20 พฤศจิกายน 2556

คำสอน 20/11/2013

 

1.พอใจในสิ่งที่ตนมีแทนที่จะพยายามแสวงหา
แต่สิ่งที่ตนต้องการ
2.มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขันเสมอ
3.ไม่วิตกจริต ไม่คิดระแวง
4.มีความสุขกับการมอบสิ่งดีๆให้ผู้อื่น
5.หางานอดิเรกทำ เพื่อผ่อนคลาย
ความตึงเครียดของตนบ้าง
6.อยู่คนเดียวเงียบๆ เพื่อสัมผัสกับ
ความสงบสุขเสียบ้าง
7.ยอมรับในทุกข้อกำหนดใดๆของตนเอง
8.ควบคุมอารมณ์หยาบๆรายวันไว้ให้อยู่หมัด
9.อ่านหนังสือจิตจักรวาล 1 เล่ม/สัปดาห์ และฟัง หรือ
ดุเทป-DVD พระโอวาททุกวัน
เพื่อทำสามเหลี่ยมกับองค์จิตจักรวาลไว้เสมอ

การเพิ่มพลังทางจิตวิญญาณ
ให้ตนเองในชีวิตประจำวัน

05 ตุลาคม 2556

VDO. ยอวาที - รักดีกว่า (ในโครงการ "รักเพื่อรัก" ครั้งที่14)


 

 บันทึกการสื่อพระโอวาทในระบบจิตสู่จิตจากองค์จิตจักรวาล

โดย อนุตรธรรมาจารย์ปริญญา ตันสกุล

30 กรกฎาคม 2556

คำสอน 30/07/2013

 

ตัวชี้วัด "คนโง่"

1.ดีแต่นึกไม่ฝึกคิด
2.ดำเนินชีวิตด้วยจิตอยาก-ไม่อยาก
3.ใช้ปากมากกว่าใช้หู
4.อวดรู้ทั้งๆที่ไม่รู้จริง
5.หยิ่งทะนงหลงเงาตนเอง
6.มักเพ่งเล็งจับผิดผู้อื่น
7.ขมขื่นเมื่อถูกติติง
8.นิ่งเฉยไม่เป็น
9.มักเห็นกงจักรเป็นดอกบัว
10.ชั่วโดยไม่รู้ว่าตนชั่ว

อันความโง่โชว์ง่ายไม่ต้องคิด
ความหลงผิดคิดชั่วทำตัวยุ่ง
ก่อเวรกรรมใส่ตนจนนังนุง
จากดาวรุ่งเป็นดาวร่วงเพราะบ่วงมาร

14 กรกฎาคม 2556

คำสอน 14/07/2013

 

ประเภท
ของกรรม

1.พันธะสัญญาเดิม
2.พันธะสัญญากรรม
3.ชะตากรรม
4.วิบากกรรม
5.เคราะห์กรรม

จะนิพพานได้
จักต้องว่างไปจาก
กรรมทั้ง 5 นี้ด้วย

พันธะสัญญาเดิม 6 ข้อ
เป็นสัจจะสัญญาที่มนุษย์ทุกคนเคยให้ไว้ต่อ
พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ
ก่อนจะมาเกิดในภพชาติแรก

ว่าง คือ การทำหน้าที่ทั้ง 6 ให้สำเร็จ
พันธะสัญญากรรม คือ บทละครที่เขียน
ร่วมกันมาเล่นเป็นครอบครัว

ชะตากรรม คือ ผลกรรม
จากการกระทำผิดบาปต่อผู้อื่น

วิบากกรรม คือ ผลกรรมของการกระทำผิด
บาปต่อจิตวิญญาณตนเอง

ว่างจากกรรม 3 ประเภทนี้ คือ
การตัดสินใจให้ถูกต้องในทุกบททดสอบ
แล้วมอบความรักให้เขาไป

13 กรกฎาคม 2556

คำสอน 13/07/2013

 

ใครจะดีจะชั่ว
ช่างหัวเขา

อย่าเอาจิต เข้าไปถาก
อย่าเอาปาก เข้าไปถู
อย่าเอาหู เข้าไปหา
อย่าเอาตา เข้าไปแส่...

การก้าวล่วงผู้อื่นเนืองๆ
จะยังผลให้พลังทางจิต
วิญญาณลดลงเรื่อยๆ
เมื่อตายแล้ว จะหมดสิ้น
โอกาสได้ย้อนกลับคืนสู่การ
เกิดเป็นมนุษย์อีกตลอดไป
เพราะไร้พลัง

คำสอน 13/07/2013

 

วิธีสอบให้ผ่าน
บททดสอบ

เมื่อมีผู้อื่นหยิบยื่นเงื่อนไขด้านลบให้

1.ต้องรักให้ได้ แม้ว่าเขาจะทำตัวไม่น่ารัก
2.ต้องให้เขาให้เป็น แม้เขาจะทำตัวไม่น่าให้
3.ต้องคิดก่อนจะพูดอะไรออกไป
4.ต้องตัดสินใจก่อนจะกระทำสิ่งใดตอบสนอง
5.การพูดหรือกระทำตอบต้องไม่เป็นลบต่อเขา
6.ต้องสงบจิต - สงบใจ และสงบปาก - สงบคำ

04 กรกฎาคม 2556

คำสอน 4/07/2013


 เส้นทางสายนิพพาน

ชั้นที่ 1: ละวางกิเลส-ตัณหา
ขั้นที่ 2: ละวางอัตตาตัวตน
ขั้นที่ 3: ละวางการก่อผลกรรม
ชั้นที่ 4: หมุนธรรมจักรที่ในตน
ชั้นที่ 5: ผ่านพ้นทุกบททดสอบ
ชั้นที่ 6: ประกอบสัมมาอาชีวะ

30 มิถุนายน 2556

คำสอน 30/06/2013

 

ความหมายของ
สุญตา

1.สุญ แปลว่าว่าง หรือไม่มี
2.ตา หมายถึง อายตนะทั้ง 6 
3.สุญตา จึงหมายถึงการว่าง
ไปจากอายตนะทั้งหก คือ
มีมันอยู่แต่เหมือนไม่มี
4.สุญตาจึงหมายถึง จิตที่เป็น
อุเบกขา คือ รับรู้ทุกสิ่งด้วยกลไก
อายตนะ แต่ไม่รับเอามาเพื่อปรุงแต่ง
5.จิตสุญตา จึงมีหน้าที่รับรู้ข้อมูลใดๆ
จากการสัมผัสของอายตนะ
เพื่อการคิดรู้และเรียนรู้เท่านั้น.....

27 มิถุนายน 2556

คำสอน 27/06/2013

 

มนุษย์โลก
ล้วนคือนักรบแห่งแสง

พระบิดายังมิทรงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในของดาวเคราะห์โลก
เครื่องยนต์แห่งกรรมสองมิติของเจ้าจะยังคงใช้การได้ต่อไป จิตสำนึกกับ
กายหยาบของเจ้าก็จะยังคงมีอำนาจอยู่ดังเดิมและขณะนี้มันก็กำลังถูก
ฟื้นฟูพลังอำนาจให้สูงขึ้นอีกในยุคหน้า เพื่อให้ยีนส์ในเซลอวัยวะร่างกาย
ของเจ้า สามารถรับรู้ รับฟังข่าวสารจากจิตจักรวาล ในระบบคลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าในยุคพลังงานเก่าที่ผ่านมา...

ในยุคหน้า...พวกเจ้าจะสามารถเป็นนักรบแห่งแสงได้ด้วยพลังอำนาจใน
ตนเอง ไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุมายาหรือเทคโนโลยีลี้ลับใดๆช่วย...ไม่
จำเป็นต้องให้ใครๆจากนอกระบบเข้ามาช่วย...เพราะเรื่องของโลกเป็น
เรื่องของพวกเจ้าเท่านั้น จงจำไว้ว่าผู้อื่นไม่เกี่ยว....และบุตรเอกแห่งบิดาผู้
นี้เท่านั้น คือ ตัวแทนแห่งบิดา จงอย่าหลงเชื่อคำกล่าวอ้างของคนแปลก
หน้า แล้วสมคบกันมาทำลายโลกของตนเอง! โดยไม่รู้ตัว...ผู้บุกรุกและผู้
ชั่วร้ายทั้งหลายจักถูกพิพากษาโทษสถานหนัก......

23 มิถุนายน 2556

คำสอน 23/06/2013

 

ความมุ่งมั่น

กว่าได้ลิ้ม รสหวาน น้ำตาลอ้อย
เจ้าหนูน้อย ต้องฝ่า ปัญหาใหญ่
มีความแข็ง ให้ปอก ทั้งนอกใน
ผ่านไม่ได้ มิได้ลิ้ม ชิมน้ำตาล

มิต่างกัน ดอกมนุษย์ จักหลุดพ้น
ต้องอดทน ฟันฝ่า อย่างกล้าหาญ
ชนะกาย ชนะใจ ชนะมาร
จึงนิพพาน ผ่านพ้น ทุกคนไป

22 มิถุนายน 2556

คำสอน 22/06/2013

 


อันของสูง หมายปอง ต้องปืนป่าย
ด้วยแรงกาย ปัญญา และกล้าหาญ
เปรียบได้ดั่ง ตั้งใจ ใฝ่ "นิพพาน"
ปณิธาน นั้นต้องเห็น เป็นรูปธรรม

คือรักได้ ให้เป็น จงเน้นไว้
ไม่ก้าวล่วง ผู้ใด ไม่ใฝ่ต่ำ
ใช้ "มหาสติ" ครองตน ให้พ้นกรรม
แล้วกราบนำ พระบิดา มาสู่ใจ...

20 มิถุนายน 2556

คำสอน 20/06/2013

 

ผู้จะข้ามผ่านสะพานเชื่อมยุค
ในคำพิพากษา

1.เหลือผลกรรมไม่เกิน 30%
2.ครองมหาสติมิเคยขาด
3.แสดงปณิธานแห่งนิพพานอยู่อย่างมิว่างเว้น
4.ใช้สติปัญญาเพื่อการเรียนรู้บทเรียนโลกได้ทุกสรรพสิ่ง
5.รับฟังจิตวิญญาณในตนเองผ่านสมองซีกขวานำซ้ายได้เสมอ
6.ใช้กฤตสตินำพาตนเองและจิตวิญญาณข้ามผ่านภัยพิบัติได้
7.ทำสามเหลี่ยมกับพระบิดาด้วยศรัทธาอย่างสม่ำเสมอ
8.เฝ้าฟังพระโอวาท ไม่ขาดการสานสัมพันธ์ไปจากเรา

10 มิถุนายน 2556

คำสอน 10/06/2013

 

เงาใครหว่า

มนุษย์ส่วนใหญ่สอบตกเรื่องนี้กันทั้งนั้นแหละ
เกิดมานาจึงยังนิพพานกันไม่ได้
เพราะเมื่อหลงเงามายา อัตตามันก็เกิด
พอยึดติดในอัตตา กิเลสตัณหามันก็เกิด
พอมีกิเลสตัณหา อุปาทานมันก็เกิด
พอมีกิเลส ตัณหา และอุปทาน ความโง่มันจึงเกิดขึ้นมาง่ายๆ
พอยอมให้ความโง่มันโผล่ขึ้นมาง่ายๆ ความงมงายมันก็เกิด
พอมีทั้งโง่ทั้งงมงาย...เมื่อตายจึงมิอาจหลุดพ้น...

07 มิถุนายน 2556

คำสอน 7/06/2013

 

หลักการดำเนินชีวิต

1.ครองมหาสติให้ได้ตลอดเวลา
2.แสดงปณิธานแห่งนิพพานให้ชัดเจน
3.เรียนรู้ทุกสิ่งที่เผชิญและผจญ
4.สอนให้ผ่านบททดสอบจิตสำนึกรายวัน
5.ใช้ปัญญาเพื่อการตัดสินใจให้ถูกต้อง
6.ไม่ประมาทและขาดสติในการดำเนินชีวิต

06 มิถุนายน 2556

คำสอน 6/06/2013

 

ปวดหัว...เวียนหัว
มึนหัว...วิงเวียน...คลื่นใส้
อยากอาเจียน
อ่อนเพลีย
ท้องเสียโดยไม่รู้สาเหตุ!

เกิดเพราะกลไก
ทางไฟฟ้าในร่างกายเธอ
กำลังถูกเปลี่ยนแปลง
ด้วยพลังงานแสงสุริยะทั้งวันคืน
ตามแผนปฏิบัติการชำระโลก

อยากรู้ก็ต้องอ่าน
ไม่อยากรู้ก็ต้องอ่าน!

05 มิถุนายน 2556

คำสอน 5/06/2013

 

มนุษย์ทุกคนเป็นเจ้าอาวาส
ต่างมีวัดเป็นของตนเอง
จงอย่าปล่อยทิ้งให้รกร้าง

-มีโลกเป็นดั่งลูกนิมิต
-มีจิตเป็นดั่งมหาวิหาร
-มีปัญญาญาณเป็นดั่งยอดเจดีย์
-มีกายสังขารเป็นดั่งอาราม
-มีกลไกอายตนะทั้งหกเป็นดั่งธรรมจักร
-มีพลังความรักเป็นดั่งแสงเทียนแห่งธรรม

คำสอน 5/06/2013

 

สหพันธ์ทางจิต
The Integral of God's Spirits & Human Behavtors on Earth

คัมภีร์จักรวาล
สำหรับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่

รวมบางสิ่งที่เธอยังไม่รู้
ว่าเธอจักต้องรู้

"มนุษย์ก็คือโลก โลกก็คือมนุษย์ มนุษย์เป็นผู้นำ
ทางปัญญาและทางจิตวิญญาณของสรรพสิ่ง
อื่นๆในระบบโลก เมื่อจักรวาลกล่าวถึงโลกจึง
ย่อมหมายรวมถึงทุกสรรพสิ่งทั้งระบบ มิได้
หมายถึงเฉพาะ "มนุษย์" เท่านั้น..."

