02 สิงหาคม 2566

คัมภีร์อนุตรธรรมภาคจิตจักรวาล 2/08/2023

 
(เพื่อยุวจิตจักรวาลยุคสุดท้าย)
 
พี่ๆน้องๆที่รักแห่งเราทั้งหลาย
เราจะกล่าวความจริงต่อท่านทั้งหลายว่า
 
มิได้มีเพียงแค่ #ดาวพลูโต ดวงเล็กๆเท่านั้น
ซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดบทบาทให้ทำหน้าที่สำคัญ
คือค้ำจุนสมดุลของ “กาแล็กซี” ที่เป็นระบบใหญ่
โดยกาแล็กซีธารสายน้ำนมเป็นผู้ค้ำจุน “เอกภพ”
ซึ่งเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระองค์เอาไว้
ในลักษณะของการเป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง
ที่ต้องเหวี่ยงหมุนไปในแนวระนาบอย่างต่อเนื่อง
 
เพราะ “ห้องทดลอง” นี้สร้างจากอนุภาคพลังงาน
มิได้สร้างจากมวลสารในมิติโลกทางกายภาพ
กาแล็กซีธารสายน้ำนมจึงต้องสร้างด้วยมวลสาร
อันประกอบด้วยระบบสุริยะจักรวาลถึงสองระบบ
กับดวงอาทิตย์ดวงน้อยสลับช่องกับถ่านลิกไนต์
โดยสลับกันแบบ “ช่องเว้นช่อง” ตามที่กล่าวแล้ว
 
จึงทรงสร้างกาแล็กซี “ธารสายน้ำนม” ที่ว่านี้
ให้มีลักษณะคล้ายปีกหมุนดั่งใบพัดของคอปเตอร์
เมื่อเหวี่ยงหมุนรอบแกนกลางตนเองไปเรื่อยๆ
เพื่อทำให้อนุภาคพลังงานขนาดเล็กจำนวนมาก
เกิดการ “ฟุ้งกระจาย” จนเกิดเป็นรูปทรงขึ้นมาได้
ซึ่งพระองค์ทรงสร้างกาแล็กซีน้อยใหญ่ขึ้นมาอีก
รวม 12,500 ล้านระบบเพื่อให้เกิดเป็น “เอกภพ”
ที่มีรูปธรรมคล้ายชามสองใบคว่ำประกบกันอยู่
 
โดยที่กาแล็กซีต่างๆจะมีหน้าที่ช่วยกันหมุน
ช่วยกันทำให้อนุภาคพลังงานฟุ้งกระจายออกไป
จนเกิดเป็นรูปธรรมดังที่ว่ามานี้ตามพระประสงค์ได้
ซึ่งเป็นที่อัศจรรย์ในการคิดแบบจิตมนุษย์กันว่า
ทรงสร้างตึกหลังใหญ่โตโดยใช้แป้งฝุ่นได้อย่างไร
ไม่ต่างจากการใช้มวลพลังงานสร้างเอกภพนั่นเอง
 
อัศจรรย์งานสร้างของพระองค์
ที่เกี่ยวกับห้องทดลองขนาดใหญ่ของพระองค์นั้น
ยังมีอีกมากมายหลายสิ่งที่พวกคุณยังไม่รู้ว่าไม่รู้
โอกาสต่อไปเราจะนำความจริงนั้นมากล่าวให้รู้กัน
 
แต่ในที่นี้เราแค่ต้องการจะสร้างสติทางวิญญาณ
ให้พวกคุณทั้งหลายได้รู้ความจริงกันเอาไว้ว่า
จงอย่า “อ่านโลกอ่านจักรวาล” พระบิดาแค่ตาเห็น
เพราะสิ่งที่เห็นนั้นมันอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงก็ได้
เช่น “ดาวพลูโต” ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ผิดปกติ
นั่นคือมีคาบเวลาของการโคจรที่ไม่สม่ำเสมอ
เมื่อเปรียบเทียบกับดาวเคราะห์ดวงอื่นๆอีก 8 ดวง
ทำให้นักวิทยาศาสตร์โลกหลงผิดคิดว่าดาวพลูโต
ไม่ใช่ดาวบริวารดวงที่ 9 ของระบบสุริยะแต่อย่างใด
จนถึงขั้นจะตัดดาวเคราะห์ดวงนี้ออกไปจากระบบ
อันเป็นการ “หลงผิด” จากการ “หลงตัวเอง” แท้ๆ
 
เราขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า
ดาวพลูโตที่เป็นดาวบริวารของดวงอาทิตย์ดวงที่ 9
ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ในวงโคจรชั้นนอกสุดนี้
พระเจ้าให้ทำหน้าที่เป็นเศษส่วนของเมอริเดี้ยน
โดยย้ายพิกัดตนเองไปมาระหว่างสองระบบสุริยะ
นั่นคือย้ายพิกัดจากระบบสุริยะซึ่งอยู่ตรงช่องที่ 696
ของกาแล็กซีธารสายน้ำนม หรือ Milky Way
ไปเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 6 ของอีกระบบสุริยะหนึ่ง
ซึ่งตั้งอยู่ตรงช่องที่ 99 ของกาแล็กซีธารสายน้ำนม
 
มายาลักษณ์ในการโคจรของดาวพลูโตนี้
เป็นที่มาของสัญลักษณ์ทางเรขาคณิต คือ อินฟินิตี้
ซึ่งมีลักษณะคล้ายเลข 8” แต่อยู่ในแนวนอน
 
คำว่า “อินฟินิตี้” หมายถึง การไม่รู้สิ้นสุดยุติ
หรือการมีอยู่อย่างมากมายจนนับจำนวนไม่ถ้วน
ซึ่งมนุษย์ชอบใช้คำว่ามีจำนวนที่เป็น “อนันต์”
โดยรูปรอยสัญลักษณ์ “อินฟินิตี้” นี้ถอดแบบจาก
ทิศทางการโคจรของดาวพลูโตในสองระบบสุริยะ
 
เช่น ถ้าโคจรรอบดวงอาทิตย์ของระบบสุริยะนี้
ในทิศทางจากตะวันตกไปทางทิศตะวันออกแล้ว
เมื่อโคจรครบ 3 ปีในวันที่ 15 กรกฎาคมของปีนั้น
ดาวพลูโตก็จะโคจรย้ายพิกัดไปยังอีกระบบหนึ่ง
เพื่อไปโคจรรอบดวงอาทิตย์ของระบบสุริยะนั้น
ในทิศทางจากด้านตะวันออกไปทางทิศตะวันตก
ของระบบสุริยะที่อยู่ตรงข้ามกันนั้นเสมอ
โดยจะเดินทางไปโคจร 1 รอบเพื่อทำหน้าที่ของตน
ก่อนจะโคจรวกกลับมาอีกซึ่งใช้เวลาราว ๆ 365 วัน
หรือนานประมาณหนึ่งปีดังกล่าวไว้แล้ว
 
พระเจ้าทรงออกแบบให้ทิศทางการเคลื่อนที่
เป็นรูปสัญลักษณ์อินฟินิตี้ตามที่เราอธิบายภาพมานี้
ก็เพื่อช่วยให้ดาวพลูโตหลุดออกไปจากระบบสุริยะ
โดยไม่ต้องใช้แรงดึงดูดจากระบบสุริยะตรงข้ามมาก
เนื่องจากวงโคจรปกติของดาวพลูโตนั้นเป็นแบบวงรี
จึงช่วยให้หลุดออกจากแรงดึงดูดของระบบนี้ง่ายขึ้น
 
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้
องค์กรด้านอวกาศของประเทศอินเดีย
ได้ส่งยานอวกาศลำหนึ่งออกไปจากระบบโลก
เพื่อจะไปร่อนลงบนพื้นผิวของดวงจันทร์
โดยใช้หลักการเดียวกันกับดาวพลูโตของพระเจ้า
ด้วยการส่งยานขึ้นไปโคจรรอบโลกก่อน
จึงค่อยใช้จรวดบังคับทิศทางให้พุ่งไปยังดวงจันทร์
ซึ่งจะไม่ต้องเปลืองพลังเชื้อเพลิงมากเกินไป
 
