29 พฤศจิกายน 2565

คำสอน

 

การปฏิบัติธรรมคือการปฏิบัติตนไปตาม
ธรรมชาติ ไม่ใช้อำนาจเหนือนำใครให้เสีย
สมดุล เน้นที่ความลงตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกัน
อย่างสอดคล้อง ใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่เบียด
เบียนกัน

28 พฤศจิกายน 2565

คำสอน

 

โชคดีที่มอดจากต่างดาว
จิตวิญญาณพวกเขาไม่มีหน้าที่ตาย จึงไม่
ต้องกลับบ้านแดนสุญตา แม้ว่าจิตวิญญาณจะ
ตกชั้นจาก 6D ลงมา เหลือแค่ 5D แล้วก็ตาม
ขณะที่มนุษย์ต้องยกจิดจาก 3D สู่ 6D

คำสอน

 

เมื่ออ่านพระโอวาทนั้นต้องติดตามให้เข้าใจ คิดให้เป็นภาพ
เมื่อคิดว่าเข้าใจว่าอย่างไรแล้วก็จงอย่าด่วนสรุปว่าคุณเข้าใจ
นั้นมันถูกต้องเพราะคุณอาจเข้าใจผิดจากการคิดเองเออเอง
ก็ได้ คนช่างเขียนคนเรียนมากพึงสำรวมระวังไว้ให้ดี

คำสอน

 

สภาวะหลุดพ้น คือ จิตวิญญาณกับจิตหยาบจะรวมตัวกัน
เป็นหนึ่งเดียว เพื่อผนึกกำลังกันดีดตัวเองหนีแรงดึงดูดออก
ไปจากโลกและเอกถพ ผ่านด้านนภาลัยกลับออกไปข้าง
นอกได้สำเร็จ #คนโง่จะงานงอก #คนฉลาดจะงานง่าย

คำสอน

 

เราไม่ห่วงใยหรอกว่าใครจะเขียนคอมเม้นเสียหรูหราว่า
อย่างไร เพราะตัวชี้วัดที่แท้จริงคือจิตคุณนั้น เข้าถึง
คุณสมบัติตามที่คุณพูดได้จริงหรือไม่ แค่ใหน เพราะจิตเป็น
นายการคือสมองเป็นแต่บ่าวกรกระทำสำคัญกว่าคำพูด!

คำสอน

 

จิตวิญญาณจะหลุดพ้นได้ก็ต่อเมื่อจิตหยาบ
สามารถหมุนธรรมจักรในชีวิตประจำวันได้อย่าง
อิสระจนทับซ้อนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ
ได้อย่างลงตัว จิตหยาบที่สกปรกรกกิเลสจึงต้อง
ชำระให้สิ้นก่อน

คำสอน

 

คนฉาด
จะถามว่า "นิพพานคืออย่างไร?"
คนงมงาย
จะถามว่า "นิพพานอยู่ที่ใหน?"
ปรากฏว่าคนฉลาด
จะได้หลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตาก่อน!

คำสอน

 

หลักการปฏิบัติธรรมของมนุษย์คือต้องนิพพาน
กิเลสให้สิ้นเพื่อดับการเกิดดับของทุกสิ่งสู่การ
หลุดพ้นกลับบ้านของจิตวิญญาณกันให้ได้ใน
ชาตินี้นี่เป็นมรรควิถีจิตจักวาล

คำสอน


 กิเลสเกิดจากจิตรับรู้สิ่งใดด้วยอายตนะภายนอกแล้ว "รับเอา"
สิ่งนั้นเกิดเป็นความรู้สึกชอบไม่ชอบขึ้นจนไปหยุดอยู่ที่
อยากไม่อยากคือตัณหา จิตแบบนี้คือจิตสกปรกที่คุณต้อง
นิพพานคือรีบหาทางดับมันให้สิ้น

27 พฤศจิกายน 2565

คำสอน

 

มนุษย์ที่เสพติดกิเลสถูกคนนำทางตาบอดจูงใจให้ทำบุญ
เพราะอยากได้บุญซึ่งเป็นบุญที่ไม่บริสุทธิ์โดยไม่รู้ตัว จูงใจ
ให้ไม่อยากทำชั่วเพราะกลัวตกนรก ซึ่งเป็นกรรมดีที่ไม่บริสุทธิ์
เช่นกัน สรุปแล้วแม้จะก่อกรรมดีแต่ก็เป็นโมฆะกรรม

คำสอน

 

มอดหลอกลวงให้มนุษย์หาเรื่องตายได้สารพัดวิธี ให้กิน
สารพิษปนเปื้อน ยาเสพติด อากาศเป็นพิษ ผลิตเชื้อโรคร้าย
ผลิตยาแก้โรคชนิดหนึ่งแต่ก่อให้เกิดอีกโรคหนึ่ง สอนให้
เป็นทาสอารมณ์จยใช้ปัญญาไม่ได้เพราะไร้สติจึงชอบเสี่ยง
ตาย!

