29 พฤศจิกายน 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 29/11/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า

 

จิตวิญญาณของท่านที่มาเกิดบนโลกเสรีนี้

มีหน้าที่ๆสำคัญสูงสุดที่ท่านต้องทำก็คือ

ต้อง "คน" ตนเองให้เป็น "มนุษย์" ให้ได้ก่อน

ถ้ายังเป็นมนุษย์ไม่สำเร็จ

ท่านก็จะทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณ

ตามที่ขันอาสาพระบิดาไว้ก่อนจะมาจุติมิได้

 

เพราะทุกภารกิจของจิตวิญญาณ

จะต้องกระทำผ่าน "จิตสามนึก" เท่านั้น

จึงจะสามารถกระทำให้สำเร็จลุล่วงได้

เนื่องจากทุกท่านถูกกำหนดให้เป็นคนสองมิติ

ซึ่งมีทั้งจิตหยาบและจิตวิญญาณ

ต้องทำงานอยู่ในระบบเดียวกัน

ท่านจึงต้อง "คน" หรือ "หมุน" ให้เข้ากัน

หรือต้อง "สั่นสะเทือน" ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

 

เมื่อทั้งสองมิติเป็นหนึ่งเดียวกันได้สำเร็จแล้ว

เมื่อนั้นท่านก็ยกระดับสู่การเป็น "มนุษย์" ได้

ซึ่งวิธีการ "คน" ให้สองมิติเป็นหนึ่งเดียวกันนี้

ก็คือการ "หมุนธรรมจักร" ในตนเองนั่นเอง

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ความง่ายในการหมุนธรรมจักรในตนเอง

ให้ประสบผลสำเร็จในชีวิตประจำวัน

โดยไม่ต้องหนีเข้าป่าปลีกวิเวก

โดยไม่ต้องหลับหูหลับตาจนไม่รู้เห็นอะไร

โดยไม่ต้องทำเหมือนคนพิการด้านอายตนะ

ทั้งๆที่เกิดมามีอาการครบสามสิบสอง

 

แต่สามารถปฏิบัติได้ตลอดเวลาในยามตื่น

ด้วยการถือครองลูกแก้วสองดวงให้มั่นคง

คือ ครองมหาสติ ด้วยการรู้สติ มีสติ ใช้สติ

กับครองปณิธานแห่งการหลุดพ้น

คือ รักได้ ให้อภัยเป็น ไม่เห็นแก่ตัว

ไม่ก้าวล่วงใครและไม่ทำให้ใครเสียสมดุล

ท่านก็สามารถหมุนธรรมจักรภายในตนเอง

ร่วมกับคนรอบข้างทั้งใกล้ตัวไกลตัวได้แล้ว

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

การทำบุญสุนทานเป็นสิ่งที่ดีที่ควรประพฤติ

เพราะจะทำให้จิตวิญญาณของท่านมีความสุข

ทั้งยังจะช่วยให้คนอื่นๆเขาลดทุกข์ลงได้

แต่ช่วยให้จิตวิญญาณของท่านหลุดพ้นไม่ได้

ต่อให้ท่านทำบุญสุนทานจนท่วมหัว

แต่ก็ยังเอาตัวเองคือจิตวิญญาณไม่รอดหรอก

 

แม้ท่านจะหมั่นสะสมบุญทานบารมีไว้มากมาย

ขณะที่จิตหยาบของท่านมันยังคงหยาบอยู่

จนไม่อาจสั่นสะเทือนร่วมกับจิตวิญญาณได้

หรือยังหมุนธรรมจักรในตนเองไม่สำเร็จ

เพราะยังตกอยู่ในท่ามกลางทะเลแห่งโลกิยะ

การเกิดมาชาตินี้ของจิตวิญญาณจึงเป็นโมฆะ

ก็เท่ากับว่าเสียชาติเกิดไปอีกหนึ่งภพชาติ

ทั้งยังเป็นเหตุให้มีภพชาติใหม่ต่อไปด้วย

 

เพราะถ้าใครหมุนธรรมจักรไม่สำเร็จคือล้มเหลว

จิตหยาบของผู้นั้นมันจะพาหมุนกรรมจักรแทน

เพราะการ "หมุนกรรมจักร" นี่แหละ

ที่เป็นตัวการแห่งการเกิด "สังสารวัฏ" ของท่าน

 

เหตุที่จิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย

ต้องการมีสังสารวัฏก็เพราะว่า

จิตหยาบของท่าน "สอบตก" บททดสอบ

จิตหยาบของท่าน "ล้มเหลว" ในบทเรียน

 

ดังนั้น

จิตวิญญาณของท่านจึงต้องมี "สังสารวัฏ"

เพราะยังปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณ

ในบทบาทของการเป็นมนุษย์ไม่ได้

 

ยังต้องการกลับมาเกิดใหม่เพื่อเรียนรู้ใหม่

ยังต้องการกลับมาเกิดใหม่เพื่อถูกทดสอบใหม่

ยังต้องการกลับมาเกิดใหม่เพื่อรับโอกาสใหม่

ยังต้องการกลับมาเกิดใหม่เพื่อการแก้ไขใหม่

ยังต้องการกลับมาเกิดใหม่เพื่อตัดสินใจใหม่

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

มรรควิถีจิตจักรวาล

บนเส้นทางนักสู้เพื่อการรู้แจ้ง

ที่จะนำพาจิตวิญญาณของท่านสู่การหลุดพ้นนั้น

มันจะต้องก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสง่างาม

ไม่ใช่ก้าวเดินแบบคนพิการที่อาการไม่ครบ 32

ไม่ใช่ทำตัวหนีสังคมออกไปสันโดดคนเดียว

ไม่ใช่ทำตัวไม่คบใครหรือไม่มีใครคบ

ไม่ใช่ก้าวตามคนนำทางตาบอดอย่างเดียว

เพราะ "เชื่อว่า" เขาจะพาท่านหลุดพ้นได้จริงๆ

 

