23 มีนาคม 2560

พิธีกรรม หรือ วิธีการ




การทำบุญสุนทานนั้น
จะได้บุญมากหรือน้อยมิได้ขึ้นอยู่กับว่า

1.ท่านทำบุญทำทานกับใคร
2.จำนวนทรัพย์สิ่งของที่ทำว่ามีค่ามากน้อยแค่ไหน
3.จำนวนเงินทองที่ทำว่าจะมากหรือน้อยเพียงใด
4.จำนวนคนที่รู้ว่าท่านทำบุญนั้นมีจำนวนเท่าไหร่
5.ท่านทำแล้วอธิษฐานร้องขอสิ่งตอบแทนเป็นมั้ย

แต่การทำบุญสุนทานนั้น
จะได้บุญมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่า

1.ท่านทำด้วยจิตสำนึกแห่งการเป็นผู้ให้หรือไม่
2.ท่านทำด้วยน้ำใสใจจริงหรือไม่
3.ท่านทำโดยไม่ร้องขอสิ่งตอบแทนได้หรือไม่
4.ท่านทำบุญทำทานอย่างมีเงื่อนไขหรือเปล่า
5.ท่านมีความสุขใจมากๆขณะที่กำลังทำอยู่หรือไม่
6.เมื่อได้ทำบุญแล้วท่านมีความสุขที่ได้ทำไปหรือไม่

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ทุกครั้งที่ท่านทำบุญทำทานหรือสร้างกุุศลนั้น
มันคือการ "ชาร์จ" พลังงานจิตใต้สำนึก
อันเป็นพลังงานทางจิตวิญญาณของท่าน
ให้ได้รับการเติมเต็มจากที่ท่านใช้ไปในแต่ละวัน
ให้มีความสมดุลและสมบูรณ์พร้อมอยู่เสมอ
เพื่อให้การเป็นคนสองมิติของท่าน
มีพลังอำนาจล้นเปี่ยมอยู่เสมอนั่นเอง

เคล็ดลับของการเพิ่มพลังให้แก่จิตวิญญาณ
เมื่อท่านทำบุญสุนทานนั้น
มันมิได้ขึ้นอยู่กับ "พิธีกรรม" หรือ "วิธีการ"
แต่มันอยู่ที่ "จิตใจ" ของท่านต่างหาก

พิธีกรรม หรือ วิธีการ หรือ อื่นๆ
มันล้วนแล้วแต่เป็นเพียงกุศโลบาย
เพื่อการเข้าถึงสิ่งที่เรียกว่า "บุญ"
หรือ "พลังอำนาจทางจิตวิญญาณ" เท่านั้นเอง
ถ้าท่านสามารถเข้าถึงแรงสั่นสะเทือนสูงสุด
ของจิตสำนึกทางด้านบวกได้มากเท่าใด
พลังบุญพลังบวกก็จักเพิ่มขึ้น
ในจิตวิญญาณของท่านได้มากเท่านั้น

การทำบุญจึงจำต้องอาศัย

1.สติปัญญา
2.ความศรัทธา
3.ความปรารถนาที่จะให้
4.ความไม่มีเงื่อนไขในการทำบุญนั้น

ทั้ง 4 ประการนี่ต่างหากท่านทั้งหลาย
ดวงจิตธรรมญาณของท่านจึงจะได้รับประโยชน์
จากการทำบุญกุศลของท่านแต่ละครั้ง
ได้อย่างเต็มกอบเต็มกำเลยทีเดียว

โดยท่านสามารถวัดว่าท่านได้บุญมากหรือน้อย
ในการทำบุญทำทานแต่ละครั้ง
จาก "ความปีติสุข" หรือ ความอิ่มเอิบเบิกบาน
ที่มันกำลังสั่นสะเทือนอยู่ในจิตใจท่านเองนั่นแหละ

อาจารย์ปริญญา ตันสกุล
นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์พฤติกรรม
สถาบันสร้างเสริมจิตตปัญญาเพื่อพัฒนาพฤติกรรมศาสตร์


17-03-2017

21 มีนาคม 2560

ตัดน้ำไม่ขาด ตัดพลังงานไม่ได้ ยังจะตัดกรรมเก่าด้วยวิธีการใดได้อีกหรือ?



พี่น้องที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า...

ถ้าท่านปรารถนาการหลุดพ้นแท้จริง
ก็จงอย่าเพียรพยายามแสวงหา
วิธีการพิเศษอื่นใด
ให้มันพิศดารไปกว่าการเป็นมนุษย์
ที่มีจิตสามนึกเป็นเครื่องมือกันอีกเลย

เพราะเหตุว่า....
1.ท่านมี "พลังความรัก" เป็นคุณสมบัติที่ในจิต
ซึ่งพระบิดาทรงประทานไว้ให้ท่าน
ตั้งแต่มาเกิดเป็นคนบนดาวโลกเสรีนี้แล้ว
ซึ่งท่านมีหน้าที่เพียงเข้าถึงมันให้ได้เท่านั้น

2.ท่านยังมี "ดวงปัญญา"
ที่ทรงประทานให้ท่านทั้งหลายไว้
ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
อย่างเท่าเทียมกันทุกคน
ตั้งแต่ภพชาติแรกที่ได้มาเกิดบนโลกเสรีแล้ว
ซึ่งท่านมีหน้าที่เพียงเข้าถึงมันให้ได้เช่นกัน