คำสอน

 

มอดต้องปิดกั้นการใช้สมองสองซีกของมนุษย์ที่มี
ปัญญาให้ใช้ได้ถึง 4 ระดับ เพราะพวกคนมีสมองแค่ก้อนเดียว
ระดับเดียว ความฉลาดอยู่ที่อายุยืนเป็นอมตะไม่ต้องตาย
แล้วเกิดมาโง่ใหม่ในทุกชาติเหมือนมนุษย์

คำสอน

 

ถ้ามนุษย์โลกฉลาด พวกมอดก็หลอกไม่ได้ สัจธรรมคำสอน
ทุกศาสนาจึงบิดเบือน สาสดาทุกพระองค์ถูกทำให้เสื่อม
คนนำทางตาบอดถูกซาตานล่อลวงให้หลงในอภิญญา พา
ชาวบ้านติดกิเลสจนจิตสามนึกตกต่ำเกินแก้ไข

คำสอน

 

เพราะมนุษย์ถูกมอดมารหลอกให้ทะเลาะกันให้แตกแยกกัน
จนศาสนากลายเป็นลัทธิ ศาสนาก็เป็นได้แค่เจ้าลัทธิ มนุษย์
จึงมิอาจบูรณาการสัจธรรมแต่ละศาสนาให้เป็นสากลได้
เพราะมัวโง่ง่ายตามที่มอดหลอกมานมนาน...เอวัง!

คำสอน

 

ถ้าการปฏิบัติธรรม คือ การถือศีล กินเจ ทำบุญสุนทาน ตัก
บาตรทุกเช้า เข้าวัดทุกวันธรรมสวนะ ฟังเทศน์ สวดมนต์
ไหว้พระ กรวดน้ำ อุทิศส่วนบุญให้พ่อแม่ผู้ล่วงลับกับเจ้า
กรรมนายเวร แต่ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไรแสดงว่านั้นมิใช่ธรรมแท้

คำสอน

 

#พิธีกรรม เป็นมายาสร้างความขลังเพิ่มพลังความหน้าเชื่อ
เพื่อปิดบังสติปัญญาของคุณไว้ ให้คุณเชื่อแต่อธิบายไม่ได้
ว่าอะไรเป็นอะไร พิธีกรรมจึงสร้างความลี้ลับให้กับธรรมชาติ
ชวนให้ผู้คนงมงายเท่านั้น

26 พฤศจิกายน 2565

คำสอน

 

จิตจักรวาลสถานธรรม
บ้านหลังสุดท้ายของมนุษย์
เพื่อการหลุดพ้นกลับบ้าน

คำสอน


การรู้จักเอาใจเราไปใส่ใจเขานั้นมันมีจุดอ่อนคือ
คุณจะยังเป็นตัวคุณอยู่ เพราะคุณจะคิดเข้าข้าง
ตัวเองเสมอ ให้คุณลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา
บ้างสิเพื่อจะได้รู้ว่าเขาจะนึกคิดเช่นไร 

คำสอน

 

จงรู้ไว้ว่าการปฏิบัติธรรมคือการปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับ
ครรลองของธรรมชาติ โดยเน้นที่ #วิธีการ มิใช่เน้น
#พิธีกรรม เป้าหมายการปฏิบัติคือคุณจะช่วยให้คนรอบข้าง
มีความสุขสงบหรือสันติสุขได้อย่างไร

คำสอน

 

วิธีปฏิบัติธรรมนั้นให้ปฏิบัติที่จิตปัญญาแล้วแสดงออกมาต่อ
คนรอบข้าง โดยไม่ทำให้ใครเสียสมดุลเพราะคุณขาดสติ
และขาดเมตตา การปฏิบัติธรรมเป็นการปฏิบัติตนเพื่อคนอื่น
มิใช่เพื่อตนเองในแบบที่คุ้นเคย

คำสอน

 

ถ้าคุณยังยึดติดกับวิธีปฏิบัติธรรมที่ไม่ถูกต้องอยู่เพราะไม่รู้
ว่ามันผิดเนื่องจากเชื่อตามทำตามโดยไม่ฉุกคิด นี่คือการยึด
คือซึ่งจะพาจิตวิญญาณคุณหลงนิพพานจนหลุดพ้น
กลับบ้านแดนสุญตาที่จากมาไม่ได้

25 พฤศจิกายน 2565

คำสอน

 

คุณเป็นผู้เริ่มต้นและสิ้นสุดทุกสิ่งในพฤติกรรมต่างๆของคน
รอบข้าง ไม่ว่าเขาจะแสดงท่าทีเป็นลบหรือบวก นั้นเกิดจาก
คุณทำตัวเป็นเงื่อนไขลบหรือบวกกับเขาอยู่ ถ้าคุณเปลี่ยน
เขาก็จะเปลี่ยนตามคุณ

คำสอน

 

จงมองเห็นคุณค่าของคนชั่วด้วยตาที่สามคือ
ดวงตาแห่งปัญญากันได้แล้ว มองด้วยสองตา
เนื้อไม่เห็นหรอกคุณ

คำสอน

 


เราพักการสื่อไปสองวันมีคนถามมาว่าเราหายไปใหน คิด
บวกคือเป็นห่วงคิดลบคือคิดว่าเราป่วย คิดมากคือคุณถูกบล็อก
นี่ล้วนคิดแบบจิตมนุษย์ทั้งนั้น ถ้าคิดแบบจิตจักรวาลคือ
"ดีจัง" จะได้มีเวลาทบทวน

คำสอน

 

ดอกไม้สวยแต่ไร้กลิ่นจะไม่จูงให้ผึ้งผีเสื้อมาบิน
ตอม เพราะเขารู้ด้วยสัญชาตญาณว่า
ดอกไม้นั้นไม่มีน้ำหวานให้ดื่มกิน ไม่ต่างจากคน
ที่ทำตัวไม่ดีจึงไม่น่าคบหา คบแล้วไร้ค่าหา
ประโยชน์ไม่ได้

24 พฤศจิกายน 2565

คำสอน


คนโบราณมีจิตใจดีงามเพราะตื่นเช้ามาเตรียม
อาหารตักบาตรให้พระเพื่อรับพรจากพระ แต่
สมัยหลังนี้ตักบาตรทำบุญเพื่อ ^ขอ^ พรจาก
พระแทนกันแล้วนะ