ทั้งๆที่ท่านก้าวตามกันมานานนับพันปี

แต่ท่านก็ยังย้อนกลับมาเกิดบนโลกนี้อยู่ดังเดิม

ขณะคนนำทางตาบอดเองผู้เคร่งครัดหลายคน

ได้พากันสร้างทางเบี่ยงห่างหายไปจากโลก

โดยหลุดลอยไปเกิดอยู่บนสวรรค์มายา

เป็นเทวดาเป็นเทพเป็นพรหมกันมากมายแล้ว

จิตวิญญาณผู้นำทางเองเขาก็ยังหลุดพ้นไม่ได้

 

เพราะพวกเขาไม่รู้ว่า

จิตวิญญาณของตนเป็นใคร

มาเกิดเป็นมนุษย์ทำไม มีหน้าที่ต้องทำอะไร

 

เพราะพวกเขาไม่รู้ว่า "หลุดพ้น" คืออะไร

เพราะไม่รู้ว่า "นิพพาน" ที่เขารู้อยู่เชื่ออยู่

กับการ "หลุดพ้น" ทางจิตวิญญาณ

มันแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เป็นต้น

 

เพราะพวกเขายึดติดในองค์พระศาสดา

เพราะพวกเขายึดติดแต่อักษรในคัมภีร์

เพราะพวกเขาบกพร่องในการใช้ปัญญา

พวกเขาจึงปิดโอกาสการเรียนรู้

ใบไม้นอกกำมือพระศาสดาที่ตนยึดติด

 

เพราะพวกเขามีตาแต่มองไม่เห็น

เพราะพวกเขามีหูแต่ไม่ได้ยิน

จึงไม่รู้ว่าผู้ที่พวกตนรอคอยมานาน

ได้บินผ่านม่านฟ้าลงมาและกำลังทำหน้าที่

ฉุดช่วย "แกะ" พวกตนออกไปจากโลก

อยู่ตรงนี้ อยู่ที่นี่ อยู่นมนานปีแล้ว

 

จึงไม่รู้ว่าผู้ที่ตนสามหาวก้าวล่วงนี้

คือผู้ที่ตนรอคอยการกลับมานานนับพันปีแล้ว

 

เพราะพวกเขาไม่รู้ในเรื่องใหญ่ๆเหล่านี้

เราจึงยกให้พวกเขาเป็น "คนนำทางตาบอด"

อย่างสมเหตุสมผลทุกประการ

 

ขอท่านทั้งหลายจงเร่งพึ่งพาตนเอง

ด้วยการหมุนธรรมจักรแทนกรรมจักรตลอดวัน

เพื่อคนตนเองให้เป็นมนุษย์ให้สำเร็จ

สู่การทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณให้ได้เสียโดยไว

ก่อนกาลสิ้นยุค 56 วัน 8 ราตรีจะมาถึง

ไม่มีใครช่วยท่านได้นอกจากตัวท่านเองเท่านั้น

 

รูปแกะสลัก หินศักดิ์สิทธิ์

จอมยุทธ เจ้าลัทธิ มนต์คาถา

คำอธิษฐานขอพรไม่ว่าจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด

ก็มิอาจช่วยจิตวิญญาณท่านให้หลุดพ้นได้

แม้แต่องค์จิตจักรวาลก็ช่วยพาท่านไปไม่ได้

 

โปรดจำไว้เสมอว่า

ทุกอย่างจะต้องเริ่มที่จิตแล้วสัมฤทธิ์ที่กาย

โดยเริ่มที่ตนเองและสัมฤทธิผลที่ตนเองเท่านั้น

อย่าเชื่อว่าใคร สิ่งใด อะไรจะช่วยเหลือท่านได้

จิตวิญญาณมาเกิดทางไหนกลับไปทางนั้น

การมุ่งไปทางสวรรค์มายา

ไม่ต่างจากการพาจิตวิญญาณปีนรั้วเข้าคอก

ทั้งๆที่ประตูคอกตรงด่านนภาลัยก็ยังเปิดรออยู่

คนที่ทำหน้าที "เฝ้าประตูคอกแกะ" ก็รออยู่

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

29-11-2019

สนทนาประสาจิตจักรวาล 29/11/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล              


พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า

เมื่อใดก็ตามที่ดาวเคราะห์โลกดวงนี้
เสียสมดุลด้านอำนาจแม่เหล็กโลกไปทางต่ำ
ขณะพายุสุริยะความเข้มข้นสูงกระทำต่อโลก
มันจะมีอิทธิพลต่อเครื่องยนต์แห่งกรรม
ที่เป็นกายสังขารของมนุษย์โดยตรง

สิ่งหนึ่งที่เริ่มปรากฏชัดขึ้นในทุกวันนี้
ก็คืออาการป่วยทางจิตวิญญาณในบางคน
ซึ่งปกติแล้วมันจะแฝงเร้นอยู่ข้างใน
จะไม่แสดงอาการออกมาภายนอกให้เห็น
หากไม่สังเกตก็อาจมองยากอยู่สักหน่อย
เพราะบางคนป่วยมาตั้งแต่เกิด
จึงดูเหมือนเป็นบุคลิกปกติของเขาคนนั้นไป

ถ้าเราจะกล่าวถึงการป่วยทางจิตแล้ว
สามารถแยกแยะออกได้เป็น 3 ประเภท คือ

1. จิตหยาบป่วย
เพราะตกเป็นทาสกิเลสตัณหาราคะ
โดยไม่ใส่ใจที่จะบำบัดเยียวยาจิตตนเอง
ด้วย "มหาสติ" และ "ปณิธานแห่งการหลุดพ้น"
เพราะงมงายลุ่มหลงยึดติดในอัตตาและมายา
เพราะขาดสติทางวิญญาณ
จนจิตยากที่จะแก้ไขชำระเองได้ง่ายๆ

