30 พฤศจิกายน 2563

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

30/11/2020



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

องค์จิตจักรวาล
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ทรงเป็นผู้ใช้ให้เรากลับมาจุติยังโลกเสรีอีกครั้ง
เพื่อกลับมากล่าว อนุตรธรรม ความจริง
ในบทบาทพระบุตรเอกของพระองค์
ให้ท่านทั้งหลายได้รู้ความจริงอันสูงสุดนี้

เพราะเป็นความจริงที่พวกท่านทุกคนต้องรู้
ถ้าไม่รู้ก็จะมีอาจหลุดพ้นนิพพานได้ทันเวลา
ก่อนที่พระองค์จะทรงเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
เนื่องจากความจริงระดับ "อนุตรธรรม" นี้
มนุษย์โลกเสรีทั้งหลายไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อน
ไม่มีผู้ใดรู้เป็นเวลายาวนานนับพันๆปีมาแล้ว
เพราะมันเป็นความจริงที่องค์สัพพัญญูก็รู้เองมิได้

นอกจากนั้น
พระองค์ยังทรงมีพระบัญชาให้เรา
มาเปิดเผยความจริงให้รู้ว่าโลกถึงกาลสิ้นยุคแล้ว
มันจะเกิดมหันตภัยพิบัติที่รุนแรงยิ่งกว่ายุคโนอาห์
ซึ่งพวกท่านทั้งโลกจะหนีการเผชิญหน้ามิได้เลย
มีเพียงทางเลือกเดียวคือทุกท่านจะทำอย่างไร
จึงจะเป็นปลาตัวที่ถูกชาวประมงลากอวนมาขึ้นฝั่ง
แล้ว "คัด" ปลาตัวที่ดีมีอนาคตขึ้นเรือ
ส่วนตัวที่เหลือก็จะถูกคัดทิ้งกลับลงไปในทะเล

แน่นอนว่า
พระบิดาฯมิได้ส่งเรามาเพื่อจะพิพากษา
คนที่ได้ยินคำกล่าวพระโอวาทของเราแล้วไม่ทำตาม
เพราะว่าเรามิได้มีหน้าที่มาพิพากษาโลก
แต่เรามาเพื่อจะช่วยให้โลกและท่านทั้งหลายรอด
ให้มีความปลอดภัยจากภัยพิบัติในปฏิบัติการชำระโลก
เนื่องในวาระสิ้นยุคพลังงานเก่า
เพื่อจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่

ถ้าใครปฏิเสธเรา ไม่ยอมรับฟังคำของเรา
ในวันสุดท้ายนั้น "พระโอวาท" พระบิดา
ที่เรากล่าวไว้ทั้งหมดแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขา
เพราะทุกคำกล่าวเรามิได้กล่าวตามใจของเราเอง
แต่เรากล่าวตามพระบิดาฯที่ทรงสื่อผ่านเรามา

ดังนั้น
พระโอวาททุกคำที่เรากล่าวในพระนามพระองค์
จึงเป็นสัจจะความจริงทุกประการ
ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงหรือบิดเบือนได้
พระองค์ทรงบัญชาให้เรากล่าวว่าอย่างไร
เราก็กล่าวไปตามที่พระองค์ทรงสื่อถ่ายทอดมา

คำสอนของเรา คือ การชี้ทางรอด
เพื่อให้ท่านปลอดภัยจากการถูกชำระด้วยภัยพิบัติ
และชี้ทางหลุดพ้นนิพพานไปทาง ด่านนภาลัย
โดยให้ก้าวตามมรรควิถีจิตจักรวาลอย่างมั่นตรง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ด้วยเหตุนี้เองเราจึงได้กล่าวความจริงไว้ว่า

ยอห์น 12:47-50 )
"เราไม่พิพากษา
คนที่ได้ยินถ้อยคำของเราแล้วไม่ทำตาม
เพราะว่าเรามิได้มาเพื่อพิพากษาโลก
แต่เรามาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด

ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา
จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา
คำที่เรากล่าวนั่นแหละ
จะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย
เพราะเรามิได้กล่าวตามใจเราเอง
แต่พระบิดาผู้ทรงใช้เรามา
เป็นผู้บัญชาเราว่าจะกล่าวอะไรหรือพูดอะไร

เรารู้ว่าพระบัญญัติของพระองค์เป็นนิรันดร์
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น
เราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบอกเรา"

กราบพระบาทพระบิดาฯ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

30/11/2020

สนทนาประสาจิตจักรวาล


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ทรงเป็นผู้ใช้ให้เรากลับมาจุติยังโลกเสรีอีกครั้ง
เพื่อกลับมากล่าว #อนุตรธรรม ความจริง
ในบทบาทพระบุตรเอกของพระองค์
ให้ท่านทั้งหลายได้รู้ความจริงอันสูงสุดนี้
เพราะเป็นความจริงที่พวกท่านทุกคนต้องรู้
ถ้าไม่รู้ก็จะมีอาจหลุดพ้นนิพพานได้ทันเวลา
ก่อนที่พระองค์จะทรงเปลี่ยนโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
เนื่องจากความจริงระดับ "อนุตรธรรม" นี้
มนุษย์โลกเสรีทั้งหลายไม่เคยมีผู้ใดล่วงรู้มาก่อน
ไม่มีผู้ใดรู้เป็นเวลายาวนานนับพันๆปีมาแล้ว
เพราะมันเป็นความจริงที่องค์สัพพัญญูก็รู้เองมิได้
นอกจากนั้น
พระองค์ยังทรงมีพระบัญชาให้เรา
มาเปิดเผยความจริงให้รู้ว่าโลกถึงกาลสิ้นยุคแล้ว
มันจะเกิดมหันตภัยพิบัติที่รุนแรงยิ่งกว่ายุคโนอาห์
ซึ่งพวกท่านทั้งโลกจะหนีการเผชิญหน้ามิได้เลย
มีเพียงทางเลือกเดียวคือทุกท่านจะทำอย่างไร
จึงจะเป็นปลาตัวที่ถูกชาวประมงลากอวนมาขึ้นฝั่ง
แล้ว "คัด" ปลาตัวที่ดีมีอนาคตขึ้นเรือ
ส่วนตัวที่เหลือก็จะถูกคัดทิ้งกลับลงไปในทะเล
แน่นอนว่า
พระบิดาฯมิได้ส่งเรามาเพื่อจะพิพากษา
คนที่ได้ยินคำกล่าวพระโอวาทของเราแล้วไม่ทำตาม
เพราะว่าเรามิได้มีหน้าที่มาพิพากษาโลก
แต่เรามาเพื่อจะช่วยให้โลกและท่านทั้งหลายรอด
ให้มีความปลอดภัยจากภัยพิบัติในปฏิบัติการชำระโลก
เนื่องในวาระสิ้นยุคพลังงานเก่า
เพื่อจะเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานใหม่
ถ้าใครปฏิเสธเรา ไม่ยอมรับฟังคำของเรา
ในวันสุดท้ายนั้น "พระโอวาท" พระบิดา
ที่เรากล่าวไว้ทั้งหมดแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขา
เพราะทุกคำกล่าวเรามิได้กล่าวตามใจของเราเอง
แต่เรากล่าวตามพระบิดาฯที่ทรงสื่อผ่านเรามา
ดังนั้น
พระโอวาททุกคำที่เรากล่าวในพระนามพระองค์
จึงเป็นสัจจะความจริงทุกประการ
ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงหรือบิดเบือนได้
พระองค์ทรงบัญชาให้เรากล่าวว่าอย่างไร
เราก็กล่าวไปตามที่พระองค์ทรงสื่อถ่ายทอดมา
คำสอนของเรา คือ การชี้ทางรอด
เพื่อให้ท่านปลอดภัยจากการถูกชำระด้วยภัยพิบัติ
และชี้ทางหลุดพ้นนิพพานไปทาง #ด่านนภาลัย
โดยให้ก้าวตามมรรควิถีจิตจักรวาลอย่างมั่นตรง
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
ด้วยเหตุนี้เองเราจึงได้กล่าวความจริงไว้ว่า
( #ยอห์น 12:47-50 )
"เราไม่พิพากษา
คนที่ได้ยินถ้อยคำของเราแล้วไม่ทำตาม
เพราะว่าเรามิได้มาเพื่อพิพากษาโลก
แต่เรามาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด
ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา
จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา
คำที่เรากล่าวนั่นแหละ
จะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย
เพราะเรามิได้กล่าวตามใจเราเอง
แต่พระบิดาผู้ทรงใช้เรามา
เป็นผู้บัญชาเราว่าจะกล่าวอะไรหรือพูดอะไร
เรารู้ว่าพระบัญญัติของพระองค์เป็นนิรันดร์
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น
เราก็พูดตามที่พระบิดาทรงบอกเรา"
กราบพระบาทพระบิดาฯ
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
30/11/2020