คำสอน

 

ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนแปลงคนรอบข้างให้คุณ
เริ่มจากเปลี่ยนแปลงที่ตนเองก่อนเท่านั้น เพราะ
ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงได้คนรอบข้างเขาก็จะ
เปลี่ยนไปตามคุณ อย่าทำเรื่องง่ายๆให้เป็นเรื่อง
ยากเลย

คำสอน

 

เหตุผลข้อหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดไห้
พระออกบิณฑบาตรแต่เช้าโดยทุกรูปจะโกนหัว
โกนหนวดโกนคิ้วออกหมดเพื่อให้โยมจำไม่ได้
ว่าใครเป็นใคร จนพร้อมจะตักบาตรกับพระรูป
ใหนก้ได้

คำสอน

 

มนุษย์ต้องเลิกสันดานเห็นแก่ตัวและพวกตัวให้ได้ก่อน
เปลี่ยนมารู้จักให้ใครเท่าใหร่ก็ได้โดยไม่มีเงื่อนไขนอกจากมี
ความสุขจากการให้เท่านั้น ถ้าคุณทำแบบนี้ได้จนคุ้นเคย
แล้วคุณก็หมุนธรรมจักรได้

21 พฤศจิกายน 2565

คำสอน

 

มนุษย์คิดน้อยกว่าสัตว์ทั้งที่ฉลาดกว่า เช่น สัตว์
คิดว่าจะทำอย่างไรตนจึงจะรอดตายได้ แต่
มนุษย์หลายคนคิดแค่ว่าตนจะทำอย่างไรจึงจะ
เอาตัวรอดคนเดียวได้

20 พฤศจิกายน 2565

คำสอน

 

จิตวิญญาณของสัตว์โลกหลงมิติเพราะแย่งน้ำ
และอาหารกันเพื่อดับความหิวกระหายจะได้อยู่
รอด แต่จิตวิญญาณมนุษย์หลงมิติเพราะแย่งผล
ประโยชน์กันด้วยความเห็นแก่ตัวเพื่อเอาตัวรอด

17 พฤศจิกายน 2565

คำสอน

 

วิธีเป็นนายในดวงใจลูกน้อง
1.รู้จักรักรู้จักให้
2.ใส่ใจในทุกข์สุข
3.สนุกกับงานที่ทำ
4.ไม่ตอกย้ำสิ่งผิด
5.มองอย่างมิตร
6.เอาทั้งงานและคน

คำสอน


วิธีเป็นคนชรา
ให้ลูกหลานรัก
1.ไม่จู้จี้ขี้บ่น
2.ไม่เอาแต่ใจคน
3.ไม่สนใจคำนินทา
4.ไม่ดุด่าลูกหลาน
5.ไม่ละทิ้งงานบ้าน
6.ไม่งุ่นง่านงอแง
7.ไม่ทำตัวแก่จนเกินจริง

คำสอน

 

วิธีพูดน้าวโน้มใจให้คุณคล้อยตาม
1.ต้องรู้ให้จริง
2.ต้องพูดความจริง
3.ต้องพูดให้ฟังง่าย
4.ต้องใช้เหตุผล
5.ต้องพูดเพื่อให้
6.ต้องใช้คำสุภาพ
7.ต้องให้เกียรติเขา
8.ต้องพูดให้ตรงตามที่เขาอยากฟัง

คำสอน

 

วิธีเป็นคนไม่ตกงาน
1.ไม่เกี่ยงทำงาน
2.ไม่เลี่ยงทำงาน
3.ไม่เสี่ยงทำงาน

14 พฤศจิกายน 2565

คำสอน

 

อนุตรธรรมคัมภีร์จิตจักรวาล
อ่านผ่านๆ คือ การอ่านเพื่อให้ได้อ่าน
ตั้งใจอ่าน คือ อ่านเพื่อให้รู้ว่าครูสอนอะไร
ค่อยๆอ่าน คือ อ่านเพื่อเก็บข้อมูลให้ครบ
อ่านแล้วคิดตาม คือ การอ่านให้เข้าใจ
อ่านทบทวน คือ การอ่านเพื่อเอาสาระ

12 พฤศจิกายน 2565

คำสอน

 

มอดเริ่มวางมือจากพวกคนนำทางชราตาบอด
เปลี่ยนมาใช้หนุ่มสาวรุ่นใหม่ให้เล่นบทกรรมกร
แสงแทน โดยให้สวมบทนักวิชาการนักพูดนัก
เล่นกลมนต์มายา ผสานไว้ในคนเดียวเพื่อล่า
สาวกรุ่นใหม่อีกครั้ง

10 พฤศจิกายน 2565

อนุตรธรรมคัมภีร์จิตจักรวาล


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้พวกคุณรู้ว่า
 
การทดลองของพระเจ้าที่ประสบผลสำเร็จยิ่งใหญ่
คือทรงคิดสร้างกลไกชิ้นสำคัญที่จะทำให้โลก
เหวี่ยงหมุนรอบตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง
โดยมิทรงต้องกำหนดสั่งให้โลกหมุนด้วยพระจิต
เหมือนสั่งให้น้ำเปลี่ยนสถานะได้เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยน
นั่นคือทรงปลูกต้นไม้ใหญ่ที่มีชีวิตจำนวนมากมาย
ให้ทำหน้าที่เป็น #เพื่อนร่วมงาน กับดาวโลก
 