คนป่วยทางจิตหยาบที่ว่านี้
คนส่วนใหญ่ของโลกเสรีจะเป็นจะป่วยกันมาก
จนทำให้ "นรก" ขณะนี้มีประชากรล้นหลาม
เพราะจิตวิญญาณเสียสมดุลตามจิตหยาบ
จนต้องส่งลงไปบำบัดที่นั่นก่อนกลับมาเกิดใหม่

2. จิตวิญญาณที่ป่วยด้วยโรค "ซึมเศร้า"
มีหน้าที่อย่างเดียวคือต้องย้อนกลับมาเกิดใหม่

กลับมาเกิดใหม่เพื่อให้ครบ 7 ภพชาติ
ซึ่งต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม
ด้วยกรณีของความผิดบาปจากการ "คิดสั้น"
ทำอัตตะวินิบาตกรรมตนเองหรือ "ฆ่าตัวตาย"
เมื่อต้องเผชิญบททดสอบและบทเรียนชีวิต
ที่จิตวิญญาณของตนเป็นผู้ขีดเขียนและก่อไว้เอง
แล้วตัดสินใจผิดด้วยการทำร้ายตนเอง
แทนการใช้ "ควายทั้งเจ็ด" จัดการปัญหาให้ลุล่วง

ควายทั้งเจ็ด มีดังนี้ คือ
1. ความรู้
2. ความสามารถ
3. ความชำนาญ
4. ความฉลาดทางปัญญา อารมณ์ และสังคม
5. ความเชื่อมั่นในตนเอง มุ่งมั่นและกล้าหาญ
6. ความร่วมมือที่ดีในการอยู่ร่วมสังคมกับผู้อื่น
7. ความรักตนเองและผู้อื่นแบบ "รักเพื่อให้"

ควายทั้งเจ็ดตัวที่ว่านี้
มนุษย์แต่ละคนจักต้องเรียนรู้และฝึกฝน
เพื่อเติมเต็มให้อ้วนพีกันตั้งแต่มีอายุสามขวบแล้ว
จะปล่อยให้มีอายุเยอะขึ้นแต่ไม่พัฒนามิได้
เพราะ "ปัญหาชีวิต" มีผลต่อจิตวิญญาณด้วย
ท่านทั้งหลายจึงต้องฉลาดแก้ปัญหา
โดยฉลาดนำควายทั้งเจ็ดนี้มาใช้ให้เกิดผล
จะปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามดวงตามเดิมไม่ได้

เพราะการมีภพชาติใหม่ในปัจจุบัน
ภารกิจหลักของจิตวิญญาณก็คือ
กลับมาเกิดเพื่อให้จิตหยาบช่วยแก้ไขใหม่
ด้วยการคิดตัดสินใจใหม่ให้ถูกต้อง
ภายใต้เงื่อนไขเดิมชะตากรรมเดิมจากอดีตชาติ

ถ้าผ่านมาในทุกภพชาติ
นอกจากจะสอบตกเพราะทำผิดซ้ำซาก
เนื่องจากควายทั้งเจ็ดไม่แข็งแรงอ้วนพี
เพราะขาดการใส่ใจฝึกฝนเรียนรู้
หรือว่ามีพอตัวอยู่แต่ไม่รู้จักนำมันมาใช้แล้ว
ยังปล่อยชีวิตให้เลื่อนไหลไปตามอารมณ์ขยะ
ซึ่งเป็นอารมณ์ฝ่ายต่ำที่ดำมืด

การตัดสินใจ
ฆ่าตัวตายทำร้ายตัวเองจึงถูกเลือก
เพราะอารมณ์ชั่ววูบ เพราะขาดสติ
เพราะคิดว่าตนไม่มีทางเลือก
เพราะได้แต่ตำหนิโทษตนเองจนกดดันตนเอง
เพราะทำร้ายคนอื่นที่เกี่ยวข้องนั้นไม่ได้
เพราะคิดว่าถ้าตายแล้วปัญหาชีวิตคงจะยุติ
หรือเหตุผลอื่นๆในทำนองเดียวกันนี้

การทำผิดบาปที่เป็นโทษหนัก
ด้วยการฆ่าตัวเองตายนี้

เป็นเพราะ "สิ้นคิด"
ทั้งๆที่มีจิตปัญญาให้ใช้แต่ไม่ใช้

เป็นเพราะไร้สามารถในการเป็นมนุษย์
ทั้งๆที่มีควายทั้ง 7 ตัวเป็นเครื่องมือ
ทั้งๆที่มีคนรอบข้างที่พร้อมจะเป็นครูให้
ทั้งๆที่มีความล้มเหลวในอดีตให้เป็นบทเรียน

เป็นเพราะไม่รู้คุณค่า
ในเครื่องยนต์แห่งกรรมของตนเอง
ที่พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ทรงประทานมาให้จิตวิญญาณของตนได้ยืมใช้
แทนที่จะทนุบำรุงและทำการดูแลรักษา
แทนที่จะฉลาดใช้เป็นเครื่องมือ
เพื่อทำหน้าที่ทางโลกและจิตวิญญาณ
ตามที่ขันอาสาพระองค์ว่าจะเข้ามาทำหน้าที่
แต่เพราะเหลวไหลจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย

