(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
การเป็นมนุษย์ผู้มี “จิตใสใจสวย” นั้น
หมายถึงผู้ที่จะต้องมีคุณสมบัติ 6 ประการ
ตามที่เรากล่าวไว้ในบทที่ผ่านมาแล้ว คือ
1.หมุนธรรมจักรในตนเองได้
2.ไม่ปิดอายตนะภายนอกของตนไว้
3.ใช้ขันธ์ห้าได้อย่างถูกต้อง
4.ใช้ปัญญาของสมองเป็น
5.นึกให้เป็นเพื่อคิดให้เป็น
6.ต้องคิดด้วยสมองสองซีกให้เป็น
โดยในบทที่ผ่านมานั้น
เราได้ถ่ายทอดคลื่นความคิดเป็นองค์ความรู้
ที่เรารับสื่อโดยตรงมาจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ให้พวกคุณได้รับรู้เพื่อเรียนรู้ในเบื้องต้นกันไปแล้ว
พระองค์ทรงเมตตาแนะวิธีกดปุ่มใช้สมองซีกซ้าย
ว่ามีหลักการปฏิบัติและมีวิธีการกดปุ่มอย่างไรบ้าง
บทนี้เราจะกล่าวถึงวิธีกดปุ่มใช้สมองซีกขวาต่อไป
หลักการใช้ความฉลาดของสมองซีกขวา
ด้วยวิธี “กดปุ่มใช้งาน” ผ่านจิตสามนึกในการคิดนี้
คือการใช้ #สติปัญญาของจิตวิญญาณ ของตนเอง
ที่มิใช่ความฉลาดของสมองซีกซ้ายตามแบบปกติ
ซึ่งเราได้แนะเน้นให้รู้ไว้ในบทที่ผ่านมาแล้วนั้น
สติปัญญาของจิตวิญญาณอันเป็นความฉลาดที่ว่านี้
เป็นความฉลาดขั้นสูงระดับที่เรียกว่า #ปัญญาญาณ
ในการใช้ “สังเคราะห์” #ภูมิรู้ ที่เป็น #โลกียะธรรม
อันเป็นความรู้ที่ได้จากสติปัญญาของสมองซีกซ้าย
ในการ #คิดวิเคราะห์ ความจริงจากสิ่งที่ตนรู้เห็นนั้น
โดยคิดวิเคราะห์อย่างมีหลักการและเหตุผลสนับสนุน
จนได้ #ภูมิธรรม ในระดับที่เรียกว่า #โลกุตรธรรม
แล้วนำภูมิธรรมที่ได้นั้นมาใช้เป็นแม่บทดำเนินชีวิต
ภูมิรู้จากการเรียนรู้ด้วยวิธีวิเคราะห์ของสมองซีกซ้าย
จะเป็นองค์ความรู้ในเชิงวิชาการที่เป็นจริงในมิติโลก
ซึ่งตรวจสอบพิสูจน์ความจริงอย่างเป็นรูปธรรมได้
ด้วยการสัมผัสรู้ดูเห็นพิสูจน์ด้วยหลักการและเหตุผล
เพราะความจริงที่เป็นสัจธรรมจากการคิดวิเคราะห์นั้น
ล้วนได้จากความจริงและความมีเหตุผลรองรับทั้งสิ้น
แต่ “ภูมิธรรม” ที่ได้จากการสังเคราะห์ “ภูมิรู้” นั้น
เป็นโลกุตรธรรมความจริงในรูปของ “นามธรรม”
ซึ่งทางโลกจะเรียกว่าเป็นศาสตร์ด้าน #ปรัชญา
ถ้าจะเข้าใจภูมิธรรมระดับนี้ได้ต้องใช้สมองซีกขวา
ทำการขบคิดให้เห็นเป็นภาพเพื่อทำความเข้าใจมัน
โดยจิตวิญญาณคุณต้องเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน
กับโลกุตรธรรมความจริงนั้นๆให้ได้เสียก่อน
คุณจะคิดโดยแยกตนเองออกจากสิ่งที่คิดนั้นไม่ได้
ดังนั้น
หลักการ “กดปุ่ม” เพื่อใช้สมองซีกขวาสังเคราะห์
ข้อมูลที่เป็นวัตถุดิบซึ่งเป็นผลผลิตของสมองซีกซ้าย
ที่ยังอยู่ในมิติโลกทางกายภาพหรือมิติแห่งเนื้อหนัง
ให้เป็นองค์ธรรมความจริงในมิติของจิตวิญญาณนั้น
คุณจึงต้องปฏิบัติตนดังต่อไปนี้
1.จิตหยาบของคุณจะต้องสงบ
โดยว่างไปจากอารมณ์รู้สึกนึกคิดทุกสิ่งอย่าง
เพื่อให้จิตหยาบคุณพร้อมที่จะใช้งานอย่างเต็มพลัง
2.จิตหยาบของคุณจะต้องว่างไปจากกาลเวลา
โดยคุณต้องไม่กำหนดว่าจะใช้เวลาคิดนานเท่าไหร่
จิตหยาบคุณจะต้องว่างไปจากเป้าหมายในการคิด
ในรูปของจำนวนผลที่คาดหวังหรือที่ตั้งเป้าไว้ด้วย
3.จิตหยาบของคุณจะต้องคิดให้เห็นเป็นภาพ
ซึ่งพระเจ้าทรงติดตั้งจินตมยปัญญาให้พวกคุณไว้แล้ว