ต้นไม้ใหญ่มากมายที่ทรงปลูกสร้างไว้บนโลกนั้น
จะใช้รากแก้วที่หยั่งลึกลงไปในดินช่วยค้ำจุนลำต้น
ใช้รากแขนงกับรากฝอยคอยช่วยค้ำจุนแผ่นดินโลก
ปลายรากของต้นไม้ใหญ่ก็จะเป็นเส้นทางเดินไฟฟ้า
ที่ต้นไม้ต้นนั้นใช้ปลดปล่อยพลังงานความรักออกมา
เพื่อมอบให้แก่แกนโลกที่ทรงติดตั้งบางสิ่งไว้ภายใน
 
ต้นไม้บนโลกเป็นกลไกผลิตไฟฟ้าที่โลกต้องการ
ต้นไม้น้อยใหญ่ทั้งหลายจึงเป็นเพื่อนร่วมงานกับโลก
โดยทรงออกแบบสร้างขึ้นให้ทำงานร่วมกันกับโลก
ให้ทำงานร่วมกันและทำสัมพันธ์กันอย่างอิสระเสรีได้
มิใช่ต่างคนต่างทำแบบมึงทำกูทำหรือมึงไม่ทำกูทำ
หรือแบบมึงทำกูไม่ทำหรือทั้งมึงทั้งกูไม่มีใครทำ
เพราะพระองค์ทรงกำหนด "หน้าที่" เอาไว้ให้ทำแล้ว
ต้นไม้ทุกต้นมีหน้าที่ผลิตพลังงานไฟฟ้ามอบให้โลก
โลกมีหน้าที่รับเอาพลังงานที่รากพืชมอบให้นำไปใช้
 
พลังงานด้านบวกจากปลายรากของพืชหรือต้นไม้
จะถูกเหนี่ยวรั้งลงสู่ "แกนโลก" หรือแกนแม่เหล็กโลก
ซึ่งทรงติดตั้งก้อนธาตุออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% เอาไว้
ธาตุออกซิเจนที่ว่านี้จะมีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในแกนโลก
มีลักษณะทางกายภาพคือจะ #เหนียวหนืด คล้ายตังเม
เนื้อธาตุจะมีสีเขียวใสคล้ายเนื้อขององค์พระแก้วมรกต
เมื่อมีการสะท้อนแสงก็จะเป็นสีเงาวาวดั่งสีปีกแมลงทับ
 
ก้อนธาตุออกซิเจนถูกกำหนดให้เป็น "แกนโลก"
โดยแกนโลกที่ว่านี้พระเจ้าทรงกำหนดออกแบบให้
มันทำหน้าที่เป็น #แกนแม่เหล็กโลก อีกหน้าที่หนึ่งด้วย
ลักษณะการทำงานก็คือ "อะตอม" ของธาตุออกซิเจน
จะมีปฏิกริยาว่องไวต่อพลังงานด้านบวกที่รากพืชมอบให้
อะตอมออกซิเจนบริสุทธิ์ในแกนโลกจะเกิดการระเบิดขึ้น
ทรงเรียกว่า #Atommic_Bomb คือ "ระเบิดนิวเคลียร์"
 
เมื่ออะตอมหนึ่งเกิดการระเบิดขึ้น
มันจะยังผลให้อะตอมข้างเคียงระเบิดตามต่อเนื่อง
ในลักษณะเดียวกันกับการจุดพวงประทัดของคนจีน
เมื่อประทัดดอกแรกระเบิดมันจะจุดระเบิดต่อๆกันไป
ซึ่งมันจะระเบิดอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหมดทั้งแผง
 
ที่แกนโลกจะระเบิดด้วยปฏิกริยา #นิวเคลียร์ฟิชชั่น
ซึ่งอะตอมธาตุออกซิเจนจะระเบิดอย่างต่อเนื่อง
โดยมันจะทำงานสัมพันธ์กันกับการรับพลังงานบวก
ที่ต้นไม้พระบิดาผลิตให้เฉพาะตอนกลางวันเท่านั้น
 
ด้วยเหตุนี้เอง
แกนแม่เหล็กโลกในแกนโลกที่ทรงติดตั้งไว้
มันจะทำงานของมันร่วมกับต้นไม้ที่เป็นสิ่งมีชีวิต
เฉพาะเวลากลางวันที่มีแสงอาทิตย์เท่านั้น
เมื่อตกค่ำไม่มีแสงอาทิตย์ต้นไม้ก็จะหยุดพักนอน
การผลิตพลังงานมอบให้โลกก็จะหยุดทำงาน
ซึ่งจะสลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปแบบนี้เรื่อยๆ
โดยมีพระสุริยะหรือดวงอาทิตย์คอยกำกับบทบาทให้
 
เมื่ออะตอมธาตุออกซิเจนระเบิดอย่างต่อเนื่อง
เพราะความเหนียวหนืดคล้ายตังเมของมัน
กับการระเบิดต่อเนื่องตอนกลางวันอยู่ด้านเดียว
การบิดตัวของแกนแม่เหล็กโลกที่แกนโลกจึงเกิดขึ้น
ซึ่งเป็นการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตราบเท่าที่โลก
ได้รับพลังงานด้านบวกจากประดาต้นไม้ทั้งหลายอยู่
เพราะเป็นการระเบิดที่รุนแรงระดับ "นิวเคลียร์"
แรงบิดจึงมากพอให้โลกทั้งดวงเหวี่ยงหมุนได้
 
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งมหัศจรรย์ในพระปรีชาของพระเจ้า
ซึ่งเป็นพระผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่สูงสุดในอนันตจักรวาล
เท่าที่เราจะพอถ่ายทอดอนุตรธรรมของพระองค์
ให้พวกคุณในปลายยุคพลังงานเก่าทั้งหลายรับรู้ได้
เพื่อเป็นคำตอบว่า #ทำไมเราจึงรักพระองค์
เพื่อเป็นคำตอบว่า #ทำไมพวกคุณต้องรักพระองค์
มิใช่การรักพระองค์เพราะเชื่ออย่างงมงายไร้เหตุผล
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
 