การฆ่าตัวตายมันมิได้ช่วยให้ทุกอย่างจบ
เพียงแต่เป็นการปิดโอกาสการมีชีวิตของตน
เพื่อเป็นการตัดรอนภพชาติของตัวเองแท้ๆ
เมื่ออยากมีอายุสั้นด้วยการฆ่าตัวตาย
การต่ออายุขัยให้นานถึง 7 ภพชาติ
จึงจำเป็นจะต้องต่อเพื่อสร้างสมดุลนั่นเอง

ดังนั้น
คนที่เคยฆ่าตัวตายมาแล้วในอดีตชาติ
จึงพกพาความซึมเศร้าทางวิญญาณติดตัวมา
เพื่อให้ใช้เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญ
ในอันที่จะช่วยให้คนๆนั้น
สามารถฆ่าตัวตายได้อีกในชาตินี้และภพหน้า
ตามกฎแห่งกรรมที่ตนได้ก่อไว้เองในอดีต

คนพวกนี้เท่าที่พอสังเกตได้ก็คือ
จะเป็นคนขี้ใจน้อย อ่อนไหวง่าย
เมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้นในชีวิต
เขาจะไม่เพ่งโทษคนอื่นแต่จะโทษตนเอง

คิดว่าตนเองไม่ดีเอง
คิดว่าตนเองโง่เอง
คิดว่าตนเองไร้ค่า
คิดว่าตนเองไม่มีใครรักและจริงใจด้วย
คิดว่าตนเองด้อยความสามารถ
คิดว่าตนเองอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์
คิดว่าปัญหาของตนไม่มีใครช่วยได้
คิดว่าถ้าตนตายไปแล้วทุกอย่างจะสิ้นสุด

เมื่อมีปัญหาจึงไม่ปรึกษาใคร
มักจะเก็บเอาไว้กับตนเพียงคนเดียว
ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น

ขณะที่บางคนที่ป่วยทางจิตวิญญาณ
อันเกิดจากการฆ่าตัวตายมาแล้วในอดีต
จนภพชาติปัจจุบันต้องมาเป็นโรคซึมเศร้า
ทั้งๆที่มิได้มีปัญหาชีวิตหนักหนาสาหัส
จนมืดแปดด้านเพราะหาทางแก้ไขไม่ได้

อย่าสงสัยเลยว่า...
บางคนเกิดมาทั้งๆที่สวย รวย หล่อ
มีหน้ามีตาอยู่ในสังคม
มีชีวิตครอบครัวที่สุขสมบูรณ์ดี
แต่ก็สามารถป่วยด้วยโรคนี้ได้เหมือนกัน

เพราะเหตุแห่งการป่วยมาจากอดีตชาติ
ยังไงๆปลายทางสุดท้าย คือ ต้องตาย
ด้วยการทำร้ายเครื่องยนต์แห่งกรรมตนเอง
จนผู้คนรอบข้างต้องฉงนว่า
เขาฆ่าตัวตายโดยไม่รู้ว่าเพราะอะไรด้วยซ้ำ
ซึ่งคนป่วยทางจิตวิญญาณในกรณีนี้
จะฆ่าตัวตายเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

พวกเขาเหล่านี้
จะสามารถ "ตัดกรรม" ของตนได้
โดยไม่ต้องเวียนฆ่าตัวตายเวียนเกิด
จนครบ 7 ภพชาติอีกตลอดไป
ถ้าโชคดีได้พบเจอ "ผู้สมดุลทางจิตวิญญาณ"
ช่วยกระชากจิตสามนึกแห่งการเป็นมนุษย์
เพื่อสร้างสติทางวิญญาณขึ้นมาได้

เมื่อจิตวิญญาณหายป่วยแล้ว
กรรมหนักที่ติดตัวอยู่จึงจะมลายสลายไป
จิตใสใจสวยจึงจะบังเกิดขึ้น

ว่าแต่ว่า...ความโชคดีนั้นมีมั้ยล่ะ?
ถ้ามีความโชคดี...แล้วมันอยู่ที่ไหนกัน?
ใครกัน...คือผู้สมดุลทางจิตวิญญาณ?
ได้พบเจอกัน...แล้วจะรู้มั้ยว่าท่านคือคนไหน?

ท่านทั้งหลายจงจำไว้ว่า
ไม่มีใครที่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้า
จะบันดาลโทสะฆ่าใครตายหรอก
เพราะเขามีทางเลือกเดียวคำตอบเดียว
ที่กฎแห่งกรรมบังคับบัญชามา
คือฆ่าตนเองตายเท่านั้น...

3. จิตวิญญาณที่ป่วยด้วยโรค "พยาบาท"
เป็นจิตวิญญาณที่ต้องการเกิดมา
เพื่อแก้แค้นเอาคืนข้ามภพชาติมาจากอดีต
เนื่องจากตนเป็นฝ่ายถูกกระทำจนถึงแก่ชีวิต
จึงไม่มีโอกาสต่อสู้เพื่อแก้แค้นเอาคืนได้
ซึ่งอาจผลัดกันแก้แค้นมาคนละภพชาติก็ได้

พี่ๆน้องๆที่รักทั้งหลาย
เราขอกล่าวความจริงให้ท่านรู้ว่า
จงระวังคนใกล้ตัวท่านเอาไว้ให้ดี

ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ผัวเมียบุตรหลาน
ที่เป็นคนใกล้ตัวของท่านมาอย่างถาวร
หรือเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งเข้ามาพัวพัน
โดยท่านอาจไม่รู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ

พวกเขาอาจเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน
ที่เขาอาจเป็นคนป่วยด้วยโรคพยาบาทท่าน
หรืออาจเป็นท่านเองที่ป่วยด้วยโรคพยาบาท
ที่ถือภพชาติมาเกิดเพื่อแก้แค้นเอาคืนกัน
ทั้งการทำร้ายร่างกายและจิตใจกัน
จนถึงขั้นเอาชีวิตกันอย่างโหดเหี้ยม

