18 ตุลาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล 

18/10/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
เรื่องของนิพพานกับการหลุดพ้นนั้น
มันเป็นคนละเรื่องกันมันไม่เหมือนกัน

ดังนั้น
จงอย่ายึดติดความเชื่อเดิมที่ท่านจดจำมา
จากคำสั่งสอนของ คนนำทางตาบอด ไว้
เพราะดูเหมือนพวกเขาจะเข้าใจกันเองว่า
ทั้งสองเรื่องที่ว่านี้นั้นมันเป็นเรื่องเดียวกัน
อันเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้พวกเขา
พากัน หลงทางนิพพาน ตราบจนป่านฉะนี้

พวกท่านทั้งหลายจักต้องรู้ว่า
โดยเฉพาะเรื่อง นิพพาน ที่ถูกต้องแล้ว
ความจริงที่จริงแท้ต้องเป็นดั่งนี้ คือ

1.คำว่า "นิพพาน"
เป็น สภาวะหนึ่ง ของ จิตหยาบ เท่านั้น
มิใช่เรื่องของ จิตวิญญาณ แต่อย่างใด
เมื่อจิตหยาบเข้าถึงสภาวะนิพพานได้
จิตวิญญาณของท่านก็ยังอยู่ครบ
ไม่ว่าจะยังเป็นมนุษย์อยู่หรือตายแล้วก็ตาม

2.เพราะ "จิตวิญญาณ" เป็นตัวตนแก่นแท้
ในการมาเกิดเป็น คนสองมิติ คือมนุษย์
โดยมอบอำนาจหน้าที่ให้ "จิตหยาบ"
ซึ่งตนแบ่งภาคออกมาให้ทำหน้าที่แทน

ดังนั้น
ขณะดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์อยู่นั้น
จิตวิญญาณจะเร้นตนเองอยู่ข้างใน
โดยมี "จิตหยาบ" เป็นผู้ทำหน้าที่แทนตน
ทั้งในมิติของเนื้อหนังและมิติทางพลังงาน
ซึ่งจิตวิญญาณผู้มอบอำนาจให้ทำแทน
ต้องรับผิดชอบในผลกรรมที่จิตหยาบก่อขึ้น
เสมือนว่าตนเองเป็นผู้กระทำโดยไม่มีข้อแม้

3.ตั้งแต่ภพชาติแรกที่จิตวิญญาณมาเกิดนั้น
ในทุกภพชาติ "จิตหยาบ" จะเป็นผู้รับผิดชอบ
ในการดำเนินชีวิตเป็นมนุษย์แทนเสมอ
เมื่อตายไปในภพชาตินั้นๆเพราะจบสิ้นอายุขัย
จิตหยาบพร้อมขันธ์ 5 ก็จะดับสลายตายไป
พร้อมเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ด้วย

พอได้โอกาสกลับมาเกิดใหม่ในภพชาติใหม่
จิตวิญญาณก็จะแบ่งภาคตนเองออกมาอีก
เพื่อทำหน้าที่เป็น "จิตหยาบ" ขณะเป็นมนุษย์
โดยให้ทำหน้าที่แทนตนในภพชาติใหม่นั้น
ตามที่พระบิดาได้ทรงออกแบบวางแผนไว้

4.เพราะจิตหยาบไม่เคยมีประสบการณ์
ในการทำหน้าที่เป็นคนสองมิติมาก่อนเลย
เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แทน
จิตหยาบจึงใช้อำนาจที่ตนได้รับถ่ายทอดให้
ทำผิดๆถูกๆจนสับสนกันตั้งแต่ 3 ขวบแล้ว

ตลอดทั้งชีวิตจิตหยาบจึงต้องเรียนรู้
ที่จะเข้าถึงอำนาจทางจิตวิญญาณ
เพื่อทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณในสองมิติ
คือมิติโลกทางกายภาพหรือกายสังขาร
กับมิติทางพลังงานด้านจิตวิญญาณให้ลุล่วง

ที่ต้องเรียนรู้เพราะจิตหยาบกับจิตวิญญาณ
ยังไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันโดยตรงได้
จึงยังมิอาจสั่นสะเทือนเป็นหนึ่งเดียวกันได้
การจะรู้ว่าจิตวิญญาณต้องการให้ตนทำสิ่งใด
ตนจะต้องใช้อำนาจของจิตวิญญาณอย่างไร
ภารกิจของจิตวิญญาณที่ตนต้องทำคืออะไร
อำนาจของจิตวิญญาณที่ตนได้รับมาคืออะไร
มันจึงเป็นดั่งความลับที่ถูกปิดมิติไว้โดยแท้

อีกทั้งจิตหยาบเองก็ยังไม่รู้ว่า
ตนยังมีจิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้
ผู้อาสามาเกิดเป็นมนุษย์เร้นอยู่ข้างในอีกด้วย
เรื่องของเรื่องมันจึงผิดเพี้ยนไปกันใหญ่