เมื่อพระองค์ทรงค้นพบกระบวนการ
ที่จะทำให้โลกเหวี่ยงหมุนไปได้อย่างต่อเนื่อง
โดยใช้คุณสมบัติทางกายภาพของพระองค์เอง
เป็นต้นแบบเพื่อสร้างสมดุลด้วยการหมุนต่อเนื่อง
จึงทรงติดตั้งก้อนธาตุออกซิเจนไว้ที่แกนโลก
แล้วออกแบบต้นไม้ใหญ่น้อยมากมายปลูกไว้บนดิน
เพื่อให้ต้นไม้ทุกต้นเป็นเครื่องยนต์แห่งกรรมที่เสรี
เป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าในแบบที่โลกต้องการให้
เพียงเท่านี้โลกก็ทำหน้าที่ได้ดังพระประสงค์แล้ว
 
นั่นคือ
ถ้าโลกจะทำหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางของเอกภพได้
ดาวเคราะห์โลกก็จักต้องหมุนรอบตัวเองต่อเนื่อง
เพื่อรักษาความสมดุลในระบบของตนเองให้ได้ก่อน
โลกจึงจะ "ค้ำจุน" เอกภพที่เป็นระบบใหญ่กว่าได้
ด้วยเหตุนี้ต้นไม้น้อยใหญ่ทุกต้นบนโลกจึงสำคัญยิ่ง
ต้นหญ้าป่าไม้แผ่นดินโลกและน้ำคือทรัพยากรโลก
ที่มนุษย์จะต้องช่วยกันอนุรักษ์ไว้เท่าชีวิตห้ามทำลาย
เพราะโลกจะขาดสิ่งที่เรียกว่าทรัพยากรธรรมชาติมิได้
 
#ถ้าตันไม้น้อยใหญ่ตายหมด
#ถ้าแผ่นดินโลกแล้งน้ำ
#ดาวโลกดวงนี้ก็จะหยุดหมุน
#หายนะภัยทั้งหลายก็จะเกิดขึ้น
#โลกและมนุษย์โลกก็จะอยู่ไม่รอด
 
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ปัญญา วิสุทธิ์
10/11/2565

09 พฤศจิกายน 2565

อนุตรธรรมคัมภีร์จิตจักรวาล


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้พวกคุณรู้ว่า
 
เอกภพซึ่งเป็นสนามพลังงานใหม่ที่พระเจ้าทรงสร้าง
ด้วยวัตถุประสงค์สำคัญคือจะทรงใช้เป็นห้องทดลอง
เพื่อจะ "เรียนรู้ว่า" พระองค์ทรงกระทำสิ่งใดได้บ้าง
ด้วยพระอำนาจที่ทรงมีเป็นคุณสมบัติอยู่ในตนแล้ว
 
เนื่องจากพระองค์เพิ่งจะทรงอุบัติขึ้นมาด้วยตนเอง
จึงไม่มีประสบการณ์และยังไม่รู้จักพระองค์เองเลย
การเรียนรู้ว่าตนเองจะสามารถทำสิ่งใดได้บ้างนั้น
ย่อมเป็นภารกิจแรกที่พระองค์จักต้องปฏิบัติให้ได้รู้
อย่างน้อยพระองค์จักต้องเรียนรู้ให้ได้ว่า
 
1.พลังอำนาจในตนเองมีอะไรบ้าง
2.จะเข้าถึงพลังอำนาจเหล่านั้นได้อย่างไร
3.พลังอำนาจเหล่านั้นใช้ทำอะไรได้บ้าง
 
พวกคุณที่รับโอกาสได้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็เช่นกัน
ภารกิจหลักที่สำคัญก็ไม่พ้นไปจาก 3 ประการนี้
ซึ่งพวกคุณจักต้องเรียนรู้และหาคำตอบมาให้ได้
ด้วยการลงมือทำ ลงมือทดลอง หรือลองดูเขาทำ
อย่างใดอย่างหนึ่งตามแต่โอกาสที่จะมีให้
เพราะมนุษย์ทุกคนขณะดำเนินชีวิตอยู่ในระบบโลก
เมื่อเติบโตพอแล้วพวกคุณก็ต้องพึ่งตนเองกันให้ได้
ถ้ายังไม่รู้จักตนเองดีพอแล้วจะพึ่งตนเองได้อย่างไร
 
ดังนั้น
พระองค์จึงทรงใช้พระจิตกำหนดสร้างห้องทดลอง
โดยขั้นตอนแรกทรงกำหนดสร้างสนามพลังงานใหม่
เป็นรูปทรงรีซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวระนาบ
ทรงกำหนดให้ยาวกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวดิ่ง
ทรงวางทับซ้อนไว้บนสนามพลังงานของพระองค์เอง
ดุจดั่งแม่แมงมุมสร้างถุงไข่ของตนเอาไว้บนโยงใย
ก่อนจะทำการวางไข่แล้วโอบอุ้มหุ้มห่อลูกๆของตนไว้
ด้วยโยงใยจากน้ำลายอันเหนียวหนืดของตนเอง
 
สนามพลังงานใหม่รูปทรงรีที่ทรงสร้างขึ้นนี้
ถูกสร้างด้วยอนุภาคพลังงานจำนวนมากนับไม่ถ้วน
ที่ลดเลี้ยวเกี่ยวพันกันอยู่ในรูปทรงเรขาคณิตทรงรี
และกำหนดให้ทั้งระบบเหวี่ยงหมุนรอบแกนกลาง
อย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่ด้วย
 