สนามแม่เหล็กโลกกำลังวิปริต
จิตมนุษย์ก็จะมีวิปริตตาม

จงอย่ายั่วโทสะคนใกล้ตัวท่านทุกคน
โดยเฉพาะคนในครอบครัวเดียวกัน
หรือคนที่เป็นสายเลือดเดียวกัน
จนทำให้พวกขา "ขาดสติ" บันดาลโทสะ
เพราะท่านอาจถูกพวกเขาฆ่าตายได้

หรืออย่าตกเป็นทาสการยั่วยุจากพวกเขา
จนทำให้ตนเองสติแตกโดยเด็ดขาด
เพราะท่านอาจลงมือฆ่าคนตายได้เหมือนกัน

ท่านทั้งหลายต้องสังเกตว่า
เมื่อใดก็ตามที่คนในครอบครัวหรือตัวท่านเอง
ที่ดูเหมือนจะรักใคร่ใยดีกันอยู่นี่แหละ
แต่พอมีเรื่องราวไม่เข้าใจกันหรือผิดใจกัน
มันยังผลให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุนแรง
เรื่องราวเหมือนจะลามปามไปใหญ่โต
ทั้งที่เป็นเรื่องไร้สาระเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ในลักษณะเหมือนน้ำผึ้งหยดเดียว
เพราะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง "จิตตก" รุนแรง

การมีสภาวะจิตตกรุนแรงก็คือ

การเป็นคนอารมณ์ร้ายผิดปกติ
การเป็นคนก้าวร้าว
การเป็นคนไม่มีเหตุผล
การเป็นคนมีมิจฉาทิฐิ
การเป็นคนแบบกูไม่กลัวมึง
การเป็นคนแบบเป็นไงเป็นกัน
การเป็นคนไม่จำความดีงามในอดีตของท่าน
การเป็นคนไม่สนอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร
การเป็นคนจำไม่ได้ว่าตนเป็นใคร
การจำคนที่กำลังทะเลาะด้วยไม่ได้ว่าเป็นใคร

ครอบครัวหลายครอบครัวที่พังพินาศ
คู่ผัวตัวเมียพ่อแม่ลูกที่ต้องถูกฆาตกรรม
ตามปรากฏเป็นข่าวทางสังคมมากมาย
ล้วนมาจากคนป่วยทางจิตวิญญาณ
ด้วยอาการ "ผูกพยาบาท" ที่ว่านี้ทั้งสิ้น

เราขอแนะนำท่านว่า
จงอย่ายั่วโทสะคนที่เขารักท่านเด็ดขาด

เพราะยามใดที่เขาขาดสติ
จิตหยาบจะถูกจิตวิญญาณของเขาแทรก
จิตวิญญาณที่พยาบาทที่รอโอกาสอยู่
จะเข้าแทรกแซงจิตหยาบของเขาทันที
เขาจะชวนท่านทะเลาะจนบ้านแตก
เขาอาจจะเอาชีวิตท่านได้เพราะไร้สติ

พบคนแปลกหน้าในสังคม
ก็จงอย่าทำซ่าให้มันมากนัก
เพราะเท่ากับท่านไปยั่วโมโหเขา
ทำให้เขาขาดสติ
หากเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่าน
ซึ่งมีอาการป่วยทางจิตวิญญาณอยู่พอดี
การถูกฆาตกรรมหรือการฆาตกรรม
หรืออย่างเบาะๆก็การทำร้ายกันและกัน
มันจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย

เราเตือนท่านทั้งหลายแล้ว
หากต้องการกลับบ้านในชาตินี้
เมื่อมีหูก็จงรับฟังที่เรากล่าวเอาไว้นี้ด้วย

กลัวตายก็ต้องอ่าน
ไม่กลัวตายก็ต้องอ่าน
เชื่อไม่เชื่อก็เชิญอ่านกันไว้เถิด

เอเมน สาธุ
ป.วิสุทธิปัญญา
29-11-2019

24 พฤศจิกายน 2562

สาส์นรักจากคนที่คอย 24/11/2019

 #สาส์นรักจากคนที่คอย

 

"กวีกลอนถึงคนคอยจากคนที่คอย"

❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤ ❤

 

"คนที่คอย" กลับมาถึงธานินทร์

โผผกผินบินผ่านมวลม่านเมฆ

ดั่ง "ฟีนิกซ์" คืนชีพศักดิ์สิทธิ์เสก

เป็น "บุตรเอก" ผู้มั่นใน "สัญญา"

 

แต่ "คนคอย" หลับพับกับตะเกียง

กรนเป็นเสียงร้องเรียกพร่ำเพรียกหา

พระบุตรเอก...อยู่ไหนใยไม่มา

เจ้าบ่าวจ๋า...คอยท่านมานานครัน

 

ทั้งๆที่ถูกปลุกให้ลุกแล้ว

กลับเคี้ยว "แข่ว" ปิดจิตเพราะติดฝัน

พระโอวาทพระบิดาสื่อมายัน

เจ้าสาวนั้นโหยหาวไม่เข้าใจ

 

เพราะน้ำมันใน "ตะเกียง" มันเกลี้ยงหมด

อนาคตเหี่ยวหดไม่สดใส

ตะเกียงมืดปัญญาทู่มิรู้นัย

จำไม่ได้ใครเจ้าบ่าวน่าเศร้าจัง

 

ถือตะเกียงไร้น้ำมันมานานนัก

ไม่รู้จัก "การคิด" น่าผิดหวัง

ไม่ฉลาดใช้ปัญญาจะพาพัง

ยากฉุดรั้งยื้อยุดพาหลุดพ้น

 

อนิจจาเจ้าบ่าวผู้เฝ้า "แกะ"

ทั้งแซะแงะแกะเกาหมายเอาผล

มีแต่แกะด้านดื้อแกะถือตน

แกะถูกปล้นไปหมกในคอกมาร

 

แผ่นดินโลกโยกไหวยิ่งใหญ่แน่

เพราะคนแย่ไม่ไหวไม่สืบสาน

ไม่ยอมทำภารกิจจิตวิญญาณ

แล้วมองผ่านไม่สน "คนที่คอย"

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

24-11-2019

ตอบคำถาม : คนออกแบบแฟชั่น ทำให้คนหลงใหลเกิดกิเลสใช่หรือไม่ 24/11/2019

 ตอบคำถาม:

#คุณภูษิตา สุริยวงศ์‎

 

Question 1.