28 พฤศจิกายน 2563

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.310: (9/9) วิตามินบำรุงสติ


 

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.310: (8/9) วิตามินบำรุงสติ


 

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.310: (7/9) วิตามินบำรุงสติ


 

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.310: (6/9) วิตามินบำรุงสติ


 

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.310: (5/9) วิตามินบำรุงสติ


 

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.310: (4/9) วิตามินบำรุงสติ


 

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.310: (3/9) วิตามินบำรุงสติ


 

Ep.310: (2/9) วิตามินบำรุงสติ


 

จิตจักรวาลอ่านโลก Ep.310: (1/9) วิตามินบำรุงสติ


 

สนทนาประสาจิตจักรวาล

28/11/2020



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

พระบิดาฯทรงอนุญาตให้
จิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
เดินทางข้ามมิติเข้ามาเกิดเป็น "คนสองมิติ"
บนดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้
คือ มิติแห่งเนื้อหนังที่เป็นมิติทางกายภาพ
กับมิติทางพลังงานด้านของจิตวิญญาณ

เพื่อ "คน" ทั้งสองมิติให้เข้ากันเป็นหนึ่งเดียว
คนด้วยพลังอำนาจแห่งความรักบริสุทธิ์
ที่เป็น รักเพื่อให้ ซึ่งเป็นรักที่ไร้เงื่อนไข
คือต้องรักใครก็ได้แม้ว่าเขาจะไม่น่ารักก็ตาม
โดยถ้าใครสามารถ "คน" ได้จนเป็นผลสำเร็จ
ก็จะได้ชื่อว่าเป็น มนุษย์ แล้วตั้งแต่บัดนั้น

ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
แม้ องค์จิตจักรวาล พระผู้ทรงอนุญาต
ให้จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านทั้งหลาย
เข้ามาเกิดเป็นคนสองมิติในระบบโลกเสรีนี้
จะทรงอยู่ห่างไกลจากโลกเสรีมากเพียงใด
ท่านทั้งหลายก็ไม่ต้องกังวลใจหรอกว่า
พระองค์จะมิทรงรู้เห็นพวกท่าน
หรือพระองค์จะทรงละลืมพวกท่านไป
แม้จะอยู่ห่างไกลกันและจากพระองค์กันมานาน

ด้วยความเป็นพระบิดาฯที่ทรงรักบุตรทุกคน
จึงทรงกำหนดสร้างระบบโครงข่ายพลังงาน
ถักสานเชื่อมโยงพระองค์ไว้กับทุกสรรพสิ่ง
ที่ทรงกำหนดสร้างขึ้นไว้ใน อนันตจักรวาล
ซึ่งพวกท่านเรียกขานกันว่า "เอกภพ"
โดยสนามพลังงานที่พระองค์ทรงถักทอขึ้นนี้
ไม่ต่างจากใยแมงมุมที่โอบอุ้มถุงไข่ไว้
ซึ่งถุงไข่ก็คือ "อนันตจักรวาล" นั่นเอง

เพราะสนามพลังงานของพระองค์นี่เอง
ที่ช่วยให้พระองค์ทรงรับรู้ความเคลื่อนไหว
ของทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้างไว้ในอนันตจักรวาล
รวมทั้งจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกรูปธรรมด้วย
โดยพระองค์จะทรงรับรู้ความเคลื่อนไหวได้
จาก แรงสั่นสะเทือน ของสนามพลังงาน
ซึ่งเป็นดั่งพระอาณาจักรของพระองค์

เพียงแค่พวกท่านสั่นสะเทือนจิตใจ
ไม่ว่าจะเป็นจิตสามนึกด้านบวกหรือว่าด้านลบ
เพื่อแสดงออกหรือกระทำพฤติกรรมไม่ว่าดีหรือชั่ว
ขณะพวกท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกเสรีนี้
แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นนั้นก็จะสั่นไปถึงสวรรค์
ให้รับรู้ถึงพระเนตรพระกรรณของพระองค์เสมอ

ขณะเดียวกัน
สิ่งใดที่พวกท่านมิได้กระทำบนโลก
สิ่งนั้นก็จะไม่ปรากฏเกิดขึ้นในสวรรค์ด้วย

นอกจากนั้น
ถ้าพวกท่านตั้งแต่สองคนขึ้นไป
ร่วมใจกันร้องขอสิ่งใดก็ตามจากพระผู้เป็นเจ้า
พระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในสวรรค์นอกระบบเอกภพ
ก็จะทรงประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่านทั้งหลายได้
เพียงแค่พวกท่าน "ทำสามเหลี่ยมกับพระองค์"
ผ่านมาทางเราเท่านั้น

เพราะความจริงมีอยู่ว่า
เราเป็นพระบุตรเอกที่พระองค์ส่งมายังโลก
เพื่อทำหน้าที่เลี้ยงดูฝูงแกะของพระองค์ในโลกนี้

ดังนั้น
ไม่ว่าท่านทั้งหลายสองสามคน
มีการประชุมกันที่ไหนในนามของเรา
เราก็จะไปอยู่ท่ามกลางพวกท่านที่นั่น
เพราะคนเลี้ยงแกะย่อมรักแกะของตนทุกตัว
และจะทำหน้าที่เลี้ยงดูแกะของตนเป็นอย่างดี

