เป็นมิตรกับมนุษย์
ผู้มีความผูกพันกันกับมนุษย์โลกเสรี
มายาวนานนับหมื่นๆปี
ที่มีมายารูปลักษณ์แบบนี้นามว่า #พลียะเดี้ยนส์
รูปธรรมกลุ่ม "พลียะเดี้ยนส์"
มีฐานะเป็นตัวแทนแห่งพระผู้สร้าง
เป็นพี่เลี้ยง ผู้ดูแล และเป็นครู
เป็นผู้ที่มอบความรักและปรารถนาดี
ต่อมนุษย์โลกเสรีทุกคนอย่างใกล้ชิดตลอดมา
เมื่อถึงกาลเวลาที่ดาวโลกเสียสมดุล
รูปธรรมกลุ่มพลียะเดี้ยนส์ผู้ดูแลโลกและมนุษย์
ก็จะรับผิดชอบช่วยเหลือฟื้นฟูความสมดุลให้
ยามใดที่โลกและมนุษย์กำลังมีภัย
พี่ๆน้องๆกลุ่มนี้ก็จะคอยเฝ้า
เข้าช่วยเหลืออย่างมิห่างหาย
ในปฏิบัติการชำระโลกครั้งที่ 4 นี้
ภารกิจหนักและยุ่งยากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
เพราะนอกจากโลกจะเสียสมดุลมาเกินปกติแล้ว
พระบิดาหรือพระผู้สร้างยังทรงปรารถนา
จะยกระดับพลังอำนาจดาวโลกเสรีนี้
ให้มีพลังอำนาจมากกว่าเดิม 2 เท่าอีกด้วย
ซึ่งมันจะทำให้ทั้งโลกและมนุษย์ที่รอด
มีพลังอำนาจร่วมกันมากขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้น
การระดมสรรพกำลังการระดมสรรพวิธี
เพื่อคืนสมดุลให้โลกและยกระดับพลังอำนาจ
จึงมีความเข้มข้นสูงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงทั่วโลก
ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นพร้อมๆกันทั่วโลก
ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นทุกรูปแบบ
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นนั้นมนุษย์โลก
อาจไม่เคยคาดคิดว่ามันจะเป็นไปได้
จะไม่เคยคาดคิดหรอกว่ามันจะรุนแรงสุดๆ
รุนแรงขนาดฝูงชนหายและแผ่นดินหาย
มนุษย์จะไม่เคยคาดคิดหรอกว่า
ตลอด 24 ชั่วโมงในทุกๆวันนาน 56 วัน
ดาวโลกเสรีนี้จะถูกความมืดยึดครองไว้รอบด้าน
ขณะที่ภายในระบบโลกเอง
ก็จะมิอาจหาแผ่นดินที่สงบสุขให้เหยียบยืนได้
นอกจากมนุษย์จะค้นพบกันได้เองว่า
แท้แล้วที่ว่างที่จะสร้างสงบสุขให้ตนเองได้
มันมิได้อยู่ที่ไหนมันมิได้อยู่ไกลเลย
เพราะมันอยู่ที่ "ใจตนเอง" โดยแท้
เราจึงขอนำความรักจากมิตรแท้
ความรักจากผู้มีพระคุณ #ตัวจริงแท้จริง
ที่ท่านทั้งหลายจะต้องคารวะ
เพราะว่ารูปธรรมกลุ่มพลียะเดี้ยนส์
ผู้เดินทางมาจากดาวลูกไก่อันไกลโพ้นนี้
คือบรรพบุรุษแห่งเครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์
ที่สวยงามลงตัวและมีประสิทธิภาพที่สุด
ที่รูปธรรมมีชีวิตส่วนใหญ่ในเอกภพอันไพศาลนี้
พากันอิจฉามาเนิ่นนานแล้ว
กราบพระบาทพระบิดา
ขอบพระคุณพี่ๆน้องพลียะเดี้ยนส์
ที่เมตตาจัดคลิปนี้มาให้เผยแพร่เพื่อการเรียนรู้
สำหรับมนุษย์โลกเสรีที่อยากรู้
และที่ยังไม่รู้ว่าตนไม่รู้
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
9-03-2018

จงอย่าหนีปัญหาถ้าปรารถนาจะนิพพาน


" ทุกปัญหาในชีวิตช่วยผลิตปัญญา "

ปัญหาใหญ่ยากที่หนักอก   จะช่วยยกระดับสติปัญญา

...จงอย่าหนีปัญหาถ้าปรารถนาจะนิพพาน...