นอกจากนั้น
ในทุกภพชาติที่ท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์
บ้างก็บกพร่องด้านการเรียนรู้
ด้วยการเลือกเรียนรู้เฉพาะสิ่งที่กูสนใจ
ด้วยการเลือกเรียนรู้เฉพาะครูที่ตนยึดติด
ด้วยการเลือกเรียนรู้จากคัมภีร์เล่มเดียว

บ้างก็ปฏิเสธไม่ใส่ใจที่จะใฝ่เรียนรู้
จำเพาะในเรื่องที่ศาสดาของกูมิได้สอนไว้
เพราะมนุษย์ใช้ความเชื่อความชอบแทนปัญญา
เพื่อพิจารณาตัดสินว่าสิ่งใดควรเรียนรู้หรือไม่
จึงทำให้โลกนี้มีความรู้อยู่ถึง 4 ประเภท คือ

1.ความรู้ที่ตนเองอยากรู้แต่ยังไม่รู้
2.ความรู้ที่ตนเองอยากรู้แต่เรียนรู้มาบ้างแล้ว
3.ความรู้ที่ตนเองไม่นึกอยากที่จะรู้
เพราะไม่รู้ว่าตนจะต้องรู้มันไปทำไม
4.ความรู้ที่ตนไม่รู้ว่าตนยังไม่รู้

ความรู้ทั้ง 4 ประเภทที่กล่าวนี้
จึงกลายเป็นภาระหนักสำหรับท่านทั้งหลาย
ที่จะต้องเรียนรู้มันทุกเรื่องตลอดชีวิตกันแล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

คำว่า "นิพพาน" นั้น ที่แท้จริงแล้ว
มันเป็นเพียงสภาวะหนึ่งของจิตหยาบ
ที่สามารถ ดับการเกิดดับ ของทุกสิ่งได้
เช่น กิเลส ตัณหา ราคะ อารมณ์ขยะรายวัน
อุตริอวิชชา อุปาทาน กฎแห่งกรรม
และการดับสังสารวัฏได้ เกิดแล้วไม่ตายอีก
มิใช่ ตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีก
ตามความเชื่อของคนนำทางตาบอดนั่น

หากจะกล่าวแบบลัดสั้นกระชับ
เราอาจกล่าวต่อท่านทั้งหลายว่า
วิธีดับการเกิดดับใน "ขยะ" ของจิตหยาบ
จนชำระบาปไถ่บาปให้แก่นแท้ของท่านได้
ก็คือการ "แทรกแซง" กรรมจักรของจิตหยาบ
ให้สั่นสะเทือนขันธ์ 5 เป็นธรรมจักรให้ได้
เพราะถ้าท่านนิพพานขยะในขันธ์ 5 ได้สิ้น
จิตหยาบก็จะว่างไปจากขยะทั้งหลาย
จนมีพื้นที่ให้กับความรักและความฉลาด
เพื่อการสั่นสะเทือนร่วมกับจิตวิญญาณได้

ดังนั้น
ถ้าท่านยกระดับจิตหยาบให้สั่นสะเทือนขันธ์ 5
ซึ่งเป็นอำนาจของจิตวิญญาณได้สำเร็จเมื่อใด
นอกจากจะปฏิบัติภารกิจของจิตวิญญาณ
คือหมุนธรรมจักรเพื่อปันพลังความรักให้โลก
นำไปใช้เพื่อการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้
อย่างสมควร "ยกนิ้วให้" ตนเองกันแล้ว
จิตหยาบซึ่งเป็นกลุ่มพลังงาน 189 กลุ่ม
ก็จะถูกถ่ายทอดกลับคืนให้แก่จิตวิญญาณ
ซึ่งจะยังผลให้ตัวท่านกับจิตวิญญาณนั้น
คืนกลับสู่การเป็นตัวตนคนเดียวกันตลอดไป
มิได้แยกกันทำหน้าที่ดังที่เป็นมาในอดีตแล้ว

เราถามว่า...ท่านเข้าใจกันแล้วรึยัง?

ด้วยเหตุนี้เอง
เราจึงกล่าวว่าสภาวะนิพพานของจิตหยาบนั้น
มิใช่การตายหายสูญของจิตวิญญาณ
ที่พวกท่านพยายามจะดับขันธ์ 5 กัน
เพื่อจะดับทุกข์จะดับอัตตาตัวตนให้สิ้น
เพื่อที่ตายแล้วจะได้ไม่กลับมาเกิดอีก
แล้วก็บอกว่าตัวฉันน่ะ "นิพพาน" ได้แล้ว
ทั้งๆที่ยังมีอัตตาตัวตนหลงมิติลอยค้างอยู่
ในดินแดนที่พระบิดามิได้ทรงสร้างไว้