3.ท่านยังมี "ดวงธรรม"
ที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ได้ทรงประทานผ่าน #บุตรเอก ทุกพระองค์
ให้เสด็จลงมากล่าวพระโอวาทแทนพระองค์
ให้ท่านได้เกิดสติทางวิญญาณตลอดมาแล้ว
ซึ่งท่านมีหน้าที่เพียงเข้าถึงมันให้ได้
ด้วยการนำมาใช้เป็นบริบท
ในการดำเนินชีวิตประจำวันเท่านั้น

4.ท่านยังมี "ประตูแห่งโอกาส"
เพื่อให้ได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในภพชาติต่อๆไป
ตราบใดที่โลกเสรีนี้ยังไม่ถึงกาลสิ้นยุค
คือ 6 หมื่นปีโลกนั่นเอง
การได้รับโอกาสให้
มาเกิดใหม่มีภพชาติใหม่
ก็เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ #แก้ไขกรรมเก่า
ที่ได้กระทำผิดบาปเอาไว้ในชาตินี้โดยแท้

ทั้ง 4 อย่างนี้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอำนาจ
ในบทบาทของการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง
ซึ่งสามารถ "แก้ไขกรรมเก่า" และ "ตัดกรรมใหม่"
ที่ท่านเคยก่อไว้ในอดีตชาติและในชาตินี้ได้
มันเป็นหนทางเดียวเท่านั้นจริงๆ

อย่าไปเชื่อว่าหรือหวังว่า
จะมีวิธีอัศจรรย์อันใดยิ่งกว่านี้อีกเลย
เสียเวลาและโอกาส
แห่งการมีภพชาตินี้ไปเปล่าๆ
นี่เป็นวิธีการตัดกรรมใหม่
หรือแก้ไขกรรมเก่าที่ดีที่สุด
ที่ท่านสมควรปฏิบัติทุกลมหายใจในยามตื่น

1.ใช้มหาสติในการดำเนินชีวิต
รู้สติ มีสติ และใช้สติ
เพื่อพิจารณาทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ด้วยจิตตปัญญาเท่านั้น
มิใช่ด้วยนิสัย สันดาน และอารมณ์รู้สึก
ในลักษณะของประมาทและขาดสติ

2.ตัดสินใจให้ถูกต้องเหมาะสมและดีงาม
เพื่อที่จะกระทำตอบสนองต่อทุกเงื่อนไข
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ไม่ว่าจากคน สัตว์ หรือ สิ่งแวดล้อม
ด้วยกาย วาจา และจิตใจ
ที่จะนำความสันติสุขมาสู่ตนเองและผู้อื่นเท่านั้น

3.เรียนรู้ที่จะรักให้ได้ ให้ให้เป็น
โดยไม่กระทำชั่วตอบสนอง
แม้ท่านจะถูกยั่วยุด้วยพลังลบที่รุนแรงก็ตาม

เราจึงจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เพียงเท่านี้ท่านก็จะทำให้
การเกิดมาเป็นมนุษย์ของท่านในภพชาตินี้
มีคุณค่าอย่างแท้จริง
การมีภพชาติของท่านก็จะหมดไป
แปลว่า "นิพพาน" คือ หลุดพ้นได้อย่างสิ้นเชิง
เพราะท่านจะไม่มีภารกิจอะไร
ที่จักต้องย้อนกลับมาเกิดอีกนั่นเอง

การนั่งสมาธิเฉยๆแล้วฝันถึงกรรมอดีต
การพยายามจะระลึกชาติให้ได้
ว่าเคยก่อกรรมทำเข็ญกับใครไว้
แล้วเน้น "ขออโหสิกรรม"
จนกว่าเจ้ากรรมนั้นๆ
จะใจอ่อนอโหสิกรรมให้ท่านนั้น
วิธีการเหล่านี้มันยากอยู่ 2 อย่าง

อย่างแรก
ท่านมีปัญญาเข้าถึงอดีตกรรม
ที่ตนเคยก่อไว้ได้จริงๆ
โดยไม่มโนหลอกตัวเองแน่แท้หรือเปล่า

อย่างที่สอง
เจ้ากรรมนายเวรเขาจะใจอ่อน
หายโกรธแค้นอาฆาตท่านง่ายๆจริงหรือเปล่า
เหมือนตีหัวเขาแตกเลือดยังไหลซิบอยู่
แล้วมากระซิบข้างหูเขาว่า "ขอโทษนะ"
ซึ่งวิธีการที่กล่าวนี้มันไม่ง่ายนักหรอก
สำหรับบทบาทของการเป็น "ฆราวาส"
ในเพียงช่วงอายุขัยไม่กี่สิบปี

ถ้าหากท่านมิได้มีพรสวรรค์จากอดีตกันมาบ้าง
เว้นแต่การจะเป็น "นักบวช" ผู้เคร่งครัดจริงจัง
เยี่ยงพระศาสดาพระองค์นั้นเท่านั้น

กราบพระบาทขอบพระทัยพระบิดา
ที่ทรงเมตตาประทานพระโอวาท
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
21-3-2017