29 มกราคม 2563

เสียงแตรของฑูตสวรรค์เริ่มเป่าดังขึ้นแล้ว


สนทนาประสาจิตจักรวาล
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า
แผนปฏิบัติการชำระโลกของพระบิดา
ในพระหัตถ์ฑูตสวรรค์หรือช่างเท็กนิคนั้น
เห็นทีจะต้องเร่งรัดปฏิบัติการแล้ว
เพื่อตามติดจิตสามนึกที่ตกต่ำของชาวโลก
ซึ่งนับวันจะยิ่งแย่ลงๆมากขึ้นให้ทัน
ก่อนโลกเสรีที่สวยงามจะถึงความหายนะ
หายนะโลกจากน้ำมือชาวโลกด้วยกัน
มีหลายประการดังนี้
1.การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ
เช่น ตัดโค่นต้นไม้ทำลายผืนป่าและเผาป่า
ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อดำรงชีวิตของสัตว์ป่า
และเป็นแหล่งอาหารทางธรรมชาติ
ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ
สำหรับมนุษย์และสัตว์ป่าทั้งหลายด้วย
จนยังผลให้สัตว์ป่าสูญพันธุ์เพราะไร้ที่อาศัย
จนยังผลให้ภูมิอากาศโลกเกิดความแห้งแล้ง
เพราะป่าไม้ที่ช่วยรักษาความชุ่มชื้นถูกทำลาย
จนยังผลให้หน้าฝนเกิดน้ำป่าไหลหลากลงมา
เนื่องจากไม่มีต้นไม้รากไม้คอยชะลอน้ำ
มิให้ไหลหลากลงมาจากภูเขาเร็วเกินไป
จนทำให้ชุมชนในที่ราบประสบกับอุทกภัย
หรือเกิดแผ่นดินสไลด์ภูเขาถล่มหมู่บ้าน
ที่เป็นภัยพิบัติจากการขาดสมดุลในธรรมชาติ
2.การระเบิดเทือกเขาสูงใหญ่ทั้งหลายทิ้งไป
ทำให้กำแพงที่เคยกั้นลมพายุไว้ถูกทำลาย
เมื่อพายุรุนแรงพัดผ่านมาหมู่บ้านก็ไร้ที่กำบัง
จนต้องประสบกับวาตภัยขั้นหายนะ
นอกจากนั้น
การระเบิดภูเขาเพื่อนำเอาหินทั้งหมด
ไปสร้างป่าคอนกรีตที่ในเมืองนั้น
มันคือการขนย้ายภูเขาในที่ๆเขาควรอยู่
ไปไว้ยังอีกที่หนึ่งที่เขาไม่ควรจะไปอยู่นั่นเอง
พอมีการโยกย้ายไปผิดที่ผิดทางเข้า
มันก็ทำให้โลกทรงกลมๆที่หมุนรอบตัวเองอยู่ดีๆ
เกิดอาการเสียสมดุลคือหมุนไปส่ายไป
หากจะเข้าใจเรื่องนี้ให้แจ่มชัด
ก็ให้นึกถึงช่างที่ใช้ตะกั่วชิ้นเล็กๆถ่วงล้อ
เพื่อทำให้รถยนต์วิ่งบนถนนอย่างสมดุล
โดยล้อไม่แกว่งส่ายในขณะที่รถกำลังวิ่ง
ล้อที่หมุนขณะรถกำลังวิ่งไปบนถนนนั้น
ไม่ต่างจากโลกที่เหวี่ยงหมุนไปในอวกาศ
ส่วนตะกั่วถ่วงล้อชิ้นเล็กๆเมื่อเทียบกับล้อรถ
ก็คือภูเขาสูงใหญ่แต่เล็กมากเมื่อเทียบกับโลก
ที่พระบิดาทรงติดตั้งเอาไว้บนโลกตรงพิกัดนั้น
เพื่อใช้ถ่วงโลกให้เหวี่ยงหมุนอย่างสมดุล
เหมือนกับช่างที่ใช้ตะกั่วชิ้นเล็กถ่วงล้อนั่นเอง
คงไม่มีใครนึกพิเรนทร์
ไปย้ายตะกั่วถ่วงล้อตรงพิกัดเดิม
เอาไปติดตั้งตรงตำแหน่งอื่นแทนแน่
เพราะรู้แก่ใจดีว่ามันจะทำให้ล้อนั้นเสียสมดุล
ขืนนำไปใช้ก็อาจแกว่งส่ายจนล้อหลุด
ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้
หรืออย่างน้อยก็ทำให้ยางรถยนต์สึกเสื่อม
จนต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่ก่อนกำหนดได้
ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
ภูเขาของพระบิดาคือมวลที่มีน้ำหนักเพิ่ม
ที่พระองค์ทรงกำหนดติดตั้งไว้เฉพาะที่
เพื่อช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนอย่างสมดุล
พวกท่านจึงไม่สมควรที่จะระเบิดทำลายทิ้ง
แล้วนำมวลของภูเขาออกไปจากตรงนั้น
และไม่สมควรทำอย่างยิ่งที่จะยกขนมวลภูเขา
เอาไปก่อสร้างป่าคอนกรีตในสถานที่อื่น
การที่โลกหมุนไปส่ายไปในทุกวันนี้
จนทำให้กลางวันกลางคืนในแต่ละวัน
มีเวลาสั้นยาวไม่เท่ากันนั้น
ก็เกิดจากสาเหตุที่เรากล่าวไว้ในข้อนี้ด้วย
3.พี่ๆน้องๆบนดาวโลกเสรีนี้
ส่วนใหญ่พากันก้าวตามคนนำทางตาบอด
ซึ่งพาท่านทั้งหลาย "หลงทาง" กันอยู่
พวกหนึ่งก็ทำตัวเป็นเจ้าสาว
ที่เฝ้ารอคอยการกลับมาของพระบุตรเอก
เพื่อจะมาเป็นเจ้าบ่าวจูงเจ้าสาวเข้าประตูหอ
ซึ่งหมายถึงมานำพาจิตวิญญาณพวกตน
ผ่านด่านนภาลัยประตูมิติของอนันตจักรวาล
ออกไปยังแดนสุญตานอกอนันตจักรวาล
อันเป็นบัานเกิดของจิตวิญญาณ
ที่องค์จิตจักรวาลทรงรอพวกท่านอยู่นานแล้ว
ซึ่งคนนำทางของท่านในกลุ่มนี้
ชักพาให้ท่านทั้งหลายเชื่อกันว่า
พระศาสดาทรงไถ่บาปรับบาปแทนหมดแล้ว
พวกท่านจึงไม่มีบาปเหลืออยู่อีกแล้ว
จึงได้แต่รอพระองค์กลับมาตามสัญญา