08 มีนาคม 2561

อย่าเย้ยฟ้าท้าดิน


 อย่าหมิ่นพระเจ้า 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เรื่องโลกกำลังจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
เรื่องพระผู้สร้างกำลังเร่งรัดปฏิบัติการชำระโลก
เรื่องมนุษย์โลกจะต้องทำสงครามกับภัยพิบัติ
เรื่องหายนะภัยที่รุนแรงจะทะยอยเกิดขึ้นบนโลก
เรื่องใหญ่ๆใน 4 เรื่องนี้
มนุษย์โลกจักต้องเตรียมตนเองและจิตวิญญาณ
เอาไว้ให้พร้อมต่อการผจญภัยกันตั้งแต่เนิ่นๆ
ซึ่งเราได้ทำหน้าที่รับพระบัญชามา
โดยได้บอกกล่าวข่าวสารเหล่านี้ให้ชาวโลกรู้
ตั้งแต่ 30 ปีที่ผ่านมาแล้วอย่างต่อเนื่องนั้น
น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่
ไม่ใส่ใจใยดีในข่าวสารจากจักรวาลเท่าที่ควร
บ้างเมื่อได้ฟัง
ก็ชิงปฏิเสธข่าวสารทันทีว่า
ไม่จริง ไม่เชื่อ ไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้
บ้างเมื่อได้ฟัง
ก็ต่อต้านผู้กล่าวข่าวสารนี้ทันทีว่า
เพี้ยน บ้า อยากดัง ทำลายความสงบสุข
ปลุกเร้าผู้คนให้ตื่นกลัว ทำตัวอุตริ ฯลฯ
ข่าวสารการชำระโลกและความรู้ใหม่
ซึ่งองค์จิตจักรวาลทรงเมตตาสื่อสารผ่านเรามา
จึงถูกผู้คนส่วนใหญ่วางเฉยอย่างไม่ใยดี
ทั้งๆที่ทุกสิ่งล้วนเป็นความจริง
ที่ทุกคนจะต้องรู้
ยิ่งรู้ล่วงหน้าได้นานเท่าใด
ก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์มากเท่านั้น
ที่ผลลัพธ์มันเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า
พี่ๆน้องๆส่วนใหญ่ได้ตัดสินใจแล้วว่า
"ไม่ใส่ใจและไม่เชื่อ" ในข่าวสารความรู้ใหม่
ที่พระบิดาทรงเมตตาสื่อผ่านเรามานั่นเอง
มันไม่แปลกใจสำหรับเรานักหรอก
เพราะประสบการณ์ 7 ภพชาติสอนให้รู้ว่า
มนุษย์ส่วนใหญ่จะตัดสินข่าวสารความรู้ใหม่
ในทันทีที่ได้ "รับรู้" ด้วย "ความเชื่อ"
แทนการตัดสินด้วยวิธีรับรู้แล้ว "เรียนรู้"
เรียนรู้เพื่อให้รู้ว่า "อะไรเป็นอะไรอย่างไร"
แล้วจึงค่อยตัดสินใจ "ยอมรับ" ในบั้นปลาย
เพราะมนุษย์มีนิสัยรับรู้เพื่อเชื่อหรือไม่เชื่อ
มนุษย์จึงใช้ความรู้สึกของตนเองเป็นตัวชี้วัด
ข่าวสารความรู้ใหม่โดยมิได้ใช้สติปัญญาที่มีอยู่
การตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อของมนุษย์
จึงผิดๆถูกๆตลอดมา
เพราะปัญหาเดียวคือ #งมงาย โดยแท้
เมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่พบว่าทั้งชีวิตของตน
มีการตัดสินใจเชื่อคนเชื่อคดีความมาผิดๆถูกๆ
จึงขลาดกลัวต่อการตัดสินใจของตนเอง
พอมีเรื่องใหม่สิ่งใหม่ให้ตัดสินใจกันในวันนี้
ก็จะพากันปฏิเสธหรือวางเฉยเอาไว้ก่อน
เพื่อป้องกันตนเองไว้มิให้เสียท่าอีก
เมื่อเรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้
#ข่าวสารความรู้ใหม่ของพระบิดา
ที่ทรงสื่อผ่านเรามาประกาศให้โลกทราบ
จึงถูกปฏิเสธและเพิกเฉยจากคนเหล่านี้
เพราะมนุษย์มีนิสัยรับรู้สิ่งใดแล้ว
ขณะรับทราบรับฟังก็จะใช้จิตอีกกลุ่มหนึ่ง
ค้นหาความรู้นั้นจาก #ประสบการณ์เดิมของตน
คู่ขนานกันไปในขณะรับรู้อยู่
เพื่อจะได้ตัดสินใจว่า
1.ถ้าพบว่า #องค์ความรู้นั้น ตรงกับที่รู้อยู่
ตนก็จะไม่ปฏิเสธความรู้นั้น
แต่จะปฏิเสธที่จะรับรู้รับฟังความรู้นั้นต่อ
โดยจะบอกกับตัวเองว่า "ฉันรู้แล้ว"
ซึ่งการตัดสินความรู้ใหม่ลักษณะนี้