ทั้งๆที่สัจธรรมที่แท้จริงนั้น
ผู้บรรลุธรรมเบื้องต้นก็คือ

1.สามารถใช้ขันธ์ห้าเหวี่ยงหมุนธรรมจักร
แทนกรรมจักรได้เป็นผลสำเร็จ

2.สามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือนจิตหยาบ
ให้สูงขึ้นจนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณได้
เพื่อใช้จิตวิญญาณขับเคลื่อนกายสังขาร
ทำหน้าที่ใช้เมตตาธรรมค้ำจุนโลกชั่วชีวิต

3.สามารถนิพพานขยะของจิตหยาบ
เพื่อชำระบาปที่เป็น กองทุกข์ ของแก่นแท้
ได้อย่างหมดจดสะอาดบริสุทธิ์
จนพร้อมที่จะนำพาตนเองคือจิตวิญญาณ
หลุดพ้น ออกไปจากโลกและอนันตจักรวาล
เพื่อคืนกลับบ้านแดนสุญตาที่ท่านจากมา
ตามมรรควิถีแห่งจิตจักรวาลเมื่อต้องการได้
มิใช่หลงทางนิพพานอย่างสะเปะสะปะ
จนมองไม่เห็นอนาคตเหมือนดั่งทุกวันนี้

ท่านทั้งหลายจึงต้องรู้ว่า
การเรียนรู้มรรควิถีจิตจักรวาลให้เข้าใจแจ้งนั้น
ท่านต้องละวางความเชื่อเดิมของท่านให้ว่าง
จงอย่านำมันมาผสมผสานกันกับความรู้ใหม่นี้
ทั้งๆที่ท่านรู้ตัวและไม่รู้ตัวก็ตาม

เราฟังความคิดรู้ของบางท่าน
ที่ชี้แจงแสดงออกมาในห้องเรียนแล้ว
เราพบความจริงที่ท่านต้องแก้ไขดังกล่าว
แต่ถ้าท่านไม่ยอมแสดงความคิดความเข้าใจ
ผิดถูกอย่างไรครูของท่านมิอาจรู้
เมื่อไม่รู้ว่าท่านสมควรที่จะรู้อะไรให้ถูกต้อง
ห้องเรียนของเราจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ก็จะไม่เป็นห้องเรียนที่มีครูสื่อสอนแล้ว
คงเป็นได้แค่ตู้เก็บพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
ที่เอาไว้ให้พวกท่านมาเปิดอ่านกันเอาเอง
อ่านแล้วเข้าใจถูกผิดรู้เรื่องไม่รู้เรื่อง
ก็คงเป็นไปตามยถากรรมเท่านั้น
พระคัมภีร์ที่ดีล้ำขนาดไหนก็ไร้ความหมาย

กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
18/10/2021


08 ตุลาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

08/10/2021



สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

สัตว์ประจำโลกกับท่านเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน
ต่างล้วนมีหน้าที่ใช้ความรักบริสุทธิ์ค้ำจุนโลก
ให้มีความสงบสมดุลในสองมิติเหมือนกัน
ทั้งมิติโลกทางกายภาพและมิติทางพลังงาน
แต่ที่ต่างกันซึ่งท่านทั้งหลายจักต้องรู้ไว้ก็คือ

1.สัตว์ไม่มีความฉลาดทางปัญญาของสมองให้ใช้
มีแต่สมองก้อนเดียวเพื่อให้จิตวิญญาณได้ใช้
ขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมสัตว์นั้นๆ
ด้วยสิ่งที่เรียกว่า สัญชาตญาณ
โดยใช้กระบวนการของ ขันธ์ห้า เป็นเครื่องมือ
เพื่อแสดงออกหรือกระทำในสองมิติเช่นกัน

2.สัตว์จึงไม่สามารถที่จะสั่นสะเทือนจิตตน
เพื่อใช้ความรักในกระบวนการขันธ์ห้า
หมุนธรรมจักรมอบความรักให้แก่พวกเดียวกัน
เพื่อที่จะแบ่งปันพลังงานความรักนั้น
ช่วยค้ำจุนโลกให้สมดุลในทุกสถานการณ์ได้

เพราะสมองก้อนเดียวของสัตว์
ถูกออกแบบไว้ให้ทำงานร่วมกับสัญชาตญาณ
ที่มีทั้งความรักและความก้าวร้าวเท่านั้นเอง
มิได้มีไว้ให้ใช้ความฉลาดทางปัญญาแต่อย่างใด

ดังนั้น
สัตว์จะสั่นสะเทือนจิตวิญญาณของพวกเขา
ด้วยกระบวนการของขันธ์ 5 ไปตามอารมณ์รู้สึก
เพื่อตอบสนองสิ่งเร้าผ่านอายตนะเท่านั้น

ถ้าพอใจถูกใจก็ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดู
แต่ถ้าไม่พอใจหรือตกใจก็จะดุร้ายทันที
จนมนุษย์มักกล่าวกันติดปากว่า
สัตว์หน้าขนไว้ใจไม่ได้