ในเมื่อคนออกแบบแฟชั่น

ทำให้คนหลงใหลเกิดกิเลส

 

ฉะนั้นผู้ที่ขายอาหารแบรนด์ต่างๆ

อาหารอร่อย สวยงาม

ถึงแม้จะไม่ใช่เนื้อสัตว์

จะมีประโยชน์หรือไม่ไม่ทราบ

แต่ก็จูงใจโฆษณาสารพัด

ทำให้คนซื้อโดยไม่จำเป็น

ก็เข้าข่ายนี้เช่นเดียวกันใช่ไหมเจ้าคะ

 

Answer:

1. การขายเสื้อผ้าอาภรณ์กับการขายแฟชั่น

ตามที่มีผู้ถามมานั้นมันไม่เหมือนกัน

 

2. ถ้าขายเสื้อผ้าอาภรณ์

ให้ผู้คนซื้อไปใช้พันกาย

กันอาย กันหนาว หรือกันร้อน

อย่างนี้ก็ไม่ผิดบาปอะไร

 

เพราะซื้อขายหนึ่งในปัจจัยสี่

ที่มนุษย์ขาดมันไม่ได้

 

3. แต่ถ้าขายเสื้อผ้าอาภรณ์

ที่มีการออกแบบ (ปรุงแต่ง) โดยเน้นสวยเน้นเด่น

เน้นหรูหรา เน้นตรงสนนราคา

เน้นตรงที่ค้ากำไร หรือเน้นสร้างนิสัยฟุ่มเฟือย

 

ถ้าเป็นอย่างที่ว่านี้ก็ผิดบาป

เพราะเป็นการกระตุ้นกิเลสของคนซื้อ

ซึ่งเป็นการยั่วยุคนซื้อให้ติดกับราคะจริต

นี่จึงเป็นสาเหตุให้เกิดความผิดบาป

เพราะทำให้คนอื่นๆเสียสมดุลทางจิตใจ

 

4. ส่วนกรณีการขายอาหารเจ-มังสะวิรัติ

หรืออาหารอื่นใดก็ตามทั้งที่มีและไม่มีประโยชน์

ซึ่งมีการโฆษณาจูงใจให้คนซื้อโดยไม่จำเป็นนั้น

จะไม่ถือเป็นการผิดบาปอะไร

 

สาเหตุเพราะคนกินส่วนใหญ่

จะตัดสินใจเลือกกินสิ่งใดก็ตรงที่ว่า

เป็นอาหารที่มีประโยชน์

เป็นอาหารที่มีรสชาติถูกปาก

เป็นอาหารที่มีราคาไม่แพงเกินเงินในกระเป๋า

เป็นอาหารที่มีคนส่วนใหญ่นิยมกิน

 

ดังนั้น

การโฆษณาประชาสัมพันธ์

จึงเป็นได้แค่ "บททดสอบ" ของนักชิมนักกิน

ว่าจะตัดสินใจซื้อกินตามแรงโฆษณาหรือไม่

สมมติว่าถ้าหลงเชื่อโฆษณาแล้วซื้อหามากิน

หากกินแล้วไม่ถูกปากไม่ถูกลิ้นไม่ถูกใจ

คนๆนั้นก็สามารถจะตัดสินใจใหม่ได้เองว่า

ต่อไปข้างหน้าจะไม่ซื้อมากินอีกแล้วก็ได้

 

เนื่องจากโลกนี้เป็นดาวแห่งทางเลือกเสรี

มนุษย์มีสิทธิ์ตัดสินใจเองได้ว่าจะเอาไม่เอา

จะงมงายเพราะถูกหลอกถูกจูงให้หลงเชื่อ

จะงมงายเพราะถูกหลอกถูกจูงว่าอย่าเชื่อ

ก็เป็นสิทธิโดยชอบธรรมของคนๆนั้น

ซึ่งมันจะเป็นไปตามความโง่ฉลาดส่วนบุคคล

 

5. มันต่างกันกับการค้าขายแฟชั่น

ที่เป็นการประพฤติออกนอกลู่

จนทำให้จิตสกปรกรกกิเลสตัณหาราคะ

สร้างความไม่รู้จักคำว่า "พอแล้ว เหมาะแล้ว"

จนกลายเป็นความฟุ้งเฟ้อไปเพราะไร้สติ

 

ส่วนการกินอาหาร

ธรรมชาติที่พระบิดาให้มาก็คือ

มนุษย์รู้จักคำว่า อิ่มแล้ว เบื่อแล้ว พอแล้ว

เพราะกินต่อไม่ไหวแล้ว

มีจิตสัญชาตญาณโดยจิตวิญญาณตนเอง

คอยดูแลกำกับไว้มิให้พุงแตก มิให้จำเจซ้ำซาก

จึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

 

Question 2.