เพื่อมาพาพวกท่าน "หลุดพ้น"
กลับคืนสู่สวรรค์นิรันดรกันอยู่ตลอดมา
โดยไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาเมื่อไหร่
จะกลับมาในรูปลักษณ์แบบเดิมหรือแบบใด
จะเสด็จกลับมายังดาวโลกเสรีนี้อย่างไร
พวกคนนำทางตาบอดก็บอกพวกท่านไม่ได้
จึงติดยึดอยู่คำเดียวคือ รอพระองค์กลับมา
โดยไม่เคยฉลาดฉุกคิดบ้างเลยว่า
ถ้าพระองค์เสด็จกลับมาตามสัญญา
โดยทรงปรากฏพระองค์บนโลกแล้วจริงๆ
พวกท่านจะตาไวเหมือนเหยี่ยว
พวกท่านจะจมูกไวเหมือนสิงห์โต
จนสามารถจดจำพระองค์ได้กันหรือไม่
ดังนั้น
การได้แต่คอยรอโดยไม่ทำอะไร
หรือได้แต่หลับไหลรอ
จนละเลยในพันธะสัญญา 6 ที่ต้องปฏิบัติ
จนละเลยปฏิบัติการชำระจิตพัฒนาปัญญา
ทำให้พวกท่านกลายเป็นขยะที่รกโลก
เพราะมิอาจเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกได้
เนื่องจากคนนำทางพวกท่านมิได้สอน
แถมยังพาพวกท่านหลงทางอีกต่างหาก
ขณะที่คนนำทางตาบอดอีกพวกหนึ่ง
กลับชักพาท่านสร้างทางเบี่ยงออกจากโลก
ด้วยการพยายามหาทางดับการมีสังสารวัฏ
แต่กลับพาจิตวิญญาณของท่านหลุดลอย
ไปเกิดบนสวรรค์มายาเป็นเทพเทวดาแทน
ซึ่งเป็นการดับการเกิดดับแบบเทียมเท็จ
เพราะไม่เกิดใหม่บนโลกอีกแล้วก็จริงอยู่
แต่ก็ยังไปเกิดใหม่แบบ "แขวนลอย"
อยู่บนสวรรค์มายาที่พระบิดามิได้สร้างแทน
จะไปต่อก็ไปไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าจะไปไหน
จะกลับลงมาเกิดบนโลกอีกก็ลงมาไม่ได้
จึงพากันไปแขวนลอยค้างเติ่งอยู่บนนั้น
ทั้งๆที่ภารกิจของจิตวิญญาณ
คือ จิตหยาบต้องแทรกแซงขันธ์ 5
โดยเปลี่ยนจากการหมุน "กรรมจักร"
ไปเป็นหมุน "ธรรมจักร" ให้สำเร็จให้จงได้
แต่คนนำทางตาบอดพวกนี้ไม่นำทำ
ไปนำขึ้นเขาวงกตเลี้ยวขึ้นเขาพระสุเมรุแทน
คนนำทางทั้งสองพวกที่เรากล่าวมา
จึงเป็นผู้นำพาท่านทั้งหลายละเลยภารกิจ
ที่จิตวิญญาณขันอาสาพระบิดาเข้ามาทำ
นั่นคือการใช้พลังความรักและปัญญา
จากการหมุนธรรมจักรช่วยพิทักษ์สมดุลโลก
เมื่อพวกท่านส่วนใหญ่
ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนสมดุลโลกกันไม่ได้
เพราะหลงทางหลงธรรม
มหันตภัยพิบัติโลกจึงยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
จนพระบิดาทรงปล่อยให้เป็นไปมิได้อีกแล้ว
การเร่งวันเวลาชำระโลกจึงจำเป็นต้องทำ
4.พี่ๆน้องๆบนโลกเสรีนี้ไม่รักกัน
โดยนำเอาความแตกต่างของกันและกัน
มาสร้างความแตกแยกจากการเป็นหนึ่งเดียว
นอกจากนั้น
ความบ้าอำนาจเพราะอยากมีอำนาจเหนือ
ผลประโยชน์อันเกิดจากความโลภ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นที่มาของการต่อสู้
เป็นที่มาแห่งการศึกสงครามทุกรูปแบบ
การผลิตสร้างขยะวัตถุเท็คโนโลยีและอาวุธ
เพื่อทำลายล้างกันจึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย
การต่อสู้กันด้วยอาวุธสงครามและนิวเคลียร์
การต่อสู้กันด้วยสงครามทางเศรษฐกิจการค้า
การต่อสู้กันด้วยสงครามทางศาสนา
การต่อสู้กันด้วยสงครามเชื้อโรค
การต่อสู้เหล่านี้จึงเกิดขึ้นทั่วโลก
จนแทบจะไม่มีเวลาให้เกิดสันติสุขอีกแล้ว
โดยเฉพาะสงครามเชื้อโรค
ที่เป็นสงครามแบบใหม่ซึ่งถูกนำมาใช้
โดยผู้นำประเทศบ้าอำนาจขาดศีลธรรม
เพื่อทำลายความมั่นคงและสร้างความอ่อนแอ
ให้แก่ศัตรูคู่อริของตนอย่างเลือดเย็น
เพราะทำสงครามทางการค้าก็สู้ไม่ได้
จะทำสงครามด้วยอาวุธก็ไม่กล้าเสี่ยง
จึงหันมาใช้เชื้อโรคที่เพาะพันธุ์จากห้องแล็ป
ส่งเข้าไปโจมตีศัตรูคู่อริแทน
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
พวกท่านคือ "เหยื่อสงคราม" ทุกรูปแบบ
ของนักการเมืองที่บ้าอำนาจขาดคุณธรรม
ที่จะใช้ท่านเป็นเครื่องพลีชีพ
ในการเอาชนะของอีกฝ่ายหนึ่ง
เพื่อตนและพวกตนอย่างใจทมิฬ
เสียงแตรของฑูตสวรรค์เริ่มเป่าดังขึ้นแล้ว
ความโกลาหลบนโลกเสรีนี้กำลังจะเกิดขึ้น
พี่น้องยุวจิตจักรวาลทายาท
ผู้มี "เทพเจ้าแห่งอัคคี"
นกฟีนิกซ์ที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นภูมิคุ้มกาย
ท่านจะได้รับการปกป้องเป็นอย่างดี
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29/01/2020