เคล็ดลับที่พระเจ้าทรงค้นพบ
ในการสร้างห้องทดลองขนาดใหญ่แบบทรงรีนี้
คือทรงใช้ตัวตนแก่นแท้ของความว่าง
ซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของสิ่งที่มันยังไม่มีปรากฏ
มาเป็นวัตถุดิบหลักของห้องทดลองของพระองค์
ที่เราจะเรียกมันว่าแก่นแท้ของ #อนุภาคความว่าง
 
โดยประดาแก่นแท้ของอนุภาคความว่างดังกล่าวนี้
พระองค์ต้องสร้างให้มัน "ฟุ้งกระจาย" เป็นรูปทรงรี
ด้วยการใช้สิ่งที่พวกคุณรู้จักกันดีแล้ว คือ #กาแล็กซี่
น้อยใหญ่จำนวนรวมทั้งสิ้น 12,500 ล้าน กาแล็กซี่
ซึ่งกาแล็กซี่ใหญ่สุดที่กวาดหมุนไปในแนวระนาบ
ของห้องทดลองที่ว่านี้ก็คือ #กาแล็กซี่ธารสายน้ำนม
หรือเรียกเป็นภาษาสากลว่า Milky Way นั่นเอง
 
พระบิดาทรงกำหนดให้
เส้นผ่านศูนย์กลางของห้องทดลองในแนวระนาบ
เป็นกาแล็กซี่ธารสายน้ำนมสีขาวบริสุทธิ์
ความยาวจรดปลายสองข้าง 9,999 ยกกำลังสองช่อง
โดยแต่ละช่องถ่างยาวเท่ากับ 8,110,000 ล้านไมล์
 
เพื่อให้กาแล็กซี่ขนาดใหญ่คือธารสายน้ำนมนี้
สามารถเหวี่ยงหมุนรอบแกนกลางได้อย่างต่อเนื่อง
บนเส้นผ่านศูนย์กลางของห้องทดลองที่ว่านี้
จึงทรงกำหนดสร้าง "ระบบสุริยะ" ขึ้นไว้รวม 2 ระบบ
ระบบหนึ่งคือระบบที่มีดาวเคราะห์รวมทั้งสิ้น 9 ดวง
ระบบแรกนี้จะมีดาวเคราะห์โลกเสรีรวมอยู่ในนั้นด้วย
กับอีกระบบหนึ่งที่มีดาวเคราะห์รวมทั้งสิ้น 5 ดวง
โดยระบบนี้จะมีขนาดดวงอาทิตย์ใหญ่กว่าระบบแรก
ทรงกำหนดให้ทั้งสองระบบช่วยขับเคลื่อนกาแล็กซี่
ให้เกิดการเหวี่ยงหมุนไปในแนวระนาบอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างสมดุลค้ำจุนห้องทดลองของพระองค์ไว้
 
สิ่งสำคัญที่พวกคุณต้องรู้ไว้ก็คือ
ทรงกำหนดให้ดาวเคราะห์โลกที่พวกคุณดำรงอยู่นี้
ทำหน้าที่เป็นเสมือน #จุดศูนย์กลาง ของห้องทดลอง
เพื่อให้คอยค้ำจุนความสมดุลของห้องทดลองเอาไว้
มิให้เสียสมดุลเสียทรงหรือเสียหายใดๆเกิดขึ้นมาได้
ดาวเคราะห์โลกดวงนี้จึงเป็นดาวที่สำคัญอันยิ่งยวด
เพราะมีหน้าที่เป็น #ผู้พิทักษ์ ห้องทดลองของพระเจ้า
 
ด้วยเหตุนี้เอง
พระผู้เป็นเจ้าจึงต้องทรงคิดค้นหาวิธีการว่า
จะต้องออกแบบสร้างกลไกแบบใดขึ้นมา
เพื่อทำหน้าที่ร่วมกันกับดาวเคราะห์โลกดวงนี้
ในบทบาทผู้พิทักษ์ห้องทดลองตามต้องการได้
 
นี่จึงเป็นที่มาของการสร้างระบบสุริยะขึ้นไว้
ในอีก 6 กาแล็กซี่ใกล้จุดศูนย์กลางของห้องทดลอง
รวมทั้งสิ้นเป็น 7 ระบบสุริยะจักรวาล
เพื่อใช้ทดลองสร้างกลไกในแบบที่ทรงต้องการ
ให้มาทำงานร่วมกับดาวโลกได้อย่างเหมาะสม
ผลงานการทดลองสร้างของพระองค์ดังกล่าวนี้
จึงเป็นที่มาของสิ่งมีชีวิตอันประกอบด้วยพืชและสัตว์
จนทุกวันนี้กลายเป็นความหลากหลายด้านชีวภาพ
บนดาวเคราะห์หลายดวงใน 6 ระบบสุริยะ
ซึ่งรวมทั้งสิ่งมีชีวิตลักษณะมนุษย์และคล้ายมนุษย์
บนดาวดวงต่างๆในห้องทดลองขนาดใหญ่นี้ด้วย
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
 
เพราะห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระองค์
ประกอบด้วยกาแล็กซี่น้อยใหญ่
รวมทั้งสิ้นหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยล้านระบบ
โดยมีระบบสุริยะจักรวาลรวมกันถึง 7 ระบบ
พระเจ้าจึงทรงเรียกห้องทดลองของพระองค์นี้ว่า
#เอกภพ ภาษาอนุตรธรรมเรียกว่า "อนันตจักรวาล"
 