คำสอน 5/06/2013

"แง่คิดสะกิตใจ"

ความยากง่าย ใช่อยู่ แค่รู้คิด
จงสอนจิต เตือนใจ เอาไว้ว่า
การรู้เรียน รู้ทำ ที่จำมา
ให้แกล้วกล้า การศึก ต้องฝึกตน

ที่ว่ายาก นั้นยาก แค่ปากเจ้า
แต่ถ้าเอา ปัญญา มาหาผล
ไขคำสอน ถอนผิดบาป กับทุกคน
ความหลุดพ้น จักง่าย อย่าหน่ายเลย

03 มิถุนายน 2556

เส้นทางลัดสู่นิพพาน สำหรับฆราวาส


คำสอน 3/06/2013

 

นิพพานดิบ

1.เธอจงละวางความเบื่อหน่ายวุ่นวายใจเสียให้สิ้น
2.แล้วทำจิตใจเธอให้สงบเย็นและฉ่ำชื่น เพราะว่างไปจาก
อารมณ์รู้สึกนึกคิดที่เป็นขยะทั้งหลายทั้งปวง
3.รักษาจิตให้สงบอยู่กับปัจจุบัน และศรัทธามั่นในนิพพาน
4.ไม่ต่อสู้ ไม่ตอบโต้ ไม่ต่อต้าน ไม่หลีกเลี่ยงทุกเงื่อนไขสถานการณ์
ที่ต้องเผชิญหรือผจญมันไปในแต่ละวัน โดยรักให้ได้
ให้ให้เป็น ใช้ปัญญาตอบสนองต่อทุกเงื่อนไขบททดสอบ
5.กำหนดจิตให้มีความปิติสุขเบิกบาน เสมือนดั่งเธอ
เข้าถึงนิพพานแล้วฉะนั้น......

01 มิถุนายน 2556

คำสอน 1/06/2013

 

แมวที่สำคัญผิดคิดว่าตนเป็นสิงโต
มักจะทำกร่างวางท่าทางแบบสิงโตกับสัตว์อื่น
ให้เป็นที่ครึกครื้นขบขันเสมอ....

หลงตัวเอง

"คนหลงตัวเอง คือ คนที่สำคัญตนผิด
ไปจากความเป็นจริง แล้วพยายามที่จะทำ
ไปในทุกวิถีทาง เมื่อมีโอกาส
เพื่อที่จะให้คนอื่นๆเขาเชื่อไปตามนั้น"

28 พฤษภาคม 2556

คำสอน 28/05/2013

 

สัมมาปัญญา

เป็นสุนัข รักเล่น ไม่เห็นแปลก
ไม่รู้แยก จริง-เล่น ไหนแก่นสาร
เพราะไม่มี หน้าที่ ต้องนิพพาน
ทุกวันวาร จึงกินนอน หอนเห่าคน

เป็นมนุษย์ สุดจะดี ตรงที่จิต
กับการคิด ด้วยปัญญา หาเหตุผล
รู้เรียนรู้ ชั่วดี หน้าที่ตน
การหลุดพ้น คือธงชัย ในบั้นปลาย

ใช้ชีวิต แบบน้องหมา เข้าท่าหรือ
เป็นอยู่คือ รอชีพดับ ลับลลาย
บทเรียนโลก บททดสอบ รายรอบกาย
ใช่จะตาย หายวับ ไปกับเธอ...

26 พฤษภาคม 2556

คำสอน 26/05/2014

 

แม่ของใคร?

นี่แม่ใคร ขายผัก ดูหนักเหนื่อย
นี่ยายใคร นิ่งเหนือย คล้ายเมื่อยล้า
สังขารขันธ์ เสื่อมงาม ตามเวลา
ยังอุตส่าห์ ค้าขาย เพื่อใครกัน

ลูกอยู่ไหน หลานยาย ไปไหนเล่า
ใยพวกเขา ดูดาย ไม่เห็นหัน
กรรมของแม่ แย่ของยาย น่าอายครัน
มีลูกหลาน จัญไร ทำไงดี...

25 พฤษภาคม 2556

คำสอน 25/05/2013

 

เล่นซุกซน

จนไม่รู้จักกาลเทศะ
ไม่เลือกพระ ไม่เลือกเณร
เพราะขาดการรู้คิดแยกแยะ
หากเป็นมนุษย์
จักเป็นการก่อกรรม
ก้าวล่วง
โดยประมาท
นักเรียนจงสำรวมระวังให้จงหนัก

คำสอน 25/05/2013

 

ด่านนภาลัย 

ประตูสวรรค์

ประตูนรก

รักได้ ให้เป็น
ไม่ก้าวล่วงใคร
ใช้จิตปัญญา
มีมหาสติ
คือปณิธานแห่ง
นิพพาน
จักมุ่งสู่ด่านนภาลัย

หากทำดี
ก็ไปสวรรค์

ทำชั่วกัน
ก็ลงนรก

23 พฤษภาคม 2556

คำสอน 23/05/2013

 

"ดับกำหนัด ขจัดขยะจิต"

อดีตชาติ วาดมัน ไว้ฉันใด
ภพชาติใหม่ จักผจญ ผลกรรมนั้น
สิ่งโหยหา จงดับ ในฉับพลัน
มิฉะนั้น มันจะขวาง หวงนิพพาน

เช่นตัณหา ราคะ ขยะจิต
ที่ตามติด เพราะอดีต ไม่คิดผ่าน
มิรู้อิ่ม ความกำหนัด ควรจัดการ
จงกล้าหาญ ร่วมกันดับ กับคู่กรรม

อีกทางหนึ่ง หากจะดับ ความกำหนัด
เจ้าจงจัด สิ่งเร้า ดั่งเข้าถ้ำ
ละมายา ยั่วกำหนัด ปฏิบัติธรรม
เพื่อน้อมนำ "อุเบกขา" มาสู่ตน

หยุดโหยหา ความรัก จากใครอื่น
แล้วแซ่มชื่น ในรัก เพื่อมรรคผล
จะรักใคร ไหนเล่า เท่ารักตน
หวังหลุดพ้น จิตต้องว่างห่างกามา

กามารมณ์เป็นเรื่องของความพึง
พอใจในเพศรส โดยมี "ความใคร่"
เป็นเครื่องมือ....เหตุนี้เอง...
ความใคร่ จึงเป็นตัวช่วยขับเคลื่อน
พฤติกรรมการเสพสมของมนุษย์

แต่ทว่า....
อันความใคร่ที่เกิดขึ้นภายในจิตนั้น
เป็นอาการที่ถูกกระตุ้นด้วย
สัญชาตญาณของจิตเองอีกทอด
หนึ่ง ซึ่งเรียกว่า "ความกำหนัด"
ดังนั้น...ถ้าต้องการ "ดับ" ความ
ใคร่ในกามแม้เรื่องเซ็กส์ จึงต้องดับ
กันที่ความกำหนัด ด้วยการอย่า
ยอมแพ้มันผลุดโผล่ขึ้นมาได้ อีกจน
ชั่วชีวิตนี้.....เพียงเท่านี้ก็ดียิ่งแล้ว

14 พฤษภาคม 2556

คำสอน 14/05/2013

 

จดหมายถึงลูกจากพระบิดา
ฉบับที่ 14

"ขณะนี้ DNA ของพระเจ้า
กำลังถูกเปลี่ยนแปลงด้วยคลื่นไฟฟ้าแม่เหล็ก
จากนอกระบบโลก ที่มีพลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
โดยส่งเข้ามาเพื่อปรับโครงข่ายของเซลประสาท
สมอง ที่เคยหลับไหลใช้การไม่ได้ให้ฟื้นคืน
และปลุกเร้าให้ระบบทางกายภาพของพวกเจ้า
สามารถใช้งานได้อย่างเต็มพลังมากกว่าเดิม
ทั้งยังมีชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้นด้วย..."

จงเปลี่ยนของขวัญอันล้ำค่านี้
ให้เป็นจริงที่ตัวเจ้าเองเถิด
ก่อนที่ปฏิบัติการนี้จะสิ้นสุดลงในไม่ช้า

02 พฤษภาคม 2556

คำสอน 2/05/2013

 

จดหมายถึงลูกจากพระบิดา
ฉบับที่ 13

อุปสรรคในการเรียนรู้
ของนักสู้
เพื่อการรู้แจ้ง

หนึ่งคือโง่ สองงมงาย สามไร้สติ
สามแบบที่ถูกคัดทิ้ง

11 เมษายน 2556

คำสอน 11/04/2013

คนทุก "คน" มีคุณค่าและความน่ารัก
เพราะ "คน" = คอควาย + นอหนู
ค = คุณค่า และ = น่ารัก

ในคนทุกคน
จึงมีควาย
อยู่ 7 ตัว

1.ความรู้
2.ความสามารถ
3.ความชำนาญ
4.ความเชื่อมั่นตนเอง
5.ความร่วมมือ
6.ความฉลาดเฉลียว
7.ความรัก

08 เมษายน 2556

คำสอน 8/04/2013

 

ความอยากเล่น อยากลอง
เป็นของเด็ก
สิ่ง "น้อย - เล็ก" ดูเป็น
อาจเห็น "ใหญ่"
เพียง "ฉุกคิด" ฉุกเห็น
ที่เป็นไป
มากสิ่งใหม่ ใหญ่-น้อย
อีกร้อยพัน

18 มีนาคม 2556

คำสอน 18/03/2013

 

ปณิธาน
แห่งนิพพาน

ตั้งเข็มทิศ เดินทาง แล้วย่างก้าว
มาเกิดชาว โลกเสรี อย่าหนีหน่าย
พระนิพพาน ของท่าน คือบั้นปลาย
ยังมิสาย เกินการ ทุก "สัญญา"

สัญญา "แรก" เรียกว่า "สัญญา 6"
ท่านผิดตก บกพร่อง มาเนิ่นช้า
ให้สัญญา แต่มิทำ ตามสัญญา
"พระบิดา" ทรงรู้อยู่ จงรู้นัย

สัญญา "สอง" เรียกว่า "ชะตาชีวิต"
ดวงวิญญาณ ท่านลิขิต กับมิตรใหม่
ก่อนกาลเกิด ภพชาติแรก อย่าแปลกใจ
ใครเป็นใคร ต้องร่วมเล่น เป็นละคร

สัญญา "สาม" เรียกว่า "ชะตากรรม"
ที่ท่านทำผิดพลาด เมื่อชาติก่อน
รักไม่ได้ให้ไม่เป็นเล่นกี่ตอน
ดังจะวอน ไหลลื่นลง "กรรมกงเกวียน"

โลกเสรีจะก้าวผ่านกาลสิ้นยุค
ใครติดสุข ติดทุกข์ ถึงยุคเปลี่ยน
"สามสัญญา" ถ้าไม่ทำ ไม่ร่ำเรียน
จะจิตแตกกายแหลกเนียนสิ้นอัตตา

โลกไม่งามใน "สามปี" จากนี้แล้ว
มาเข้าแถวสู่นิพพานกันเถิดหนา
สัญญาใดไม่เคยทำตามสัญญา
อย่าชักช้าเพราะโอกาสมีชาติเดียว!

กระบวนการแยกคนดีให้หนีชั่ว
จะเกลือกกลั้ว ภัยพิบัติให้หวาดเสียว 
แผ่นดินใหว อีกไฟผลาญผสานเกลียว
ใครปราดเปรียวกรรมปลอดจะรอดตาย

17 มีนาคม 2556

คำสอน 17/03/2013

 

จดหมายถึงลูก
จากองค์จิตจักรวาล
ฉบับที่ 12

"ทุกข์ทุกวัน หรือ ทุกๆวัน"

ผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกไว้ให้อยู่รอดปลอดภัยได้
จะต้องมีพฤตินิสัยดังต่อไปนี้ คือ 
(1).เชื่อฟังพระบิดา
(2).ศรัทธาในพระองค์
(3).เจาะจงจะนิพพานในภพชาติปัจจุบัน

คำสอน 17/03/2013

 

คนเจ้าอารมณ์ คือ คนที่ชอบทำร้ายตนเอง

ความโกรธทำลายตับ

ความทุกข์ทำลายปอด

ความกลัวทำลายไต

ความเก็บกดทำลายหัวใจและประสาทสมอง

ความวิตกกังวลทำลายกระเพาะอาหาร

เครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์
กำลังถูกชำระด้วยพลังงาน
จากนอกระบบโลก
คนเจ้าอารมณ์จะถูกคัดทิ้ง

คิดดีจริงๆ
จะถูกคัดไว้

13 มีนาคม 2556

คำสอน 13/03/2013


 ทิวาวาร ผ่านผัน ตะวันลับ
ราตรีกลับ ย้อนเยือน เหมือนวันก่อน
ทุกสรรพสิ่ง จริงแท้ไม่แน่นอน
"พระพ่อ" สอน หากคิดเป็น ก็เห็นธรรม

เกิดแล้วดับ ดับแล้วเกิด ประเสริฐหรือ
แท้แล้วคือ ความนัย ให้ตอกย้ำ
จากแดนสรวง สู่โลกา ศรัทธานำ
เสร็จการทำ จงลาลับ กลับนิพพาน...