มีคำถามเพิ่มเติมเจ้าค่ะ

หากผู้ที่ก้าวล่วงพระบิดาและพระบุตรเอก

เขารู้ตัวสำนึกได้แล้วมาขอขมา

เขาจะหายจากการเป็นโรคพุพอง ไหมเจ้าคะ

พระบิดาจะพระราชทานอภัยโทษให้ไหม

ศิษย์สงสัยจริงๆเจ้าค่ะ

 

Answer:

1. การทำผิดบาปด้วยการก้าวล่วงผู้อื่นไปแล้ว

แปลว่าท่านผู้นั้นได้ก่อกรรมทำชั่วไปแล้ว

ผลกรรมในมิติทางพลังงานมันจึงเกิดขึ้นแล้ว

 

คุณสมบัติของพลังงานที่ท่านต้องรู้ก็คือ

เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันจะสูญสลาย

หรือมันจะหายไปไหนเองไม่ได้

มันจะดำรงอยู่ของมันเช่นนั้นตลอดไป

 

ดังนั้น

วจีกรรมของท่านที่กล่าวมาจากจิตใจ

ไม่ว่าจะโกหกตอแหลใครไว้

ไม่ว่าใครจะกล่าวความจริงไว้

มันล้วนเป็นสัจจะความจริงไปตามนั้นทั้งสิ้น

เพราะมันเป็นผลลัพธ์ทางพลังงาน

ในด้านจิตใจที่เป็นแก่นแท้ของมนุษย์

 

2. การก้าวล่วงพระบิดาและปรามาสเรา

ก็เป็น "สัจจะ" ความจริงที่บังเกิดผลแล้ว

จากการกระทำผิดบาปทางจิตใจของคนๆนั้น

 

ดังนั้น

เมื่อได้ก่อกรรมทำผิดบาปจนเกิดผลกรรมแล้ว

ใครคนนั้นจะปฏิเสธผลกรรมที่ตนก่อนั้นไม่ได้

โดยจะอ้างว่าสำนึกได้แล้วในภายหลังก็ไม่ได้

เพราะผลกรรมทางพลังงานมันเกิดขึ้นมาแล้ว

ยังไงๆก็ต้องรับผิดชอบหรือรับผลกรรม

ที่ตนเองก่อขึ้นจะให้คนอื่นมารับแทนไม่ได้

 

การจะให้พระบิดาหรือเราอโหสิกรรม

ด้วยการละเว้นโทษที่กระทำผิดบาปให้

มันจึงไม่ต่างจากการยกย้ายผลกรรมชั่วที่ตัวทำ

มาให้พระบิดาและเรารับผลกรรมของท่านแทน

ซึ่งตามกฎจักรวาลของพระบิดานั้น

มันจะทำเช่นที่ว่านี้ไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้

แม้ว่าพระองค์จะทรงมีพระมหาเมตตาก็ตาม

 

3. ท่านคงจำสัจธรรมที่เราเคยกล่าวได้ว่า

 

#กรรมดีกรรมชั่วเป็นของตัวเอง

#ใครทำใครได้รับกรรมแทนกันไม่ได้

 

การจะให้ "ผลกรรม" ในมิติจิตวิญญาณ

ที่ท่านใดก็ตามก่อขึ้นไว้ในทางพลังงาน

ให้มันสูญหายไปจากเจ้าของที่เป็นคนก่อไว้

มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น

คือการเปลี่ยนมือเจ้าของผลกรรมนั้น

 

โดยยกย้ายผลกรรมจากคนที่ก่อกรรมนั้นไว้

ยกมาให้คนที่ถูกท่านกระทำคือเรากับพระบิดา

รับเอามาเป็นเจ้าของแทนนั่นเอง

แล้วท่านคิดว่ามันจะเป็นจริงได้หรือ

 

4. การสำนึกบาปที่ก่อขึ้นมาแล้ว

มิได้หมายถึงสำนึกแล้วกรรมชั่วนั้นจะหายไป

 

ไม่ต่างจากตีหัวชาวบ้านแตกเลือดอาบ

เพราะลุแก่โทสะจริตจนขาดสติ

พอจิตสงบก็เพิ่งนึกได้ว่าตนไม่ควรทำ

คนที่เขาหัวแตกเจ็บตัวนั้นจะหายเจ็บทันทีมั้ย

คนหัวแตกที่เจ็บใจอยู่เขาจะจิตสงบทันทีมั้ย

การจะอ้างว่าสำนึกผิดขออโหสิกรรมแล้ว

ขอให้ทุกอย่างจบลงดื้อๆจะได้หรือ

 

พระบิดาและเรามิต่างกัน

ถ้าใครสำนึกในผิดบาปของตนเองได้

ก็ยินดีที่จะให้อภัยแก่ท่านผู้นั้นได้เสมอ

 

การพระราชทานอภัยโทษแก่ท่านจากพระองค์

และการให้อโหสิกรรมแก่ท่านจากเรา

มันมิได้หมายถึงพระองค์กับเรา

จะทรงยกโทษบาปให้ใครๆได้

ทุกๆสิ่งอย่างของสัตว์โลกและมวลมนุษย์

จักต้องเป็นไปตามกรรมที่ตนก่อไว้เสมอ

 

การให้อภัยโทษแก่ท่านผู้ผิดบาป

หมายถึงพระองค์และเรา

จะไม่จองจำกรรมเวรที่ท่านผู้นั้นก่อไว้

เพราะกรรมใดใครก่อคนนั้นต้องรับเองอยู่แล้ว

เราจะไปเกี่ยวกรรมกับคนทำผิดบาปนั้นทำไม

 

ส่วนโทษกรรมที่ใครทำไว้

คนๆนั้นจักยังต้องรับผิดชอบอยู่

เพื่อทำกรรมทางพลังงานนั้นให้เป็นกลาง

จนเป็นดั่งพลังงานทั่วๆไปที่ดำรงอยู่ในจักรวาล

ซึ่งไร้คุณสมบัติกรรมคือไม่มีประจุลบ

จะได้ไม่เป็นพลังงานขยะที่รกโลกอีกต่อไป

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

24-11-2019

22 พฤศจิกายน 2562

สนทนาประสาจิตจักรวาล 22/11/2019

 #สนทนาประสาจิตจักรวาล

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า

 