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ปัญญา วิสุทธิ์
9/11/2565

อนุตรธรรมคัมภีร์จิตจักรวาล


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้พวกคุณรู้ว่า
 
จิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของทุกคน
เดินทางเข้ามาจุติเป็นมนุษย์กันได้อย่างไร
ทั้งนี้ไม่ว่าปัจจุบันคุณจะเป็นใคร
กำลังใช้ชีวิตอยู่ตรงส่วนไหนบนโลกนี้
จะมีเชื้อชาติและนับถือศาสนาอะไรอยู่ก็ตาม
 
แม้มนุษย์ทั้งโลกจะเลือกรับพระศาสดาต่างกัน
ต่างกันตามความเชื่อความชอบและความเคยชิน
แต่พวกคุณทั้งโลกก็มีพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
หรือพระผู้เป็นเจ้าหรือพระผู้สร้างพระองค์เดียวกัน
ในยุคนี้เราน้อมถวายพระนามว่า #องค์จิตจักรวาล
 
อดีตนั้นพวกคุณรู้จักพระองค์ผ่านพระบุตรเอกว่า
องค์เยโฮวากับองค์อัลเลาะฮ์ซึ่งเป็นองค์เดียวกัน
แต่นามต่างกันตามยุคตามภาษาเกิดของศาสดา
จงอย่าทำสับสนหรือเอาความต่างยุคมาแบ่งแยก
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณว่าเป็นพระเจ้าของมึงของกู
เพราะจิตวิญญาณของพวกคุณทุกๆคนบนโลกนี้
มีพระองค์เป็นพระบิดาผู้ให้กำเนิดมาด้วยกัน
อีกทั้งทรงเป็นผู้อนุญาตให้พวกคุณมาเกิดกันทั้งนั้น
 
พวกคุณจักต้องรู้ว่า
#องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่ เป็นพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง
ทรงเป็นจุดศูนย์กลางของสนามพลังงานขนาดใหญ่
ที่มีพระองค์เป็น "นิวเคลียส" หรือจุดศูนย์กลางนั้น
โดยทรงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองและสั่นสะเทือนตนเอง
ด้วยอัตราเร็วของการเหวี่ยงหมุนรอบจุดศูนย์กลาง
กับค่าความถี่ของการสั่นสะเทือนคงที่และต่อเนื่องด้วย
 
เนื่องจากพระองค์ทรงเป็น #มหาสุญตา
คำว่า "มหาสุญตา" หมายถึงทรงมีคุณสมบัติเป็น
สรรพสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของ #ความว่าง
หรือทรงเป็นแก่นแท้ของสิ่งที่ยังไม่มียังไม่ปรากฏ
หมายถึง #ตัวตนแก่นแท้ของอนุภาคของความว่าง
แปลว่า #ความว่างนั้นก็มีอนุภาค เช่นกัน
แต่มันยังไม่ทันปรากฏเกิดขึ้นเป็น "ตัวตนความว่าง"
ซึ่งความว่างจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการสั่นสะเทือนแล้ว
 
พวกคุณจงตั้งใจอ่านทบทวนซ้ำหลายเที่ยว
อ่านแล้วจงคิดตามให้เป็นภาพอย่าอ่านแบบลวกๆ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจด้วย "จินตมยปัญญา"
ปัญญาใครปัญญามันอ่านไม่เป็นก็จะไม่เข้าใจ
เรียนรู้ไม่เป็นก็จะเข้าถึงความจริงเหล่านี้ไม่ได้
ต่อให้คุณมิได้จบฟิสิกส์มิได้จบวิทยาศาสตร์บัณฑิต
ไม่มีดอกนำหน้าชื่อนามของคุณไว้ก็เข้าใจไม่ยาก
ถ้าคุณมี "ศิลปะ" ด้านการเรียนรู้ด้วยวิธีคิดตามเรา
เพราะคำกล่าวเราในยุคปลายนี้ไม่มีสำนวนโวหาร
ไม่มีอุปมาอุปไมยไม่มีเวลาให้ใครใช้ฝึกคิดอีกแล้ว
 
หลังจากที่พระบิดาหรือองค์จิตจักรวาล
ทรงอุบัติเกิดขึ้นด้วยพระองค์เอง
เป็นสนามพลังงานขนาดใหญ่มหีมา
มีความกว้างใหญ่ไพศาลเสมือนหนึ่งไร้ขอบเขต
ดุจดั่งใบไม้หรือใบบัวที่มีขนาดใหญ่เอามากๆ
ใหญ่จนไม่อาจมองเห็นขอบใบของใบไม้ใบนั้นได้
ทั้งๆที่ขอบใบของใบไม้นั้นมันยังมีของมันอยู่จริง
 
การที่คุณไม่อาจมองเห็นสิ่งใดเช่นว่านี้แล้ว
จะสรุปเอาง่ายๆดื้อๆว่าสิ่งนั้นมันไม่มีอยู่จริง
มันเป็นการใช้ตรรกะของสมองซีกซ้ายที่โง่มาก
เพราะเรียนรู้ความจริงระดับ #โลกิยธรรม ที่ตื้นๆ
แต่การจะเข้าถึงความจริงเกี่ยวกับพระเจ้านี้
คุณต้องใช้สมองอีกข้างหนึ่งคือ "สมองซีกขวา"
โดยใช้ศิลปะของการคิดด้วย #วิธีคิดให้เป็นภาพ
ซึ่งพวกคุณต้อง "กดปุ่ม" ใช้มันให้เป็นเท่านั้น
 