28 มกราคม 2563

จงอย่าเชือนแชกับข่าวร้ายด้านภัยพิบัติ





#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า


โลกทุกวันนี้
ถ้าท่านเป็นคนช่างสังเกตแล้ว
จะพบว่าโลกมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น
ทั้งวันทั้งคืนในทุกๆวันโดยไม่มีวันหยุด
ซึ่งมีการสั่นไหวเกิดขึ้นทุกภูมิภาคทั่วโลก
เกิดขึ้นได้ทั้งบนบกและในทะเล

โดยเฉพาะตามหมู่เกาะ
ซึ่งเป็นประเทศใหญ๋ๆทั้งหลาย
และประเทศที่อยู่ในแนววงแหวนแห่งไฟ
จะสั่นสะเทือนให้เป็นข่าวอยู่เป็นประจำ
อีกทั้งแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว
ก็มีแนวโน้มว่าจะยกระดับสูงขึ้นเรื่อยๆด้วย

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

หากท่านยอมรับความจริงได้ว่า
ทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหว
อุทกภัย ไฟป่า วาตภัย แผ่นดินยุบแยก
โคลนถล่ม น้ำป่าไหลหลาก ภูเขาสไลด์
ภูเขาไฟใหม่เก่าปะทุรุนแรงอยู่เนืองๆ
รวมทั้งเรื่องฝุ่นควันไอพิษ
ไปจนถึงเรื่องโรคระบาดแพร่เชื้อ

