05 พฤศจิกายน 2561

เรามาในโลกนี้เพื่อพิพากษา คนที่มองไม่เห็นจะได้มองเห็น ส่วนคนที่มองเห็น จะกลายเป็นคนตาบอด




#สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
พระเยซูเจ้าตรัสว่า

"เรามาในโลกนี้เพื่อพิพากษา
คนที่มองไม่เห็นจะได้มองเห็
ส่วนคนที่มองเห็น
จะกลายเป็นคนตาบอด"

เรากลับมาครั้งนี้
ก็เพื่อยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า
ที่ทรงตรัสไว้ข้างต้นนั้นเป็นความจริง

1.ประโยคที่ว่า "การมาในโลกนี้"
หมายถึง การที่พระจิตวิญญาณบริสุทธิ
ทรงเสด็จลงมาจากแดน #จิตจักรวาล
แล้วข้ามมิติเข้ามายังแดน #อนันตจักรวาล
สู่การจุติเป็น "บุตรมนุษย์" บนโลกเสรีนี้
ตามพระบัญชาพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
เพื่อเข้ามาทำหน้าที่กล่าวพระโอวาท
ต่อพี่ๆน้องๆทั้งหลายบนโลกเสรีนี้
ในพระนามพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ด้วยบทบาทของ "พระบุตรเอก"

โดยพระโอวาทที่ทรงตรัสไว้ทั้งหลายนั้น
ล้วนสื่อถ่ายทอดสดเป็นคลื่นการคิด
มาจากดินแดนจิตจักรวาล
อันเป็นพระอาณาจักรแห่งพระเจ้า
ที่อยู่ภายนอกอนันตจักรวาล
ซึ่งสัจธรรมที่ทรงสื่อถ่ายทอดลงมาให้นั้น
เป็นสัจธรรมความจริงที่จริงแท้
ที่คนนำทางผู้เป็นคนของโลกทั้งหลาย
ไม่สามารถใช้จิตปัญญาของสมองสองซีก
ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
เข้าถึงความจริงเหล่านี้เองได้

เช่น ความรู้ที่เป็นสัจธรรมความจริง
ดังต่อไปนี้ คือ

 - จิตวิญญาณของตนเป็นใคร
 - มาจากไหน
 - มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม
 - มีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง
เป็นต้น

ซึ่งพระบิดาทรงจัดสัจธรรมเหล่านี้ไว้
ในหมวดของสัจธรรมชั้นสูงสุด
ที่เรียกว่า #อนุตรธรรม

พระบิดาจึงต้องแต่งตั้งให้ "พระบุตรเอก"
แบ่งภาคลงมาจุติเป็นพระศาสด
เพื่อเข้ามากล่าวพระโอวาท
ประกาศสัจธรรม
ในหมวดที่พระศาสดาของโลกเอง
มิอาจเข้าถึงด้วยการเรียนรู้กันเองได้

ดังเช่นสัจธรรมในระดับ #โลกิยธรรม
ที่สามารถใช้สมองซีกซ้าย
วิเคราะห์เอาเองได้
และสัจธรรมในระดับ #โลกุตรธรรม
ที่สามารถใช้สมองซีกขวา
สังเคราะห์เอาเองได้

เพราะสมองมนุษย์มีเพียงสองซีก
มนุษย์จึงไม่มีสมองส่วนใด
ที่สามารถเข้าถึง
ความจริงในระดับอนุตรธรรมได้อีก

ดังนั้น

พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
หรือพระผู้เป็นเจ้า
จึงต้องส่งพระบุตรเอก
เข้ามาจุติในระบบโลก

เพื่อนำเอา "อนุตรธรรม" มาบอกกล่าว
ช่วยนำเอามาเติมเต็มสัจธรรม
ที่พระศาสดาผู้มาจากโลกเอง
มิอาจเข้าถึงได้ดังกล่าวแล้

ด้วยเหตุนี้เอง
พระบุตรเอกทั้งหลาย
เช่น พระเยซูเจ้า
กับพระศาสดาที่มาจากโลกทุกรูปธรรม
จึงต่างล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งสิ้น
มิใช่ศัตรูคู่แข่งขัน
มิได้แย่งกันเป็นพระศาสดา
มิได้แย่งกันล่าสาวก
อย่างการคิดแบบจิตมนุษย์แต่อย่างใด

2.ประโยคที่พระเยซูตรัสว่า
"พิพากษาคนที่มองไม่เห็น
จะได้มองเห็น" นั้นความหมายคือ

พระองค์เสด็จมาเพื่อที่จะช่วยเหลือ
พี่ๆน้องๆที่เป็นมนุษย์ที่ขาดพร่อง
ทั้งภูมิรู้ ภูมิธรรม และภูมิปัญญา
โดยไม่รู้ว่ายังมีสิ่งใดที่ตนไม่รู้ว่าไม่รู้
ทั้งๆที่ตนจะต้องรู้อยู่อีกบ้าง