3.พระบิดาแห่งจิตวิญญาณหรือองค์จิตจักรวาล
จึงทรงออกแบบให้มนุษย์มีสมองสองซีก
เพื่อให้ บรรลุธรรม ใดๆได้ด้วยปัญญา
แทนการใช้สัญชาตญาณคุ้มดีคุ้มร้ายแบบสัตว์
ซึ่งไม่อาจจะบรรลุภารกิจของจิตวิญญาณได้

เพราะสมองสองซีกในมนุษย์ที่ทรงติดตั้งให้
เป็นพลังอำนาจทางปัญญาอันมหัศจรรย์
ที่จะช่วยให้ท่านบรรลุสัจธรรมได้ทั้งสองระดับ
จนสามารถใช้ตาที่สามคือ "ดวงตาแห่งปัญญา"
อ่านทุกเงื่อนไขสถานการณ์ที่เผชิญได้โปร่งแจ้ง
ชนิดที่สองตาเนื้อของท่านที่มีอยู่เข้าถึงมันไม่ได้

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

ถ้าพวกท่านไม่ใส่ใจติดอาวุธทางปัญญา
ในการใช้สมองทั้งสองซีกที่สัตว์ไม่มีให้ใช้
ให้เกิดประสิทธิผลเพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์
เพื่อการบรรลุธรรมศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ผิดเพี้ยนแล้ว
การได้แต่อาศัย ความเชื่อ ตามคำแนะนำผิดๆ
ของ "คนนำทางตาบอด" อยู่อย่างเดิมนั้น
ท่านก็จะมิอาจ "บรรลุธรรม" ที่ถูกต้องแท้ได้

ก็จะได้แต่วนเวียนขึ้นๆลงๆเขาวงกต
แล้วลดเลี้ยวดั้นด้นขึ้นสู่ยอดเขาพระสุเมรุ
เวียนวนขึ้นลงไปเรื่อยๆโดยมิรู้ว่าจะถึงยอดเมื่อใด
เพราะว่าพากันดั้นด้นไปผิดทางอยู่นั่นเอง

เราจึงขอกล่าวความจริงให้รู้ว่า
ความฉลาดของสมองสองซีกนั้นท่านต้องฝึกใช้
ถ้าไม่ชำนาญในการใช้หรือใช้มันไม่เป็นแล้ว
สมองสองซีกของท่านก็จะมีไว้แค่ "คั่นหู" เท่านั้น
จะใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการบรรลุธรรมไม่ได้
เพราะสมองของท่านพระบิดาวางระบบไว้ว่า

สมองซีกซ้าย
ทรงออกแบบให้มนุษย์ใช้งานได้แบบ อัตโนมัติ
เพียงท่านนึกคิดเรื่องดีเรื่องชั่วหรือเรื่องอะไรๆ
สมองซีกซ้ายก็จะให้ปัญญาเพื่อคิดได้แล้ว
ซึ่งมันจะมีทั้งคิดถูก คิดผิด คิดนอกรีตนอกรอย
ยิ่งถ้าเป็นคนไม่มีหลักการและเหตุผล
เป็นคนไม่มีศีลธรรมจรรยาไม่มีระเบียบวินัยแล้ว
ความคิดที่ได้มันจะเป็นแค่ "ก้อน" มิใช่ "ผลึก"

คนที่ใช้แต่สมองซีกซ้ายเป็นประจำ
ในชีวิตจึงมีทั้งความสำเร็จและล้มเหลว
ทั้งทางโลกและทางธรรมเสมอ

คนพวกนี้มักจะเด่นตรงที่เป็นคน รู้มาก
ที่รู้มากเพราะเรียนมามากแล้วก็ จำเก่ง
แต่จะตกม้าตายเมื่อในชีวิตจริงของพวกเขา
ไม่ฉลาดพอที่จะนำเอาที่รู้อยู่มารับใช้ตนเองได้
อย่างเก่งก็แค่สอนแบบบ่นให้คนอื่นฟังเท่านั้น

สมองซีกขวา
เป็นปัญญาในระดับขั้นที่สูงกว่า
ถ้ายังกดปุ่มใช้สมองซีกซ้ายไม่เป็นไม่ชำนาญ
อย่าได้หาญกล้ามาใช้สมองซีกขวาเด็ดขาด
เพราะมันยากกว่าการใช้สมองซีกซ้ายหลายเท่า

เพราะพระบิดาทรงออกแบบไว้ให้มนุษย์
ต้องสำเร็จการศึกษาระดับประถมมัธยมก่อน
จึงจะสามารถเรียนต่อยอดสู่ขั้นมหาวิทยาลัยได้
หมายความว่าถ้าท่านยังใช้สมองซีกซ้ายไม่เป็น
โดยยังใช้สมองฟรีที่เป็นระบบอัตโนมัติอยู่
ยังไม่อาจสร้างกระบวนการในการคิดรู้
ตามที่ทรงออกแบบเอาไว้ให้อย่างได้ผลแล้ว
จิตหยาบของท่านจะยังเข้าถึงสมองซีกขวาไม่ได้