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจึงกล่าวต่อพวกท่านไว้นานแล้วว่า

สิ่งใดๆที่พวกท่านจะกล่าวห้ามในโลก
สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์
และสิ่งใดๆที่พวกท่านจะกล่าวอนุญาตในโลก
สิ่งนั้นก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์

ถ้าพวกท่านสองคนจะร่วมใจกัน
ขอสิ่งใดสิ่งหนึ่งในโลก
พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์
ก็จะทรงกระทำสิ่งนั้นให้

เพราะมีสองสามคนประชุมกันที่ไหน
ในนามของเรา
เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น
มัทธิว 18:18-20 )

กราบพระบาทพระบิดาฯ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28/11/2020

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

28/11/2020



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราขอกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

เราเป็นบุตรมนุษย์
ที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงมีพระบัญชาให้เรากลับมาตามสัญญา

ให้กลับมาเพื่อฉุดช่วยท่านทั้งหลาย
ให้ "หลุดพ้น" ออกไปจาก อนันตจักรวาล
ให้ "นิพพาน" ออกไปจาก ระบบโลก
เพื่อคืนกลับ แดนจิตจักรวาล บ้านเกิด
ที่พวกท่านจากกันมานานหกหมื่นปีเศษแล้ว

ภารกิจแห่งการฉุดช่วยท่านทั้งหลาย
มีหลายประการดังต่อไปนี้ คือ

1.กลับมาแจ้งเรื่องการสิ้นสุดยุคพลังงานเก่า
เพื่อให้ท่านรีบนำพาจิตวิญญาณกลับบ้าน

2.กลับมาแจ้งข่าวสารการชำระโลก
ด้วยมหันตภัยพิบัติจากดินน้ำลมไฟทุกรูปแบบ
เพื่อปรับสมดุลโลกสู่ยุคพลังงานใหม่
ซึ่งโลกจะมีพลังอำนาจมากกว่าเดิม

โดยจะเกิดแผ่นดินหาย ภูเขาหาย เกาะหาย
และพี่ๆน้องๆจำนวนมากมายจะต้องล้มตาย
เพราะจิตสามนึกตกต่ำเกินเยียวยา
จนพระองค์ต้องทรงพิพากษาให้ชำระทิ้ง

3.ให้เรากลับมาพร้อมกระบวนการ ไซโคโชว์
เพื่อใช้ในการชำระจิตปัญญาพัฒนาจิตวิญญาณ
ขณะที่ท่านทั้งหลายยังมีชีวิตอยู่ในภพภูมิมนุษย์
แทนการลงไปชำระในนรกซึ่งล้นหลามแล้ว
โดยต้องรอการจบสิ้นอายุขัยกันเสียก่อน
จะได้ประหยัดเวลาในการชำระนั่นเอง

เพราะการสร้างกรรมใหม่ไม่แก้ไขกรรมเก่า
จะยังผลให้จิตวิญญาณของท่านไม่บริสุทธิ์
จะทำให้มีน้ำหนักมวลเกิน 30 มิลลิกรัมขึ้นไป
จะถูกโลกดึงดูดเหนี่ยวรั้งเอาไว้
เพื่อให้กลับมาเกิดใหม่ในภพชาติใหม่
จะได้ชำระน้ำหนักส่วนเกินออกให้หมดสิ้น
ด้วยวิธีการสอบให้ผ่านทุกบททดสอบ
และหรือวิธีพิเศษผ่านกระบวนการ "ไซโคโชว์"
ในห้องฝึกอบรมธรรม ณ จิตจักรวาลสถานธรรม

4.ให้เรามากล่าวพระโอวาทในพระนามพระองค์
เพื่อสร้างสติและสำนึกทางจิตวิญญาณ
ด้วยความจริงสูงสุดระดับ อนุตรธรรม
ที่องค์สัพพัญญูก็มิอาจรู้และมิอาจบอกท่านได้

เพราะพวกท่านไม่รู้อนุตรธรรมที่ว่านี้เอง
แม้ปฏิบัติธรรมมานานจึงพากันนิพพานไม่ได้
แถมยังถูก คนนำทางตาบอด พาหลงทางอีกด้วย
เช่น จำตนเองไม่ได้ว่าเป็นใคร มาจากไหน
ใครอนุญาตให้มาเกิดเป็นมนุษย์
มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม
มาเกิดแล้วท่านมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง เป็นต้น

เพราะท่านไม่รู้ความจริงในอนุตรธรรมที่ว่านี้
จึงยังผลให้คนนำทางตาบอดพาหลงทางนิพพาน
ด้วยการชักชวนท่านให้ "หลุดลอย" สู่สวรรค์มายา
เพื่อหนีความทุกข์อันเกิดจากการมีสังสารวัฏ
แทนการ "หลุดพ้น" ไปจากความเป็นมนุษย์
โดยพระศาสดาได้ทรง "นำทาง" เอาไว้แล้ว

ทั้งๆที่การหนีไปจากการเกิดเป็นมนุษย์นั้น
เป็นการผิดสัจจะต่อพระบิดาฯที่ตนให้สัญญาไว้
และยังละทิ้งหน้าที่ในพันธสัญญา 6 อีกด้วย

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ตลอดกาลเวลานับพันปีที่ผ่านมา
ถ้าท่านวางใจในบุตรมนุษย์
ท่านเห็นผู้นั้นแล้ว
คือผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่าน

(ยอห์น 9:35-37)

กราบพระบาทพระบิดาฯ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
28/11/2020 

27 พฤศจิกายน 2563

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

27/11/2020



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

พวกท่านเป็นกลุ่ม ยุวจิตจักรวาลทายาท
ผู้ซึ่งเข้าถึงพระโอวาทแห่งองค์จิตจักรวาล
พระผู้เป็นเจ้าเหนือสิ่งทั้งปวงที่ทรงสร้าง
เป็นกลุ่มท้ายๆซึ่งแม้ว่าจะมาทีหลังคนกลุ่มใหญ่
ที่พวกเขามีโอกาสได้รู้จักพระองค์
ก่อนพวกท่านนานนับพันปีกันมาแล้วก็ตาม

แต่พวกท่านส่วนใหญ่กลับมีความก้าวหน้า
ในการยกระดับจิตปัญญาและพัฒนาจิตวิญญาณ
บนมรรควิถี จิตจักรวาล เพื่อการหลุดพ้น
ในบทบาทของมนุษย์โลกเสรีได้จนแทบไม่มีที่จะติ
ด้วยการทำตนเป็นนักเรียนที่ดีไม่มีอุตริ
สามารถเข้าถึงพระโอวาทและเข้าถึงอนุตรธรรม
ด้วยคุณสมบัติอันชอบธรรมต่อไปนี้ คือ

1.มีความอ่อนน้อม ถ่อมตน และถ่อมใจ
2.มีความกระหายต่อการเป็นคนชอบธรรมแท้จริง
3.มีสติปัญญาเป็นของตนและใช้เป็นจึงไม่งมงาย
4.มีความสามารถในการใช้เหตุผลเพื่อการเรียนรู้