ยังมีความรู้ใดที่มนุษย์รู้อยู่เชื่ออยู่
แต่เป็นภูมิรู้ ภูมิธรรม ที่ไม่ถูกต้อง
แต่เป็นความเชื่อไม่เชื่อที่งมงายอยู่
ให้ได้รู้กระจ่างสว่างในกมลกันถ้วนทั่ว

ดังนั้น
การเปลี่ยนคนที่ไม่รู้จริงไม่รู้แจ้ง
ให้บังเกิดการรู้จริงรู้แจ้งขึ้นมาได้
โดยเด็ดขาดกันอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้
จึงไม่ต่างจากการช่วยเหลือให้
"คนตาบอด" กลับมา "มองเห็น"
กลายเป็นคนตาดีได้นั่นเอง

3.ประโยคที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า
"ส่วนคนที่มองเห็น
จะกลายเป็นคนตาบอด" นั้น
ทรงหมายความว่า

เมื่อพระองค์ทรงช่วยให้คนที่ไม่รู้
ได้รู้กระจ่างสว่างกมล
ในความจริงที่จริงแท้ทั้งหมดทั้งสิ้น
ดั่งคนตาดีที่สามารถมองเห็นได้แล้ว

นั่นเท่ากับว่า
การเข้ามาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรี
ของประดาจิตวิญญาณทั้งหลาย
เพื่อเข้ามาเรียนรู้บทเรียนโลกนั้น
ก็เป็นอันสิ้นสุดหลักสูตรการเรียนรู้
เพราะได้เรียนรู้ทุกสิ่งอย่าง
อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

กล่าวคือ
ได้เรียนรู้ทั้งโลกิยะธรรมและโลกุตรธรรม
ที่ประดาคนนำทางซึ่งเป็นคนของโลกเอง
ได้พยายามบอกกล่าวเล่าสอนสืบมา
รวมทั้งได้เรียนรู้อนุตรธรรมทั้งหมด
ที่พระศาสดาซึ่งเป็นพระบุตรเอก
ที่พระบิดาหรือพระเจ้าทรงแต่งตั้งเข้ามา
จึงยังผลให้มนุษย์เกิดอาการ #ตาสว่าง
จนสามารถมองเห็นอะไรๆได้อย่างชัดแจ้ง

ส่วนคำกล่าวที่ว่า
"คนที่มองเห็นจะกลายเป็นคนตาบอด"
พระองค์ทรงหมายความว่า

เมื่อมนุษย์ทั้งหลาย
ได้เรียนรู้ทุกสิ่งจนหมดสิ้นแล้วว่า
อะไรเป็นอะไรอย่างไรแล้ว
มนุษย์ก็ไม่จำเป็นจะต้องเรียนรู้อะไรอีก
ไม่จำเป็นจะต้องอยากรู้อยากเห็นอีก
ซึ่งหมายถึง "คนตาบอด" โดยแท้

เมื่อทรงช่วยให้มองเห็นแล้ว
จะกลายเป็นคนตาบอดก็เพราะเหตุนี้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
น่าเสียดายยิ่งนักที่ยังมีมนุษย์หลายคน
มีมิจฉาทิฐิดื้อรั้นสูง

โดยยึดติดพระศาสดา
ที่เป็นของโลกเพียงพระองค์เดียว
เพราะเชื่อว่าครูคนเดียว
สอนให้นักเรียนฉลาด เก่ง และดีได้

ยึดติดพระคัมภีร์ธรรมเล่มเดียว
เพราะเชื่อว่าคัมภีร์เล่มเดียว
สามารถบรรจุสัจธรรมความรู้
ทั้งจักรวาลได้

ดังนั้น

มนุษย์ส่วนใหญ่
จึงกล่าวก้าวล่วงจ้วงจาบพระศาสดา
ที่ตนเองไม่ยอมรับนับถือ

มนุษย์ใจบาปบางพวก
จึงก่อกรรมทำร้ายศาสนาอื่นๆ
เพื่อให้ศาสนาที่ตนเลือกสูงเด่นขึ้น

มนุษย์ส่วนใหญ่
จึงไม่ใจกว้างรับฟังธรรมะจากศาสดาอื่น
ไม่ยอมศึกษาพระธรรมจากศาสนาอื่น

มนุษย์บางพวก
กลับสนใจแต่พิธีกรรมต่างๆ
ที่เป็นอวิชชา
เพราะเข้าถึงแก่นแท้สัจธรรมไม่ได้

มนุษย์ส่วนใหญ่จึงไม่เคยฉุกคิดว่า
ทำไมตนเองปฏิบัติบำเพ็ญมายาวนาน
แล้วทำไมยังหลุดพ้น
หรือนิพพานไม่ได้

ด้วยเหตุนี้เอง
เมื่อพวกเขารู้จักเราแต่ก็ไม่ยอมแลมา
เมื่อพวกเขาแลเห็นเราแต่เขาก็ไม่ใส่ใจ

เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเรา
แต่พวกเขาก็ไม่ยินดีที่จะรับฟัง

กราบพระบาทพระบิดา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
4-11-2018