เมื่อเข้าสู่ระบบของดวงจันทร์แล้ว
จึงบังคับให้ยานนั้นโคจรไปรอบดวงจันทร์
ด้วยการกำหนดให้มีวงโคจรที่แคบลงๆเรื่อย ๆ
จนกระทั่งสามารถลงไปจอดบนพื้นผิวดวงจันทร์ได้
เพื่อกระทำภารกิจตามที่คิดหมายไว้ต่อไป
 
นักวิทยาศาสตร์ชาวอินเดียกลุ่มนี้
เป็นมนุษย์กลุ่มแรกนะที่คิดแล้วทำแบบที่ว่านี้
โดยใช้วิธีการโคจรในรูปแบบ “สัญลักษณ์อินฟินิตี้”
หรือเป็น แบบ “เลขแปดนอนตะแคง”
ซึ่งทรงกำหนดให้ดาวพลูโตแสดงเป็นต้นแบบแล้ว
 
ดังนั้น
คำว่า “เอกภพ” จึงหมายความว่า
เป็นสถานที่แห่งการเป็นหนึ่งเดียวของทุกสรรพสิ่ง
โดยทุกสรรพสิ่งจะมีพลังอำนาจในตนเอง
ซึ่งพลังอำนาจนั้นจะได้จากการสั่นสะเทือนข้างใน
มิใช่เป็นพลังอำนาจที่ได้จากการกดขี่ข่มเหง
เพื่อทำการช่วงชิงจากผู้อื่นจนเขาสูญเสียอำนาจไป
 
นอกจากนั้น
ทุกสรรพสิ่งจะต้องมีความสมดุลในตนเองด้วย
เพื่อใช้ความสมดุลของตนค้ำจุนผู้อื่นให้สมดุลตาม
เช่น ดวงจันทร์กับโลกต่างก็มีความสมดุลในตนเอง
ความสมดุลนี้จะได้จากการหมุนรอบตัวเองเสมอ
ทั้งยังค้ำจุนความสมดุลของกันและกันได้อีกด้วย
ดวงจันทร์จึงเป็นดาวเพื่อนของโลกได้อย่างยั่งยืน
เพราะทั้งสองดวงแม้จะมีขนาดมวลไม่เท่ากัน
แต่ก็ใช้ความรักดึงดูดเหนี่ยวรั้งซึ่งกันและกันเอาไว้
โลกและดวงจันทร์จึงมีกันและกันเป็นเพื่อนเสมอ
 
เราจะเปิดเผยสิ่งที่พวกคุณไม่รู้ให้ได้รู้อีกสิ่งหนึ่ง
นั่นคือ เรื่อง #ดาวเคราะห์น้อย ที่มนุษย์หลงผิดกันอยู่
โดยจะพบว่าในราว ๆเดือนพฤษภาคมของทุกปี
บนท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของชาวโลก
จะมีดาวสุกสกาวดวงหนึ่งซึ่งนักวิทยาศาสตร์โลก
เข้าใจว่าเป็น “ดาวเคราะห์น้อย” ลอยให้เห็นทุกคืน
ซึ่งจะปรากฏตัวอยู่นานราว ๆ 60 วันหรือสองเดือน
 
เราจึงจะบอกความจริงให้รู้ว่า
ที่คุณส่องกล้องมองเห็นกันนั้นมิใช่ดาวเคราะห์น้อย
แต่แท้จริงแล้วเขาคือดวงจันทร์ที่มีแสงสีชมพูอมส้ม
ซึ่งเป็นดวงจันทร์ดวงหนึ่งของดาวพฤหัสต่างหากล่ะ
พระเจ้าทรงสร้างดวงจันทร์ดวงนี้ขึ้นมา
ก็เพื่อให้ทำหน้าที่เป็น “เศษส่วนของเมอริเดี้ยน”
ของระบบย่อยของดาวพฤหัสเท่านั้นเอง
 
ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสดวงนี้
จะโคจรรอบดาวพฤหัสนาน 26 เดือนต่อรอบ
โดยหมุนรอบตัวเองอัตราเร็ว 22 ชั่วโมงต่อรอบ
ซึ่งมิใช่ดาวเคราะห์น้อยแต่อย่างใดเลย
 
สื่อถ่ายทอดคลื่นความคิดในระบบจิตสู่จิต
จากองค์จิตจักรวาลดวงใหญ่
 
ปัญญาวิสุทธิ์
2/08/2566