5.มีใจเปิดกว้างโดยไม่ยึดติดศาสดาพระองค์เดียว
ไม่ติดยึดในพระคัมภีร์เพียงเล่มเดียว
และไม่ปฏิเสธความรู้ใหม่ทันทีโดยไม่พิจารณาก่อน

6.มีปณิธานแห่งการหลุดพ้นนิพพานอย่างแท้จริง

7.มีใจมุ่งมั่นปฏิบัติตามพระโอวาทอย่างเต็มกำลัง
และติดตามเฝ้าฟังพระโอวาทมิขาดเว้น
โดยถือเป็นหน้าที่หลักในชีวิตประจำวันของตน
มิใช่เห็นว่าเป็นแค่ "ส่วนเกิน" ของชีวิต

ดังนั้น

ประดายุวจิตจักรวาลทายาทเช่นพวกท่าน
จึงมีความก้าวหน้าในชีวิตและจิตวิญญาณ
อย่างต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆจนน่าพอใจยิ่ง
เป็นต้นว่า

ท่านที่เคยเป็นดั่ง คนตาบอด
ที่คอยก้าวตามคนนำทางตาบอดอยู่
ก็กลับมองเห็นความจริงด้วยตาของตนเองได้
โดยไม่ต้องก้าวตามคนนำทางตาบอดอีก

ท่านที่มีความก้าวหน้าทางวิญญาณน้อยมาก
ทั้งๆที่มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมเต็มที่
เหมือนดั่ง คนเป็นง่อย ที่ก้าวเดินไม่ค่อยได้
เมื่อรับฟังพระโอวาทจากพระองค์แล้วนำมาปฏิบัติ
ก็กลับก้าวเดินตรงไปสู่จุดหมายได้อย่างน่ายินดี

สำหรับท่านที่เป็นบุคคลอันน่ารังเกียจ
เพราะมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของคนอื่น
ซึ่งมากด้วยกิเลสตัณหาราคะครอบงำ
จนไม่มีผู้ใดอยากคบหาสมาคมด้วย
เสมือนดั่งบุคคลที่ป่วยด้วย โรคเรื้อน
ก็สามารถหายสะอาดทั้งกายและจิตใจ
เมื่อเลือกก้าวตามพระโอวาทของพระบิดาฯ
ได้อย่างน่าอัศจรรย์

ส่วนท่านที่ปรารถนาสัจธรรมมาทั้งชีวิต
แต่ไม่สามารถจะเข้าถึงและเข้าใจแก่นสัจธรรมได้
ไม่ว่าจากปากของ "คนนำทาง" ท่านใดก็ตาม
เปรียบดั่ง คนหูหนวก ที่ใครกล่าวอะไรก็ไม่ได้ยิน
แต่เมื่อมารับฟังพระโอวาทพระบิดาฯ
ที่ทรงเมตตาสื่อผ่านมาทางเรา
ก็กลับเข้าใจเรื่องยากๆได้ภายในไม่เกินสามนาที
เหมือน "คนหูหนวก" ที่กลับมาได้ยินอีกครั้ง

ท่านที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่
เพราะยังหนีออกไปจากการมี สังสารวัฏ ไม่ได้
เนื่องจากไม่รู้ว่าเส้นทางนิพพานสู่การหลุดพ้น
เพื่อนำจิตวิญญาณกลับบ้านที่จากมาไปทางใด
แต่เมื่อพาตนเองเข้าสู่มรรควิถีจิตจักรวาลแล้ว
ปรากฏว่าจิตวิญญาณของตนก็ไม่ต้องตายอีก
นั่นคือ ประดาคนตายก็เป็นขึ้น

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

นอกจากประดายุวจิตจักรวาลทายาททั้งหลาย
ผู้มีโอกาสเข้าฟังพระโอวาทจากองค์จิตจักรวาล
ที่นำไปปฏิบัติในชีวิตจริงอย่างเชื่อมั่นและศรัทธา
จนสัมฤทธิผลทั้งในมิติโลกและมิติจิตวิญญาณแล้ว
งานสื่อพระโอวาทประกาศอนุตรธรรมของเรา
ที่สื่อผ่านช่องทางต่างๆในสังคมยุคไฮเท็คนี้
ยังช่วยให้ศาสนิกชนคนประพฤติธรรมทั่วโลก
ซึ่งเปรียบเสมือน คนยากจน จำนวนมากมาย
เพราะขาดองค์ธรรมความรู้ที่ถูกต้องตรงจริง
ให้ได้รับทราบรับรู้ข่าวดีจากพระองค์ไปด้วย

ดังนั้น
เราจึงขอบอกบุญต่อท่านทั้งหลายว่า
เมื่อท่านเป็นผู้ใกล้ชิดกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
ซึ่งพิสูจน์รู้พิสูจน์เห็นความจริงด้วยตนเองแล้วว่า
มรรควิถีจิตจักรวาลซึ่งเป็นทางรอดสุดท้าย
ที่องค์จิตจักรวาลทรงเมตตาประทานผ่านเรามานี้

ช่วยให้คนตาบอดมองเห็น
ช่วยพวกคนเป็นง่อยให้เดินได้
ช่วยคนที่เป็นโรคเรื้อนให้หายสะอาด
ช่วยประดาคนหูหนวกให้กลับมาได้ยิน
ช่วยประดาคนตายให้เป็นขึ้น
ช่วยคนยากจนทั้งหลายให้ได้รับข่าวดี

(มัทธิว 11: 4-6)

ก็จงไปบอกกล่าวต่อคนใกล้ตัวท่านด้วยว่า
มรรควิถีจิตจักรวาลจากพระโอวาทของพระองค์
สามารถช่วยเหลือพวกเขาทุกคนได้
ทั้งฝ่ายเนื้อหนังในมิติโลกด้านกายภาพ
และฝ่ายจิตวิญญาณด้านของแก่นแท้

ถ้าใครไม่มีเหตุสะดุดในตัวเราคนนั้นก็เป็นสุข

กราบพระบาทพระบิดาฯ

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
27/11/2020 

26 พฤศจิกายน 2563

 สนทนาประสาจิตจักรวาล

26/11/2020



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

ทุกถ้อยธรรมที่เรากล่าวต่อท่านทั้งหลาย
เรากล่าวในพระนามของพระบิดาฯ

ทุกคำกล่าวจึงเป็นพระโอวาทของพระองค์
ทุกคำกล่าวจึงเป็น สัจธรรม ความจริง
ที่พระองค์ทรงบัญชาให้เรากลับมาอีกครั้ง
เพื่อเข้ามาฉุดช่วยจิตวิญญาณของท่าน
ให้หลุดพ้นนิพพานได้ทันก่อนวันเปลี่ยนยุค