ล้วนเป็นภัยที่อยู่ในแผนปฏิบัติการชำระโลก
ของฑูตสวรรค์หรือช่างเท็กนิค
ที่ได้รับพระบัญชาจากพระบิดา
ให้เข้ามาทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงโลก
เพื่อนำมนุษย์กับโลกสู่ยุคพลังงานใหม่แล้ว

ปรากฏการณ์แห่งภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเหล่านั้น
ล้วนเป็นความต้องการสร้างแรงสั่นสะเทือน
ให้เกิดขึ้นกับดาวเคราะห์โลกและมวลมนุษย์
ให้มีความถี่สูงขึ้นทางด้านบวก
โดยเพิ่มค่าความถี่ของการสั่นให้สูงขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้เพื่อ "เตือนภัย" ให้มนุษย์รู้ล่วงหน้าว่า
อีกไม่ช้าภยันตรายจะเข้ามาหาจนถึงตัว
จักได้เตรียมตัวและจิตวิญญาณไว้ผจญภัย
ในวันที่สิ่งเลวร้ายเหล่านั้นจะมาถึง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ท่านจะสังเกตได้ว่าในอดีตที่ผ่านมา


ปรากฏการณ์แห่งการเกิดภัยพิบัติทุกรูปแบบ
จะเน้นที่การสร้างแรงสั่นสะเทือนด้านลบ
ให้มนุษย์โลกรับรู้จำเพาะพิกัดพื้นที่
โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้เกิด #ความกลัว
เพราะความกลัวจากจิตมนุษย์ทั้งหลาย
ที่สั่นสะเทือนขึ้นมาเมื่อยามมีภัยมาถึงตัวนั้น
มันหมายถึงการ "กลัวตาย" นั่นเอง

นอกจากกลัวว่าตัวเองจะตายแล้ว
ยังจะกลัวว่าพ่อแม่ญาติพี่น้องบุตรบริวาร
รวมทั้งคนที่ตนเอง "รัก" ต้องตายด้วย

ดังนั้น
อาการสั่นสะเทือนเป็น "ความกลัวตาย"
จึงหมายถึงการสั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุด
เป็น "ความรัก" ที่แท้จริงและบริสุทธิ์
เพราะเป็นความรักเพื่อให้
โดยไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทนนั่นเอง
ซึ่งมนุษย์โลกเสรีล้มเหลวกันมาตลอด


เนื่องจากยังรักกันแบบมีเงื่อนไข
จึงไม่อาจหมุนธรรมจักรมอบรักให้โลกได้
จนยังผลให้โลกเสียสมดุลเพราะหมุนช้าลง
ทำให้ภูมิอากาศและอำนาจแม่เหล็กโลก
เกิดการวิปริตรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ภัยธรรมชาติจึงเกิดขึ้นอย่างรุนแรงหนักหน่วง
ทับซ้อนกับแผนการชำระโลกของพระบิดา
ที่ใช้มหันตภัยพิบัติเป็นเครื่องมือเช่นกัน
จนบัดนี้ก็แทบจะแยกกันไม่ออกแล้วว่า
ไหนคือภัยพิบัติตามแผนการชำระโลก
ไหนคือภัยธรรมชาติอันเกิดจากโลกเสียสมดุล
เพราะมนุษย์เองเป็นผู้ก่อเหตุนั้น

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

นอกจากภัยพิบัติต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลก
จะเป็นเงื่อนไขที่ฑูตสวรรค์หรือช่างเท็กนิค
ฉวยใช้กระตุ้นจิตสำนึกแห่งรักของมนุษย์
ให้บังเกิดขึ้นแก่จิตใจผู้คนเป็นจำนวนมาก
ที่ตั้งแต่เกิดมายังไม่รู้เลยว่าความรักคืออะไร
ให้สอบผ่านบททดสอบบทสุดท้าย
ซึ่งเป็นบทเรียนแห่งความกลัวตายแล้ว

การสร้างภัยพิบัติที่รุนแรงน่ากลัวมากขึ้น
นำภัยพิบัติเข้ามาใกล้ตัวท่านทั้งหลายมากขึ้น
ทำให้เกิดภัยถี่ขึ้นๆจนถึงขั้นทำให้หวาดผวา
เพราะไม่รู้ว่าภัยอะไรจะมาถึงตัวเองเมื่อไหร่
และในแต่ละครั้งที่มีภัยพิบัติเกิดขึ้น
ก็จะเกิดความสูญเสียวอดวายหายนะมากยิ่งขึ้น
ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่
ท่านทั้งหลายจักได้เผชิญกันจนชินแน่นอน