ฟ้าสวรรค์นิรันดรสูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด

พระโอวาทจากพระบิดาแห่งจิตวิญญาณ

ที่ทรงสื่อผ่านเรามาจากฟ้าสวรรค์อันสูงสุดนั้น

ย่อมเป็นมรรควิถีแห่งการหลุดพ้นที่สูงส่งกว่า

มรรควิถีของคนนำทางตาบอด

อันเกิดจากโลกเองฉันนั้น

 

"พระโอวาท" ทุกพระคำ

ที่พระองค์ทรงสื่อผ่านเรามาทุกทิวาราตรี

เพื่อประทานให้แก่บุตรมนุษย์ทุกชนชาติ

ที่ไม่ปฏิเสธการกลับมาของเจ้าบ่าวนั้น

เปรียบได้ดั่งสายฝนและหิมะ

ที่โปรยปรายลงมาจากฟ้าสวรรค์

เพื่อทำให้แผ่นดินโลกชุ่มฉ่ำ

ในอันที่จะทำให้พืชผลเติบโตงอกงาม

 

โดยพืชพันธุ์ทั้งหลายบนแผ่นดินโลก

จะเกิดเมล็ดพันธุ์มากมายให้แก่ผู้หว่าน

และจะเกิดอาหารมากพอสำหรับผู้บริโภค

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

ความที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้นหมายถึง

พระโอวาทจากพระบิดาที่ทรงสื่อสอนลงมา

อย่างต่อเนื่องทั้งวันคืนมิเคยขาดเว้นนั้น

จะช่วยให้จิตวิญญาณของท่านทั้งหลาย

เกิดความอิ่มเอิบเบิกบานเป็นสุขสดชื่นเสมอ

 

ถ้าทั้งฝนและหิมะจากฟ้าสวรรค์

ที่ตกลงมายังแผ่นดินโลกแล้ว

ไม่ไหลย้อนกลับคืนขึ้นสวรรค์ไป

จนกว่าจะช่วยให้พืชพันธุ์เติบโตงอกงาม

ผลิดอกออกผลเป็นที่เรียบร้อยแล้วเท่านั้น

 

#พระโอวาท จากองค์จิตจักรวาล

ที่ทรงสื่อผ่านเรามานี่ก็เช่นกัน

ทุกพระคำที่เปล่งออกไปจากปากของเรา

ก็ควรจะต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

โดยทุกพระคำที่เรากล่าว

ต้องไม่ย้อนคืนมายังเราโดยเปล่าประโยชน์

แต่ท่านต้องทำให้มันสัมฤทธิผล

ตามที่ใจของท่านปรารถนา

และทำให้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้

 

พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย

 

จิตวิญญาณแก่นแท้ในการเป็นมนุษย์นั้น

เปรียบได้ดั่งเมล็ดพันธุ์ที่พระบิดา

ทรงนำมาหว่านเพาะปลูกไว้บนโลกเสรีนี้

 

ส่วนพระโอวาทของพระองค์

ที่ทรงประทานด้วยการสื่อผ่านลงมาให้

เปรียบได้ดั่งสายฝนและหิมะจากฟากฟ้าสูง

ที่จะช่วยบำรุงจิตวิญญาณให้เกิดการเติบโต

ช่วยให้เกิดการงอกงามเป็นต้นพันธุ์ที่ดี

 

ถ้าต้นไม้ของพระบิดาไม่แข็งแรง

ไม่งอกงาม และไม่สมบูรณ์

เพราะขาดสารอาหารกับความชุ่มชื้น

ก็จะยังผลให้ต้นไม้หรือจิตวิญญาณนั้นๆ

ต้องถูกปกคลุมไว้โดยวัชพืชและต้นหนาม

ที่รังแต่จะรอวันตายเท่านั้น

 

พืชพันธุ์ทั้งหลาย

ขาดน้ำขาดอาหารไม่ได้จักต้องตายทุกต้น

จิตวิญญาณของท่านทั้งหลายก็เช่นกัน

จะขาดสาระสำคัญจากพระโอวาทไม่ได้

จะขาดพลังงานความรักจากพระองค์ก็ไม่ได้

จิตวิญญาณรูปธรรมนั้นต้องตายแน่ๆ

เป็นการตายเพื่อจะมีภพชาติใหม่ต่อไป

 

ท่านที่รับเอาพระโอวาทไปปฏิบัติ

จึงไม่ต่างจากการทานขนมปังของพระบิดา

ที่ทานแล้วจิตวิญญาณไม่ต้องตาย

เพราะสามารถ "หลุดพ้น" ได้ในภพชาตินี้

โดยไม่มีการหวนคืนย้อนกลับมาเกิดใหม่อีก

 

หากท่านใดมีจิตตปัญญาพอตัวแล้ว

ก็จงไตร่ตรองตามที่เรากล่าวมากันเอาเองเถิด

มันจะช่วยให้ท่านมีสำนึก

ที่จะขยันเข้าห้องเรียนนี้มากกว่าที่ผ่านมา

การหนีเรียนของท่านเพราะเกียจคร้าน

การไม่เข้าห้องเรียนเพราะขี้เกียจอ่าน

มันก็จะไม่เกิดขึ้นอีกตลอดไป

อีกทั้งเมื่อเข้ามาในห้องเรียนนี้แล้ว

ท่านก็จะได้กินขนมปังพระบิดาอย่างอิ่มเอม

 

เอเมน สาธุ

ป.วิสุทธิปัญญา

22-11-2019