ด้วยการเข้ามาบอกกล่าวเล่าความให้ท่านรู้
ในสิ่งที่ท่านทั้งหลายยัง "ไม่รู้ว่าไม่รู้" แต่ต้องรู้
มิเช่นนั้นจิตวิญญาณของท่านจะหลงทาง
จะลอยเคว้งคว้างอยู่ในอนันตจักรวาลนี้
เพราะหาทางกลับบ้านไม่พบเจอนั่นเอง

โดยเฉพาะสัจธรรมระดับ อนุตรธรรม
ที่เราเคยกล่าวย้ำต่อท่านทั้งหลายอยู่เนืองๆว่า

ถ้าไม่รู้ความจริงและไม่ยอมรับในเรื่องเหล่านี้
ต่อให้ท่านเป็นคนดี มีศีลธรรม
สั่งสมบุญสร้างทานบารมีเอาไว้มาก
และรักการนั่งกรรมฐานสมาธิเป็นชีวิตจิตใจ
ท่านก็พาจิตวิญญาณหลุดพ้นนิพพานไม่ได้
เรื่องที่ท่านทั้งหลายจะต้องรู้และยอมรับก็คือ

1.จิตวิญญาณของท่านเป็นใคร มาจากไหน
2.จิตวิญญาณของท่านได้รับอนุญาตจากใคร
3.จิตวิญญาณของท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
4.จิตวิญญาณของท่านมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง
5.จิตวิญญาณของท่านจะทำหน้าที่นั้นๆได้อย่างไร

ความทั้ง 5 ประการนี้
เป็นความจริงขั้นสูงสุดระดับ "อนุตรธรรม"
ที่องค์สัพพัญญูก็ไม่สามารถกล่าวให้ท่านรู้ได้
นอกจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้เป็นเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งเท่านั้น
ที่จะสามารถบอกกล่าวต่อท่านทั้งหลาย
ด้วยการสื่อผ่านพระบุตรเอกซึ่งเป็นบุตรมนุษย์
ที่เป็นบุตรโทนเพียงคนเดียวของพระองค์ได้

อนุตรธรรมสำคัญทั้งห้าประการนี้
ท่านทั้งหลายจะปฏิเสธโดยไม่รับรู้ไม่ได้
ท่านทั้งหลายเมื่อรับรู้แล้วจะต่อต้านก็ไม่ได้
ท่านทั้งหลายเมื่อรับรู้แล้วจะทำวางเฉยก็ไม่ได้

เราจะขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
ถ้าท่านปฏิเสธอนุตรธรรมความจริงทั้งห้านี้
เท่ากับท่านปฏิเสธต้นกำเนิดของตัวท่านเอง
ปฏิเสธการมีพระผู้ให้กำเนิดของตนเอง
ปฏิเสธการมีภูมิลำเนาบ้านเกิดของตนเอง
ปฏิเสธหน้าที่ทางจิตวิญญาณของตนเอง
ปฏิเสธการปฏิบัติตามพันธสัญญา 6
ที่เคยให้สัจจะไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

การปฏิเสธในสิ่งเหล่านี้
มันจะยังผลให้การมาเกิดต้องล้มเหลว
เพราะท่านเป็นเหตุให้จิตวิญญาณของท่าน

1.เป็นผู้พเนจร ไม่มีบ้านเกิดเมืองนอน
2.เป็นลูกกำพร้า เพราะจำพ่อแม่ไม่ได้
3.เป็นคนเหลวไหลเพราะไม่รู้หน้าที่ของตน
4.เป็นคนล้มเหลวเพราะทำหน้าที่ไม่สำเร็จ
5.เป็นผู้ที่จะถูกคัดทิ้งเพราะไร้สัจจะต่อพระองค์
จากการลืมพันธสัญญา 6 นั่นเอง

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เมื่อท่านเป็นเหตุให้จิตวิญญาณของท่าน
กลายเป็นคนไม่มีบ้าน
ท่านจึงจะนิพพานเพื่อหลุดพ้นกลับบ้านไม่ได้

เมื่อท่านเป็นเหตุให้จิตวิญญาณของท่าน
ต้องกลายเป็นลูกกำพร้าไม่มีพ่อแม่
ท่านจึงเป็นเพียงคนพเนจรนอนไหนก็ได้
เพราะไม่มีพ่อแม่ให้โอบอุ้ม

เมื่อท่านเป็นเหตุให้จิตวิญญาณของท่าน
ละเลยหน้าที่ในพันธสัญญา 6
จนเป็นผู้ผิดสัจจะต่อพระผู้เป็นเจ้า
เท่ากับทำให้จิตวิญญาณของท่าน
ผิดบาปอย่างร้ายแรงจนยากแก่การเยียวยา

เพียงเท่านี้จิตวิญญาณของท่าน
ก็มิอาจหลุดพ้นนิพพานได้แล้ว

แต่ถ้าท่านรับฟังพระโอวาทแล้วเกิดสติ
ก็จงเร่งปรับเปลี่ยนจิตสามนึกของท่าน
แล้วยอมรับอนุตรธรรมทั้งหมดที่เรากล่าว
เพื่อปฏิบัติตามมรรควิถีจิตจักรวาล
ด้วยการก้าวเดินไปตามธารสายน้ำนมสีขาว
ซึ่งพระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่าน
ทรงประทับรอพวกท่านอยู่ที่นั่นตั้งนานแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า

แม้ว่าฟ้า
และดินจะล่วงไป
แต่
บรรดาถ้อยคำของเราที่กล่าวต่อท่าน
มันจะ
ไม่สูญหายเลย....