สิ่งสำคัญสุดท้ายที่เราจะกล่าวต่อท่าน
เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้รับรู้ว่า

ภัยพิบัติทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาค
ตั้งแต่หลายขวบปีที่ผ่านมาจนปัจจุบันนี้นั้น
เป้าประสงค์หลักที่สำคัญยังมิใช่ขั้นชำระจริง
แต่เป็นการสั่นสะเทือนเพื่อ #เตือนสติ ชาวโลก
ให้ใช้ชีวิตอย่างรอบคอบและไม่ประมาท
โดยมุ่งเน้นที่ "การตื่นตัว" มิใช่ "ตื่นตูม"
เน้นที่การ "กลัวตาย" อย่างมีสติ


โดยให้หันมารับฟังข่าวสารจากจิตจักรวาลบ้าง
เพราะไม่มีใครบนโลกที่จะบอกข่าวนี้แก่ท่านได้
นอกจาก "เรา" ผู้ได้รับพระบัญชาให้กลับมา
เพื่อช่วยฉุดช่วยแกะพวกท่านจากการยึดติด
ให้หลุดพ้นออกไปจาก #อนันตจักรวาล
ให้ทันก่อนโลกสิ้นยุคพลังงานเก่าเท่านั้น


ด้วยเหตุนี้เอง
จงอย่าเชือนแชกับข่าวร้ายด้านภัยพิบัติ
ที่มันจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าอีก
ไม่ว่าภัยนั้นจะเกิดตรงพิกัดใดแบบใดก็ตาม

ขอให้ท่านสอบผ่านบททดสอบจิตสามนึก
ด้วยความรักและเมตตาต่อผู้ประสบภัยให้ได้
ด้วยการตื่นสติรักตัวกลัวตาย
อย่างไม่ขี้ขลาดกันไว้ล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ
ซึ่งสักวันหนึ่งภัยร้ายจะมาเยี่ยมท่านจนถึงที่
ในแบบที่ท่านไม่ชอบใจอย่างแน่นอน
จักได้ไม่ตื่นตกใจจน "สติแตก" เอ๋อเหรอ
เพราะระบบไฟฟ้าในเครื่องยนต์แห่งกรรมชำรุด

ซึ่งมันจะน่าเสียดายมากถ้าท่านเป็นคนดี
ที่พระองค์ทรงประทานความรอดให้
แต่กลับทำตัวอวดดีดื้อดึงไม่ฟังข่าวสารของเรา
จนถึงขั้นสติแตกเอ๋อเหรอไปในวันนั้น
วันเวลาที่ภัยพิบัติใหญ่มาถึงนั่นแหละ

ท่านรู้หรือไม่ว่า
กว่าจะฟื้นคืนสติเป็นผู้คนปกติดังเดิมได้
หลังปฏิบัติการชำระโลกสิ้นสุดลงแล้ว
ผู้นั้นจะต้องเป็นดั่ง #วัตถุล่องลอย ที่มีชีวิต
โดยจิตวิญญาณจะถูกกักขังอยู่ข้างใน
อย่างยาวนานไม่น้อยกว่า 6 ปีโลกเลยทีเดียว

ท่านทั้งหลายจงอย่าเชื่อเรา
ทันทีที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้
โดยที่ท่านมิได้คิดพิจารณาคำกล่าวของเรา

ท่านจงอย่าปฏิเสธคำกล่าวของเรา
ทันทีที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้
โดยที่ท่านเองก็ยังอธิบายไม่ได้ว่า
ทำไมจึงท่านจึงปฏิเสธคำกล่าวข่าวสารของเรา

เพราะการเชื่อหรือไม่เชื่อ
โดยไม่ใช้สติปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง
มันล้วนเป็น #ความงมงาย ทั้งนั้น

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28/01/2020

ธรรมจักรกัปปวัฒนสูตร คือ อะไร



สามเหลี่ยมมายาตรงหน้าผาก

· 


ตอบคำถาม: #CjwSurin

#Question :
กราบเรียนถามท่านอาจารย์

1.
สามเหลี่ยมที่ปรากฎบนหน้าผาก
เป็นมายาที่สะท้อนมาจากแก่นแท้
ของอะไรครับ

2.
เราจะต้องปฎิบัติตัวอย่างไร
จึงจะเกิดสามเหลี่ยมนี้ได้

#Answer 1:
สามเหลี่ยม "มายา" ที่ปรากฏบนหน้าผาก
เป็นรหัสสำแดงสัญลักษณ์เพื่อบ่งชี้
ความเป็น "ยุวจิตจักรวาลทายาท" รุ่นสุดท้าย
ในปลายยุคพลังงานเก่านี้
ซึ่งเป็นผู้ที่สอบผ่านการทดสอบ
จนได้รับประทานความรอดจากพระองค์