เพราะพลังอำนาจในการสั่นสะเทือนของจิต
เพื่อการกำหนดนึกสู่กระบวนการคิดของสมอง
เป็นกุญแจดอกสำคัญที่จิตจะใช้ไขประตูมิติ
ในการเลือกใช้งานสมองซีกซ้ายหรือซีกขวา
ซึ่งพลังจิตที่จะเปิดใช้สมองซีกขวาสูงกว่าแน่

เราจะยกตัวอย่างเรื่องจริงสักเรื่องหนึ่ง
ที่ทุกวันนี้คนนำทางตาบอด
ผู้ถนัดใช้แต่สมองซีกซ้ายเพื่อการบรรลุธรรม
จึงนำเอา "ความเชื่อ" มาชี้นำผู้หลงก้าวตาม
ด้วยหลักการและเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง
เพราะพวกเขายังใช้ปัญญาจากสมองซีกซ้าย
จนคิดเข้าใจผิดว่าปัญญาของตนนั้นขั้นอริยะแล้ว

ตัวอย่างที่เราว่านี้ก็คือ

การชักชวนพวกท่านพากันดับขันธ์ 5 ให้ได้
เพราะเชื่อด้วยปัญญาของสมองซีกซ้ายกันว่า
"ขันธ์ 5" นี่แหละที่เป็นตัวตนต้นเหตุเป็นตัวปัญหา
นำพาให้ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์บนโลกเสรีนี้
ซึ่งการมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นมันมีแต่ "กองทุกข์"
พวกเขาเห็นว่าไม่สมควรจะมาเกิดบนโลกอย่างยิ่ง

คนนำทางตาบอดล้วนสอนกันเชื่อตามกันมาว่า
สิ่งที่เรียกว่าขันธ์ 5 นั้นเป็นตัวตน เป็นชีวิต
เพราะมีขันธ์ 5 จึงมีชีวิตจึงมีตัวตน
เพราะมีตัวตนมีชีวิตจึงยังผลให้มีความทุกข์
เช่น มีนรก มีกฎแห่งกรรม มีสังสารวัฏ เป็นต้น

ดังนั้น
พวกเขาจึงสรุปด้วยปัญญาของสมองซีกซ้ายว่า
ถ้าต้องการ "พ้นทุกข์" พวกตนจักต้อง "ดับทุกข์"
ถ้าต้องการจะดับทุกข์จึงต้องดับที่ "อัตตา"
เพราะการมีอัตตาจึงมี "ตัวทุกข์" หรือผู้ทุกข์
ถ้าดับอัตตาได้กลายเป็นอนัตตาก็จะไม่มีใครทุกข์

ทั้งหมดนี้ฟังดูแล้วเข้าท่า
เพราะมีหลักการและเหตุผลชัดเจนน่าเชื่อถือ
ซึ่งสมองซีกซ้ายมันถนัดการวิเคราะห์อยู่แล้ว
แต่ถ้ามนุษย์เข้าถึงการใช้สมองซีกขวาได้
ก็จะพบสัจธรรมความจริงที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าว่า
สิ่งที่ตนเชื่ออยู่นั้นมันมิใช่ สัจธรรมความจริง

1.ขันธ์ 5 เป็นกระบวนการของจิตหยาบ
ที่จะใช้สั่นสะเทือนในสองมิติเป็น 5 ขั้นตอน
เพื่อผลิตสร้างพลังงานความรักค้ำจุนโลก

ถ้ามนุษย์ไม่มีขันธ์ 5 ทำหน้าที่ร่วมกับสมอง
เมื่อกลไกอายตนะสัมผัสรู้ดูเห็นสิ่งเร้าภายนอก
มนุษย์จะทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับโลกมิได้

ความจริงข้อนี้เป็น อนุตรธรรม

2.การพยายามจะดับขันธ์ 5
เพื่อดับอัตตาตัวตนของตนหรือตัวรู้ว่าทุกข์
เป็นความเชื่อที่ผิดทั้งหลัก "อนุตรธรรม"
เพราะขันธ์ 5 ดับเองได้เมื่อตายแล้ว
และอัตตาที่พยายามจะดับกันอยู่นั้น
คือ จิตหยาบมิใช่จิตวิญญาณแก่นแท้

นอกจากนั้น
การพยายามที่จะดับอัตตาของ "จิตหยาบ"
ยิ่งทำให้เสียเวลาในการดำเนินชีวิตไปเปล่าๆ
เพราะจิตหยาบดับเองได้เมื่อตายแล้วเช่นกัน
จิตวิญญาณแก่นแท้นั้นมิได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย

การพยายามดับขันธ์ 5
เพื่อหวังจะดับอัตตาให้เหลือแต่ "อนัตตา"
ด้วยเชื่อว่าจะทำให้ไม่มีอัตตาที่จะมาเกิดอีก
เป็นการบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแท้แล้วนั้น
จึงเป็นความเชื่อของสมองซีกซ้ายที่ไร้มิติ
เพราะจิตวิญญาณเป็นรูปธรรมทางพลังงาน
ซึ่งจะสูญสลายหายไปไหนไม่ได้