ก็มิได้ใช้สติปัญญาพิจารณาแต่อย่างใด
2.ถ้าพบว่า #องค์ความรู้นั้น ไม่ตรงกันกับที่รู้มา
ตนก็จะปฏิเสธความรู้ใหม่นั้นไปทันที
โดยจะสรุปว่า #เป็นความรู้ที่ไม่ถูกต้อง
เหตุที่ตัดสินว่าความรู้ใหม่นั้นไม่ถูกต้อง
ก็เพราะมันไม่ตรงกันกับ "ความรู้เดิม" ที่ตนรู้อยู่
ซึ่งการตัดสินความรู้ใหม่ในลักษณะนี้
เป็นการตัดสินใจโดยใช้ #ครูเก่าความรู้เก่า
เพื่อตัดสิน "ครูใหม่กับความรู้ใหม่"
ในเส้นทางของผู้งมงายกับการเชื่อไม่เชื่อ
เพราะขาดการใช้ #สติปัญญา อีกนั่นเอง
3.ถ้าพบว่า "องค์ความรู้" นั้น
ตนไม่เคยรู้ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
มนุษย์ก็จะมีทางเลือกอยู่ 3 ทาง
วิธีเลือกก็จะใช้อุปนิสัยของแต่ละคน
เป็นตัวกำหนดเลือก 1 ใน 3 ทางเลือกนั้น
กล่าวคือ
3.1 เลือกที่จะปฏิเสธด้วยการเพิกเฉย
ข่าวสารความรู้นั้นทันทีว่า ไม่จริง ไม่เชื่อ ไม่ใช่
โดยยึดถือประสบการณ์ตัวเองเป็นสำคัญ
นั่นคือเพราะตนเองไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมาก่อน
ตนก็เลยไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริงจึงเพิกเฉย
ทั้งนี้เพราะยึดติด "อัตตา" ที่มีอยู่ในตน
3.2 เลือกที่จะปฏิเสธด้วยการออกมา
ต่อต้านข่าวสารความรู้ใหม่ที่ตนไม่เคยรู้
โดยคนพวกนี้นอกจากจะยึดติดอัตตาตัวกู
หรือมีอีโก้สูงๆกันแล้ว
ยังใช้เป็นโอกาสนำเสนอตนเองต่อสังคม
ด้วยการออกมาอวดปัญญาและภูมิรู้ที่แสร้งรู้
เพื่อต่อต้านโต้แย้งตะแบงความ
เพื่อที่จะบิดเบือนข่าวสารความรู้ใหม่
ให้สังคมที่งมงายเพราะพวกตนอยู่แล้ว
บังเกิดความลังเลสับสน
โดยให้หันมาเชื่อตนเองแทน
แล้วเพิกเฉยละเลยต่อความรู้ใหม่นั้นไป
ซึ่งคนพวกนี้มักจะใช้พลังขับเคลื่อนจาก
ความรู้เดิมของตน
ประสบการณ์เดิมของตน
ความเชื่อเก่าๆของตน
ครูคนเก่าๆของตน
ความคิดส่วนตัวของตน
สติปัญญาของตน
ความหลงตัวเองของตน
ความอยากเด่นอยากดังของตน
ฯลฯ
ในการต่อต้าน โต้แย้ง ตะแบงความ
แทนที่จะแนะนำสังคมให้ฉลาดใช้ปัญญา
เพื่อการพิจารณาข่าวสารความรู้ใหม่นั้น
แทนการตัดสินใจรับรู้แล้วเชื่อไม่เชื่อ
โดยมิได้ใช้ความคิดหลักการและเหตุผล
3.3 เลือกที่จะไม่เชื่อความรู้ใหม่นั้นทันที
เมื่อพบว่า "ผู้นำเสนอ" ความรู้ใหม่นั้น
เป็นคนหน้าแปลกที่ตนไม่รู้จักไม่คุ้นเคย
เป็นคนที่ตนเองรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือ
เป็นคนที่ตนเองไม่ยอมรับด้วยจิตลบ
เป็นแหล่งข่าวที่ตนเองไม่รู้จัก
เป็นแหล่งข่าวที่ตนเองรู้จักแต่ไม่ศรัทธา
ซึ่งการปฏิเสธข่าวสารความรู้ใหม่แบบนี้
เป็นการใช้วิธีปฏิเสธความรู้ใหม่
เพราะไม่ยอมรับ "ผู้นำเสนอ" ความรู้ใหม่นั้น
ทั้งๆที่มันเป็นคนละเรื่องกัน
ขอให้ท่านทั้งหลาย
อ่านทบทวนบทเรียนสเตตัสนี้หลายๆรอบ
เพื่อค้นให้พบว่าท่านเอง
เป็นหนึ่งในแบบเหล่านี้บ้างหรือไม่
แต่เราขอยืนยันว่า
มรรควิถีจิตจักรวาลที่เราหมั่นนำเสนอนี้
กล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายทุกเรื่อง
แม้แต่เรื่องมหันตภัยในการชำระโลก
เราอาจกล่าวแต่น้อย กล่าวมานาน
และมิได้กล่าวย้ำบ่อยนัก
แต่เราขอยืนยันต่อท่านว่า
เป็นจริงทุกเรื่องไม่มีเปลี่ยนแปลง
ตราบกระทั่ง...ทุกวันนี้
O]O
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8-03-2018