ด้วยการสะท้อนภาพเงาของเส้นแสง
ที่ปรากฏเกิดขึ้นในมิติแห่งจิตวิญญาณ
จากปฏิบัติการทำสามเหลี่ยมกับพระบิดา
ตามมรรควิถีจิตจักรวาลอยู่เป็นประจำ
ให้ปรากฏเงามายานั้นขึ้นตรงกลางหน้าผาก

เพื่อเป็นที่สังเกตต่อฑูตสวรรค์ทั้งหลาย
ผู้เข้ามาปฏิบัติการชำระโลกทั้งระบบทุกมิติ
จะได้สังเกตง่ายๆว่า "ใคร" คือบุตรมนุษย์
ผู้ที่พระองค์ได้ทรงประทานความรอด
ให้ผ่านสู่ประตูมิติแห่งบาบิโลนใหม่บนโลกได้
เพราะรอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง
ในปฏิบัติการชำระโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
ที่จะมีทั้งความรุนแรงและความเรื้อรัง

จะได้ไปชำระทั้งจิตและกายให้ใสพิสุทธิ์
ในด่านสุดท้ายบนแผ่นดินโลกเสรีนี้
อันเป็นสถานที่พำนักแห่งสุดท้าย
ของประดารูปธรรมทางวิญญาณทั้งหลาย
ผู้พร้อมต่อการ "หลุดพ้น" สู่ "ด่านนภาลัย"
ประตูบานสุดท้ายของ #อนันตจักรวาล
ก่อนกลับคืนสู่บ้านเกิดของจิตวิญญาณ
ที่องค์จิตจักรวาลทรงรอคอยพวกท่านอยู่

สำหรับเงามายาที่เป็นรูปสามเหลี่ยมนี้
ส่วนใหญ่แล้วจะมองด้วยตาเนื้อไม่เห็น
นอกจากผู้ที่มีภารกิจทางจิตวิญญาณ
ในการช่วยเหลืองานของพระองค์อยู่เนืองๆ
ก็อาจมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อเป็นเงาจางๆ
สำหรับในบางท่านและบางเวลาเท่านั้น

เพราะยิ่งทำสามเหลี่ยมถี่บ่อยมากเท่าไหร่
ทักษะหรือความชำนาญก็จะมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อชำนาญมากขึ้น "เงา" ก็ย่อมชัดเจนขึ้น

ส่วนผู้ที่ไม่ปรารถนาจะให้ปรากฎต่อคนทั่วไป
ภาพมายาสามเหลี่ยมที่ว่านี้ก็จะถูกบดบังไว้
มิให้มีการสะท้อนออกมาภายนอกให้ใครเห็น

ดังนั้น
ผู้ที่ได้รับประทาน "ความรอด" ทุกราย
จึงไม่จำเป็นว่าจะต้องให้ใครแลเห็น
มายา 3 เหลี่ยมตรงหน้าผากที่ว่านี้เสมอไป


Answer 2:
ถามว่า...จะปฏิบัติอย่างไร
จึงจะเกิด 3 เหลี่ยมนี้ได้นั้น
เรามีคำตอบให้ท่านทั้งหลายดังต่อไปนี้

1.เป็นบุตรที่ดีที่อยู่ในพระโอวาทพระบิดา
ไม่ทำตัวนอกรีต ไม่อุตริอวดอวิชชา
โดยครองมหาสติและมีปณิธานแห่งนิพพาน
อย่างมั่นคงและแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม

2.แทรกแซงกรรมจักร คือ "ขันธ์ 5"
เพื่อหมุนธรรมจักรได้เป็นผลสำเร็จ
ในอันที่จะ "คนตนเอง" ให้เป็น "มนุษย์"
ร่วมกันกับพี่ๆน้องๆคนอื่นๆทั้งคนดีและไม่ดี
อย่างไม่มีเงื่อนไขข้ออ้างใดๆทั้งสิ้น

โดยใช้พลังความรักและพลังปัญญา
เป็นเครื่องมือหลักในการ "คน"

นั่นคือ
ต้องใช้สติปัญญาเป็น
ต้องรักคนไม่น่ารักเป็น
ต้องยอมรับความแตกต่างเป็น
ต้องฉลาดปรับตัวเข้าหาคนอื่นๆเป็น
ต้องฉลาดรับรู้เพื่อเรียนรู้เป็น
ฯลฯ

เป็นต้น

ผู้ที่มุ่งฝึกฝนตนเองอยู่อย่างจริงจัง
แม้จะยังไม่ประสบผลสัมฤทธิ์เท่าที่ควร
ก็จะได้รับสิทธิอันสำคัญในข้อนี้ได้
หากทรงเห็นว่าเหมาะสม