26 มกราคม 2556

จดหมายถึงลูก ฉบับที่ 9


(((9))) จดหมายถึงลูกจากองค์จิตจักรวาล: (ฉบับที่ 9)

“จักรวาลวิทยา ภาคพิเศษ”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย…

ตั้งแต่แปดล้านหนึ่งแสนล้านปีมาแล้ว.... (8,100,000,000,000 ปี)
ดาวเคราะห์โลกเสรีดวงนี้ บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดสร้างขึ้นเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นเสมือนจุดศูนย์กลางของเอกภพที่มีลักษณะเป็นสนามพลังงานรูปทรงกลมดั่งผลส้ม อันประกอบด้วยกาแล็กซี่น้อยใหญ่ 12,500 ล้านระบบ โดยมี 6 กาแล็กซี่ที่อยู่ใกล้กับแกนกลางของเอกภพ จะประกอบด้วยระบบสุริยะถึง 7 ระบบ ซึ่งกาแล็กซี่ธารน้ำนมหรือกาแล็กซี่ทางช้างเผือกจะเป็นระบบที่ใหญ่ที่สุดในบรรดากาแล็กซี่ทั้งหมดจึงมีระบบสุริยะอยู่ด้วยกันถึง 2 ระบบ เพื่อสร้างสมดุลของกาแล็กซี่ใหญ่นี้ไว้นั่นเอง

ความจริงที่จริงแท้มีอยู่ว่า ถ้าเจ้าต้องการให้วงกลมวงหนึ่งสมดุลอยู่ตลอดเวลา เจ้าก็จักต้องรักษาพิกัดตำแหน่งของจุดศูนย์กลางของวงกลมนั้นเอาไว้ให้คงที่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน เพราะเส้นรอบวงของวงกลมใดๆก็ตามมันเกิดจากจุดเล็กๆจำนวนมากมาเรียงต่อกันเป็นวงรอบจุดศูนย์กลางเดียวกัน โดยมันจะต้องมีระยะห่างจากจุดศูนย์กลางที่เรียกว่ารัศมีเท่ากันตลอด ถ้าจุดศูนย์กลางของวงกลมนั้นพิกัดไม่คงที่ คือ โยกไปย้ายมาอยู่ตลอดเวลา วงกลมนั้นก็จะเสียสมดุลไปทันที สนามพลังงานคล้ายทรงกลมที่เรียกว่าเอกภพนี้ก็เช่นกัน หากบิดาแห่งเจ้าต้องการให้มีความสมดุลตลอดเวลาและตลอดไป ก็จำต้องกำหนดให้มีสรรพสิ่งหนึ่งรับหน้าที่คล้ายดั่งเป็นจุดศูนย์กลางเช่นเดียวกัน และเงื่อนไขสำคัญก็คือว่า จะทำอย่างไรที่จะช่วยให้สรรพสิ่งนั้นมีพลังอำนาจในตนเองพอที่จะทำหน้าที่อันสำคัญนี้ได้อย่างยั่งยืน และสามารถที่จะคงความสมดุลในตนเองเอาไว้ได้ตลอดตรงพิกัดตำแหน่งที่ตั้งที่พระบิดาได้กำหนดหมายเอาไว้แล้ว

จากหลักคิดดังกล่าวนี้เอง บิดาแห่งเจ้าจึงได้กำหนดให้ดาวมวลแข็งดวงหนึ่ง อุบัติขึ้นและดำรงตนเองอยู่ตรงพิกัดตำแหน่งที่จะเป็นเสมือนจุดศูนย์กลางของเอกภพ ทุกวันนี้พวกเจ้าเรียกดาวดวงนั้นว่า “ดาวเคราะห์โลก” แต่เนื่องจากว่าเอกภพอันเปรียบเสมือนเป็นห้องทดลองของพระบิดานี้มีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลเหลือคณานับ การจะให้ดาวโลก (The Earth) ดำรงตนเองอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพื่อแสดงบทบาทอันสำคัญนี้แต่เพียงลำพังแล้ว คงต้องกำหนดสร้างให้ดาวโลกที่เป็นดาวมวลแข็งนี้มีขนาดใหญ่มหึมาด้วยเช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมจะยังผลให้เอกภพของพระบิดามีพื้นที่ว่างโล่งน้อยลง หมายความว่ามันจะมีความหนาแน่นไปด้วยสรรพสิ่งทางกายภาพ จนแลดูไม่สวยงามเป็นแน่แท้ พระบิดาจึงกำหนดสร้างดาวเคราะห์โลกให้มีขนาดและน้ำหนักมวลที่เหมาะสม โดยมีโครงสร้างทางกายภาพภายในดาวโลกเป็นไปตามที่เคยกล่าวให้เจ้ารู้ในจดหมายฉบับก่อนๆแล้ว
เมื่อบิดาแห่งเจ้ากำหนดสร้างโลกให้มีขนาดเล็กลง แน่นอนว่าพระบิดาก็จำเป็นจะต้องสร้างตัวช่วยที่จะช่วยกันเหนี่ยวรั้งโลกของเจ้าไว้มิให้โยกย้ายพิกัดไปมาจนเสียตำแหน่งผู้ทำหน้าที่รักษาจุดศูนย์กลางของเอกภพไปง่ายๆ ดังนั้นเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว พระบิดาจึงได้กำหนดสร้างระบบสุริยะขึ้นมาระบบหนึ่งโดยมีดาวเคราะห์โลกเป็นสมาชิกหนึ่งในเก้าดวง และมีพระสุริยะอีกหนึ่งดวงรับหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางของระบบสุริยะที่ว่านี้

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย…

ยังมีความจริงที่เกี่ยวกับดาวโลกที่เจ้าเหยียบยืนกันอยู่นี้อยู่สิ่งหนึ่ง ที่นักดาราศาสตร์และนักจักรวาลวิทยาทั้งหลายเขาไม่รู้ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างดาวเคราะห์อีกแปดดวงกับดาวโลกและดวงอาทิตย์ของระบบนั่นเอง
ความจริงที่ว่านี้ก็คือ บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดให้ดาวโลกเป็นผู้ออกแรงดึงรั้งเพื่อนำพาดาวเคราะห์อีกแปดดวงพร้อมดาวเพื่อนคือดวงจันทร์ของแต่ละดวง โคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ในลักษณะเป็นวงรีโดยต่างดวงกันก็จะมีเส้นทางวงโคจรเป็นของตนเองไม่ทับกัน และวงโคจรนั้นก็กำหนดให้อยู่ในระนาบเดียวกัน
ดังนั้น พลังอำนาจที่สามารถฉุดรั้งให้ดาวโลกไม่สูญเสียพิกัดตำแหน่งจุดศูนย์กลางของเอกภพดังกล่าวนี้ จึงเป็นผลจากพลังอำนาจในการเหนี่ยวรั้งของดวงอาทิตย์ที่กระทำต่อดาวโลกไว้ตลอดเวลาเสมือนว่าฉุดรั้งไว้ไม่ให้หน่ายหนีไปทางไหน และพลังอำนาจที่ดาวเคราะห์ทั้งแปดดวงเหนี่ยวรั้งดาวโลกไว้เหมือนกัน ในขณะที่ดาวโลกนั้นก็ฉุดรั้งชักพาดาวเคราะห์ทั้งแปดให้โคจรไปรอบดวงอาทิตย์ตามการโคจรของตนเองอย่างต่อเนื่องด้วย
นอกจากนั้น บิดายังมีความรู้เสริมที่จะบอกกล่าวให้เจ้าได้ฉุกคิดฉุกรู้หรือฉุกสังเกตอีก 2 ประการก็คือ

1).จะทำให้ดาวเคราะห์แต่ละดวงรวมทั้งดาวโลกดวงนี้ มีความสมดุลในระบบของตนเองได้อย่างไร ในที่สุดพระบิดาก็ได้คำตอบที่พึงปรารถนาว่า จักต้องช่วยให้ดาวดวงนั้นเกิดการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่ๆเหมาะสมด้วย ดาวดวงนั้นจึงจะเกิดการสมดุลขึ้นมาได้ ไม่ต่างจากลูกข่างที่มีการเหวี่ยงหมุนรอบแกนหมุนของตนเองด้วยอัตราเร็วคงที่อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาสั้นๆ ลูกข่างนั้นก็จะสามารถตั้งอยู่บนแกนหมุนได้โดยไม่ล้มลงชั่วขณะหนึ่งเช่นกัน เพราะมันมีความสมดุลอันเกิดจากการเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองอยู่ สำหรับพลังของการเหวี่ยงหมุนของดาวดวงนั้นๆพระบิดาสร้างขึ้นมาได้อย่างไร จะเปิดเผยให้ลูกทั้งหลายได้เรียนรู้กันในโอกาสต่อไป

 2).จะทำให้ดาวเคราะห์ทุกดวง รวมทั้งดาวโลกเองด้วย สามารถโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ผิดพลาดและปลอดภัย คือ ไม่ชนกันเอง หรือไม่ลื่นหลุดออกไปจากพิกัดที่กำหนดไว้จนจะยังผลให้ดาวโลกสูญเสียตำแหน่งจุดศูนย์กลางของเอกภพไปได้อย่างไร
ในที่สุดพระบิดาก็คิดได้ว่าจะต้องหาหนทางทำให้ดาวเคราะห์ทุกดวงที่จะโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันนี้ มีแนวแกนหมุนรอบตัวเองที่ทำมุมเอียงเบี่ยงเบนออกไปจากแนวดิ่ง ในพิกัดที่เหมาะสมของแต่ละดาวซึ่งมันจะมีขนาดของมุมองศาเอียงไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นกับขนาดความกว้างของวงโคจร น้ำหนักมวล และอัตราเร็วของการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ดวงนั้นๆเป็นสำคัญ โดยที่ต้องกำหนดให้ดาวแต่ละดวงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองและโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ในลักษณะเอียงทำมุมกับแนวดิ่งก็เพื่อเกื้อกูลต่อการเลี้ยวโค้งอ้อมดวงอาทิตย์และการวกกลับตามแนวโคจรเดิม ซึ่งการวกลับเกิดได้ก็เพราะดวงอาทิตย์ออกแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งไว้มิให้ดาวเคราะห์ทั้งเก้าดวงโคจรหลุดออกไปจากระบบนั่นเอง เพราะถ้ามีใครหลุดออกไปจากระบบก็เท่ากับว่าดาวโลกจะสูญเสียพิกัดตำแหน่งของตนเองไปจากจุดศูนย์กลางของเอกภพทันที

แต่เนื่องจากว่ากาแล็กซี่ธารน้ำนม (Milky Way) นี้ มีระบบสุริยะรวมทั้งสิ้น 2 ระบบ บิดาแห่งเจ้าจึงต้องกำหนดให้ดาวพลูโตที่เป็นดาวเคราะห์ดวงที่เก้าซึ่งมีวงโคจรอยู่นอกสุด เป็นดาวเคราะห์ของอีกระบบสุริยะหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามด้วยในเวลาเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อช่วยค้ำจุนระบบสุริยะทั้งสองระบบให้สมดุลอย่างยั่งยืนตลอดไป บทบาทของดาวพลูโตที่เจ้าจะสังเกตพบก็คือ ดาวดวงนี้จะมีวิถีการโคจรที่ไม่สม่ำเสมอ บางปีดูเหมือนว่าจะหายออกไปจากระบบจนคล้ายกับว่าระบบสุริยะของโลกจะมีดาวบริวารของดวงอาทิตย์เพียงแค่แปดดวงเท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะดาวพลูโตต้องทำหน้าที่เป็น “เศษส่วนของเมอริเดี้ยน”

เศษส่วนของเมอริเดี้ยน หมายถึง การทำหน้าที่เป็นดาวเคราะห์ที่จะคอยรักษาสมดุลของระบบสุริยะทั้งสองระบบเอาไว้ให้มั่นคงนั่นเอง

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย.....
เมื่อบิดาแห่งเจ้าได้กำหนดสร้างสรรพสิ่งทางกายภาพขึ้นมาได้ แน่นอนว่าจักต้องพิจารณาสรรพสิ่งทางพลังงานอันเป็นด้านของแก่นแท้ด้วยพร้อมๆกันไป ดังนั้น สิ่งที่พวกเจ้าทั้งหลายจะต้องรู้ไว้ก็คือ บิดาแห่งเจ้ายังจะต้องคิดหาคำตอบให้ได้ว่า จะต้องทำอย่างไรจึงจะช่วยให้โลกมีพลังอำนาจในตนเองมากพอที่จะดำรงอยู่และมากพอที่จะเป็นผู้นำพาฉุดรั้งดาวเพื่อนอีกแปดดวงให้สามารถโคจรไปรอบๆดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันได้ตราบชั่วนิรันดร ซึ่งบุตรรักทั้งหลายจะสามารถพิสูจน์ความจริงที่ดาวโลกเป็นผู้นำพาดาวเพื่อนทั้งแปดโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ มิใช่แต่ละดวงต่างโคจรรอบดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันด้วยพลังอำนาจในแต่ละดาวเองแต่อย่างใดนั้น โดยให้ตรวจสอบแผนที่พิกัดตำแหน่งของดาวเคราะห์ ระหว่างวันที่ 29 กันยายน ไปจนถึงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2623 ตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าเป็นต้นไป ภายในเวลา 3 วันที่ว่านี้ที่ตั้งของดวงดาวในระบบสุริยะจะเป็นดังว่านี้

1).โลกจะเป็นศูนย์กลางของดาวเคราะห์ทั้งแปดดวง ดวงอาทิตย์จะอยู่ทางทิศตะวันออกของโลกในเวลาเก้าโมงเช้า
2).ดาวเนปจูนจะอยู่ใกล้โลกทางด้านตะวันออกมากที่สุด จะทำมุม 45 องศากับแนวตะวันออกตะวันตกค่อนไปทางใต้ที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง
3).ดาวพฤหัสจะเป็นดาวที่อยู่ห่างจากโลกออกมาทางทิศตะวันออกเช่นกัน ซึ่งพิกัดตำแหน่งจะอยู่ถัดออกมาจากดาวเนปจูน จะทำมุม 10 องศากับแนวตะวันออกตะวันตกค่อนไปทางใต้ที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง
4).ดาวพุธจะเป็นดาวที่อยู่ถัดออกมาจากดาวพฤหัส ทางทิศตะวันออกของโลกเช่นกัน โดยจะทำมุม 5 องศากับแนวตะวันออกตะวันตกค่อนไปทางใต้ที่มีโลกเป็นศูนย์กลาง
5).ทางทิศใต้ของโลกในขณะเดียวกันนั้น ก็จะมีดาวอีกสองดวงดำรงอยู่ ดวงแรกอยู่ใกล้โลกมากกว่าคือ ดาวพลูโต ซึ่งจะมีพิกัดทำมุม 30 องศากับทิศใต้ค่อนไปทางตะวันตกของโลก
6).ดวงถัดออกมาคือ ดาวศุกร์ จะอยู่ตรงพิกัดทำมุม 20 องศากับทิศใต้ค่อนไปทางตะวันตกของโลกเช่นกัน
7).ดาวเคราะห์ที่เหลืออีก 2 ดวง จะมีพิกัดอยู่ทางทิศตะวันตกค่อนไปทางทิศเหนือของโลกทั้งคู่ ดวงที่อยู่ใกล้โลกมากกว่าคือ ดาวยูเรนัส จะมีพิกัดทำมุม 30 องศากับแนวตะวันออกตะวันตกค่อนไปทางทิศเหนือของโลก
8).ดวงสุดท้ายที่อยู่ถัดจากดาวยูเรนัสออกมา คือ ดาวเสาร์ จะมีพิกัดทำมุม 45 องศาหรืออยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโลกพอดี

บุตรรักทั้งหลาย......
ความลับแห่งดวงดาวที่เปิดเผยให้เจ้ารู้นี้ มันจะเป็นความรู้ใหม่ของพวกเจ้าและเป็นความรู้สำหรับมนุษย์ยุคพลังงานใหม่ที่จะต้องเรียนรู้กันต่อไป หลังวันสิ้นยุค
ในวันเวลาที่พระบิดากำหนดไว้นี้ มันจะเวียนครบรอบในทุกๆ 360 ปีโลก เพื่อแสดงให้เจ้าเห็นว่าเมื่อแรกสร้างและกำหนดให้โลกเป็นแกนนำของระบบนั้น ดาวทั้งเก้าดวง จะดำรงตนเองอยู่ในพิกัดนี้และเป็นเช่นนี้กันมาตลอด เจ้าเห็นหรือยังว่าถ้ามิกำหนดไว้ให้โลกของเจ้าเกี่ยวพันกันกับดาวเพื่อนทั้งแปดและหนึ่งดวงสุริยะ กับให้ดาวพลูโตทำหน้าที่สองบทบาทในสองระบบสุริยะ คือ เป็นเศษส่วนของเมอริเดี้ยนแล้ว โลกของพระบิดาที่พวกเจ้าขันอาสาเข้ามาทำหน้าที่แทนพระบิดา เพื่อช่วยให้โลกมีอำนาจและรักษาสมดุลค้ำจุนโลกไว้อีกแรงหนึ่งด้วยนั้น มันจะประสบผลสำเร็จด้วยดีมาตราบเท่าจนทุกวันนี้ได้หรือ.....ทุกสิ่งทุกเรื่องราวและทุกกลไกกระบวนการ ในสองมิติที่บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดไว้แล้วจึงเป็นสิ่งที่พวกเจ้าและทุกสรรพสิ่งจักต้องรักษาสัจจะ ต้องมีสัจจะ คือ ต้องปฏิบัติไปตามนั้น ต้องทำมันให้ศักดิ์สิทธิ์สัมฤทธิ์ผลด้วยพลังอำนาจในตัวเจ้าเองให้จงได้ พระบิดาประทานมาให้แก่พวกเจ้าทุกๆรูปธรรมกันอยู่แล้ว มันคือสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า “คุณสมบัติ” นั่นเอง

ถ้าปรารถนาจะรู้ว่า....พวกเจ้าขันอาสาพระบิดาเข้ามาทำหน้าที่ยังดาวโลกนี้ มีนัยอะไรที่เจ้าต้องรู้อีกบ้าง บิดาแห่งเจ้าจะเล่าให้ฟังในจดหมายถึงลูก ฉบับต่อไป...

ถ่ายทอดคลื่นความติดจากองค์จิตจักรวาลโดย
ป.วิสุทธิปัญญา
26-01-2013
--------------

ความรู้ใหม่จากพระบิดา จะยังความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เพื่อประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า องค์จิตจักรวาล คือ พระบิดาแห่งจิตวิญญาณ พระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง พระผู้เริ่มต้นและสิ้นสุดของทุกสรรพสิ่ง พระองค์คือพระเจ้า....และให้ได้รู้ว่าพระเจ้ามีจริงซึ่งมีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น...ไม่ว่าเธอจะกล่าวพระนามพระองค์ว่าอย่างไร พระองค์ก็มีเพียงหนึ่งเดียว....
------------------------------------------------

ATTN:Punyaporn Rermrat Danchaiyakul
Q1:พระปฐมหรือองค์ประถม เป็นความหมายว่าผู้สร้างใช่ใหมคะ ไม่กล้าถามใครมาถามอาจารย์ค่ะ?
A1:
1.ความจริงแล้วพระปฐม-องค์ประถม-องค์ปฐม หรือไรที่เธอถามมาเนี่ย...เธอน่าจะถามคนที่พูดให้เธอฟัง หรือไม่ก็ถามคนที่เขาเป็นเจ้าของความรู้นี้นะ การถามเขาเพราะว่าอยากรู้นั้นเขาไม่น่าจะตำหนิเธอหรอกนะ
2.เธอเอาความรู้ของผู้อื่นที่มิใช่ความรู้ขององค์จิตจักรวาลมาถามเรา...เราคงตอบคำถามเธอไม่ได้ ต้องขออภัยจริงๆ เพราะเราเชี่ยวชาญแต่องค์ความรู้ที่พระบิดาประทานมาให้เราสื่อสอนมนุษย์โลกนี้เท่านั้น สิ่งใดที่พระองค์มิได้ตรัสมาหรือว่ามิเคยตรัสไว้เราไม่รู้หรอกเธอ อีกอย่างเป็นเพราะเราไม่ต้องการก้าวล่วงคนที่เขาเป็นเจ้าของความคิดความรู้นั้น ทั้งนี้ไม่ว่าความรู้ที่เธอถามมานั้นมันจะถูกหรือจะผิด มันจะจริงหรือจะเท็จก็ตาม...
3.แต่สำหรับความรู้ของเราจากประสบการณ์ของการเป็นมนุษย์ ซึ่งมิใช่ความรู้จากองค์จิตจักรวาลแล้วคำว่า "องค์ปฐม" นั้น เราทราบว่ามนุษย์ผู้กล่าวถึงเป็นรูปธรรมแรกในยุคปลายนี้ คือ ท่านนักบวชนามว่า "ฤาษีลิงดำ" ว่าแต่ว่าเธอรู้จักสมณะผู้มากด้วยบุญบารมีท่านนี้มั้ยล่ะ ซึ่งสมณะท่านนี้ให้ความหมายของคำว่า"องค์ปฐม"ไว้ว่า หมายถึง นักบวชในกาลอดีตรูปธรรมหนึ่งที่สามารถเข้าถึงการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด จนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของมวลชาวพุทธได้นั่นแหละ
4.สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ ก็สามารถบรรลุมรรคผลสูงสุดคือคืนกลับแดนสุญตาในสภาวะนิพพานได้
Q2:ขณะนี้ตามที่ทราบในเครือข่ายการสื่อสารว่า หากมีการใช้วาจาไม่สุภาพต่อพระพุทธศาสนาจะมีโทษด้วย เราคงต้องดูแล และเป็นกำลังใจอาจารย์ในการให้องค์ความรู้ที่สมควรรู้ เพราะต่างความคิดกันอยู่แล้ว หากเขาไม่เปิดใจโดยการฟังจากที่นี่ด้วยและเอาปัญญาของเขามาใช้พิจารณา
A2:
1.เธอเคยพบเจอหรือที่ในยุคนี้ มีคนใช้วาจาไม่สุภาพ(ลบหลู่-ดูหมิ่น-ก้าวล่วง-ด่า)ต่อพระพุทธศาสนาน่ะ...เราว่าไม่มีมั้ง? ถ้าจะมีก็คงจะมีแค่คนทั่วไปที่เขารู้เท่าทันเขาด่าว่าหรือประนามไอ้คนที่ชอบอุตริเอาพระพุทธศาสนาหรือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นมาแอบอ้างเพื่อวัตถุประสงค์แอบแฝงเสียมากกว่า....
2.ปัญญาชนและวิญญชนทั้งหลายเขาไม่โง่หรอก เพราะเขารู้ว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาที่เป็นของแท้(ย้ำ) ทรงเป็นพระศาสดาผู้ประเสริฐพระองค์หนึ่ง ในจำนวน 24 พระองค์นั่นแหละเธอ มิมีแก่นธรรมข้อใดที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้แล้วพระบิดาเห็นว่าไม่ถูกต้อง แต่พระบิดาทรงเห็นแล้วว่ามีมนุษย์ไม่น้อยเลยที่นำเอาคำสอนของพระพุทธองค์มาแปลความผิดเพี้ยนจนไม่ถูกต้องกันเสียเองอย่างไม่เกรงความผิดบาปด้วยซ้ำไป ถ้าความหมายของเธอที่ว่า "ใช้วาจาไม่สุภาพต่อพระพุทธศาสนา" หมายถึง ก้าวล่วง เราก็ยืนยันว่าไม่มีใครก้าวล่วงพระพุทธองค์แน่นอน พระศาสดาพระองค์อื่นๆก็ไม่เคยก้าวล่วงพระพุทธองค์และไม่ก้าวล่วงกันและกันด้วย ส่วนคำว่าก้าวล่วงพระศาสนานั้น คนที่พูดน่ะหมายถึงอะไร? อะไร คือ ศาสนา?
3.มนุษย์โลกเสรีนี้อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าเธอจะก้าวล่วงใคร พระศาสดา คนดี คนบ้า คนชั่ว หรือแม้แต่ตัวเอง เธอจักได้รับผลกรรมนั้นทั้งสิ้น...การนำเอาพระศาสดามาแอบอ้างทั้งๆที่มิใช่หน้าที่ มิได้รับอนุญาตและรู้ไม่จริงนี่ก็ถือเป็นก้าวล่วงเช่นกันมิใช่หรือ ถ้าสอนธรรมะผิดๆก็ตกนรกขุมที่ 13 เหมือนกันแหละเธอ...
4.ขอบใจนะที่เป็นห่วงการสอนธรรมะของเรา แสดงว่าเธอเพิ่งรู้จักเราล่ะสิ...เราสอนธรรมะในนามพระบิดา In The Name of God! หรือองค์จิตจักรวาล เราสื่อสารกับพระองค์ท่านในระบบจิตสู่จิต คนเดียวในโลก...ธรรมะทุกถ้อยอักษร เรามิได้กล่าวเองหรอก...นักเรียนทุกคนในห้องเรียนนี้เขายินยันได้ เพราะเขาร้จักเรามานับสิบปีแล้ว ลองถามพวกเขาในห้องนี้ดูสิเธอ...สบายใจได้ อย่าห่วงเราเลยนะ...ขอบใจเธออีกครั้ง...ห้องเรียนของเราสอนให้คนฉลาดขึ้น รู้ธรรมที่ถูกต้อง รู้ปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่หลงทางไปนิพพาน....ใครเห็นด้วยช่วยยกมือขึ้นหน่อย...เร้ววว....

ป.วิสุทธิปัญญา
26-01-2013
-------------




24 มกราคม 2556

ข่าวด่วนชวนระทึก


ข่าวด่วนชวนระทึก:
เชิญอ่านกันเอาเอง ไม่ต้องอธิบาย
----------------------------------------

เอาชนะความโกรธด้วยการไม่โกรธ

เอาชนะความทุกข์ด้วยการไม่ทุกข์
เอาชนะความกลัวด้วยการไม่กลัว
เอาชนะความเก็บกดทางอารมณ์ด้วยการเลิกเก็บกด
เอาชนะความวิตกกังวลด้วยการเลิกวิตกกังวล
------------------------------------------

ความไม่โกรธ

ความไม่ทุกข์
ความไม่กลัว
ความไม่เก็บกด
ความไม่วิตกกังวล....
ทั้งหลายเหล่านี้.....สามารถเกิดขึ้นได้ในจิตใจเธอด้วยพลังอำนาจของสิ่งเหล่านี้ คือ
1.ด้วยสติปัญญาและปัญญาญาณในตนเอง
2.ด้วยองค์ความรู้ของพระบิดาที่ทรงเมตตาสื่อสอนไว้ทั้งหมดดังแจ้งกันแล้วนั้น
3.ด้วยความรักจากแก่นแท้ ที่เป็นรักเพื่อให้ที่แท้จริง
4.ด้วยความมีสติทางวิญญาณที่รู้ว่าตนเองเป็นใคร มาจากไหน มาเกิดเป็นมนุษย์กันทำไม และมีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง โดยต้องระลึกไว้เสมอ
5.ข้ามพ้นการหลงในมิติแห่งมายา เลิกยึดติดตัวกูตัวมึง ของกูของมึง
6.มีองค์จิตจักรวาลพระบิดาแห่งจิตวิญญาณเป็นสรณะที่ตนจักต้องยำเกรง เหมือนลูกเกรงใจพ่อแม่ไม่กล้าทำผิดปานนั้น...


ป.วิสุทธิปัญญา
------------------------------------------

ANSWR:Karuna Karuna Nonthawong

อารมณ์ด้านลบทั้ง 5 อาการนั้น มีความถี่ของการสั่นสะเทือนแตกต่างกัน แต่ละย่านความถี่มีผลกระทบต่อการสั่นสะเทือนทางพลังงานของอวัยวะภายในแต่ละชื้นที่เป็นระบบอัตโนมัติต่างกัน กล่าวคือ ความโกรธเป็นอาการทางจิตที่ผลิตสร้างคลื่นพลังงานด้านลบที่จะไปหักล้างลดทอนการสั่นสะเทือนทางพลังงานด้านบวกเพื่อการทำหน้าที่อัตโนมัติของตับ เพราะอยู่ในย่านความถี่ตรงกันข้าม
------------------------------------------

ANSWR:Toffie Tiffie


เรากล่าวไว้นานแล้วว่า ถ้าถึงวันชำระโลกคาบสุดท้าย ใครมีผลกรรมเกิน 30% จะต้องถูกชำระไม่มีละเว้นและนิพพานไม่ได้ ถ้าวันๆเธอมัวแต่ถามว่าขาดสติชั่วคราวอยู่เรื่อย แล้วจะรีบดับด้วยการสำนึกผิด ถ้าภายในสองปีนี้สามารถแก้ไขได้....ยังมีโอกาสถูกเลือกมั้ย? คำตอบคือ โอกาสยังมี...แต่แน่ใจหรือว่าถ้ายังสอบตกอยู่เยี่ยงนี้ภายในสองปีจะสำเร็จได้จริงๆ และแน่นอนว่าพอถึงวันนั้น ผลกรรมจะเหลือไม่เกิน 30% ได้จริงรึเปล่า? ถ้าปัจจุบันขาดสติอยู่เป็นประจำทำให้เกิดผลกรรมด้านลบสั่งสมอยู่มิเว้นวาง ว่ามั้ย?
------------------------------------------

คุณ Toffie Tiffie วิธีแก้ปัญหาโรคขี้น้อยใจ-ขี้ใจน้อยจนเป็นที่มาของ "ดั้งสลาย" นั้นอาจทำได้ดังนี้