3.ความจริงที่จริงแท้ระดับ "โลกุตรธรรม" นั้น
หากคิดได้เองด้วยกลไกสมองซีกขวา
โดยมีความรู้ขั้นพื้นฐานมาจากการฟัง
ด้วยสมองซีกซ้ายเพราะรู้เองไม่ได้แล้วว่า

ขันธ์ห้าดับเองได้เมื่อตาย
จิตหยาบดับเองได้เมื่อตาย
ไม่ต้องไปเสียเวลากดทับมันสลายมัน

จิตที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
มิใช่จิตวิญญาณผู้มาเกิดเป็นมนุษย์
แต่เป็นจิตหยาบที่ถูกแบ่งภาคออกมา
เพื่อทำหน้าที่แทนจิตวิญญาณ
ขณะมีภพชาติเป็นมนุษย์อยู่เท่านั้น
การพยายามดับมันจึงเกาผิดที่คัน

สิ่งที่ถูกต้องกว่าก็คือ
ความทุกข์ที่พวกเขาจับมาเป็นจำเลยนั้น
ขันธ์ 5 มิได้เป็นเหตุแต่อย่างใดทั้งสิ้น
แต่ความทุกข์เกิดจากการใช้ขันธ์ 5 ไม่ได้
ความทุกข์เกิดจากการใช้ขันธ์ 5 ไม่เป็น
นี่ต่างหาก คือ สาเหตุที่แท้จริง

พอไปโทษขันธ์ 5 เป็นจำเลยเข้าให้
โดยไม่โทษว่าตนไร้ความสามารถเอง
เรื่องง่ายๆก็เลยกลายเป็นเรื่องยากไปในที่สุด

วิธีการที่ถูกต้องในการบรรลุธรรม
คือ ต้องแทรกแซงกรรมจักรในขันธ์ 5 ให้ได้
โดยหมุนให้เป็น "ธรรมจักร" แทนเสีย
เพียงแค่ตัดเวทนาขันธ์แล้วใช้ความรักกับปัญญา
ในขั้นตอนของสังขารขันธ์ให้จงได้เท่านั้น
พวกท่านก็ประสบความสำเร็จแล้ว

ความสำเร็จที่หมุนธรรมจักรได้ คือ

1.จิตวิญญาณจะอยู่เหนือกฎแห่งกรรมได้
2.จิตวิญญาณจะหยุดการมีสังสารวัฏได้
3.จิตหยาบจะว่างจากทุกข์คือว่างจากกิเลสตัณหา
4.จิตหยาบจะนิพพานได้ทั้งๆที่ยังไม่ตาย
5.จิตวิญญาณจะไม่ตายกายสังขารจะเป็นอมตะ
โดยจะว่างไปจากทุกข์ตลอดชีวิต

6.จิตวิญญาณพร้อมจะ "หลุดพ้น" กลับบ้าน
แดนสุญตาที่ตนจากมาอย่างแท้จริง
โดยมิได้นิพพานแบบตาลยอดด้วนตามที่เชื่อกัน

 

ใช้ขันธ์ 5 ให้เป็นก็ดับทุกข์ได้

ไม่ต้องดับอัตตาให้เป็นอนัตตา

เพราะสิ่งที่มีอัตตาก็เป็นอนัตตา

การว่างจากอัตตาอย่างง่ายที่สุด

คือการไม่ยึดติดอัตตาตัวกูของกู

แค่นี้ท่านก็หมดทุกข์กันได้แล้ว


กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
8/10/2021


01 ตุลาคม 2564

สนทนาประสาจิตจักรวาล

01/10/2021




สนทนาประสาจิตจักรวาล

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

การที่เรากล่าวพระโอวาทเรื่อง ขันธ์ห้า
ในพระนามแห่งองค์จิตจักรวาลต่อพวกท่าน
ให้ได้รับรู้เพื่อ "เรียนรู้" กันอยู่อย่างต่อเนื่อง
จนบางคนได้กล่าวตามความรู้สึกของตนเองว่า
ขอขอบพระคุณที่เรานำมากล่าวซ้ำย้ำเตือนนั้น
นั่นเป็นเพราะท่าน "รับรู้แบบรวบรัด" เร็วเกินไป

การรับรู้แบบรวบรัดในสัจธรรมระดับอนุตรธรรม
มันอาจจะทำให้กิจกรรม การเรียนรู้ อนุตรธรรม
ที่ลึกซึ้ง แยบยล เข้าใจยากกว่าโลกียธรรมปกติ
เกิดความขาดพร่องร่องแร่งเอาเสียง่ายๆ

เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่คำว่า "ขันธ์์ 5"
เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่คำว่า "ธรรมจักร"
เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่คำว่า "กรรมจักร"
โดยไม่ยอมเข้าไปศึกษาสาระในบทเรียนชื่อซ้ำ
ว่ามันมีอะไรอยู่ในกอไผ่ที่ดูแล้วรกๆเหมือนกัน