3.เป็นผู้ขันอาสา สนับสนุน
ช่วยเหลือเกื้อกูลและให้การอนุเคราะห์
ทั้งแรงกาย ปัจจัย สิ่งของ หรือทุนทรัพย์
ในโครงการก่อสร้างบาบิโลนใหม่
และภารกิจของจิตจักรวาลสถานธรรม
ตามวโรกาสอันสมควรแก่การมีส่วนร่วม

4.เป็นผู้เดินทางเข้าค่ายปฏิบัติธรรม
ณ พระวิหาร "สุริยัน จันทรา" แห่งจิตจักรวาล
ให้พระบิดาทรงเมตตาประทานพระโอวาท
และให้ทรงช่วยชำระขัดเกลาจิตตปัญญา
เพื่อพัฒนาจิตสามนึกและฝึกทักษะ
การแทรกแซงขันธ์ 5 เพื่อหมุนธรรมจักร
ด้วยกระบวนการ "ไซโคโชว์"
อย่างต่อเนื่องและมุ่งมั่นอย่างแท้จริง
ตราบเท่าที่หน้าต่างแห่งโอกาสยังเปิดอยู่

5.เป็นผู้ที่รักพระบิดาและศรัทธาเรา
ด้วยสติปัญญาของตนเอง
และรักศรัทธาจากการมองเห็นคุณค่า
ในภารกิจสำคัญของผู้กลับมาตามสัญญา
อย่างไม่รวนเรไขว้เขวลังเลใจ
ไปกับอำนาจการจูงใจของฝ่ายมาร

ด้วยการหมั่นทำสามเหลี่ยมกับพระบิดา
ผ่านมาทางเราอยู่เป็นประจำโดยไม่ละเลย
ตลอดจนทุกเช้า สาย บ่าย ค่ำ

6.สามเหลี่ยมมายาตรงหน้าผากที่ว่านี้
หน้าที่ประทานให้เป็นของพระบิดา
ส่วนบุตรมนุษย์นั้นมีหน้าที่ก้มหน้าก้มตา
ปฏิบัติตนให้สมศักดิ์ศรีที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์
โดยอย่าหวังรางวัลใดๆตอบแทน


เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

28/01/2020

การช่วยเหลือคนอื่น




พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า


การช่วยเหลือคนอื่นนั้น
ถ้าท่านไม่ใช้สติปัญญา
ถ้าท่านไม่ใช้ #ปริญญาโมเดล ว่าด้วย 6 ถูก
คือ ถูกคน ถูกวิธี ถูกที่ ถูกเวลา
ถูกต้อง และ ถูกใจ
ให้ครบถ้วนทั้ง 6 ถูกแล้ว

การยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นของท่าน
มันอาจกลายเป็น "เผือก"
คือ ก้าวก่ายล่วงเกินเขาแทน
เพราะอาจทำให้เขาเกิดการเสียสมดุลขึ้นได้
จะกลายเป็นทำบาปไปทันที

ท่านก็จะหลุดออกไป
จากเส้นทางสาย "หลุดพ้น" โดยไม่รู้ตัว
เพราะขาดมหาสติ

นี่แหละ...ที่ว่าทำไมใจบุญจัง
แต่กลับเดินถอยหลัง
จนหลุดพ้นออกนอกอนันตจักรวาลไม่ได้
เพราะเที่ยวไป "เผือก" เขานี่แหละท่าน

ดังนั้น

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
คนทุกคนต้องพึ่งตนเองก่อน

เขาคนนั้นก็เช่นกัน
เมื่อเผชิญอุปสรรคปัญหาใดๆ
เขาจะต้องใช้เวลาเพื่อจัดการเองก่อน
จงอย่าไปคิดแทนทำแทนเขา
มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา

จงอย่าไปดูแคลนว่าเขาจะทำไม่ได้
อย่าไปดูแคลนว่าเขาจะแก้ปัญหาไม่เป็น
จึงเข้าไปจุ้นจ้านวุ่นวายกับเขาด้วย
หรือเข้าไปบงการเขาให้ทำตามใจเรา
ซึ่งเป็นการเข้าไปสอดแทรก
บททดสอบและบทเรียนของเขา
ในขณะที่การเรียนรู้ของเขานั้นยังไม่สิ้นสุด

โดยหลงผิดคิดว่า
ตนเองน่ะ...#สงสารเขา #เวทนาเขา
จึงใจบุญใจดีปรี่เข้าไปให้การช่วยเหลือ
โดยอ้างว่าเห็นแล้ว "อดไม่ได้"
ทั้งๆที่แท้แล้ว มันคือ #เผือก นั่นเอง