คือ จงอย่ายึดติดตนเองเป็นหลัก แต่ให้ยึดคนอื่นโดยเฉพาะคนที่เธอชอบน้อยอกน้อยใจเขานั่นแหละเป็นหลักแทน เช่น ไม่คาดหวังว่าเขาจะต้องยังงั้นยังงี้ต่อตัวเธอ แต่ให้เธอมองหาความต้องการของเขาเพื่อตอบสนองแทน เป็นต้น อาการน้อยใจมันมาจากความคาดหวัง เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองให้ตรงใจ คนๆนั้นก็จะมีปัญหาเสมอ คือ ขุ่นมัว ไม่พึงพอใจ ไม่สบอารมณ์ เพราะรู้สึกว่าตนไม่มีความสำคัญ ไม่มีค่าสำหรับคนๆนั้นที่เธอคาดหวังบางอย่างจากตัวเขานั่นแหละ...เช่นหวังว่าเขาคงจะแสดงความห่วงใยต่อตัวเราแต่เขากลับไม่ใส่ใจ...หรือหวังว่าเขาจะต้องถามความรู้สึกนึกคิดของเราบ้าง แต่เขากลับไม่แคร์เรา เป็นต้น....ความคาดหวัง กับการยึดติดตนเองเป็นหลัก คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกเธอกลายเป็นคนป่วยทางจิตด้วยโรค "ขี้ใจน้อย" นี่แหละนะ
------------------------------------------

ความจริงแล้วองค์ความรู้ขององค์จิตจักรวาล พระบิดาแห่งจิตวิญญาณทั้งปวงนั้นมิได้สงวนลิขสิทธิ์หรือที่เธอใช้คำว่า "ผูกขาด" ดอกนะ...ถ้าฉบับใดที่พระองค์ทรงเมตตากล่าวถึงเรื่องที่เราพิจารณาแล้วเห็นว่า คนทั่วไปเมื่อรับรู้รับทราบแล้วจะไม่มีผู้ใดก้าวล่วงพระองค์จนยังผลให้ผู้นั้น ต้องประสบกับอนันตริยะกรรมด้วยความไม่รู้สติแล้ว เราจะโพสท์ไว้ให้เฉพาะกลุ่มนักเรียน ในห้องเรียน ป.วิสุทธิปัญญา เท่านั้น เนื่องจากนักเรียนในห้องเรียนนี้ได้ถูกคัดกรองเคี่ยวกรำมาแล้วว่า รู้จักองค์จิตจักรวาลพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของตนเป็นอย่างดี ทุกคนมอบความศรัทธาด้วยปัญญาให้แก่พระองค์จนหมดสิ้นโดยมิลังเลสงสัยใดๆแล้ว...พวกเขาจะเปิดกว้างเพื่อการเรียนรู้ด้วยการคิดตาม...พิจารณาตาม...ในทุกเรื่องที่สอนด้วยมหาสติอย่างแท้จริง


แต่ถ้าจดหมายฉบับใดที่พระองค์ทรงกล่าวไว้แล้วนั้น หากเราพิจารณาแล้วเห็นว่า ความตอนใดตอนหนึ่งจะไม่มีผู้ใดสามารถนำไปเป็นเงื่อนไขเพื่อการก้าวล่วงพระองค์ได้ เราก็จะนำมาโพสท์ไว้ในหน้านี้ให้ได้รู้โดยทั่วกันเสมอ อย่างเช่นจดหมาย ฉบับที่ 9 เป็นต้น...หวังว่าคงเข้าใจวัตถุประสงค์ของเรานะ
------------------------------------------

จดหมายถึงลูก ฉบับที่ 8


จดหมายถึงลูกจากองค์จิตจักรวาล: (ฉบับที่8)

“โลก มนุษย์ และสัตว์ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย…
เจ้าจะต้องรู้ว่า บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดสร้างเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ และรูปธรรมของสรรพสัตว์ที่มีชีวิตน้อยใหญ่หลากหลายรูปแบบเอาไว้ให้พวกเจ้า เข้ามาทำหน้าที่เป็นแก่นแท้ที่เร้นอยู่ภายในรูปธรรมนั้นๆ เพื่อทำการขับเคลื่อนเครื่องยนต์แห่งกรรมของเจ้าในการทำหน้าที่เป็น “เพื่อนร่วมงาน” ของดาวเคราะห์โลกทั้งสองมิติ คือ มิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้กับมิติโลกทางด้านกายภาพด้วยกันทั้งสิ้น มิมีผู้ใดยกเว้นเลย เนื่องจากบิดาแห่งเจ้าได้กำหนดจำนวนรูปธรรมอันหมายถึงน้ำหนักมวลโดยรวมของพวกเจ้าเอาไว้ เพื่อสร้างสมดุลของดาวเคราะห์โลกดวงนี้เอาไว้อย่างเหมาะสมแล้ว ดังนั้น พวกเจ้าซึ่งฉลาดและมีพลังอำนาจเหนือกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจึงต้องไม่เบียดเบียนทำร้ายหรือเข่นฆ่าพวกเขาที่อ่อนด้อยกว่า ที่สำคัญคือจิตวิญญาณแก่นแท้ของเจ้าที่เป็นมนุษย์และจิตวิญญาณแก่นแท้ของสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายทั่วโลกนั้น ต่างก็ล้วนเป็นบุตรรักแห่งบิดาหรือเป็นพี่ๆน้องๆของเจ้าด้วยกันทั้งสิ้น

การทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลกของพวกเจ้านั้น หากจะปฏิบัติให้เป็นผลสำเร็จได้พวกเจ้าก็จะต้องรู้ว่า........
ภารกิจนั้นคืออะไร?
จักต้องปฏิบัติตนอย่างไร จึงจะบรรลุผลสำเร็จได้ดังประสงค์?
คำตอบโดยสรุปจากจดหมายฉบับที่ผ่านมา ซึ่งบิดาแห่งเจ้าได้กล่าวไว้นานแล้วมีดังนี้

1).ภารกิจของพวกเจ้าที่มีรูปธรรมเป็นสัตว์ทั้งหลาย ทั้งอยู่ในน้ำ ในทะเลลึก-มหาสมุทร บนบก ในดิน และในอากาศ ก็คือ การเข้าถึงซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันที่พวกเจ้าเห็นแล้วเรียกพวกเขาว่า “สัตว์สังคม” นั่นแหละ โดยเน้นการใช้จิตสัญชาตญาณไร้เดียงสาเป็นตัวขับเคลื่อนพลังแห่งรักของพระบิดาออกมาใช้ในการดำเนินชีวิตเป็นสำคัญ เมื่อจบสิ้นอายุขัยเพราะเครื่องยนต์แห่งกรรมเสื่อมทรุดหลุดสภาพไปตามกาลเวลาอันเหมาะควรแล้ว พวกเขาก็จะย้อนกลับสู่การเกิดใหม่ วนเวียนแบบนี้เรื่อยไป เหตุเพราะว่าพี่ๆน้องๆของเจ้าซึ่งเป็นสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ได้ขันอาสาพระบิดาเดินทางข้ามมิติเข้ามาสู่ระบบโลกโดยไม่ขอกลับบ้านหรือกลับคืนสู่แดนสุญตานอกระบบเอกภพตราบชั่วกัลปาวสานกันเลยทีเดียว พวกเจ้าจึงสมควรเรียกพวกเขาว่า “สัตว์ประจำโลก” มากกว่า เพราะพวกเขาจะพากันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเกิดเพื่อทำหน้าที่ “เพื่อนร่วมงานกับโลก” ตลอดมาและตลอดไป การเรียกพวกเขาว่า “สัตว์ประจำโลก” จึงฟังดูแล้วไพเราะกว่าสง่างามกว่าเรียกพวกเขาว่า “สัตว์โลก” หรือ “สัตว์เดรัจฉาน”

2).ส่วนภารกิจของพวกเจ้าที่มีเครื่องยนต์แห่งกรรมเป็นรูปธรรมมนุษย์นั้น มิได้แตกต่างไปจากสรรพสัตว์ทั้งหลายแต่อย่างใด นั่นก็คือ เข้ามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อแสดงบทบาทคน 2 มิติ ด้วยการกระทำผ่านจิตสำนึกด้านบวกของตนเอง และแน่นอนว่าสิ่งที่ช่วยให้เกิดการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของพวกเจ้าได้ มีเพียงสิ่งเดียวก็คือ พลังอำนาจแห่งรักที่เร้นอยู่ในแก่นแท้หรือตัวตนของเจ้าเอง

3).สรรพสัตว์ทั้งหลายเข้าถึงพลังแห่งรักในตนเองที่โลกต้องการได้ ผ่านการสั่นสะเทือนเป็นสัญชาติญาณของแก่นแท้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของพวกเขาเองโดยตรง ไม่ยุ่งยากสลับซับซ้อนอะไร เพราะบิดากำหนดให้พวกเขาขับเคลื่อนพฤติกรรมทั้งสองมิติได้ด้วยอำนาจจากแก่นแท้โดยตรงหรือเป็นไปตามธรรมชาติของพวกเขา มิพักต้องมีเงื่อนไขบททดสอบใดๆช่วยเหลือทั้งสิ้น แต่สำหรับคนสองมิติที่เรียกว่ามนุษย์อย่างเช่นพวกเจ้านี้ จะสามารถน้อมนำเอาพลังแห่งรักจากแก่นแท้ออกมาได้ จักต้องอาศัยบททดสอบหลากหลายในชีวิตประจำวัน ทั้งผู้อื่นช่วยหยิบยื่นให้และที่ตนเองสร้างเงื่อนไขนั้นๆกันขึ้นมาเอง โดยเงื่อนไขที่ว่านี้มันจะมีทั้งด้านบวกคือดี และด้านลบคือด้านที่เจ้าไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นคนอื่นหยิบยื่นมาให้หรือเงื่อนไขที่เจ้าสร้างขึ้นมาให้เป็นปัญหาของตนเองก็ตาม





บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย......
สำหรับคนสองมิติที่เรียกว่ามนุษย์ดังเช่นพวกเจ้านั้น “เงื่อนไขบททดสอบ” ที่จะใช้กระตุ้นจิตหยาบให้สั่นสะเทือนด้านบวกสูงสุด เพื่อเปิดมิติแห่งแก่นแท้แล้วนำเอาพลังแห่งรักจากพระบิดาที่พวกเจ้าแบกขนกันมาสู่ระบบโลกออกมาให้ได้นั้น ปกติแล้วจะเป็นเงื่อนไขที่เผชิญกันในชีวิตประจำวัน เพื่อทดสอบสภาวะจิตของพวกเจ้าด้วยกันเอง ใน 3 ประการ คือ 

1).บททดสอบความอดทน: 
เพื่อสอนเจ้าให้รู้จักรักตนเอง ในขณะที่จักต้องเป็นหนึ่งเดียวกับคนอื่นๆที่เขามีพฤตินิสัยหลายแบบที่เจ้าเองไม่พึงประสงค์ ไม่พอใจ ไม่ปรารถนา เพราะว่ามันเป็นพฤติกรรมขยะที่เจ้าไม่ต้องการ

2).บททดสอบความอดกลั้น:
เพื่อสอนเจ้าให้รู้จักรักตนเองได้และสามารถที่จะแบ่งปันรักนั้นแก่คนอื่นๆด้วยในเวลาเดียวกัน แม้คนอื่นๆนั้นจะมีพฤตินิสัยบางประการที่เจ้าไม่พึงประสงค์ ไม่พอใจ ไม่ปรารถนา เพราะว่ามันเป็นพฤติกรรมขยะที่เจ้าไม่ต้องการหรือไม่ชอบ

3).บททดสอบการให้อภัย:
บททดสอบบทนี้ เป็นบททดสอบที่เป็นเงื่อนไขที่ยากสุดๆในการเป็นมนุษย์ของพวกเจ้าเลยทีเดียว เช่น เจ้าต้องให้อภัยให้ได้แม้แต่บุคคลที่เจ้าเห็นว่าไม่สมควรที่จะให้อภัย เป็นต้น ซึ่งถ้าเป็นในกาลอดีตเจ้าจะสามารถเข้าถึงการให้อภัยผู้อื่นได้ ก็จักต้องสอบผ่านบททดสอบความอดทน และความอดกลั้นมาอย่างโชกโชนแล้วเท่านั้น เพราะการให้อภัยของเจ้ามันจะต้องกระทำผ่าน PARINYA MODEL: ว่าด้วย “3 ยอ” นั่นคือ ยอมรับ ยอมปรับ และยอมร่วมให้สำเร็จเสียก่อน

นอกจากนั้นเจ้ายังต้องรู้อีกว่าเมื่อปฏิบัติตาม “ปริญญาโมเดล” ทั้ง 3 ยอที่ว่านี้แล้ว เจ้าก็ยังไม่อาจจะเข้าถึงพลังความรักของพระบิดาที่เร้นอยู่ข้างในแก่นแท้ของเจ้าได้หรอก เจ้ายังจะต้องใช้ปริญญาโมเดล ว่าด้วย “การตัดกรรม” ปิดท้ายการทำบททดสอบข้อนั้นๆของเจ้าด้วยเจ้าจึงจะสามารถเข้าถึงบททดสอบการให้อภัย อันเป็นพลังแห่งรักระดับขีดสุดในการเป็นมนุษย์ของพวกเจ้าได้อย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว 
กุศโลบายของปริญญาโมเดล เพื่อการตัดกรรม คือ การสอนจิตตนเองให้นึกคิดด้านบวกนั่นเอง ซึ่งปกติแล้วมันทำได้ไม่ง่ายเลย ถ้าพวกเจ้ายังไม่สามารถเข้าถึง “3 ยอ” มาก่อน 
การนึกบวกคิดบวก เพื่อการตัดกรรมใดๆกับใครอื่น ที่เขากระทำไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่ดีงามต่อเจ้าในชีวิตประจำวันนั้น มี 4 แนวคิดดังนี้ คือ
ช่างเขาเถอะ....
ม่เป็นไร.....
ยังไงก็ได้....
แค่นี้ก็ดีแล้ว....