เท็คนิกการกดปุ่มก็คือ "คิดตาม" คำกล่าวของเรา
อย่าคิดต้านหรือคิดแย้งเพราะคุณอวดรู้ว่ากูรู้อยู่
ด้วยการทำตัวเป็นดั่งแก้วที่มีน้ำเน่าอยู่เต็มล้น
ยังทำตัวเป็นคน "หลงตัวเอง" จนเข้าถึงอำนาจในตน
จาก "จิตตปัญญา" ที่พระบิดาประทานไว้ให้ไม่ได้
 
หลังจากที่ทรงอุบัติขึ้นมาด้วยพระองค์เองแล้ว
พระองค์ก็ทรงสร้าง "เงา" ของพระองค์ขึ้นมาได้
ด้วยสิ่งที่ภาษามนุษย์โลกจะเรียกกันว่า #บังเอิญ
ทั้งๆที่จริงๆแล้วมิได้บังเอิญแต่เป็นความเหมาะสม
ที่เงาของพระองค์จะเกิดขึ้นมาได้จากการกำหนดนึก
ด้วยพลังแห่งมหาสุญตาหรือแก่นแท้ของความว่าง
อันเป็นพระอำนาจของพระผู้สร้างที่ทรงมีอยู่ในตน
โดยมิได้ทรงรู้ล่วงหน้ามาก่อนเลย
 
จากนั้นพระองค์ก็ทรงค้นพบ "เสียงก้องกังวาล"
จากการเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์ออกมาดังๆ
เพื่อปรารถนาจะสนทนากับรูปธรรมอื่นๆถ้ามีอยู่จริง
แต่พระองค์มิได้รับคำตอบคงได้สดับแต่เสียงก้อง
จากสุรเสียงที่ทรงเปล่งออกมาเองให้ได้ยินเท่านั้น
นี่ก็เป็นการค้นพบพลังอำนาจที่มีอยู่ในตน
อีกอย่างหนึ่งด้วยประสบการณ์จริงของพระองค์เอง
 
หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงค้นพบว่า
ทรงสามารถกำหนดสร้างหรือ "ให้กำเนิด"
#จิตจักรวาลดวงเล็ก ขึ้นมาอีกมากมายนับไม่ถ้วน
ซึ่งเราจะขอเรียกจิตจักรวาลดวงเล็กว่า "พระบุตร"
โดยการให้กำเนิดของพระองค์ครั้งนี้
ก็เป็นการค้นพบพลังอำนาจในตนเองแบบบังเอิญ
ซึ่งมิได้วางแผนล่วงหน้าและขาดวินัยในการเรียนรู้
ที่สำคัญคือพระองค์มิอาจควบคุมการเรียนรู้นั้นได้
ถ้าจะเป็นการเรียนรู้อย่างมีแบบแผนและควบคุมได้
พระองค์ต้องสร้าง #ห้องทดลอง เพื่อการเรียนรู้ก่อน
 
พระบิดาจึงทรงกำหนดสร้าง
สนามพลังงานใหม่ขึ้นมาอีกสนามพลังงานหนึ่ง
ซ้อนทับอยู่บนสนามพลังงานเดิมของพระองค์
โดยเราจะขอเรียกสนามพลังงานใหม่
ที่ทรงสร้างขึ้นนี้ว่า #เอกภพ หรือ "อนันตจักรวาล"
ส่วนสนามพลังงานเดิมขององค์จิตจักรวาลเองนั้น
เราจะขอเรียกว่า #พระนิเวศน์ของพระผู้เป็นเจ้า
ซึ่งสนามพลังงานใหม่ที่มีขนาดเล็กกว่าที่ว่านี้
เป็น #ห้องทดลอง เพื่อการเรียนรู้ว่า
จะสามารถกระทำสิ่งใดได้อีกบ้างนอกจากที่ได้รู้แล้ว
 
กราบพระบาทพระบิดาที่ทรงเมตตา
 
เอเมน สาธุ
ปัญญา วิสุทธิ์
9/11/2565

คำสอน

 

ความรู้ใดที่รู้แล้วนำพาจิตวิญญาณ
ให้หลุดพ้นกลับบ้านแดนสุญตาไม่ได้
จงอย่าหาทำเพราะมันเป็นอุตริอวิชา
มันเป็นแสงไฟแห่งอบายใช้ล่อแมงเม่า
ให้พากันบินเข้าไปสลัดปีกตนเองตาย
แล้วไร้ปีกจนไม่อาจบินกลับบ้านเดิมได้

07 พฤศจิกายน 2565

คำสอน

 

ทุกสรรพสิ่งในสากลจักรวาลที่พระเจ้าทรงสร้างล้วนมีอัตตา
มายา รูปลักษณ์และคุณสมบัติเฉพาะตัวทั้งสิ้น ต่างกันที่บาง
สิ่งจะมีคุณสมบัติเป็นอนัตตา เพราะอนัตตาไม่ได้แปลว่าไม่มี
อัตตาแบคนนำทางตาบอดสอน

06 พฤศจิกายน 2565

คำสอน

 

นิพพานไม่มี "ดินแดน" จึงไม่ต้องเที่ยวตามหาหรือถามหา
นิพพานเป็นสภาวะสำคัญของจิตหยาบที่จะเปิดประตูสู่การ
เป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของตนเองได้ เพราะนิพพาน
เป็นสภาวะจึงไม่เป็นทั้งอัตตาหรืออนัตตา

05 พฤศจิกายน 2565

คำสอน

 

สำหรับฆารวาส
คำว่า "สมาธิ" หมายถึงการไใ่แกล้งทำให้
อายตนะภายนอกทั้งห้าพิการ ซึ่งคุณจะจดจ่อ
กับการคิดหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนกว่าจะทำ
สำเร็จได้ โดยไม่ระวางหรือไม่เลิกทำเสียกลางคัน