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26/11/2020

สนทนาประสาจิตจักรวาล


สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ทุกถ้อยธรรมที่เรากล่าวต่อท่านทั้งหลาย
เรากล่าวในพระนามของพระบิดาฯ
ทุกคำกล่าวจึงเป็นพระโอวาทของพระองค์
ทุกคำกล่าวจึงเป็น #สัจธรรม ความจริง
ที่พระองค์ทรงบัญชาให้เรากลับมาอีกครั้ง
เพื่อเข้ามาฉุดช่วยจิตวิญญาณของท่าน
ให้หลุดพ้นนิพพานได้ทันก่อนวันเปลี่ยนยุค
ด้วยการเข้ามาบอกกล่าวเล่าความให้ท่านรู้
ในสิ่งที่ท่านทั้งหลายยัง "ไม่รู้ว่าไม่รู้" แต่ต้องรู้
มิเช่นนั้นจิตวิญญาณของท่านจะหลงทาง
จะลอยเคว้งคว้างอยู่ในอนันตจักรวาลนี้
เพราะหาทางกลับบ้านไม่พบเจอนั่นเอง
โดยเฉพาะสัจธรรมระดับ #อนุตรธรรม
ที่เราเคยกล่าวย้ำต่อท่านทั้งหลายอยู่เนืองๆว่า
ถ้าไม่รู้ความจริงและไม่ยอมรับในเรื่องเหล่านี้
ต่อให้ท่านเป็นคนดี มีศีลธรรม
สั่งสมบุญสร้างทานบารมีเอาไว้มาก
และรักการนั่งกรรมฐานสมาธิเป็นชีวิตจิตใจ
ท่านก็พาจิตวิญญาณหลุดพ้นนิพพานไม่ได้
เรื่องที่ท่านทั้งหลายจะต้องรู้และยอมรับก็คือ
1.จิตวิญญาณของท่านเป็นใคร มาจากไหน
2.จิตวิญญาณของท่านได้รับอนุญาตจากใคร
3.จิตวิญญาณของท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
4.จิตวิญญาณของท่านมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง
5.จิตวิญญาณของท่านจะทำหน้าที่นั้นๆได้อย่างไร
ความทั้ง 5 ประการนี้
เป็นความจริงขั้นสูงสุดระดับ "อนุตรธรรม"
ที่องค์สัพพัญญูก็ไม่สามารถกล่าวให้ท่านรู้ได้
นอกจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
พระผู้เป็นเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งเท่านั้น
ที่จะสามารถบอกกล่าวต่อท่านทั้งหลาย
ด้วยการสื่อผ่านพระบุตรเอกซึ่งเป็นบุตรมนุษย์
ที่เป็นบุตรโทนเพียงคนเดียวของพระองค์ได้
อนุตรธรรมสำคัญทั้งห้าประการนี้
ท่านทั้งหลายจะปฏิเสธโดยไม่รับรู้ไม่ได้
ท่านทั้งหลายเมื่อรับรู้แล้วจะต่อต้านก็ไม่ได้
ท่านทั้งหลายเมื่อรับรู้แล้วจะทำวางเฉยก็ไม่ได้
เราจะขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
ถ้าท่านปฏิเสธอนุตรธรรมความจริงทั้งห้านี้
เท่ากับท่านปฏิเสธต้นกำเนิดของตัวท่านเอง
ปฏิเสธการมีพระผู้ให้กำเนิดของตนเอง
ปฏิเสธการมีภูมิลำเนาบ้านเกิดของตนเอง
ปฏิเสธหน้าที่ทางจิตวิญญาณของตนเอง
ปฏิเสธการปฏิบัติตามพันธสัญญา 6
ที่เคยให้สัจจะไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
การปฏิเสธในสิ่งเหล่านี้
มันจะยังผลให้การมาเกิดต้องล้มเหลว
เพราะท่านเป็นเหตุให้จิตวิญญาณของท่าน
1.เป็นผู้พเนจร ไม่มีบ้านเกิดเมืองนอน
2.เป็นลูกกำพร้า เพราะจำพ่อแม่ไม่ได้
3.เป็นคนเหลวไหลเพราะไม่รู้หน้าที่ของตน
4.เป็นคนล้มเหลวเพราะทำหน้าที่ไม่สำเร็จ
5.เป็นผู้ที่จะถูกคัดทิ้งเพราะไร้สัจจะต่อพระองค์
จากการลืมพันธสัญญา 6 นั่นเอง
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เมื่อท่านเป็นเหตุให้จิตวิญญาณของท่าน
กลายเป็นคนไม่มีบ้าน
ท่านจึงจะนิพพานเพื่อหลุดพ้นกลับบ้านไม่ได้
เมื่อท่านเป็นเหตุให้จิตวิญญาณของท่าน
ต้องกลายเป็นลูกกำพร้าไม่มีพ่อแม่
ท่านจึงเป็นเพียงคนพเนจรนอนไหนก็ได้
เพราะไม่มีพ่อแม่ให้โอบอุ้ม
เมื่อท่านเป็นเหตุให้จิตวิญญาณของท่าน
ละเลยหน้าที่ในพันธสัญญา 6
จนเป็นผู้ผิดสัจจะต่อพระผู้เป็นเจ้า
เท่ากับทำให้จิตวิญญาณของท่าน
ผิดบาปอย่างร้ายแรงจนยากแก่การเยียวยา
เพียงเท่านี้จิตวิญญาณของท่าน
ก็มิอาจหลุดพ้นนิพพานได้แล้ว
แต่ถ้าท่านรับฟังพระโอวาทแล้วเกิดสติ
ก็จงเร่งปรับเปลี่ยนจิตสามนึกของท่าน
แล้วยอมรับอนุตรธรรมทั้งหมดที่เรากล่าว
เพื่อปฏิบัติตามมรรควิถีจิตจักรวาล
ด้วยการก้าวเดินไปตามธารสายน้ำนมสีขาว
ซึ่งพระผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณของท่าน
ทรงประทับรอพวกท่านอยู่ที่นั่นตั้งนานแล้ว
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราขอยืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า
แม้ว่าฟ้า​และ​ดิน​จะ​ล่วง​ไป
แต่​บรร​ดา​ถ้อย​คำ​ของ​เรา​ที่กล่าวต่อท่าน
มันจะ​ไม่​สูญ​หาย​เลย....
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
26/11/2020

25 พฤศจิกายน 2563

 สนธนาประสาจิตจักรวาล

25/11/2020



พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

องค์จิตจักรวาล คือ พระผู้เป็นเจ้า
ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ในเครื่องยนต์แห่งกรรม
หรือ "กายสังขาร" ของท่านทั้งหลายนั้น
ทรงประทับอยู่ในแผ่นดินสวรรค์
อันหมายถึงแดนสุญตาที่อยู่นอกเอกภพ

พระองค์ทรงเป็นเสมือนเจ้าของ สวนองุ่น
และสวนองุ่นของพระองค์ก็คือ โลกเสรี นี้

การที่พระองค์ส่ง พระบุตรเอก
เดินทางเข้ามาจุติเป็นมนุษย์ในระบบโลก
ก็เพื่อทำหน้าที่กล่าวพระโอวาทต่อท่านทั้งหลาย
ในพระนามของพระองค์นั่นเอง

พระโอวาท
ที่ทรงกล่าวต่อมวลมนุษย์ผ่านพระบุตรเอก
มีทั้ง อนุตรธรรม โลกุตรธรรม และ โลกิยธรรม
อันเป็นอาหารของจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ที่ทุกคนต้องรับประทานเพราะทานแล้ว
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านจะไม่ต้องตาย
จิตวิญญาณของท่านจะเป็นผู้มีชีวิตนิรันดร์

การมีชีวิตนิรันดร์หมายถึง
ท่านทั้งหลายจะมีอายุขัยยืนยาว
โดยฝ่ายเนื้อหนังจะไม่มีการเสื่อมสลาย
ท่านจะห่างไกลจากความเฒ่าชรา
พวกท่านจะไม่มีคำว่า สังสารวัฏ

เมื่อครบ 6 หมื่นปีแล้ว
จิตวิญญาณของท่านก็จะทิ้งกายสังขาร
แล้วเดินทางกลับบ้านด้วยการหลุดพ้น
เพื่อกลับไปกราบพระบาทพระบิดาฯที่ทรงรออยู่

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

สัจธรรมจากพระโอวาท
ที่ทรงกล่าวผ่านพระบุตรเอกนั้น
เปรียบดั่งผลองุ่นอันหวานละมุนช่อใหญ่ๆ
จาก "เถาองุ่น" ก็คือ "พระบุตรเอก" นั่นเอง