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย…
เจ้าจะเห็นได้ว่า บททดสอบจิตสำนึกที่จะนำไปสู่ความรักขั้นสูงสุดได้นั้น มันจะต้องผ่านปฏิบัติการทางจิตหลายขั้นตอนอยู่ แต่ละขั้นก็มิใช่เรื่องง่ายดายนัก แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถอันเกิดจากความมุ่งมั่นของตัวเจ้าเอง เพราะมันเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถฝึกฝนตนเองได้ในชีวิตประจำวันจากสถานการณ์ใดๆในชีวิตที่เจ้าพบพานผ่านเผชิญ ด้วยเหตุดังว่านี้แหละที่บิดาแห่งเจ้าจึงเปรียบโลกเสรีดวงนี้ไว้ว่าเป็นเสมือน “ห้องเรียนขนาดใหญ่” หรือโรงเรียนแห่งหนึ่งในเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาล ที่พระบิดาส่งพวกเจ้าเข้ามาเป็นนักเรียนเพื่อเรียนรู้ให้สำเร็จ “บทเรียนโลก” ด้วยการทำข้อสอบให้ผ่าน “บททดสอบจิตสำนึก” ทุกข้อกันให้ได้นั่นเอง และพวกเจ้าก็ล้วนรับรู้ความจริงเหล่านี้กันตั้งแต่ภพชาติแรกที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์กันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า เมื่อเจ้าเข้าสู่การเกิดเป็นคนสองมิติเข้าจริงๆทุกสิ่งจึงต้องถูกปกปิดมิติเอาไว้ชั่วคราว เพราะมันเป็นเงื่อนไขหนึ่งในกระบวนการทดสอบ ที่เจ้าจะนึกรู้ความจริงเสมือนรู้ข้อสอบก่อนเข้าห้องสอบไม่ได้ มันจะทำให้การสอบนั้นเป็นโมฆะ หากเจ้าประสงค์จะรู้แจ้งในความจริงเหล่านี้ เจ้าก็จำต้องยกระดับความฉลาดทางปัญญา และพัฒนาจิตสู่สุญตากันให้ได้ก่อน ความลับเบื้องหลังมิติโลกเหล่านี้จึงจะถูกเปิดออก เจ้าก็จะ Enlightenment ด้วยตนเองได้ เพราะเจ้าสามารถเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน (Oneness) กับทุกสรรพสิ่งในจักรวาลอันไพศาลของบิดาแห่งเจ้าได้อย่างกลมกลืน

ภารกิจแห่งการเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นกฎจักรวาล เป็นกฎของพระบิดา ที่พวกเจ้าและโลกเสรีจะต้องสอบผ่านบททดสอบนั้นๆให้จงได้ดังกล่าวแล้ว ถ้าพวกเจ้าร่วมกันทำสำเร็จพร้อมๆกับดาวเคราะห์โลกที่เจ้าขันอาสาพระบิดาเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมงานได้ โลกเสรีนี้ก็จะมีพลังอำนาจในตัวเองและสมดุลตลอดไป ยังผลให้เอกภพทั้งระบบพลอยสมดุลอย่างยั่งยืนตลอดไปได้ด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้น เจ้าจึงต้องรู้เอาไว้ว่าจิตสำนึกของพวกเจ้ากับจิตสำนึกของดาวโลกนี้นั้น มันเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าจิตสำนึกโดยรวมของพวกเจ้าสั่นสะเทือนไปในด้านลบ มันจะยังผลให้จิตสำนึกของโลกพลอยสั่นสะเทือนไปในทางด้านลบตามไปด้วย

กับการที่โลกกำลังเกิดภัยพิบัติรุนแรงขึ้น ถี่ขึ้น ในทุกวันนี้นั้น มันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจิตสำนึกโดยรวมของมนุษย์โลกมันสั่นสะเทือนค่อนไปในทางต่ำลงๆทุกวันใช่หรือไม่?
ถ้าพวกเจ้าต้องการให้โลกเสรีนี้เกิดการสุขสงบ ไม่มีภัยพิบัติใดๆรุนแรงเกิดขึ้นหรือให้มันเกิดขึ้นน้อยลงแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็จักต้องยกระดับจิตสำนึกตนเองให้สูงขึ้นทางด้านบวกที่กำลังดิ่งลงต่ำอยู่นี้ให้จงได้และให้เร็วที่สุดด้วย ก่อนที่โลกทั้งใบจะหายนะ.....
แน่นอนว่า....หน้าที่พวกเจ้า ต้องเกิดมาเป็นคนสองมิติที่เรียกว่ามนุษย์ชายหญิง ต้องเข้าถึงการเป็นหนึ่งเดียวกันให้สำเร็จให้จงได้ ต้องไม่มีเส้นแบ่งให้เกิดการแตกแยกใดๆโดยเด็ดขาด หากจะมีก็แค่เพียงความแตกต่างที่เจ้าสามารถเลือกที่จะนำมันมาสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นให้จงได้
บุตรรักทั้งหลาย เจ้าจะเอาความแตกต่างมาสร้างความแตกแยกไม่ได้หรอก ความแตกต่างเท่านั้นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ร่วมกันขึ้นมาได้.....

ป.วิสุทธิปัญญา
24-01-2013






23 มกราคม 2556

จดหมายถึงลูก ฉบับที่ 7


“จิตสำนึกของมนุษย์กับดาวเคราะห์โลกล้วนเป็น 1 เดียวกัน”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย..
ไม่นานวันมานี้ พระบิดาได้เปิดเผยความลับเบื้องหลังมิติโลกที่สองตาเปล่าของพวกเจ้ามองไม่เห็น และพลังปัญญาของพวกเจ้าก็มิอาจเข้าถึงได้ด้วยตนเองไว้เรื่องหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับภารกิจหลักของแก่นแท้หรือตัวเจ้าเองที่ขันอาสาพระบิดาเข้ามาปฏิบัติกันให้ลุล่วงภายในระบบโลก นั่นคือการสร้างพลังอำนาจให้แก่ดาวเคราะห์ดวงนี้ด้วยการสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกสูงสุดของตนเอง เพื่อกระตุ้นให้โลกเกิดการสั่นสะเทือนด้านบวกตามจิตสำนึกของพวกเจ้าไปด้วยอย่างต่อเนื่อง และขณะเดียวกันพวกเจ้ายังต้องช่วยให้โลกนี้สมดุล ด้วยการช่วยให้โลกเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองด้วยอัตราเร็วคงที่อย่างต่อเนื่องตลอดไปด้วยเช่นกัน บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลายคงจะไม่เลือนลืมความจริงที่จริงแท้ซึ่งเป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ของตนเองที่ว่านี้กันง่ายๆดอกนะ

ถ้าจะทำความเข้าใจว่า เจ้าจะช่วยเหลือโลกของเจ้าในภารกิจหลักทั้งสองประการที่ว่านั้นกันได้อย่างไรแล้ว ก่อนอื่นเจ้าก็จักต้องรู้ว่า ดาวเคราะห์โลกที่เจ้าเหยียบยืนกันอยู่นี้นั้น พระบิดาได้กำหนดสร้างให้มีโครงสร้างทางกายภาพที่แตกต่างจากจินตนาการหรือสมมติฐานของฝ่ายที่เป็นนักวิทยาศาสตร์โลกที่เจ้าร่ำเรียนฝังหัวกันมาตั้งแต่เยาว์วัยอย่างสิ้นเชิง (จงดูภาพประกอบจากสไลด์) โดยเมื่อแรกสร้าง บิดาแห่งเจ้าได้กำหนดให้ดาวเคราะห์โลกดวงนี้มีโครงสร้างหลักทางกายภาพพอสังเขปดังนี้

1.ชั้นนอกสุด: 
เป็นบริเวณเปลือกโลกชั้นนอกที่มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้และหลากหลายสรรพสิ่งดำรงอยู่ แม้กระทั่งน้ำบาดาล น้ำใต้ดินก็อยู่ในเปลือกโลกชั้นนอกสุดนี้ด้วย
2.ชั้นที่สอง:
เป็นบริเวณที่ถัดลงไปจากชั้นนอก คือแผ่นเปลือกโลกที่เป็นหินแข็ง มีความหนาตั้งแต่ 60 กิโลเมตรขึ้นไป โดยเมื่อแรกสร้าง พระบิดาได้กำหนดให้มันแยกออกจากกันอย่างอิสระจำนวนทั้งสิ้น 3 แผ่น เพื่อประโยชน์ในการยืดตัวหดตัวและเพื่อการดูดซับแรงสั่นสะเทือน อันเกิดจากการกระทำบนพื้นผิวโลกชั้นนอกสุด รวมทั้งการดูดซับปรับสมดุลแรงสั่นสะเทือนที่ถูกถ่ายทอดขึ้นมาจากภายในแกนโลกเอง เป็นต้น
3.ชั้นที่สาม:
เป็นชั้นของน้ำใต้โลกที่มีความลึกหลายร้อยกิโลเมตร น้ำส่วนนี้จะทำหน้าที่ค้ำจุนแผ่นเปลือกโลกทั้งหมดเอาไว้ ให้ลอยตัวอยู่ได้อย่างสมดุล เป็นน้ำร้อนที่มีความร้อนสูงในระดับเลยจุดเดือดหลายเท่าและร้อนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเธอจะสังเกตได้ว่าน้ำพุร้อนทั้งหลายที่พุ่งผ่านรอยแยกของเปลือกโลกขึ้นมาเกือบทุกแห่ง ล้วนมีความร้อนสูงในระดับที่ต้มไข่ให้สุกได้ภายในไม่กี่นาทีเลยทีเดียว
4.ชั้นที่สี่:
เป็นชั้นของสิ่งที่พวกเจ้าเรียกว่า “ของไหล” หรือแม็กม่า ซึ่งเกิดจากหินและแร่ธาตุต่างๆทั้งโลหะและอโลหะที่อยู่ในสภาวะหลอมละลายรวมตัวกันอยู่เพราะถูกย่างเผาด้วยความร้อนสูงเกินกว่าจะวัดค่าอุณหภูมิได้นั่นเอง ของไหลที่ว่านี้มีลักษณะเหนียวหนืดคล้ายตังเมที่ร้อนแดงและเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา พวกเจ้าจึงต้องรู้ว่าความร้อนสูงสุดในระดับเลยจุดเดือดหลายร้อยเท่าของๆไหลที่ว่านี้นั้น มันจะมีลักษณะเช่นเดียวกันกับการที่พวกเจ้าใช้ถ่านไฟร้อนๆต้มกาน้ำร้อนอยู่บนเตาจนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลานั่นแหละลูก จึงยังผลให้น้ำใต้โลกมีความร้อนสูงในระดับเลยจุดเดือดดังกล่าวแล้ว
5.ชั้นที่ห้า:
เป็นโครงสร้างทางกายภาพของดาวเคราะห์โลกชั้นในสุดหรืออาจเรียกว่า “แกนกลาง” ก็ได้ โดยแกนกลางของโลกที่ว่านี้หากเปรียบไปก็คล้ายดั่งเมล็ดในของผลไม้ประเภทผลเดี่ยวเมล็ดเดียวทั้งหลายนั่นแหละลูก บิดาแห่งเจ้ากำหนดสร้างขึ้นไว้ด้วยธาตุออกซิเจนเหลวเข้มข้นและบริสุทธิ์ 100% โดยมีลักษณะทางกายภาพก็คือ มีสีเขียวใสดั่งเนื้อของพระแก้วมรกต เมื่อสะท้อนแสงจะเป็นเงาวาวคล้ายสีของปีกแมลงทับและมีความเหนียวหนืดคล้ายตังเมซึ่งก้อนธาตุออกซิเจนชั้นในสุดนี้ จะเข้มข้นกว่าและรวมตัวกันอยู่อย่างหนืดเหนียวกว่าชั้นของๆไหลที่ห่อหุ้มอยู่ด้านนอกในชั้นที่สี่ที่กล่าวมาแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อจะรักษาคุณสมบัติความเป็นก้อนธาตุของแกนโลกเอาไว้ให้คงตัวอยู่ได้ตลอดเวลาและตลอดไปนั่นเอง

ก้อนธาตุออกซิเจนที่มีขนาดใหญ่ภายในแกนของดาวเคราะห์นี่เอง คือกลไกชิ้นสำคัญที่บิดาแห่งเจ้าจะติดตั้งเอาไว้กับดาวดวงใดก็ตามที่มีรูปธรรมมนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายดำรงอยู่บนดาวนั้นเสมอ

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย...
โครงสร้างทางกายภาพของดาวเคราะห์ที่พวกเจ้าขันอาสาพระบิดาเข้ามารับผิดชอบดูแล ในบทบาทของ “เพื่อนร่วมงานกับโลก” ดังกล่าวมาแล้วนั้น เป็นการกำหนดคุณสมบัติอัตลักษณ์ต่างๆไว้ให้สอดคล้องและเกื้อกูลต่อการปฏิบัติตามพันธะสัญญา 6 ด้วยเครื่องยนต์แห่งกรรมรูปธรรมมนุษย์ในบทบาทของ “คน 2 มิติ” โดยเฉพาะ

พวกเจ้าทั้งหลายจะต้องรู้ว่า พระบิดาได้กำหนดติดตั้งกลไกภายในโครงสร้างทางชีววิทยาของเจ้าเอาไว้ให้แล้ว เพื่อให้มันเป็นเครื่องมือที่จะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ได้ในสองมิติซึ่งเป็นมิติคู่ขนานกันอยู่ คือ มิติโลกด้านกายภาพกับมิติทางพลังงานด้านของแก่นแท้ที่สองตาเปล่ามองไม่เห็น กล่าวคือ เมื่อใดก็ตามที่กลไกอวัยวะประสาทสัมผัสทั้ง 5 มีการสัมผัสรู้ดูเห็นสรรพสิ่งใดเข้า ผัสสะที่อยู่ในรูปของคลื่นพลังงานนั้นๆก็จะถูกถ่ายทอดเข้าไปข้างในสู่จิตหยาบ ถ้าจิตหยาบรับรู้ข้อมูลการผัสสะนั้นแล้วมีการรับเอาหรือมีการเรียนรู้อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ตาม มันก็จะนำไปสู่การสั่นสะเทือนของจิตกับสมองของพวกเจ้าเมื่อนั้น