ถ้าท่าน "แหวก" เข้าไปดูในกอไผ่อาจจะพบว่า
ไผ่บางกออาจมีตัว "อ้น" น่ารักๆขุดรูอยู่ในนั้น
อาจมี "เห็ดโคน" แสนอร่อยเร้นอยู่ในไผ่กอนั้น
เพราะเพียงแค่เชื่อว่า ไม่มีอะไรในกอไผ่
มันก็ทำให้ท่านโง่ไปทันทีเพราะไม่ใช้ปัญญา
ไม่สนใจที่จะศึกษาเรียนรู้กันนั่นเอง

ดังนั้น
เมื่อได้ยินเรื่องขันธ์ 5 กรรมจักรหรือธรรมจักรซ้ำๆ
จิตหยาบของท่านจึงเกิดอาการไม่กระปรี้กระเปร่า
ต่างจากการได้รับรู้รับฟังความรู้ใหม่ที่ไม่เคยได้ยิน
นานวันเข้าก็จะเกิดอาการ "เบื่อหน่าย" ไปในที่สุด

สาเหตุที่หลายท่านเกิดอาการเช่นว่านี้
ก็เพราะจิตหยาบหรือจิตมนุษย์ของพวกท่านนั้น
ใฝ่ที่จะเรียนรู้แต่เรื่องราวที่ตนสนใจเป็นสำคัญ
โดยอาศัย "ตัณหา" ในสังขารขันธ์ของขันธ์ 5
คือความอยากรู้อยากเห็นของตนเป็นตัวขับเคลื่อน

พวกท่านจึงขาดสติเผลอใช้หัวข้อหัวเรื่องนั้นๆ
กระตุ้นการจูงใจให้เกิดการอยากรู้อยากเรียนขึ้น
เมื่อพบว่าที่เราจะกล่าวพระโอวาทนั้นเป็นเรื่องซ้ำ
ประเภท "กูรู้แล้ว" โดยยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำไปว่า
ที่พระองค์จะทรงกล่าวให้ฟังให้เรียนรู้อยู่นั้น
เป็นสัจธรรมที่ "กูจำและทำได้แล้ว" จริงรึเปล่า
เป็นสัจธรรมที่ลึกซึ้งแยบยลยิ่งกว่าเก่ารึเปล่า

เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่คำว่า "ขันธ์์ 5"
เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่คำว่า "ธรรมจักร"
เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่คำว่า "กรรมจักร"

เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่ว่า "เคยเรียนแล้ว"
เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่ว่า "เคยฟังแล้ว"
เพราะท่านไปยึดติดกันอยู่ที่ว่า "เคยอ่านแล้ว"

พวกท่านจึงกลายเป็นคนที่ไม่ฉลาดเรียนรู้ไป
โดยพฤติกรรมการเรียนรู้ของท่านทั้งหลาย
กลายเป็นลักษณะ ด้อยประสิทธิผล มีจุดบอด
จนมิอาจยกระดับตนเองให้เป็น ปราชญ์เมธี ได้
แม้ท่านจะเป็นผู้ใฝ่รู้ดูแล้วเข้าท่าอยู่บ้างก็ตาม

พวกท่านจึงเป็นมนุษย์ประเภทรั่วหรือพร่อง
คือ ยึดติด "ครู" หรือ "ศาสดา" พระองค์เดียว
คือ ติดยึด "ตำรา" หรือ "พระคัมภีร์" เล่มเดียว
โดยเหตุผลที่ว่าทั้งครูทั้งตำราที่ตนยึดติดนั้น
ล้วนสอนในเรื่องความดีงาม ความรัก ความชั่ว
ในแนวทางแนวธรรมเหมือนๆกันทั้งนั้น
จึงตัดสินใจเลือกเชื่อเลือกที่จะฟังเพียงแค่หนึ่ง

นอกจากนั้น
ยังใช้กิเลสคือความรู้สึกในการตัดสินใจ
เลือกพระศาสดาหรือครูและพระคัมภีร์
ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ความเชื่อ มิใช่ สติปัญญา
ทั้งๆที่ยังมิได้ลงลึกในสาระของข้อสัจธรรมนั้น
ก็ใช้ความรู้สึกว่าสนใจหรือไม่น่าสนใจ
ก็ใช้ความรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบ
เป็นตัวชี้วัดตัดสินใจรับรู้เพื่อเรียนรู้ไปทันที

นี่จึงเป็นความมืดบอดทางปัญญาของมนุษย์
ทั้งๆที่พระบิดาทรงประทานสมองสองซีกให้ใช้
แต่มนุษย์กลับใช้กิเลสตัณหานำปัญญาแทน
จึงมิอาจเป็นนักปราชญ์เมธีผู้ฉลาดอันควรจะเป็น
จึงมิอาจเป็นบัณฑิตผู้รอบรู้อย่างแท้จริงได้