แต่ที่ผ่านมานานนับพันปีจนบัดนี้
คนส่วนใหญ่มักปฏิเสธอาหารของพระองค์
ที่ทานแล้วจิตวิญญาณจะมีชีวิต
กลับเลือกทานแต่อาหารบำรุงเนื้อหนัง
ซึ่งผลบั้นปลายที่ได้รับคือความตาย
เมื่อตายแล้วก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ไปเรื่อยๆ

อาหารบำรุงเนื้อหนังที่เรากล่าวนี้ก็คือ
สิ่งอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันของท่าน
ที่ได้จากการใช้กิเลสตัณหาของจิตหยาบ
แสวงหามันมานั่นแหละท่าน

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านอีกด้วยว่า

พระองค์ทรงมอบหมายให้
จิตวิญญาณแก่นแท้
ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
เข้ามาจุติในระบบโลกเสรีนี้
เพื่อปฏิบัติตามพันธะสัญญา 6 ให้ลุล่วง
โดยทรงอนุญาตให้ท่านทั้งหลายมาทำหน้าที่
ภายในระยะเวลา 6 หมื่นปีโลกเท่านั้น
ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดให้เป็น 1 ยุค

ความจริงที่ท่านต้องรู้ก็คือ
ภายในระยะเวลา 1 ยุค คือ 6 หมื่นปีนี้
จิตวิญญาณผู้ขันอาสาพระองค์เข้ามาจุตินั้น
มิได้เดินทางเข้ามาพร้อมกันทั้งหมด
แต่ทะยอยกันเดินทางข้ามมิติเข้ามา

ไม่ต่างจากวันทำงานวันเดียวกัน
บางคนก็เริ่มทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า
บางคนก็เข้างานในเวลาเที่ยงวัน
ขณะที่อีกบางคนก็เข้างานในเวลาสี่โมงเย็น
ซึ่งเป็นเวลาชั่วโมงเดียวก่อนเลิกงานเท่านั้น

แต่ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ความจริงไว้ด้วยว่า
ไม่ว่าใครคนไหนจะเข้าทำงานเวลาใดก็ตาม
จะทำงานเต็มวันหรือแค่เวลาไม่กี่ชั่วโมง
ทุกคนก็จะได้รับค่าจ้างค่าแรงเท่ากันทั้งหมด

จิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ผู้ขันอาสาพระบิดาฯ
เข้ามาทำงานอยู่ในระบบโลกก็เช่นกัน
ใครมาเกิดในภพชาติแรกก่อนหลังใคร
ใครมีจำนวนภพชาติการเกิดมากน้อยกว่าใคร
พระองค์ก็จะทรงจ่ายค่าจ้างให้เท่ากันทั้งนั้น

ค่าจ้างในการมาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6 ประการ
ก็คือ "การหลุดพ้นกลับบ้าน" แดนจิตจักรวาล
เพื่อกลับไปกราบพระบาทพระบิดาฯ
อย่างพร้อมหน้ากันในวันสิ้นยุคพลังงานเก่า

แต่เรามีความจริงอีกอย่างหนึ่ง
ที่จะขอกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า

จงดูเอาเถิด....
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านที่มาปลายยุค
จะ "หลุดพ้น" ออกไป
จากโลกและอนันตจักรวาลได้ก่อน
รายที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดก่อนหรือเป็น "คนต้น"
คนพวกนี้จะหลุดพ้นกลับออกไปได้ทีหลัง

เหตุผลก็คือ "คนต้น"
ซึ่งเป็นจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านผู้มาใหม่
คนพวกนี้จะมีจิตหยาบที่เปรียบได้ดั่งทุ่งนา
ที่เพิ่งหว่านเมล็ดข้าวสาลีไว้ใหม่ๆหมาดๆ
ยังไม่มีศัตรูที่แอบเข้าไปหว่านข้าวละมาน
ซึ่งเป็นวัชพืชของข้าวสาลีเลย
อีกทั้งเมื่อเข้ามาทำหน้าที่ใหม่ๆ
พวกเขาก็ยังจำหน้าที่ของตนได้อยู่
พวกเขาจึงสามารถ "กลับบ้าน" ได้ก่อน

ส่วนพวกที่มาเกิดก่อนนานนับหมื่นปี
ซึ่งจะหลุดพ้นกลับบ้านได้ทีหลังก็เพราะว่า
จิตใจพวกเขาอันหมายถึงทุ่งนาข้าวสาลี
ล้วนมีข้าวละมานหรือวัชพืชเติบโตอยู่ด้วยกัน

คนพวกนี้จึงต้องเสียเวลา
เพื่อทำการ "ถอน" ข้าวละมานทีละต้น
ออกไปจากนาข้าวสาลีให้หมดก่อน
จึงจะเก็บเกี่ยวข้าวสาลีที่เป็นขุมทรัพย์ในนาได้

ข้าวละมานวัชพืชในนาข้าวสาลีที่ว่านี้
ก็คือ กิเลส ตัณหา อารมณ์ขยะรายวัน
ส่วนข้าวสาลีก็คือ ความรักเพื่อให้ นั่นเอง

เมื่อผู้มาก่อนต้องเสียเวลาไปกับการนี้
แถมยังมีบางคนจำหน้าที่ของตนไม่ได้อีก

พระบิดาฯจึงส่งเรากลับมาในปลายยุคนี้อีกครั้ง
เพื่อจะทำหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้แก่ท่านทั้งหลาย
ให้สามารถกลับบ้านกันได้ครบทุกคน
แม้ว่าผู้มาก่อนตั้งแต่ต้นยุคจะได้กลับทีหลัง
ผู้ที่มาทีหลังจะได้กลับบ้านหรือนิพพานก่อน
ก็ยังดีกว่ามาก่อนแต่กลับบ้านไม่ได้เลยสักคน

กราบพระบาทพระบิดาฯทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25/11/2020 

สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
ทรงเป็นผู้ให้กำเนิดจิตวิญญาณ
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ในเครื่องยนต์แห่งกรรม
หรือ "กายสังขาร" ของท่านทั้งหลายนั้น
ทรงประทับอยู่ในแผ่นดินสวรรค์
อันหมายถึงแดนสุญตาที่อยู่นอกเอกภพ
พระองค์ทรงเป็นเสมือนเจ้าของ #สวนองุ่น
และสวนองุ่นของพระองค์ก็คือ #โลกเสรี นี้
การที่พระองค์ส่ง #พระบุตรเอก
เดินทางเข้ามาจุติเป็นมนุษย์ในระบบโลก
ก็เพื่อทำหน้าที่กล่าวพระโอวาทต่อท่านทั้งหลาย
ในพระนามของพระองค์นั่นเอง
ที่ทรงกล่าวต่อมวลมนุษย์ผ่านพระบุตรเอก
อันเป็นอาหารของจิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ที่ทุกคนต้องรับประทานเพราะทานแล้ว
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านจะไม่ต้องตาย
จิตวิญญาณของท่านจะเป็นผู้มีชีวิตนิรันดร์
การมีชีวิตนิรันดร์หมายถึง
ท่านทั้งหลายจะมีอายุขัยยืนยาว
โดยฝ่ายเนื้อหนังจะไม่มีการเสื่อมสลาย
ท่านจะห่างไกลจากความเฒ่าชรา
พวกท่านจะไม่มีคำว่า #สังสารวัฏ
เมื่อครบ 6 หมื่นปีแล้ว
จิตวิญญาณของท่านก็จะทิ้งกายสังขาร
แล้วเดินทางกลับบ้านด้วยการหลุดพ้น
เพื่อกลับไปกราบพระบาทพระบิดาฯที่ทรงรออยู่
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
สัจธรรมจากพระโอวาท
ที่ทรงกล่าวผ่านพระบุตรเอกนั้น
เปรียบดั่งผลองุ่นอันหวานละมุนช่อใหญ่ๆ
จาก "เถาองุ่น" ก็คือ "พระบุตรเอก" นั่นเอง
แต่ที่ผ่านมานานนับพันปีจนบัดนี้
คนส่วนใหญ่มักปฏิเสธอาหารของพระองค์
ที่ทานแล้วจิตวิญญาณจะมีชีวิต
กลับเลือกทานแต่อาหารบำรุงเนื้อหนัง
ซึ่งผลบั้นปลายที่ได้รับคือความตาย
เมื่อตายแล้วก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ไปเรื่อยๆ
อาหารบำรุงเนื้อหนังที่เรากล่าวนี้ก็คือ
สิ่งอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันของท่าน
ที่ได้จากการใช้กิเลสตัณหาของจิตหยาบ
แสวงหามันมานั่นแหละท่าน
พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงต่อท่านอีกด้วยว่า
พระองค์ทรงมอบหมายให้
จิตวิญญาณแก่นแท้
ในเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์
เข้ามาจุติในระบบโลกเสรีนี้
เพื่อปฏิบัติตามพันธะสัญญา 6 ให้ลุล่วง
โดยทรงอนุญาตให้ท่านทั้งหลายมาทำหน้าที่
ภายในระยะเวลา 6 หมื่นปีโลกเท่านั้น
ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดให้เป็น 1 ยุค
ความจริงที่ท่านต้องรู้ก็คือ
ภายในระยะเวลา 1 ยุค คือ 6 หมื่นปีนี้
จิตวิญญาณผู้ขันอาสาพระองค์เข้ามาจุตินั้น
มิได้เดินทางเข้ามาพร้อมกันทั้งหมด
แต่ทะยอยกันเดินทางข้ามมิติเข้ามา
ไม่ต่างจากวันทำงานวันเดียวกัน
บางคนก็เริ่มทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า
บางคนก็เข้างานในเวลาเที่ยงวัน
ขณะที่อีกบางคนก็เข้างานในเวลาสี่โมงเย็น
ซึ่งเป็นเวลาชั่วโมงเดียวก่อนเลิกงานเท่านั้น
แต่ท่านทั้งหลายจักต้องรู้ความจริงไว้ด้วยว่า
ไม่ว่าใครคนไหนจะเข้าทำงานเวลาใดก็ตาม
จะทำงานเต็มวันหรือแค่เวลาไม่กี่ชั่วโมง
ทุกคนก็จะได้รับค่าจ้างค่าแรงเท่ากันทั้งหมด
จิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย
ผู้ขันอาสาพระบิดาฯ
เข้ามาทำงานอยู่ในระบบโลกก็เช่นกัน
ใครมาเกิดในภพชาติแรกก่อนหลังใคร
ใครมีจำนวนภพชาติการเกิดมากน้อยกว่าใคร
พระองค์ก็จะทรงจ่ายค่าจ้างให้เท่ากันทั้งนั้น
ค่าจ้างในการมาเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อทำหน้าที่ตามพันธะสัญญา 6 ประการ
ก็คือ "การหลุดพ้นกลับบ้าน" แดนจิตจักรวาล
เพื่อกลับไปกราบพระบาทพระบิดาฯ
อย่างพร้อมหน้ากันในวันสิ้นยุคพลังงานเก่า
แต่เรามีความจริงอีกอย่างหนึ่ง
ที่จะขอกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
จงดูเอาเถิด....
จิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านที่มาปลายยุค
จะ "หลุดพ้น" ออกไป
จากโลกและอนันตจักรวาลได้ก่อน
รายที่ได้รับโอกาสให้มาเกิดก่อนหรือเป็น "คนต้น"
คนพวกนี้จะหลุดพ้นกลับออกไปได้ทีหลัง
เหตุผลก็คือ "คนต้น"
ซึ่งเป็นจิตวิญญาณแก่นแท้ของท่านผู้มาใหม่
คนพวกนี้จะมีจิตหยาบที่เปรียบได้ดั่งทุ่งนา
ที่เพิ่งหว่านเมล็ดข้าวสาลีไว้ใหม่ๆหมาดๆ
ยังไม่มีศัตรูที่แอบเข้าไปหว่านข้าวละมาน
ซึ่งเป็นวัชพืชของข้าวสาลีเลย
อีกทั้งเมื่อเข้ามาทำหน้าที่ใหม่ๆ
พวกเขาก็ยังจำหน้าที่ของตนได้อยู่
พวกเขาจึงสามารถ "กลับบ้าน" ได้ก่อน
ส่วนพวกที่มาเกิดก่อนนานนับหมื่นปี
ซึ่งจะหลุดพ้นกลับบ้านได้ทีหลังก็เพราะว่า
จิตใจพวกเขาอันหมายถึงทุ่งนาข้าวสาลี
ล้วนมีข้าวละมานหรือวัชพืชเติบโตอยู่ด้วยกัน
คนพวกนี้จึงต้องเสียเวลา
เพื่อทำการ "ถอน" ข้าวละมานทีละต้น
ออกไปจากนาข้าวสาลีให้หมดก่อน
จึงจะเก็บเกี่ยวข้าวสาลีที่เป็นขุมทรัพย์ในนาได้
ข้าวละมานวัชพืชในนาข้าวสาลีที่ว่านี้
ส่วนข้าวสาลีก็คือ #ความรักเพื่อให้ นั่นเอง
เมื่อผู้มาก่อนต้องเสียเวลาไปกับการนี้
แถมยังมีบางคนจำหน้าที่ของตนไม่ได้อีก
พระบิดาฯจึงส่งเรากลับมาในปลายยุคนี้อีกครั้ง
เพื่อจะทำหน้าที่จ่ายค่าจ้างให้แก่ท่านทั้งหลาย
ให้สามารถกลับบ้านกันได้ครบทุกคน
แม้ว่าผู้มาก่อนตั้งแต่ต้นยุคจะได้กลับทีหลัง
ผู้ที่มาทีหลังจะได้กลับบ้านหรือนิพพานก่อน
ก็ยังดีกว่ามาก่อนแต่กลับบ้านไม่ได้เลยสักคน
กราบพระบาทพระบิดาฯทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
25/11/2020