สมองเมื่อถูกกระตุ้นให้เกิดการสั่นสะเทือนด้วยกระบวนการทางจิตเมื่อใด อำนาจที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ พลังแห่งการคิดอันเกิดจากความเฉลียวฉลาดทางปัญญาของเจ้านั่นแหละ และความเฉลียวฉลาดทางปัญญาไม่ว่าจะสูงหรือต่ำของพวกเจ้าก็ขึ้นกับ ค่าความเข้มสนามแม่เหล็กของสมองของเจ้าในขณะนั้นๆเช่นกัน ส่วนจิตของเจ้าเมื่อมันถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าผ่านอายตนะทั้งหลายเมื่อใด การสั่นสะเทือนของจิตทั้งด้านบวกด้านลบก็จะเกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะเป็นการสั่นสะเทือนแล้วเกิดเป็นอารมณ์รู้สึกและการนึกคิดของจิตเองอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม ผลบั้นปลายก็คือ กลไกทางกายภาพจำพวกต่อมไร้ท่อซึ่งบิดาแห่งเจ้า ติดตั้งเอาไว้ให้เจ้าได้ใช้เป็นเครื่องมือในการทำหน้าที่ทางจิตวิญญาณเพื่อสานสัมพันธ์กับโลกในมิติทางพลังงานมันก็จะสั่นสะเทือนขึ้นทันที ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ทางไฟฟ้าแม่เหล็กที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นลบเป็นบวกไปตามชนิดของการสั่นสะเทือนของจิตในขณะนั้นๆเป็นสำคัญ ซึ่งพวกเจ้าจะเรียกพลังงานที่เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนทางจิตว่า “พลังจิต” และเรียกพลังงานที่เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนทางปัญญาของสมองว่า “พลังปัญญา” หรือ คลื่นการคิดอันเป็นคลื่นผสมระหว่าง คลื่นพลังจิตกับคลื่นปัญญาที่มีคุณสมบัติทางไฟฟ้าเป็นบวกเป็นลบกำกับอยู่ด้วย

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
หน้าที่สำคัญของพวกเจ้าในบทบาทของคนสองมิติที่ทุกคนจำเป็นต้องกระทำก็คือ เจ้าจะต้องช่วยเหลือตนเองและเพื่อนร่วมโลกคนอื่นๆซึ่งเป็นพี่ๆน้องๆของเจ้าที่คบหาสมาคมกัน ให้พยายามเข้าถึงการสั่นสะเทือนจิตและปัญญาของสมองทางด้านบวก ที่รวมเรียกว่า “สั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกสูงสุด” กันให้จงได้ โดยอาศัยบททดสอบจิตสำนึกที่พวกเจ้าเองถือติดตัวกันมาจาก “วิหารสีขาว” มาหยิบยื่นให้แก่กันตามที่ได้วางแผนการณ์กันไว้ ก่อนเข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์ตั้งแต่ภพชาติแรกนั้นเป็นตัวช่วย หรือเป็นกุศโลบาย หรืออาจเรียกง่ายๆว่าเป็น “บทละคร” ที่จักต้องมาแสดงร่วมกันก็ไม่ผิดนัก

ดังนั้น เจ้าจึงต้องรู้ว่าเมื่อใดขณะใดที่เจ้าสามารถยกระดับแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกหรือจิตปัญญา จนเข้าถึงด้านบวกสูงสุดได้ เครื่องยนต์แห่งกรรมสองมิติที่เป็นรูปธรรมมนุษย์ของเจ้าก็จะทำการผลิตสร้างคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กด้านบวกด้านลบตามที่เคยกล่าวถึงไว้บ้างแล้วออกมาภายนอกเครื่องยนต์แห่งกรรมของเจ้าทันที เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ทางพลังงานกับส่วนที่พี่ๆน้องๆคนอื่นๆเขาขับเคลื่อนออกมาในวินาทีเดียวกันนั้น จนก่อให้เกิดเป็น “พลังงานร่วมทางจิตสำนึกด้านบวก” และจำนวน 1% ของพลังงานร่วมทั้งหมดนั้น จะถูกเหนี่ยวรั้งด้วยอะตอมของธาตุออกซิเจนภายในแกนโลกด้วยอำนาจทางไฟฟ้าด้านลบ แล้วก่อให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ (Nuclear Fission) จนอะตอมระเบิดแตกตัวออกในแบบปฏิกิริยาลูกโซ๋(Chain Reaction)คือระเบิดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่พวกเจ้ารู้สติรู้สำนึกในยามตื่นคือตอนกลางวันนั่นเอง

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
การสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของพวกเจ้าดังกล่าวแล้วนั้น มันจะยังผลให้แกนโลกหรือจิตของโลกเกิดการระเบิดนิวเคลียร์แบบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนเพราะการระเบิดของแกนโลกอย่างต่อเนื่องนี่เอง จึงเสมือนหนึ่งพวกเจ้าได้เป็นผู้สร้างจิตสำนึกของดาวเคราะห์โลกให้เกิดขึ้นมาได้ และยังผลให้โลกมีพลังอำนาจขึ้นมาได้คล้ายดั่งมีชีวิต เหมือนเช่นพวกเจ้าซึ่งอยู่ในรูปธรรมมนุษย์ที่มีชีวิตเพราะมีการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

ผลลัพธ์แห่งการสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของโลก ซึ่งมีมนุษย์โลกเช่นพวกเจ้าเป็นผู้ร่วมงานหรือเป็นผู้ช่วยเหลือนี้ มี 2 ประการ คือ การช่วยให้โลกมีพลังอำนาจในตนเอง และการช่วยให้ดาวเคราะห์โลกสมดุลได้อย่างมั่นคง โดยพลังอำนาจของโลกที่ถูกพวกเจ้าช่วยกันผลิตสร้างขึ้นมาด้วยกระบวนการที่ว่านี้ ประกอบด้วย
1.ระบบโครงข่ายสนามแม่เหล็กโลก ที่จะยกตัวสูงขึ้นในระดับ 6 หมื่นกิโลเมตรจากพื้นโลก
2.ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกในระดับ 14 เกาส์
3.แรงความโน้มถ่วงของโลก หรือแรงดึงดูดเหนี่ยวรั้งของโลก
4.ก๊าซออกซิเจนที่แทรกซึมขึ้นมาจากแกนโลก
5.ความอบอุ่นที่เหมาะกับสัตว์เลือดอุ่นอย่างพวกเจ้า ซึ่งได้จากความร้อนที่แผ่ออกมาจากน้ำใต้โลกที่ถูกของไหลหรือแม็กม่าที่ร้อนแดงเกินจุดเดือดเผาหรือต้มอยู่ตลอดเวลา

ส่วนความสมดุลของดาวเคราะห์โลกที่เกิดจากความช่วยเหลือของพวกเจ้าก็คือ การเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองให้ทุกสิ่งที่เกาะติดอยู่กับโลกหรืออยู่ในระบบโลกไม่หลุดลอยจนกระเด็นออกไปจากระบบโลกนั่นเอง

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย.....
ในชั้นนี้พวกเจ้าก็ได้รับรู้กันแล้วว่า พระบิดาอนุญาตให้พวกเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อให้เข้าถึงบทบาทการเป็นคนสองมิติ ด้วยการสั่นสะเทือนจิตสำนึกด้านบวกร่วมกัน เพื่อนำเอาความรักของพระบิดาที่พวกเจ้าแบกขนกันมาจากบ้าน เข้ามาสู่การเกิดเป็นมนุษย์เพื่อมอบให้กับโลก ได้ใช้เป็นพลังอำนาจในการสร้างแรงสั่นสะเทือนทางจิตสำนึกด้านบวกของโลกให้จงได้ดังกล่าวแล้ว เจ้าจึงสามารถทำความเข้าใจด้วยตนเองได้ว่า การที่พระบิดากำหนดสร้างโลกทางกายภาพเอาไว้ดังกล่าวแล้วนั้น ก็เพื่อให้ดาวเคราะห์โลกกับตัวเจ้า สามารถทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกันได้อย่างลงตัวจนอาจกล่าวได้ว่า.....
จิตสำนึกของโลกกับจิตสำนึกของมนุษย์นั้นล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน

ป.วิสุทธิปัญญา
23-01-2013








11 มกราคม 2556

จดหมายถึงลูก ฉบับที่ 3



จดหมายถึงลูก: ฉบับที่ 3
“หกหมื่นแปดร้อยปีแห่งความล้มเหลว”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
นับเนื่องนานกาลผ่านมาได้ หกหมื่นแปดร้อยปีแห่งกาลสิ้นยุค จนล่วงเลยมาได้กว่า 800 ปีเศษตราบกระทั่งบัดนี้นั้น....นอกจากมันจะเป็นกาลเวลาในมิติโลกที่พวกเจ้าทั้งหลายได้ใช้มันเพื่อการเรียนรู้ในอันที่จะปฏิบัติภารกิจทางจิตวิญญาณ ด้วยความสัตย์ซื่อตามนัยแห่งพันธะสัญญา 6 ให้ลุล่วงไปอย่างสิ้นเปลืองแล้ว มันยังเป็นห้วงเวลาที่บิดาแห่งเจ้าเฝ้ามองและรอคอยที่จะได้ประจักษ์ต่อความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์กับการย้อนคืนกลับบ้านสู่แดนสุญตา อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนพวกเจ้าอยู่อย่างวังเวงด้วยเช่นเดียวกัน
บทสรุปเมื่อถึงกำหนดแห่งกาลสิ้นยุคก็คือ มีพี่ๆน้องๆของพวกเจ้าจำนวนเพียงนับนิ้วมือได้เท่านั้นที่เขาสามารถใช้เส้นทางที่เรียกว่าทางสายน้ำนม (ทางช้างเผือก) เดินทางสู่ประตูสวรรค์ คือ"ด่านนภาลัย" แล้วข้ามผ่านออกไปได้อย่างสง่างาม สมเกียรติ สมศักดิ์ศรี ขณะที่พวกเจ้าผู้เป็นจำนวนมวลพลังงานก้อนใหญ่ กลับยังหน่วงรั้งซึ่งกันและกันไว้ด้วยเหตุปัจจัยแห่งการหลงในมิติของมายา เพราะการเรียนรู้ที่จะใช้กลไกอายตนะทั้งหกให้เป็นและใช้มันให้ถูกต้องนั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ซึ่งยังผลให้ความสามารถในการใช้ความฉลาดทางปัญญาของสมองตกต่ำกว่าศักยภาพอันเป็นอำนาจแท้จริงที่มีอยู่ในตนร่วม 80% ตามไปด้วย สภาวะจิตพวกเจ้าทั้งมวลใหญ่ต่างจึงถูกครอบงำโดยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และความงมงาย เพราะในระบบโลกเสรีของพวกเจ้ายังขาดคัมภีร์ที่ถูกต้อง ยังขาดครูผู้เป็นองค์รวม และพวกเจ้าก็ยังขาดการรู้แจ้งได้ด้วยปัญญาในตนเองโดยแท้

“เหตุแห่งความล้มเหลว”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในภารกิจ และการกลับบ้านหรือนิพพานไม่ได้แม้ล่วงเลยวันสิ้นยุคพลังงานเก่าอันเป็นกาลสิ้นยุคของพวกเจ้ามานานปีเหล่านี้มีสาเหตุสำคัญสูงสุด คือ......
เพราะพวกเจ้าขาดปัญญาญาณซึ่งมีอยู่ในตน จึงยังผลให้เข้าถึงอภิปรัชญาที่เป็นองค์รวมซึ่งเกี่ยวเนื่องระหว่างตัวเจ้าเอง บิดาแห่งเจ้าและทุกเรื่องราวทุกสรรพสิ่งในสนามพลังงานจักรวาลสากลที่พวกเจ้าเรียกกันสั้นๆว่า "สัจธรรม" ให้โปร่งแจ้ง-ทะลุแจ้งด้วยตนเองกันไม่ได้ ทั้งๆที่พวกเจ้าหลายรูปธรรมก็มีความเพียรกันอยู่หลายภพชาติที่ผ่านมาแล้ว....
บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
พวกเจ้าจะประสบผลสำเร็จในภารกิจศักดิ์สิทธิ์ที่ขันอาสาพระบิดาเข้ามาทำหน้าที่ยังดาวเคราะห์โลกเสรีได้อย่างไรกัน ต่อให้ใช้เวลาเต็มที่สักกี่หมื่นปีก็ตาม ถ้าพวกเจ้าแต่ละคนยังเป็นเช่นที่พวกเจ้าเป็นกันอยู่เยี่ยงที่จะกล่าวต่อไปนี้......

1).แสวงหาแต่ความรู้ (ธรรมะ) จากผู้ที่ตนชอบและเชื่อว่าเป็นครูของตนได้ โดยลืมใช้หลักแห่งกาลามสูตรเป็นแนวทางแห่งการรับธรรม ท้ายที่สุดแล้วหากยังชอบและเชื่อครูอยู่ ก็กลายเป็นงมงายไปกับครูซึ่งเป็นได้แค่เพียงเจ้าลัทธิของตนเท่านั้น เพราะใครก็ตามเพียงทำให้เธอชอบและเชื่อ เขาคนนั้นก็เป็นครู(เจ้าลัทธิ)ของเธอได้อย่างง่ายดายแล้ว....