คำว่า “จินตมยปัญญา” หมายถึง การสร้างจินตนาการ
ไปตามองค์ธรรมความรู้ที่เป็น “ปรัชญา” ซึ่งนำมาคิด
เพื่อทำการสังเคราะห์โดยนำตนเองเข้าเป็นหนึ่งเดียว
กับเรื่องราวหรือสิ่งที่หยิบมาพิจารณาอยู่นั้นให้จงได้
4.จิตหยาบของคุณจะต้องคิดทีละเรื่อง
เหมือนกับการคิดวิเคราะห์ด้วยสมองซีกซ้ายเช่นกัน
คุณต้องระวังมิให้จิตหยาบนำเรื่องอื่นมาสอดแทรก
ขณะที่คุณยังคงตื่นตาตื่นรู้และตื่นตัวในการคิดอยู่
โดยอายตนะภายนอกทั้งห้าช่องทางยังเปิดกว้าง
เพราะอำนาจของจิตหรือ #พลังฌาน จะลดลงทันที
ซึ่งมันจะยังผลให้แรงสั่นสะเทือนลดน้อยถอยลง
จนไม่อาจสั่นสะเทือนเซลล์สมองซีกขวาได้นั่นเอง
ถ้าเซลล์สมองซีกขวาได้รับแรงสั่นสะเทือนความถี่ต่ำ
สนามแม่เหล็กของสมองซีกขวาจะเกิดขึ้นมาไม่ได้
เพราะความเข้มของสนามแม่เหล็กของสมองมนุษย์
คือตัวชี้วัด “ความฉลาดทางปัญญา” ของสมองซีกนั้น
ดังนั้น
เมื่อใดที่คุณ “หมุนธรรมจักร” ด้วยความรักได้สำเร็จ
เมื่อนั้นคุณก็จะกดปุ่มใช้งานสมองซีกขวานี้ได้เสมอ
เพราะพระเจ้าทรงออกแบบเอาไว้ให้ง่ายสำหรับคุณ
ในการทำหน้าที่คนสองมิติที่เป็นกึ่งอัตโนมัติอยู่แล้ว
เพียงแค่คุณรักได้ให้อภัยเป็นในทุกเงื่อนไขเท่านั้น
5.จิตหยาบของคุณต้องคิดเพื่อให้อย่าคิดเพื่อเอา
เพราะจิตวิญญาณของคุณถือคุณสมบัติของผู้ให้อยู่
ถ้าจะใช้ความฉลาดของจิตวิญญาณในการคิดแล้ว
จึงจะใช้วิธีคิดเพื่อเอาตามแบบของจิตหยาบที่คุ้นชิน
เหมือนตอนที่คุณยังเป็นเด็กน้อยหรือกุมารน้อยไม่ได้
ไม่ต่างจากการที่คุณเลือกเกิดมาเป็นผู้ชาย
ความประพฤติของคุณจริตของคุณที่แสดงออกมา
จักต้องแสดงความเป็นผู้ชายให้สอดคล้องเท่านั้น
ในวัยเด็กคุณยังใช้จิตหยาบอยู่
วัยเด็กจึงเป็นวัย “ขี้เอา...ขี้อ้อน...ขี้อวด”
คำว่า “ขี้เอา” หมายถึง
ถ้าเห็นอะไรของใครที่ตนรู้สึกชอบใจ
เป็นต้องอยากได้อยากดูอยากรู้อยากเห็นอยากอม
เมื่ออยากมากๆก็จะแย่งจะหยิบมาสนองตนเองทันที
คำว่า “ขี้อ้อน” หมายถึง
อยากได้รับการเท็คแคร์ดูแลเอาใจใส่
อยากได้รับการปลอบใจ อยากได้ความอบอุ่นกายใจ
อยากได้รับความรักความปลอดภัย
คำว่า “ขี้อวด” หมายถึง
อยากได้รับคำชื่นชม อยากได้คำสรรเสริญเยินยอ
อยากได้รับเกียรติ อยากได้หน้า อยากเด่นดัง
อยากได้รับความสนใจจากคนรอบข้าง
อยากเป็นคนเด่นดังเหนือคนอื่นๆ เป็นต้น
6.จิตหยาบของคุณต้องมีความสุขขณะกำลังคิด
7.ต้องรู้จักคิดต่อยอดความคิดได้เรื่อย
ๆ
โดยไม่เป็นคนตีบตันทางความคิดเด็ดขาด
ลองสังเกตลายเส้นของใบไม้แต่ละใบดูบ้างสิ
แม้ว่ามันจะมีมากมายหลายเส้นที่คุณแลเห็นได้
แต่ละเส้นมันล้วนจะมุ่งไปจนสุดขอบใบเสมอ
ไม่มีเส้นใบเส้นใดหยุดระหว่างทางที่กลางใบเลย
ไม่ว่าจะเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวหรือใบเลี้ยงคู่
ทุกใบทุกประเภทมันล้วนเป็นแบบนี้ด้วยกันทั้งสิ้น
ดังนั้น
สัจธรรมด้านการคิดด้วยสมองซีกขวาในข้อนี้ก็คือ
คุณต้องคิดให้สุดทางจะคิดแบบคาแบบค้างไม่ได้
ซึ่งพระเจ้าทรงหมายถึง #การคิดสร้างสรรค์ นั่นเอง
(ยังมีต่อ)
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
ปัญญาวิสุทธิ์
19/08/2566