ตัวอย่างเช่น
การใช้ความรู้สึกส่วนตนเลือกยอมรับนับถือ
พระศาสดาที่มีพระเจ้ากับศาสดาที่ไม่มีพระเจ้า
โดยไม่ใส่ใจในสาระธรรมอันควรใส่ใจ
โดยไม่มีความรู้ในเรื่องของพระเจ้าอย่างถ่องแท้

เพราะปฏิเสธที่จะเรียนรู้ว่าพระเจ้าเป็นใคร
ยังไม่รู้ว่าจิตวิญญาณของตนมาจากไหน
จิตวิญญาณของตนมาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม
จิตวิญญาณของตนมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง

ซึ่งคำตอบทั้งหลายเหล่านี้
พระศาสดาที่เกิดจากโลกให้คำตอบท่านไม่ได้
มีแต่พระศาสดาที่มาจากพระเจ้าเท่านั้น
ที่จะสามารถให้ท่านเรียนรู้เพื่อหาคำตอบได้

เพราะท่านไปติดที่คำว่า พระเจ้า
ซึ่งเป็นคำที่ท่านไม่อยากรู้ ไม่สนใจ ไม่รู้จัก
เนื่องจากพวกท่านไม่เคยเรียนรู้กันมาก่อน
เนื่องจากศาสดาที่ท่านยอมรับก็ไม่เคยพูดถึง
ท่านจึงใช้ความรู้สึกนำปัญญาตัดสินใจแทน
ทั้งๆที่ยังไม่รู้ด้วยว่า "พระเจ้า" เป็นใคร
ทรงสำคัญต่อตนเองโลกและจักรวาลอย่างไร
ก็พิพากษาตนเองด้วยการปฏิเสธพระองค์แล้ว

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

จงอย่าใช้นิสัยเคยชินที่ผิดพลาดในการเรียนรู้
แม้กระทั่งอนุตรธรรมสูงสุดที่มนุษย์เข้าถึงไม่ได้
อย่างเช่น เรื่องขันธ์ 5 เรื่องธรรมจักร เป็นต้น
โดยอย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าพระโอวาทที่เราสื่อมานี้
มีแต่สัจธรรมของเก่าที่เราเอามากล่าวซ้ำเตือน
เหมือนกับว่าครูของตนสอนจนหมดไส้หมดพุงแล้ว
จนยังผลให้พวกท่านขาดความกระตือรือร้น
ที่จะเข้าห้องเรียน "ป.วิสุทธิปัญญา" แห่งนี้มากขึ้น
เพราะขาด แรงจูงใจ หรือคิดว่ารู้หมดแล้วนั่นเอง

เราบอกความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
จงให้ความสำคัญต่อการตัดสินใจเรียนรู้ว่า
ครูของพวกท่าน "ต้องการ" สื่อสอนอะไร
ให้มากกว่าพวกท่าน "ต้องการเรียนรู้" เรื่องอะไร
โดยเฉพาะสัจธรรมระดับอนุตรธรรมที่มนุษย์ต้องรู้
ซึ่งไม่มีครูคนไหนในโลกนี้กล่าวต่อพวกท่านได้

พี่ๆน้องๆทั้งหลาย
ครูของท่านเท่านั้นที่จะรู้ว่าศิษย์ของตน
มีความรู้อะไรบ้างที่ศิษย์กำลังต้องการที่จะรู้
มีความรู้อะไรบ้างที่ศิษย์รู้ผิดๆถูกๆจนหลงทางอยู่
มีความรูัอะไรบ้างที่ศิษย์ยังไม่รู้ว่าตนไม่รู้

ดังนั้น
จงอย่าใช้ "ความอยากเรียนรู้" ของตน
เป็นเครื่องกำหนดบทบาทในการเรียนรู้
จงใช้ความ ต้องการจะสื่อสอนของครู
เป็นเครื่องจูงใจท่านให้สนใจการเรียนรู้แทน

ถ้าศิษย์อยากรู้ในทุกๆสิ่งที่ครูอยากสอน
ท่านเชื่อหรือไม่ว่าพวกท่านทุกคน
จักเป็นนักปราชญ์เมธีที่ฉลาดและรอบรู้
จนสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโลกเสรีนี้
ให้มีอะไรที่ดีๆอันน่าภาคภูมิใจ

มากกว่าโลกที่เต็มไปด้วยคนอวดรู้อวดดี
มากกว่าโลกที่เต็มไปด้วยความอุตริงมงาย
มากกว่าโลกที่เต็มล้นไปด้วยคนขยะที่รกโลก

จงอย่าใช้ความอยากเรียนรู้

เป็นเครื่องกำหนดการเรียนรู้

แต่จงใช้ความต้องการ

จะสื่อสอนของครู

เป็นเครื่องจูงใจให้ท่าน

สนใจที่จะเรียนรู้แทน


กราบพระบาทพระบิดาทรงเมตตา

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา

1/10/2021