2).แสวงหาแต่ครูที่ทำให้ตนเชื่อว่าเป็นผู้รู้แจ้งในแสงธรรมนั้นๆอย่างแท้จริง...พฤติกรรมเยี่ยงนี้ดูดีกว่าที่กล่าวมาในข้อแรก เพราะดูเหมือนว่ายังพอมีพอใช้สติปัญญาในการแสวงหาครูอย่างรอบคอบระมัดระวังตัวมากขึ้น...แต่ก็น่าเศร้าใจที่เธอจำนวนมากมายก็ต้องตกเป็นสาวกของเจ้าลัทธิพวกนั้นไปเสียอีก เพราะครูที่เธอเชื่อแล้วว่าเป็นผู้รู้แจ้งของเธอนั้นดันมีความรู้ผิดๆ...รู้ไม่ถ่องแท้...เพราะครูของเธอก็ขาดการรู้แจ้งด้วยปัญญาที่ในตนเหมือนกับเธอผู้ไปยอมตนเป็นศิษย์สาวกเข้าให้นั่นแหละ....
รายนามพวกเขาที่เธอชอบยกเอาชื่อนามของเขาขึ้นมากล่าวอ้างเพื่อหมายข่มขู่พี่ๆน้องๆผู้พร่องธรรมคนอื่นๆนั้น มันเป็นตัวบ่งชี้ชัดว่านามพวกเขาที่เป็นครูของเธอ ซึ่งมีชื่อเสียง มีหน้าตาในสังคมนั้น ถูกยกย่องยอมรับด้วยสาวกส่วนใหญ่ที่ยังขาดปัญญาญาณเพื่อการรู้แจ้งทั้งสิ้น....ในขณะที่คนพิเศษหรือผู้วิเศษของเธอนั้น เป็นแค่เพียงเด็กน้อยซุกซนคนหนึ่งซึ่งกำลังคลำหาหนทางกลับบ้านอยู่เหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่าพวกเขากำลังใช้วิธีลองผิดลองถูกลองทำอยู่...โดยผิดถูกนั้นต้องยอมแลกมันด้วยการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อแก้ไขเพื่อต่อยอดมันไปเรื่อยๆ ซึ่งกรรมวิธีของพวกเขา คือ สิ่งที่เขาบอกกล่าวให้เธอรู้ โดยทำตัวเป็นครูเป็นเจ้าสำนักสอนเธอเพื่อล่าสาวก อันหมายจะพิสูจน์ว่าถ้าเขามีสาวกเยอะๆซึ่งมีเธอรวมอยู่ด้วยคนนึง มันจะยังความเชื่อมั่นในการลองผิดลองถูกให้แก่เขาได้มากขึ้นนั่นเอง แต่พอเธอได้รู้เห็นเข้าด้วยเพราะคาดไม่ถึง-นึกเองไม่ได้ เธอจึงเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำให้ดู สอนให้เธอรู้มันน่าจะเป็นหนทางอันประเสริฐแน่ๆ โดยที่ทั้งครูทั้งศิษย์เองก็ยังไม่รู้จริงรู้แจ้งด้วยซ้ำไปว่า ที่รู้อยู่ปฏิบัติอยู่และสอนอยู่ เพียงเพราะเชื่อว่าใช่น่ะมันถูกต้องถ่องแท้แน่นอนแล้ว...มันจึงเป็นการซื้อขายความเชื่อเพราะว่าชอบโดยแท้...ซึ่งทั้งเจ้าลัทธิทั้งสาวกเองก็หลงผิดว่า ตนนั้นต่างได้ใช้ปัญญาพิจารณาแล้ว ทั้งๆที่ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเพียงแค่ "ตาบอดคลำช้าง” เท่านั้น

“ตาบอดคลำช้าง”

บุตรรักทั้งหลาย.....เจ้าลัทธิมิใช่พระศาสดา ที่จะสามารถเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณพวกเจ้าได้หรอก....
นิทานเรื่องตาบอดคลำช้าง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนตาบอด 5 คนที่ เปรียบเสมือนดั่งคนพิเศษหรือผู้วิเศษทั้งห้าคนที่เธอชอบกล่าวอ้างต่อผู้อื่น เพื่อแสดงว่าตนเป็นศิษย์มีครูนั่นแหละ โดยตาบอดทั้งห้าคือผู้ที่จะแสวงหาความหมายที่เป็นอัตลักษณ์ของ "ช้าง" นั่นแหละว่า ช้างน่าจะมีนิยามว่าอย่างไร?

1.พวกเขารู้ว่า ถ้าจะเรียนรู้ว่าช้างอัตลักษณ์เป็นแบบไหน ก็ต้องใช้ผัสสะ ซึ่งยังดีกว่าเจ้าลัทธิของเธอบางคนตามที่เธอว่าที่พยายามจะดับผัสสะของอายตนะภายนอกภายในทั้ง 6 อย่างใดอย่างหนึ่งนั่น เพราะวาดฝันถึงอุเบกขาแบบผิดๆนั่นแหละนะ....ทั้งๆที่คนสองมิติที่เรียกว่าคนอย่างพวกเจ้านั้น อายตนะทั้งหมดดับเมื่อใดก็ตายเมื่อนั้น อายตนะไหนบกพร่องใช้การไม่ได้ หรือไปพยายามดับมันเข้า พวกเจ้าก็จะกลายเป็นคนพิการไม่ครบอาการ 32 พระพุทธองค์ยังมิทรงอนุญาตให้บวชเลย เพราะกลไกการเรียนรู้มันชำรุด จะไม่อาจบรรลุธรรมจากการรู้แจ้งด้วยตนเองได้นั่นเอง

2.ตาบอดคนที่ 1 ไปคลำเจอขาช้าง เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนต้นไม้นี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่าต้นไม้นั้นมีลักษณะเป็นดุ้นใหญ่ผิวหยาบเหมือนขาช้างนั่นเอง...เป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆ....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนต้นไม้ที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูอีกสี่คนต่อไปนี้

3.ตาบอดคนที่ 2 ไปคลำเจอลำตัวของช้างเข้า เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนกำแพงนี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่ากำแพงมันมีลักษณะแข็งแรง ผลักเท่าไหร่ก็ไม่เขยื้อนนั่นเอง...นี่จึงเป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆอีกแล้ว....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนกำแพงที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูซึ่งเป็๋นคนตาบอดคนแรกและอีกสามคนต่อไปนี้เช่นกัน....

4.ตาบอดคนที่ 3 ไปคลำเจอเอางาช้างเข้า เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนหอกนี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่าหอกมันมีลักษณะเป็นด้ามกลมปลายเรียวแหลม นั่นเอง...นี่จึงเป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆอีกเช่นกัน....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนหอกที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูซึ่งเป็๋นคนตาบอดสองคนแรกและอีกสองคนต่อไปนี้เช่นกัน....

5.ตาบอดคนที่ 4 ไปคลำเจอเอางวงช้างที่แกว่่งส่ายอยู่ไปมาเข้า เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนงูตัวใหญ่นี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่างูมันมีลักษณะตัวกลมๆยาวเรียวๆและเลื้อยไปมานั่นเอง...นี่จึงเป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆอีกเช่นกัน....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนงูใหญ่ที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูซึ่งเป็๋นคนตาบอดสามคนแรกและอีกคนสุดท้ายต่อไปนี้เช่นกัน....

6.ตาบอดคนที่ 5 คนสุดท้ายไปคลำเจอเอาหางช้างที่แกว่่งส่ายอยู่ไปมาเข้า เขาก็เรียนรู้ด้วยกายสัมผัสในทันทีว่า เออนี่...ช้างแท้แล้วตัวตนรูปลักษณ์ของมันก็เหมือนงูตัวเล็กๆนี่เอง...ที่สรุปอย่างนั้นเพราะเคยมีประสบการณ์มาแล้วว่างูจะมีขนาดตัวเล็กๆ มีลักษณะตัวกลมๆยาวเรียวๆและเลื้อยไปมานั่นเอง...นี่จึงเป็นการสรุปตามความรู้เดิมประสบการณ์เก่า มิได้ใช้ปัญญาใดๆอีกเช่นกัน....และถ้าครูคนไหนบอกว่าช้างรูปลักษณ์เหมือนงูเล็กที่ตรงกับประสบการณ์เดิมที่ตนเชื่อว่าใช่อยู่ เธอก็จะโอเคครูคนนั้นทันที และเธอก็จะปฏิเสธครูซึ่งเป็๋นคนตาบอดสามคนแรกและอีกคนสุดท้ายต่อไปนี้เช่นกัน....

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย.....
บรรดาเจ้าลัทธิที่พวกเจ้าชื่นชมผสมยกย่องว่าเป็นครู จนชอบยกเอาชื่อนามกับความรู้ของพวกเขามากล่าวอ้างนั้น มันไม่ต่างกันกับนิทานเรื่อง "ตาบอดคลำช้างทั้ง 5 คน" นี่หรอกนะ.....

เธอตื่นเต้นแปลกใจกับความรู้ใหม่ ที่ได้จากครูที่เสมือนเด็กซุกซนซึ่งกำลังแสวงหาการหลุดพ้นด้วยการลองผิดลองถูกอยู่ เพราะยังเป็นผู้ขาดปัญญาเนื่องจากไม่รู้ว่าจะยกระดับจิตปัญญาของตนได้อย่างไร เนื่องจากดีแต่นึกไม่เคยฝึกคิด...ใช้จิตปัญญาไม่เป็น โดยอาศัยความเป็นอัตโนมัติอันเป็นคุณสมบัติของจิตเบื้องต้น ที่บิดาแห่งเจ้ากำหนดไว้ให้ใช้เพียงแค่วัยกุมารน้อย แต่พวกเจ้าก็ใช้สอยมันมาจนชราก็ยังหาวิธีเข้าถึงการคิดแบบกดปุ่มกันไม่ได้ ทั้งครูทั้งศิษย์จึงเป็นแบบที่เป็นกันอยู่....บ้างก็ย่ำอยู่กับที่ บ้างก็สับสนกับตนเอง บ้างก็หลงทางไปนิพพาน....บ้างก็เที่ยวบอกกับใครต่อใครด้วยเข้าใจว่าตนน่ะถึงนิพพานได้แล้ว....ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่านิพพานคืออย่างไร?

 “อย่าเอาเจ้าลัทธิมาแทนพระศาสดา”

บุตรรักแห่งบิดาทั้งหลาย....
ความจริงที่พวกเจ้าต้องรู้ก็คือ นอกจากพระศาสดาของพวกเจ้าเช่น องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น องค์เยซูคริสต์เจ้า องค์นบีมูฮัมหมัดเจ้า และพระองค์อื่นๆอีก 21 พระองค์ที่พวกเจ้าละลืมไปบ้างแล้ว มิมีผู้ใดเข้าถึงการรู้แจ้งที่สามารถกล่าวสัจธรรมอนุตรธรรมแห่งพระบิดาได้อย่างถูกต้องถ่องแท้และลึกซึ้งซึ่งบิดาแห่งเจ้ายอมรับว่าใช่แล้วใช่เลยหรอกนะ....แล้วเจ้าจะไปเชื่อเจ้าลัทธิอย่างไม่ลืมหูลืมตาได้อย่างไร...แทนที่เจ้าจะหาความรู้อยู่ด้านเดียว ใยเจ้าไม่เร่งหาปัญญาใส่ตนให้มากๆควบคู่ไปด้วยเล่า ก็บุตรเอกแห่งบิดาที่จุติมาเป็นอาจารย์เจ้ามาเป็นผู้นำทางปัญญา มากล่าวโอวาทแห่งพระบิดาเจ้าเพื่อการปิดยุค เพื่อนำพาพวกเจ้ากลับนิพพานเป็นคำรพสามในรอบหกหมื่นปีนี่แล้วนี่ไง...ใยเจ้ามิใส่ใจใยดี
เจ้าคงไม่รู้หรอกว่า....อันความรู้ของเจ้าลัทธิทั้งหลายของเจ้าที่เปรียบดั่งตาบอดคลำช้าง เมื่อคลำแล้วเหมาเอาว่าช้างเป็นแบบนั้นแบบนี้ทั้งๆที่เข้าใจผิด สรุปผิด เชื่อผัสสะผิดๆ เพราะพวกเขาขาดปัญญา ขณะที่เจ้าเองก็เบาปัญญาได้แต่แสวงหาครูที่ในโลกนี้มันขาดผู้รอบรู้แท้จริง จึงยังผลให้พวกเจ้าหลงทางไปนิพพานกันมาตลอด จนสำนึกทางวิญญาณดิ่งเหว พลอยให้ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ป่วยหนักถึงขั้นตรีฑูต เพราะพวกเจ้าใช้ความรักค้ำจุนโลกไม่ได้ และหลงทางไปนิพพานดังกล่าวแล้ว....
คนโง่มักอวดว่าตนฉลาด คนฉลาดมักถ่อมตน และไม่ก้าวล่วงใคร โดยพร้อมที่จะเรียนรู้ด้วยปัญญาในตนมากกว่าเรียนรู้เพราะว่าชอบเรียนรู้เพราะว่าอยากรู้ และเรียนรู้เพราะว่าเชื่อเท่านั้น
บุตรรักทั้งหลาย....

ในจักรวาลอันไพศาลนี้ เจ้าจงรู้ไว้ว่า นอกจากสิ่งที่เจ้ารู้เพราะอยากรู้ซึ่งอาจรู้ผิดพลาด รู้ไม่จริง รู้ไม่ถูกต้องแล้ว มันยังมีความรู้ที่เจ้าก็รู้ว่าตนยังไม่รู้ และมีความรู้ที่เจ้าไม่รู้ว่าตนจะต้องรู้อยู่อีกมากมายนัก โดยเฉพาะความรู้ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับดาวเคราะห์โลก และความรู้ที่จะนำไปสู่ทักษะการนำพาแก่นแท้ตนเองกลับบ้านคือนิพพาน ในสภาวะของการหลุดพ้นออกไปจากเอกภพ....จงอย่าหลงงมงายและหลงตนเองอีกเลย

“ต้นไม้แห่งนก”

ถ้าเจ้าเปรียบต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งมีรากแก้วเป็นต้นทางแห่งโลก ที่จะเชิดชูลำต้นกิ่งก้านใบสู่ท้องฟ้าเข้าหาสรวงสวรรค์แห่งบิดาเจ้า อันเป็นปลายทางแห่งนิพพานแล้ว กิ่งไม้สองกิ่งใหญ่ของต้นไม้ต้นนี้ที่เจ้าว่านั้น กิ่งหนึ่งย่อมเหมาะสมกับนักบวช-นักพรต นักรบแห่งแสงสว่างซึ่งเป็นนกสีเหลืองที่ละแล้วซึ่งอาสวะกิเลส ไม่มีครอบครัว มีตัวคนเดียว ใช้ยึดเกาะ โดยผู้นำกลุ่ม คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า...ขณะที่อีกกิ่งหนึ่งเหมาะสมกับนกหลายสีที่มีครอบครัวมีภารกิจทั้งทางโลกและทางธรรมใช้ยึดเกาะ โดยมีองค์เยซูคริสต์กับองค์นบีเป็นผู้นำกลุ่มในแต่ละยุคสมัยซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงมีแก่นแท้ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน โดยกิ่งนี้เป็นเส้นทางสู่นิพพานในบทบาทของนักสู้เพื่อการรู้แจ้งโดยแท้ ดังนั้น การที่เจ้าเป็นผู้ครองเรือนเจ้าจึงต้องอยู่ในกลุ่มของนกหลากสี โดยความหลากสีก็คือ บทละครชีวิตครอบครัวและสังคมที่พวกเจ้าขีดเขียนกันมาตั้งแต่ภพชาติแรกนั่นแหละ พวกเจ้าทุกคนจึงเป็นนกประเภทเดียวกัน ต้องเกาะอยู่กิ่งไม้เดียวกัน เจ้าจะไปเลือกเกาะกิ่งไม้อีกกิ่งหนึ่งที่เป็นกิ่งของนกสีเหลืองแบบ "นกหลงฝูง" ไม่ได้....แม้ปลายกิ่งสุดท้าย จะเชิดชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้าที่เปรียบดั่งสวรรค์หรือแดนนิพพานเหมือนกันก็ตาม...

ป.วิสุทธิปัญญา
13-01-2013