เพราะตัวเขา
ก็ยังไม่ต้องการความช่วยเหลือ

เพราะตัวเขา
ก็ยังมิเคยเอ่ยปากกล่าวคำ
เพื่อร้องขอให้ใครช่วยเหลือแต่อย่างใด

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

แม้ว่าท่านยื่นมือเข้าไปช่วยเพราะถูกร้องขอ
ซึ่งฟังดูแล้วเสมือนว่าไม่มีปัญหาอะไร
แต่ท่านจงระลึกเอาไว้เสมอว่า
การช่วยเหลือนั้นมีขอบเขตจำกัด
ถ้ากระทำล้ำเส้นเกินการช่วยเหลือแล้ว
มันจะกลายเป็นทำบุญได้บาป
มันจะกลายเป็นทำคุณบูชาโทษ

กรอบของการช่วยเหลือมีดังนี้ คือ
1.ชี้แนวทาง
2.สร้างแนวคิด
3.ให้กำลังใจ
4.ให้อุปกรณ์วัสดุ ให้เวลา ให้โอกาส
5.ส่งเสริมการกระทำนั้น
6.สนับสนุนให้กระทำ

ถ้าท่านทำนอกเหนือไปจากนี้
เช่น การยื่นมือเข้าไปทำแทนเขาเสียเอง
ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่กงการอะไรของท่าน

อย่างนี้คือการเข้าไปสอดแทรก
การทำหน้าที่ทางโลกและทางจิตวิญญาณ
ของคนที่ท่านยื่นมือเข้าไปช่วย
ซึ่งมันเหมือนการเอามือเข้าไปซุกหีบ
หีบใบนั้นมันก็จะ "หนีบ" มือท่านจนบาดเจ็บ
อันหมายถึงการเข้าไปเกี่ยวกรรมกับเขา
โดยไม่จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้นเลยก็ได้

ดังนั้น

ถ้าปรารถนาจะเป็นคนดี
ที่พร้อมจะอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆ
ท่านก็ต้องใช้สติปัญญาให้รอบคอบรัดกุม
โดยแยกแยะให้ออกว่าไหน "ช่วยเหลือ"
แยกแยะให้ออกว่าไหนคือ "เผือก" ร้อน

เมื่อรู้แล้ว....ต่อนี้ไป
เราหวังว่าท่านทั้งหลาย
คงฉลาดที่จะเป็นคนดีกันมากขึ้น
จากองค์ธรรมความรู้ที่เรานำเสนอไว้ในบทนี้

โดยพึงระวัง "ความเคยตัว" ของท่านไว้
จะได้ไม่ไปเที่ยวจุ้นจ้านกับบทเรียน
และบททดสอบจิตสามนึกของคนรอบข้าง
จนสร้างพันธะกรรมขึ้นเป็นร่างแหหรือตาข่าย
ครอบคลุมตนเองไว้กับคนอื่นๆ

จนยังผลให้จิตวิญญาณของพวกท่าน
ขาดอิสรภาพและไร้เรี่ยวแรงที่จะหลุดพ้น

เอเมน  สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28/01/2020

กลอนนิพนธ์บทนี้ชื่อ..."วังเวง"





กลอนนิพนธ์บทนี้ชื่อ..."วังเวง"

 มีรวงข้าว พราวไสว ในทุ่งกว้าง
ทุกรวงต่าง รอเคียว ไปเกี่ยวเก็บ
แต่คน-เคียว นั้นมี เท่าขี้เล็บ
ยากจะเก็บ เกี่ยวทัน วันน้ำมา

 นี่ลูกแกะ มากมาย หายจากฝูง
ต้องลากจูง แกะหลง ถึงพงป่า
ต้องแบกขน แกะป่วย ช่วยนำพา
จนไหล่ล้า ขาเปลี้ย เพราะเสียแรง

 ต้องจรจัด คัดปลา ตามหน้าที่
ปลาตัวดี คัดไว้ ไม่หน่ายแหนง
ปลาเหลวไหล ไม่ดี ป้ายสีแดง
เพื่อชี้แบ่ง คัดทิ้ง ยิ่งร้าวราน

 โลกมนุษย์ สุดวิกฤต เพราะจิตป่วย
"เรา" มาช่วย คัดปลา ถึงหน้าบ้าน
อดตาหลับ ขับตานอน มาเนิ่นนาน
เผชิญมาร หลากหลาย แทบวายชนม์

 เพราะเจ้าสาว คอพับ ยืนหลับไหล
หล่อนจึงไม่ ตื่นเต้น ไม่เห็นหน
แม้เจ้าบ่าว เดินมา ตรงหน้าตน
ก็กลับบ่น ก่นด่า หาว่า "มาร"

 เพราะเจ้าสาว ถือตะเกียง ไร้น้ำมัน
ความจำสั้น ดูท่า น่าสงสาร
อีกความคิด มืดบอด ตลอดกาล
แค่ได้อ่าน เพ็จนี้ ก็หนีเลย!

เอเมน สาธุ
กราบพระบาทพระบิดา
ป.วิสุทธิปัญญา
22/01/2017
28/01/2020